รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Topics - sadgs257sa2

หน้า: [1]
1

เหงือกปลาหมอ
เหงือกปลาหมอ ชื่อสามัญ Sea holly, Thistleplike plant
เหงือกปลาหมอ ชื่อวิทยาศาสตร์ Acanthus ebracteatus Vahl (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Acanthus ilicifolius Lour., Acanthus ilicifolius var. ebracteatus (Vahl) Benoist, Dilivaria ebracteata (Vahl) Pers.) จัดอยู่ในวงศ์เหงือกปลาหมอ(ACANTHACEAE)
สมุนไพรเหงือกปลาหมอ มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆว่า แก้มแพทย์ (จังหวัดสตูล), แก้มหมอเล (กระบี่), อีเกร็ง (ภาคกึ่งกลาง), นางเกร็ง จะเกร็ง เหงือกปลาหมอน้ำเงิน ฯลฯ
เหงือกปลาแพทย์มีอยู่ด้วยกัน 2 สายพันธุ์ คือ จำพวกที่เป็นดอกสีม่วง (Acanthus ilicifolius L.) ที่มักพบทางภาคใต้ แล้วก็ประเภทที่เป็นดอกสีขาว (Acanthus ebracteatus Vahl) ที่พบได้มากทางภาคกึ่งกลางรวมทั้งภาคทิศตะวันออก และเป็นพรรณไม้ที่ขึ้นชื่อลือชาของจังหวัดสมุทรปราการ
เหงือกปลาหมอ สมุนไพรใกล้ตัวหรือบางทีก็อาจจะเรียกว่าเป็นสมุนไพรชายน้ำหรือชายเลนก็ได้ สามารถนำสรรพคุณทางยามาใช้สำหรับในการรักษาโรคได้หลากหลายประเภท ที่เด่นมากมายก็คือการนำมารักษาโรคผิวหนังได้ดูเหมือนจะทุกประเภท แก้น้ำเหลืองเสีย แล้วก็การนำมาใช้รักษาริดสีดวงทวาร ฯลฯ โดยส่วนที่นำมาใช้เป็นยาสมุนไพรก็ได้แก่ ส่วนลำต้นทั้งสดและแห้ง ใบทั้งสดและก็แห้ง ราก เมล็ด แล้วก็ทั้งต้น (ส่วนทั้งยัง 5 ประกอบไปด้วย ต้น ราก ใบ ผล เมล็ด)
ลักษณะของเหงือกปลาหมอ
ต้นเหงือกปลาหมอ เป็นไม้พุ่มขนาดกึ่งกลาง มีความสูงราว 1-2 เมตร ลำต้นแข็ง มีหนามอยู่ตามข้อของลำต้น ข้อละ 4 หนาม ลำต้นกลม กลวง ตั้งชัน มีสีขาวอมเขียว ลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.5 ซม. ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและการใช้กิ่งปักชำ เป็นพรรณไม้ที่มักขึ้นที่โล่งแจ้ง เติบโตก้าวหน้าในที่ร่มและในที่ที่มีความชื้นสูง ถูกใจขึ้นตามชายน้ำหรือรอบๆริมฝั่งคลองรอบๆปากแม่น้ำ อย่างเช่น บริเวณริมน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกเหนือปากคลองมหาวงก์ และก็ที่สถานศึกษานายเรือ เป็นต้น
ต้นเหงือกปลาหมอ
ใบเหงือกปลาหมอ ใบเป็นใบเดี่ยว รูปแบบของใบมีหนามคมอยู่ขอบขอบใบและปลายใบ ขอบของใบเว้าเป็นระยะๆผิวใบเรียบเป็นมันลื่น แผ่นใบสีเขียว เส้นใบสีขาว มีชำเลืองสีขาวเป็นแถวก้างปลา เนื้อใบแข็งและก็เหนียว ใบกว้างประมาณ 4-7 เซนติเมตร รวมทั้งยาวโดยประมาณ 10-20 ซม. ใบจะออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน ก้านใบสั้น
ใบเหงือกปลาหมอ
ดอกเหงือกปลาหมอ มีดอกเป็นช่อตั้งตามปลายยอด ยาวโดยประมาณ 4-6 นิ้ว ดอกมีประเภทดอกสีม่วง (หรือสีฟ้า) และก็พันธุ์ดอกสีขาว ที่ดอกมีกลีบรองดอกมี 4 กลีบ กลีบแยกจากกัน รอบๆกลางดอกจะมีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่
ดอกเหงือกปลาหมอ
สมุนไพรเหงือกปลาหมอ
ผลเหงือกปลาหมอ รูปแบบของผลเป็นฝักสีน้ำตาล รูปแบบของฝักเป็นทรงกระบอก รูปไข่ หรือกลมรี ยาวประมาณ 2-3 ซม. เปลือกฝักมีสีน้ำตาล ปลายฝักป้าน ข้างในฝักมีเม็ด 4 เม็ด
