รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - Tawatchai1212

หน้า: 1 [2] 3 4 ... 7
16

ย่านาง
ชื่อสมุนไพร ย่านาง
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น จอยนาง , จ้อยนาง (ภาคเหนือ) , เถาย่านาง , เถาวัลย์เขียว , หญ้าน้องสาว (ภาคกึ่งกลาง) , บริเวณนาง , นางวันยอ , ขันยอยาด (ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์   Tiliacora triandra (Colebr.) Diels,
สกุล  Menispermaceae
ถิ่นกำเนิด ย่านางมีถิ่นเกิดในใจกลางของเอเซียอาคเนย์ ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศ พม่า , ไทย , ลาว , เขมร  เรื่องจริงแล้วพืชวงศ์ย่านางนี้มีราว 70  ตระกูล แต่ว่าส่วนมากเป็นไม้เลื้อยในป่าเขตร้อนและในป่าไม้ผลัดใบในทวีปเอเชียและก็อเมริกาเหนือ ส่วนย่านางของเรานั้นพบขึ้นตามป่าผลัดใบ ป่าดงดิบ และป่าโปร่ง ในทุกภาคของประเทศไทย แต่ว่าในปัจจุบันได้มีการนำมาปลูกใบรอบๆบ้าน เพื่อใช้บริโภคและก็ใช้เป็นยาสมุนไพรกันอย่างมากมาย
ลักษณะทั่วไป
       ย่านางเป็นไม้เถาเลื้อย เถากลมขนาดเล็ก มีเนื้อไม้ เลื้อยพันเนตรมต้นไม้ หรือก้านไม้ เถามีสีเขียว ยาว 10-15 เมตร เถาอ่อนสีเขียว เมื่อเถาแก่จะมีสีคล้ำ แตกเป็นแนวถี่ เถาอ่อนมีขนนุ่มสีเทา มีเหง้าใต้ดิน แขนงมีรอยแผลเป็นรูปจานที่ก้านใบหลุดไป มีขนห่างๆ หรือเกลี้ยง ใบเดี่ยว ดก สีเขียวเข้มวาว เรียงแบบสลับ รูปไข่ ยาวประมาณ 6-12 ซม. กว้างโดยประมาณ 4-6 ซม. ขอบใบเรียบ ปลายใบแหลม ฐานใบมน ผิวใบเป็นคลื่นน้อย ก้านใบยาวราว 1.5 ซม. ผิวใบเรียบมัน ไม่มีหูใบ เนื้อใบคล้ายกระดาษ แม้กระนั้นแข็ง เหนียว มีเส้นใบครึ่งออกมาจากโคนใบรูปฝ่ามือ 3-5 เส้น และก็มีเส้นแขนงใบ 2-6 คู่ เส้นพวกนี้จะไปเชื่อมกันที่ขอบของใบ เส้นกึ่งกลางใบด้านล่างจะย่นละเอียดใกล้ๆโคน ขนหมดจด ก้านใบผิวย่นย่อละเอียด ดอกออกเป็นช่อเล็กๆแบบแยกกิ่งก้านสาขาตามข้อแล้วก็ซอกใบ มีดอก 1-3 ดอก สีเหลือง ก้านช่อดอกยาวโดยประมาณ 0.5 ซม. แยกเป็นช่อดอกเพศผู้และก็ช่อดอกเพศภรรยา ดอกเพศผู้สีเหลือง กลีบเลี้ยงมี 6-12 กลีบ กลีบวงนอกสุดมีขนาดเล็กที่สุด กลีบวงในมีขนาดใหญ่กว่ารวมทั้งเรียงซ้อนกัน รูปรีกว้าง ยาว 2 มิลลิเมตร ออกจะหมดจด กลีบดอกไม้มี 3 หรือ 6 กลีบ สอบแคบ ปลายเว้าตื้น ยาว 1 มิลลิเมตร หมดจด เกสรเพศผู้มี 3 อัน เป็นรูปกระบอง ยาว 1.5-2 มิลลิเมตร ดอกเพศภรรยา กลีบเลี้ยงวงในรูปกลม ยาว 2 มม. ด้านนอกมีขนเรี่ยราย กลีบมี 6 กลีบ รูปรีแกมขอบขนาน ยาว 1 มิลลิเมตร เกสรเพศเมียมี 8-9 อัน แต่ละอันยาวไม่ถึง 1 มม. ติดอยู่บนก้านยกสั้นๆยอดเกสรเพศเมียไม่มีก้าน ผลได้ผลกรุ๊ป ผลกลมรูปไข่กลับ กว้าง 6-7 มม. ยาว 7-10 มม. ผิวเกลี้ยง มีเมล็ดแข็ง ผลสีเขียว ชุ่มฉ่ำน้ำ ออกเป็นพวง ตามข้อรวมทั้งซอกใบ ติดบนก้านยาว 3-4 มม. เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีส้มรวมทั้งสีแดงสด เมล็ดรูปเกือกม้า ฝาผนังผลชั้นในมีสันไร้ระเบียบ มีดอกตอนมีนาคมถึงม.ย.
การขยายพันธุ์
       ย่านางเป็นพืชที่รุ่งเรืองได้ ในดินแทบทุกจำพวก ถูกใจดินร่วนผสมทรายจะเจริญก้าวหน้าได้ดี การปลูกในหน้าฝน จะเจริญวัยได้ดีมากยิ่งกว่า จะงอกงามเร็วกว่าปลูกภายในตอนอื่น ย่านางที่ปลูกได้ไม่ยากขึ้นง่าย รักษาง่าย ไม่ต้องดูแลมากมาย ทนความแห้งแล้งก้าวหน้า
ส่วนการขยายพันธุ์สามารถเพาะพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเม็ด หรือการแยกเหง้าปลูก แต่วิธีที่ได้รับความนิยมในขณะนี้เป็นการเพาะเม็ด เมล็ดย่านางจะมีอัตราการงอกของเมล็ดสูง แม้กระนั้นจะต้องใช้เมล็ดที่แก่เต็มที่ที่มีลักษณะสีดำ ซึ่งควรนำมาตากแห้ง 5-7 วัน ก่อนปลูก การปลูกด้วยการหยอดเมล็ดต้องระวังอย่าขุดหลุมลึก เพราะเหตุว่าจะก่อให้เมล็ดเน่าได้ง่าย
ส่วนการดูแลรักษาย่านางไม่มียุ่งยากมากมาย เพราะว่าย่านางจะเติบโตได้ดิบได้ดี ในดินมีความชื้นเพียงพอ และก็สามารถเติบโตได้ถึงแม้จะมีวัชพืชขึ้นครึ้ม เพราะเหตุว่าต้นย่านางจะสร้างเถาเลื้อยอยู่ข้างบนพืชประเภทอื่น
สำหรับประเด็นการใส่ปุ๋ยย่านางนั้นไม่มีความสำคัญ ถ้าเกิดดินมีสภาพอินทรีย์วัตถุที่เพียงพอ เราสามารถใช้เพียงปุ๋ยธรรมชาติจากมูลสัตว์ 1 ถัง/ต้น ก็พอเพียง แต่ว่าหากต้องการให้ใบเขียวเข้มมากขึ้น บางทีอาจต้องใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 16-8-8 หรือปุ๋ยยูเรียเพิ่มในอัตรา 50-100 กรัม/ต้น หรือประมาณ 1 กำมือ สำหรับต้นที่แตกเถายาว ส่วนต้นขนาดเล็กจะต้องปรับจำนวนลดลง แล้วนำต้นกล้าที่ได้มาปลูกเอาไว้ภายในแปลงดิน ให้มีระยะห่างระหว่างต้นราวๆ 1×1 เมตร รวมทั้งเมื่อต้นเริ่มเลื้อยเลื้อย ให้ทำหลักปักไว้ ทำค้างให้เถาเลื้อยขึ้น
การเก็บผลผลิตย่านาง  จะเริ่มเก็บผลิตผลใบย่านาง ใช้เวลาโดยประมาณ 2-3 เดือน ข้างหลังปลูกในแปลง ใบมีขนาดโตสุดกำลังมีสีเขียว จะสามารถเก็บเกี่ยวใบย่านางได้ รวมทั้งจะเก็บได้ตลอดไปเรื่อย
ส่วนประกอบทางเคมี
                สาระสำคัญที่เจอในใบย่านางส่วนใหญ่จะเป็นสารกรุ๊ปฟินอลิก (phenolic compound) เป็นต้นว่า มิเนวัวไซด์ (Minecoside), กรดพาราไฮดรอกซีเบนโซอิก (p-hydroxy benzoic acid) และสารในกรุ๊ปฟลาโวนไกลโคไซด์ อย่างเช่น สารโมโนอีพอกซีเบตาแคโรทีน (moonoepoxy-betacarotene) แล้วก็อนุพันธ์ของกรดซินนามิก (flavones glycosidf cinnamic acid derivative) ส่วนสารอัลาลอยด์ (alkaloid) ยกตัวอย่างเช่น ทิเรียวัวรีน
(tiliacorine) , ทิเรียวัวลินิน (Tiliacorinine) , นอร์ทิเรียโครินิน (nor-tiliacorinine) , tiliacorinin 2,-N-oxide Tiliandrine , Tetraandrine และ D-isochondendrine เจอได้ทั้งในราก รวมทั้งใบย่านาง  แล้วก็การศึกษาเล่าเรียนส่วนประกอบหลักที่มีฤทธิ์ต้านมาลาเรียจากรากย่านาง โดยสกัดรากด้วยตัวทำละลาย  chloroform:methanol:ammonium hydroxide ในอัตราส่วน (50:50:1) ใช้แนวทางแยกสารด้วย column chromatography  รวมทั้งการตกผลึก พบว่าได้สารประกอบ alkaloid  2 ประเภทหมายถึงtiliacorinine (I) แล้วก็ tiliacorine (II) จำนวน  0.0082% และ 0.0029% เป็นลำดับ  ส่วนคุณประโยชน์ทางโภชนาการของย่านางนั้นมีดังนี้
-               พลังงาน 95 กิโลแคลอรี
-               เส้นใย 7.9 กรัม
-               แคลเซียม 155.0 กรัม
-               ธาตุฟอสฟอรัส 11.0 มก.
-               เหล็ก 7.0 มิลลิกรัม
-               วิตามินเอ 30625 (IU)
-               วิตามินบีหนึ่ง 0.03 มิลลิกรัม                              Minecoside
-               วิตามินบีสอง 0.36 มก.
-               ไนอาสิน 1.4 มิลลิกรัม
-               วิตามินซี 141.0 มก.
-               เถ้า 8.46%
-               ไขมัน 1.26%
-               โปรตีน 15%                                          Tiliacorine
-               น้ำตาลทั้งหมดทั้งปวง 59.47%
-               แคลเซียม 1.42%
-               ฟอสฟอรัส 0.24%
-               โพแทสเซียม 1.29%
-               กรดยูเรนิค 10.12%
-               โมโนแซคติดอยู่ไรด์
-               แรมโนส 0.50%
-               อะราบิโนส 7.70% หน่วยเปอร์เซ็นต์ (ใบย่านาง 100 กรัม/น้ำหนักแห้ง)       tiliacorinine
-               กาแลคโตส 8.36%
-               เดกซ์โทรส 11.04%
-               ไซโลส 72.90%
คุณประโยชน์/สรรพคุณ ใบย่านางเป็นสมุนไพรเย็น มีคลอโรฟิลล์สดจากธรรมชาติ และก็ยังมีวิตามินที่จำเป็นต้องต่อร่างกายอีกเยอะมาก เป็นต้นว่า วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เบต้าแคโรทีนในปริมาณค่อนข้างสูง โดยเป็นสมุนไพรที่ใครหลายๆคนต่างก็รู้จักกันดี เพราะว่านิยมเอามาเป็นเครื่องปรุงรสช่วยเพิ่มความกลมกล่อมของของกิน ตัวอย่างเช่น แกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้ แกงเลียง แกงหวาน
ประโยชน์ย่านางที่ใช้เป็นอาหารมีดังนี้
ใบย่านาง เก็บบริโภคได้ตลอดปี ยอดอ่อนแตกใบมากมายในช่วงฤดูฝน ยอดอ่อนของเถาย่านางใช้กินแกล้มแนมกับอาหารเผ็ด ชาวไทยอีสานและชาวลาวใช้ใบย่านางคั้นเอาน้ำทำอาหารต่างๆทำให้น้ำซุปข้นขึ้น ดังเช่น แกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้ ย่านางสามารถลดฤทธิ์กรดยูริกในหน่อไม้ได้ ลดความขมของหน่อไม้ แล้วก็เพิ่มคลอโรฟิลล์แล้วก็บีตาแคโรทีนให้กับของกินดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
นอกเหนือจากนั้นยังใส่น้ำคั้นใบย่านางในแกงเห็ด ต้มเลอะ แกงขี้เหล็ก แกงขนุน แกงผักอีลอก แกงยอดหวาย แกงอีลอก นำไปอ่อมแล้วก็หมก
ชาวใต้ใช้ยอด ใบเพสลาด (เป็นใบที่ไม่อ่อน ไม่แก่เกินไป) นำไปแกงเลียง แกงหวาน แกงขี้เหล็ก น้ำคั้นจากใบช่วยลดความขมของใบขี้เหล็กได้ นอกจากนั้นยังนำไปผัด แกงน้ำกะทิ และก็หั่นซอกซอยกินอาหารยำได้อีก ผลสุกใช้กินเล่น ส่วนคนเหนือใช้ยอดย่านางอ่อนเอามาลวกเป็นผักจิ้มน้ำพริก ใบแก่คั้นน้ำนำมาใส่แกงพื้นบ้าน เช่น แกงหน่อไม้ แกงแค
ส่วนสรรพคุณทางยาของย่านางเป็น หนังสือเรียนยาไทย  ใช้ ราก รสจืด รสจืดขม ใช้ในตำรับยาแก้ไข้ห้าโลกสายฟ้า (ประกอบด้วยรากย่านาง รวมกับรากเท้าคุณยายม่อม รากมะเดื่อชุมพร รากคนทา รากแส้ม้าทลาย อย่างละเท่าๆกัน) แก้ไข้ (ใช้รากแห้งทีละ 1 กำมือ หรือราว 15 กรัม ต้มกับน้ำก่อนรับประทานอาหารเช้าตรู่ กลางวัน เย็น) แก้พิษเมาเบื่อ กระทุ้งพิษไข้ แก้เมาสุรา ถอนพิษผิดสำแดง เอามาต้มรับประทานเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น แก้ไข้ ขับพิษต่างๆแก้ท้องผูก ปรุงยาแก้ไข้รากสาด ไข้กลับ ไข้หัว ไข้พิษ ไข้สันนิบาต ไข้มาลาเรียเรื้องรัง ไข้ทับประจำเดือน บำรุงหัวใจ บำรุงธาตุ แก้พิษภายในให้ตกสิ้น แก้โรคหัวใจบวม แก้กำเดา แก้ลม แก้ไข้จับสั่น แก้เมาสุรา รากผสมกับรากสุนัขน้อย ต้มรับประทานแก้ไข้ไข้จับสั่น ลำต้น รสจืดขม ทำลายพิษผิดสำแดง รักษาพิษไข้ แก้ไข้ตัวร้อน แก้ไข้พิษ แก้ไข้รากสาด ไข้ดำแดง ไข้ฝีดาษ ไข้เซื่องซึม ไข้กลับไข้ซ้ำ แก้ลิ้นเป็นฝ้าขาว แก้ลิ้นแข็งกระด้าง รักษาโรคปวดข้อ ก้านที่มีใบผสมกับพืชอื่นใช้เป็นยาแก้ท้องเดิน ใบ รสจืดขม กินทำลายพิษ แก้ไข้ แก้ไข้รากสาด ไข้พิษ ไข้เซื่องซึม ไข้หัว ไข้พิษ ปวดศรีษะตัวร้อน อีสุกอีใส ฝึก ลิ้นแข็งกระด้างคางแข็ง เป็นยากวาดคอ แก้ไข้ฝีดาษ ไข้ดำแดง
ส่วนอีกแบบเรียนหนึ่งระบุว่า ราก นำรากมาต้มดื่มแก้ร้อนใน แก้ดับหิว ทุเลาลักษณะของการมีไข้ ไข้รากสาด อีสุกอีใส ไข้ทรพิษ ถอนพิษแฮงค์ เมาสุรา ทุเลาอาการท้องผูก ท้องร่วง บำรุงหัวใจ ทำลายพิษ และก็ลดพิษจากพืช สัตว์ และสารเคมีในร่างกาย  ลำต้น ลำต้นเอามาต้มหรือบดคั้นน้ำดื่ม บรรเทาอาการไข้จำพวกต่างๆลดพิษร้อน พิษจากพืช เห็ด รวมทั้งลดสารพิษยาฆ่าแมลงในร่างกาย  ใบ  นำใบมาบดคั้นน้ำสด หรือนำมาต้มน้ำ รวมทั้งใบตากแห้งอัดใส่แคปซูลรับประทาน มีฤทธิ์ในทางยาหลายด้าน ได้แก่ ทุเลาอาการร้อนใน บรรเทาอาการไม่สบาย ตัวร้อน ทุเลาไข้รากสาด ไข้ฝีดาษลดพิษยาฆ่าแมลงภายในร่างกาย และก็ถอนพิษอื่นๆ
ภาคอีสานใช้รากต้มเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น และใช้รากยานางผสมรากสุนัขน้อย ต้มแก้ไข้ไข้มาลาเรีย บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้เริ่มแรก ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ระบุการใช้ย่านางในตำรับ “ยาห้าราก” มีส่วนประกอบของรากย่านางร่วมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณทุเลาอาการไข้ ส่วนทางด้านการแพทย์แผนปัจจุบันกล่าวว่า ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของย่านาง โดยพบว่าย่านางมีฤทธิ์ลดไข้ ยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไข้จับสั่น Plasmodium falciparum แก้ปวด ลดความดันเลือด ต้านทานเชื้อจุลชีพ ต้านทานการแพ้ ลดการหดเกร็งของลำไส้ ต่อต้านการเจริญก้าวหน้าของเซลล์มะเร็ง ยั้งเอนไซม์ acetylcholinesterase และก็มีฤทธิ์อย่างอ่อนๆในการต้านอนุมูลอิสระ  และก็ยังมีคุณลักษณะกระตุ้นการเพิ่มปริมาณของเซลล์เม็ดเลือดขาวหน-ลิมโฟซัยท์ (T-lymphocyte) ต้านทานจุลชีวัน Staphylococcus aureus, Bacillus cereus, Escherichia coli แล้วก็ Salmonellaspp. และก็ยังมีคุณลักษณะกระตุ้นการเพิ่มปริมาณของเซลล์เม็ดเลือดขาวครั้ง-ลิมโฟซัยท์ (T-lymphocyte)  ต้านจุลชีวัน Staphylococcus  aureus,  Bacillus  cereus,  Escherichia  coli และ Salmonella spp. ต้านทานไข้ และก็ต้านทานอนุมูลอิสระ ใบย่านางไม่มีอันตรกิริยา (interaction) กับยารักษาโรคเรื้อรังอย่างเช่น โรคหัวใจแล้วก็เส้นโลหิต โรคกระดูกและก็ข้อเบาหวาน โรคระบบทางเดินหายใจ
รูปแบบ/ขนาดวิธีการใช้ แก้ไข้ ใช้รากย่านางแห้ง 1 กำมือ ประมาณ 15 กรัม ต้มกับน้ำ 2 แก้วครึ่ง ต้มให้เหลือ 2 แก้ว ให้ดื่มครั้ง1-2 แก้ว ก่อนอาหาร 3 เวลา   แก้ป่วง (ปวดท้องด้วยเหตุว่ากินอาหารผิดสำแดง)ใช้รากย่านางแดงและรากมะปรางหวาน ฝนกับน้ำอุ่น แต่ไม่ถึงกับข้น ดื่มครั้งละ 1-2  แก้วต่อครั้ง วันละ 3-4 ครั้ง หรือทุกๆ2 ชั่วโมง ถ้าหากไม่มีรากมะปรางหวาน ก็ใช้รากย่านางแดงอย่างเดียวก็ได้ หรือหากให้ดียิ่งขึ้น ใช้รากมะขามฝนรวมด้วย   ทำลายพิษเบื่อเมาในของกิน อย่างเช่น เห็ด กลอย ใช้รากย่านางต้นและใบ 1 กำมือ  ตำผสมอาหารสารเจ้า 1 ถือมือ เพิ่มเติมน้ำคั้นให้ได้ 1 แก้ว กรองด้วยผ้าขาวบาง ใส่เกลือและน้ำตาลน้อยเพียงพอดื่มง่ายให้หมดทั้งแก้ว ทำให้อ้วกออกมา จะช่วยทำให้ดีขึ้น   ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ใช้หัวย่านางต้มกับน้ำ 3 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วนดื่มทีละ 1-2 แก้ว  การใช้เป็นยาประจำถิ่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ   ใช้ราก ต้มเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น   ใช้รากย่านางผสมรากหมาน้อย ต้มแก้ไข้ไข้มาลาเรีย   ใช้ราก ต้มขับพิษต่างๆ น้ำย่านางเมื่อเอามาผสมกับดินสอพองหรือปูนบดหมากผสมจนเหลว สามารถนำมาทา สิว ฝ้า ตุ่มคัน ตุ่มใส ผื่นคัน พอกฝีหนองได้อีกด้วย

การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไข้จับสั่น        ศึกษาฤทธิ์ต่อต้านเชื้อมาลาเรีย Plasmodium falciparum ของสารสกัดรากย่านางด้วยเมทานอล ซึ่งสารสกัดมีสาร alkaloid เป็นส่วนประกอบ 2 ส่วนสกัด คือส่วนที่ละลายน้ำ แล้วก็ส่วนที่ไม่ละลายน้ำ พบว่าเฉพาะสาร alkaloid ที่ไม่ละลายน้ำ (water-insoluble alkaloid) มีฤทธิ์เพิ่มการหยุดยั้งเชื้อไข้มาลาเรีย จากส่วนประกอบทางเคมีที่แยกได้ พบสาร alkaloid ที่แตกต่างกัน 5 จำพวก ในกรุ๊ป bisbenzyl isoquinoline อาทิเช่น tiliacorine, tiliacorinine, nor-tiliacorinine A, และสาร alkaloid ที่ไม่สามารถที่จะกำหนดองค์ประกอบได้ คือ G และ H ซึ่งพบว่าสาร alkaloid G มีฤทธิ์สูงสุดสำหรับเพื่อการกำจัดเชื้อไข้มาลาเรียระยะ schizont (เป็นระยะที่เชื้อมาลาเรียไปสู่เซลล์ตับ แล้วเปลี่ยนรูปร่างเป็นกลมรี แล้วก็มีขนาดใหญ่ขึ้น มีการแบ่งนิวเคลียสเป็นหลายๆก้อน) โดยมีค่า ID50 เท่ากับ 344 ng/mL ตามด้วย nor-tiliacorinine A รวมทั้ง tiliacorine ตามลำดับ (ID50s เท่ากับ 558 และ 675 mg/mL เป็นลำดับ)
ฤทธิ์ยั้งเชื้อวัณโรค   สาร bisbenzylisoquinoline alkaloids 3 จำพวก เป็นต้นว่า tiliacorinine, 20-nortiliacorinine รวมทั้ง tiliacorine ที่แยกได้จากรากย่านาง รวมทั้งอนุพันธ์สังเคราะห์ 1 จำพวก คือ 13҆-bromo-tiliacorinine   สารทั้ง 4 ชนิดนี้ ได้เอามาทดสอบฤทธิ์ต้านทานเชื้อวัณโรคสายพันธุ์ดื้อยา multidrug-resistant Mycobacterium tuberculosis (MDR-MTB)  ผลการทดลองพบว่า สารทั้ง 4 ชนิด มีค่า MIC อยุ่ระหว่าง 0.7 - 6.2 μg/ml แต่ที่ค่า MIC พอๆกับ 3.1 μg/ml เป็นค่าซึ่งสามารถยับยั้ง  MDR-MTB ได้มากมายที่สุด
ฤทธิ์ต่อต้านโรคมะเร็ง     การเรียนฤทธิ์ยั้งเซลล์ของโรคมะเร็งท่อน้ำดี ในหลอดทดสอบ รวมทั้งในสัตว์ทดลอง โดยศึกษาเล่าเรียนผลของสาร tiliacorinine ซึ่งเป็นสาร กลุ่ม alkaloid ที่เจอในย่านาง  สำหรับการทดลอง in vivo ทำในหนูถีบจักร เพื่อมองผลลดการเจริญของก้อน   เนื้องอกในหนูที่ได้รับเซลล์มะเร็งท่อน้ำดี รวมทั้งสาร tiliacorinine  ผลการทดลองพบว่า  tiliacorinine  มีความนัยสำคัญในการยั้งการเพิ่มปริมาณของเซลล์ของโรคมะเร็งท่อน้ำดีในหลอดทดลอง โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 4.5-7 µM โดยกลไกการกระตุ้นขั้นตอนการ apoptosis ซึ่งเป็นขั้นตอนสำหรับในการกำจัดเซลล์แตกต่างจากปกติ รวมทั้งเซลล์ของมะเร็งภายในร่างกาย รวมทั้งการทดสอบในหนูพบว่าสามารถลดการเจริญของก้อนเนื้องอกในหนูได้
การทดลองฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระของผักประจำถิ่นไทย ปริมาณ 6 ประเภท อย่างเช่น ผักเราด ผักติ้ว ผักปลังขาว ย่านาง ผักเหมียง รวมทั้งผักหวานบ้าน โดยการสกัดสารสำคัญด้วยแอลกอฮอล์จากผักแต่ละประเภท ทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากผักอีกทั้ง 6 ชนิดเปรียบเทียบกับตัวควบคุม วิตามินซี แล้วก็วิตามินอี สารสกัดจากย่านางส่วนที่ละลายน้ำรวมทั้งส่วนที่ไม่ละลายน้ำให้ค่า IC50 499.24 รวมทั้ง 772.63 ไมโครกรัม/มล. เป็นลำดับ เมื่อเทียบกับค่าที่ได้จากวิตามินซี แล้วก็วิตามินอีที่ IC50 9.34 รวมทั้ง 15.91 ไมโครกรัม/มล. ตามลำดับ
งานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยอีกชิ้นหนึ่งในประเทศไทยสำรวจฤทธิ์ยับยั้งปวดและก็ฤทธิ์ต้านการอักเสบของพืชผักประจำถิ่นอีสาน 10 จำพวก การตรวจค้นฤทธิ์หยุดปวดโดยใช้ writhing test และก็ tail flick test สำหรับการตรวจฤทธิ์ต้านทานอักเสบ ใช้ rat hind paw edema model
ผลของการทดสอบใช้สารสกัดผักประจำถิ่นด้วยน้ำ ขนาด 1 กรัมต่อน้ำหนักตัวของหนูเพศผู้ 1 กก. พบว่าสารสกัดจาก ใบตำลึง ใบย่านาง ผักติ้วแดง ผักกาดฮีน มะระขี้นก ผักชะพลู และผักชีลาว ส่งผลลดการเกิด writhing ในหนูร้อยละ 35-64 (p<0.05)
การทดลองฤทธิ์ยับยั้งปวดด้วย tail flick test พบว่าสารสกัดจากใบตำลึงและใบย่านางมีฤทธิ์ระงับปวด แล้วหลังจากนั้นเลือกสารสกัดที่มีฤทธิ์มากที่สุด 4 ประเภท ตัวอย่างเช่น ใบตำลึง ใบย่านาง ผักติ้วแดง และผักกาดฮีนมาทำการทดลองฤทธิ์ต้านทานการอักเสบโดยใช้คาราจีแนนเป็นสารระตุ้น  พบว่าสารสกัด 4 จำพวกไม่มีฤทธิ์ต้านอักเสบในสัตว์ทดสอบ ผู้ทำการวิจัยเชื่อว่าสารสกัดจากใบตำลึงและใบย่านางบางครั้งอาจจะออกฤทธิ์ยับยั้งปวดต่อระบบประสาท
ส่วนงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดลในห้องทดลองเบื้องต้นพบว่า สารสกัดใบย่านางมีฤทธิ์กระตุ้นแนวทางการทำงานของรีเซ็ปเตอร์ที่ขนคอเลสเตอรอลเข้าสู่ตับ แต่ว่าไม่รู้จักว่าจะมีผลลดคอเลสเตอรอลในเลือดของระบบร่างกายหรือเปล่า การศึกษาค้นพบนี้บางทีอาจเกี่ยวโยงกับคุณสมบัติของย่านางที่ใช้รักษาโรคหัวใจมาแต่โบราณได้ หากแต่ว่าควรจะมีการเล่าเรียนเพิ่มอีกถัดไป
จากการทดลองฤทธิ์ลดไข้ของสารสกัด 50% เอทานอลจากรากย่านาง เมื่อนำไปวิเคราะห์ฤทธิ์สำหรับการลดไข้ พบว่าไม่มีคุณลักษณะสำหรับการลดไข้แต่เป็นพิษต่อสัตว์ทดลอง การศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยทางเคมีได้แยกอัลคาลอยด์ ออกมาสองประเภทเป็นอัลคาลอยด์ที่ไม่ละลายน้ำ(water-insoluble alkaloids) รวมทั้งอัลติดอยู่ลอด์ที่ละลายน้ำ (water-soluble quarternary base) เมื่อพิจารณาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของอัลคาลอยด์ที่แยกได้ พบว่าการเกิดพิษต่อสัตว์ทดลองมีเหตุที่เกิดจาก water-soluble quarternary base ซึ่งมีฤทธิ์เหมือน curare จากการตรวจหาสูตรองค์ประกอบสรุปได้ว่า water-soluble quarternary base นี้บางทีอาจอยู่ในจำพวก aporphine alkaloids
การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา พิษฉับพลัน รวมทั้งครึ่งหนึ่งเรื้อรังของย่านาง 
          เล่าเรียนพิษฉับพลันของสารสกัดน้ำจากทุกส่วนของย่านาง โดยการป้อนสารสกัด ในหนูเพศผู้ รวมทั้งเพศภรรยา จำพวกละ 5 ตัว ในขนาด  5,000 mg/kg เพียงแต่ครั้งเดียว พบว่าไม่มีอาการแสดงของภาวะเป็นพิษเกิดขึ้น และ  ไม่มีการแสดงพฤติกรรมที่ไม่ดีเหมือนปกติ รวมถึงไม่มีการถึงแก่กรรม หรือการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อด้านใน สารสกัดใบย่านางด้วยแอลกอฮอล์จำนวนร้อยละ 50 ฉีดเข้าไปใต้ผิวหนังของหนู จำนวน 10 กรัม ต่อน้ำหนักตัวของหนู 1 กิโลกรัม (คิดเป็นจำนวน 6,250 เท่าของจำนวนที่คนได้รับ) ไม่แสดงความเป็นพิษ   การเรียนพิษเรื้องรัง ทดลองโดยป้อนสารสกัดแก่หนูทดลอง เพศผู้ แล้วก็เพศเมีย ชนิดละ 10 ตัว ทุกวี่วัน ในขนาดความเข้มข้น 300, 600 และก็ 1,200 mg/kg ติดต่อกันนาน 90 วัน   ไม่พบความไม่ดีเหมือนปกติทางด้านความประพฤติปฏิบัติ รวมทั้งสุขภาพ หนูในกลุ่มทดลอง และก็กรุ๊ปควบคุม จะมีการทดสอบในวันที่ 90 และก็ 118 โดยตรวจร่างกาย รวมทั้งมีกลุ่มที่ติดตามผลต่อไปอีก 118 วัน ผลของการทสอบพบว่า น้ำหนักของอวัยวะ ค่าชีวเคมีในเลือด รวมทั้งเยื่ออวัยวะภายใน ไม่พบการเกิดพิษ  ผลการค้นคว้าชี้ให้เห็นว่า สารสกัดย่านางด้วยน้ำ ไม่ทำให้เกิดพิษกระทันหัน แล้วก็พิษครึ่งเรื้อรังในหนูทดลอง ทั้งยังในหนูเพศผู้ และก็เพศเมีย
คำแนะนำ/ข้อควรตรึกตรอง

  • เมื่อทำน้ำย่านางเสร็จแล้วควรจะดื่มโดยทันที ด้วยเหตุว่าหากทิ้งไว้นานเหลือเกินจะเกิดกลิ่นเหม็นเปรี้ยวหรือเกิดการบูดขึ้นได้ แต่ว่าสามารถเอามาแช่ตู้เย็นได้ แล้วก็ควรดื่มให้หมดภายใน 3 วัน
  • ในการกินน้ำย่านาง ควรดื่มก่อนรับประทานอาหารหรือตอนท้องว่างราวครึ่งแก้ว 3 ครั้งต่อวัน
  • บางบุคคลที่รู้สึกว่าน้ำย่านาง เหม็นเขียว กินยากสามารถนำน้ำย่านางไปต้มให้เดือดแล้วเอามาดื่มหรือจะผสมกับน้ำสมุนไพรชนิดอื่นๆก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น ขิง ตะไคร้ ขมิ้น หรือจะผสมกับน้ำมะพร้าว น้ำมะนาว น้ำตาล หรือแม้กระทั้งน้ำหวานก็ได้เหมือนกัน
  • ควรจะดื่มจำนวนแต่ว่าพอดี แม้ดื่มแล้วรู้สึกแพ้ คลื่นเหียน ก็ควรลดความเข้มข้นของสมุนไพรที่ใส่ลงไปให้น้อยลง
เอกสารอ้างอิง

  • Dechatiwongse T, Kanchanapee P, Nishimoto K. Isolation of active principle from Ya-nang (Tiliacora triandra Diels). Bull Dept Med Sci. 1974;16(2):75-81.
  • อัจฉราภรณ์  ดวงใจ , นันทีทิพ ลิ้มเพียรชอบ, ขนิษฐพร  ไตรศรัทธ์ .คุณสมบัติคลอเรสเตอรอลของสารสกัดใบย่านางในเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่เลี้ยงต่อเนื่อง Caco-2.คอลัมน์บทความวิจัย.วารสารนเรศวรพะเยา.ปีที่8.ฉบับที่2.พฤษภาคม-สิงหาคม 2558.หน้า87-92
  • รศ.ดร.กรณ์กาญจน์ ภมรประวัติธนะ.มหัศจรรย์ย่านาง จากซุปหน่อไม้ถึงเครื่องดื่มสุขภาพ.คอลัมน์บทความพิเศษ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่370.กุมภาพันธ์.2553
  • Sireeratawong S, Lertprasertsuke N, Srisawat U, Thuppia A, Ngamjariyawat A, Suwanlikhid N, et al. Acute and subchronic toxicity study of the water extract from Tiliacora triandra (Colebr.) Diels in rats. Sonklanakarin J Sci and Technol. 2008;30(5):611-619.
  • ย่านาง...อาหารที่เป็นยา.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Pavanand K, Webster HK, Yongvanitchit K, Dechatiwongse T. Antimalarial activity of Tiliacora triandra Diels against Plasmodium falciparum in vitro. Phytotherapy Research. 1989;3(5):215-217.
  • ย่านาง.ฐานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์.มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
  • ชุตินันท์ ประสิทธิ์ภูริปรีชา.เอกชัย ดำเกลี้ยง,พยุงศักดิ์ สุรินต๊ะ , วสันต์ ดีล้ำ, ฤทธิ์ปรับ ภูมิคึ้มกัน ต้านออกซิเดชั่น และต้านจุลชีพของสารสกัดผักพื้นบ้านและสมุนไพรอีสาน,

17

ยอ
ชื่อสมุนไพร  ยอ
ชื่ออื่น/ขื่อเขตแดน  ยอบ้าน (ภาคกลาง) , มะตาเสื่อ (ภาคเหนือ) , แยใหญ่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) , Noni (ฮาวาย) , Meng kudu (มาเลเซีย) , Ach (ฮินดู)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Morinda citrifolia
ชื่อสามัญ  Indian mulberry
สกุล  Rubiaceae
บ้านเกิดเมืองนอน   ลูกยอ Morinda citrifolia เป็นผลไม้เขตร้อนพบได้บ่อยบันทึกว่ามีการกินลูกยอเป็นอาหารมานานกว่า 2000 ปี แล้ว โดยยอเป็นพืชพื้นเมืองในแถบโพลีนีเซียตอนใต้ (Polynesia) และได้แพร่ไปไปต่างประเทศโดยมีตำนานว่า คนในสมัยโบราณ (ที่ปัจจุบันนี้เรียกกันว่าขาว เฟร้นซ์ โพลินีเซีย (French Polynesia) ซึ่งอยู่ในแถบตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก พวกเขาได้เดินทางจากเกาะหนึ่งไปยังอีกเกาะหนึ่งโดยเรือแคนูรวมทั้งได้นำพืชศักดิ์สิทธิ์จากหมู่เกาะเดิมของพวกเขามาด้วย พืชนั้นเป็นอาหารขึ้นฐานรากที่เสริมสร้างส่วนต่างๆของร่างกายและก็เพื่อเป็นยารักษาโรค ซึ่งใช้ตกทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ คนสมัยก่อนรุ่นแล้วรุ่นเล่า ได้ช่วยเหลือกันบันทึกรวมทั้งจดจำต่อมายังลูกหลานว่าผลของต้นโนนิช่วยบำบัดลักษณะของการป่วยเบื้องต้นได้ โดยชาวโพลิเนเซียน ชาวจีน คนประเทศอินเดีย รู้จักใช้ประโยชน์จากลูกยอมานานแล้ว ส่วนการแพร่ไปชนิดของยอนั้นเป็นผลมาจากถูกนำประจำตัวเข้าไปยังหมู่เกาะแปซิฟิกตอนใต้ โดยบรรดาผู้หลบภัย และมันสามารถเจริญงอกงามเจริญในดินภูเขาไฟที่ไร้มลภาวะ รวมทั้งมีการแพรกระจายประเภทไปยังดินแดนใกล้เคียง
แม้กระนั้นอีกตำราหนึ่งบอกว่าเป็นไม้ประจำถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้กระนั้นมีผู้น าไปแพร่พันธุ์จนกระทั่งกระจัดกระจายไปทั่วอินเดีย และก็ตามหมู่เกาะต่างๆในห้วงสมุทรแปซิฟิครวมทั้งหมู่เกาะอินดัสตะวันตก ต้นยอขึ้นได้ในป่าทึบหรือตามชายฝั่งทะเลที่เป็นโขดเขาหรือพื้นทราย ต้นโตเต็มที่เมื่ออายุครบ 18 เดือน แล้วก็จะให้ผล
ซึ่งในขณะนี้พืชชนิดนี้เป็นที่รู้จักกันทั่วทั้งโลก ในประเทศไทยรู้จักกันในชื่อ “ยอ” ในประเทศมาเลเซียรู้จักกันในชื่อ “เมอกาดู” (Mergadu) ในเอเชียได้เรียกว่า “นเฮา” (Nhau) แถบหมู่เกาะตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิกเรียกกันว่า “โนนู” รวมทั้งในเกาะซามัว ทองกา ราราทองกา ตาฮิติ เรียกกันว่า “โนโน” หรือว่า “โนนิ”
ลักษณะทั่วไป
ลำต้น ยอเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีความสูงราว 2-6 เมตร ลำต้นมีขนาดเล็ก ขนาดโตเต็มกำลัง 5-10 เซนติเมตร ขึ้นกับอายุ แล้วก็ความอุดมสมบูรณ์ของดิน เปลือกลำต้นบางติดกับเนื้อไม้ ผิวเปลือกออกสีเหลืองนวลแกมขาว หยาบคายสากน้อย แตกกิ่งน้อย 3-5 กิ่ง ทำให้ดูไม่เป็นทรงพุ่ม
ใบ ใบเป็นใบผู้เดียว (simple leaf) แทงออกตรงกันข้ามกันซ้ายขวา มีทรงรี หรือขอบขนาน ใบกว้างโดยประมาณ 10-20 ซม. ยาวราวๆ 15-30 ซม. ใบอ่อนสีเขียวสด เมื่ออายุใบมากมายจะมีสีเขียวเข้ม ก้านใบยาวราว 1 เซนติเมตร โคนใบ รวมทั้งปลายใบมีลักษณะแหลม ขอบของใบ และผิวใบเป็นคลื่น ผิวใบมันเกลี้ยงทั้งคู่ด้าน ข้างบนใบพบมากเป็นตุ่มที่เกิดขึ้นจากแบคทีเรีย
ดอก  ดอกออกเป็นช่อกลมคนเดียวๆสีขาว รูปทรงราวกับหลอด ดอกแทงออกตามง่ามใบ ก้านช่อดอกยาวราว 3-4 ซม. ไม่มีก้านดอกย่อย จัดเป็นดอกบริบูรณ์เพศที่มีเกสรตัวผู้ และก็เกสรตัวเมีย กลีบรองดอก และก็โคนกลีบเชื่อมติดกัน กลีบดอกมีสีขาว เป็นรูปท่อ ยาวประมาณ 8-12 มม. ผิวดอกข้างนอกเรียบ ภายในมีขน ดอกส่วนครึ่งปลายบนแยกเป็น 4-5 แฉก ยาวราว 4-5 มม. เกสรตัวผู้ รวมทั้งเกสรตัวเมีย ยาวประมาณ 15 มิลลิเมตร แยกเป็น 2 แฉก อับเรณูยาวประมาณ 3 มม.
ผล  ผลเป็นประเภทผลบวก (multiple fruit) เช่นเดียวกับน้อยหน่า แล้วก็ขนุน เชื่อมติดกันสำเร็จใหญ่ดังที่พวกเราเรียกผลหรือหมาก ขนาดผลกว้างราว 3-5 เซนติเมตร ยาว 3-10 ซม. ผิวเรียบเป็นตุ่มพอง ผลอ่อนจะมีสีเขียวสด เมื่อแก่จะมีสีเหลืองอมเขียว และก็เมื่อสุกจะมีสีเหลือง แล้วก็เปลี่ยนเป็นสีขาวจนถึงเน่าตามอายุผล เม็ดในผลมีจำนวนไม่ใช่น้อย เม็ดมีลักษณะแบน ข้างในเมล็ดเป็นถุงอากาศทำให้ลอยน้ำได้ ผิวเมล็ดมีสีนํ้าตาลเข้ม
                ยิ่งกว่านั้นยังสามารถแบ่งสายพันธุ์ของยอได้อีกดังต่อไปนี้