สรรพคุณของเหงือกปลาหมอ
ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้อายุยืน สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง เลือดลมไหลเวียนดี เส้นโลหิตไม่อุดตัน บำรุงผิวพรรณ ด้วยการใช้ทั้งยังต้นเหงือกปลาหมอนำมาตำผสมกับพริกไทยในอัตราส่วน 2:1 แล้วคลุกผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นเป็นยาลูกกลอน ว่ากันว่าถ้าหากรับประทานติดต่อกัน 1 เดือน จะมีผลให้สติปัญญาดี ไม่มีโรค / 2 เดือน ผิวหนังเต่งตึง / 3 เดือน ทำให้ริดสีดวงหาย / 4 เดือน ช่วยแก้ลม 12 ประเภท หูดี / 5 เดือน หมดโรค / 6 เดือน ทำให้เดินไม่รู้เมื่อยล้า / 7 เดือนผิวสวย / 8 เดือน เสียงไพเราะเพราะพริ้ง / 9 เดือน หนังเหนียว (ทั้งยังต้น, ราก)
เหงือกปลาหมอมีคุณประโยชน์ช่วยทำนุบำรุงประสาท (ราก)
ช่วยรักษาอาการธาตุผิดปกติ (อีกทั้งต้น)
ช่วยให้เลือดลมเป็นปกติ (ทั้งต้น)เหงือกปลาหมอขาว
ช่วยทำให้เจริญอาหาร (อีกทั้งต้น)
ช่วยแก้โรคกษัย อาการผอมบางเหลืองทั้งตัว ด้วยการใช้ทั้งต้นของเหงือกปลาหมอนำมาตำเป็นผุยผงรับประทานวันแล้ววันเล่า (ต้น)
ช่วยแก้อาการร้อนหมดทั้งตัว เจ็บระบบหมดทั้งตัว ตัวแห้ง เวียนศีรษะ หน้ามืดตามัว มือตายตีนตาย ด้วยการใช้อีกทั้งต้นของเหงือกปลาหมอและเปลือกมะรุมอย่างละเท่ากัน ใส่หม้อต้มผสมกับเกลือนิดหน่อย หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ แล้วใช้ฟืน 30 ดุ้น ต้มกับน้ำเดือดกระทั่งงวดแล้วยกลง เมื่อเสร็จให้กลั้นใจรับประทานขณะอุ่นๆจนหมด อาการก็จะ (ต้น)ช่วยยั้งโรคมะเร็ง ต้านทานมะเร็ง (อีกทั้งต้น)
ช่วยรักษาอาการปอดอักเสบ ด้วยการใช้เหงือกปลาหมอทั้งต้นรวมทั้งข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ในรูปร่างที่เสมอกัน นำมาต้มกับน้ำจนกระทั่งเดือดแล้วนำมาดื่มในขณะอุ่นๆทีละ 1 แก้ว รุ่งเช้า ช่วงกลางวัน เย็น อาการจะดียิ่งขึ้น (ทั้งต้น)
รักษาปอดบวม ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ใบ)
ต้นมีรสเค็มกร่อย สรรพคุณช่วยแก้อาการปวดศีรษะ (ต้น)
รากช่วยแก้และก็ทุเลาอาการไอ หรือจะใช้เมล็ดนำมาต้มดื่มแก้อาการไอก็ได้เหมือนกัน (ราก, เมล็ด)
ช่วยแก้โรคหืดหอบ (ราก)
ช่วยรักษาวัณโรค ด้วยการใช้ต้นเอามาตำผสมเป็นน้ำดื่ม (ต้น)
ช่วยแก้ลักษณะของการเจ็บตา ตาแดง ด้วยการใช้เหงือกปลาหมออีกทั้งต้นเอามาตำผสมกับขิง คั้นมัวแต่น้ำใช้หยอดตาแก้อาการ (ทั้งต้น)
ใบช่วยแก้ไข้ (ใบ)
ช่วยแก้ไข้จับสั่น ด้วยการใช้ทั้งต้นเหงือกปลาหมอมาตำผสมกับขิง (ทั้งต้น)
ช่วยแก้พิษไข้หัว ด้วยการใช้อีกทั้งต้นแล้วก็รากนำมาต้มอาบแก้อาการ (ต้น)
แก้อาการไอ เม็ดใช้ผสมกับดอกมะเฟือง เปลือกอบเชย น้ำตาลกรวด นำมาต้มรวมกันแล้วเอาแต่น้ำมากินเป็นยาแก้ไอ (เมล็ด)
ช่วยขับเสลด (ราก)
ถ้าเกิดเป็นลม ให้ใช้ต้นเหงือกปลาหมอ 1 ส่วน / พริกไทย 2 ส่วน ผสมรวมกัน ตำให้ละเอียดเป็นผงแล้วเอามาละลายน้ำร้อนดื่ม (ต้น)
ช่วยแก้โรคกระเพาะ ด้วยการใช้อีกทั้งต้นแล้วก็พริกไทย (10:5 ส่วน) ตำผสมปั้นเป็นยาลูกกลอน (อีกทั้งต้น)

ช่วยขับพยาธิ (เม็ด)
ช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร ด้วยการใช้ต้นเหงือกปลาหมอกับขมิ้นอ้อย นำมาตำละลายกับน้ำแล้วทาบริเวณที่เป็นริดสีดวง หรือจะใช้ปรุงกับฟ้าทะลายโจร ใช้รมหัวริดสีดวงก็ได้ (ต้น, ใบ)
ช่วยขับฉี่ ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่เจาะจงส่วนที่ใช้)
ช่วยรักษามุตกิดระดูขาว ตกขาวของสตรี ด้วยการใช้ใบรวมทั้งต้นเอามาตำเป็นผุยผง ผสมกับน้ำผึ้งหรือน้ำมันมันงา ปั้นเป็นยาลูกกลอนกินแก้อาการ (ต้น, ใบ, ราก)
ช่วยแก้เมนส์มาไม่เป็นปกติของสตรี ด้วยการใช้ต้นเอามาตำผสมกับน้ำผึ้ง น้ำมันงา (ต้น)
ช่วยรักษานิ่วในไต ด้วยการใช้ใบเอามาต้มเป็นน้ำดื่ม (ใบ)
ช่วยแก้ไตทุพพลภาพ ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
ผลช่วยขับโลหิต หรือจะใช้เม็ดผสมกับดอกมะเฟือง เปลือกอบเชย น้ำตาลกรวด นำมาต้มรวมกันแล้วเอาแต่น้ำมากิน หรือใช้ต้น 10 ส่วนและก็พริกไทย 5 ส่วน ผสมทำเป็นยาลูกกลอนกินก็ได้ (เมล็ด, ผล, ทั้งยังต้น)
ช่วยฟอกเลือด ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่เจาะจงส่วนที่ใช้)
แก้พิษเลือด ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (เปลือกต้น)
ช่วยสมานแผล ด้วยการใช้ทั้งต้นเอามาตำผสมกับหัวสามสิบ ในอัตราส่วน 2:1 (ทั้งต้น)
ต้นเหงือกปลาหมอมีคุณประโยชน์ช่วยรักษาแผลพุพอง (ต้น)
ใบมีรสเค็มกร่อย สรรพคุณช่วยรักษาแผลอักเสบ (ใบ)
ช่วยแก้น้ำเหลืองเสีย ด้วยการใช้ต้น 3-4 ต้น เอามาหั่นเป็นชิ้น แล้วต้มน้ำอาบแก้อาการ (ต้น, ใบ, เมล็ด)
สำหรับคนไข้โรคภูมิคุมกันบกพร่องที่มีแผลพุพองตามผิวหนัง ถ้าหากใช้ต้นมาต้มอาบรวมทั้งทำเป็นยากินติดต่อกันราว 3 เดือนจะช่วยให้ลักษณะของแผลพุพองบรรเทาลงอย่างแจ่มแจ้ง (ต้น)
ช่วยรักษาโรคผิวหนังหรือประป่า รักษาขี้กลากโรคเกลื้อน อีสุกอีใส (ใบ)
ช่วยรักษาโรคขี้เรื้อน คุดทะราด ด้วยการใช้ต้นนำมาตำมัวแต่น้ำดื่ม (ทั้งต้น)
ช่วยแก้ผดผื่นคันตามร่างกาย ใช้ล้างแผลเรื้อรัง ด้วยการใช้ต้นสดและใบสดล้างสะอาดราวๆ 3-4 กำมือ นำมาสับแล้วต้มกับน้ำอาบแก้ผื่นคันต่อเนื่องกัน 3-4 ครั้ง (ต้น, ใบ)
เหงือกปลาหมอมีสรรพคุณทางยาช่วยแก้ลมพิษ (ต้น)
รากสดนำมาต้มมัวแต่น้ำ ใช้ดื่มเป็นยารักษาโรคงูสวัดได้ (ราก)