  • M. citrifolia var. citrifolia เป็นสายพันธุ์ที่มีผลหลายขนาด เจอได้บริเวณหมู่เกาะในห้วงสมุทรแปซิฟิก ดังเช่นว่า ฮาวาย ตาฮิติ เป็นต้น
  • M. citrifolia var. bracteata เป็นสายพันธุ์ที่มีผลเล็ก พบมากในทวีปเอเชีย อย่างเช่น ไทย เมียนมาร์ ลาว จีนตอนใต้ เวียดนาม มาเลียเชีย อินโดนีเซีย อินเดีย รวมทั้งหมู่เกาะในห้วงสมุทรแปซิฟิก
  • M. citrifolia cultivar potteri เป็นสายพันธุ์ที่ใบมีทั้งยังสีเขียว และก็สีขาว เจอทั่วไปรอบๆหมู่เกาะในห้วงสมุทรแปซิฟิค
การขยายพันธุ์การปลูก
ยอนิยมปลูกด้วยการเพาะเม็ด แต่สามารถขายพันธุ์ด้วยวิธีอื่นได้เช่นกัน อย่างเช่น การปักชำ การตอน แต่ว่าการเพาะเม็ดจะได้ผลที่ดีมากกว่ารวมทั้งอัตราการรอดจะสูงกว่าแนวทางอื่น โดยการเพาะเม็ดจะใช้วิธีการบีบแยกเมล็ดออกมาจากผลสุก แล้วล้างด้วยน้ำ แล้วก็กรองเมล็ดออก ผลที่ใช้ควรจะเป็นผลสุกจัดที่หล่นจากต้นที่มีสีขาว เนื้อผลอ่อนนิ่ม ซึ่งจะได้เมล็ดที่มีสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม  เม็ดที่ได้จำเป็นต้องนำไปตากแห้ง 3-5 วันก่อน  แล้วก็นำมาเพาะในถุงเพาะชำให้มีต้นสูงราวๆ 30 เซนติเมตร ก่อนนำลงปลูก
ต้นยอเป็นพันธุ์พืชที่ดูแลไม่ยากไม่ค่อยมีแมลงศัตรูพืช หรือโรคพืชมากมาย แล้วก็ยังเป็นพืชที่ทนต่อภาวะดินเค็มและก็สภาวะแห้งอีกด้วย ก็เลยทำให้มีการแพร่กระจายประเภทอย่างรวดเร็วองค์ประกอบทางเคมี สาระสำคัญที่เป็นองค์ประกอบในยอ ในส่วนของ  ผล ใบ แล้วก็ราก มีหลากหลายประเภท ยกตัวอย่างเช่น scopoletin , octoanoic acid , potassium , vitamin C , terpenoids , Asperuloside , Proxyronine สารในกรุ๊ป anthraquinones ตัวอย่างเช่น anthraquinone glycoside , morindone รวมทั้ง rubiadin รวมทั้ง      flavonoids, triterpenoids, triterpenes, saponins, carotenoids, vitamin E                                    นอกจากนี้ยังมี  vitamin A , amino acid , ursolic acid , carotene และ  linoleic acid ซึ่งสารเหล่านี้สารประเภทได้มีการทดสอบคุณลักษณะของสารแล้วว่ามีผลที่สามารถประยุกต์ใช้ทางด้านการแพทย์ได้ ยิ่งไปกว่านี้ยังพบสารจำพวกใหม่ที่ชื่อว่า flavone glycoside แล้วก็ iridoid glycoside ในใบยอขึ้นรถทั้งคู่ส่งผลยังยั้ง cell transformation ของ mouse epidermal JB6 cell line
คุณประโยชน์/คุณประโยชน์
ประโยชน์ซึ่งมาจากยอนั้นมีในด้านการนำไป บริโภคเป็นของกินและการนำมาใช้เป็นยาสมุนไพร ในร้านของ        Asperulosideการนำมาบริโภคนั้น   มีเยอะมากหลายแบบอย่างดังต่อไปนี้ มีการ
 บริโภคผลยอกันมาก ทั้งดิบๆหรือแต่ง ได้แก่ บางหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิค กินผลยอเป็นอาหารหลัก ส่วนชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งคนท้องถิ้นประเทศออสเตรเลียรับประทานผลยอดิบจิ้มเกลือ หรือปรุงกับผงกะหรี่ และใช้เมล็ดของยอคั่วกินได้
ส่วนในประเทศไทยนั้นบริโภคยอโดย ลูกยอสุก  นำมาจิ้มรับประทานกับเกลือหรือกะปิ ลูกห่ามใช้ทำส้มตำ ใบอ่อน นำมาลวกรับประทานกับน้ำพริก ใช้ทำแกงจืด แกงอ่อม ผัดไฟแดง หรือนำมาใช้รองกระทงห่อหมก แล้วก็ในขณะนี้มีการนำลูกไปแปรรูปโดยคั้นเป็น น้ำลูกยอ โดยเชื้อกันว่ามีคุณประโยชน์ ทางด้านค่าของอาหารที่มี วิตามินซี วิตามินเอ และธาตุโปแตสเซียมสูง ยิ่งไปกว่านั้นจะมีลักษณะเหมือนผักผลไม้เยอะมากๆเนื่องจากว่ามีสารแอนติออกซิแดนท์หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งนับว่าช่วยชะลอการแก่ของเซลล์ และก็ต้านทานโรคมะเร็ง  ได้
                ส่วนในด้านการนำมาใช้เป็นสมุนไพรนั้น ยอได้ถูกบอกว่ามีคุณประโยชน์ทางยา ดังต่อไปนี้  แบบเรียนยาไทย: ผลมีรสเผ็ดร้อน ช่วยขับลมในลำไส้ ขับผายลม บำรุงธาตุ ทำให้เจริญอาหาร ผสมในยาแก้สะอึก อมแก้เหงือกยุ่ย เหงือกบวม ขับรอบเดือนเสีย ขับเลือดลม ฟอกโลหิต ขับน้ำคร่ำ แก้เสียงแหบ แก้ตัวเย็น แก้ร้อนในอก แก้กษัย แก้อาเจียน  โดยเอามาหมกไฟหรือต้มกับน้ำกิน หรือเอามาจิ้มกับน้ำผึ้งทาน หนังสือเรียนสรรพคุณยาไทยกล่าวว่าผลอ่อนกินเป็นยาแก้คลื่นเหียนอาเจียน ผลสุกงอมเป็นยาขับประจำเดือนสตรี ผลดิบเผาเป็นถ่านผสมเกลือเล็กน้อย อมแก้เหงือกเปื่อยเป็นขุมบวม หั่นปิ้งไฟเพียงพอเหลืองทำกระสายยา เมล็ดเป็นยาระบาย
           ตำรายาไทยมีการใช้ ผลยอ ใน”พิกัดตรีผลสมุฎฐาน” เป็นการจำกัดปริมาณตัวยาที่ส่งผลเป็นที่ตั้ง 3 อย่าง ส่งผลมะตูม ผลยอ ผลผักชีลา คุณประโยชน์แก้สมุฎฐานแห่งตรีทูต ขับลมต่างๆแก้โรคไตพิการ ส่วนอีกตำราหนึ่งระบุว่าคุณประโยชน์ของส่วนต่างๆของยอไว้ดังต่อไปนี้
                ราก คุณประโยชน์เป็นยาระบาย แก้ท้องผูก ใบยอ รสขมขื่น สรรพคุณบำรุงธาตุ แก้ไข้ ฆ่าเหา ปวดข้อ คั้นน้ำทา แก้โรคเกาต์ แก้ท้องร่วงในเด็ก แก้เหงือกบวม คั้นน้ำทาแก้แผลเรื้อรัง แก้กษัย ผสมยาอื่นแก้วัณโรค ผลดิบหรือแก่ รสเผ็ด คุณประโยชน์ขับลม บำรุงธาตุ เจริญอาหาร ขับเลือด เมนส์ของสตรี ฟอกโลหิต แก้คลื่นเหียนอาเจียน ผสมยาแก้สะอึก อมแก้เหงือกยุ่ย แก้เสียงแหบ แก้ร้อนในอก ผลสุก ของยาม้าน มีกลิ่นแรง คุณประโยชน์ผายลมในลำไส้ ต้น ใช้เป็นส่วนผสมกับสมุนไพรอื่นเป็นยารักษาวัณโรค ดอก เป็นส่วนประกอบของสมุนไพรตัวอื่นเป็นยารักษาวัณโรค
แบบอย่าง/ขนาดวิธีการใช้
แก้อาเจียนที่เกิดจากธาตุไม่ปกติ           ใช้ผลดิบหรือห่าม(ยังไม่สุก) ฝานเป็นชิ้นบางๆย่าง  หรือคั่วไฟอ่อนๆให้เหลือง  ใช้ทีละ  2  กำมือ  น้ำหนักประมาณ  10-15  กรัม  ต้มหรือชงน้ำจิบแต่ว่าน้ำเสมอๆระหว่างที่มีลักษณะ  ถ้าเกิดดื่มทีละมากมายๆจะมีผลให้อาเจียน
ใบสดใช้ต้มน้ำหรือนำมาบดตากแห้งชงเป็นชาดื่ม รวมทั้งใส่แคปซูลรับประทาน ช่วยแก้กระษัย  แก้ปวดเมื่อยตามข้อมือข้อเท้า แก้ท้องเสีย ลดไข้ แก้ไอ ขับเสมหะ แก้จุกเสียดแน่นท้อง แก้โรคเบาหวาน คุ้มครองป้องกันโรคในระบบหัวใจ และเส้นโลหิต แก้โรคมะเร็ง
ดอกใช้ต้มน้ำหรือนำมาตากแห้งชงเป็นชาดื่ม แก้วัณโรค โรคเบาหวาน คุ้มครองปกป้องโรคหัวใจ แล้วก็หลอดเลือด ต้านทานโรคมะเร็ง
เนื้อผลมีรสเผ็ดร้อน มีสารออกฤทธิ์เป็น asperuloside ใช้แก้คลื่นไส้ ช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร และก็ไส้ ช่วยขับเมนส์ แก้รอบเดือนมาเปลี่ยนไปจากปกติ ช่วยลดไข้ แก้ไอ ขับเสลด
รากเอามาต้มหรือดองเหล้ารับประทานเป็นยาระบาย แก้กษัย ช่วยเจริญอาหาร ปกป้องโรคมะเร็ง โรคในระบบหัวใจ รวมทั้งเส้นโลหิต
ไอระเหยจากลูกยอ ใช้รักษากุ้งยิง ลูกยอดิบ ใช้รักษาอาการเจ็บ หรือแผลตกสะเก็ดรอบปากหรือด้านในปาก ลูกยอสุก ใช้กิน ลูกยอบดละเอียดใช้บ้วนปากแก้คอเจ็บ ใช้ทาเท้าแก้เท้าแตก ใช้ทาผิวฆ่าเชื้อโรค หรือกินเพื่อฆ่าพยาธิภายในร่างกาย
ช่วยรักษาโรคกรดไหลย้อน ด้วยการทำเป็นเครื่องดื่ม ใช้คู่กับหัวหญ้าแห้วหมู สิ่งแรกให้เลือกลูกยอห่าม เอามาหั่นเป็นแว่นๆไม่บางหรือหนาจนถึงเกินไป แล้วก็ค่อยนำไปย่างไฟอ่อนๆโดยย่างให้เหลืองกรอบ สำหรับหญ้าแห้วหมูให้เอาท่อนหัวใต้ดินที่เราเรียกว่าหัวหญ้าแห้วหมู นำไปคั่วให้เหลืองและมีกลิ่นหอมยวนใจ เมื่อเสร็จแล้วให้ตั้งไฟต้มน้ำจนกระทั่งเดือดแล้วเอาตัวยาทั้งสองประเภทลงไปต้มพร้อม ใส่น้ำตาลกรวดพอเพียงหวาน ทิ้งเอาไว้สักพักแล้วยกลงจากเตา รอคอยกระทั่งอุ่นแล้วนำมากิน ที่เหลือให้กรองเอาแต่น้ำแช่เอาไว้ภายในตู้แช่เย็นและหลังจากนั้นก็ค่อยอุ่นรับประทาน ให้ดื่มต่อเนื่องกัน 1 อาทิตย์ช่วยแก้อาการเจ็บคอ ด้วยการใช้ลูกยอดิบนำไปเผาไฟให้สุกรวมทั้งแช่ในน้ำต้มสุก แล้วรินเอาแต่น้ำกินเพื่อบรรเทาอาการ
วิธีการใช้ยอรักษาอาการอ้วก   ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขพื้นฐาน)                 นำผลยอดิบที่โตเต็มที่แล้วมาฝานเป็นแผ่นบางๆหลังจากนั้นเอามาตากแห้ง แล้วคั่วในกระทะบนไฟอบอวลๆให้แห้งเกรียม นำมาบดเป็นผง แล้วก็ใช้ผงมาราว 20 กรัม ชงกับน้ำเดือดใหม่ๆ1 ลิตร แช่ทิ้งเอาไว้ราวๆ 15 นาที กรองมัวแต่น้ำใส่กระติกที่มีไว้ใส่น้ำร้อนไว้ จิบน้ำยาประมาณ 30 มิลลิลิตร ทุก 2 ชั่วโมง เวลาอาเจียน อ้วก
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่เกี่ยวกับแก้อ้วก อาเจียน การศึกษาเล่าเรียนการใช้น้ำผลยอสำหรับการระงับคลื่นไส้ โดยเปรียบเทียบกับยา metoclopramide ซึ่งเป็นยาแก้อ้วก แล้วก็น้ำชาซึ่งใช้ในกรุ๊ปควบคุม ในคนไข้มาลาเรีย 92 ราย ที่มีลักษณะอาการอาเจียนคลื่นไส้ ชาย 68 ราย หญิง 24 ราย อายุระหว่าง 15 -55 ปี แบ่งเป็นกลุ่มใช้น้ำผลยอ 30 มล. กินทุก 2 ชั่วโมง กรุ๊ปที่ 2 กินชา 30 มิลลิลิตร ทุก 2 ชั่วโมง รวมทั้งกลุ่มที่ 3 ใช้ยา metoclopramide 1 เม็ด (5 มก.) เวลามีลักษณะคลื่นไส้อาเจียนทุก 4 ชั่วโมง จดบันทึกปริมาณครั้งการอาเจียนก่อนและก็หลังการให้ยาทุกราย จากการศึกษาเล่าเรียนพบว่าค่าเฉลี่ยจำนวนครั้งการอ้วกก่อนให้ยาทั้ง 3 กรุ๊ป มีค่าไม่ได้ต่างอะไรกัน แต่ว่าจำนวนการอ้วกกลุ่มที่ใช้ยา metoclopramide มีน้อยที่สุดรองลงมาคือยอ และชามีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด หมายความว่ายอลดอาการคลื่นไส้ได้มากกว่าน้ำชา
เมื่อเรียนรู้กลไกการออกฤทธิ์พบว่าผลยอมีฤทธิ์ต้านทาน dopamine อย่างอ่อน  สารสกัดน้ำของผลยอสามารถรีบการบีบตัวของลำไส้เล็กในหนูเม้าส์ที่ได้ถูกกระตุ้นให้อาเจียนด้วย  apomorphine แต่ไม่อาจจะต้านฤทธิ์ของ apomorphine สำหรับในการลดการบีบตัวของกระเพาะได้
ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย (Antibacterial activity) มีรายงานว่าสาร acubin L-asperuloside และก็ alizarin ในผลลูกยอเป็น antibacterial agent สามารถปกป้องการตำหนิดเชื้อแบคทีเรียต่างๆได้ เป็นต้นว่า Pseudomonas aeruginosa Proteus morgaii S Staphylococcus aureus Bacillus subtilis Escherichia coil Salmonella และก็ Shigella
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อไวรัส (Antitviral activity) มีรายงานการค้นพบสารประเภทหนึ่งจากรากของต้นยอชื่อว่า 1-methoxy-2-formyl-3-hydroxy anthraquinone ซึ่งมีฤทธิ์ในการยังยั้งการเกิด cytopathic effect ของเชื้อ HIV ต่อการ infect MT4 cell โดยไม่มีการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อวัณโรค (Antitubercular effects) มีการรายงานพบว่าลูกยอสามารถกำจัดการต่อว่าดเชื้อวัณโรคได้ถึง 97% เปรียบเทียบกับยา antibiotic ได้แก่ Rifampcin
ฤทธิ์ยับยั้งความปวด (Analgesic activity) มีแถลงการณ์ว่าสารสกัดจากรากยอมีฤทธิ์ยับยั้งปวดในสัตว์ทดสอบ และผลที่เกิดจากการวิจัย โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.ทัศนีย์ ปัญจานนท์ พบว่าสารสกัดจากผลยอไทยมีฤทธิ์ระงับปวดในสัตว์ทดสอบ

การเรียนทางพิษวิทยา
การทดสอบความเป็นพิษ  สารสกัดเอทานอลกับน้ำ (1:1) จากส่วนเหนือดินฉีดเข้าทางช่องท้องหนูพบว่า ค่า LD50 พอๆกับ 0.75 กรัม/กก. สารสกัดเมทานอลกับน้ำจากผลฉีดเข้าทางท้องหนูเพศผู้พบว่า ค่า LD50 มีค่ามากยิ่งกว่า 1 กรัม/กก.น้ำหนักตัว ส่วนอีกการทดลองพบว่า สารสกัดเอทานอลกับน้ำ (1:1) จากส่วนเหนือดินขนาด 10 ก./กิโลกรัม ให้ทางสายยางสู่กระเพาะหนูหรือฉีดเข้าใต้ผิวหนังไม่แสดงความเป็นพิษ
การทดลองพิษกึ่งเรื้อรังในหนูแรทโดยป้อนสารสกัดจากผลยอ ไม่พบความผิดแปลกอะไรก็ตามในค่าตรวจทางชีวเคมีในเลือด แล้วก็ค่าตรวจทางเลือดวิทยา นอกจากนี้การทดสอบความเป็นพิษโดยใช้สารสกัดด้วยน้ำจากผลยอแห้ง ก็ไม่เจอความเป็นพิษทั้งยังแบบทันควันรวมทั้งแบบเรื้อรัง
พิษต่อเซลล์  น้ำคั้นจากผลขนาด 6.25 มก./มล.ทดลองในเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่ามีความเป็นพิษต่อเซลส์ CAa-IIC ขณะที่สารสกัดเม-ทานอลจากใบ ทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยง ไม่เจอความเป็นพิษต่อเซลล์ CFI IS-RA II สารสกัดคลอโรฟอร์มแล้วก็น้ำจากรากทดลองในเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่ามีผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเซลล์ ในตอนที่สารสกัดเฮกเซนและเมทานอลจากรากไม่มีผลต่อความเคลื่อนไหวรูปร่างของเซลล์
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์จากผลไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ เมื่อทดลองใน Bacillus subtilis
ข้อเสนอแนะ/ข้อพึงระวัง

  • สารโพรซีโรนินที่พบในน้ำลูกยอ อยากน้ำย่อยเปปสิน (Pepsin) และก็ภาวะความเป็นกรดในกระเพาะ เพื่อเปลี่ยนเป็นซีโรนิน โดยเหตุนี้ ถ้าเกิดกินน้ำลูกยอในช่วงเวลาที่ท้องอิ่มแล้วจะมีผลให้มีผลทาเภสัชของสารซีโรนินลดลง
  • คุณประโยชน์ และก็คุณประโยชน์น้ำลูกยอจะลดลงเมื่อรับประทานร่วมกับแอลกอฮอล์
  • การบดหรือการสกัดน้ำลูกยอไม่สมควรกระทำให้เมล็ดยอแตก เพราะเหตุว่าสารในเม็ดยอมีฤทธิ์เป็นยาระบายอาจส่งผลให้ถ่ายหลายครั้งได้
  • ผู้เจ็บป่วยโรคไตไม่ควรดื่มน้ำลูกยอ ด้วยเหตุว่ามีเกลือโปแตสเซียมสูง อาจจะทำให้เกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้
  • สตรีตั้งครรภ์ไม่ควรบริโภคลูกยอ เพราะผลยอมีฤทธิ์ขับเลือด อาจจะเป็นผลให้แท้งลูกได้
เอกสารอ้างอิง

  • มากคุณค่าน้ำลูกยอ.สภาภรณ์ ปิติพร.2545.
  • อัญชลี จูฑะพุทธิ  ปุณฑริกา ณ พัทลุง  อุไรวรรณ เพิ่มพิพัฒน์  เย็นจิตร เตชะดำรงสิน.  การศึกษาฤทธิ์ต้านอาเจียนของผลยอ. ไทยเภสัชสาร 2539;20(3):195-202.
  • ผลของใบยอและฟ้าทะลายโจรต่อการเปลี่ยนแปลงสีและอัตราการจับกินเชื้อโรคของเม็ดเลือดขาวในปลาทอง (Carasius auratus.) ชฎาธาร โทนเดียว,2527.
  • วิชัย เอกพลากร  สำรวย ทรัพย์เจริญ ประทุมวรรณ์  แก้วโกมล และคณะ.  การศึกษาทางคลินิกของผลยอในการระงับอาการอาเจียน.  รายงานการวิจัยโครงการสมุนไพรกับการสาธารณสุขมูลฐาน สำนักงานคณะกรรมการการสาธารณสุขมูลฐาน  กระทรวงสาธารณสุข.
  • ยอ.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คระเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ลูกยอ/ใบยอ น้ำลูกยอและสรรพคุณยอ.พืชเกษตรดอทคอม
  • ยอ.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี http://www.disthai.com/
  • ยอ.สมุนไพรไทยสรรพคุณสารพัดที่หลายคนมองข้าม.ศูนย์ปฏิบัติการช่างเกษตร สำนักงานเกษตรจังหวัดนราธิวาส
  • ยอ.สมุนไพรที่มีการใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • สุทธิพันธ์ สาระสมบัติ. การพัฒนายาเพิ่มภูมิคุ้มกันจากสมุนไพร: ยอบ้าน (Morinda citrifolia L.). รายงานการวิจัยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, 2546.
  • Khurana H, Junkrut M, Punjanon T. Analgesic activity and genotoxicity of Morinda citrifolia.  Thai J Pharmacol 2003;25(1):86.
  • Mokkhasmit M, Swatdimongkol K, Satrawaha P.  Study on toxicity of Thai medicinal plants.  Bull Dept Med Sci 1971;122/4:36-65.
  • Charoenpiriya A, Phivthong-ngam L, Srichairat S, Chaichantipyuth C, Niwattisaiwong N, Lawanprasert S. Subacute effects of Morinda citrifolia fruit extract on hepatic cytochrome P450 and clinical blood chemistry in rats.  Thai J Pharm Sci 2003;27(suppl):69.
  • Hiramatsu T,Imoto M,Koyano T, Umezawa K.  Induction of normal phenotypes in ras-  transformed cell by damnacanthal from Morinda citrifolia.  Cancer Lett 1993;73(2/3):161-6.
  • Dhawan BN,Patnalk GK, Rastogi RP, et al.  Screening of Indian plant for biological activity. VI.  Indian J Exp Biol 1977;15:208-19.
  • Hirazumi A, Furusawa E.  An immunomodulatory polysacharide-rich substance from the fruit juice of Morinda citrifolia (Noni) with antitomour activity.  Phytother Res 1999;135:380-7.
  • Nakahishi K, Sasaki SI, Kiang AK, et al.  Phytochemical survey of Malaysian plant preliminary chemical and phramacological screening.  Chem Pharm Bull 1965;137:882-90.
  • Murakami A, Kondo A, Nahamura Y, Ohigashi H, Koshimizu K.  Possible anti-tumor promoting properties of edible plants from Thailand and identification of an active constituent, cardamomin, of Boesenbergia pandurata.  Biosci Biotech Biochem 1993;57(11):1971-3.



Tags :

18

เห็ดหลินจือ
สมุนไพร เพื่อนๆบางคนอาจสงสัยว่าโรคตับที่เห็ดหลินจือรักษาได้นี่หมายถึงโรคอะไรกันแน่ใช่ไหม โรคตับเป็นทองคำกว้างๆที่รวมโรคหลายอย่างเกี่ยวกับตับ เช่นตับแข็ง มะเร็งในตับ และไวรัสตับเป็นทองคำกวางๆที่รวมหลายอย่างเกี่ยวกับตับ เช่น ตับแข็ง มะเร็งในตับ และไวรัสตับอักเสบบี ก็ล้วนโรคตับทั้งสิ้น
ผลการวิจัยพบว่า เห็ดหลินจือ มีสารสามารถยับยั้งมะเร็งไดและโดยไม่กระทบต่อเซลล์ปกติ สารดังกล่าวมีอยู่มากที่สปอร์ที่กะเทาะผนังหุ้มสปอร์แล้วนอกนี้ผลงานวิจัยจากกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยพบว่าเห็ดหลินจือมีสารกลุ่ม Polysaccharide ซึ่งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้ม และสารกลุ่ม Triterpenes (พบที่สปอร์ของเห็ดหลินจือ มากที่สุด ) ซึ่งกลุ่มหลังสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งได้ โดยสปอร์กะเทาะผนังหุ้มจะให้ผลดีกว่าแบบไม่กะเทาะมาก
อย่างไรก็ตามฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งของมะเร็งของสารสกัดเห็ดหลินจือที่กล่าวไปนั้น ยังคงเป็นเพียงผลการทดลองในหลอดทดลองเท่านั้น ขณะนี้คณะแพทย์ศาสตร์ของมหาลัยเชียงใหม่กำลังวิจัยผลที่มีต่อผู้ป่วยโรคมะเร็วจริงๆและคาดว่าผลการศึกษานี้คงจะตีแผ่ให้เพื่อนๆได้ทราบกันในเร็วๆนี้ค่ะ แต่ตอนนี้มีรายงานการศึกษาจากประเทศจีนพบว่า เห็ดหลินจือสามารถเสริมภูมิคุ้มกันได้จริงในผู้ป่วยมะเล็กลำไส้ใหญ่ ปอด และผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งขั้นลุกลาม โดยไม่มีผลข้างเคียงและสามารถใช้ได้ติดต่อกันเป็นเวลานานได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตามในประเทศไทย การใช้สมุนไพร เห็ดหลินจือในการรักษาโรคมะเร็งนั้นยังไม่ใช่ช่องทางหลักในการรักษา เน้นเรื่องเสริมภูมิต้านทานมากกว่า
ตอนนี้มีผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือขายมากมายตามท้องตลาด มีทั้งที่ผลิตในไทยและนำเข้าจากต่างประเทศ ถ้าเพื่อนๆอยากเลือกซื้อ ต้องดูให้ดี ว่าผลิตภัณฑ์ตัวนั้นมีที่มาและแหล่งผลิตน่าเชื่อถือหรือเปล่า มีการรับรองจาก อย. หรือไม่ และผลิตภัณฑ์ที่สามารถกันความชื้นได้ดีหรือป่าว
เห็ดหลินจือเป็นสมุนไพรที่มีสาระสำคัญหลายกลุ่มที่มีฤทธิ์รักษาหรือบรรเทาโรคตับได้ครอบคลุมหลายตับ กลุ่ม Triterpenoid สารกลุ่มนี้มีสารออกฤทธิ์หลักๆคือ Ganoderic acid ซึ่งช่วยเสริมการทำงานของเม็ดเลือดขาว ต้านสารพิษ และช่วยหยุดการเติบโตของมะเร็งตับ โปรตีน Lz-8 ช่วยรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบีและกลุ่ม Germanium ซึ่งเป็นอีกตัวที่ช่วยรักษามะเร็งตับ
มีงานวิจัยหลายชิ้นที่รายงานว่าเห็ดหลินจือสามารถรักษาโรคตับได้ และยังมีการจดสิทธิบัตรยาบำรุงตับตัวหนึ่งที่เกาหลีใต้ ซึ่งยาดังกล่าวมีส่วนประกอบของสารกาโนโดสเทอโรนในเห็ดหลินจืออีกด้วย
ถ้าไม่ได้เป็นโรคอะไรเกี่ยวกับตับแล้วจะยังทานเห็ดหลินจือได้หรือป่าว
คำตอบคือได้ เห็ดหลินไม่ได้รักษาโรคตับได้อย่างเดียว แต่ยังช่วยเสริมภูมิคุ้มกันลดน้ำตาลในเลือด ป้องกันโรคหัวใจ ได้อีกมามายตามที่เขียนไว้ในบทความเห็ดหลินจือรักษาโรคในเว็บไซต์นี้ หรือจะทานแบบถือคติ กันไว้ดีกว่าแก้ ก็ไม่ผิด
สมุนไพร โรคภูมิแพ้คือโรคที่ร่างกายแพ้สารบางอย่างที่คนทั่วไปไม่แสดงอาการแพ้ เป็นหนึ่งในโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดสนิทได้ ภูมิแพ้ไม่ใช่โรคติดต่อ แต่ถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรมในเด็กอายุ 5-15 จะพบโรคนี้ได้มากที่สุดเมื่อร่างกายแสดงอาการแพ้ เช่น การเกิดผื่นคันหรือตุ่มตามตัว เพราะฉะนั้นถ้าเรายับยั้งการกล

เมื่อร่างกายได้รับสารที่ทำให้เกิดการแพ้สักอย่างหนึ่ง ร่างกายจะหลั่งสาร Histamine ออก ซึ้งสารตัวนี้จะไปทำให้ร่างกายแสดงอาการแพ้ เช่น การเกิดผื่นคันหรือตุ่มตามตัว เพราะฉะนั้นถ้าเรายับยั้งการหลั่งสาร Histamine นี้ ก็จะทำให้ร่างกายไม่แสดงอาการแพ้ออกมา
ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ เพื่อนๆที่กำลังอ่านอยู่คงเข้าใจและเห็นด้วยกันทุกคนใช่ไหม แต่เพื่อนอาจกำลังสงสัยกันอยู่ว่า แล้วจะต้องทำยังไงไม่ให้ป่วยละ
คำตอบคือ เห็ดหลินจือทำให้ตัวเพื่อนเองมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงไง ซึ่งก็จะเป็นผลพวงจาการดูแลสุขภาพ แล้วเห็ดหลินจือจะมีผลยังเดี๋ยววันนี้จะค่อยไขความกระจ่าง
สมุนไพร ระบบภูมิคุ้มกันคือกลไกการกำจัดเชื้อโรค สารเคมีแปลกปลอม เซลล์มะเร็ง และสิ่งแปลกปลอมอื่ๆที่จะเข้ามาทำอัตรายต่อร่างกายเรานั้นเอง ดังนั้นถ้าเพื่อนๆมีระบบภูมิคุ้มกันดีก็จะไม่ป่วยง่าย หรือถ้าป่วยก็จะฟื้นเร็ว แต่ถ้าระบบภูมิคุ้มกันไม่ดีก็จะป่วยบ่อยและเป็นหนักกว่าคนที่มีระบบูมิคุ้มกันแข็งแรง มาถึวตรงนี้แล้วเพื่อนๆคงเห็นความสำคัญของการมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงกันแล้ว
คนจีนโบราณใช้เห็ดหลินจือมานานกว่า 2000 ปีแล้ว แต่ในสมัยนั้นยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าทำไมคนที่ทานเห็ดหลินจือถึงมีอายุยืนและแข็งแรงไม่ค่อยเป็นโรค ตอนนี้เราสมารถพิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าสารกลุ่ม Polysacchayide ในเห็ดหลินจือนั้นสามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเราได้จริง สารกลุ่มดังกล่าวสามารถกระตุ้นการสร้าง Interleukin และ Immuoglodulin ซึ่งส่งผลให้ระบบภูมคุ้มกันดีและแข็งแรงขึ้น
ระบบภูมิคุ้มกันที่ถูกเสริมด้วยสาร Polysaccharide ในเห็ดหลินจือจะสามารถต้านวรัส เซลล์มะเร็ง และจำกัดสารอนุมูลอิสระได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้คนที่ถูกผลข้างเคียงที่โดนยาต้านมะเร็งบางตัวและการทำคีโมกดภูมิคุ้มกันให้มีระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้นอีก และเห็ดหลินจือยังมีสารออกฤทธิ์ต้านการแบ่งตัวของเชื้อ HIV อีกด้วย ซึ่ง กลุ่มดังกล่าวคือกลุ่ม Bitter Triterpenoids

19

เห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือ รักษาโรคมะเร็ง
สมุนไพร เห็ดหลินจืออีกหนึ่งงานวิจัยที่ศึกษาเล่าเรียนเกี่ยวกับประสิทธิผลของสารโพลีแซ็คคาไรค์ในเห็ดหลินจือของผู้ในคนป่วยมะเร็งปอด จากการวิเคาะห์พบว่า สารดังที่กล่าวถึงแล้วมีส่วนในการยัยยั้งรูปแบบการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว
จากการศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยมาโกถึงประสิทธิผลทางการรักษาโรคมะเร็งของเห็ดหลินจืออาจส่งผลต่อการต้านการอักเสบในคนป่วยมะเร็งปอดบางราย แต่ว่ายังคงไม่มีหลักฐานทางด้านวิทยาศาสตร์หรือการทดสอบด้านการแพทย์ที่ให้ข้อมูลพอเพียงที่ส่งเสริมให้ใช้เห็ดหลินจือในการรักษาโรคมะเร็งอย่างเป็นทางการ
เมื่อพินิจพิจารณาเปรียบเทียบจากการรวบงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยที่เรียนรู้ประสิทธิผลของเพื่อรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ 373 คน แม้จะพบว่าคนเจ็บสนองตอบต่อการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัดรักษาเจริญขึ้นเมื่อรักษาร่วมกับการใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือ แต่เมื่อทดลองใช้เห็ดหลินจือเพียงอย่างเดียวกลับไม่มีประสิทธิผลในสำหรับเพื่อการทำให้มะเร็งลดขนาดลงประการใด
สมุนไพร นอกเหนือจากนี้ จาการทบทวนงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยพบว่ามีงานศึกษาค้นคว้าวิจัย 4 ชิ้นที่มีผลลัพธ์สนับสนุนว่าเห็ดหลินจืออาจสมาคมต่อการปรับแก้คุณภาพชีวิตของผู้เจ็บป่วยให้ดียิ่งขึ้น และก็ในขณะเดียวกัน ก็ส่งผลลัพธ์จากงานศึกษาวิจัยหนึ่งที่แสดงถึงผลข้างคียงของเห็ดหลินจือ เป็นอาการคลื่นใส้แล้วก็นอนไม่หลับด้วย
ด้วยเหตุนั้น ก็เลยอาจจะกล่าวว่า เครื่องพิสูจน์ทางคุณลักษณะและประโยชน์ซึ่งมาจากเห็ดหลินจือยังคงมีจำกัด บาง งานศึกษาเรียนรู้เป็นการทดสอบขนาดเล็ก หลักฐานที่ได้ยังไม่มีประสิทธิภาพพอเพียง หรือเป็นเพียงแต่การทดลองในคนไข้บางกลุ่มแค่นั้น ประสิทธิผลของเห็ดหลินจือต่อโรคมะเร็ง จึงยังคงเป็นเรื่องการค้นคว้าที่ควรจะดำเนินงานทดลองต่อไป เพื่อให้ได้สำเร็จลัพ์ที่ชัดแจ้ง รวมทั้งเป็นประโยชน์ในวงกว้างต่อการดูแลรักษาคนไข้มะเร็งได้ในอนาคต
ภาวการณ์ต่อมลูกหมากโต แล้วก็การเจ็บป่วยในระบบฟุตบาทฉี่
มีวิธีการทดสอบหนึ่งที่ใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือทดสอบในคนป่วยเพศ 88 รายซึ่งมีอายุเกินกว่า 49 ปีขึ้นไป ที่มีลักษณะอาการฉี่ขัดข้อง ข้างหลังการทดสอบกว่า 12 สัปดาห์ คำตอบที่ได้เป็น ผู้เจ็บป่วยต่างหรูหราคะแนน IPSS ที่ ( TNE lnternational Prostate Symptom Score )ซึ่งเป็นค่าคะแนนสากลสำหรับในการวัดปัญหาในระบบทางเท้าปัสวะของผู้เจ็บป่วยจากการตอบปัญหา กลับไม่ปรากฏผลในเชิงการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิต การขับถ่ายปัสวะ หรือขนาดของต่อมลูกหมากแต่อย่างใด
สมุนไพร เพราะฉะนั้น การทดสอบดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นก็เลยยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาสตร์ที่กระจ่างพอเพียง จำเป็นต้องมีการค้นคว้าทดลองในด้านนี้ถัดไปในอนาคต เพื่อค้นหาข้างหลังฐานที่เด่นชัดสำหรับการสรุปเกี่ยวกับประสิทธิของเห็ดหลินจือต่อการดูแลรักษาภาวะต่อมลูกหมากโตหรือปัญหาสุขภาพใดๆก็ตามที่เกี่ยวข้อง
ลดปัจจัยเสี่ยงของโรคเส้นเลือดหัวใจ
จากการวิเคราะห์ผลของการทดลองทางการแพทย์ 5 ราการ ซึ่งมีคนเจ็บโรคเบาหวานประเภท 2 เข้าร่วมทดลองกว่า 398 รายพบว่า เห็ดหลินจือไม่เป็นผลทางการรักษาในเชิงการลดระดับน้ำตาลในเลือดไม่มีหลักฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพเพียงพอจะส่งเสริมผลทางการรักษาเหล่านั้น และไม่มีข้อมูลที่เพียงพอสำหรับในการรับรองด้านความปลอดภัยจากการบริโภคเห็ดหลินจือเช่นกัน โดยหนึ่งในงานศึกษาวิจัยเหล่านั้น ได้แสดงถึงผลกระทบจากการบริโภคเห็ดหลินจือในคนป่วยบางราย เป็นอาการคลื่นใส้ ท้องร่วง หรือท้องผูก
โดยเหตุนี้จะต้องมีการค้นคว้าทดสอบถึงประสิทธิภาพของเห็ดหลินจือสำหรับในการลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆกลุ่มนี้เพื่อคุ้มครองป้องกันและการดูแลรักษาโรคเส้นโลหิตหัวใจถัดไป รวมถึงให้ได้เรื่องกระจ่างแจ้งชัดดเจนในด้านดังที่กล่าวผ่านมาแล้วเยอะขึ้นเรื่อยๆ อันเป็นผลดีต่อกรรมวิธีรักษาคุ้มครองป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจและก็อาการต่างๆที่เกี่ยวต่อไปในอนาคต
ปริมาณที่เหมาะสมในการบริโรคเห็ดหลินจืออปิ้งแจ่มแจ้ง เนื่องประสิทธิผลและก็ผลข้างคียงจากการบริโภค โดยเหตุนั้น ผู้ใช้ ควรทำการศึกษาเรียนรู้และทำการค้นคว้าเนื้อหาสาระเกี่ยวกับเห็ดหลินจือ และขอความเห็นหมอหรือเภสัชกรก่อนที่จะมีการบริโรค เนื่องจากเห็ดหลินจือในแต่ละต้นแบบจะเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ แม้กระนั้นสารเคมีและส่วนประต่างบางทีอาจส่งผลข้างๆที่เป็นอันตรายต่อสภาพร่างกายได้ด้วยเหมือนกัน
โดยธรรมดา ปริมาณการบริโภคเห็ดหลินจือ/วันดังเช่น
-เห็ดหลินจืออบแห้ง ไม่สมควรบริโภคเกิน 1.5-9 กรัม/วัน
-ผงสารสกัดเห็ดหลินจือ ไม่ควรบริโภคเกิน 1-1.5 กรัม
-สารละลายเห็ดหลินจือ ไม่สมควรบริโภคเกิน 1 มล./วัน
ความปลอดภัยในการบริโภคเห็ดหลินจือ
แม้จะมีการพิสูจน์ถึงคุณประโยชน์ในบางด้านที่บางทีอาจเกิดขึ้นได้จากการบริโภคเห็ดหลินจือ แม้กระนั้นผู้ซื้อก็ควรทำการศึกษาเรียนรู้และทำการค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับเห็ดหลินจือ และหารือหมอหรือเภสัชกรก่อนที่จะมีการบริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรรอบคอบในด้านจำนวนและแบบเห็ดหลินจือที่บริโภค เพราะบางทีอาจเป็นผลข้างเคียงต่อสุขภาพได้ในภายหลัง
โดยสิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวังสำหรับการบริโภคเห็ดหลินจืออย่างเช่น

ผู้บริโภคทั่วๆไป.......
-ควรจะบริโภคเห็ดหลินจือในจำนวนที่พอดี
-การบริโภคสารสกัดจากเห็ดหลินจือติดต่อกันนานเกินกว่า 1 ปี อาจจะก่อให้มีอันตรายต่อร่างกายได้
-การบริโภคสารสกัดจากเห็ดหลินจือติดต่อกันนานเกินกว่า 1 ปี อาจทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้
-การบริโภคสารสกัดเห็ดหลินจืออาจก่อเกิดผลข้างเคียงได้ ดังเช่นว่า ปากแห้ง คอแห้งผาก คันจมูก เลือดกำเดาไหล ท้องไส้ป่วนปั่น ถ่ายเป็นเลือด
-การดื่มเหล้าองุ่นเห็ดหลินจืออาจนำไปสู่ผลข้างเคียงเป็นอาการผื่นคัน
-การดมหายใจเอาเซลล์แพร่พันธุ์ หรือ สปอร์ (Spores) ของเห็ดหลินจือเข้าไปอาจจะเป็นผลให้เกิดอาการแพ้
คนที่ควรระวังสำหรับเพื่อการบริโภคเป็นพิษ
ผู้ที่ท้อง หรือกำลังให้นมบุตร แม้ยังไม่มีการยืนยันผลกระทบที่บางทีอาจเกิดขึ้นได้ในกรุ๊ปลูกค้านี้แต่คนที่มีครรภ์และคนที่กำลังให้นมลูกควรจะหลบหลีกการบริโภคเห็ดหลินจือ เพื่อให้มีความปลอดภัยต่อร่างกายของตนและก็ลูกน้อย
คนที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด การบริโภคเห็ดหลินจือในจำนวนมาก อาจเพิ่มการเสี่ยงสำหรับการเกิดภาวะมีเลือดออกในผู้ป่วยบางรายที่จำต้องเข้ารับการผ่าตัด ด้วยเหตุนี้ เพื่อลดความเสี่ยง คนไข้ควรจะหยุดบริโภคเห็ดหลินจือ ขั้นต่ำ 2 สัปดาห์ก่อนวันผ่าตัด
คนที่มีปัญหาสุขภาพ
สมุนไพร  ความดันโลหิตต่ำ เห็ดหลินจืออาจทำให้ความดันโลหิตต่ำลง ด้วยเหตุนั้น คนป่วยภาวะความดันเลือดต่ำจำเป็นจะต้องเลี่ยงการบริโภคเห็ดหลินจือ
ภาวการณ์เกล็ดเลือดต่ำ การบริโภคเห็ดหลินจือในจำนวนมาก บางทีอาจเพิ่มการเสี่ยงสำหรับเพื่อการเกิดภาวะมีเลือดออกในผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ ดังนั้น คนไข้ภาวการณ์เกล็ดเลือดต่ำก็เลยไม่สมควรบริโภคเห็ดหลินจือ
ภาวะมีเลือดออกผิดปกติ การบริโภคเห็ดหลินจือในจำนวนมาก บางทีอาจเพิ่มความเสี่ยงสำหรับเพื่อการเกิดภาวะมีเลือดออกในคนป่วยบางราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่มีภาวการณ์เลือกออกเปลี่ยนไปจากปกติอยู่แล้ว

20

ถั่งเช่า
สมุนไพร ถั่งเช่า ประเภทนี้เกิดขึ้นมาจากสปอร์เห็ดราที่ไปเติบโตบนตัวอ่อนหนอนผีเสื้อ (Cordyceps Sinensis) ซึ่งจำศีลอยู่ใต้ดินในฤดูหนาว แต่เมื่อเข้าสู่หน้าร้อนจึงทำให้สปอร์เห็ดเติบโตขึ้นโดยดูดสารอาหารจากตัวอ่อนหนอนและก็ผลิออกขึ้นรอบๆส่วนหัวของตัวหนอน จึงพบว่าถั่งเช่าจะประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนที่เป็นตัวอ่อนของผีเสื้อแล้วก็อีกส่วนเป็นสปอร์เห็ด
การกินถั่งเช่าเพื่อประโยชน์ด้านการแพทย์มีมานานตั้งแต่สมัยก่อน เนื่องมาจากอุดมไปด้วยสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพซึ่งเกิดผลดีต่อร่างกาย โดยเชื่อกันว่าช่วยสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นสำหรับการออกกำลังกาย รักษาโรคไตรวมทั้งตับ เสริมสมรรถภาพของผู้ชาย ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ช่วยเพิ่มรูปแบบการทำงานของตับในผู้เจ็บป่วยโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี รักษาความแปลกในระบบทางเท้าหายใจ เพิ่มกำลังและก็ความแข็งแรงของร่างกาย นอกจากนั้น ยังช่วยทุเลาอาการไอ บรรเทาลักษณะของคนป่วยที่ติดยาเสพติดในกรุ๊ปสารแอลคาลอยด์ เวียนศีรษะ เป็นต้น ด้วยคุณประโยชน์นานัปการของถั่งเช่า จึงทำให้ได้รับสมญานามว่าเป็นยอดสมุนไพรจีนที่หลายๆคนคัดสรรมาบำรุงร่างกาย รวมทั้งยังมีราคาสูง แต่ ก่อนการเลือกกินหรือใช้ถั่งเช่าเพื่อรักษาโรคใดๆตามคำกล่าวอ้าง ควรศึกษาข้อมูลด้านการแพทย์ที่เสนอแนะการใช้โดยสวัสดิภาพซะก่อน สำหรับงานศึกษาเรียนรู้วิจัยแล้วก็ค้นคว้าเกี่ยวกับคุณสมบัติของถั่งเช่าสำหรับการรักษาโรคมีล้นหลามหลายด้าน ดังนี้
คุณประโยชน์ทางด้านการแพทย์ของถั่งเช่า
จากฐานข้อมูลที่ครอบคลุมเกี่ยวกับการแพทย์ทางธรรมชาติ (Natural Medicines Comprehensive Database) ได้แบ่งระดับความน่าไว้ใจของการใช้ถั่งเช่าเป็นการรักษาโอกาสจากธรรมชาติส่วนมากอยู่ในระดับที่ยังมีหลักฐานน้อยเกินไปต่อการบ่งบอกความสามารถ (Insufficient Evidence to Rate) และก็ในด้านเสริมสมรรถนะสำหรับการออกกำลังกายถูกจัดให้อยู่ในระดับที่บางทีอาจไม่ได้ผล (Possibly Ineffective)
การรักษาที่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอต่อการระบุประสิทธิภาพ
โรคหอบหืด ถั่งเช่าเป็นยาแผนโบราณของจีนที่ได้เอ่ยถึงคุณสมบัติต่อต้านการอักเสบ โดยมีการศึกษาประสิทธิภาพของถั่งเช่าในคนไข้โรคหอบหืดที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรง 120 คน เพื่อมองผลของถั่งเช่าต่อคุณภาพชีวิตคนไข้ เป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยให้กลุ่มแรกกินถั่งเช่ารวมทั้งอีกกลุ่มมิได้กิน เวลาเดียวกัน 2 กรุ๊ปยังได้รับยาแบบสูดดมคอร์ติวัวสเตียรอยด์และก็สารกรุ๊ปเบต้าอะโกนิสท์ (β-agonists) ซึ่งเป็นตัวยาสำคัญที่ช่วยบรรเทาโรคหอบหืด สำหรับเพื่อการประเมินผลมองจากการกำเริบของโรค การทดสอบสมรรถนะของปอด และการประมาณค่าการอักเสบในเลือด ผลจากการเล่าเรียนพบว่าถั่งเช่าช่วยให้ผู้เจ็บป่วยโรคหอบหืดในระดับปานกลางถึงร้ายแรงมีความก้าวหน้าดียิ่งขึ้นในด้านอาการโรค หลักการทำงานของปอด สภาวะอาการอักเสบของ แล้วก็คุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังมีการทดลองที่ได้ผลในทางตรงกันข้าม จากการทดลองให้คนป่วยโรคหืดหอบ อายุ 7-15 ปี รับประทานยาสมุนไพรที่มีส่วนผสมของถั่งเช่ากับสมุนไพรจำพวกอื่นอีก 4 ชนิดพร้อมกันกับยาคอร์ติวัวสเตียรอยด์แบบสูดกลิ่นเป็นระยะเวลา 6 เดือน เพื่อเปรียบเทียบกับยาหลอก ผลที่ได้พบว่า ไม่ได้แตกต่างระหว่างกลุ่มที่รับประทานยาสมุนไพรและก็ยาหลอกอย่างเห็นได้ชัดในด้านต่างๆของกลุ่มคนป่วยเด็กที่เป็นโรคโรคหอบหืด
การศึกษาทางวิทยา
จากการเล่าเรียนข้างต้นนับว่ายังไม่มีหลักฐานพอเพียงต่อการสรุปข้อมูล เนื่องด้วยยังเป็นการทดสอบการใช้ถั่งเช่าในแบบอย่างการดูแลรักษาเสริมควบคู่กับยาหลักที่รักษาโรค อีกทั้งช่วงเวลาสำหรับการทดลองค่อนข้างจะสั้น กลุ่มคนไข้เป็นเด็ก และไม่มีการติดตามผลในระยะยาว จึงจะต้องเล่าเรียนเสริมเติมในอนาคตด้านอื่นๆผู้ดูแลหรือคนป่วยควรจะขอความเห็นแพทย์ก่อนที่จะมีการใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรใดๆและก็ถั่งเช่าสำหรับเพื่อการรักษาโรค
ต่ออายุการเสียชีวิตของผู้ป่วย ถั่งเช่ายังใช้เป็นการรักษาหนทางจากธรรมชาติที่ช่วยยืดอายุคนป่วยโรคไตให้ยาวนานขึ้น โดยให้คนป่วยโรคมะเร็งตับที่เกิดจากปัจจัยต่างๆจำนวน 101 คน ทดสอบรับประทานถั่งเช่าแล้วก็สารจากธรรมชาติอื่น 11 ประเภท ในปริมาณที่ต่างกันเป็นระยะเวลาราว 13 เดือน หลังครบกำหนดจึงวัดผลด้วยการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ สารชี้โรคมะเร็ง และตรวจการทำงานของตับ ผลพบว่า ผู้ป่วยหวานใจษาด้วยการใช้ถั่งเช่าแล้วก็สารจากธรรมชาติ 4 จำพวกหรือมากกว่าขึ้นไป รอดตายนานอย่างชัดเจนกว่าคนไข้ที่ได้รับสารจากธรรมชาติน้อยกว่า 3 ชนิด แล้วก็ยังไม่พบผลข้างเคียง ทั้งนี้ เป็นการศึกษาค้นคว้าที่เก็บข้อมูลย้อนไป รวมทั้งเป็นการเรียนถั่งเช่าร่วมกับสารธรรมชาติตัวอื่น ก็เลยไม่สามารถเอามาสรุปผลได้แจ่มกระจ่าง แต่อาจรอข้อช่วยเหลืออื่นเพิ่ม เพื่อช่วยรับรองความสามารถของถั่งเช่า
โรคเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี มีการใช้ถั่งเช่าสำหรับในการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคตับอยู่หลายโรค ซึ่งรวมทั้งโรคไวรัสตับอักเสบ บี โดยมีการเรียนความสามารถของการใช้ถั่งเช่าในคนไข้โรคไวรัสตับอักเสบ บี เรื้อรังจำนวน 25 คน ในระยะเวลา 3 เดือน เพื่อเทียบผลก่อนและก็หลังการทดลอง จากการทดลองพบว่าระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวครั้งลิมโฟไซต์ที่ชี้ระดับภูมิคุ้มกันของร่างกายมากขึ้น บางทีอาจมีคุณประโยชน์ต่อการรักษาพังผืดในตับของคนป่วยโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี เรื้อรัง
ยิ่งกว่านั้น ยังมีการเรียนผลจากการรับประทานสารสกัดถั่งเช่าในผู้เจ็บป่วยโรคไวรัสตับอักเสบ บี เรื้อรัง ปริมาณ 60 คน เป็นระยะเวลา 6 เดือน โดยแบ่งได้ 2 กรุ๊ป กลุ่มแรกได้รับประทานสารสกัดถั่งเช่า ครั้งละ 8 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง แล้วก็อีกกรุ๊ปได้รับยาสมุนไพรชนิดอื่น ทีละ 5 เม็ด วันละ 3 ครั้งเช่นกัน ผลพบว่า คนไข้ที่รับประทานสารสกัดจากถั่งเช่ามีการอักเสบของตับต่ำลงประมาณ 81% แล้วก็การเกิดพังผืดลดลง 52% แม้กระนั้นยังมีผู้ป่วยอีก 33% ที่ไม่พบความเคลื่อนไหวของการเกิดพังผืดในตับ จึงอาจเป็นหลักฐานที่มั่นใจว่าถั่งเช่าอาจช่วยเพิ่มรูปแบบการทำงานของตับ ลดการอักเสบของตับลงและการเสี่ยงในการเกิดพังผืดที่ตับ

ลดผลกระทบของการเปลี่ยนถ่ายไต การดูแลและรักษาด้วยากดภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยปลูกถ่ายไตอาจจะส่งผลให้เป็นผลข้างๆได้สูง ด้วยคุณลักษณะของถั่งเช่าที่เชื่อกันว่าช่วยรักษาโรคไตได้อย่างมีคุณภาพ จึงมีการศึกษาผลการกินถั่งเช่าในผู้ป่วยเปลี่ยนถ่ายไต ปริมาณ 180 คน โดยแบ่งได้กลุ่มที่กินสารสกัดจากถั่งเช่าแล้วก็กรุ๊ปที่มิได้รับประทาน เพื่อเทียบการเกิดปฏิกิริยาต่อต้านไตของร่างกาย การต่อว่าดเชื้อ แล้วก็อัตราการรอดชีวิตข้างหลังการเปลี่ยนถ่ายไต โดยมีการติดตามผลในช่วง 1-5 ปี ผลพบว่า กลุ่มที่กินสารสกัดจากถั่งเช่ามีอัตราการต่อว่าดเชื้อ ค่าลักษณะการทำงานของตับรวมทั้งค่าเอนไซม์ต่างๆน้อยลงกว่ากรุ๊ปที่ไม่ได้รับประทานในช่วง 3-5 ปี นอกจากนี้ อัตราการรอคอยดชีวิตและก็ผลปลูกถ่ายไตได้เสร็จของผู้ป่วยในกรุ๊ปที่กินสารสกัดจากถั่งเช่าสูงขึ้นมากยิ่งกว่ากลุ่มมิได้กิน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากถั่งเช่าอาจลดอัตราการปฏิเสธการปลูกถ่ายไตของร่างกาย ช่วยรูปแบบการทำงานของตับและก็ไต กระตุ้นการผลิตเม็ดเลือด และลดการติดเชื้อในผู้เจ็บไข้ที่เข้ารับการเปลี่ยนถ่ายไต
ยิ่งกว่านั้น อีกงานศึกษาวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าถั่งเช่าอาจมีประโยชน์ต่อผู้เจ็บป่วยที่เปลี่ยนถ่ายไต โดยใช้เป็นการรักษาเสริมพร้อมกันกับยากดภูมิต้านทาน จากการทดสอบให้คนป่วยปลูกถ่ายไต 202 คน กลุ่มหนึ่งรับประทานถั่งเช่าในปริมาณ 1 กรัม วันละ 3 ครั้ง ควบคู่กับยากดภูมิต้านทาน รวมทั้งอีกกลุ่มรับประทานเฉพาะยากดภูมิคุ้มกันเพียงอย่างเดียว ผลปรากฏว่า คนเจ็บไม่เจอผลกระทบจากการใช้ถั่งเช่า รวมถึงยังลดอัตราการรั่วของโปรตีนในเยี่ยวและก็ความเสี่ยงต่อภาวะไตเปลี่ยนถ่ายเสื่อมเรื้อรังให้ช้าลง
ผลการศึกษาเรียนรู้ในข้างต้นก็เลยทำให้เห็นว่าถั่งเช่าบางทีอาจเป็นประโยชน์ต่อการรักษาคนป่วยเปลี่ยนถ่ายไต โดยช่วยลดจำนวนการใช้ยาให้ลดลง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลต่อการอยู่รอดของผู้ป่วยที่ได้รับการเปลี่ยนถ่ายไตในระยะยาว
โรคหรือภาวการณ์อื่นๆยกตัวอย่างเช่น ปรับแก้คุณภาพชีวิตของคนเจ็บโรคมะเร็งหลังแนวทางการทำเคมีบำบัด (คีโม) เพิ่มความปรารถนาทางเพศ ทุเลาอาการเหนื่อยง่าย แก้ไอ รักษาโรคหลอดลมอักเสบ ความไม่ดีเหมือนปกติของการหายใจ ภาวการณ์องคชาติไม่แข็ง โรคโลหิตจาง สภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ คอเลสเตอรอลสูง ความเปลี่ยนไปจากปกติของตับ มึนหัว ฯลฯ ซึ่งยังขาดหลักฐานที่ดีเพียงพอสำหรับเพื่อการรับรองคุณประโยชน์พวกนี้
การดูแลรักษาที่อาจไม่ได้ผล
เสริมสมรรถนะสำหรับในการบริหารร่างกาย เป็นสมุนไพรที่ใช้ในยาแผนโบราณของจีน เพื่อรักษาลักษณะของการป่วยหลายประเภทและก็ยังช่วยทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นของร่างกาย ก็เลยมักนิยมรับประทานเป็นยาบำรุงกำลัง จากการทดสอบเปรียบผลของการรับประทานรวมทั้งสมุนไพรจำพวกอื่นกับยาหลอกในนักปั่นจักรยานชาย 8 คน เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของระบบไหลเวียนโลหิตภายในร่างกาย โดยประเมินผลก่อนรวมทั้งข้างหลังของอีกทั้ง 2 กรุ๊ป กลับไม่เจอไม่เหมือนกันอย่างชัดเจนต่อค่าที่วัดได้ แปลว่าการรับประทานไม่มีผลต่อคุณภาพของการออกกำลังในนักกีฬา
ยิ่งไปกว่านี้ ยังมีงานเรียนรู้อื่นที่ชี้ว่าการรับประทานไม่ช่วยเพิ่มความทนทานต่อการออกกำลังกายในกลุ่มนักกีฬา โดยทดลองให้นักปั่นจักรยาน 22 คน ทานอาหารเสริมจากถั่งเช่า 3 กรัมต่อวัน เปรียบเทียบกับยาหลอกติดต่อกัน 5 อาทิตย์ แล้วต่อจากนั้นประเมินผลทุกๆสัปดาห์ ทำให้ทราบว่าอาหารเสริมจาก[url=http://www.disthai.com/16484912/%E0%B8%96%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%B2]ถั่งเช่า[/url][/url][/color]และยาหลอกไม่ส่งผลอะไรก็แล้วแต่ต่อความทนทานสำหรับการบริหารร่างกายที่มากขึ้น ในเวลาเดียวกัน การทดสอบวัดสมรรถนะของนักปั่นจะยานมือสมัครเล่น 17 คน ข้างหลังกินผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีส่วนประกอบหลักจากถั่งเช่า 1,000 มิลลิกรัม รวมทั้งสมุนไพรจำพวกอื่นในจำนวนที่แตกต่างกันเปรียบเทียบกับยาหลอก โดยครั้งที่ 1 แล้วก็ครั้งที่ 2 ห่างกัน 14 วัน เมื่อผ่านไป 2 อาทิตย์ก็ไม่เจอความเคลื่อนไหวในทิศทางที่ แม้ว่าความศรัทธาและการเรียนรู้ก่อนหน้าที่แสดงว่าถั่งเช่าอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของนักกีฬา ผลการศึกษาวิจัยในตอนนี้ไม่พบไม่เหมือนกันอย่างแจ่มแจ้งของการกินถั่งเช่าต่อสถาพทางร่างกายแต่อย่างใด

Tags : สมุนไพรถั่งเช่า

21

ถั่งเช่า
ทานถั่งเช่าเห็นผลด้านในกี่วัน
-ถั่งเช่า ช่วยรักษามีลักษณะจากการที่สืบไปมาจากการเป็นโรคไตได้แก่อาการ ปวดหลัง ปัสสาสะบ่อย เป็นต้น
-ช่วยเพิ่มความฟิตให้กับร่างกายของนักกีฬาได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักกีฬาจำพวกวิ่งแข็ง หรือนักกีฬาที่ใช้ภาระกำลังเป็นอันมาก
-ช่วยเพิ่มสมรรถนะเพศได้อย่างดีเยี่ยมด้วยเหตุว่า ถั่งเช่านั้นช่วยทำให้เลือดเข้าไปหล่อเลี้ยงที่ของลับได้มากขึ้น-สมุนไพร ถั่งเช่าช่วยทำให้น้ำเชื้ออสุจิแข็งแร็ง
-ถั่งเช่า ช่วยลด และต้านทานอนุมูอิสระในร่างกาย ช่วยยับยั้งรวมทั้งชะลอความแก่ได้ รวมถึงปรับปรุงแก้ไขซ่อนแซมเซลต่างๆที่เสื่อมในร่างกาย
-ช่วยเพิ่มความจำ และก็ปกป้องโรคสมองเสท่อมได้
-ช่วยลดอาการใจสั่น แล้วก็หัวใจเต้นเร็ว ที่มีต้นเหตุที่เกิดจากโรคที่มีปัญหาเกี่ยวกับความดันโลหิต
-ช่วยขยายเส้นโลหิต ช่วยเพิ่มระดับออกสิเจนในเลือด รวมถึงช่วยให้เลือดมีระบบระเบียบไหลเวียนที่ดีขึ้น
-ช่วยยั้งเชื้อร้ายอย่างแบคทีเรียภายในร่างกายได้กระทั่งเชื้อแบคทีเรียที่ร้ายแรงอย่างวัณโรคก็ตาม
-ถั่งเช่า ช่วยทำให้เลือดลมของสุขภาพสตรีเดินดียิ่งขึ้น ระดูมาธรรมดา รวมทั้งยังช่วยให้สุขภาพสตรีมีความพร้อมที่จะมีบุตรเยอะขึ้นดด้วย
-ช่วยต้านทานมะเร็ง เพราะสารคอร์ไดเซปินใน ถั่งเช่าเป็นสารต่อต้านโรคมะเร็งทำให้ยั้งการเป็นวัณโรคมะเร็งได้ รวมถึงช่วยไม่ให้คนเจ็บโรคมะเร็งที่หายแล้วกลับมาเป็นอีก
สารออกฤทธิ์ที่สำคัญของถั่งเช่า
ที่ตัวของ สมุนไพร ถั่งเช่านั้นมีสรรพคุณต่างๆมากมายก่ายกองเพราะในตัวของถั่งเช่า มีสารออกฤทธิ์สำคัญนั้นเอง ขึ้นรถออกฤทธิ์ที่สำคัญของถั่งเช่าที่ค่อนข้างเป็นอระโยชน์และได้รับการยืนยันด้านวิทยาศาสตร์แล้วมีดังนี้
1.สาร Cordycepin งานศึกษาเล่าเรียนทดสอบพบว่าสารตัวนี้สามารถ ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย บำรุงกำลัง ต่อต้านเชื้อโรคช่วยทำให้การไหลเวียนของโลหิต บำรุงเลือด บำรุงหัวใจ ต่อต้านการโตของเซลล์มะเร็ง บำรุงไต รักษาโรคไตอักเสบ บำรุงระบบขยายพันธุ์ ปรับสมดุลร่างกาย รวมทั้ง เสริมภูมิต้านทาน
2.สาร Nitric oxides สารตัวนี้เป็นสารที่ช่วยขั้นตอนการแข็งของอวัยวะสืบพันธุ์ชายให้ดำเนินงานดียิ่งขึ้น แข็งเร็ว และก็ นานขึ้น มันจะออกฤทธิ์สำหรับในการขยายเส้นเลือดให้ไปสู่องคชาติเพิ่มมากขึ้น ถั่งเช่า ให้การแข็งของอวัยวะสืบพันธุ์นานขึ้นอย่างสมบูรณ์
3.สาร Adrenaline สารตัวนี้เป็นสารที่ช่วยเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย มันจะก่อให้สุขภาพแข็งแรงขึ้น ไม่มีอาการเหน็ดเหนื่อย แล้วก็สามารถนอนได้อย่างเต็มเปี่ยมหลับเต็มที่มากขึ้น อีกทั้งยังสามารถช่วยชะลอความแก่ให้กับคนอย่างเราๆได้อีกด้วย
4.สารPolysaccharide สารตัวนี้เป็นสารที่ช่วยเสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกายของผู้คน มันจะสร้างกลไกการคุ้มครองป้องกันโรค รวมทั้งป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี
ตัวอย่างงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยนิดหน่อยที่เกี่ยวโยงกับฤทธิ์ของ ถั่งเช่าในทางเภสัชวิทยา โดยที่เป็นงานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยในตัวของคน ดังนี้
-จากการศึกษาเรียนรู้วิจัยเกี่ยวกับกรณีของฤทธิ์จาก ถั่งเช่าที่ส่งผลกระตุ้นสมรรถทางเพศของเพศชายจากจำนวนแบบอย่างทั้งมวล 22 คน ผลปรากฏว่า ฤทธิ์ของ ถั่งเช่านั้นสามารถช่วยเพิ่มสเปิร์มในเชื้อน้ำเชื้อของผู้ชายจากกลุ่มตัวอย่างได้ถึง33%แล้วก็ยังสามารถช่วยลดปริมาณสเปิร์มที่อ่อนแอ หรือไม่ปกติลงในเชื้อน้ำเชื้อของผู้ชายจากกลุ่มของตัวอย่าง29%จากการที่เพียงแค่ให้เพศชายจากกลุ่มตัวอย่างนี้รับประทาน ถั่งเช่าเพียงแค่เป็นอาหารเสริมเท่านั้น นอกนั้นยังมีอีกหนึ่งตัวอย่างแบบอย่างด้วยกันที่เป็นการวิจัยเกี่ยวกับความสามารถทางเพศ เป็นมีการให้กลุ่มทดลองทั้งปวงศ เป็นมีการให้กลุ่มตัวอย่างทั้งปวงศชาย และก็ผู้หญิงจำนวน 189 คน ที่มีภาวะอารมณ์ทางเพศต่ำลงได้ลองกิน ถั่งเช่าผลปรากฏว่า สามารถช่วยทำให้กลุ่มทดลองทั้งสิ้นศชาย แล้ผู้หญิงนั้นให้กลับมามีอารมณ์ทางเพศที่มากขึ้นได้ถึง 66%
-จากการศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยเกี่ยวกับกรณีของฤทธ์จาก สมุนไพร ถั่งเช่าที่ส่งผลช่วยลดน้ำตาลในเลือด ศึกษาและทำการค้นพบว่าถั่งเช่านั้นสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้สูงสุดถึง 95% โดยทานถั่งเช่าแค่เพียงวันละ 3 กรัมเพียงแค่นั้น โดยแตกต่างจากกรุ๊ปที่ยังคงรักษาโดยใช้ยาแผนปัจุบันโดยสิ้นเชิง เพราะเหตุว่าการควบคุมระดับน้ำตาลจากยาแผนปัจจุบันนั้นสามารถคุมระดับน้ำตาลแค่ได้เพียงแต่ 54 % แค่นั้น

ถั่งเช่าสายพันธุ์ไหนที่เยี่ยมที่สุด?[/size][/b]
ถั่งเช่ามีจำนวนมากหลายแบบ มากมายสายพันธุ์ รวมทั้งจากหลายพื้อที่ แบบเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ รวมทั้งแบบที่เกิดจากขั้นตอนการเพาะเลี้ยง ส่วนถั่งเช่าสายพันธ์ไหนที่แพงที่สุดในโลกนั้นก็คงจะต้องบอกว่าเป็นถั่งเช่าสายพันธ์ทิเบต ต้นสายปลายเหตุก็เนื่องจากหายาก แม้กระนั้นในขณะนี้ได้มีหลักฐานการตรวจสอบแล้วก็พบว่าสารออกฤทธิ์สำคัญในการรักษาโรคของเห็ดถั่งเช่าสีทองคำ(ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่เพาะเลี้ยงได้ง่าย) มีมากยิ่งกว่าถั่งเช่าประเทศทิเบตหลายเท่า นอกจากนี้การที่เห็ดถั่งเช่าสีทองคำสามารถเพาะเลี้ยงได้ทให้สามารถควบคุมสารเจือปนและก็โลหะหนักให้เป็นไปตามมาตรฐานได้ง่ายดายกว่าถั่งเช่าประเทศทิเบตที่เก็บมาจากธรรมชาติ
-เกรดของถั่งเช่า
นอกเหนือจากถั่งเช่ามีหลายสายพันธุ์แล้ว ถั่งเช่ายังมีหลายเกรดอีกด้วย โดยหลักๆที่พบในปัจจุบันและตามท้องตลาดก็จะมี 2 เกรดร่วมกันดังนี้
-เกรด AAA –ถั่งเช่าเกรด AAA คือ ถั่งเช่าที่ได้รับการคัดสรรมาอย่าดีว่าเป็น ถั่งเช่าที่มีประโยชน์ แล้วก็สารอาหารมากว่า ถั่งเช่าธรรมดา รวมถึงเป็น ถั่งเช่าที่มีขนาดมาตรฐาน และก็ถูกเก็บมาขณะที่ถูก
-เกรด A-ถั่งเช่าเกรด A คือ สมุนไพร ถั่งเช่าที่มีคุณลักษณะแทบราวกับถั่งเช่าเกรด AAA ทุกประการ เพียงแต่ว่าขนาดของมันนั้นไม่ได้มาตรฐานเท่านั้นเอง
นอกจากถั่งเช่า 2 เกรดที่ว่ามาแล้วนั้นยังมีเกรดอื่นๆแม้กระนั้นไม่เป็นที่นิยมในท้องตลาด ที่นิยมก็มีแค่ 2 เกรดหลักๆแค่นั้น เพื่อความปลอดภัยเราควรจะซื้อ ถั่งเช่าจากร้านขายยา หรือสมุนไพรจีนที่เปิดให้บริการมาอย่างช้านาน หรือร้านที่ได้รับความนิยมกับคนทั่วไป ดังนี้นั้นก็เพื่อก็เพื่อความสบายใจและจะได้ผิดหลอกให้ซื้อของปลอมนั้นเอง

22

หญ้าหนวดแมว
ชื่อสมุนไพร  ต้นหญ้าหนวดแมว
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น  พยับเมฆ (จ.กรุงเทพฯ) บางรักป่า (ประจวบคีรีขันธ์), อีตู่ดง (เพชรบุรี) หญ้าหนวดเสือ
ชื่อสามัญ Kidney tea plant, Cat’s whiskers, Java tea, Hoorah grass
ชื่อวิทยาศาสตร์ Orthosiphon aristatus (Blume) Miq.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์  Orthosiphon grandiflorus Bold. ,Orthosiphon stamineus Benth.
ตระกูล Lamiaceae หรือ Lamiaceae
บ้านเกิด  ต้นหญ้าหนวดแมวจัดเป็นพืชป่าในเขตร้อนชื้นมีบ้านเกิดเมืองนอนแถวเอเชียใต้แถบอินเดีย , บังคลาเทศ , ศรีลังการวมทั้งทางตอนใต้ของจีนแล้วมีการกระจายประเภทไปสู่ในประเทศเขตร้อนที่ใกล้เคียง (ในเอเซียอาคเนย์) ดังเช่นว่า ประเทศพม่า ไทย ลาว เขมร มาเลเซีย ฯลฯ ในประเทศไทย มีการนำต้นหญ้าหนวดแมวมาเป็นสมุนไพรรักษาโรคนิ่วและขับฉี่มานานแล้ว กระทั่งในขณะนี้มีการทำการค้นคว้าเกี่ยวกับหญ้าหนวดแมวว่าสามารถรักษาโรครวมทั้งสภาวะต่างๆได้มากมายหลายโรคก็เลยทำให้ความนิยมชมชอบในการใช้ต้นหญ้าหนวดแมวเพิ่มมากขึ้น
ลักษณะทั่วไป   หญ้าหนวดแมวมีลักษณะ ต้น เป็นไม้พุ่มล้มลุก ขนาดเล็ก เนื้ออ่อน สูง 30-60 เซนติเมตร มีอายุนับเป็นเวลาหลายปี ลำต้นรวมทั้งกิ่งค่อนข้างจะเป็นสี่เหลี่ยมเห็นได้ชัดเจน มีสีม่วงแดง และมีขนนิดหน่อย แตกกิ่งก้านสาขามากมาย โคนต้นอ่อนโค้ง ปลายตั้งชัน ตามยอดอ่อนมีขนกระจัดกระจาย ใบเป็นลำพัง ออกตรงกันข้าม สีเขียวเข้ม รูปไข่ หรือรูปสี่เหลี่ยมผ่านหลามตัด ตามเส้นใบมักมีขน กว้าง 2-5 ซม. ยาว 5-10 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลม โคนใบสอบ ขอบของใบจักเป็นฟันเลื่อยห่างๆนอกจากขอบที่โคนใบจะเรียบ มีขนตามเส้นใบอีกทั้งด้านบนและก็ด้านล่าง เนื้อใบบาง ก้านใบยาว 2-4.5 ซม. มีขน ดอก มีสีขาว หรือขาวอมม่วงอ่อน ออกเป็นช่อกระจะตั้งขึ้น ที่ปลายยอด เป็นรูปฉัตร ยาว 7-29 เซนติเมตร มีดอกย่อยประมาณ 6 ดอก ขนาดดอก 1.5 ซม. ดอกจะบานจากข้างล่างขึ้นไปข้างบน ริ้วแต่งแต้มรูปไข่ ยาว 1-2 มิลลิเมตร ไม่มีก้าน กลีบเลี้ยงเชื่อมชิดกันเป็นรูประฆัง งอบางส่วน ยาว 2.5-4.5 มิลลิเมตร เมื่อสำเร็จยาว 6.5-10 มิลลิเมตร ด้านนอกมีต่อมน้ำมันหรือเป็นปุ่มๆกลีบดอกโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดตรงเล็ก ยาว 10-20 มิลลิเมตร ปลายแยกเป็นปากสองปาก ปากบนใหญ่กว่า ปากบนมีหยักตื้นๆ4 หยัก โค้งไปทางข้างหลัง ปากล่างตรง โค้งเป็นรูปช้อน เกสรเพศผู้มี 4 อัน เรียงเป็น 2 คู่ คู่ล่างยาวกว่าคู่บนน้อย ก้านเกสรยาว หมดจด ไม่ติดกัน ยื่นยาวออกมานอกกลีบดอกเห็นได้ชัดเสมือนหนวดแมว อับเรณูเป็น 2 พู ข้างบนบรรจบกัน ก้านเกสรเพศเมียเรียวเล็ก ยาว 5-6 ซม. ปลายก้านเป็นรูปกระบอง ปลายสุดมี 2 พู ผลได้ผลแห้งไม่แตก รูปขอบขนานกว้าง แบน แข็ง สีน้ำตาลเข้ม ขนาดเล็ก ยาวราวๆ 1-2 มม. ผลจะเจริญรุ่งเรืองเป็น 4 ผลย่อยจากดอกหนึ่งดอก ตามผิวมีรอยย่น ออกดอกและก็ติดผลราวกันยายนถึงต.ค. ถูกใจขึ้นที่เปียกชื้น มีแดดรำไรในป่าริมลำน้ำ หรือน้ำตก
การขยายพันธุ์ หญ้าหนวดแมว เป็นไม้ล้มลุกที่เติบโตเจริญในดินชื้น คล้ายกับกระเพราแล้วก็โหระพา จึงทนต่อสภาพแห้งได้น้อย ดังนั้น การปลูกต้นหญ้านวดแมวควรต้องเลือกสถานที่ปลูกที่ค่อนข้างเปียกชื้นเสมอหรือมีระบบให้น้ำอย่างทั่วถึง แต่ในฤดูฝนสามารถเติบโตได้ทุกพื้นที่
                อีกทั้งต้นหญ้าหนวดแมวเป็นพืชถูกใจดินร่วน แล้วก็มีสารอินทรีย์สูง ด้วยเหตุดังกล่าว ดินหรือแปลงปลูกควรเติมอินทรียวัตถุ เป็นต้นว่า ปุ๋ยธรรมชาติ ปุ๋ยธรรมชาติ ก่อนกระพรวนผสมเข้าด้วยกันไปเรื่อยๆจนกว่าจะเข้ากันและก็กำจัดวัชพืชออกให้หมด
ส่วนการปลูกต้นหญ้าหนวดแมว ปลูกได้ด้วย 2 แนวทาง คือ

  • การปักชำกิ่ง ตัดกิ่งที่ยังไม่มีดอก ยาวราว 15-20 เซนติเมตร จากนั้น เด็ดกิ่งกิ้งก้าน แล้วก็ใบออกด้านโคนกิ่งออก ในความยาวโดยประมาณ 5 เซ็นติเมตร พร้อมกับเด็ดยอดทิ้ง ก่อนเอามาปักชำ ซึ่งบางทีอาจปักชำในกระถางหรือปักชำลงแปลงปลูก
  • การหว่านเมล็ด นำเมล็ดหว่านลงแปลงที่เตรียมไว้ โดยหว่านให้เม็ดมีระยะห่างกันราว 3-5 เซนติเมตร ก่อนให้น้ำ ใส่ปุ๋ย และก็ดูแลกระทั่งต้นกล้าอายุราวๆ 20-30 วัน หรือสูงราว 10-15 ซม. ก่อนแยกปลูกลงแปลงถัดไป


ต้นหญ้านวดแมว เป็นพืชที่ต้องการความชุ่มชื้นสูง ถ้าหากขาดน้ำนาน ลำต้นจะเหี่ยวเฉา และตายได้รวดเร็ว ดังนั้น กล้าหญ้าหนวดแมวหรือต้นที่ปลูกลงในแปลงแล้ว ควรมีการให้น้ำอย่างน้อย 2 วัน/ครั้ง
การเก็บเกี่ยว ต้นหญ้าหนวดแมว แก่เก็บเกี่ยวราว 120-140 วัน ข้างหลังปลูก บางทีอาจเก็บเกี่ยวด้วยการถอนอีกทั้งต้นหรือทยอยเด็ดเก็บกิ่งมาใช้ประโยชน์ก็ได้
ส่วนประกอบทางเคมี
ต้นหญ้าหนวดแมวมีองค์ประกอบทางด้านพฤกษเคมีที่โดดเด่นคือ สารกลุ่ม phenolic compoundsอย่างเช่น rosmarinic acid, 3’-hydroxy-5, 6,    7, 4’-tetramethoxyflavone, sinensetin รวมทั้งeupatorin รวมถึง pentacyclic triterpenoid ที่สำคัญเป็น betulinic acid2 นอกนั้นยังเจอ glucoside orthosiphonin, myoinositol, essential oil, saponin, alkaloid, phytosterol, tannin พบสารกรุ๊ปฟลาโอ้อวดน ตัวอย่างเช่น sinensetin, 3’-hydroxy-5,6,7,4’-tetramethoxy flavones Potassium Salf ในใบ และHederagenin, Beta-Sitosterol, Ursolic acid ในต้นอีกด้วย
ซึ่งสารในต้นหญ้าหนวดแมวกลุ่มนี้มีรายงานฤทธิ์ทางสรีรวิทยาและก็เภสัชวิทยามากมายก่ายกอง ยกตัวอย่างเช่น การขับฉี่ ลดระดับกรดยูริค (hypouricemic activity) ปกป้อง ตับ ไต แล้วก็กระเพาะอาหาร ลดระดับความดันโลหิต ต้านทานสารอนุมูลอิสระหรือปฏิกิริยาออกซิเดชัน ต้านทานการอักเสบ เบาหวาน และจุลชีพ ลดไขมัน (antihyper-lipidemic activity) ลดความต้องการทานอาหาร (anorexic  activity)  รวมทั้งปรับสมดุลภูมิคุ้มกันของร่างกาย (immunomodulation)
 
 
 องค์ประกอบทางเคมีของสารพฤกษเคมีในต้นหญ้าหนวดแมว (a)    rosmarinic acid, (b)  3’-hydroxy-5,6,7,4’-tetramethoxyflavone, (c) eupatorin, (d) sinensetin, (e) betulinic acid
                 
     Tannin ที่มา: Wikipedia                      Myo-inositol   ที่มา: Google
สรรพคุณ  ต้นหญ้าหนวดแมวเป็นสมุนไพรที่คนประเทศไทยได้ประยุกต์ใช้รักษาโรคมานานแล้ว โดยมีสรรพคุณตามตำราไทยเป็นใบมีรสจืด ใช้เป็นยาชงแทนใบชา กินขับเยี่ยว ขับนิ่ว แก้โรคไต แล้วก็กระเพาะปัสสาวะอักเสบ แก้ปวดเมื่อย และไขข้ออักเสบ แก้คลื่นเหียนอาเจียน แก้ถุงน้ำดีอักเสบ บรรเทาอาการไอ แก้โรคหนองใน ราก ขับเยี่ยว ขับนิ่ว ต้น แก้โรคไต ขับฉี่ รักษาโรคกระษัย รักษาโรคปวดตามสันหลัง แล้วก็บั้นท้าย รักษาโรคนิ่ว แก้โรคหนองใน รักษาโรคเยื่อจมูกอักเสบ ล้างสารพิษในไต
ส่วนในทางการแพทย์แผนปัจจุบันนั้น ส่งผลการวิจัยบอกว่า หญ้าหนวดแมวมีคุณประโยชน์

  • ความดันโลหิตสูง ต้นหญ้าหนวดแมวทำให้ความดันเลือดต่ำลง รวมทั้งยังสามารถลดภาวะเส้นเลือดหดตัวได้ด้วย ก็ยิ่งทำให้ไม่เป็นอันตรายในคนป่วยกลุ่มนี้เยอะขึ้น
  • การติดเชื้อระบบทางเท้าฉี่ โรคนี้หมอมักเสนอแนะให้คนไข้ดื่มน้ำมากมายๆโดยยิ่งไปกว่านั้นในระยะเริ่มแรกถ้าหากดื่มน้ำมากๆก็จะสามารถช่วยให้หายได้โดยไม่ต้องกินยาปฏิชีวนะ การกินน้ำมากๆราวกับเป็นการช่วยทำให้เชื้อโรคถูกขับออกไทยจากระบบทางเดินฉี่ไปเรื่อยๆยิ่งขับออกเร็วมากเท่าไรลักษณะของโรคก็จะหายเร็วมากยิ่งกว่าเดิมเท่านั้นถ้าหากเชื้อสะสมอยู่ในระบบฟุตบาทเยี่ยวก็จะเป็นตัวกระตุ้นการหลั่งสารกรุ๊ป cytokines โดยเฉพาะ interleukin 6  ที่ให้ผลทั้งเฉพาะที่ในระบบทางเท้าปัสสาวะแล้วก็กระทบไปทั่วร่างกาย (systemic effect) คือส่งผลให้เกิดการปวด อักเสบ และจับไข้ได้ ต้นหญ้าหนวดแมวก็ยังสามารถช่วยลดการอักเสบ ปวด ไข้ รวมถึงคุ้มครองปกป้องไม่ให้เชื้อติดตามเนื้อเยื่อระบบทางเดินเยี่ยว เชื้อก็จะหลุดออกไปกับน้ำเยี่ยวได้เร็วขึ้น
  • เบาหวาน หญ้าหนวดแมวทำให้น้ำตาลในกระแสโลหิตลดลงเนื่องจากยับยั้งเอนไซม์ α-glucosidase และก็  α-amylase  แล้วก็ลดพิษจากการได้รับกลูโคสปริมาณสูง จึงสามารถนำมาใช้ในคนไข้โรคเบาหวานได้อย่างปลอดภัยแล้วก็ตำรายาโบราณยังบางทีอาจใช้รักษาโรคเบาหวานได้ด้วย
  • นิ่ว ต้นหญ้าหนวดแมวเป็น hypourecimic agent คือขับกรดยูริกออกมาจากกระแสโลหิต ลดการเกิดนิ่วจากกรดยูริกได้ ทั้งยังยังลดการบิดเจ็บในไตที่เกิดขึ้นจากนิ่ว calcium oxalate ได้ด้วย
  • มะเร็ง ต้นหญ้านวดแมวเป็นพิษต่อเซลล์ของมะเร็งหลายประเภทแล้วก็ลดการสร้างเส้นโลหิตใหม่ไม่ให้แตกหน่อไปเลี้ยงก้อนเนื้อโรคมะเร็ง จึงให้ผลดีสำหรับการร่วมรักษาโรคมะเร็งได้
  • ท่อฉี่ตีบแคบ หญ้าหนวดแมวนับว่าเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์มากสำหรับในการช่วยขับเยี่ยวในคนไข้ที่มีปัญหาในเรื่องท่อฉี่ตีบแคบซึ่งเจอได้ย่อยในคุณผู้หญิงสูงวัย เพราะว่าทำให้กล้ามเรียบของท่อเยี่ยวคลายตัว
ต้นแบบ/ขนาดวิธีการใช้ ตามตำรายาไทยกำหนดได้ว่า