ช่วยรักษาฝี ฝีเรื้อรัง แผลฝีหนอง ไข้ทรพิษ ตัดรากฝี แก้พิษฝีทุกประเภททั้งยังภายในภายนอก ด้วยการใช้ต้นแล้วก็ใบสดและแห้งโดยประมาณ 1 กำมือ เอามาบดให้ละเอียด แล้วเอามาพอกบริเวณที่เป็นฝี หรือวิธีที่สองจะเอามาสับเป็นชิ้นเล็กๆใส่น้ำให้ท่วมแล้วต้มในน้ำเดือดทิ้งไว้ 10 นาที แล้วนำมาดื่มก่อนอาหารครั้งละครึ่งแก้ว วันละ 3 ครั้ง ราวๆ 2-3 อาทิตย์ หรือจะใช้เม็ดเอามาคั่วให้ไหม้เกรียมแล้วป่นให้ละเอียด ชงกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ฝีก็ได้ (ต้น, ใบ, เมล็ด)
เม็ดใช้ปิดพอกฝี (เม็ด)
ผลมีรสเผ็ดร้อน คุณประโยชน์ช่วยถอนพิษ (ผล, ต้น)
ใบสดนำมาตำอย่างถี่ถ้วน สามารถใช้พอกบริเวณแผลที่ถูกงูกัดได้ (ใบ)
ช่วยแก้ผิวแตกหมดทั้งตัว ด้วยการใช้ทั้งต้นของเหงือกปลาหมอ 1 ส่วน / ดีปลี 1 ส่วน ใช้ผสมกันบดให้เป็นผงชงกับน้ำร้อนดื่มแก้อาการ (อีกทั้งต้น)
ต้น ถ้าเกิดประยุกต์ใช้จะช่วยแก้โรคเหน็บชา อาการชาตลอดตัวได้ (ต้น)
รากมีสรรพคุณช่วยแก้อัมพาต (ราก)
แก้ลักษณะการเจ็บหลังเจ็บเอว ด้วยการใช้ต้นกับชะเอมเทศนำมาบดเป็นผง ผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นยาลูกกลอนกิน (ต้น)
ใบใช้เป็นยาประคบปรับปรุงข้ออักเสบแล้วก็แก้ลักษณะของการปวดต่างๆ(ใบ)
ช่วยบำรุงรากผม ด้วยการใช้น้ำคั้นจากใบนำมาทาให้ทั่วศีรษะ จะช่วยบำรุงรากผมได้ (ใบ)
คุณประโยช์จากเหงือกปลาหมอ
ในตอนนี้สมุนไพรเหงือกปลาหมอมีการนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นยาแคปซูลสมุนไพร (เหงือกปลาหมอแคปซูล) หรือเป็นยาชงสมุนไพร (เหงือกปลาแพทย์ผงสำเร็จรูป) หรือในรูปแบบของยาเม็ด
นอกเหนือจากการใช้เป็นยาสมุนไพรที่ใช้ในการอบตัวหรืออบด้วยละอองน้ำ สมุนไพรเหงือกปลาหมอยังใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น สบู่ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับในการเปลี่ยนสีผม กระทั่งยาสระผมของหมา ฯลฯ
แหล่งอ้างอิง
: เว็บสำนักงานโครงงานรักษาพันธุกรรมพืชสาเหตุจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, หนังสือพิมพ์ชาติบ้านเมือง (ช่ำชอง หิมะคุณ), หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 4, ฐานข้อมูลพันธุ์ไม้ หน่วยงานส่วนวิชาพฤกษศาสตร์, ที่ทำการกองทุนช่วยเหลือการผลิตเสริมสุขภาพ (สสส.), หนังสือยอดสมุนไพรยาอายุวัฒนะ (คุณครูยุยงวดี จอมรักษา), หนังสือการบริหารร่างกายแกว่งแขน (โชคชัย ปัญจสมบัติพัสถาน) http://www.disthai.com/