  • ใช้ขับปัสสาวะ
  • ใช้กิ่งกับใบต้นหญ้าหนวดแมว ขนาดกึ่งกลาง ไม่แก่หรืออ่อนกระทั่งเกินความจำเป็น ล้างสะอาด เอามาผึ่งในที่ร่มให้แห้ง เอามา 4 กรัม หรือ 4 ถือมือ ชงกับน้ำเดือด 1 ขวดน้ำปลา (750 ซีซี.) เช่นกันชงชา ดื่มต่างน้ำตลอดทั้งวัน กินนาน 1-6 เดือน
  • ใช้ต้นกับใบวันละ 1 กอบมือ (สด 90- 120 กรัม แห้ง 40- 50 กรัม ) ต้มกับน้ำรับประทาน ครั้งละ 1 ถ้วยชา (75 ซีซี.) วันละ 3 ครั้ง ก่อนรับประทานอาหาร
  • ใช้แก้นิ่ว/ขับนิ่ว ให้นำใบอ่อน (ไม่ใช่ดอก) ขอบต้นหญ้าหนวดแมว ราว 2-3 ใบ (ควรเก็บตอนที่ต้นหญ้าหนวดแมวกำลังมีดอก) มาหั่นเป็นท่อนประมาณ 2-3 ซม. ตากแดดให้แห้งแล้วนำมาชงกับน้ำร้อน (โดยประมาณ 2 กรัมต่อน้ำร้อน 1 แก้ว) ปิดฝาทิ้งเอาไว้ 5-10 นาที ใช้ดื่ม วันละ 3-4 ครั้ง
  • แก้อาการคลื่นไส้ อ้วก หนังสือเรียนยาให้ใช้ใช้อีกทั้งใบ และก็กิ่งต้มน้ำรวมกับสารส้ม ดื่มวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร


การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยาของต้นหญ้าหนวดแมวส่วนใหญ่จะมีด้านฤทธิ์การขับฉี่รวมทั้งฤทธิ์ในการรักษานิ่ว อย่างเช่น

  • มีสารฤทธิ์ขับฉี่ ทดสอบป้อนทิงเจอร์ของสารสกัดจากใบด้วยเอทานอลปริมาณร้อยละ 50 และปริมาณร้อยละ 70 ให้หนูแรทพบว่าสารสกัดด้วยเอทานอลร้อยละ 50 มีฤทธิ์ขับเยี่ยวและขับโซเดียมได้ดีมากยิ่งกว่าสารสกัดด้วยเอทานอลความเข้มข้นจำนวนร้อยละ 70 แม้กระนั้นขับโปแตสเซียมออกได้น้อยกว่า นอกเหนือจากนั้นสารสกัดด้วยเอทานอลจำนวนร้อยละ 50 ยังมีฤทธิ์ขับกรดยูริคก้าวหน้ามาก แล้วก็พบว่าสารสกัดด้วยเอทานอลร้อยละ 50 มีจำนวนสารสำคัญ เป็นต้นว่า sinesetine, eupatorine, caffeic acid รวมทั้ง cichoric acid สูงขึ้นมากยิ่งกว่าสารสกัดด้วยเอทานอลร้อยละ 70 แต่ว่ามีสาร rosemarinic acid น้อยกว่า
  • ฤทธิ์สำหรับเพื่อการรักษานิ่ว มีการศึกษาฤทธิ์ในการรักษานิ่วในทางเดินเยี่ยวส่วนบนของต้นหญ้าหนวดแมวเปรียบเทียบกับการดูแลและรักษามาตรฐานด้วยไฮโดรคลอไรไธอาไซด์ และโซเดียมไบคาร์บอเนต พบว่าผู้เจ็บป่วยที่ได้รับหญ้าหนวดแมวมีการขับเคลื่อนของนิ่วบริเวณกระดูกกระเบนเหน็บมากยิ่งกว่า และก็ช่วยลดการใช้ยารับประทานแก้ปวดได้มากกว่ากรุ๊ปที่ใช้ยามาตรฐาน แม้กระนั้นไม่ต่างกันอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ คนไข้ที่ได้รับหญ้าหนวดแมวจะมีความดันเลือดลดลงน้อย เวลาที่กรุ๊ปที่ได้ยามาตรฐานจะมีความดันโลหิตลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คนเจ็บที่ได้รับหญ้าหนวดแมวจะมีชีพจรในช่วงแรก (วันที่ 3 ของการทดลอง) เร็วขึ้น แต่ไม่เจอความเคลื่อนไหวของระดับโปแตสเซียมในเลือด กรุ๊ปที่ได้ยามาตรฐานจะมีเม็ดเลือดแดงในฉี่ในวันที่ 30 ของการทดสอบลดลง ความเคลื่อนไหวของความถ่วงจำเพาะของปัสสาวะทั้งคู่กลุ่มไม่ได้มีความแตกต่างกัน ตอนที่เจอผลกระทบในกรุ๊ปที่ใช้หญ้าหนวดแมวน้อยกว่ากลุ่มที่ใช้ยามาตรฐาน แต่ว่าไม่ต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ มีรายงานผลของการรักษานิ่วในไตในคนเจ็บที่ให้กินยาต้มที่จัดแจงจากใบต้นหญ้าหนวดแมวแห้ง ความเข้มข้นร้อยละ 0.5 ขนาด 300 มล. ครั้งเดียว ติดต่อกันเป็นเวลานาน 1-10 เดือน พบว่า 9 ราย มีการสนองตอบทางคลินิกที่ดี พบว่าเยี่ยวของคนไข้มีแนวโน้มเป็นด่างเพิ่มขึ้น ซึ่งแนะนำว่าน่าจะช่วยลดการเกิดนิ่วจากกรดยูริคได้

นอกจากนั้นยังมีการศึกษาวิจัยในต่างชาติของฤทธิ์สำหรับในการบำบัดและรักษาอาการของโรคต่างๆดังต่อไปนี้

  • การขับเยี่ยว (diuresis) ตอนนี้พบว่าเนื้อเยื่อบุผิวของกระเพาะปัสสาวะ (uroepithelial tissue) ที่มีตัวรับขอบ ที่มีตัวรับของ adenosinereceptor  A1 A2A A2B และ A3    สาระสำคัญในต้นหญ้าหนวดแมวมีกลไกการทำงานที่สำคัญเป็น กระตุ้น adenosine receptor ประเภท A1    receptor แต่ก็ให้ฤทธิ์ที่เกี่ยวเนื่องถึง adenosine receptor อีก 3 จำพวกด้วย ทำให้กล้ามเรียบของกระเพาะปัสสาวะหดตัวแม้กระนั้นกล้ามเนื้อเรียบของท่อเยี่ยว (urethra) คลายตัวซึ่งเอื้อต่อการขับฉี่ ก็เลยน่าจะเป็นกลไกที่ประยุกต์ใช้อธิบายการขับเยี่ยวได้
  • นิ่วในไต (urolithiasis) เป็นโรคที่ยังนับว่าเป็นปัญหาอยู่มากมายและก็ยังไม่รู้จักกลไกที่แจ่มชัด ยาแผนโบราณใช้หญ้าหนวดแมวสำหรับเพื่อการรักษานิ่ว Gao แล้วก็คณะชี้ให้เห็นความสามารถของต้นหญ้าหนวดแมวสำหรับในการปรับแต่งนิ่วที่เกิดขึ้นจากผลึกของ calcium oxalateในเยื่อไตของหนูทดลอง โดยการทำให้สาร biomarker กว่า 20 จำพวกที่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อไตเจ็บจากผลึกของ calcium oxalate สามารถกลับสู่สภาวะปกติได้เรื่องดำเนินการของสารในต้นหญ้าหนวดแมวคาดว่าน่าจะผ่านหลายกลไกในลักษณะ multiple metabolicpathways โดยเฉพาะเมแทบอลิซึมของพลังงานต่างๆกรดอะมิโน taurine hypotaurine purine รวมถึง citrate cycle นอกนั้นยังมีรายงานเพิ่มเติมว่าการขับฉี่บางทีอาจเป็นการช่วยละลายนิ่วแล้วก็ขับออกมากับปัสสาวะง่ายขึ้น ทั้งยังช่วยขับกรดยูริคและก็ป้องกัน  uric acid stone formation
  • การตำหนิดเชื้อของระบบทางเท้าเยี่ยว (urinary tract infection, UTI) เมื่อนำต้นหญ้าหนวดแมวมาใช้ในระบบทางเดินฉี่ ผลประโยชน์ที่น่าสนใจคือ นอกจากจะขับเยี่ยวที่ช่วยให้อาการของการตำหนิดเชื้อแล้ว ยังสามารถลดการยึดติดของเชื้อชนิด uropathognicEscherichia coli กับเซลล์กระเพาะปัสสาวะ ทำให้เชื้อถูกขับออกไปจากระบบฟุตบาทเยี่ยวได้ง่ายรวมทั้งเร็วขึ้น ยิ่งกว่านั้นคุณลักษณะสำหรับการต้านปฏิกิริยาขบวนการออกซิเดชัน ที่จะลดความเคร่งเครียดจากภาวการณ์ออกซิเดชัน (oxidative stress) ก็เลยลดการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาขบวนการออกซิเดชันสำคัญเป็น lipid peroxidation ทำให้ลดการเกิดแผลเป็น (scar formation) ได้
  • การต้านอักเสบ (anti-inflammation) สารสกัดจากใบหญ้าหนวดแมว  (chloroform extract) มีคุณสมบัติตามอักเสบได้ดิบได้ดี ก็เลยมีการนำมาใช้ใน rheumatoid arthritis gout และก็โรคอันเกิดจากการอักเสบต่างๆกลไกหนึ่งของสารสกัดต้นหญ้าหนวดแมวที่ลดการอักเสบเป็นยั้ง cytosolic phospholipaseA2a (cPLA2a) ทำให้การสลาย phospholipid ต่ำลงสาร eupatorin แล้วก็ sinensetin ยับยั้งการแสดงออกของยีน iNOS และ COX-2 ทำให้การสังเคราะห์ nitric oxide รวมทั้ง PGE2 ลดน้อยลงเป็นลำดับ เว้นแต่สารกลุ่ม phenolic compounds  คือ eupatorin และก็sinensetin แล้วสารกรุ๊ป diterpines ในต้นหญ้าหนวดแมวก็สามารถยั้งการสังเคราะห์ nitric oxide ได้เหมือนกัน นอกจากนี้ยังลดการสังเคราะห์ tumornecrosis factor a อีกด้วย คาดการณ์ว่ากลไกการต้านอักเสบผ่าน transcription factor ที่ชื่อ STAT1a
  • การลดไข้ (antipyretic activity)สารสกัดจากหญ้าหนวดแมวมีคุณลักษณะลดการเกิดไข้ได้โดยสารสำคัญที่ออกฤทธิ์เป็น rosmarinic acid,sinensetin, eupatorin รวมทั้ง tetramethoxy-flavone จุดเด่นที่นอกเหนือจากการต่อต้านอักเสบและลดไข้แล้วยังช่วยลดของกินปวดได้อีกด้วย31 ซึ่งอาการอักเสบ ไข้และปวดจะพบมากในการติดโรคของระบบทางเดินฉี่
  • สภาวะน้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycaemia) การใช้หญ้าหนวดแมวในผู้เจ็บป่วยเบาหวานคงจะมีความปลอดภัยสูงเนื่องด้วยสารสกัดต้นหญ้าหนวดแมว สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูทดลองที่เป็นเบาหวานได้ โดยยั้งเอนไซม์ a-glucosidase เพิ่มการแสดงออกของยีนอินซูลินรวมทั้งคุ้มครองปกป้องความเป็นพิษที่เกิดขึ้นมาจากการรับเดกซ์โทรสขนาดสูงๆ(high glucosetoxicity) โดยผ่านการเติมหมู่ฟอสเฟตให้กับphosphatidylino-sitol 3-kinase (PI3K)


เมื่อทำการสกัดแยกสาร sinensetin ออกมาทดลองฤทธิ์การขัดขวางเอนไซม์ a-glucosidase รวมทั้งa-amylase ก็พบว่าสมรรถนะของสารบริสุทธิ์sinensetin ในการยับยั้งเอนไซม์ a-glucosidase สูงยิ่งกว่าสารสกัดต้นหญ้าหนวดแมว (ethanolic extract) ถึง 7 เท่า ด้วยค่า IC50 พอๆกับ 0.66 และ 4.63 มก.ต่อมิลลิลิตร เป็นลำดับ ในขณะที่สมรรถนะของsinensetin สำหรับเพื่อการยับยั้งเอนไซม์ a-amylase สูงขึ้นยิ่งกว่าสารสกัดหญ้าหนวดแมวถึง 32.5 เท่า ด้วยค่า IC50 พอๆกับ 1.13 แล้วก็ 36.7 มก.ต่อมิลลิลิตรตามลำดับ จึงคาดการณ์ว่าสาร sinensetin บางทีอาจเป็นสารสำคัญในการออกฤทธิ์ของต้นหญ้าหนวดแมวในการต้านทานเบาหวานประเภทที่ไม่ขึ้นกับอินซูลิน (non-insulin-dependent diabetes) ได้

  • ความดันเลือดสูง (Hypertension) สารสกัดต้นหญ้าหนวดแมว สามารถลดสภาวะหลอดเลือดหดรัด (vasoconstriction) ด้วยการหยุดยั้งตัวรับ alpha 1 adrenergic และก็ angiotensin 1 จึงคงจะไม่มีอันตรายในผู้ป่วยความดันเลือดสูง นอกจากจะไม่เป็นอันตรายในคนป่วยความดันโลหิตสูงแล้วยังสามารถนำมาใช้ผลดีสำหรับในการรักษาความดันเลือดสูงได้ด้วย คาดว่าสารสำคัญที่ออกฤทธิ์มาจากกรุ๊ป diterpenes รวมทั้ง methylripario-chromene A
  • พิษต่อเซลล์มะเร็ง (cytotoxicity)ต้นหญ้าหนวดแมวที่สกัดด้วยวิธี supercritical carbon-dioxide ให้ผลที่น่าดึงดูด ในการยั้งการเติบโตของเซลล์ของโรคมะเร็งต่อมลูกหมากด้วยความเข้มข้นที่ยั้งการก้าวหน้าของเซลล์ (inhibitory concemtration) ได้ 50 % เป็นค่า IC50 ต่ำเพียง 28 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร เมื่อศึกษาลงไปในระดับเซลล์ก็พบว่าทำให้เซลล์ตายในลักษณะ apoptosis ที่สามารถมองเห็น nuclearcondensation รวมทั้งความไม่ปกติของเยื่อไมโตคอนเดรียได้อย่างเห็นได้ชัด เมื่อทำสกัดสาร eupatorin มาทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งหลายๆชนิดก็ให้ค่า    IC50  ในระดับตำเป็นไมโครโมล่าร์ ด้วยการหยุดยั้งวงจรการแบ่งเซลล์ ระยะ G2/M phase จุดเด่นที่เหนือยาเคมีบรรเทาในขณะนี้คือ eupatorin ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ธรรมดา
  • การต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (anti-oxidation) สารสกัดหญ้าหนวดแมวสามารถลดสารอนุมูลอิสระ เป็นต้นว่า การลดปฏิกิริยา lipid peroxidation ทำให้เยื่อเซลล์คงทนและก็แข็งแรง ก็เลยลดการเกิดรอยแผลของระบบฟุตบาทปัสสาวะได้  เว้นแต่ลดการเกิดปฏิกิริยา lipid peroxidation แล้วยังสามารถลดการเกิด hydrogen peroxide ได้อีกด้วย ทำให้เซลล์รอดพ้นจากการตายแบบ apoptosis ด้วยการเพิ่มการแสดงออกของยีน  Bcl-2  พร้อมกับลดการแสดงออกของยีน Bax42  Ho แล้วก็แผนกตรวจสอบและลองใช้เคล็ดวิธีultrasound-assisted extraction (UAE) มาช่วยในการสกัดสารจากต้นหญ้าหนวดแมวทำได้สารสกัดที่มีฤทธิ์ต่อต้านปฏิกิริยาขบวนการออกซิเดชัน โดยเจอสารrosmarinic  acid,  kaempferol-rutinoside  แล้วก็sinesetine อยู่ในสารสกัดดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้ว


การเรียนรู้ทางพิษวิทยา เมื่อฉีดสารสกัดด้วยน้ำร้อนจากใบรวมทั้งลำต้นเข้าช่องท้องหนูแรทเพศผู้และก็เพศเมีย หนูเม้าส์เพศผู้และเพศเมีย พบความเป็นพิษปานกลาง   เมื่อป้อนสารสกัดเดียวดันนี้ให้กับหนูแรททั้งสองเพศทุกวันต่อเนื่องกัน 30 วัน ไม่เจอการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัว ค่าการตรวจทางชีวเคมีในเลือด รวมทั้งพยาธิภาวะของอวัยวะสำคัญเมื่อดูด้วยตาเปล่า  และเมื่อเรียนรู้ความเป็นพิษในระยะยาวนาน 6 เดือน โดยการป้อนหนูแรทด้วยยาชงด้วยน้ำร้อน ซึ่งมีความแรงเสมอกันกับ 11.25, 112.5 รวมทั้ง 225 เท่าของขนาดที่ใช้ในคนป่วยโรคนิ่วในท่อไต ไม่เจอความแตกต่างของการเจริญเติบโต  การกินของกิน ลักษณะด้านนอกหรือความประพฤติปฏิบัติที่แตกต่างจากปกติ และค่าการตรวจทางวิชาชีวเคมีในเลือดเมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปควบคุม นอกจากปริมาณเกร็ดเลือดจะมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อใช้ยาในขนาด 18 กรัม/กิโล/วัน พบว่าระดับโซเดียมในเลือดในกลุ่มทดลองทุกกลุ่ม โปแตสเซียมในหนูเพศภรรยา และก็คอเลสเตอรอลในหนูเพศผู้ จะหรูหราต่ำกว่ากรุ๊ปควบคุม   นอกนั้น เมื่อป้อนหนูแรทด้วยสารสกัดจากหญ้าหนวดแมว ติดต่อกันนาน 6 เดือน เปรียบเทียบกลุ่มควบคุม พบว่า หนูทุกกรุ๊ปมีการเจริญเติบโตและก็ทานอาหารได้ใกล้เคียงกัน ไม่พบความไม่ปกติในระบบโลหิตวิทยารวมทั้งความแปลกของอวัยวะภายใน ส่วนการตรวจผลทางชีวเคมีพบว่าหนูที่ได้รับสารสกัดทุกขนาดมีระดับโซเดียมน้อยกว่ากลุ่มควบคุม แต่ว่าระดับโปแตสเซียมมีลักษณะท่าทางสูงมากขึ้น ในหนูเพศผู้ที่ได้รับสารสกัด 0.96 กรัม/กก./วัน จะมีน้ำหนักโดยเฉลี่ยของตับและม้ามมากยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุม อย่างไรก็ดีการตรวจทางจุลพยาธิภาวะไม่พบความแปลกที่เซลล์ตับและก็อวัยวะอื่นๆยกเว้นการโป่งพองของกรวยไตในหนูขาวที่ได้รับสารสกัด 4.8 กรัม/กก./วัน ที่มีปริมาณเพิ่มมากกว่ากรุ๊ปควบคุม  กล่าวโดยสรุปสารสกัดหญ้าหนวดแมวเป็นพิษน้อย  แม้กระนั้นจำเป็นต้องรอติดตามวัดระดับโซเดียมแล้วก็โปแตสเซียมถ้าใช้ติดต่อกันนาน
คำแนะนำ/สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวัง

  • สำหรับคนที่เป็นโรคไตหรือโรคหัวใจ ไม่ควรใช้สมุนไพรต้นหญ้าหนวดแมว เพราะว่าสมุนไพรชนิดนี้มีสารโพแทสเซียมสูงมาก ถ้าหากว่าไตเปลี่ยนไปจากปกติก็จะไม่สามารถขับโพแทสเซียมออกมาได้ ส่งผลให้เกิดโทษต่อสุขภาพร่างกายอย่างร้ายแรง แล้วก็ยังมีฤทธิ์สำหรับการขับปัสสาวะให้ออกมามากยิ่งกว่าปกติ แล้วก็เกรงว่าขนาดของโพแทสเซียมที่สูงมากมายนั้น บางครั้งก็อาจจะไปกระตุ้นหัวใจให้เต้นเร็วไม่ดีเหมือนปกติ ก็เลยอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อโรคหัวใจได้
  • การใช้ใบชองต้นหญ้าหนวดแมวไม่สมควรใช้การต้ม ให้ใช้การชง แล้วก็ควรใช้ใบอ่อน เพราะเหตุว่าใบแก่จะมีความเข้มข้นอาจทำให้มีฤทธิ์กดหัวจิตใจ
  • การเลือกต้นประยุกต์ใช้เป็นยาสมุนไพร ควรเลือกต้นที่ดูแข็งแรง แข็งรวมทั้งหนา ไม่อ่อนห้อยลงมา ลำต้นดูอ้วนเป็นเหลี่ยม ต้นมีสีม่วงแดงเข้ม แล้วก็มองได้จากใบที่มีสีเขียวเข้มเป็นมันและก็ใหญ่
  • การใช้สมุนไพรหญ้าหนวดแมวเพื่อรักษานิ่วจะได้ผลดีก็เมื่อใช้กับนิ่วก้อนเล็กๆแม้กระนั้นจะไม่ได้ผลกับก้อนนิ่วที่มีขนาดใหญ่
  • สมุนไพรหญ้าหนวดแมว ไม่สมควรใช้ร่วมกับยาแอสไพริน เนื่องจากต้นหญ้าหนวดแมวจะทำให้ยาแอสไพรินไปจับกล้ามเนื้อหัวใจเพิ่มมากขึ้น
  • ผลกระทบของหญ้าหนวดแมว ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับคนธรรมดาที่ไม่เคยเป็นโรคหัวใจมาก่อน โดยอาการที่อาจเจอได้เป็น ใจสั่น หายใจไม่สะดวก โดยเหตุนั้นการใช้สมุนไพรประเภทนี้หนแรก แม้ใช้ขั้นตอนการชงดื่มให้ใช้แนวทางจิบๆดูซิ ถ้ามีอาการแตกต่างจากปกติก็ควรจะหยุด แล้วดื่มน้ำตามให้มากมายๆครู่หนึ่งอาการก็จะหายไปเอง
เอกสารอ้างอิ

23

สมุนไพรเมื่อย
ปวดเมื่อย Gnetum montanum Markgraf
บางถิ่นเรียกว่า เมื่อยล้า (จังหวัดตราด) ม่วย (จังหวัดเชียงราย จังหวัดอุบลราชธานี) มะม่วย (จังหวัดเชียงใหม่) แฮนม่วย (เลย)
ไม้เถา เนื้อแข็ง กิ่งเป็นข้อต่อกันแล้วก็ตามข้อจะบวมพอง ใบ ผู้เดียว เรียงเป็นคู่สลับตั้งฉาก ใบรูปขอบขนานแกมรูปไข่ มีขนาดไม่เหมือนกันมาก แต่กว้างไม่เกิน 12 ซม. ยาวไม่เกิน 20 เซนติเมตร ปลายใบเป็นติ่งแหลม โคนใบกลม มน หรือ แหลม ขอบของใบเรียบ เนื้อเรือใบแข็งครึ้ม หรือ ออกจะหนา เมื่อแห้งสีออกดำ เส้นใบโค้ง ก้านใบยาว 1-1.5 ซม. ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอดและก็ตามลำต้น สมุนไพร ช่อดอกแตกกิ่งก้านสาขามา แยกเป็นช่อดอกเพศผู้และก็เพศเมีย ดอกเรียงเป็นชั้นๆรอบศูนย์กลาง ช่อดอกเพศผู้ กว้างโดยประมาณ 0.4 ซม. ยาวราวๆ 3 เซนติเมตร แต่ละชั้นมีประมาณ 20 ดอก ช่อดอกเพศภรรยา แต่ละชั้นมี 5-7 ดอก ผล รูปรี กว้างโดยประมาณ 1 เซนติเมตร ยาว 1.5 ซม. เมื่อสุกสีแดง ก้านผลอ้วน ยาวราว 0.2 เซนติเมตร

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นในขั้นสูงจากน้ำทะเล 50-1,800 มัธยม เจอในทุกภาคของประเทศ ยกเว้นภาคกลาง
คุณประโยชน์ : ราก น้ำสุกรากรับประทานแก้พิษบางประเภท และก็แก้ไข้ไข้มาลาเรีย

Tags : สมุนไพร

24

โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis)
รคสะเก็ดเงิน คืออะไร โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) โรคเกล็ดเงิน หรือโรคเรื้อนกวาง เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังชนิดหนึ่งที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อและไม่ใช่โรคติดต่อ รอยโรคมีลักษณะขึ้นเป็นผื่นหรือปื้นแดง หนา เจ็บ คัน และตกสะเก็ดเป็นเกล็ดสีเงินปกคลุม จึงได้ชื่อว่าโรคสะเก็ดเงิน โดยเกิดจากการแบ่งตัวผิดปกติของเซลล์ผิวหนังอย่างรวดเร็วกว่าปกติโดยการกระตุ้นของสารเคมีจากเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เรียกว่า ลิมโฟไซต์ (Lymphocytes) ชนิดเซลล์ที (T-cell) ทำให้เกิดการอักเสบจนเกิดเป็นผื่นหรือปื้นหนาขนาดใหญ่ และโรคสะเก็ดเงินนี้สามารถเกิดกับผิวหนังได้ทุกส่วน แต่ที่พบได้บ่อยคือ ผิวหนังส่วนข้อศอก (ด้านนอก) เข่า (ด้านนอก) ผิวหนังส่วนด้านหลัง หลังมือ หลังเท้า หนังศีรษะ และใบหน้า โรคสะเก็ดเงินจัดเป็นโรคผิวหนังที่พบได้เรื่อยๆไม่ถึงกับบ่อยมาก(ประมาณ 3% ของคนทั่วไปเกิดได้ในทุกอายุตั้ง แต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ แต่พบได้บ่อยกว่าเมื่ออายุ 25 ปีขึ้นไป เพราะปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรคในเด็กยังมีไม่มาก เช่น ความเครียด การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน ส่วนโอกาสที่พบในผู้หญิงและในผู้ชายมีใกล้เคียงกัน ผู้ป่วยมักจะเริ่มมีอาการครั้งแรกในช่วงอายุ 10-40 ปี ผู้ป่วยประมาณ 30% พบว่ามีประวัติโรคนี้ในครอบครัว
ในปัจจุบัน โรคสะเก็ดเงินไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะทางผิวหนัง แต่อาจพบมีสัมพันธ์กับโรคอื่นๆได้แก่  โรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน และกลุ่ม metabolic syndrome ได้แก่   โรคอ้วน   
                     ที่มา : Wikipedia                       ภาวะไขมันในเลือดสูง และเบาหวาน เป็นต้น
สาเหตุของโรคสะเก็ดเงิน ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรคสะเก็ดเงิน แต่จากการศึกษาเชื่อว่า เกิดจากหลายปัจจัยร่วมกันเช่น อาจเกิดมาจากเซลล์เม็ดเลือดขาวในระบบภูมิคุ้มกันเกิดความผิดปกติ จึงได้ทำลายเซลล์ผิวหนังแทนสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย หรืออาจเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางพันธุกรรม คือ โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคทางพันธุกรรม ที่มีแบบแผนการถ่ายทอดทางพันธุกรรมไม่ชัดเจน โดยพบว่าถ้าบิดาและมารดาเป็นโรคนี้ บุตรที่เกิดมาจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูงถึง 65-83% ถ้าบิดาหรือมารดาคนใดคนหนึ่งเป็นโรค บุตรที่เกิดมาจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ลดลงเหลือ 28-50% หรือถ้ามีพี่น้องในครอบครัวเป็นโรคนี้โดยที่บิดาและมารดาไม่ได้เป็นโรค บุตรคนถัดไปที่เกิดมาก็มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูงถึง 24% แต่ถ้าทั้งบิดาและมารดาไม่เป็นโรคนี้เลย บุตรที่เกิดมาจะมีโอกาสเป็นโรคนี้น้อยลงไปเหลือเพียง 4%  และยังพบว่ายังเกี่ยวข้องกับความผิดปกติอื่นๆ เช่น ความผิดปกติใน metabolism ของ Arachidonic acid และความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของผิวหนัง บริเวณรอยโรคของ Psoriasis เซลล์ผิวหนังในชั้น epidermis มีการแบ่งตัวเร็วกว่าปกติหลายเท่า และเคลื่อนตัวมาที่ผิวนอกภายในเวลา 4วัน (ปกติใช้เวลา 28วัน) ทำให้ผิวหนังหนาเป็นปื้น แต่เซลล์ผิวหนังขาดแรงยึดเหนี่ยวกันตามปกติ ทำให้ keratin หลุดลอกออกเป็นแผ่นๆได้ง่าย มักพบมีอาการกำเริบเวลามีภาวะเครียดทางกาย และจิตใจที่มากเกินไป การติดเชื้อ การได้รับบาดเจ็บ การขูดข่วนผิวหนัง การแพ้แดด การแพ้ยา (เช่น Chloroquin, Beta-Blocker, Contraceptive, NSAIDs)
อาการของโรคสะเก็ดเงิน  อาการของโรคสะเก็ดเงินนี้มีหลายชนิด ซึ่งผู้ป่วยอาจเป็นชนิดเดียวหรือหลายชนิดก็ได้ โดยโรคสะเก็ดเงินจำแนกเป็นชนิดต่างๆตามลักษณะทางคลินิกดังต่อไปนี้

  • ชนิดผื่นหนา (Plaque psoriasis) เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด (ประมาณ 80%) รอยโรคเป็นผื่นแดงหนา ขอบเขตชัด ขุยหนาสีขาวหรือสีเงินจึงได้ชื่อว่า”โรคสะเก็ดเงิน” พบบ่อยบริเวณหนังศีรษะ ลำตัว แขนขา โดยเฉพาะบริเวณ ข้อศอก และหัวเข่าซึ่งเป็นบริเวณที่มีการเสียดสี
  • ชนิดผื่นขนาดเล็ก (Guttate psoriasis) พบได้ประมาณ 10% มีรอยโรคเป็นตุ่มแดงเล็กคล้ายหยดน้ำขนาดเล็กไม่เกิน 1 เซนติเมตร มีขุย ผู้ป่วยมักมีอายุน้อยกว่า 30 ปี และอาจมีประวัติการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนนำมาก่อน
  • ชนิดที่มีตุ่มหนอง (Pustular Psoriasis) เป็นชนิดที่เกิดได้มากในวัยผู้ใหญ่ บริเวณผิวหนังมีตุ่มหนองสีขาวกระจายเป็นวงกว้างและเกิดการอักเสบจนแดง มักพบมากตามแขนขา อาจเกิดการแพร่กระจายไปทั่วลำตัวได้ บางรายอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ไข้ขึ้น รู้สึกคันตามผิวหนัง ไม่อยากอาหาร
  • ชนิดผื่นแดงลอกทั่วตัว (Erythrodermic psoriasis) เป็นสะเก็ดเงินชนิดรุนแรงพบได้น้อย (ประมาณ 3%) โดนผิวหนังมีลักษณะแดงและมีขุยลอกเกือบทั่วพื้นที่ผิวทั้งหมดของร่างกาย อาจเกิดจากการขาดยาหรือมีปัจจัยกระตุ้น
  • สะเก็ดเงินบริเวณซอกพับ (Inverse psoriasis) เป็นโรคสะเก็ดเงินที่มีรอยโรคในบริเวณซอกพับของร่างกาย ได้แก่ รักแร้ ขาหนีบ และใต้ราวนม รอบอวัยวะเพศ เป็นต้น ลักษณะเป็นผื่นแดงเรื้อรังและมักไม่ค่อยมีขุย
  • สะเก็ดเงินบริเวณมือเท้า (Palmoplantar psoriasis) เป็นโรคสะเก็ดเงินบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า ลักษณะเป็นผื่นแดงขอบเขตชัดเจน ขุยลอก ผื่นอาจพบลามมาบริเวณหลังมือ หลังเท้าได้
  • เล็บสะเก็ดเงิน (Psoriatic nails) ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินมักพบมีความผิดปกติของเล็บร่วมด้วย ที่พบบ่อยได้แก่ เล็บเป็นหลุม, เล็บร่อน, เล็บหนาตัวขึ้นและเล็บผิดรูป
  • ข้ออักเสบสะเก็ดเงิน (Psoriatic arthritis) ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินอาจพบมีความผิดปกติการอักเสบของข้อร่วมด้วย ซึ่งพบได้ทั้งข้อใหญ่ ข้อเล็ก อาจเป็นข้อเดียว หรือ หลายข้อ ส่วนใหญ่การอักเสบของมือจะเกิดที่ข้อนิ้วมือซึ่งหากเป็นเรื้อรังและทำให้เกิดการผิดรูปได้

    แนวทางการรักษาโรคสะเก็ดเงิน การวินิจฉัย อาศัยประวัติและการตรวจร่างกายเป็นหลัก คือ

    ลักษณะทางคลินิก

    ซักประวัติอาการ

  • เป็นผื่นเรื้อรัง
  • มีหรือไม่มีอาการคัน
  • มีประวัติครอบครัวที่เป็นโรคสะเก็ดเงินหรือไม่
  • ผื่นกำเริบภายหลังภาวะติดเชื้อ ความเครียด หรือหลังได้รับยาบางชนิด เช่น lithium, antimalarial , beta-blocker, NSAID และ alcohol



การตรวจร่างกาย

  • ผิวหนัง มีผื่นหนาสีแดง ขอบชัดเจนคลุมด้วยขุยหนาขาวคล้ายสีเงิน ซึ่งสามารถขูดออกได้ง่าย และเมื่อขูดขุยหมาดจะมีจุดเลือดออกบนรอยผื่น (Auspitz’s sign) บนรอยแผลถลอกหรือรอยแผลผ่าตัด (Koebner phenomenon)






โดยผื่นผิวหนังพบได้หลายลักษณะ เช่น ผื่นหนาเฉพาะที่  (Chronic plaque type) ผื่นขนาดหยดน้ำ (Guttate psoriasis)  ผิวหนังแดงลอกทั่วตัว (Erythroderma) ตุ่มหนอง (Pustular psoriasis)

  • เล็บ พบมีหลุม (pitting) เล็บร่อน (onycholysis) ปลายเล็บหนามีขุยใต้เล็บ (subungual hyperkeratosis) หรือจุดสีน้ำตาลใต้เล็บ (oil spot)
  • ข้อ มีการอักเสบของข้อซึ่งอาจเป็นได้ทั้งข้อใหญ่ ข้อเล็ก เป็นข้อเดียว หรือหลายข้อ และอาจจะมีข้อพิการตามหลังการอักเสบเรื้อรัง

การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

  • การตรวจทางพยาธิ พยาธิสภาพของผื่นสะเก็ดเงินจะมีลักษณะเฉพาะ แต่ไม่จำเป็นต้องทำทุกราย อาจทำเพื่อช่วยในการวินิจฉัยแยกโรคเพื่อยืนยันการวินิจฉัยและช่วยวินิจฉัยโรคในกรณีที่มีปัญหา เช่น การตรวจ KOH เพื่อแยกโรคเชื้อรา และการทำ Patch Test เพื่อแยกโรค Contact dermatitis เป็นต้น




โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาได้หายขาด แต่การรักษาทำได้เพียงบรรเทาอาการให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้น ลดการอักเสบและผิวหนังที่ตกสะเก็ด ชะลอการเติบโตของเซลล์ผิวหนัง และขจัดผิวหนังที่เป็นแผ่นแข็ง ซึ่งการรักษาสามารถทำได้หลายวิธี
โดยแนวทางการรักษาโรคสะเก็ดเงิน ขึ้นกับความรุนแรงของโรคดังนี้
     - สะเก็ดเงินความรุนแรงน้อย หมายถึง ผื่นน้อยกว่า10% ของพื้นที่ผิวทั่วร่างกาย (ผื่นขนาดประมาณ 1 ฝ่ามือเท่ากับพื้นที่ประมาณ1%) ให้การรักษาโดยใช้ยาทาเป็นอันดับแรก
     - สะเก็ดเงินความรุนแรงมากหมายถึง ผื่นมากกว่า10% ของพื้นที่ผิวทั่วร่างกาย พิจารณาให้การรักษาโดยใช้ยารับประทานหรือฉายแสงอาทิตย์เทียม หรืออาจใช้ร่วมกันระหว่างยารับประทานหรือฉายแสงอาทิตย์เทียมและยาทารวมถึงอาจต้องพิจารณาใช้ยาฉีด
การรักษาโรคสะเก็ดเงินในปัจจุบันมีการรักษาอยู่ 4 ประเภท ได้แก่
ยาทาภายนอก ยาทารักษาโรคสะเก็ดเงิน มีหลายชนิด ได้แก่
     1.ยาทาคอติโคสเตียรอยด์ (topical corticosteroids) ส่วนใหญ่นิยมใช้เนื่องจากเป็นครีมขาวใช้ง่าย และตอบสนองต่อการรักษาดีแต่หากใช้ยาที่แรงเกินไปร่วมกับทาเป็นระยะเวลานานจะทำให้เกิดผิวหนังบางและเกิดรอยแตกของผิวหนังได้ รวมถึงอาจเกิดการดื้อยาและอาจกดการทำงานของต่อมหมวกไตได้

  • น้ำมันดิน (tar)มีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลผิวหนังที่ผิดปกติ ประสิทธิภาพดี แต่น้ำมันดินมีสีน้ำตาล กลิ่นเหม็น เวลาทาอาจทำให้เปรอะเปื้อนเสื้อผ้าอาจพบผลข้างเคียงคือเกิดรูขุมขนอักเสบ หรือระคายเคืองผิวหนังบริเวณที่ทายาได้
  • แอนทราลิน (anthralin, dithranol)มีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลผิวหนังที่ผิดปกติ แต่อาจทำให้ระคายเคืองผิวหนังรวมถึงผิวหนังบริเวณที่ทายามีสีคล้ำขึ้นได้
  • อนุพันธ์วิตามิน ดี (calipotriol)มีฤทธิ์ทำให้การแบ่งตัวของเซลผิวหนังกลับสู่ปกติข้อเสียของยานี้คือหากทาบริเวณผิวหนังที่บาง อาจมีการระคายเคืองได้ และยามีราคาแพงปัจจุบันมียาทาที่ผสมระหว่างอนุพันธ์วิตามิน ดี และยาทาคอติโคสเตียรอยด์เข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดผลข้างเคียง
  • ยาทากลุ่ม calcineurin inhibitor (tacrolimus,pimecrolimus) เป็นยากลุ่มใหม่แพทย์บางรายนำมาใช้ในการรักษาผื่นโรคสะเก็ดเงินบริเวณหน้าหรือตามซอกพับเพื่อต้องการหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงจากยาทาคอติโคสเตียรอยด์แต่ยังไม่แพร่หลายเนื่องจากยามีราคาแพง
ยารับประทานรักษาโรคสะเก็ดเงิน พิจารณาให้กรณีสะเก็ดเงินรุนแรงปานกลางถึงมาก ที่ใช้บ่อยในประเทศไทยมี 3 ชนิด

  • เมทโทเทรกเสท (methotrexate) เป็นยาที่ได้ผลดีกับสะเก็ดเงินเกือบทุกชนิด ออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลผิวหนังที่ผิดปกติ รวมถึงมีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันของร่างกาย ผลข้างเคียงของเมทโทเทรกเสทที่อาจพบ ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน หากรับประทานยาติดต่อกันนานหลายปีจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดตับแข็งได้ แพทย์จึงต้องทำการตรวจเลือดผู้ป่วยเพื่อดูการทำงานของเม็ดเลือด ตับละไตเป็นระยะ
  • อาซิเทรติน (acitretin) เป็นยารับประทานในกลุ่ม vitamin A ได้ผลดีมากสำหรับสะเก็ดเงินชนิดตุ่มหนอง ผลข้างเคียงที่อาจพบ ได้แก่ ปากแห้งลอก ผิวแห้ง มือเท้าตึงลอก รอบเล็บอักเสบ ระดับไขมันในเลือดสูง และอาจทำให้เกิดตับอักเสบได้ ข้อควรระวังสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับยานี้คือ ห้ามตั้งครรภ์เนื่องจากทารกในครรภ์อาจพิการได้ โดยต้องคุมกำเนิดขณะรับประทานและต้องคุมกำเนิดต่อไปอีกอย่างน้อย 2 ปีหลังหยุดยา
  • ไซโคลสปอริน (cyclosporin) มีฤทธิ์ลดการอักเสบและยับยั้งภูมิคุ้มกันของร่างกาย ประสิทธิภาพในการรักษาดีใช้กรณีสะเก็ดเงินรุนแรงปานกลางถึงมาก ผลข้างเคียง ได้แก่ ขนยาว เหงือกบวม เป็นพิษต่อไต และความดันโลหิตสูง ดังนั้นจึงต้องเจาะเลือดติดตามการทำงานของไตและวัดความดันโลหิตเป็นระยะ
การฉายแสงอาทิตย์เทียม (Phototherapy)
     เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลดีในการรักษาสะเก็ดเงิน โดยจะใช้รังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งปัจจุบันที่ใช้ในการรักษาโรคสะเก็ดเงินมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ รังสีอัลตราไวโอเลต A (320-400nm) และรังสีอัลตราไวโอเลต B (290-320nm) ซึ่งผู้ป่วยต้องมารับการรักษา 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 เดือนติดต่อกัน โดยจะให้ผลดีประมาณ 70 - 80% ขึ้นไป พบผลข้างเคียงน้อย  ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคันและแดงบริเวณผิวหนังที่ฉายแสงหลังทำการรักษา ข้อดีคือส่วนใหญ่การกลับเป็นซ้ำของโรคจะน้อยกว่าการรักษาโดยใช้ยาทาหรือยารับประทาน
ยาฉีดกลุ่มชีวภาพ (Biological agents)
     เป็นยาใหม่ที่มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย อยู่ในรูปยาฉีดเข้าเส้นหรือเข้าใต้ชั้นไขมัน ซึ่งยาบางชนิดฉีดสัปดาห์ละ  2 ครั้ง บางชนิดอาจฉีดห่างกันทุก 3 เดือน ซึ่งยาฉีดประเภทที่กล่าวมานี้ เช่น อะเลฟเซ็บ (Alefacept) อีทาเนอร์เซ็บ (Etanercept) อีฟาลิซูแม็บ (Efalizumab) อินฟลิกซิแมบ (Infliximab)  ข้อเสียคือ ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่เนื่องจากยาในกลุ่มนี้เป็นยาใหม่ จึงต้องติดตามผลข้างเคียงระยะยาว นอกจากการรักษาข้างต้นที่กล่าวมาแล้วนั้น การให้ความรู้ผู้ป่วยและญาติมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน การเข้าใจความจริงที่ว่าสะเก็ดเงินเป็นโรคไม่ติดต่อ ผู้ป่วยจะไม่ถูกรังเกียจจากคนรอบข้าง ญาติและคนใกล้ชิดควรเข้าใจและให้กำลังใจผู้ป่วย
ปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคสะเก็ดเงิน

  • พันธุกรรม เพราะพบโรคได้สูงในคนมีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้
  • อาจติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียบางชนิดบ่อยๆเช่น โรคต่อมทอนซิลอักเสบจากเชื้อ สเตร็ปโตคอกคัส
  • ภาวะมีความเครียด เพราะความเครียดส่งผลให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำหรือ ผิดปกติได้
  • มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคผิดปกติหรือบกพร่อง เพราะพบโรคได้สูงขึ้นในคนกลุ่มนี้เช่น ผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) หรือโรคเอดส์
  • กินยาบางชนิดเช่น ยาลดความดันโลหิตบางชนิด หรือยาทางด้านจิตเวชบางชนิด หรือ ยาที่มีผลกดภูมิคุ้มกันต้านทานโรคเช่น ยาในกลุ่มสเตียรอยด์
  • ในคนสูบบุหรี่ ซึ่งอาจจากสารพิษต่างๆในควันบุหรี่ส่งผลต่อภูมิคุ้มกันต้านทานโรค หรือ เพราะมีความเครียดจึงสูบบุหรี่
  • ในคนอ้วนหรือโรคอ้วน
การติดต่อของโรคสะเก็ดเงิน เนื่องจากโรคสะเก็ดเงินเป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่นอนแต่เชื่อกันว่าเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน เช่น พันธุกรรม ภูมิต้านทาน/ภูมิคุ้มกัน ที่ผิดปกติ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ที่ทำให้เกิดโรคสะเก็ดเงินขึ้นมาและโรคสะเก็ดเงินไม่ใช่โรคติดต่อ ดังนั้นคนที่สัมผัสคนเป็นโรคสะเก็ดเงินหรือผิวหนังส่วนเกิดโรคหรือแม้แต่สะเก็ดของผิวหนังส่วนเกิดโรคจึงไม่เกิดเป็นโรคสะเก็ดเงินแต่อย่างใด อีกทั้งยังไม่มีรายงานว่าโรคสะเก็ดเงินมีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คน
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคสะเก็ดเงิน

  • ปฏิบัติตามแพทย์/พยาบาลแนะนำ
  • ทายา กินยาตามแพทย์แนะนำอย่างถูกต้อง อย่าขาดยา
  • หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยต่อความรุนแรงของโรคดังกล่าวแล้ว โดยเฉพาะบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • อาบน้ำโดยใช้สบู่เด็กอ่อน อาจใช้สบู่สำหรับผิวแห้งมาก (สบู่ผสมน้ำมัน) ในบริเวณผิว หนังส่วนเกิดโรค
  • กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายแข็ง แรงลดโอกาสติดเชื้อ
  • ตากแดดอ่อนๆทุกวันตามแพทย์/พยาบาลแนะนำ
  • หลีกเลี่ยงภาวะที่จะทำให้เครียดเพราะความเครียดเป็นตัวเร็งให้อาการของโรคกำเริบ
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและมีสุขภาพจิตที่ดี
  • พบแพทย์ตามนัดเสมอ และรีบพบก่อนนัดเมื่ออาการต่างๆเลวลง หรือมีอาการผิดปกติไปจากเดิม หรือเมื่อกังวลกับอาการ
การป้องกันตนเองจากโรคสะเก็ดเงิน เนื่องจากโรคสะเก็ดเงินยังไม่พบสาเหตุการเกิดที่แน่ชัดดังนั้น การป้องกันโรคจึงยังไม่สามารถทำได้เต็มประสิทธิภาพ แต่ทางที่ดีที่สุดในการป้องกันโรค คือ ต้องพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นของการเกิดโรค เช่น พยายามหลีกเลี่ยงความเครียดในชีวิตประจำวันให้มากที่สุด การรับประทานยาบางชนิดควรมีการปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยา เช่น ยาลิเทียม ยาต่อต้านมาลาเรีย (Chlroquine)  ยาลดความดันโลหิต (Bota-Blocker) ยาในกลุ่มลดการอักเสบ (NSAIDs) พยายามดูแลผิวหนังไม่ให้บาดเจ็บจากสิ่งแวดล้อมภายนอก หากเกิดอาการผิดปกติบริเวณผิวหนังควรมีการพบแพทย์โดยด่วน
สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/รักษาโรคสะเก็ดเงิน
มีรายงานการศึกษาวิจัยในปัจจุบัน สมุนไพรที่ใช้รักษาโรคสะเก็ดเงินในคนยังมีการศึกษาไม่มาก สมุนไพรที่มีการวิจัยในคนของโรคสะเก็ดเงิน ได้แก่ ว่านหางจระเข้ โดยทดสอบในผู้ที่เป็นโรคเรื้อนกวาง 60 คน ใช้สารสกัดว่านหางจระเข้ (0.5%) ในรูปครีมทาบริเวณที่เป็นวันละ 3 ครั้ง นาน 16 สัปดาห์ และติดตามผลทุกเดือนอีก 12 เดือน พบว่าสารสกัดว่านหางจระเข้สามารถรักษาโรคเรื้อนกวางได้ 83.3% เมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอกที่รักษาได้เพียง 6.6% นอกจากนี้มีตำรับยาทาที่มีส่วนประกอบคือ dimethicone 6 ออนซ์ cyclomethicone 2 ออนซ์ mineral oil 7.5 ซีซี. เจลว่านหางจระเข้ 7.5 ซีซี. วิตามินอี 7.5 ซีซี. วิตามินเอ 3.75 ซีซี. สังกะสี 3.75 ซีซี. และน้ำ 0.625 ซีซี. ว่าสามารถรักษาโรคสะเก็ดเงินได้  และสารสกัดน้ำจากบัวบก สามารถต้านการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังชั้น keratin ที่ทดสอบในหลอดทดลองซึ่งในโรคเรื้อนกวางเป็นโรคที่มีการแบ่งตัวของผิวหนังชั้น keratin ที่เร็วกว่าปกติ ซึ่งผู้วิจัยคิดว่าบัวบกมีศักยภาพในการนำมาพัฒนาเป็นยาทาภายนอก
ว่านหางจระเข้ ชื่อวิทยาศาสตร์ Aloe vera (L.) Burm.f. จัดอยู่ในวงศ์ XANTHORRHOEACEAE และอยู่ในวงศ์ย่อย ASPHODELOIDEAE

สรรพคุณของว่านหางจระเข้

  • วุ้นว่านหางจระเข้มีสรรพคุณช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ช่วยป้องกันและลดการเกิดแผลในกระเพาะขณะท้องว่าง ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารต่าง ๆ
  • ใช้เป็นถ่าย ยาระบาย ที่เปลือกของว่านหางจระเข้จะมีน้ำยางสีเหลือง ในน้ำยางจะมีสารแอนทราควิโนน (Anthraquinone) ที่มีฤทธิ์เป็นยาระบาย หากนำน้ำยางไปเคี่ยวให้น้ำระเหยออกแล้วทิ้งไว้ให้เย็น ก็จะได้สารสีน้ำตาลเกือบดำ หรือเรียกว่า “ยาดำ” ซึ่งยาดำนี้เองใช้เป็นส่วนผสมในตำรับยาแผนโบราณที่ต้องการให้มีฤทธิ์เป็นยาระบายอยู่หลายตำรับ
  • ช่วยรักษาแผลสด แผลจากของมีคม แผลที่ริมฝีปาก แก้ฝี แก้ตะมอย ด้วยการใช้วุ้นจากใบนำมาแปะบริเวณแผลให้มิดชิดและใช้ผ้าปิดไว้ แล้วหยอดน้ำเมือกลงตรงแผลให้ชุ่มอยู่เสมอ หรือจะเตรียมเป็นขี้ผึ้งก็ได้
  • ช่วยรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ช่วยดับพิษร้อนบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนจากแผล ด้วยการใช้วุ้นจากใบสดที่ล้างน้ำสะอาด แล้วฝานบาง ๆ นำมาทาหรือแปะไว้บริเวณแผลตลอดเวลา จะช่วยทำให้แผลหายเร็วมากขึ้นและอาจไม่เกิดรอยแผลเป็นด้วย
  • ช่วยรักษาโรคสะเก็ดเงิน ช่วยลดการตกสะเก็ดและลดอาการคันของโรคเรื้อนกวาง ทำให้แผลดูดีขึ้น
บัวบก ชื่อสามัญ Gotu kola ชื่อวิทยาศาสตร์ Centella asiatica (L.) Urb. จัดอยู่ในวงศ์ผักชี (APIACEAE หรือ UMBELLIFERAE)
สรรพคุณของใบบัวบก

  • ช่วยรักษาอาการมีหนองออกจากปัสสาวะ
  • ช่วยแก้อาการน้ำดีในร่างกายมากเกินไป
  • ช่วยแก้อาการฟกช้ำ ด้วยการใช้ใบบัวบกมาทุบให้แหลกแล้วนำมาโปะบริเวณที่ฟกช้ำ หรือจะใช้ใบบัวบกประมาณ 40 กรัม ต้มกับเหล้าแดงประมาณ 250 ประมาณ 1 ชั่วโมงแล้วนำมาดื่ม
  • ใช้บัวบกตำนำมาพอกรักษาความร้อนบวมของโรคไฟลามทุ่ง หรือใช้รักษาอาการด้วยการใช้น้ำคั้นบัวบกนำมาผสมกับแป้งข้าวเหนียวทำเป็นแป้งเหลว พอกบริเวณที่เป็น
  • ช่วยรักษาพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย
  • ช่วยรักษาโรคผิวหนังต่าง ๆ เช่น โรคเรื้อน โรคสะเก็ดเงิน หิด หัด เป็นต้น
  • บัวบกมีการนำมาผลิตเป็นแคปซูลวางจำหน่าย มีสรรพคุณในการช่วยบำรุงสมองเป็นหลัก (Brain tonic)
  • น้ำใบบัวบกเป็นเครื่องดื่มที่เหมาะสำหรับหน้าร้อนเป็นอย่างมาก เพราะมีฤทธิ์เป็นยาเย็นดับร้อนในร่างกายได้สารพัด
เอกสารอ้างอิง

  • ผศ.พญ.ชนิษฏา วงษ์ประภารัตน์.โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) .ภาควิชาอาจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล.
  • นายแพทย์สุรเกียรติ อาชานานุภาพ. สิงหาคม 2544 . Psoriasis. ตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป. ครั้งที่ สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน กรุงเทพฯ 10400. พิมพ์ดี กรุงเทพฯ. หน้า 664-666
  • แนวทางเวชปฏิบัติโรคสะเก็ดเงิน Psoriasis . สถาบันโรคผิวหนัง.กรมการแพทย์.กระทรวงสาธารณสุข.หน้า14-26
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป “โซริอาซิส/โรคเกล็ดเงิน (Psoriasis)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 1019-1024.
  • โรคสะเก็ดเงิน-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม. http://www.disthai.com/
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  • Roger C. Cornell, M.D.,Richard B. Stoughton, M.D. Topical Corticosteroid. 1985 Hoechst Aktiengesellscsast. West Germany. Page 17,28-31
  • Luba, K., and Stulberg, D. (2006). Chronic plaque psoriasis. Am Fam Physician, 73, 636-644.
  • อภิชาติ ศิวยาธร. กรกฎาคม Psoriasis. คลินิกโรคผิวหนังต้องรู้. ครั้งที่ 4. สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน กรุงเทพฯ 10400. พิมพ์ดี กรุงเทพฯ. หน้า 102-108
  • สมุนไพรรักษาโรคสะเก็ดเงิน.หัวข้อถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัย.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก



Tags : โรคสะเก็ดเงิน

25

โรคไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism, Thyrotoxicosis)
โรคไทรอยด์เป็นพิษเป็นอย่างไร ก่อนจะทำความเข้าใจกับโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษนั้น ควรจะทำความรู้จักกับต่อมไทรอยด์กันก่อนต่อมไทรอยด์ คือต่อมที่อยู่ด้านหน้าของบริเวณลำคอใต้ลูกกระเดือก รวมทั้งชิดกับหลอดลม มีลักษณะเหมือนผีเสื้อ ลักษณะทางด้านกายภาพของต่อมแบ่งเป็นทั้งหมดทั้งปวง 2 ส่วน คือ ส่วนซ้ายและก็ส่วนขวา ซึ่งต่อมทั้งยัง 2 ซีกจะเชื่อมกันด้วยเนื้อเยื่ออิสมัส (Isthmus) โดยต่อมไทรอยด์จะปฏิบัติภารกิจสำหรับในการผลิตฮอร์โมนที่สำคัญ 3 ชนิด เป็นไทโรซีน (Thyroxine - T4) และฮอร์โมนไทรไอโอโดไทโรนีน (Triiodothyronine - T3) ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในการควบคุมการเผาผลาญของร่างกายที่เรียกว่า เมตาบอลิซึม (Metabolism)  รวมถึงฮอร์โมนแคลซิโทนิน (Calcitonin) ที่ทำหน้าที่ในการควบคุมระดับแคลเซียมแล้วก็ฟอสฟอรัสในระบบไหลเวียนของเลือด  ยิ่งไปกว่านี้ต่อมไทรอยด์ยังเป็นต่อมสถานที่สำหรับทำงานโดยอยู่ภายใต้การดูแลดูแลของต่อมใต้สมอง (Pituitary gland) รวมทั้งของสมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ซึ่งอีกทั้งต่อมใต้สมองรวมทั้งสมองไฮโปทาลามัสยังควบคุมลักษณะการทำงานของอวัยวะอื่นๆด้วย เช่น ต่อมหมวกไต อัณฑะ และรังไข่ รวมทั้งยังมีความข้องเกี่ยวกับอารมณ์และจิตใจ ด้วยเหตุผลดังกล่าว ถ้าหากการทำงานของต่อมไทรอยด์ มีภาวะไม่ปกติ จึงอาจส่งผลให้กำเนิดโรคต่างๆของอวัยวะเหล่านั้น รวมถึงสโมสรกับอารมณ์แล้วก็จิตใจด้วย  ส่วนโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ เป็นสภาวะต่อมไทรอยด์ดำเนินงานเกิน(Overactive Thyroid) เป็นสภาวะที่ต่อมไทรอยด์* มีการหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์ออกมามากเกินไป กระตุ้นให้อวัยวะทั่วร่างกายมีการเผาผลาญสูงกว่าปกติและก็ทำให้ระบบต่างๆของร่างกายเปลี่ยนไปจากปกติตามไปด้วย ซึ่งเป็นสาเหตุนำมาซึ่งลักษณะของการเจ็บเจ็บไข้ๆต่างขึ้นตามมา อาทิเช่น อ่อนล้าง่าย ใจสั่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ขี้ร้อนง่าย เหงื่อออกมาก อารมณ์เสีย นอนไม่หลับ น้ำหนักตัวลดลงอย่างเร็วแบบไม่ดีเหมือนปกติ เป็นต้น โดยโรคนี้พบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าเพศชายถึง 5-10 เท่า
ที่มาของโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ต่อมไทรอยด์เป็นพิษมีหลายสาเหตุ  แต่ว่าส่วนใหญ่มีสาเหตุจากระบบภูมิคุ้มกันยับยั้งโรคของร่างกายที่เปลี่ยนไปจากปกติกระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์ทำงานมากเหลือเกิน จนทำให้ร่างกายมีปริมาณของฮอร์โมนต่อมไทรอยด์มากยิ่งกว่าความปรารถนาของร่างกาย รวมทั้งมีสภาพการณ์เป็นพิษ กระทั่งมีผลต่อร่างกายในด้านต่างๆซึ่งเราเรียกสภาวะที่ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนมากเกินว่า สภาวะต่อมไทรอยด์                      ที่มา :  wikipedia                   ทำงานเกิน  (hyperthyroidism)  และเรียกอาการเจ็บเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นมาจากภาวะมีฮอร์โมนต่อมไทรอยด์    มากเกินนี้ว่า ภาวะพิษจากต่อมไทรอยด์ (thyrotoxicosis) โดยสาเหตุการเกิดโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษนั้นมีได้นานัปการต้นเหตุ ดังนี้

  • โรคเกรฟส์ หรือ โรคคอพอกตาโปน (Graves’ disease) เป็นสาเหตุที่พบได้มากที่สุดราว 60-80% ของคนไข้ต่อมไทรอยด์เป็นพิษทั้งผอง ซึ่งโรคนี้จะก่อให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนไทโรซีนออกมามากมายแตกต่างจากปกติจนทำให้แปลงเป็นพิษ และเป็นโรคที่พบมากในวัยรุ่นแล้วก็วัยกลางคน พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายราว 5-10 เท่า ต้นเหตุของการเกิดโรคยังไม่ทราบชัดเจนว่ามีเหตุมาจากอะไร แต่ว่าพบว่ามีความเกี่ยวเนื่องกับเพศ (พบในผู้หญิงมากยิ่งกว่าผู้ชาย) และก็กรรมพันธุ์ (พบว่าผู้เจ็บป่วยบางรายมีประวัติพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคนี้ด้วย) การสูบยาสูบจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้มากขึ้น นอกนั้นยังเจอด้วยว่า ความเคร่งเครียดก็มีส่วนกระตุ้นให้โรคกำเริบเสิบสานได้
  • เนื้องอกที่ต่อมไทรอยด์ เป็นในกรณีที่เจอได้น้อย เช่นกัน เนื้องอกที่เกิดรอบๆต่อมไทรอยด์ และเนื้องอกที่เกิดบริเวณต่อมใต้สมอง อาจก่อให้เกิดการหลั่งของฮอร์โมนต่อมไทรอยด์เยอะขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นพิษได้
  • การอักเสบของต่อมไทรอยด์ (Thyroiditis) การอักเสบที่ไม่รู้จักที่มาของต่อมไทรอยด์จะทำให้ฮอร์โมนต่อมไทรอยด์ถูกสร้างออกมาเพิ่มมากขึ้น และทำให้ฮอร์โมนรั่วไหลออกไปที่กระแสโลหิต ทั้งนี้การอักเสบของต่อมไทรอยด์จำนวนมากไม่มีลักษณะการเจ็บ เว้นเสียแต่อาการต่อมไทรอยด์อักเสบแบบครึ่งหนึ่งกระทันหันที่เกิดขึ้นได้น้อย สามารถส่งผลให้เกิดลักษณะของการเจ็บได้
  • การทานอาหาร การทานอาหารที่มีไอโอดีนมากจนเกินความจำเป็นก็สามารถนำมาซึ่งโรคไทรอยด์เป็นพิษ เนื่องจากไอโอดีนเป็นส่วนประกอบสำคัญสำหรับการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์แต่เจอได้น้อยมาก
  • การได้รับการเสริมฮอร์โมนต่อมไทรอยด์ที่มากเกินไป ยาที่มีส่วนประกอบของไอโอดีนบางจำพวก ตัวอย่างเช่น ยาอะไมโอดาโรน (Amiodarone) ที่ใช้เพื่อการรักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ จะมีผลให้เกิดการหลั่งของฮอร์โมนต่อมไทรอยด์เยอะขึ้นจนถึงกลายเป็นพิษได้
ลักษณะโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ
ไม่ว่าจะมีต้นเหตุจากเหตุผลใด มักมีอาการคล้ายกัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง คนป่วยจะรู้สึกเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ใจสั่นหวิว ใจสั่น บางบุคคลอาจมีอาการเจ็บหน้าอก ร่วมด้วย มักจะมีความรู้สึกขี้ร้อน เหงื่อออกมาก ฝ่ามือมีเหงื่อชุ่ม  ผู้ป่วยจะมีน้ำหนักตัวลดลงรวดเร็ว ถึงแม้ว่ากินได้ปกติ หรืออาจกินจุขึ้นกว่าปกติด้วย ทั้งนี้ด้วยเหตุว่าร่างกายมีการเผาผลาญมากมักมีลักษณะมือสั่น โดยเฉพาะเวลาทำงาน ละเอียด ยกตัวอย่างเช่น เขียนหนังสือ งานฝีมือ เป็นต้น อาจมีลักษณะวุ่นวาย ชอบทำโน่นทำนี่ ครั้งคราวมองเป็นคนขี้ตื่น หรืออิริยาบถลุกลน อาจมีอาการหงุดหงิด เจ้าอารมณ์ นอนไม่หลับ หรืออารมณ์เซื่องซึม บางบุคคลอาจมีอาการถ่ายเหลวบ่อยครั้งคล้ายท้องร่วง หรือมีลักษณะอาการอาเจียนอ้วก ส่วนอาการที่พบได้มากที่สุดในคนที่มีอาการไทรอยด์เป็นพิษคือ อาการคอพอก ซึ่งเป็นอาการที่ต่อมไทรอยด์โตขึ้น คนป่วยจะรู้สึกหรือมองเห็นก้อนขนาดใหญ่ที่รอบๆคอ  หญิงอาจมีรอบเดือนออกน้อย หรือมาไม่บ่อยนัก หรือขาดระดู มักตรวจเจอว่ามีต่อมไทรอยด์โต (คอพอก) ชีพจรเต้นเร็ว (มากกว่า 120 -140 ครั้งต่อนาที) และก็อาจมีอาการตาโปน (ลูกตาปูดโปนออกมามากยิ่งกว่าปกติ) และก็มองเห็นส่วนที่เป็นตาขาวด้านบนชัด (เพราะเหตุว่าหนังตาบนหดรั้ง) คล้ายทำตาเพ่งดูอะไรหรือตาดุ ผิวหนังลูบคลำมองมีลักษณะเรียบนุ่มแล้วก็มีเหงื่อเปียก
ทั้งนี้ถ้าเกิดผู้เจ็บป่วยมีภาวการณ์ไทรอยด์เป็นพิษที่ไม่ร้ายแรงมากสักเท่าไรนัก ก็บางทีอาจไม่มีอาการใดๆแสดงออกมา โดยยิ่งไปกว่านั้นผู้สูงอายุที่อาการมักไม่ค่อยแสดงออกอย่างแจ่มแจ้งมากนัก
แนวทางการรักษาโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ การวิเคราะห์โรคไทรอยด์เป็นพิษด้วยตัวเอง วิธีวินิจฉัยโรคไทรอยด์เป็นพิษด้วยตัวเองแบบง่ายๆก็คือการสังเกตความไม่ดีเหมือนปกติของร่างกาย ถ้ามีลักษณะอะไรก็แล้วแต่ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น น้ำหนักลดไม่ดีเหมือนปกติ มือสั่น อิดโรยง่าย หายใจสั้น หรือมีอาการบวมที่บริเวณคอ ควรรีบไปพบแพทย์ ส่วนการวิเคราะห์โรคไทรอยด์เป็นพิษโดยแพทย์นั้น จะวิเคราะห์เบื้องต้นจากอาการแสดงของโรค ตัวอย่างเช่น ใจสั่น อ่อนแรงง่าย น้ำหนักลด มือสั่น ชีพจรเต้นเร็ว ต่อมไทรอยด์โต และก็ตาโปน  และก็ถ้าหากพบว่ามีลักษณะอาการกลุ่มนี้ หมอจะทำการตรวจเพิ่มอีกดังต่อไปนี้

  • การวิเคราะห์เลือด เป็นการเจาะเลือดเพื่อตรวจการปฏิบัติงานของต่อมไทรอยด์รวมทั้งการเผาไหม้ ยกตัวอย่างเช่น
  • การวัดปริมาณฮอร์โมนไทรอยด์ ปริมาณของฮอร์โมนต่อมไทรอยด์ T3 และ T4 ในเลือด
  • การตรวจครั้งเอสเอช (Thyroid-stimulating hormone : TSH) เป็นการตรวจวัดระดับฮอร์โมนต่อมใต้สมองที่มีบทบาทควบคุมรูปแบบการทำงานของต่อมไทรอยด์ ซึ่งในคนป่วยไทรอยด์เป็นพิษชอบมีค่า TSH ที่ต่ำกว่าปกติ
  • การวัดระดับปริมาณแอนติบอดีของต่อมไทรอยด์ (Thyroidglobulin) เป็นการตรวจที่ช่วยวินิจฉัยโรคเกรฟส์ซึ่งเป็นต้นเหตุที่มักพบที่สุดของภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษ
  • การตรวจเอกซเรย์ เป็นการตรวจที่สามารถช่วยให้แพทย์เห็นการทำงานแล้วก็ความผิดแปลกของฮอร์โมนต่อมไทรอยด์ได้ชัดขึ้น อาทิเช่น
  • การตรวจอัลตราซาวนด์ เป็นการตรวจที่ช่วยวัดขนาดของต่อมไทรอยด์และความแปลกของต่อมไทรอยด์
  • การตรวจสแกนต่อมไทรอยด์ (Thyroid scan) เป็นการตรวจโดยใช้รังสีเพื่อเห็นลักษณะการทำงานของต่อมไทรอยด์ว่าต่อมไทรอยด์มีการงานที่มากเปลี่ยนไปจากปกติหรือไม่
  • การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบซีทีสแกน (CT scan) หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า/เอ็มอาร์ไอ (MRI) หมอมักใช้ในกรณีที่สงสัยว่าความไม่ปกติของต่อมไทรอยด์อาจมีเนื้องอกหรือมะเร็ง รวมทั้งการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองจะใช้ในกรณีที่หมอสงสัยว่าสาเหตุของต่อมไทรอยด์เป็นพิษอาจเป็นเพราะต่อมใต้สมองหลั่งฮอร์โมนไม่ปกติ

การดูแลและรักษาหลักของไทรอยด์เป็นพิษเป็นการกินยา เมื่ออาการดียิ่งขึ้น หมอจะค่อยๆลดยาลง รวมทั้ง หยุดยาได้สุดท้าย ถ้าหากรับประทานยาแล้วไม่ดีขึ้น อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการใช้การผ่าตัด หรือ การกินไอโอดีนกัมมันตรังสี ช่วงเวลาเฉลี่ยสำหรับการรักษามักจะราว 2 ปี ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้

  • การรักษาด้วยยา ผู้ป่วยที่มีอายุน้อยมีอาการไม่รุนแรงมากรวมทั้งต่อมไทรอยด์ไม่โตมากมาย หมอมักแนะ นำให้รักษาโดยใช้ยาก่อน ยาที่ใช้รักษานี้จะเป็นยาลดการสร้างฮอร์โมนต่อมไทรอยด์และก็ยาลดอาการใจสั่น คนป่วยสุดที่รักษาด้วยยานี้จะต้องสามารถรับประทานยาเสมอๆอย่างสม่ำเสมอตลอดตามแพทย์แนะนำ โดยทั่วไปหมอจะเสนอแนะให้รับประทานยาโดยประมาณ 1 ถึง 2 ปีโดยในขณะที่รักษาด้วยยาอยู่นี้หมอจะนัดตรวจติดตามดูอาการและเจาะเลือดวัดระดับฮอร์โมนไทรอยด์เป็นประจำเป็นต้นว่า ทุก 1 - 2 เดือนเพื่อมั่นใจว่าผู้ป่วยกินยาในขนาดที่สมควร ไม่มากมายหรือไม่พอ จุดด้วยของการดูแลและรักษา ด้วยยาคือ คนป่วยมักจะจำต้องกินยานานเป็นปี มีโอกาสเกิดการแพ้ยาได้


ซึ่งยาที่ใช้ในตอนนี้เป็นกรุ๊ป ยาต้านทานไทรอยด์ ตัวอย่างเช่น ยาเม็ดพีทียู (PTU) หรือเมทิมาโซล (methimazole) ยานี้มีผลข้างเคียงที่สำคัญเป็น อาจทำให้เกิดภาวะ เม็ดเลือดขาวต่ำ ซึ่งทำให้ติดโรครุนแรงได้ ซึ่งพบได้ราวๆ 1 ใน 200 คน และชอบเกิดขึ้นในระยะ 2 เดือนแรกของการใช้ยา

  • การรักษาด้วยการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ สำหรับคนป่วยที่ต่อมไทรอยด์โตมากมายหรือมีลักษณะหายใจลำบากหรือกลืนลำบาก เนื่องจากว่าต่อมไทรอยด์ที่โตขึ้นกดเบียดทับหลอดลม หรือหลอดของกิน ซึ่งทั้งสองอวัยวะนี้อยู่ชิดกับต่อมไทรอยด์ แพทย์จะชี้แนะให้รักษาด้วยการใช้การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออกเล็กน้อยเพื่อต่อมไทรอยด์มีขนาดเล็กลง จะได้สร้างฮอร์โมนไทรอยด์ได้ลดน้อยลง รวมทั้งอาการหายใจลำบากหรือกลืนตรากตรำจะดีขึ้น ถึงแม้ว่าเป็นแนวทางที่ทำให้หายจากสภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษได้อย่างเร็ว แต่ว่าก็อาจเกิดผลใกล้กันจากการผ่าตัดได้เช่น เสียงแหบจากผ่าตัดโดนเส้นประสาทกล่องเสียงที่อยู่ชิดกับต่อมไทรอยด์ หรือแม้หมอตัดต่อมไทรอยด์ออกไม่เพียงพอ ข้างหลังผ่าตัดคนไข้ก็อาจจะยังมีลักษณะอาการจากภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษอยู่อาทิเช่นเดิม แต่ว่าในทางตรงกันข้าม หากตัดต่อมต่อมไทรอยด์ออกมากเหลือเกิน ข้างหลังผ่าตัดคนป่วยจะเกิดอาการจากการขาดฮอร์โมนต่อมไทรอยด์ได้ด้วยเหมือนกัน
  • การรักษาด้วยน้ำแร่รังสีไอโอดีน น้ำแร่รังสีไอโอดีนเป็นสารไอโอดีนชนิดหนึ่ง (Iodine-131) ที่ให้รังสีแกมมา (Gamma ray) และรังสีเบตา (Beta ray ) และสามารถปลดปล่อยรังสีนั้นๆออกมาทำลายเซลล์ของต่อมไทรอยด์ได้ เมื่อคนเจ็บกินน้ำแร่รังสีไอโอดีนเข้าไป ก็จะถูกดูดซับโดยต่อมไทรอยด์ทำให้ต่อมไท รอยด์ มีขนาดเล็กลงแล้วก็การสร้างฮอร์โมนก็จะลดน้อยลงไปด้วย อาการจากสภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษก็เลย น้ำแร่รังสีไอโอดีนนี้ไม่สามารถที่จะหาซื้อได้ทั่วไป จะต้องรับการดูแลและรักษาเฉพาะโรงพยาบาลบางโรง พยาบาลที่ให้การรักษาด้านนี้เพียงแค่นั้น โดยจะใช้ระยะเวลาการดูแลรักษาด้วยแนวทางลักษณะนี้ราวๆ 3-6 เดือน


การดูแลรักษาด้วยน้ำแร่รังสีไอโอดีนมีจุดแข็งคือ สามารถรักษาภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษให้หายสนิทได้สูง สะดวก ง่าย ปลอดภัย เหมาะสมกับผู้ป่วยที่อายุ 20 ปีขึ้นไปแล้วก็ต่อมไทรอยด์ไม่โตมากมาย หรือผู้ป่วยสุดที่รักษาด้วยยาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน 1 - 2 ปีแล้วยังไม่หาย หรือหายแล้วกลับมาเป็นใหม่อีก หรือผู้ป่วยที่รักษาด้วยการผ่าตัดแล้วยังมีลักษณะจากภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษอยู่ ข้อตำหนิของการรักษาด้วยน้ำแร่รังสีไอโอดีนคือ หลังการดูแลรักษาผู้ป่วยจะเกิดภาวะขาดฮอร์โมนต่อมไทรอยด์ได้บ่อย ทำให้ต้องกินยาฮอร์โมนไทรอยด์ไปตลอดชีวิต
ยิ่งไปกว่านั้น การดูแลและรักษาด้วยน้ำแร่รังสีไอโอดีนนี้ไม่อาจจะใช้ได้กับคนไข้ที่กำลังตั้ง ท้องเพราะเหตุว่ารังสีส่งผลต่อทารกในท้อง บางทีอาจก่อความพิกลพิการหรือการแท้ง หรือในคนไข้ให้นมลูกอยู่เพราะเหตุว่าน้ำแร่รังสีไอโอดีนจะคละเคล้าออกมากับนมส่งผลต่อต่อมไทรอยด์ของเด็กแรกเกิดได้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ คนไข้สภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษที่มิได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆอาจมีผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายต่างๆอาทิเช่น

  • ไทรอยด์เป็นพิษขั้นวิกฤต ถ้าเกิดมีการควบคุมระดับต่อมไทรอยด์ที่ไม่ดี อาจทำให้อาการรุนแรงขึ้น หรือทำให้เป็นอันตรายต่อชีวิต ซึ่งสัญญาณว่าไทรอยด์เป็นพิษเข้าขั้นวิกฤตเป็น หัวใจเต้นเร็วเปลี่ยนไปจากปกติ มีไข้สูงมากเกินกว่า 38 องศาเซลเซียส ท้องเสีย คลื่นไส้ ตัวเหลือง ตาเหลือง มีอาการงวยงงงุนงงอย่างหนัก และอาจถึงขั้นสลบได้ โดยต้นสายปลายเหตุที่อาจก่อให้อาการเข้าสู่สภาวะวิกฤต อาทิเช่น การติดเชื้อ การรับประทานยาไม่สม่ำเสมอ การมีท้อง แล้วก็ความเสียหายของต่อมไทรอยด์ โดยภาวะไทรอยด์เป็นพิษขั้นวิกฤติเป็นคราวฉุกเฉินที่จำต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เนื่องจากอาจมีอันตรายต่อผู้ป่วยได้
  • ปัญหาเกี่ยวกับระบบหัวใจ ภาวะแทรกซ้อนที่มักมีอันตรายต่อคนไข้โรคไทรอยด์เป็นพิษก็คือ ความไม่ดีเหมือนปกติเกี่ยวกับหัวใจ ไม่ว่าจะเป็น หัวใจเต้นเร็ว หรือโรคหัวใจเต้นแตกต่างจากปกติที่เกิดจากการเขย่าที่ศีรษะจิตใจห้องบน (Atrial Fibrillation) หรือแม้กระทั้งสภาวะหัวใจวาย ซึ่งเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากการที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้พอเพียง
  • ปัญหาสายตา โดยปัญหาสายตาที่เป็นภาวะแทรกซ้อน ดังเช่นว่า ตาแห้ง ตาไวต่อแสงสว่าง ตาแฉะ เห็นภาพซ้อน ตาแดง หรือบวม ตาโปนออกมามากมายว่าธรรมดา แล้วก็รอบๆเปลือกตาแดง บวม เปลือกตาปลิ้นออกมาผิดปกติ รวมทั้งมีนิดหน่อยที่จำเป็นต้องสูญเสียการมองเห็น โดยเหตุนั้นในการรักษาโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ผู้ป่วยอาจต้องพบหมอรักษาสายตาเพื่อรักษาพร้อมๆกันด้วย แต่ว่าปัญหาเรื่องสายตานี้เจอได้ในผู้ป่วยโรคเกรฟวส์เพียงแค่นั้น ที่มีปัญหาต่อมไทรอยด์เป็นพิษ
  • สภาวะไทรอยด์ต่ำ หลายคราวการรักษาไทรอยด์เป็นพิษก็อาจจะส่งผลให้ระดับฮอร์โมนต่อมไทรอยด์ต่ำยิ่งกว่าธรรมดาจนถึงเกิดภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ แล้วก็ก่อให้เกิดอาการต่างๆอย่างเช่น รู้สึกหนาวและก็อิดโรยง่าย น้ำหนักขึ้นไม่ดีเหมือนปกติ มีอาการท้องผูก รวมทั้งมีอาการเซื่องซึม แต่อาการจะเกิดขึ้นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว รวมทั้งมีผู้ป่วยเพียงแค่บางรายเท่านั้นที่เกิดอาการโดยถาวรและก็จะต้องใช้ยาสำหรับเพื่อการควบคุมระดับฮอร์โมนต่อมไทรอยด์ไปตลอดชาติ
  • กระดูกบอบบาง โรคไทรอยด์เป็นพิษ ถ้าเกิดมิได้รับการดูแลและรักษาสามารถทำให้เกิดผลเสียและไม่ดีต่อมวลกระดูก ทำให้กระดูกอ่อนแอ หรือเปลี่ยนเป็นโรคกระดูกพรุน เหตุเพราะการที่ร่างกายมีฮอร์โมนไทรอยด์มากมายไป ซึ่งมีผลต่อความสามารถสำหรับเพื่อการดูดซับแคลเซียมของกระดูกได้


การติดต่อของโรคไทรอยด์เป็นพิษ โรคไทรอยด์เป็นพิษมีเหตุมาจากความผิดแปลกของภูเขามิคุ้นกันต้านโรคของร่างกายเปลี่ยนไปจากปกติ ที่ไปกระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์ทำงานมากกว่าปกติ ทำให้ผลิตฮอร์โมนมากจนเกินความจำเป็น ซึ่งโรคไทรอยด์เป็นพิษนี้ไม่ได้เป็นโรคติดต่อเนื่องจากว่าไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษ  แม้ตรวจเจอว่าเป็นโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ก็ควรปฏิบัติดังนี้
เอกสารอ้างอิง

  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.คอพอกเป็นพิษ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 341.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.กันยายน 2550
  • ไทรอยด์เป็นพิษ.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • หาหมอดอทคอม.  “ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ (Thyrotoxicosis)”.  (รศ.นพ.จรูญศักดิ์ สมบูรณ์พร).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [16 ก.ค. 2017].
  • รศ.นพ.อดุลย์ รัตนวิจิตราศิลป์.ไทรอยด์เป็นพิษ ไม่ใช่มะเร็งไทรอยด์.ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล.
  • กระเทียม.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์.มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Bahn RS, Burch HB, Cooper DS, Garber JR, Greenlee MC, Klein I, et al. Hyperthyroidism and other causes of thyrotoxicosis: management guidelines of the American Thyroid Association and American Association of Clinical Endocrinologists. Thyroid 2011; 21: 593 – 646.
  • ไทรอยด์เป็นพิษ-อาการ,สาเหตุ,การรักษา,พบแพทย์ดอทคอม. http://www.disthai.com/
  • Kang NS, Moon EY, Cho CG, Pyo S.  Immunomodulating effect of garlic component, allicin, on murine peritoneal macrophages.  Nutr Res (N.Y., NY, U.S.) 2001;21(4):617-26.
  • ว่านหางจระเข้.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์.มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Lamm DL, Riggs DR.  The potential application of Allium sativum (garlic) for the treatment of bladder cancer.  The Urologic Clinics of North America 2000;27(1): 157-62.
  • Ghazanfari T, Hassan ZM, Ebrahimi M.  Immunomodulatory activity of a protein isolated from garlic extract on delayed type hypersensitivity.  Int Immunopharmacol 2002;2(11):1541-9.
  • Kuttan G.  Immunomodulatory effect of some naturally occuring sulphur-containing compounds.  J Ethnopharmacol 2000;72(1-2):93-9.
  • Abuharfeil NM, Maraqa A, Von Kleist S.  Augmentation of natural killer cell activity in vitro against tumor cells by wild plants from Jordan.  J Ethnopharmacol 2000;71 (1-2):55-63.
  • Farkas A.  Methylation of polysaccharides from aloe plants for use in treatment of wounds and burns.  Patent: U S 3,360,510, 1967:3pp.
  • Cheon J, Kim J, Lee J, Kim H, Moon D.  Use of garlic extract as both preventive and therapeutic agents for human prostate and bladder cancers.  Patent: U S US 6,465,020 ,2002:7pp.
  • Farkas A.  Topical medicament containing aloe polyuronide for treatment of burns and wounds.  Patent: U S 3,103,466, 1963:4pp.
  • Strickland FM, Pelley RP, Kripke ML.  Cytoprotective oligosaccharide from aloe preventing damage to the skin immune system by UV radiation.  Patent: PCT Int Appl WO 98 09,635, 1998:65pp.
  • ลูกซัด.ฐานข้อมูลเครื่องยา.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • ณรงค์ชัย ประสิทธิ์ภูริปรีชา นิศา อินทรโกเศส โอภา วัชรคุปต์ พิสมัย ทิพย์ธนทรัพย์.  การทดลองใช้สารสกัดว่านหางจระเข้กับแผลที่เกิดจากรังสีบำบัด.  รายงานโครงการพิเศษ คณะเภสัชศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล, 2529.