2

สมุนไพร[url=http://www.disthai.com/16913677/%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2]พญายอ[/url][/size][/b]
ชื่อสมุนไพร พญายอ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau
ชื่อตระกูล ACANTHACEAE
ชื่อพ้อง Clinacanthus burmanni  Nees
ชื่ออังกฤษ ไม่มี
ชื่อแคว้นผักมันไก่  ผักลิ้นเขียด  พญาบ้องคำ  พญาปล้องดำ พญายอ  โพะโซ่จาง  เสมหะพังพอนตัวเมีย


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์


          ไม้พุ่มรอคอยเลื้อย ลำต้นและก็แขนงหมดจดวาว สูงได้ถึง 3 เมตร ใบผู้เดียวออกเรียงตรงกันข้าม รูปขอบขนานหรือขอบขนานแกมใบหอก กว้าง 2-3 เซนติเมตร ยาว 7-9 เซ็นต์ โคนใบมน ปลายใบแหลม ก้านใบยาว 0.5 เซ็นต์ ดอกเป็นช่อ ออกเป็นกระจุกที่ปลายยอด กลีบสีส้มแดงเชื่อมชิดกันเป็นหลอดยาว ปลายแยกเป็น 2 ปาก ยาว 3-4 ซม. ไม่ติดฝัก


ส่วนที่ใช้เป็นยาและก็คุณประโยชน์


-ส่วนใบ รักษาอาการเนื่องจากแมลงกัดต่อยรวมทั้งโรคเริม


สารสำคัญที่ออกฤทธิ์


สารฟลาโวนอยด์ มีฤทธิ์ลดการอักเสบ สารกรุ๊ป monoglycosyl diglycerides เช่น 1,2-O-dilinolenoyl-3-O-b-d-glucopyranosyl-sn-glycerol แล้วก็สารกรุ๊ป glycoglycerolipids จากใบ  มีฤทธิ์ยับยั้งไวรัสเริม


ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา


ฤทธิ์ลดการอักเสบ
       เมื่อป้อนสารสกัดจากใบด้วยเอ็นบิวทานอลให้หนูแรท  หรือฉีดสารสกัดด้วยน้ำจากใบเข้าช่องท้องของหนูแรท  จะลดการอักเสบของข้อเท้าหนูแรทที่ทำให้บวมด้วยสารคาราจีแนน (carrageenan) ได้   ตำรับยาที่มีพญายอปริมาณร้อยละ 5  ใน cold cream แล้วก็สารสกัดด้วยเอทานอลจากใบ เมื่อเอามาทาเฉพาะที่ให้หนูแรท จะสามารถลดการอักเสบเรื้อรังได้  แต่ว่าเมื่อใช้สารสกัดด้วยนเอ็นบิวทานอลทาที่ผิวหนังจะไม่ได้ผล
ฤทธิ์ลดอาการปวด
                 เมื่อให้หนูเม้าส์กินสารสกัดด้วยเอ็นบิวทานอลจากใบ จะลดความเจ็บปวดของหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้ปวดด้วยกรดอะซีว่ากล่าวค  โดยสารสกัดความแรง 90 มก./กิโลกรัม จะมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับเฟนนิวบิวทาโซนขนาด 100 มก./โล (5)  ส่วนสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม (2)  สารสกัดด้วยน้ำ และก็สารสกัดด้วยเอทานอล 50% จากใบ (3) ไม่เป็นผลลดความเจ็บปวด

ฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส
ไวรัสเริม
       พญายอสารสกัดด้วยเฮกเซน บิวทานอล และเอทิลอะสิเตทจากใบ มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อไวรัสเชื้อเริม HSV-1  และก็เมื่อนำไปทำเป็นตำรับเจลโดยใช้สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ที่ความเข้มข้นจำนวนร้อยละ 4 แล้วก็ใช้ carbopol 940 เป็นสารก่อเจล  พบว่า มีฤทธิ์ต้านทานไวรัสเจริญและไม่เป็นพิษต่อเซลล์  ตอนที่เมื่อใช้สารก่อเจล poloxamer 407 จะมีพิษต่อเซลล์
                 จากรายงานการดูแลรักษาคนเจ็บโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์ประเภทเป็นซ้ำด้วยยาจากสารสกัดพญายอ เปรียบเทียบกับยา acyclovir  รวมทั้งยาหลอก  โดยให้คนเจ็บทายาวันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 6 วัน พบว่าไม่มีความแตกต่างในระยะเวลาการตกสะเก็ดของแผลคนเจ็บที่ใช้ยาจากสารสกัดใบพญายอและก็ยา acyclovir   โดยแผลจะตกสะเก็ดข้างใน 3 วัน และหายสนิทภายใน 7 วัน ซึ่งผิดแผกแตกต่างกับยาหลอกอย่างเป็นจริงเป็นจัง ยาที่สกัดจากใบพญายอไม่นำมาซึ่งการอักเสบ ระคาย ในขณะที่ acyclovir ทำให้แสบ   นอกเหนือจากนี้มีการใช้ยาที่ทำจากพญายอ ในคนป่วยโรคเริม งูสวัด และก็แผลอักเสบในปาก พบว่าสามารถรักษาแผลและก็ลดการอักเสบได้ดี   
เชื้อไวรัส Varicella zoster
                 สารสกัดจากใบพญายอออกฤทธิ์ทำลายไวรัส Varicella zoster ที่เป็นสาเหตุโรคงูสวัดและก็อีสุกอีใสได้โดยตรงก่อนที่ไวรัสจะเข้าสู่เซลล์
จากรายงานการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคงูสวัดด้วยยาจากสารสกัดใบพญายอเปรียบเทียบกับยาหลอก  โดยให้ป้ายยาวันละ 5 ครั้ง ตรงเวลา 7-14 วัน จนกว่าแผลจะหาย  พบว่าคนไข้หวานใจษาด้วยสารสกัดจากใบพญายอ แล้วมีแผลตกสะเก็ดข้างใน 3 วัน และก็หายข้างใน 7-10 วัน จะมีจำนวนหลายชิ้นกว่ากลุ่มหวานใจษาด้วยยาหลอกอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ ระดับความเจ็บลดน้อยลงเร็วกว่ากรุ๊ปยาหลอก และไม่พบผลกระทบใดๆก็ตาม


อาการข้างเคียง


ความเป็นพิษทั่วไปรวมทั้งต่อระบบขยายพันธุ์


การทดสอบความเป็นพิษ
เมื่อป้อนสารสกัดด้วยเอ็นบิวทานอลจากใบให้หนูเม้าส์ พบว่าเป็นพิษน้อย แต่ว่าเป็นพิษปานกลางเมื่อฉีดเข้าช่องท้อง  ส่วนสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1.3 กรัม/กิโลกรัม (หรือเทียบเท่าใบแห้ง 5.44 กรัม/กิโลกรัม) เมื่อป้อนเข้าทางปากหรือฉีดเข้าช่องท้องหนูเม้าส์ ไม่นำไปสู่อาการพิษใดๆก็ตาม
การเรียนพิษ
พญายอครึ่งหนึ่งเรื้อรัง พบว่าเมื่อป้อนหนูแรทด้วยสารสกัดเอ็นบิวทานอลจากใบขนาด 270 มก./กิโลกรัม และก็ 540 มก./กิโล ทุกวัน นาน 6 อาทิตย์ พบว่าไม่เป็นผลต่อการเจริญเติบโต แม้กระนั้นน้ำหนักต่อมธัยมัสลดลง เวลาที่น้ำหนักตับมากขึ้น ไม่เจอความผิดปกติต่ออวัยวะอื่น และไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ใดๆก็ตาม หนูแรทที่กินสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1 กรัม/กิโล ทุกเมื่อเชื่อวันนาน 90 วัน พบว่าการกินอาหารของกลุ่มที่ได้รับสารสกัดและก็กรุ๊ปควบคุมไม่ได้มีความแตกต่างกัน แต่ว่าน้ำหนักของหนูเพศผู้ที่ได้สารสกัดขนาด 1.0 กรัม/กิโลกรัม ต่ำยิ่งกว่าพญายอกรุ๊ปควบคุม  เกร็ดเลือดของหนูแรททั้งสองเพศสูงขึ้นมากยิ่งกว่า และครีอาติเตียนนินต่ำลงยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุม  แม้กระนั้นไม่พบความเปลี่ยนไปจากปกติด้านจุลพยาธิวิทยาของอวัยวะภายใน และก็พยาธิภาวะภายนอกhttp://www.disthai.com/