26

โรคโปลิโอ (Poliomyelitis)
โรคโปลิโอเป็นยังไง โรคโปลิโอค้นพบทีแรกเมื่อ คริสต์ศักราช 1840 โดย Jakob Heine ส่วนไวรัสโปลิโอซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคถูกพ้นเจอเมื่อ คริสต์ศักราช 1908 โดย Karl Landsteiner โรคโปลิโอ หรือ ไข้ไขสันหลังอักเสบ  เป็นโรคที่สร้างความทรมาณสาหัสแก่เด็กทั่วทั้งโลก ซึ่งมีผู้ป่วยในสมัยก่อนมากยิ่งกว่า 350,000 รายต่อปี ด้วยเหตุว่านำไปสู่ความพิการ ขา หรือ แขนลีบ รวมทั้งเสียชีวิต ซึ่งเป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการตำหนิดเชื้อไวรัสโปลิโอ โดยคนเจ็บส่วนใหญ่มักไม่มีอาการแสดงของโรค ส่วนในกลุ่มคนเจ็บที่มีลักษณะนั้นจำนวนมากจะมีอาการเพียงเล็กน้อยอย่างไม่เจาะจงและก็หายได้เองภายในระยะเวลาไม่กี่วัน แต่จะมีคนไข้เพียงแต่ส่วนน้อยที่จะมีอาการของกล้ามเนื้ออ่อนเพลียรวมทั้งเมื่อผ่านไปหลายๆปีข้างหลังการรักษา ผู้ป่วยที่เคยมีลักษณะอาการกล้ามเนื้ออ่อนเพลียนี้อาจจะมีการเกิดอาการกล้ามอ่อนแรงซ้ำขึ้นมาอีก และก็บางทีอาจเกิดกล้ามฝ่อลีบและเกิดความพิการของข้อตามมาได้ ในตอนนี้โรคนี้ยังไม่มียารักษา แต่ว่ามีวัคซีนที่ใช้คุ้มครองปกป้องโรคได้
โรคโปลิโอ นับเป็นโรคที่มีความหมายมากมายโรคหนึ่ง เพราะเชื้อ เชื้อไวรัสโปลิโอ จะก่อให้มีการอักเสบของไขสันหลังทำให้มีอัมพาตของกล้ามแขนขา ซึ่งในรายที่อาการรุนแรงจะมีผลให้มีความพิการตลอดชีวิต แล้วก็บางรายบางทีอาจถึงเสียชีวิตได้ ในปี พุทธศักราช 2531 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้ทุกประเทศร่วมมือกวาดล้างโรคโปลิ โอ ทำให้อัตราการป่วยทั่วทั้งโลกต่ำลงไปมากถึง 99% โดยลดน้อยลงจาก 350,000 ราย (จาก 125 ประเทศทั่วทั้งโลก) ในปี พุทธศักราช 2531 เหลือแค่ 820 รายใน 11 ประเทศในปี พศ. 2550 ซึ่งประ เทศที่ยังเจอโรคมากอยู่เป็น อินเดีย (400 กว่าราย) ประเทศปากีสถาน ไนจีเรีย และอัฟกานิสถาน
ส่วนในประเทศไทยไม่พบคนไข้โรคโปลิโอมาตรงเวลายาวนานหลายปีแล้ว โดยพบรายสุดท้ายในปี พุทธศักราช 2540 ที่ จังหวัด เลย แม้กระนั้นเด็กทุกคนยังคงจำต้องได้เรื่องฉีดรับวัคซีนตามมาตรกาเกลื่อนกลาดวาดล้างโรคโปลิโอร่วมกับนานาประเทศทั้งโลก เพราะว่าโปลิโอเป็นโรคร้ายแรงที่สร้างการสิ้นไปทั้งยังทางด้านร่างกายแล้วก็เศรษฐกิจ รวมทั้งเดี๋ยวนี้แม้ว่า องค์การอนามัยโลก CWHO ได้ประกาศรับรองให้เป็นประเทศที่ปราศจากโรคโปลิโอแล้วเมื่อวันที่ 27 เดือนมีนาคม พ.ศ. 2557 แต่ประเทศไทยยังที่มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคโปลิโออยู่ ด้วยเหตุว่ามีเขตแดนใกล้กับประเทศที่มีการระบาดของโรคโปลิโออย่างพม่าและลาวที่เพิ่งพบเชื้อโปลิโอสายพันธุ์วัคซีนกลายพันธ์ไปเมื่อปี พ.ศ. 2558
ที่มาของโรคโปลิโอ โรคโปลิโอเป็นผลมาจากเชื้อไวรัสโปลิโอ single-stranded RNA virus ไม่มีเปลือกหุ้มจัดอยู่ใน Family Picornaviridae, Genus Enterovirus มี 3 ทัยป์เป็นทัยป์ 1, 2 แล้วก็ 3 โดยแต่ละประเภทอาจจะเป็นผลให้กำเนิดอัมพาตได้ พบว่า type 1 นำไปสู่อัมพาตรวมทั้งเกิดการระบาดได้บ่อยครั้งกว่าทัยป์อื่นๆแล้วก็เมื่อติดเชื้อโรคประเภทหนึ่งแล้วจะมีภูมิคุ้มกันถาวรเกิดขึ้นเฉพาะต่อทัยป์นั้น ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อทัยป์อื่น ดังนั้น ตามทฤษฎีนี้แล้ว คน 1 คน อาจติดเชื้อได้ถึง 3 ครั้ง และแต่ละทัยป์ของเชื้อไวรัสโปลิโอ จะแบ่งย่อยได้อีก 2 สายพันธุ์ เป็น

  • สายพันธุ์รุนแรงก่อโรค (Wild strain) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่อยู่ระหว่างการเฝ้าระวังรวมทั้งกวาดล้าง โดยตอนนี้ยังพบสายพันธุ์ร้ายแรงนี้ใน 2 ประเทศหมายถึงอัฟกานิสถานและก็ประเทศปากีสถาน
  • สายพันธุ์วัคซีน (Vaccine strain หรือ Sabin strain) เป็นการทำให้เชื้อไวรัสโปลิโออีกทั้ง 3 จำพวกย่อยอ่อนฤทธิ์ลงจนถึงไม่สามารถที่จะนำมาซึ่งโรคได้ แล้วประยุกต์ใช้เป็นวัคซีนชนิดหยด หรือที่เรียกกันว่า OPV (Oral polio vaccine) เพื่อสร้างภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย แต่อย่างไรก็ดี เชื้อไวรัสโปลิโอสายพันธุ์วัคซีนอาจมีความเคลื่อนไหวในระดับโมเลกุลจนกระทั่งสามารถนำไปสู่สายพันธุ์วัคซีนกลายพันธุ์ และก็นำไปสู่โรคโปลิโอได้ ซึ่งการเกิดนี้มักจะเกิดในชุมชนที่หรูหราความครอบคลุมของวัคซีนโปลิโอค่อนข้างต่ำเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน


โดยเชื้อโปลิโอนี้จะอยู่ในไส้ของคนแค่นั้น ไม่มีแหล่งรังโรคอื่นๆเชื้อจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้ในไส้ของคนที่ไม่มีภูมิคุ้มกันรวมทั้งอยู่ด้านในลำไส้ 1-2 เดือน เมื่อถูกถ่ายออกมาด้านนอก จะไม่สามารถเพิ่มได้ และก็เชื้อจะอยู่ด้านนอกร่างกายในสภาพแวดล้อมไม่ได้นาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตร้อน อายุครึ่งชีวิตของเชื้อไวรัสโปลิโอ (half life) โดยประมาณ 48 ชั่วโมง
ลักษณะโรคโปลิโอ  เมื่อเชื้อโปลิโอเข้าสู่ร่างกายของผู้ที่ไม่มีภูมิต้านทาน เชื้อไวรัสจะเข้าไปเพิ่มจำนวนในรอบๆ pharynx แล้วก็ไส้ สองสามวันถัดมาก็จะกระจายไปสู่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอที่ต่อมทอนซิล และก็ที่ไส้และไปสู่กระแสโลหิตทำให้มีลักษณะไข้เกิดขึ้น ส่วนน้อยของเชื้อไวรัสจะผ่านจากกระแสโลหิตไปยังไขสันหลังแล้วก็สมองโดยตรง หรือนิดหน่อยบางทีอาจผ่านไปไขสันหลังโดยทางเส้นประสาท เมื่อไวรัสเข้าไปยังไขสันหลังแล้วชอบไปที่ส่วนของไขสันหลังหรือสมองที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ เมื่อเซลล์สมองในส่วนที่    ติดเชื้อโรคมีอาการอักเสบมากมายจนกระทั่งถูกทำลายไป กล้ามที่ควบคุมโดยเซลล์ประสาทนั้นก็จะมีอัมพาตและฝ่อไปในที่สุด
         ดังนี้สามารถแบ่งผู้ป่วยโปลิโอตามกรุ๊ปอาการได้เป็น 4 กลุ่มหมายถึง

  • กลุ่มผู้เจ็บป่วยที่ไม่มีอาการ ผู้เจ็บป่วยกลุ่มนี้มีราวๆ 90 – 95% ของผู้ติดโรคโปลิโอทั้งปวง มีความจำเป็นทางด้านระบาดวิทยา ด้วยเหตุว่าเชื้อไวรัสโปลิโอที่เข้าไปจะไปเพิ่มในลำไส้ รวมทั้งขับถ่ายออกมาตรงเวลา 1-2 เดือน นับเป็นแหล่งแพร่โรคที่สำคัญในชุมชน
  • กลุ่มคนป่วยที่มีลักษณะอาการน้อยมาก (Abortive poliomyelitis) หรือที่เรียกว่า abortive case หรือ minor illness ซึ่งจะเจอได้ราวๆ 5-10% ของผู้ติดโรคโปลิโอทั้งผอง ชอบมีอาการไข้ต่ำๆเจ็บคอ อาเจียน ปวดท้อง เบื่อข้าว แล้วก็อ่อนล้า อาการจะเป็นอยู่ 3-4 วัน ก็จะหายเป็นระเบียบโดยไม่มีอาการอัมพาต ซึ่งจะวินิจฉัยโรคแยกจากโรคติดเชื้อเชื้อไวรัสอื่นไม่ได้
  • กรุ๊ปผู้ป่วยที่มีลักษณะเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อไวรัสโปลิโอ (Nonparalytic poliomyelitis) กลุ่มนี้จะพบได้เพียง 1% ของผู้ติดโรคโปลิโอทั้งผอง จะมีลักษณะเช่นเดียวกับที่เกิดจากเชื้อไวรัสอื่นๆคนไข้จะมีลักษณะคล้าย abortive case แต่ว่าจะตรวจพบคอแข็งกระจ่าง มีอาการปวดศีรษะ ปวดตามกล้ามเนื้อ เมื่อตรวจน้ำไขสันหลังก็จะพบไม่ปกติแบบการตำหนิดเชื้อไวรัส มีเซลล์ขึ้นไม่มากส่วนมากเป็นลิมโฟซัยท์ ระดับน้ำตาลและก็โปรตีนปกติ หรือเปลี่ยนเพียงเล็กน้อย
  • กรุ๊ปผู้เจ็บป่วยที่มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนล้า (Paralytic poliomyelitis) เป็นอัมพาต กลุ่มนี้พบได้น้อยมากจะมีลักษณะอาการแบ่งได้ 2 ระยะ ระยะแรกคล้ายกับใน abortive case หรือเป็น minor illness เป็นอยู่ 3-4 วัน หายไป 3-4 วัน เริ่มมีไข้กลับมาใหม่ พร้อมด้วยมีลักษณะปวดกล้ามอาจมีการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อก่อนจะมีอัมพาตเกิดขึ้น กล้ามเนื้อจะเริ่มมีอัมพาตรวมทั้งเพิ่มกล้ามเนื้อที่มีอัมพาตอย่างรวดเร็ว ส่วนมากจะกำเนิดเต็มที่ภายใน 48 ชั่วโมง แล้วก็จะไม่ขยายมากขึ้นคราวหลัง 4 วัน เมื่อตรวจตรารีเฟลกซ์บางคราวจะพบว่าหายไปก่อนที่กล้ามจะมีอัมพาตเต็มกำลัง


          ลักษณะของอัมพาตในโรคโปลิโอมักจะเจอที่ขามากกว่าแขนรวมทั้งจะเป็นข้างเดียวมากกว่า 2 ข้าง (asymmetry) มักจะเป็นกล้ามเนื้อต้นขา หรือต้นแขนมากยิ่งกว่าส่วนปลาย เป็นแบบอ่อนเปียก (flaccid) โดยไม่มีความเคลื่อนไหวในระบบความรู้สึก (sensory) ที่พบได้มากเป็นเป็นแบบ spinal form ที่มีอัมพาตของแขน ขา หรือกล้ามลำตัว ในรายที่เป็นมากอาจมีอัมพาตของกล้ามส่วนลำตัวที่ทรวงอกและท้อง ซึ่งมีความหมายสำหรับเพื่อการหายใจ ทำให้หายใจเองมิได้ บางทีอาจจนตายได้หากช่วยไม่ทัน
ปัจจัยเสี่ยงที่จะนำมาซึ่งโรคโปลิโอ โรคโปลิโอพบได้บ่อยได้ในเด็กมากกว่าคนแก่ โดยทั้งเพศชายและก็ผู้หญิงได้โอกาสติดโรคนี้ได้เท่ากัน และก็ได้โอกาสติดเชื้อโปลิโอได้ง่าย แต่มีคนไข้น้อยมากที่จะมีลักษณะกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง เชื้อไวรัสประเภทนี้จะเจริญเติบโตอยู่ในไส้ เชื้อจึงถูกขับออกจากร่างกายมากับอุจจาระแล้วก็แพร่ไปสู่คนอื่นๆผ่านการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่แปดเปื้อนเชื้อจากอุจจาระของคนป่วย ซึ่งเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากการขับถ่ายที่ไม่ถูกความถูกอนามัยและไม่ล้างมือก่อนอาหาร โรคนี้จึงพบได้มากมากมายในประเทศที่ด้อยความเจริญและก็กำลังพัฒนาที่ขาดการดูแลเรื่องสุขอนามัยที่ดี
ทั้งยังผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนโปลิโอนั้น จะยิ่งมีความเสี่ยงต่อการต่อว่าดเชื้อยิ่งขึ้นแม้อยู่ในด้านในกลุ่มเสี่ยงดังนี้
           หญิงท้องและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อย่างเช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี แล้วก็เด็กเล็กซึ่งจะมีความไวต่อการได้รับเชื้อโปลิโอ
           เดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโปลิโอหรือเพิ่งจะเกิดการระบาดของโรคเมื่อไม่นานมานี้
           เป็นผู้ดูแลหรืออาศัยอยู่กับผู้ติดโรคโปลิโอ
           ปฏิบัติงานในห้องทดลองที่สัมผัสใกล้ชิดกับเชื้อไวรัส
           ผู้ที่ผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลออกไป
วิธีการรักษาโรคโปลิโอ หมอจะวินิจฉัยโรคโปลิโอด้วยการไต่ถามอาการจากคนไข้ว่ารู้สึกเจ็บปวดบริเวณหลังและก็คอ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการกลืนหรือหายใจหรือไม่ ตรวจสอบปฏิกิริยาสะท้อนกลับของร่างกาย รวมถึงการตรวจทางเรือเหลือง โดยเก็บตัวอย่างในช่วงระยะทันควันและก็ระยะซ่อนเร้นของโรค ตรวจสารภูมิคุ้มกัน IgM หรือ IgG นอกเหนือจากนี้เพื่อรับรองให้มั่นใจอาจมีการตรวจค้นเชื้อไวรัสโปลิโอด้วยการเก็บเนื้อเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งจากคอ อุจจาระ หรือน้ำหล่อเลี้ยงสมองรวมทั้งไขสันหลังส่งไปเพื่อทำการตรวจทางห้องทดลอง ในกรณีผู้เจ็บป่วยที่มีอาการกล้ามอัมพาตแบบอ่อนเปียก (acute flaccid paralysis : AFP) แพทย์จะดำเนินงานไต่สวนโรค พร้อมกับเก็บอุจจาระส่งตรวจเพื่อ    แยกเชื้อโปลิโอ การวินิจฉัยที่แน่ๆเป็น แยกเชื้อโปลิโอได้จากอุจจาระ รวมทั้งกระทำการตรวจว่าเป็นทัยป์ใดเป็นสายพันธุ์ wild strain หรือ vaccine strain (Sabin strain)
          การเก็บอุจจาระส่งตรวจจะเก็บ 2 ครั้ง ห่างกันอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ต้องเก็บให้เร็วด้านใน 1-2 สัปดาห์ภายหลังที่เจอมีลักษณะ AFP ซึ่งเป็นช่วงๆที่มีจำนวนเชื้อไวรัสในอุจจาระมากยิ่งกว่าระยะอื่นๆการจัดส่งอุจจาระเพื่อส่งตรวจต้องให้อยู่ในอุณหภูมิ 4-8๐ ซ ตลอดระยะเวลา มิฉะนั้นเชื้อโปลิโออาจตายได้ ตอนนี้โรคโปลิโอยังไม่มีวิธีรักษาให้หายสนิท แพทย์สามารถให้การดูแลคนไข้ตามอาการ  แล้วก็ช่วงนี้ก็ยังไม่มียารักษาโรคโปลิโอโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การดูแลและรักษาจะเป็นแบบเกื้อกูล ได้แก่ ให้ยาลดไข้ และก็ลดลักษณะของการปวดของกล้าม ในรายที่มีลักษณะอัมพาตของกล้ามแขน ขา วิธีการทำกายภาพ บรรเทาจะช่วยฟื้นฟูความสามารถของกล้ามให้ดียิ่งขึ้น
สำหรับการรักษาคนไข้กลุ่มอาการหลังกำเนิดโรคโปลิโอ (Post-polio syndrome – PPS) การดูแลและรักษาหลักจะย้ำไปที่แนวทางการทำกายภาพบำบัดมากกว่า ดังเช่นว่า การใส่อุปกรณ์ช่วยยึดลำตัว เครื่องไม้เครื่องมือช่วยสำหรับการเดิน อุปกรณ์ที่ช่วยปกป้องข้อบิดผิดรูปหรืออาจใช้การผ่าตัดช่วย การฝึกหัดพูดแล้วก็ฝึกกลืนในผู้เจ็บป่วยที่มีปัญหา การออกกำลังกายที่ย้ำการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อภายใต้คำเสนอแนะที่ถูกต้องจากแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด การใช้งานเครื่องช่วยหายใจในขณะหลับแม้คนเจ็บมีปัญหาหัวข้อการหยุดหายใจในขณะหลับ แล้วก็การดูแลทางด้านอารมณ์และจิตใจของผู้เจ็บป่วยร่วมด้วย

การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคโปลิโอ

  • ถ้าได้รับการวิเคราะห์ว่าเป็นโรคโปลิโอไม่ว่ามีอาการอยู่ในกรุ๊ปใด ถ้าเกิดแพทย์ให้กลับบ้านญาติต้องระมัดระวังการแพร่ระบาดสู่บุคคลในบ้าน ด้วยเหตุว่าคนไข้จะสามารถขับเชื้อออกมาทางอุจจาระได้นานถึงราวๆ 3 เดือนหลังติดเชื้อ รวมทั้งถ้าหากผู้เจ็บป่วยมีภาวะภูมิต้านทานต่อต้าน ทานโรคขาดตกบกพร่องด้วยแล้วจะสามารถแพร่เชื้อได้นานถึงโดยประมาณ 1 ปี โดยให้ญาติดูแลประเด็นการขับ ถ่ายของผู้เจ็บป่วยให้ถูกสุขลักษณะ การล้างมือทุกครั้งข้างหลังเข้าห้องอาบน้ำรวมทั้งก่อนจับจับของกินเข้าปาก การกินของกินปรุงสุกใหม่เสมอ การล้างผักผลไม้ให้สะอาดแล้วก็ปอกผลไม้ก่อนกิน แล้วก็ถ้าบุคคลในบ้านใครกันแน่ยังไม่เคยรับวัคซีนโปลิโอ ก็ให้หารือหมอเพื่อรับวัคซีนให้ครบ
  • ให้คนไข้กินอาหารที่มีคุณประโยชน์ครบทั้งยัง 5 กลุ่ม
  • หากผู้ป่วยมีอาการกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรงให้พี่น้องช่วยทำกายภาพบำบัดเพื่อผลักดันความสามารถการเคลื่อนไหว แล้วก็เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อตามคำแนะนำของนักกายภาพบำบัด
  • พี่น้องควรจะดูแลรวมทั้งเอาใจใส่คนไข้ รวมทั้งดูแลทางด้านสภาวะจิตใจ สถานการณ์ทางอารมณ์ของคนเจ็บแล้วก็ให้กำลังใจแก่ผู้ป่วยด้วย
  • ญาติควรพาคนไข้ไปพบแพทย์ตามนัดหมายอย่างเคร่งครัด หรือ แม้มีลักษณะไม่ปกติที่เป็นอันตราย ก็ควรพาไปพบหมอโดยด่วน
การปกป้องโรคโปลิโอ

  • โรคโปลิโอสามารถคุ้มครองปกป้องได้ด้วยวัคซีน ซึ่งวัคซีนที่มีใช้ ทั่วทั้งโลกมี 2 จำพวกเป็น
  • วัคซีนโปลิโอชนิดกิน (Oral Poliomyelitis Vaccine: OPV, Sabin) การกวาดล้าง ในประเทศไทย โรคโปลิโอ H T กรุ๊ปโรคติดต่อที่คุ้มครองป้องกันได้ด้วยวัคซีน สำนักโรคติดต่อทั่วๆไป Albert Bruce Sabin M.D. Jonas Edward Salk M.D. เป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ (attenuated live oral poliomyelitis vaccine) สายพันธุ์ Sabin คิดค้นโดย Albert Bruce Sabin ชาวอเมริกัน เมื่อปี พ.ศ. 2504 วัคซีนมีเชื้อ ไวรัสโปลิโอ 3 ทัยป์เป็นทัยป์ 1, 2 แล้วก็ 3 ให้วัคซีนโดยการกินเป็นการเลียนแบบการตำหนิดเชื้อ ตามธรรมชาติ ซึ่งสามารถกระตุ้นภูมิต้านทานที่เยื่อบุคอแล้วก็ลำไส้ของผู้รับวัคซีน และก็สามารถแพร่ระบาด วัคซีนไปกระตุ้นภูมิต้านทานให้กับผู้สัมผัสสนิทสนมได้อีกด้วย เดี๋ยวนี้วัคซีนโปลิโอประเภทรับประทานนี้ถือว่าเป็น วัสดุสำคัญสำหรับการกำจัดโรคโปลิโออย่างยิ่ง เนื่องจากว่าสามารถปกป้องรวมทั้งกำจัดเชื้อโปลิโอสายพันธุ์ ก่อโรคได้อย่างดีเยี่ยม มีราคาถูกรวมทั้งมีวิธีการให้วัคซีนง่าย แต่ว่ามีข้อเสีย คืออาจจะส่งผลให้กำเนิดอาการใกล้กัน คล้ายโรคโปลิโอ (Vaccine Associated Paralytic Polio: VAPP) ซึ่งเกิดขึ้นน้อยมาก ประมาณ 1 ใน 2.7 ล้านโด้ส หรืออาจมีการกลายพันธุ์ (Vaccine Derive Polio Virus: VDPV) จนถึงก่อ โรคได้ในพื้นที่ที่มีความครอบคลุมของการได้รับวัคซีนต่ำ
  • วัคซีนโปลิโอชนิดฉีด (Inactivated Poliomyelitis Vaccine: IPV, Salk) เป็นวัคซีนที่ทำมาจากเชื้อไวรัสโปลิโอที่ตายแล้ว (kill vaccine) คิดค้นโดย Jonas Edward Salk ชาว อเมริกัน เมื่อปี พ.ศ. 2498 วัคซีนจำพวกนี้ประกอบด้วยเชื้อโปลิโอ 3 ทัยป์ ให้วัคซีนโดยการฉีด


ในปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้วัคซีนโปลิโอในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค โดยให้วัคซีน OPV 5 ครั้ง เมื่ออายุ 2, 4, 6 เดือน 1 ปีครึ่ง รวมทั้ง 4 ปี รวมทั้งให้วัคซีน IPV 1 ครั้ง เมื่ออายุ 4 เดือน

  • คุ้มครองการตำหนิดเชื้อและการแพร่ขยายของเชื้อโปลิโอ ด้วยการกินอาหารและก็กินน้ำสะอาดถูกสุขลักษณะ รวมถึงการขี้ลงส้วมที่ถูกสุขลักษณะทุกหน
  • ตอนหลังเข้าไปคลุกคลีใกล้ชิดคนไข้โรคโปลิโอ หรอเข้าไปดูแลเปลี่ยนผ้าให้แก่คนป่วยควรล้ามือด้วยสบู่ทุกหน
  • เมื่ออยู่ในพื้นที่มีการระบาดของโรคโปลิโอ ควรจะดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงปฏิบัติตามหลักสุขบัญญัติให้เข้มงวด


สมุนไพรที่ใช้รักษา/บรรเทาโรคโปลิโอ เนื่องมาจากโรคโปลิโอเป็นโรคที่ติดต่อจากเชื้อไวรัสที่มีการติดต่อได้ง่าย รวมทั้งในคนไข้ที่มีความรุนแรงของโรคนั้นอาจก่อให้เสียชีวิตหรือทุพพลภาพได้ ซึ่งในขณะนี้นั้นยังไม่มียาที่ใช้รักษาโรคโปลิโอให้หายได้ รวมถึงยังไม่มีข้อมูลว่ามีสมุนไพรประเภทไหนที่ใช้รักษาหรือทุเลาลักษณะโรคโปลิโอได้เหมือนกัน
เอกสารอ้างอิง

  • การกวาดล้างโรคโปลิโอในประเทศไทย.กลุ่มโรคติดต่อที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีนสำนักโรคติดต่อทั่วไป.วารสาร ดร.สัมพันธ์.ปีที่ 3.ฉบับที่ 4.เมษายน-พฤษภาคม 2559.หน้า 2-3
  • โปลิโอ.อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “โปลิโอ (Poliomyelitis)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 571-572.
  • Paul JR (1971). A History of Poliomyelitis. Yale studies in the history of science and medicine. New Haven, Conn: Yale University Press. pp. 16– ISBN 0-300-01324-8. http://www.disthai.com/
  • Cohen JI (2004). "Chapter 175: Enteroviruses and Reoviruses". In Kasper DL, Braunwald E, Fauci AS, et al. (eds.). Harrison's Principles of Internal Medicine (16th ed.). McGraw-Hill Professional. p. ISBN 0-07-140235-7.
  • โรคโปลิโอ(Poliomyelitis).ความรู้เรื่องโรคติดต่อ.สำนักโรคติดต่อทั่วไป.กรมควบคุมโรค.กระทรวงสาธารณสุข
  • Ryan KJ, Ray CG (eds.) (2004). "Enteroviruses". Sherris Medical Microbiology (4th ed.). McGraw Hill. pp. 535– ISBN 0-8385-8529-9.
  • Jeffrey I. Cohen, enteroviruses and reoviruses, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 15th edition, Braunwald , Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2001
  • โรคโปลิโอ(Polio).สำนักโรคติดต่อทั่วไป.กรมควบคุมโรค.กระทรวงสาธารณสุข.


27

สมุนไพรเม้าแดง
เม้าแดง Lyonia ovalifolia (Wall.) Drude
ชื่อพ้อง pieris ovalifolia D. Don เม้าแดง (จังหวัดเชียงใหม่).
     ไม้ต้น ขนาดเล็ก สูง 4-8 มัธยม เปลือกเรียบ ลอกออกเป็นแผ่นเล็กๆกิ่งหมดจด. ใบ ผู้เดียว เรียงสลับกัน รูปไข่ ปลายแหลม โคนกลม หรือ มน ขอบใบเรียบ กว้าง 3-4 ซม. ยาว 6-8 เซนติเมตร เส้นกลางใบ และก็เส้นแขนงใบนูน เส้นกิ่งก้านสาขาใบมีข้างละ 6-8 เส้น ด้านล่างมีขน ก้านใบยาว 3-10 มม. แทบหมดจด. สมุนไพร ดอก ออกเป็นช่อตามง่ามใบ ช่อดอกยาว 5-10 ซม. มีใบตกแต่งที่โคนช่อดอก ก้านดอกยาว 3-4 มม. มีขนนิดหน่อย กลีบรองกลีบดอก 5 กลีบ เชื่อมติดกันที่โคน มีขน ปลายกลีบแหลม กลีบดอกไม้เชื่อมชิดกันเป็นกระเปาะ โคนกระเปาะกลม ปากแคบและแยกเป็นกลีบเล็กๆ5 กลีบ เชื่อมชิดกันที่โคน มีขน ปลายกลีบแหลม กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นกระเปาะ โคนกระเปาะกลม ปากแคบแล้วก็แยกเป็นกลีบเล็กๆ5 กลีบ มีขนเล็กน้อย เกสรผู้ 8-10 อัน ก้านเกสรยาว มักมีขน และมีควรอย ลักษณะที่คล้ายเขาเล็กๆ2 อัน อยู่ใกล้ปลายก้าน อับเรณูรูปไข่ หรือ รูปขอบขนาน เมื่อแก่จะมีรูปเปิดออกทางด้านบน เกสรเมียภายในมี 5 ช่อง. ผล กลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5 มิลลิเมตร แก่จัดจะแตกตามยาว มีเม็ดเยอะมาก.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นตามป่าดิบเขาทางภาคเหนือ และตะวันออกเฉียงเหนือ.
คุณประโยชน์ : ใบ รวมทั้ง ผล กินได้ บำรุงร่างกาย แม้กระนั้นทั้งยังต้นเป็นพิษ โดยยิ่งไปกว่านั้นยอดอ่อน ใช้เป็นสารกำจัดศัตรูพืช ใบแห้งทำเป็นยาผง ทาแก้โรคผิวหนังบางชนิด

28

โรคหัด (Measles)
โรคหัดคืออะไร|เป็นอย่างไร|เป็นยังไง} โรคหัด (Measles) จัดเป็นโรคไข้ออกผื่นประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นมาจากการตำหนิดเชื้อไวรัสที่พบมากในเด็กตัวเล็กๆ แม้กระนั้นก็สามารถพบได้ในทุกวัย ซึ่งโรคฝึกฝนนี้ยังนับเป็นโรคติดเชื้อโรคระบบทางเดินหายใจอีกด้วย สำหรับประวัติความเป็นมากของโรคฝึกนี้มีประวัติความเป็นมาดังนี้
         โรคหัด หรือชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่า “measles” มีรากศัพท์จากคำว่า Masel ในภาษาเนเธอแลนด์ มีความหมายว่า จุด (spots) ที่อธิบายอาการนำของโรคนี้ที่ผู้เจ็บป่วยจะมีอาการไข้แล้วก็ผื่น ยิ่งกว่านั้นอาการสำคัญอื่นๆที่เป็นคุณลักษณะเด่นของโรคฝึกฝน อย่างเช่น ไอ น้ำมูลไหล และตาแดง โรคหัดเป็นที่รู้จักมานานกว่า 2000 ปี พบหลักฐานการร่ายงานคราวแรกโดยหมอรวมทั้งนักปรัชญาชาวเปอร์เซียชื่อ Rhazed แล้วก็ใน คริสต์ศักราช1954 Panum แล้วก็ภาควิชา ได้รายงานการระบาดของโรคหัดที่หมู่เกาะฟาโรห์และให้บทสรุปของโรคนี้ว่าเป็นโรติดเชื้อโรคที่มีการติดต่อสู่บุคคลอื่นได้ง่าย มีระยะฟักตัวประมาณ 2 สัปดาห์ และก็ข้างหลังติดโรคผู้เจ็บป่วยจะมีภูมิคุ้มกันตลอดชีพ
โรคหัดถือว่าเป็นโรคที่มีความสำคัญมากมายโรคหนึ่ง เพราะว่าอาจจะเป็นผลให้กำเนิดโรคแทรกซ้อนส่งผลให้เสียชีวิตได้ แล้วก็แม้กระนั้นในตอนนี้โรคนี้มีวัคซีนป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงเกือบจะ 100% แล้ว(ในประเทศไทยเริ่มใช้วัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคฝึกหัดตั้งแต่ ปี พุทธศักราช2527) โรคฝึกหัดเป็นโรคที่พบกำเนิดได้ตลอดทั้งปี แต่มีอุบัติการณ์สูงในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือน และก็โอกาสสำหรับเพื่อการกำเนิดโรคในหญิงรวมทั้งผู้ชายมีใกล้เคียงกัน
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่ามีผู้ตายด้วยโรคฝึกจากทั้งโลก 134,200 ราย สำหรับเหตุการณ์โรคฝึกฝนในประเทศไทย ตามรายงานของสำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุขปี 2555,2556 พบว่ามีจำนวนคนป่วยโรคฝึกรวมทั้งสิ้น 5,207 คน แล้วก็ 2,646 คน ในแต่ละปีตามลำดับ โดยเด็กอายุ 9 เดือน-7 ปี จัดเป็นตอนๆอายุที่พบคนไข้โรคนี้มากที่สุด คิดเป็นจำนวนร้อยละ 37.03 และ 25.85 ของแต่ละปี
ที่มาของโรคฝึกหัด โรคหัดเกิดจากการติดเชื้อ Measles virus (หรือ Rubeola) อยู่ในGenus Morbillivirus และก็ Paramyxovirus เป็น single-stranded RNA รูปร่างกลม (spherical) ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 100-250 นาโนเมตร หุ้มล้อมโดย envelope เป็น glycol-protien ที่มีโปรตีนสำคัญ 3 ประเภท ได้แก่ H protein ปฏิบัติภารกิจให้ฝาผนังไวรัสเกาะติดกับฝาผนังเซลล์ของผู้คน F protein มีความจำเป็นสำหรับการแพร่ไวรัสจากเซลล์หนึ่งสู่เซลล์อื่นๆM protein มีความจำเป็นเกี่ยวข้องกัน viral maturation เนื่องมาจากเป็นไวรัสที่มี envelope หุ้มห่อก็เลยถูกทำลายได้ง่ายด้วยความร้อน (>37◦ซ.) แสงสว่าง สภาพการณ์ที่เป็นกรดและสารที่ละลายไขมันดังเช่นว่าอีเทอร์ คลอโรฟอร์ม โดยเชื้อกลางอากาศแล้วก็บนผิววัตถุจะมีชีวิตเพียงแต่ช่วงเวลาสั้นๆ(ไม่เกิน 2 ชั่วโมง) รวมทั้งเชื้อนี้สามารถก่อโรคได้เฉพาะในคนเท่านั้น
อาการโรคฝึกฝน  ผู้ป่วยจะเริ่มจับไข้สูง 39◦เซลเซียส-40.5◦เซลเซียส ร่วมกับมีไอ น้ำมูก รวมทั้งตาแดง เป็นอาการสำคัญบางรายบางทีอาจเจอตาไม่สู้แสงสว่าง (photophobia) เจ็บคอ ปวดหัว ต่อมน้ำเหลืองโต เบื่ออาหารและท้องเสียร่วมด้วย อาการพวกนี้จะกำเนิด 2-4 วันก่อนจะมีผื่นขึ้นและพบ Koplik spots เป็นลักษณะเจาะจงที่สำคัญ เห็นเป็นจุดขาวผสมเทาเล็กๆบนพื้นแดงของกระพุ้งแก้ ส่วนมากพบบริเวณกระพุ้งแก้มตรงข้ามกับฟันกรามข้างล่างซี่แรก (first molar) พบมาก 1 วันก่อนมีผื่นขึ้นรวมทั้งปรากฏอยู่นาน 2-3 วัน การดำเนินโรคมีลักษณะดังนี้เป็นไข้จะค่อยๆสูงมากขึ้นจนกระทั่งสูงสุดในวันที่ 3-4 ซึ่งเป็นวันที่เริ่มมีผื่นขึ้น ลักษณะผื่นเป็น maculopapular rash เริ่มที่ไรผม หน้าผาก ข้างหลังหู บริเวณใบหน้าแล้วก็ไล่ลงมาที่คอ หน้าอก แขน ท้อง จนกระทั่งมาถึงขาในเวลา 48-72 ชั่วโมง ผื่นที่ขึ้นก่อนในวันแรกๆมักกลุ่มรวมกันลักษณะเป็น confluent maculopapular rash ทำให้มองชัดกว่าผื่นบริเวณช่วงล่างของลำตัวซึ่งมีลักษณะเป็น discrete maculopapular rash มีรายงานการเจอผื่นที่ฝ่ามือหรือฝ่าตีนถึงปริมาณร้อยละ 25-50 และก็บางทีอาจสมาคมกับความรุนแรงของโรค เมื่อผื่นกำเนิดไล่มาถึงเท้าไข้จะต่ำลง อาการอื่นๆจะดียิ่งขึ้น ผื่นจะอยู่นาน 3-7 วันและหลังจากนั้นก็ค่อยๆจางลงจากหน้าลงมาเท้าและก็เปลี่ยนเป็นสีคล้ำ (hyperpigmentation) ซึ่งเป็นผลจากการมีเลือดออกในเส้นเลือดฝอยแล้วต่อจากนั้นจะหลุดลอกเป็นแผ่นบางๆจำนวนมากมักสังเกตไม่เจอเนื่องจากหลุดไปพร้อมการอาบน้ำ อาจพบการดำเนินโรคที่ป่วยแบบ biphasic คือ ไข้สูงใน 24-48 ชั่วโมงแรกต่อมาอุณหภูมิกลายเป็นปกติไม่มีไข้โดยประมาณ 24 ชั่วโมงแล้วจึงเริ่มมีไข้สูงอีกรอบแล้วก็มีผื่นเกิดขึ้นในวันที่ไข้สูงสุด ไข้จะคงอยู่อีกราวๆ 2-3 คราวหลังจากผื่นขึ้นแล้วจึงหายไป ในกรณีที่ไข้ไม่ลงหรือลงแล้วกลายเป็นซ้ำใหม่ควรตรวจหาภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นเพราะเนื่องจากการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ส่วนอาการไออาจพบนานถึง 10 วัน ส่วนภาวะแทรกซ้อนของโรคฝึกหัดที่พบได้บ่อยมีดังนี้
                ภาวะแทรกซ้อนของโรคฝึกหัด เจอได้ร้อยละ 30 ของคนไข้โรคหัด พบมากในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีรวมทั้งคนแก่ที่อายุน้อยกว่า 5 ปีรวมทั้งคนแก่ที่แก่กว่า 20 ปี เกิดได้หลายระบบของร่างกาย ปัจจัยโดยมากมีสาเหตุจากเยื่อบุ (epithelial surface) ของอวัยวะต่างๆถูกทำลายและก็ผลการกดภูมิคุ้มกันจากการตำหนิดเชื้อไวรัสของร่างกาย แยกตามอวัยวะต่างๆของร่างกายได้ดังนี้

  • หูศูนย์กลางอักเสบ (otitis media) พบราวๆจำนวนร้อยละ 10
  • ปอดบวม (pneumonia) ซึ่งกำเนิดได้ 2 ระยะ ระยะแรกที่เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัสเอง จะเป็น interstitial pneumonia ในพักหลัง ซึ่งมีสาเหตุจากการตำหนิดเชื้อแบคทีเรียเข้าแทรก จะเป็น bronchopneumonia
  • อุจจาระร่วง (diarrhea) มักกำเนิดในช่วงแรกที่มีไข้ หรือเมื่อผื่นเริ่มขึ้น
  • สมองอักเสบ (encephalitis) เจอได้ 1:1000 ถึง 1:10000 ซึ่งกำเนิดในช่วง 2-5 วัน ภายหลังผื่นออก มีลักษณะอาการไข้ คลื่นไส้ ปวดศีรษะ ซึม ซึ่งถ้ากรวดน้ำไขสันหลัง จะพบเซลล์เป็น lymphocyte โปรตีนสูง
  • Subacute sclerosing panencephalitis (SSPE) เจอได้ 1 ใน 100000 มักกำเนิดภายหลังจากเป็นหัดแล้ว 4-8 ปี อาการจะค่อยๆเป็นค่อยๆไป มีความประพฤติไม่ถูกไป เชาวน์เสื่อมลง มีอาการชัก อาการทางประสาทจะเหลวแหลกลงเรื่อยๆถึงโคมา แล้วก็เสียสุดท้าย ถ้าหากกรวดน้ำไขสันหลังพบว่ามี high titer of measles antibody ตรวจ EEG พบ burst suppression pattern with paroxysmal high-amplitude burst and background suppression
ขั้นตอนการรักษาโรคฝึก
การวินิจฉัย โรคฝึกใช้การวิเคราะห์จากการซักความเป็นมาและตรวจร่างกายเป็นหลัก โดยผู้ป่วยจะมีไข้สูง น้ำมูก ไอ  ตาแดง และพบผื่นลักษณะ maculopapular rash ในช่วงวันที่ 3-4 ของไข้ การเจอ  Koplik spots (จุดภายในปากตอนกระพุ้งแก้ม) จะเป็นสาระสำคัญที่ช่วยสำหรับเพื่อการวินิจฉัย ในเรื่องที่อาการและก็อาการแสดงไม่ชัดเจนอาจไตร่ตรองส่งตรวจทางห้องทดลองดังต่อไปนี้เพิ่มอีกเพื่อช่วยรับรองการวินิจฉัย

  • การตรวจน้ำเหลืองเพื่อหาระดับของดินแดนตำหนิบอดีต่อไวรัสหัด แนวทางที่นิยมใช้ได้แก่ enzyme immunoassay (EIA) เหตุเพราะทำง่าย ราคาไม่แพง มีความไวรวมทั้งความจำเพาะสูง โดยตรวจหาแอนติบอดีจำพวก IgM ใน acute phase serum หรือตรวจหาดินแดนติบอดีจำพวก IgG 2 ครั้งใน acute และ convalescent phase serum ห่างกัน 2 อาทิตย์ เพื่อดูการเพิ่มขึ้นของระดับแดนติเตียนบอดี  (fourfold rising of  antibody)  เพื่อรับรองการวิเคราะห์ โดยวิธีแบบนี้จะสามารถตรวจพบภายหลังจากมีผื่นแล้ว 3 วัน โดยระดับแอนติบอดีจะขึ้นสูงสุดราวๆ 14 คราวหลังผื่นและจะหายไปใน 1 เดือน ช่วงเวลาที่แนะนำให้ตรวจเป็น 7 ครั้งหน้าผื่นขึ้น ซึ่งมีวิธีดังนี้


วิธี ELISA IgM ใช้ตัวอย่างนน้ำเหลือง (serum): เจาะเลือดเพียงครั้งเดียวตอน 4-30 วันหน้าพบผื่น โดยเจาะเลือด 3-5 มิลลิลิตรทิ้งไว้ที่อุณหภูมิปกติ รอจนเลือดแข็งตัว ดูดเฉพาะ Serum (หามีอุปกรณ์พร้อมให้ ปั่นแยก Serum) เก็บใส่หลอดไร้เชื้อ ปิดจุกให้สนิทแล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปวิเคราะห์ต่อไป

  • การตรวจสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสฝึกหัด โดยแนวทาง polymerase chain reaction (PCR) ซึ่งมีวิธีการดังต่อไปนี้


ปิดฉลาก ชื่อ-สกุล และวัน-เดือน-ปี ที่เก็บ แนวทาง PDR ใช้throat/nasal swab : เก็บช่วง 1-5 วันแรกข้างหลังพบผื่น โดยใช้ SWAB ป้ายด้านในบริเวณ posterior pharynx จุ่มปลาย swab ใน viral transport media หักด้าม swab ทิ้งเพื่อปิดหลอดให้สนิทแล้วก็ค่อยนำไปวินิจฉัยต่อไป
                การดูแลรักษา เหตุเพราะการต่อว่าดเชื้อไวรัส หัดไม่มียาใช้รักษาเฉพาะ ควรต้องให้การรักษาตามอาการ ตัวอย่างเช่น เช็ดตัวลดไข้ ให้ยาลดไข้ สารน้ำในกรณีที่มีภาวะขาดน้ำหรือกินอาหารได้น้อย ให้ความชุ่มชื้นรวมทั้งออกสิเจนในกรณีที่หอบหายใจเร็ว   ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย เป็นต้นว่า ปอดอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบใคร่ครวญรักษาด้วยการใช้ยาต้านจุลชีวินที่สมควรเป็นต้น
                นอกนั้นพบว่าการให้วิตามินเอ ยังสามารถลดอัตราการตายและก็ความพิกลพิการจากภาวะแทรกซ้อนของโรคฝึกฝนได้และยังช่วยเสริมภูมิคุ้มกันโรคฝึกฝนได้อีกด้วย ด้วยเหตุผลดังกล่าวแพทย์ก็เลยมักพิเคราะห์จะให้วิตามินเอแก่ผู้เจ็บป่วยที่มีข้อบ่งชีดังนี้

  • ผู้เจ็บป่วยอาการร้ายแรงที่อาศัยอยู่ในประเทศไม่ค่อยมีการพัฒนา หรือในบริเวณที่ยากแค้นของประเทศที่กำลังปรับปรุง
  • คนไข้เด็กอายุ 6-24 เดือน รวมทั้งจะต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาลด้วยโรคฝึกหัดที่มีภาวะแทรกซ้อน
  • คนเจ็บที่มีภาวะภูมิต้านทานขัดขวางโรคขาดตกบกพร่อง
  • คนป่วยขาดสารอาหาร
  • ผู้ป่วยที่เคยมีประวัติเป็นโรคตา จากการขาดวิตามิน เอ
  • คนเจ็บที่มีปัญหาเรื่องลำไส้ซับไม่ดี (ก็เลยมักขาดวิตามิน เอ)
  • ผู้ป่วยที่พึ่งพิงย้ายมาจากพื้นที่ที่มีอัตราการตายจากโรคฝึกสูง

สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะส่งผลให้เกิดโรคหัด

  • เด็กหรือผู้ใหญ่ที่ไม่ได้รับการฉีดซีนป้องกันโรคฝึกฝนมีการเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคฝึกหัดได้
  • สถานที่ที่มีความชื้อที่แดดส่องไม่ถึง หรือมีผู้คนคับคั่งเยอะมากๆมักจะเป็นที่ที่มีการระบาดของโรคฝึกหัด ดังเช่นว่า สถานศึกษา สถานที่รับเลี้ยงเด็กฯลฯ
  • คนที่มีภาวะขาดวิตามินเอ ชอบมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัด มากกว่าคนปกติ
  • ผู้ที่มีภาวการณ์ความผิดแปลกของระบบภูมิต้านทาน
  • ผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศที่มีระบบระเบียบสาธารณสุขที่ไม่มีคุณภาพ(ประเทศกำลังพัฒนา)


การติดต่อของโรคฝึกหัด โรคฝึกฝนเป็นโรคติดต่อที่แพร่สู่บุคคลอื่นได้ง่ายผ่านทางการหายใจ (airborne transmission) เชื้อไวรัสฝึกจะอยู่ในละอองน้ำมูก น้ำลายและก็เสมหะของผู้ป่วย ติดต่อไปยังผู้อื่นโดยการไอจามรดกัน เชื้อจะติดอยู่ในละอองฝอยๆเมื่อผู้เจ็บป่วยไอหรือจาม เชื้อจะกระจัดกระจายออกไปในระยะไกลและก็แขวนลอยอยู่ในอากาศได้นาน เมื่อคนปกติมาสูดเอาอากาศที่มีฝอยละอองนี้เข้าไป หรือละอองสัมผัสกับเยื่อตาหรือเยื่อเมือกโพรงปาก (ไม่มีความจำเป็นที่ต้องไอหรือจามรดใส่กันตรงๆ) ก็สามารถทำให้ติดโรคฝึกหัดได้ หรือสัมผัสสารคัดเลือกหลังของคนเจ็บโดยตรง ซึ่งเชื้ออาจติดอยู่กับมือของคนป่วย สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆตัวอย่างเช่น ถ้วยน้ำ จาน ชาม ผ้าที่เอาไว้สำหรับเช็ดหน้า ผ้าที่มีไว้เช็ดตัว หนังสือ ของเด็กเล่น เมื่อคนธรรมดามาสัมผัสถูกมือผู้ป่วย หรือสิ่งของเครื่องใช้ ที่ด่างพร้อยเชื้อ เชื้อก็จะติดมากับมือของคนๆนั้น เมื่อใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูกเชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายได้ ระยะการติดต่อเริ่มตั้งแต่ 4  วันโดยช่วงที่เริ่มมีลักษณะอาการไอและก็มีน้ำมูกก่อนเกิดผื่นเป็นระยะที่มีปริมาณไวรัสถูกขับออกมาสูงที่สุด ซึ่งภายในช่วงเวลา 7-14 คราวหน้าสัมผัสโรค เชื้อไวรัสฝึกหัดจะกระจัดกระจายไปทั่วร่างกายนำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการของระบบทางเท้าหายใจ ไข้และก็ผื่นในคนไข้รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิวิทยาอื่นๆตามมาอีกด้วย โดย 90 เปอร์เซ็นต์ของคนที่ไม่ได้รับวัคซีนคุ้มครองโรคฝึกมีโอกาสมีอาการป่วยเป็นโรคฝึกหัดถ้าเกิดอยู่ใกล้คนที่เป็นโรค
การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคฝึกหัด

  • กินน้ำสะอาดให้มากๆขั้นต่ำวันละ 6-8 แก้ว โดยบางทีอาจเป็นน้ำหวานหรือน้ำผลไม้ก็ได้ เพื่อปกป้องการขาดน้ำ
  • พักผ่อนให้มากๆไม่ทำงานหนักหรือออกกำลังกายมากจนเกินไป
  • ของกินที่รับประทานควรเป็นอาหารอ่อนๆตัวอย่างเช่น ซุปไก่ร้อนๆโจ๊ก น้ำหวาน น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มร้อนๆดังเช่น ชาร้อน น้ำขิง
  • พากเพียรกินอาหารให้ได้ตามธรรมดา โดยควรจะเป็นอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆรสไม่จัด ที่สำคัญเป็นคนเจ็บไม่จำเป็นที่จะต้องงดของแสลง เนื่องจากว่าโรคนี้ไม่มีของแสลง โดยควรเน้นย้ำการกินอาหารชนิดโปรตีนให้มากมายๆอย่างเช่น เนื้อ นม ไข่ ถั่ว รวมทั้งของกินที่มีวิตามินเอ มากมายๆเช่น ผักบุ้ง แครอท ตำลึง ตับวัว ฟักทอง อื่นๆอีกมากมาย
  • อย่าถูกฝนหรือถูกอากาศเย็นจัด ห้ามอาบน้ำเย็น แล้วก็ควรจะใส่เสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่น
  • ใช้ผ้าชุบน้ำชุบน้ำอุ่นหรือน้ำก๊อกอุณหภูมิปกติ (อย่าใช้น้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็ง) เช็ดตัวเวลามีไข้สูง
  • งดเว้นการสูบยาสูบ เลี่ยงควันของบุหรี่ รวมทั้งงดเว้นการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
  • เลี่ยงการไปในที่สาน้ำที่ที่มีคนคับคั่ง
  • รับประทานยารวมทั้งปฏิบัติตามคำเสนอแนะของแพทย์อย่างเคร่งครัว
  • ไปพบแพทย์ตามนัด
การคุ้มครองตัวเองจากโรคหัด

  • ในตอนที่มีการระบาดของโรคฝึกหัด ควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่ที่มีผู้คนแออัด แม้กระนั้นถ้าเกิดหลบหลีกไม่ได้ ควรใส่หน้ากากอนามัย แล้วก็หมั่นล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาด หรือชโลมมือด้วยแอลกอฮอล์เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่อาจติดมาจากการสัมผัสถูกเสลดของผู้ป่วย รวมทั้งอย่าใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูกถ้าหากยังไม่ได้ล้างมือให้สะอาด
  • ไม่ใช้สิ่งของเครื่องใช้ ร่วมกับคนไข้ และก็ควรจะเลี่ยงการสัมผัสมือกับผู้เจ็บป่วยโดยตรง หากไม่ได้สวมถุงมือคุ้มครองป้องกัน
  • อย่าใกล้หรือนอนรวมกับผู้ป่วย แม้กระนั้นจำเป็นที่จะต้องดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิด ควรจะใส่หน้ากากอนามัย แล้วก็หมั่นล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดอยู่เสมอภายหลังสัมผัสกับผู้เจ็บป่วยหรือสิ่งของของผู้ป่วย


แต่ดังนี้ วิธีที่ดีที่สุดที่จะคุ้มครองโรคฝึกหัดได้หมายถึงฉีดยาคุ้มครองป้องกัน ปัจจุบันนี้กระทรวงสาธารณสุขให้ฉีดวัคซีนป้อง กันโรคฝึก 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อเด็กอายุ 9-12 เดือน รวมทั้งครั้งที่ 2 เมื่อเด็กเข้าห้องเรียนชั้นประถมศึก ษาปีที่ 1 โดยทั้งคู่ครั้งให้ในรูปของวัคซีนรวม คุ้มครองป้องกันได้สามโรคเป็นโรคหัด โรคคางทูม รวมทั้งโรคหัดเยอรมัน เรียกว่า วัคซีนเอ็มเอ็มอาร์ (MMR, M= mumps/มัมส์/โรคคางทูม M= measles/มีเซิลส์/ฝึกหัด แล้วก็ R=rubella/รูเบลลา/ โรคเหือด)
ประวัติความเป็นมาของการพัฒนะวัคซีน วัคซีนคุ้มครองโรคฝึกหัดเริ่มมีการพัฒนาตั้งแต่ปี คริสต์ศักราช1960 จนตราบเท่ามีการจดทะเบียนการใช้วัคซีนเป็นครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริการเมื่อปี ค.ศ.1963 อีกทั้งวัคซีนชนิดเชื้อตาย (killed vaccine) และวัคซีนชนิดเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์ (live attenuated vaccine) ภายหลังจากเริ่มใช้วัคซีนทั้งยัง 2 ประเภทได้เพียงแค่ 4 ปี วัคซีนคุ้มครองโรคฝึกหัดประเภทเชื้อตามก็ถูกถอนทะเบียนจากตลาดเนื่องจากพบว่ากระตุ้นให้เกิด  atypical measles ด้วยเหตุนั้นในตอนต้นวัคซีนที่ใช้ก็เลยเป็น  monovalent live attenuated measles vaccine ที่ผลิตขึ้นจากเชื้อสายประเภท Edmonston จำพวก B โดยนำเชื้อเพาะในไข่ไก่ฟักรวมทั้ง chick embryo cell แต่เจอปัญหาข้างเคียงที่ร้ายแรงเรื่องไข้ ผื่น ก็เลยมีการปรับปรุงวัคซีนจำพวกเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์จากสายพันธุ์  Edmonston จำพวกอื่นๆด้วยกระบวนการผลิตประเภทเดียวกันแต่ว่าทำให้เชื้ออ่อนฤทธิ์ลงอีก ผลข้างเคียงจึงน้อยลง ถัดมาในปี ค.ศ.1971 มีการขึ้นบัญชีวัคซีนรวมจำพวก trivalent live attenuated measles-mumps-rubella  vaccine (MMR) และก็ใช้อย่างแพร่หลายจนถึงตอนนี้สำหรับเมืองไทยเริ่มมีการบรรจุวัคซีนคุ้มครองโรคฝึกยามเช้าไปกลยุทธ์สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแห่งชาติครั้งแรกในปี พุทธศักราช2527 โดยเริ่มให้ 1 ครั้งในเด็กอายุ 9-12 เดือนรวมทั้งในปี พ.ศ. 2539 ก็เลยเพิ่มการให้เข็มที่ 2 แก่เด็กชั้นประถมศึกษาเล่าเรียนปีที่ 1 จนกว่าปี พ.ศ.2540 ได้กำหนดให้ใช้วัคซีนคุ้มครองโรคฝึกหรือวัคซีนรวมคุ้มครองป้องกันโรคฝึกฝน-คางทูม-หัดเยอรมัน  (MMR) ในเด็กอายุ 9-12 เดือนรวมทั้งเปลี่ยนวัคซีนคุ้มครองโรคหัดสำหรับเด็กอายุ 4-6 ปีหรือชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เป็นวัคซีนรวมปกป้องโรคหัด – คางทูม – โรคเหือด (MMR) ด้วยเหมือนกัน
สมุนไพรที่ใช้คุ้มครองป้องกัน/รักษา/บรรเทาลักษณะโรคฝึก ตามตำรายาไทยนั้นระบุว่าสมุนไพรที่ใช้รักษาลักษณะของโรคฝึกหัดมีดังนี้

  • สะเดา (Azadirachta indica A.Juss.) ใช้ก้านสะเดา 33 ก้าน ต้มกับน้ำ 10 ลิตร แล้วต้มจนกระทั่งเหลือน้ำ 5 ลิตร ชูลงทิ้งเอาไว้รอคอยให้เย็น ผสมกับน้ำเย็น 1 ขัน ใช้อาบให้ทั่วร่างกายวันละ 1-2 ครั้ง จวบจนกระทั่งจะหาย และก็ต้องระมัดระวังอย่าอาบช่วงที่เม็ดฝึกฝนผุดขึ้นมาใหม่ๆแม้กระนั้นให้อาบในช่วงที่เม็ดฝึกออกเต็มที่แล้ว
  • ขมิ้นอ้อย (urcuma zedoaria (Christm.) Roscoe) ใช้เป็นยาแก้ฝึกฝนหลบใน ด้วยการใช้เหง้า 5 แว่น รวมทั้งต้นต่อไส้ 1 กำมือ เอามาต้มรวมกับน้ำปูนใสพอเหมาะพอควร แล้วนำมาใช้ดื่มเป็นยาก่อนอาหารเช้าตรู่แล้วก็เย็น ครั้งละ 1 ถ้วยชา
  • ปลาไหลเผือก (Eurycoma longifolia Jack) เปลือกลำต้นเอามาต้มเอาน้ำดื่มเป็นยาแก้ไข้เหือดฝึก


 ยิ่งไปกว่านี้ในบัญชีสามัญประจำบ้านแผนโบราญ พุทธศักราช2556 ดังระบุไว้ว่ายาเขียวสามารถใช้รักษาแล้วก็บาเทาอาการของโรคฝึกได้ โดยในสมัยก่อน ที่แท้การใช้ยาเขียวในโรคไข้เป็นผื่นในแผนไทย ไม่ได้มีเป้าประสงค์ในการยั้งเชื้อไวรัส แม้กระนั้นอยากกระแทกพิษที่เกิดขึ้นให้ออกมาเยอะที่สุด คนเจ็บจะหายได้เร็วขึ้น ผื่นไม่หลบใน หมายถึงไม่เกิดผื่นด้านใน เพราะฉะนั้นก็เลยมีหลายท่านที่รับประทานยาเขียวแล้วจะมีความรู้สึกว่ามีผื่นมากยิ่งกว่าเดิมขึ้นจากเดิม แพทย์แผนไทยจึงแนะนำให้ใช้ทั้งยังวิธีกินแล้วก็ทา โดยการกินจะช่วยกระทุ้งพิษภายในให้ออกมาที่ผิวหนัง และก็การทาจะช่วยลดความร้อนที่ผิวหนัง ถ้าจะเปรียบเทียบกับวิธีการแพทย์แผนปัจจุบัน น่าจะเป็นไปพอดียาเขียวบางทีอาจออกฤทธิ์โดยลดการอักเสบ หรือ เพิ่มภูมิต้านทาน หรือต้านออกซิเดชัน มักใช้รักษาในเด็กที่ป่วยเกิดผื่น ตัวอย่างเช่น หัด อีสุกอีใส เพื่อกระทุ้งให้พิษไข้ออกมา เป็นผื่นเพิ่มขึ้น และก็หายได้เร็ว
ตำรับยาเขียว มีส่วนประกอบของพืชที่ใช้ส่วนของใบเป็นองค์ประกอบหลัก การที่ใช้ส่วนของใบทำให้ยามีสีค่อนข้างจะไปทางสีเขียว ก็เลยทำให้เรียกกันว่า ยาเขียว รวมทั้งใบไม้ที่ใช้นี้จำนวนมาก มีคุณประโยชน์ เป็นยาเย็น หอมเย็น หรือ บางจำพวกมีรสขม เมื่อประกอบเป็นตำรับแล้ว จัดเป็นยาเย็น ทำให้ตำรับยาเขียวจำนวนมากมีสรรพคุณ ดับความร้อนของเลือดที่เป็นพิษ ซึ่งตามความหมายของการแพทย์แผนไทยนั้น หมายถึงการที่เลือดเป็นพิษและความร้อนสูงมากจนถึงจำต้องระบายทางผิวหนัง สำเร็จให้ผิวหนังเป็นผื่น หรือ ตุ่ม อาทิเช่นที่เจอในไข้ออกผื่น ฝึกหัด อีสุกอีใส เป็นต้น
เอกสารอ้างอิง

  • รศ.พญ.ธันยวีร์ ภูธนกิจ.โรคหัด.(Measles).เอกสารประกอบการสอน ไข้ออกผื่น (Exanthematous Fever).ภาควิชากุมารเวชศาสตร์.คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.พฤษภาคม.2547
  • ศศิธร ลิขิตนุกูล. โรคหัดและหัดเยอรมัน (Measlesand rubella). ใน: พรรณทิพย ฉายากุล, บรรณาธิการ.ตําราโรคติดเชื้อ เลม 1 กรุงเทพฯ: สมาคมโรคติดเชื้อแหงประเทศไทย; น.523-9.
  • รศ.รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล.ยาเขียว.ยาไทยใช้ได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/
  • (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). “หัด (Measles/Rubeola)”.หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป หน้า 396-400.
  • ผศ.ดร. ดลฤดี สงวนเสริมศรี, ผศ.ดร. เดือนถนอม พรหมขัติแก้ว มหาวิทยาลัยมหาสารคาม . ฤทธิ์การต้านเชื้อไวรัส varicella zoster ของตำรับยาเขียว (Anti-varicella zoster virus of Ya-keaw remedies). โครงการวิจัยภายใต้ทุนสนับสนุนของ สกว.
  • Axton JHM. The natural history of measles. Zambezia. 1979:139-54.
  • Babbott FL, Gordon JE. Modern measles. Am J Med Sci. 1954;228:334.
  • Koplik HT. The diagnosis of the invasion of measles from study of the exanthema as it appears on the buccal mucosa. Arch pediatr. 1896;13:918-22.
  • Maldonado YA. Rubeolar virus (Measles and subacute sclerosing panencephalitis). In: Long SS, Pickering LK, Prober CG, editors. Principles and practical of pediatric infectious disease 3re ed. Churchill Livingston: Elsevier Inc; 2008. p.1120-6.
  • Suringa DW, Bank LJ, Ackerman AB. Role of measles virus in skin lesion and Koplik’s spots. N Engl J Med. 1970;283:1139-42.
  • แนวทางการเฝ้าระวังควบคุมโรคการตรวจรักษาและส่งตัวอย่างตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อกำจัดโรคหัดตามพันธะสัญญานานาชาติ (ฉบับปรับปรุงวันที่ 2 พฤษภาคม 2555) กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • Gershon AA. Measles virus. In: Mendell GL, Bennett JE, Dolin R, eds. Mendell, Douglas and Bennett’s principle and practical of infectious disease 7th Churchill Livingston : Elsevier Inc; 2010. p.2229-36.
  • Miller C. Live measles vaccine: A21-year follow up. Br Meg J. 1987;295:22.
  • Robbins FC. Measles: Clinical Feature. Am J Dis Child. 1965; 266-73.
  • Nakai M, Imagawa DT. Electron microscopy of measles virus replication. J virol 1969;3:189-97.
  • American Academy of Pediatrics. Rubella. In: Pickering LK, Baker CJ, Kimberlin DW, Long SS, eds. Red Book 2009: Report of the Committee on Infectious Diseases. 28th ed. Elk Grove Village, IL: American Academy of Pediatrics; 2009. p.579-84.
  • Measles (rubeola). In: Krugman S, Katz SL, Gershon AA, Wilfert CM, editors. Infectious disease of children. 9th ed. St. Louis: Mosby Yearbook; 1992. p. 223-45.
  • Atabani SF, Byrnes AA, Jaye A, Kidd IM, Magnusen AF, Whittle H, Natural measles causes prolonged suppression of interleukin-12 production. J Infect Dis. 2001;184:1-9.
  • Krugman S. Further-attenuated me

29

โรคออทิสติก (Autistic spectrum disorder)
โรคออทิสติกคืออะไร “ออทิสติก” (Autism Spectrum Disorder) เป็นโรคที่มีชื่อเรียกหลากหลาย รวมทั้งมีการเปลี่ยนการเรียกชื่อเป็นระยะ ยกตัวอย่างเช่น ออทิสติก (Autistic Disorder), ออทิสซึม (Autism), ออทิสติก สเปกตรัม (Autism Spectrum Disorder), พีดีดี (Pervasive Developmental Disorders; PDDs), พีดีดี เอ็นโอเอส (PDD, Not Otherwise Specified) และก็แอสเพอร์เกอร์ (Asperger’s Disorder)  จนถึงในตอนนี้ก็เลยมีการตกลงใช้คำว่า “Autism Spectrum Disorder” ตามเกณฑ์คู่มือการวิเคราะห์โรคทางจิตใจเวชฉบับปัจจุบัน DSM-5 ของชมรมจิตแพทย์อเมริกัน ซึ่งใช้อย่างเป็นทางการในระดับสากลตั้งแต่ปี พุทธศักราช2556 สำหรับในภาษาไทย ใช้ชื่อว่า “ออทิสติก” โรคออทิสติก(Autistic Disorder) หรือ ออทิสซึม(Autism) เป็นความเปลี่ยนไปจากปกติของวิวัฒนาการเด็กแบบอย่างหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัว  เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของสมอง ทำให้มีความบกพร่องของความเจริญหลายด้านเป็นกรุ๊ปอาการความไม่ปกติ 3 ด้านหลักเป็น

  • ภาษาแล้วก็การสื่อความหมาย
  • การผลิตความเกี่ยวข้องระหว่างบุคคล
  • ความประพฤติปฏิบัติรวมทั้งความพึงพอใจแบบเฉพาะเจาะจงซ้ำเดิมซึ่งชอบเกี่ยวกับกิจวัตรที่ทำเป็นประจำและการเคลื่อนไหว ซึ่งอาการพวกนี้กำเนิดในตอนต้นของชีวิต มักเริ่มมีอาการก่อนอายุ 3 ปี


คำว่า “Autism” มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก ว่า “Auto” ซึ่งมีความหมายว่า Self หมายถึง แยกตัวอยู่คนเดียวในโลกของตน เปรียบมีกำแพงใส หรือกระจกส่อง กันบุคคลกลุ่มนี้ออกมาจากสังคมรอบกาย
ประวัติความเป็นมา ปี พ.ศ.2486 มีการรายงานคนไข้เป็นครั้งแรก โดยหมอลีโอ แคนเนอร์ (Leo Kanner) จิตแพทย์ สถาบันจอห์น ฮอปกินส์ สหรัฐอเมริกา รายงานคนป่วยเด็กปริมาณ 11 คน ที่มีลักษณะแปลกๆอาทิเช่น บอกเลียนเสียง กล่าวช้า ติดต่อสื่อสารไม่รู้เรื่อง ทำใหม่ๆไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ไม่สนใจผู้อื่น เล่นไม่เป็น และก็ได้ติดตามเด็กอยู่นาน 5 ปี พบว่าเด็กพวกนี้แตกต่างจากเด็กที่ขาดตกบกพร่องทางสติปัญญา จึงเรียกชื่อเด็กที่มีอาการเช่นนี้ว่า “Early Infantile Autism”
ปี พ.ศ.2487 นายแพทย์ฮานส์ แอสเพอร์เกอร์ (Hans Asperger) กุมารแพทย์ ชาวออสเตรีย บรรยายถึงเด็กที่มีลักษณะเข้าสังคมลำบาก หมกมุ่นอยู่กับการทำอะไรบ่อยๆแปลกๆกลับพูดเก่งมาก รวมทั้งดูเหมือนจะฉลาดเฉลียวด้วย เรียกชื่อเด็กที่มีอาการเช่นนี้ว่า “Autistic Psychopathy” ปี พ.ศ.2524 Lorna Wing นำมาอ้างอิงถึง ออทิสติกในความหมายของแอสเพอร์เกอร์ คล้ายคลึงกับของแคนเนอร์มาก นักวิจัยรุ่นลูกก็เลยสรุปว่า หมอ 2 คนนี้เอ๋ยถึงเรื่องเดียวกัน แต่ในรายละเอียดที่แตกต่าง ซึ่งในตอนนี้จัดอยู่ในกรุ๊ปเดียวกันเป็น“Autism Spectrum Disorder”
                จากการศึกษาระยะแรกพบอัตราความชุกของโรคออทิสติกราวๆ 4-5 รายต่อ 10000 ราย แม้กระนั้นรายงานในช่วงหลังพบอัตราความชุกมากขึ้นเรื่อยๆในประเทศต่างๆทั่วโลก เป็น 20-60 รายต่อ 10000 ราย ความชุกที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆนี้ ส่วนหนึ่งมาจากความรู้เรื่องออทิสติกที่เยอะขึ้น การใช้งานเครื่องมือสำหรับการวินิจฉัยที่แตกต่างกัน รวมถึงปริมาณคนเจ็บที่อาจมีมากขึ้นเรื่อยๆ โรคออทิสติกเจอในเพศชายมากยิ่งกว่าผู้หญิงอัตราส่วนประมาณ 2-4:1 อัตราส่วนนี้สูงมากขึ้นในกลุ่มเด็กที่มีลักษณะน้อยและก็ในทางตรงกันข้ามอัตราส่วนผู้ชายต่อเพศหญิงลดน้อยลงในกลุ่มที่มีสภาวะปัญญาอ่อนรุนแรงร่วมด้วย
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคออทิสติก  มีความบากบั่นในการค้นคว้าถึงสาเหตุของออทิสติก แม้กระนั้นก็ยังไม่รู้จักสาเหตุของความผิดปกติที่เด่นชัดได้ ในปัจจุบันมีหลักฐานสนับสนุนกระจ่างแจ้งว่ามีต้นเหตุที่เกิดจากรูปแบบการทำงานของสมองที่เปลี่ยนไปจากปกติ มากกว่าเป็นผลจากสภาพแวดล้อม
            ในอดีตเคยมั่นใจว่าออทิสติก เกิดจากการอุปถัมภ์ในลักษณะที่เย็นชา (Refrigerator Mother) (บิดามารดาที่บรรลุผลสำเร็จในเรื่องงาน กระทั่งความเชื่อมโยงระหว่างพ่อแม่กับลูกมีความห่างเหินเย็นชา ซึ่งมีการเทียบว่า เป็นบิดามารดาตู้เย็น) แต่ว่าจากหลักฐานข้อมูลในปัจจุบันรับรองได้เด่นชัดว่า รูปแบบการอุปถัมภ์ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เป็นออทิสติก แม้กระนั้นถ้าหากเลี้ยงอย่างเหมาะควรก็สามารถที่จะช่วยให้เด็กปรับปรุงดีขึ้นได้มาก
           แม้กระนั้นในปัจจุบันนักวิจัย/นักวิทยาศาสตร์ พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับปัจจัยด้านพันธุกรรมสูงมาก มีความเชื่อมโยงกับโครโมโซมหลายตำแหน่ง อาทิเช่น ตำแหน่งที่ 15q 11-13, 7q รวมทั้ง 16p ฯลฯ แล้วก็จากการเรียนในฝาแฝด พบว่าคู่แฝดเสมือน ซึ่งมีรหัสพันธุกรรมเช่นเดียวกัน มีโอกาสเป็นออทิสติกทั้งสองสูงยิ่งกว่าฝาแฝดไม่ราวกับอย่างชัดเจน
                รวมทั้งการศึกษาทางด้านกายส่วนแล้วก็สารสื่อประสาทในสมองของผู้ป่วยออทิสติก จากทั้งยังทางรูปถ่ายรังสี สัญญาณคลื่นสมอง สารเคมีในสมองรวมทั้งชิ้นเนื้อ พบความแปลกหลายสิ่งหลายอย่างในผู้ป่วยออทิสติกแต่ว่ายังไม่พบแบบอย่างที่เฉพาะ ในทางกายส่วนพบว่าสมองของผู้เจ็บป่วยออทิสติกมีขนาดใหญ่กว่าของคนทั่วๆไป รวมทั้งนิดหน่อยของสมองมีขนาดไม่ปกติ ตำแหน่งที่มีรายงานเจอความไม่ปกติของเนื้อสมอง ตัวอย่างเช่น brain stem, cerebellum, limbic system และ บางตำแหน่งของ cerebral cortex
                นอกนั้นการตรวจคลื่นกระแสไฟฟ้าสมอง (EEG) ในผู้ป่วยออทิสติก พบความไม่ดีเหมือนปกติปริมาณร้อยละ 10-83 เป็นความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าสมองแบบไม่เฉพาะ  (non-specific abnormalities) อุบัติการณ์ของโรคลมชักในเด็กออทิสติกสูงยิ่งกว่าของคนทั่วไปเป็น พบปริมาณร้อยละ 5-38 นอกจากนี้ยังมีการเล่าเรียนเกี่ยวกับสารสื่อประสาทหลายแบบโดยยิ่งไปกว่านั้น  serotonin ที่พบว่าสูงมากขึ้นในผู้เจ็บป่วยบางราย แม้กระนั้นก็ยังมิได้ข้อสรุปที่แจ่มแจ้งถึงความเกี่ยวพันของความผิดแปลกพวกนี้กับการเกิดออทิสติก
                ในขณะนี้สรุปได้ว่า ต้นเหตุจำนวนมากของออทิสติกมีต้นเหตุจากพันธุกรรมแบบหลายต้นสายปลายเหตุ (multifactorial inheritance) ซึ่งมียีนที่เกี่ยวพันหลายตำแหน่งรวมทั้งมีภูไม่ไวรับ (susceptibility) ต่อการเกิดโรคที่มีต้นเหตุมากจากการสัมผัสสภาพแวดล้อมต่างๆ
ลักษณะของโรคออทิสติก การที่จะรู้ว่าเด็กผู้ใดกันแน่เป็นหรือเปล่าเป็นออทิสติกนั้น  เริ่มแรกจะสังเกตได้จากการกระทำในวัยเด็ก    ซึ่งมองเห็นได้ตั้งแต่ขวบปีแรก       พ่อแม่บางครั้งอาจจะสังเกตเห็นตั้งแต่ความสัมพันธ์ทางด้านสังคมกับผู้อื่น  ด้านการสื่อความหมาย    มีพฤติกรรมที่ทำอะไรซ้ำๆ    การกระทำจะเริ่มแสดงแจ่มชัดเพิ่มมากขึ้นเมื่อเด็กอายุประมาณ 2 ขวบครึ่ง หรือ 30  เดือน  โดยมีลักษณะปรากฏแจ้งชัดในเรื่องความชักช้าด้านการพูดและการใช้ภาษา      ด้านความเกี่ยวข้องกับสังคมดูได้จากการที่เด็กจะไม่จ้องตา  ไม่แสดงออกทางสีหน้าท่าทางและอาการเสมือนไม่สนใจ  จะผูกสัมพันธ์หรือเล่นกับคนใดกัน  และไม่สามารถแสดงออกทางอารมณ์ให้เหมาะสมได้เมื่ออยู่ในสังคม   สามารถแยกเป็นด้าน ตัวอย่างเช่น

  • ความผิดพลาดสำหรับเพื่อการมีความสัมพันธ์ด้านสังคม (impairment in social interaction) ความผิดพลาดสำหรับในการมีปฏิสัมพันธ์ทางด้านสังคมเป็นอาการสำคัญของออทิสติก ซึ่งมีระดับความรุนแรงที่แตกต่างกันไป ถึงแม้ว่าเด็กออทิสติกสามารถสร้างความผูกพันโดยบากบั่นที่จะอยู่ใกล้ผู้อุปการะ แต่ว่าสิ่งที่ไม่เหมือนกับเด็กทั่วไปคือ การขาดความรู้สึกรวมทั้งความพอใจร่วมกับคนอื่น  (attention-sharing behaviours) ไม่สามารถที่จะเข้าใจหรือรับทราบว่าผื่อนกำลังคิดหรือรู้สึกยังไง เป็นต้น


ถึงแม้เด็กออทิสติกที่มีระดับเชาวน์ปกติ ก็ยังมีความผิดพลาดในด้านการเข้าสังคม ได้แก่ ไม่รู้เรื่องแนวทางการเริ่มหรือจบทบพูดคุย พ่อแม่บางคนอาจมองเห็นความผิดปกติในด้านสังคมตั้งแต่ในขวบปีแรก และก็เมื่อเด็กไปสู่วัยเรียน อาการจะเห็นได้ชัดเจนขึ้น เพราะเหตุว่าสถานการณ์ทางด้านสังคมที่สลับซับซ้อนมากเพิ่มขึ้น พูดอีกนัยหนึ่ง เด็กจะไม่อาจจะเข้าใจหรือรับทราบว่าผู้อื่นกำลังคิดหรือรู้สึกอย่างไรเข้ากับเพื่อนฝูงได้ยาก มักถูกเด็กอื่นคิดว่าแปลกหรือเป็นตัวตลกโปกฮา

  • ความบกพร่องในการติดต่อ (impairment in communication) เด็กออทิสติกส่วนมากมีปัญหาบอกช้า ซึ่งเป็นอาการนำสำคัญที่ทำให้ผู้ดูแลพาเด็กมาเจอหมอ การใช้ภาษาของเด็กออทิสติกมักเป็นในรูปแบบของการท่องบ่อยๆและไม่สื่อความหมาย อาจมีการพูดซ้ำคำท้ายประโยค ใช้คำสรรพนามไม่ถูกจำเป็นต้องพูดจาวกวนอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือใช้น้ำเสียงจังหวะดนตรีการพูดที่ไม่ปกติ


เด็กออทิสติดบางคนเริ่มพูดคำแรกเมื่ออายุ 2-3 ปี การใช้ภาษาในขั้นแรกจะเป็นการพูดทวนสิ่งที่ได้ยิน ส่วนในเด็กที่มีระดับเชาวน์ธรรมดาหรือใกล้เคียงธรรมดาจะมีความเจริญทางภาษาที่ค่อนข้างจะดี รวมทั้งสามารถใช้ประโยคในการติดต่อได้เมื่ออายุราว 5 ปี เมื่อถึงวัยศึกษาความบกพร่องด้านภาษายังคงมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสวนาโต้ตอบ บางทีอาจพูดจาวนเวียน พูดเฉพาะในเรื่องที่ตนพึงพอใจ แล้วก็มีปัญหาที่ภาษาที่เป็นนามธรรม หรือพูดไม่ถูกกาลเทศะ

  • การกระทำรวมทั้งความพอใจแบบเจาะจงซ้ำเดิมเพียงไม่กี่ประเภท (restricted, repetitive and stereotypic behaviors and interests) ความประพฤติซ้ำๆเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ชัด ก็เลยช่วยสำหรับการวินิจฉัยโรคได้ดิบได้ดี การกระทำที่ได้กล่าวมาแล้วเหล่านี้บางทีอาจเป็นความประพฤติทางกายรวมทั้งการเคลื่อนไหวที่จำกัดอยู่กับความพึงพอใจในกิจกรรมหรือสิ่งของไม่กี่ชนิด อาทิเช่น การสะบัดมือ หมุนข้อเท้า โยกศีรษะ หมุนวัตถุ เปิดปิดไฟ กดชักโครก แล้วก็เมื่อมีความตื่นเต้นหรือมีภาวการณ์กดดัน การเคลื่อนไหวบ่อยๆพบได้ทั่วไปได้มากขึ้น เด็กออทิสติกบางคนพึงพอใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ผู้อื่นมองข้าม


เด็กออทิสติกแบบ  high functioning ที่เป็นเด็กโตให้ความสนใจบางเรื่องอย่างจำกัดกี่ โดยสิ่งที่พอใจนั้นบางทีอาจเป็นเรื่องที่เด็กทั่วๆไปสนใจ แม้กระนั้นเด็กกลุ่มนี้มีความหมกมุ่นกับหัวข้อนั้นอย่างมาก เช่น จดจำรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งนั้นได้ แล้วก็สนทนาเกี่ยวกับเรื่องนั้นอยู่เป็นประจำ ในเด็กกลุ่มนี้เมื่อโตขึ้นสิ่งที่สนใจอาจเป็นความรู้ด้านวิชาการบางสาขา ได้แก่ เลขคณิต คอมพิวเตอร์ แล้วก็วิทยาศาสตร์สาขาต่างๆซึ่งความรู้กลุ่มนี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าเมื่อยู่ในสถานศึกษา จึงช่วยทำให้เด็กออทิสติกเข้าร่วมสังคมในสถานที่เรียนได้ดีขึ้น
นอกจากนี้เด็กออทิสติกบางทีอาจจะดื้อรั้นมากแล้วก็มีสมาธิสั้นต่อสิ่งที่มิได้พอใจเป็นพิเศษ จนครั้งคราวได้รับการวิเคราะห์ว่าเป็นเด็กซุกซนสมาธิสั้น (Attention deficit and hyperactivity disorder หรือ ADHD) โดยยิ่งไปกว่านั้นเมื่ออาการของออทิสติกกำกวม ในเด็กที่มีพัฒนาการช้าอย่างมากอาจพบการกระทำรังแกตนเอง เช่น กระแทกศีรษะหรือกัดตนเอง ฯลฯ
ในด้านเชาวน์ เด็กออทิสติกบางคนมีความรู้ความสามารถพิเศษในด้านความจำหรือคำนวณโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม high functioning บางทีอาจสามารถจำตัวอักษรรวมทั้งนับเลขได้ตั้งแต่อายุ 2-3 ปี เด็กบางกรุ๊ปสามารถอ่อนหนังสือได้ก่อนอายุ 5 ปี (hyperlexia)
ขั้นตอนการรักษาโรคออทิสติก สำหรับการตรวจวินิจฉัยว่าเด็กเป็นออทิสติกไหม  ไม่มีเครื่องวัดที่เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์   แต่ว่าอาจมีการตรวจประกอบกิจการวิเคราะห์จากความประพฤติ
                โดยกฏเกณฑ์การวิเคราะห์โรคออทิสติกตามระบบ Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders (DSM) เริ่มมีตั้งแต่ว่า DSM-III (พุทธศักราช 2523) และได้ถูกปรับกลายเป็น DSM-IIIR (พุทธศักราช 2530) ในตอนนี้ใช้หลักเกณฑ์การวินิจฉัยตาม DSM-IV (พุทธศักราช 2537) โดยคำว่า pervasive developmental disorder (PDD) คือความแตกต่างจากปกติในด้านพัฒนาการหลายด้าน ซึ่งแบ่งการวิเคราะห์ PDD เป็น 5 จำพวก เป็นต้นว่า autistic disorder, Rett’s disorder, childhood disintegrative disorder, Asperger’s disorder และก็pervasive developmental disorder not otherwise specified (PDD-NOS ในตอนนี้ได้รวมออทิสติกเป็นกรุ๊ปโรคที่มีความมากมายหลากหลายของลักษณะทางคลินิก (autistic spectrum disorder ASD) และก็มีคำที่เรียกกรุ๊ปออทิสติกที่มีความผิดพลาดน้อยกว่า  high-functioning autism

     โดยแพทย์จะมองอาการเบื้องต้นว่ามีปัญหาด้านพัฒนาการไหม ซึ่งอาการของเด็กที่มีวิวัฒนาการช้าจะมีลักษณะดังนี้
โรคออทิสติก (Autistic disorder/Autism)  สามารถวินิจฉัยได้โดยการสังเกตการกระทำ ซึ่ง มีลักษณะอาการครบ 6 ข้อ โดยมีอาการจากข้อ (1) อย่างน้อย 2 ข้อ รวมทั้งมีลักษณะ จากข้อ (2) และข้อ (3) อย่างต่ำข้อละ 2 อาการ ดังต่อไปนี้


  • ความผิดปกติของปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างน้อย 2 ข้อ ดังต่อไปนี้
  • ไม่สามารถใช้ภาษาท่าทางสื่อสารทางสังคมกับบุคคลอื่น เช่น การสบตา การแสดงอารมณ์ความรู้สึกทางสีหน้า และภาษาท่าทางอื่นๆ เพื่อการสื่อสาร
  • ไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลให้เหมาะสมตามวัย
  • ขาดความสามารถในการแสวงหาการมีกิจกรรม ความสนใจ และความสนุก สนานร่วมกับผู้อื่น
  • ขาดทักษะการสื่อสารทางสังคมและทางอารมณ์กับบุคคลอื่น
  • ความผิดปกติด้านการสื่อสารอย่างน้อย 1 ข้อ ดังต่อไปนี้
  • มีความล่าช้าหรือไม่มีการพัฒนาในด้านภาษาพูด
  • ในรายที่สามารถพูดได้แล้วแต่ไม่สามารถที่จะเริ่มต้นบทสนทนาหรือโต้ตอบบทสนทนากับผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม
  • พูดซ้ำๆ หรือมีรูปแบบจำกัดในการใช้ภาษา เพื่อสื่อสารหรือส่งเสียงไม่เป็นภาษา (ภาษาต่างดาว) อย่างไม่เหมาะสม
  • ไม่สามารถเล่นสมมุติหรือเล่นลอกตามจินตนาการได้เหมาะสมกับระดับพัฒนา การ
  • มีพฤติกรรม ความสนใจ และกิจกรรมที่ซ้ำๆ และจำกัด อย่างน้อย 1 ข้อ ดังต่อไปนี้
  • มีความสนใจที่ซ้ำๆ อย่างผิดปกติ
  • มีกิจวัตรประจำวันหรือกฎเกณฑ์ที่ต้องทำโดยไม่สามารถยืดหยุ่นได้ ถึงแม้นว่ากิจวัตรหรือกฎเกณฑ์นั้นจะไม่มีประโยชน์
  • มีการเคลื่อนไหวร่างกายซ้ำๆ เช่น สะบัดมือ เล่นมือ หมุนตัว
  • สนใจเพียงบางส่วนของวัตถุ
  • พบความผิดปกติอย่างน้อย 1 ด้านดังต่อไปนี้ (โดยอาการเกิดก่อนอายุ 3 ขวบ)
  • ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
  • การใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมาย
  • การเล่นสมมติหรือการเล่นตามจินตนาการ
  • ความผิดปกติที่พบไม่เข้าเกณฑ์วินิจฉัยของความผิดปกติจากโรคอื่นๆ เช่น กลุ่มอาการดาวน์ (Down’s syndrome)
การรักษา แม้ว่าในปัจจุบันนี้ยังไม่มียาหรือวิธีการรักษาออทิสติกให้หายขาดได้ แต่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าการได้รับการรักษาก่อนอายุ 3 ปี  (early intervention) โดยการกระตุ้นพัฒนาการปรับพฤติกรรมฝึกพูดและให้การศึกษาที่เหมาะสม ช่วยให้เด็กมีอาการดีขึ้น แต่ไม่มีวิธีใดที่ดีที่สุดหรือเหมาะสมสำหรับเด็กทุกคนดังนั้นจึงต้องเลือดและปรับการรักษาให้เหมาะสมในแต่ละราย  และการรักษาออทิสติกให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานานเท่าไหร่ไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด เพราะการรักษาให้ประสบผลสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยที่แตกต่างกันไปของผู้ป่วย เช่น ความรุนแรงของโรค ความผิดปกติซ้ำซ้อนที่เกิดกับเด็ก อาการเจ็บป่วยทางกายของเด็ก อายุที่เด็กเริ่มเข้ารับการรักษา รูปแบบการเลี้ยงดู  หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก เป็นต้น นอกจากนี้ แพทย์ต้องเฝ้าระวังอาการของเด็กร่วมด้วย เนื่องจากเด็กอาจมีความผิดปกติด้านพฤติกรรมเพิ่มขึ้นมาระหว่างรับการรักษา แพทย์จึงต้องปรับวิธีการรักษาให้เหมาะสมตลอดช่วงอายุของเด็กอยู่เสมอ
อีกทั้งการดูแลรักษาออทิสติก จำเป็นต้องอาศัยทีมงานผู้เชี่ยวชาญจากสหวิชาชีพ (Multidisciplinary Team Approach) ซึ่งประกอบด้วย จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น (Child and Adolescent Psychiatrist) นักจิตวิทยา (Psychologist) พยาบาลจิตเวชเด็ก (Child Psychiatric Nurse) นักเวชศาสตร์การสื่อความหมาย (Speech Therapist) นักกิจกรรมบำบัด (Occupational Therapist) ครูการศึกษาพิเศษ (Special Educator) นักสังคมสงเคราะห์ (Social Worker) ฯลฯ
แต่หัวใจสำคัญของการดูแลรักษาไม่ได้อยู่ที่ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น แต่อยู่ที่ครอบครัวด้วยว่าจะสามารถนำวิธีการบำบัดรักษาต่างๆ ที่ได้รับ มาประยุกต์ใช้ที่บ้านอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องหรือไม่
โดยวิธีการรักษาที่เหมาะสมคือ บูรณาการ การรักษาด้านต่างๆเข้าด้วยกันตามความจำเป็นของเด็กแต่ละคน วิธีการรักษา ได้แก่

  • การปรับพฤติกรรมและฝึกทักษะทางสังคม เพื่อเพิ่มพฤติกรรมที่เหมาะสมและลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การลดพฤติกรรมซ้ำๆ การลดพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง ซึ่งแนวคิดพื้น ฐานของพฤติกรรมบำบัดคือ ถ้าผลที่ตามมาหลังเกิดพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ชอบก็จะทำให้พฤติกรรมเพิ่มขึ้น แต่ถ้าผลที่เกิดขึ้นหลังพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ไม่ชอบก็จะทำให้พฤติกรรมลดลง โดยมีเทคนิคการปรับพฤติกรรมที่หลากหลาย เช่น การให้รางวัลหรือคำชมเมื่อมีพฤติกรรมที่เหมาะสม การเพิกเฉยเมื่อเด็กงอแง หรือการเบี่ยงเบนความสนใจเด็กไปยังสิ่งอื่นที่เด็กชอบในขณะที่เด็กงอ แง เป็นต้น
  • การฝึกพูด เป็นการรักษาที่สำคัญโดยเฉพาะในรายที่มีพัฒนาการด้านภาษาและการสื่อความหมายล่าช้า การฝึกการสื่อสารได้เร็วเท่าไหร่จะทำให้เด็กเรียนรู้จากการใช้ภาษาได้เร็วเท่า นั้น และช่วยลดพฤติกรรมก้าวร้าวที่เกิดจากการไม่สามารถสื่อสารความต้องการได้
  • การส่งเสริมพัฒนาการ ส่งเสริมพัฒนาการด้านอื่นที่ล่าช้าควบคู่กับการพัฒนาทักษะด้านการสื่อสาร สังคม และการปรับพฤติกรรม
  • การศึกษาพิเศษ มีบทบาทสำคัญในการช่วยพัฒนาทักษะสังคม การสื่อสาร และพัฒนาการด้านอื่นๆ ควรจัดบริการการศึกษาที่มีระบบชัดเจน ไม่มีสิ่งเร้าที่มากเกินไป และมีครูการศึกษาพิเศษดูแลโดยควรวางแผนการศึกษาร่วมกันระหว่างผู้ปกครองและโรงเรียน ควรจัดกิจกรรมและการเรียนการสอนช่วงหยุดเรียนภาคฤดูร้อนเพื่อให้เด็กมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เมื่อเด็กสามารถพัฒนาความสามารถด้านการช่วยเหลือตัวเอง ภาษา สังคม และจัดการกับปัญหาพฤติกรรมที่รบกวนได้แล้ว สามารถเรียนร่วมในชั้นเรียนปกติได้เพื่อพัฒนาความ สามารถทางสังคมต่อไป โดยมีการจัดแผนการสอนเฉพาะบุคคล (Individual Educational Plan; IEP) และนำกระบวนการส่งเสริมพัฒนาการและการปรับพฤติกรรมไปประยุกต์ใช้ร่วมกับการศึกษาด้วย

    หากมีข้อจำกัดด้านพัฒนาการ หรือปัญหาพฤติกรรม ก็จำเป็นต้องเรียนในห้องเรียนพิ เศษเฉพาะเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ชั้นเรียนปกติต่อไป
    นอกจากนี้ยังมีการรักษาด้วยยา เป็นการรักษาเพื่อลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและช่วยให้ฝึกเด็กได้ง่ายขึ้นแต่ควรคำนึงเสมอว่า การรักษาด้วยยานี้ ไม่ได้เป็นการรักษาอาการหลักของโรค
    บรรดายาชนิดต่างๆ ที่ใช้เพื่อบรรเทาอาการบางอย่างของโรคออทิสติกนั้น ส่วนใหญ่เป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบสมอง เช่น ยากระตุ้นประสาทส่วนกลาง ยาต้านอาการซึมเศร้า ยาต้านลมชัก เป็นต้น ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นการสั่งจ่ายให้กับผู้ป่วยโดยที่ยังไม่ได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ให้รักษาโรคนี้ได้
    ปัจจุบันมียาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยา แห่งสหรัฐอเมริกาให้ใช้ในผู้ป่วยออทิสติกได้คือ ยา risperidone (มีชื่อทางการค้าว่า Risperdal®) ซึ่งได้รับอนุมัติให้ใช้บรรเทาอาการหงุดหงิด ฉุนเฉียว ก้าวร้าว หรือการทำร้ายตนเอง ของผู้ป่วยโรคออทิสติกที่มีอายุระหว่าง 5-16 ปี
    ยาชนิดนี้เป็นยารักษาโรคจิตเภทมา 10 กว่าปีแล้ว และพบผลข้างเคียงได้บ้าง ตัวอย่างผลข้างเคียงที่พบได้แก่ ง่วงนอน ท้องผูก อ่อนเพลีย เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เจริญอาหารและน้ำหนักเพิ่ม น้ำลายไหล ปากแห้ง มือสั่น ซึม เป็นต้น
    นอกจากนี้ บางคนอาจพบมีน้ำนมไหลออกมาจากเต้านม ขี้โมโหมากขึ้น หัวใจเต้นผิดปกติ และกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติได้ โดยเฉพาะเรื่องน้ำหนักเพิ่มนี้พบได้บ่อย ทำให้เด็กเจริญอาหาร กินเก่ง น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เด็กส่วนใหญ่เมื่อได้ใช้ยานี้แล้วมักจะช่วยให้นอนง่าย นอนเร็วขึ้น หลับตลอดทั้งคืน สมาธิและอารมณ์ดีขึ้น
    ขนาดยาที่ใช้ เด็กที่มีน้ำหนักตัว 15-19 กิโลกรัม ควรเริ่มต้นด้วยขนาดยาวันละ 0.25 มิลลิกรัม และถ้าน้ำหนักตัวตั้งแต่ 20 กิโลกรัมขึ้นไป ควรใช้ยาวันละ 0.50 มิลลิกรัม โดยให้ใช้วันละ 1 ครั้ง ตอนเย็นหรือก่อนนอน และอาจเพิ่มขนาดยานี้ได้ทุกๆ 2 สัปดาห์ครั้งละ 0.25-0.50 มิลลิกรัม จนกว่าจะได้ผลดีที่สุด ซึ่งขนาดยาที่ได้ผลดี จะอยู่ระหว่าง 0.5-3.0 มิลลิกรัม/วัน
    ประเทศไทยมีทั้งชนิดเม็ด ขนาดเม็ดละ 1 และ 2 มิลลิกรัม/เม็ด และมีชนิดน้ำ ขนาด 30 มิลลิลิตร (โดยมีความเข้มข้นของ 1 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร)
    ภาวะแทรกซ้อนของโรคออทิสติก

  • ปัญญาอ่อน เด็กกลุ่มโรคออทิสติก 70% มีภาวการณ์ปัญญาอ่อนร่วมด้วยนอกจาก โรค Asperger’s disorder จะหรูหราความเฉลียวฉลาดธรรมดา
  • ชัก เด็กกรุ๊ปโรคออทิสติก มีโอกาสชักสูงขึ้นมากยิ่งกว่าประชาชนทั่วๆไป และก็พบว่าการชักชมรมกับ IQ ต่ำ โดย 25% ของเด็กกรุ๊ปที่มี IQ ต่ำจะเจออาการชัก แต่พบอาการชักในกลุ่มมี IQ ปกติเพียงแค่ 5% ส่วนมากอาการชักมักเริ่มในวัยรุ่น โดยช่วงอายุที่มีโอกาสชักเยอะที่สุดคือ 10 -14 ปี
  • ความประพฤติปฏิบัติหยาบและความประพฤติปฏิบัติรังควานตนเอง พบได้บ่อย มีต้นเหตุมาจากการไม่สามารถที่จะติดต่อความต้องการได้ แล้วก็กิจวัตรที่ทำเป็นประจำทุกวันที่ปฏิบัติเป็นประจำไม่อาจจะทำได้ตามธรรมดา เจอปัญหานี้บ่อยครั้งขึ้นในตอนวัยรุ่น ส่วนความประพฤติปฏิบัติรังแกตัวเองพบบ่อยในโรคกลุ่มที่มี IQ ต่ำ
  • ความประพฤติแก่นแก้ว/อยู่ไม่นิ่ง/ใจร้อน/ขาดสมาธิ พบได้ทั่วไป ก่อให้เกิดผลเสียต่อปัญ หาการเรียน และกระบวนการทำกิจกรรมอื่นๆ
  • ปัญหาการนอน พบปัญหาด้านการนอนได้หลายครั้งในเด็กกรุ๊ปโรคออทิสติกโดยเฉพาะปัญหานอนยาก นอนน้อย รวมทั้งนอนไม่เป็นเวลา
  • ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการรับประทาน รับประทานยาก/เลือกกิน หรือรับประทานอาหารเพียงแต่บางประเภท หรือกินสิ่งที่ไม่ใช่อาหาร
  • เนื้องอก ทูเบอรัส สเคลอโรซิส (Tuberous Sclerosis) โรคที่เกี่ยวกับความแปลกทางพันธุกรรม นับว่าเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้น้อย โดยทูเบอรัส สเคลอโรซิสก่อให้เกิดก้อนเนื้อนุ่มๆแตกหน่อขึ้นมาที่อวัยวะรวมทั้งสมองของเด็ก แม้ว่าจะไม่มีต้นเหตุชัดเจนว่าเนื้องอกเกี่ยวกับอาการออทิสติกอย่างไร แม้กระนั้นจากศูนย์ควบคุมรวมทั้งป้องกันโรค (Centers for Disease Control and Prevention) แถลงการณ์ว่าเด็กออทิสติกมีอัตราการเป็นทูเบอรัส สเคลอโรสิสสูง


การติดต่อของโรคออทิสติก โรคออทิสติกเป็นโรคที่ยังไม่รู้จักมูลเหตุการเกิดโรคที่เด่นชัดแน่ๆแม้กระนั้นมีผลการศึกษาเรียนรู้จำนวนหลายชิ้นกล่าวว่า เกี่ยวข้องกับสาเหตุด้านกรรมพันธุ์ และก็ข้อผิดพลาดเปกติของสมอง ซึ่งโรคออทิสติกนี้ มิได้ถูกระบุว่าเป็นโรคติดต่อ เพราะเหตุว่าไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
วิธีการดูแลช่วยเหลือคนไข้ออทิสติก เนื่องมาจากโรคออทิสติกพบได้ทั่วไปมากมายในเด็ก ดังนั้นก็เลยต้ออาศั

30

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง MG (Myasthenia gravis)

  • โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เป็นอย่างไร โรคกล้ามเนื้ออ่อนกำลัง (Myasthenia gravis) โรคกล้ามอ่อนแรง (myasthenia gravis) หรือ โรคเอ็มจี เป็นชื่อภาษากรีกรวมทั้งภาษาละติน มีความหมายว่า "grave muscular weakness" เป็นโรคกล้ามอ่อนแรง ชนิดหนึ่งที่เป็นโรค ออโตอิมมูน (Autoimmune) จำพวกเรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่นำมาซึ่งการทำให้กล้ามเนื้อลาย (กล้ามเนื้อที่อยู่ในการควบคุมของสมอง ซึ่งเป็น กล้ามด้านนอกร่างกาย ที่ร่างกายใช้เพื่อการเคลื่อนไหวต่างๆเป็นต้นว่า กล้ามเนื้อ แขน ขา ดวงตา บริเวณใบหน้า โพรงปาก กล่องเสียง และกล้ามกระดูกซี่โครงที่ใช้สำหรับการหายใจ มีการเหน็ดเหนื่อยกระทั่งไม่อาจจะปฏิบัติงานหดตัวได้ตามเดิม หรืออีกนัยหนึ่งเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนล้า (Myasthenia Gravis; MG) เป็นโรคภูมิต้านทานของร่างกายดำเนินงานไม่ปกติ ซึ่งไปทำลายตัวรับสัญญาณประสาท (receptor) ที่อยู่บนกล้ามเนื้อของตัวเองก่อให้เกิดอาการกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อย เพราะว่าไม่อาจจะรับสัญญาณประสาทที่กระตุ้นให้กล้ามเนื้อหดตัวได้ โดยคนไข้จะมีอาการหนังตาตก ยิ้มได้ลดน้อยลง หายใจลำบาก มีปัญหาการพูด การบด การกลืน รวมถึงการเคลื่อนไหวของร่างกาย โรคกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรงเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยทุกเพศทุกวัย ตอนนี้ ทั้งยังการรักษาทำเป็นเพียงแต่เพื่อทุเลาอาการแค่นั้น

    ดังนี้ โรคกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง MG  ไม่ใช่โรคใหม่ แม้กระนั้นเป็นโรคที่มีการบันทึกว่าพบคนเจ็บ มาตั้งแต่ 300 ปีกลาย  รวมทั้งโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง MG เป็นโรคพบได้ไม่บ่อยนัก ประมาณ 10 ราย ต่อประชากร 100,000 คน เจอได้ในทุกอายุ ตั้งแต่ทารกจนถึงคนวัยแก่ โดยเจอในผู้หญิงมากกว่าในเพศชายราว 3:2 เท่า ทั้งนี้พบโรคนี้ในเด็กได้โดยประมาณ 10%ของผู้ที่เจ็บป่วยจากโรคชนิดนี้ทั้งหมด ในคนแก่ผู้หญิง พบได้มากโรคได้สูงในช่วงอายุ 30-40 ปี แต่ในผู้ใหญ่ผู้ชาย พบได้บ่อยโรคได้สูงในช่วงอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป

  • ที่มาของโรคกล้ามเนื้อเมื่อยล้า (MG) สำหรับในการเคลื่อนกล้ามแต่ละผูก สมองจะต้องส่งสัญญาณประสาทไปตามเส้นประสาท และจะเกิดการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาทที่บริเวณรอยต่อระหว่างเส้นประสาทแล้วก็กล้ามเนื้อสารสื่อประสาทนี้จะไปส่งสัญญาณที่ตัวรับสัญญาณรอบๆกล้ามเนื้อแต่ละผูกเพื่อกล้ามมีการหดตัว คนป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรง (MG) เมื่อปลายประสาทเกิดการหลั่งสารสื่อประสาทออกมาจะไม่สามารถส่งสัญญาณสู่ตัวรับบนกล้ามเนื้อได้ เหตุเพราะร่างกายได้สร้างแอนติบอดีมาขวางและก็ทำลายตัวรับสัญญาณบนกล้ามไป ซึ่งเมื่อการเช็ดกทำลายขึ้นแล้วนั้น ถึงแม้เซลล์ประสาทจะหลั่งสารเคมีให้กำเนิดกระแสไฟฟ้าส่งมายังเซลล์กล้ามอย่างไรก็ตาม เซลล์กล้ามก็ไม่ทำงานเพราะถูกทำลายไปแล้วโดยสิ้นเชิง


ส่วนสาเหตุของโรคกล้ามเนื้ออ่อนล้านั้น มักมีต้นเหตุมาจากปัญหาการแพ้ภูเขาไม่ตนเอง (Autoimmune Disorder) โดยมีเนื้อหาสิ่งที่ทำให้เกิดอาการกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ดังต่อไปนี้  สารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ (Antibodies) และก็การส่งสัญญาณประสาท ปกติระบบภูมิต้านทานของร่างกายจะผลิตแอนติบอดี้ออกมาเพื่อทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งปลอมปนที่เข้ามาภายในร่างกาย แต่ว่าในผู้เจ็บป่วยกล้ามเนื้ออ่อนกำลัง แอนติบอดี้จะไปทำลายหรือกีดกั้นการทำงานของสารสื่อประสาทแอซิตำหนิลโคลีน (Acetylcholine) โดยถูกส่งไปที่ตัวรับ (Receptor) ซึ่งอยู่ที่ปลายระบบประสาทบนกล้ามแต่ละมัด ทำให้กล้ามเนื้อไม่อาจจะหดตัวได้  ทั้งนี้ อวัยวะที่หมอมั่นใจว่าเป็นตัวทำให้เกิดการผลิตสารภูมิคุ้มกันแตกต่างจากปกติตัวนี้หมายถึงต่อมไทมัส (Thymus gland) ต่อมไทมัส คือต่อมที่มีหน้าที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตภูมิคุ้มกันต้นทานโรคของร่างกาย (Immune system) คือต่อมที่อยู่ในช่องอกตอนบน ต่อมอยู่ใต้กระดูกอก (Sternum) โดยวางอยู่บนด้านหน้าของหัวใจโดยต่อมไทมัสจะผลิตสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ไปกีดกันแนวทางการทำงานของสารสื่อประสาทแอซิตำหนิลโคลีน (Acetylcholine) จึงกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้ว ซึ่งธรรมดาแล้วเด็กจะมีต่อมไทมัสขนาดใหญ่รวมทั้งจะค่อยๆเล็กลงเรื่อยเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ว่าคนเจ็บกล้ามอ่อนกำลังจะมีขนาดของต่อมไทมัสที่ใหญ่ไม่ดีเหมือนปกติ หรือผู้เจ็บป่วยบางรายมีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรงที่เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากเนื้องอกของต่อมไทมัส ซึ่งพบประมาณปริมาณร้อยละ 10 ในผู้เจ็บป่วยสูงอายุ

  • ลักษณะของโรคกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย (MG) อาการสำคัญของโรคกล้ามเนื้ออ่อนกำลัง (MG) คือจะมีลักษณะอาการเหน็ดเหนื่อย เหนื่อยล้า กล้ามอ่อนแรง แล้วก็จะอ่อนแรงมากเพิ่มขึ้นเมื่อออกแรงมากยิ่งขึ้น แต่ว่าอาการจะดีขึ้นเมื่อกล้ามหยุดพักการออกแรง


ยิ่งไปกว่านั้น อาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วย โดยจะขึ้นอยู่กับว่า โรคกำเนิดกับกล้ามส่วนไหนของร่างกาย ทั้งนี้ ประมาณ 85% ของคนเจ็บจะมีลักษณะกล้ามเนื้อเมื่อยล้าในทุกผูกของกล้ามเนื้อลายส่วนอาการที่พบได้ทั่วไปที่สุดของโรคกล้ามอ่อนแรง (MG) คือ อาการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อที่ช่วยยกเปลือกตารวมทั้งกล้ามเนื้อตา กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดหนังตาตกและก็เห็นภาพซ้อน ซึ่งอาจจะมีการเกิดขึ้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือ 2 ข้างก็ได้ และก็มักพบอาการแตกต่างจากปกติอื่นๆของกล้ามส่วนอื่นๆได้อีกตัวอย่างเช่น
บริเวณใบหน้า หากกล้ามเนื้อที่เกี่ยวเนื่องกับการแสดงออกบนใบหน้าได้รับผลพวง จะมีผลให้การแสดงออกทางสีหน้าถูกจำกัด ดังเช่นว่า ยิ้มได้ลดน้อยลง หรือกลายเป็นยิ้มแยกเขี้ยวด้วยเหตุว่าไม่อาจจะควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้
การหายใจ คนไข้กล้ามอ่อนเพลียจำนวนหนึ่งมีอาการหายใจลำบาก โดยเฉพาะเมื่อนอนราบอยู่บนเตียงหรือภายหลังการออกกำลังกาย
การพูด การเคี้ยวและการกลืน มีสาเหตุจากกล้ามรอบปาก เพดานอ่อน หรือลิ้นอ่อนล้า นำไปสู่อาการไม่ดีเหมือนปกติ เช่น พูดเสียงค่อยแหบ พูดเสียงขึ้นจมูก บดไม่ได้ กลืนตรากตรำ ไอ สำลักอาหาร บางกรณีบางทีอาจเป็นสาเหตุไปสู่การต่อว่าดเชื้อที่ปอด
คอ แขนรวมทั้งขา บางทีอาจเกิดขึ้นร่วมกับอาการอ่อนแรงของกล้ามส่วนอื่นๆมักเกิดขึ้นที่แขนมากยิ่งกว่าที่ขา ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย ดังเช่น เดินกระเตาะกระแตะ เดินตัวตรงได้ยาก กล้ามเนื้อรอบๆคออ่อนล้า ทำให้ตั้งศีรษะหรือชันหัวทุกข์ยากลำบาก นำไปสู่ปัญหาในการทำกิจกรรมต่างๆ

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคกล้ามอ่อนล้า (MG) ในปัจจุบันยังไม่สามารถอธิบายสาเหตุของความผิดปกติของระบบภูมิต้านทานที่ไปทำลายตัวรับสัญญาณบนกล้ามได้อย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม พบว่าโรคกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย (MG) มักมีความเกี่ยวข้องกับโรคของต่อมไทมัส โดย ราวๆ 85%พบกำเนิดร่วมกับมีโรคเซลล์ต่อมไทมัสก้าวหน้าเกินธรรมดา (Thymus hyperplasia) และก็โดยประมาณ 10-15% เกิดร่วมกับโรคเนื้องอกต่อมไทมัส (Thymoma)


นอกจากนั้น มีกล่าวว่า พบโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เกิดร่วมกับโรคมะเร็งปอดชนิดเซลล์ตัวเล็ก แล้วก็โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์รับประทาน ทั้งผู้ป่วยบางทีอาจพบความเปลี่ยนไปจากปกติแล้วก็โรคที่มีต้นเหตุมากจากภูมิคุ้มกันตัวเองจำพวกอื่นๆร่วมด้วยได้ ดังเช่นว่า โรคตาจากต่อมไทรอยด์ (Thyroidorbitopathy) โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)จะสามารถดีขึ้นได้เองแล้วอาจกลับกลายซ้ำได้อีกคล้ายกับโรคภูมิต้านทานตนเองชนิดอื่นๆ

  • กรรมวิธีการรักษาโรคกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง (MG)

การวิเคราะห์ MG เป็นโรคที่มีลักษณะสำคัญคือ fatigue รวมทั้งfluctuation ของกล้ามเนื้อรอบๆตาแขนขาแล้วก็การพูดและกลืนของกิน ผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะเพิ่มมากขึ้นเมื่อได้ใช้งานหน้าที่นั้นๆไประยะหนึ่ง แล้วก็อาการรุนแรงในเวลาที่แตกต่างกันโดยมีลักษณะมากมายตอนเวลาบ่ายๆบางทีคนป่วยมาพบแพทย์ช่วงที่ไม่มีอาการ หมอก็ตรวจไม่พบความไม่ดีเหมือนปกติ ก็เลยไม่สามารถที่จะให้การวินิจฉัยโรคได้ และก็อาจวินิจฉัยบกพร่องว่าเป็น anxiety แต่การให้การวินิจฉัยโรคMG ทำ ได้อย่างง่ายๆในคนเจ็บส่วนใหญ่เพราะว่ามีลักษณะจำ เพาะทางคลินิกที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น การตรวจเสริมเติมเพื่อให้ได้เรื่องวิเคราะห์ที่แน่นอนและก็ในรายที่อาการไม่กระจ่างเช่น

  • การตรวจ ระบบประสาท ดังเช่นว่าการให้คนป่วยได้ทำกิจกรรมสม่ำเสมอที่ทำ     ให้ผู้ป่วยมีลักษณะอาการ


อ่อนกำลังได้เป็นต้นว่าการมองขึ้นนาน1นาทีแล้วตรวจว่าผู้ป่วยมีภาวะหนังตาตก เพิ่มขึ้นหรือไม่ โดยวัดความกว้างของ palpablefissure ที่ตาอีกทั้ง 2 ข้างการให้ผู้เจ็บป่วยเดินขึ้นบันไดหรือลุก-นั่ง สลับกันเป็นระยะเวลาหนึ่งคนเจ็บจะมีลักษณะอ่อนกำลังขึ้นอย่างชัดเจนและอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงดีขึ้นเมื่อพักสักครู่การให้คนเจ็บพูดหรืออ่านออกเสียงดังๆผู้ป่วยจะมีลักษณะเสียงแหบหรือหายไปเมื่อพักแล้วดียิ่งขึ้น

  • Ice test โดยการนำนํ้าแข็งห่อใส่สิ่งของดังเช่นว่า นิ้วของถุงมือยาง แล้วนำ ไปวางที่กลีบตาของผู้ป่วยนาน2นาทีประเมินอาการptosisว่าดียิ่งขึ้นไหมคนเจ็บ MG จะให้ผลบวก
  • Prostigmintest โดยการฉีด prostigmin ขนาด 1-1.5 มก. ฉีดเข้าทางกล้าม แล้วประเมินที่ 15, 20, 25 รวมทั้ง 30 นาทีโดยประเมินอาการสภาวะหนังตาตกอาการอ่อนแรงหรือเสียงแหบได้ผลบวกประมาณปริมาณร้อยละ90 เป็นผู้เจ็บป่วยจะมีอาการดียิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผู้ป่วยอาจเกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง หรือหัวใจเต้นช้าลงจากฤทธิ์ของยาวิธีแก้ไขเป็นฉีดยา atropine 0.6 มก.ทางหลอดเลือดดำ ซึ่งแพทย์บางท่านชี้แนะ ให้ฉีดยาatropineก่อนจะกระทำการทดลอง
  • การตรวจเลือด แพทย์จะตรวจนับปริมาณของแอนติบอดี้ ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรงนั้นจะมีปริมาณของแอนติบอดี้ที่ไปยับยั้งแนวทางการทำงานของกล้ามเนื้อมากมายแตกต่างจากปกติ โดยมากจะตรวจพบแอนติบอดี้จำพวก Anti-MuSK
  • การตรวจการโน้มน้าวประสาท (Nerve Conduction Test) ทำได้ 2 วิธีเป็นRepetitive Nerve Stimulation Test เป็นการทดสอบด้วยการกระตุ้นเส้นประสาทซ้ำๆเพื่อมองแนวทางการทำงานของมัดกล้ามเนื้อ โดยการต่อว่าดขั้วกระแสไฟฟ้าที่ผิวหนังรอบๆที่พบอาการเหน็ดเหนื่อย รวมทั้งส่งกระแสไฟจำนวนนิดหน่อยเข้าไปเพื่อตรวจตราความรู้ความเข้าใจของเส้นประสาทสำหรับการส่งสัญญาณไปที่มัดกล้ามเนื้อ แล้วก็การตรวจด้วยกระแสไฟฟ้า (Electromyography) เป็นการวัดกระแสไฟจากสมองที่ส่งไปยังกล้ามเนื้อเพื่อดูลักษณะการทำงานของเส้นใยกล้ามเนื้อเพียงเส้นเดียว (Single-fiber Electromyography หรือ EMG)


การดูแลและรักษา จุดหมายสำหรับเพื่อการรักษาผู้เจ็บป่วย MG ของหมอคือการที่คนไข้หายจากอาการโดยไม่ต้องกินยาซึ่งมีกลไกสำหรับเพื่อการรักษา 2 ประการเป็น เพิ่มวิธีการทำ งานของ neuromusculartransmissionลดผลของ autoimmunity ต่อโรค
การดูแลรักษาจะแบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่มซึ่งมีแนวทางการรักษาต่างกัน

  • คนป่วยที่มีสภาวะกล้ามเมื่อยล้าที่บริเวณกล้ามเนื้อตา ( Ocula MG ) ควรจะเริ่มด้วยยา ace-tylcholinesteraseinhibitors ดังเช่นว่า pyridostigmine (mestinon) ขนาดเม็ดละ 60 มิลลิกรัม ครึ่งถึง 1 เม็ด 3 เวลาหลังอาหาร แล้วมองการตอบสนองว่าอาการหนังตาตกลืมตาลำบากมากมายน้อยเพียงใด มีผลเข้าแทรกจากยาไหม ถ้าหากอาการยังไม่ดีขึ้นควรจะเพิ่มยา prednisoloneขนาดประมาณ 15-30มิลลิกรัมต่อวันและก็ร่วมกับการปรับปริมาณยา mestinon ตามอาการ ซึ่งโดยมากผู้เจ็บป่วยจะใช้ยาขนาดไม่สูงราวๆ 180-240มก.ต่อวัน(3-4 เม็ดต่อวัน) ส่วนมากจะสนองตอบดีต่อยา mestinonรวมทั้ง prednisoloneเมื่ออาการดียิ่งขึ้นจนกระทั่งเป็นปกติระยะเวลาหนึ่งโดยประมาณ 3-6 เดือนค่อยๆลดยา prednisoloneลงอย่างช้าๆราว 5มิลลิกรัมทุกๆเดือนจนกระทั่งหยุดยาพร้อมๆกับ mestinon การลดผลเข้าแทรกของยา prednisolone โดยการให้ยาวันเว้นวันในคนไข้ MG ได้ผลดีสิ่งเดียวกันแต่ในวันที่คนป่วยมิได้ยาprednisolone อาจมีลักษณะของโรคMG ได้ถ้าหากเกิดกรณีดังที่กล่าวมาข้างต้นอาจจะต้องให้ยาprednisolone5มก. 1 เม็ดในวันดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นผู้ป่วยบางรายอาจมีการดำเนินโรคเป็นgeneralized MG โดยมักเกิดขึ้นในปีแรกก็จะต้องให้การรักษาแบบ generalizedMG ถัดไป
  • คนไข้ที่มีภาวะกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อยบริเวณอื่นๆ(Generalized MG) การดูแลและรักษามียาmestinon,ยากดภูมิต้านทานและการผ่าตัดthymectomyมีแนวทางการกระทำดังต่อไปนี้


o  ผู้ป่วยทุกคนจำเป็นต้องได้รับยา mestinon ขนาดเริ่ม 1 เม็ด 3 เวลาหลังรับประทานอาหารแล้ววัดผลการโต้ตอบว่าดีหรือไม่ โดยการวัดตอนยาออกฤทธิ์สูงสุดชั่วโมงที่ 1 รวมทั้ง 2 หลังรับประทานยาแล้วก็ประเมินตอนก่อนกินยาเม็ดถัดไปเพื่อจะได้รับรู้ว่าขนาดของยารวมทั้งความถี่ของการกินยาเหมาะสมไหมเป็นลำดับสิ่งที่ประเมินคืออาการของคนป่วย ตัวอย่างเช่น อาการลืมตาทุกข์ยากลำบาก อาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง กล่าวแล้วเสียงแหบควรจะปรับปริมาณยาแล้วก็ความถี่ทุก2-4สัปดาห์  ปริมาณยาโดยมากโดยประมาณ 6-8 เม็ดต่อวัน ขนาดยาสูงสุดไม่ควรเกิน16 เม็ดต่อวัน
o  การผ่าตัด thymectomy ผู้ป่วยgeneralized MG ที่แก่น้อยกว่า 45ปีทุกรายควรชี้แนะ ให้ผ่าตัด thymectomy จำนวนร้อยละ 90 ของผู้ป่วยได้ประสิทธิภาพที่ดีราวๆร้อยละ 40 สามารถหยุดยา mestinon ข้างหลังผ่าตัดได้จำนวนร้อยละ 50 ลดยา mestinon ลงได้เพียงแค่จำนวนร้อยละ 10 แค่นั้นที่ไม่เป็นผล ช่วงเวลาที่ผ่าตัดควรทำ ในทีแรกๆของการดูแลรักษา
o    การให้ยากดภูมิต้านทาน ที่ใช้บ่อยครั้ง อย่างเช่น prednisolone รวมทั้ง azathioprine (immuran)การให้ยาดังที่กล่าวมาข้างต้นมีข้อบ่งชี้ในกรณี
   การผ่าตัด thymectomyแล้วไม่ได้เรื่อง ระยะเวลาที่ประเมินว่าการผ่าตัดไม่ได้ผลคือประมาณ 1 ปี
  ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการผ่าตัดโดยใช้ร่วมกับยา mestinon
   คนไข้ทีมีสภาวะการหายใจล้มเหลวจากการดำเนินโรคที่รุนแรง

  • การติดต่อของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เป็นโรคที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติจึงไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนและจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
  • การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)


  • กินยาตามแพทย์แนะนำให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่ขาดยา
  • ใช้ชีวิตประจำวันในการออกแรงให้สม่ำเสมอ เหมือนๆกันในทุกๆวันเพื่อแพทย์จะได้จัดปริมาณยา (Dose) ที่กินได้อย่างถูกต้อง
  • กินอาหารคำละน้อยๆ เป็นอาหารอ่อน เพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อช่องปาก และจะได้ไม่สำลัก ระหว่างกิน
  • มีที่ยึดจับในบ้าน เพื่อช่วยในการลุก นั่ง ยืน เดิน ร่วมกับจัดบ้านให้ปลอดภัย ง่ายแก่การใช้ชีวิตที่ไม่ต้องออกแรงมาก รวมทั้งเพื่อการใช้ชีวิตประจำวัน
  • เมื่อออกนอกบ้านต้องวางแผนล่วงหน้า ไม่รีบร้อน ไม่ออกแรงมากเกินปกติ
  • เมื่อเห็นภาพซ้อน ควรปิดตาข้างที่เกิดอาการ จะช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น
  • มีป้ายติดตัวเสมอว่าเป็นโรคอะไร กินยาอะไร รักษาโรงพยาบาลไหน เพื่อมีอาการฉุกเฉิน คนจะได้ช่วยได้ถูกต้องรวดเร็ว
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน
  • กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน ในปริมาณที่ไม่ทำให้เกิดโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน เพื่อลดการแบกน้ำหนักของกล้ามเนื้อและเพื่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
  • พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามนัดเสมอ
  • รีบไปโรงพยาบาลฉุกเฉินเมื่อมีอาการทางการหายใจ เช่น หายใจไม่ออก/หายใจลำบาก
  • การป้องกันตนเองจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงยังเป็นโรคที่ไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด และโรคที่มีความสัมพันธ์กันก็ยังเป็นโรคที่ส่วนใหญ่ไม่รู้สาเหตุเช่นกันอาทิ เช่น โรคของต่อมไทมัส และโรคของต่อมไทรอยด์ ดังนั้น ปัจจุบัน จึงยังไม่มีวิธีป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)

    ดังนั้นเมื่อมีอาการดังที่ได้กล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะเมื่อมีหนังตาตกหรือแขนขาอ่อนแรงเฉียบพลัน จึงควรรีบพบแพทย์เสมอ เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่รวดเร็วเหมาะสม ซึ่งจะส่งผลให้การรักษาโรคได้ผลดีจนสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ

  • สมุนไพรที่ช่วยป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)

    พืชสมุนไพรที่จะช่วยป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) ได้นั้นควรที่จะต้องมี “สารปรับสมดุล” (adaptogens) เพราะโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) นั้นเกิดขึ้นจากภาวะภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติดังนั้น สารปรับสมดุลจึงจำเป็นสำหรับใช้ป้องกันโรคนี้ มีผู้ให้คำจำกัดความของสารปรับสมดุลไว้หลายประการเช่น หมายถึงสารที่เพิ่มความสามารถของร่างกายในการปรับตัวให้เข้ากับความเครียด โดยการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ระบบประสาทสารสื่อประสาท และการทำงานของต่อมต่างๆภายในร่างกาย เพิ่มความทนทานของอวัยวะต่างๆต่อความเครียด พยาธิสภาพและสิ่งแวดล้อม รวมถึงรักษาการทำงานของระบบเมตาบอไลท์ของร่างกายให้ปกติและมีประสิทธิภาพ มีฤทธิ์ในการนำสมดุลกลับคืนสู่ร่างกาย (balancing) และบำรุงร่างกาย (tonic) นอกจากนี้ยังช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของคนเราโดยลดผลที่เกิดจากการถูกกระตุ้นโดยปัจจัยต่างๆโดยเฉพาะความเครียด การอักเสบ และการเกิดออกซิเดชั่น (oxidation)
    พืชสมุนไพรที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในการปรับสมดุลมีหลายชนิดโดยเฉพาะรากของพืชในวงศ์โสม (Araliaceae) ได้แก่ โสมเกาหลี (Panax ginseng) โสมอเมริกัน (Panax quinquefolius) รวมทั้งพืชสมุนไพรอื่นๆ เช่น ผลมะขามป้อม (Emblica officinalis) ต้นปัญจขันธ์ (Gynostemma pentaphyllum) เห็ดหลินจือ (Ganoderma lucidum) รากชะเอมเทศ (Glycyrrhiza glabra) ผลเก๋ากี้ (Lycium chinensis) และถั่งเช่า (Cordyceps sinensis) เป็นต้น สารสำคัญต่างๆในพืชเหล่านี้ที่แสดงฤทธิ์ปรับสมดุลที่มีรายงานนั้นมีหลายกลุ่ม ได้แก่ สารกลุ่มฟีโนลิก (phenolics) เช่น eleutheroside B ในรากของโสม และ ellagic acid ในผลมะขามป้อม สารกลุ่มเทอร์พีนอยด์ (terpenoids) เช่น zeaxanthin ในผลเก๋ากี้ และไตรเทอร์พีนอยด์ซาโปนิน (triterpenoid saponin) เช่น ginsenosides ในรากโสมเกาหลีและโสมอเมริกัน และ glycyrrhizin ในรากชะเอมเทศเป็นต้น
    เอกสารอ้างอิง

  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์
  • รศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า.Common Pittalls in Myasthenia Gravis.วารสารสมาคมประสาทวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.ปีที่6.ฉบับที่3(กรกฎาคม-กันยายน2554).159-168
  • นพ.เกษมสิน ภาวะกุล (2552). Generalized myasthenia gravis. วารสารอายุรศาสตร์อีสาน.ปีที่ 8. 84-91.
  • สมศักดิ์เทียมเก่า, ศิริพร เทียมเก่า, วีรจิตต์โชติมงคล, สุทธิพันธ์จิตพิมลมาศ.ความชุกและลักษณะทางคลินิกของผู้ป่วยmyasthenia gravis อย่างเดียว และ myasthenia gravisที่มี Srinagarind MedJ 1994;9:8-13. http://www.disthai.com/
  • Anesthesia issues in the perioperative management of myasthenia gravis.Semin Neurol 2004;24:83-94.
  • Drachman, D. (1994). Myasthenia gravis. N Engl J Med. 330,1797-1810.
  • ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอมจี (Myasthenia gravis หรือ MG).หาหมอ.
  • Hughes BW, Moro De Casillas ML,KaminskiHJ.Pathophysiology of myasthenia gravis. Semin Neurol2004;24:21-30
  • Meriggioli MN,Sanders DB. Myasthenia gravis: diagnosis. Semin Neurol 2004;24:31-9.
  • ดร.ปองทิพย์ สิทธิสาร.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน ผักแปม สมุนไพรปรับสมดุล.ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาบัยมหิดล
  • Juel VC. Myasthenia gravis: management of myasthenic crisis and perioperativeSemin Neurol 2004;24:75- 81.
  • Alsheklee, A. et al.(2009) Incidence and mortality rates of myasthenia gravis and myasthenic crisis in US hospitals.Neurology.72, 1548-1554.
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  • Saguil, A. (2005). Evaluation of the patient with muscle weakness. Am Fam Physician. 71, 1327-1336.


หน้า: 1 [2] 3 4 ... 7