3
อื่น ๆ / ความเป็นมาของต้นราชพฤกษ์
« เมื่อ: สิงหาคม 17, 2018, 07:59:11 AM »

ราชพฤกษ์
ที่มาที่ไปของต้นราชพฤกษ์
   จากสมัยก่อนก่อนหน้านี้ที่ผ่านมากว่า 50 ปี ทางการมีความอุตสาหะหลายคราวสำหรับในการกำหนดให้มีสัญลักษณ์ประจำชาติไทย โดยเฉพาะการกำหนด ต้นไม้ รวมทั้ง ดอกไม้ ประจำชาติ เริ่มต้นที่กรมป่าไม้ได้เชื้อเชิญให้ประชากรพึงพอใจต้นราชพฤกษ์หรือคูณมาตั้งแต่ช่วงปี พุทธศักราช2494 โดยรัฐบาลมีมติให้ถือวันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันต้นไม้รายปีของชาติ (arbour day) มีการชวนให้ปลูกต้นไม้ที่มีคุณประโยชน์จำพวกต่างๆมาก ในเวลาเดียวกันก็ได้มีการเสนอว่า ต้นราชพฤกษ์ คงจะนับว่าเป็นต้นไม้ประจำชาติ
ราชพฤกษ์
   กระทั่งในปี พ.ศ.2506 มีการสัมมนาเพื่อระบุเครื่องหมายต้นไม้แล้วก็สัตว์ประจำชาติเป็นครั้งแรก โดยกรมป่าไม้ได้เสนอให้ ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูณ พืชที่มีความมงคลที่มีประโยชน์แล้วก็รู้จักกันอย่างแพร่หลายฯลฯไม้ประจำชาติ สำหรับสัตว์ประจำชาติก็คือ ช้างเผือก สัตว์ที่มีคุณค่าเกี่ยวโยงกับจารีตประเพณีไทยแล้วก็ประวัติศาสตร์ไทยมายาวนาน การเสนอคราวนั้นมิได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการ ด้วยเหตุนั้นตลอดระยะเวลาก่อนหน้านี้สัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นไทยจึงมีมากมาย ตั้งแต่สถานที่สำคัญๆ สัตว์ ดอกไม้ ที่คนประเทศไทยเคยชินและพบเห็นบ่อยมาก ดังเช่น พระปรางค์วัดย่ำรุ่งฯ เรือสุพรรณหงส์ ดอกบัว ดอกมะลิ ดอกพุทธรักษา แมวไทย เหมือนกับ ต้นราชพฤกษ์ และก็ ช้างเผือก ยังคงถูกยกย่องให้เป็นเครื่องหมายประจำชาติตลอดมา
            ปี พ.ศ.2530 มีการผลักดันให้ปลูกต้นราชพฤกษ์อีกรอบ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระอายุครบ 5 รอบ โดยมีการเกื้อหนุนให้ปลูกต้นราชพฤกษ์ทั่วประเทศจำนวน 99,999 ต้น ตอนนี้จึงมีต้นราชพฤกษ์อยู่มากไม่น้อยเลยทีเดียวทั่วทั้งประเทศไทย
            ผลสรุปเรื่องเครื่องหมายประจำชาติดูเหมือนจะยังไม่ชัดแจ้ง กระทั่งช่วงปี พ.ศ.2544 คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ได้นำเรื่องดังกล่าวกลับมาเสนออีกที และก็มีผลสรุปเสนอให้มีการกำหนดสัญลักษณ์ประจำชาติ 3 สิ่งคือ ดอกไม้ สัตว์รวมทั้งสถาปัตยกรรม รวมทั้งการพินิจก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาเสนอให้ระบุดอกไม้ประจำชาติเป็น ดอกราชพฤกษ์ สัตว์ประจำชาติ คือ ช้างไทย และก็สถาปัตยกรรมประจำชาติเป็น ศาลาไทย
            เหตุที่เลือก ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติเนื่องจากว่ามีความเหมาะสมในหลายๆด้านเป็นเป็นดอกไม้จากต้นไม้ที่ถูกเสนอให้ฯลฯไม้ประจำชาติเมื่อครั้งที่กรมป่าไม้เสนอไว้ ฯลฯไม้ที่มีอายุยืน คงทน ปลูกขึ้นก้าวหน้าทั่วทุกภาคของประเทศ เป็นต้นไม้พื้นบ้านที่รู้จักแพร่หลาย มีชื่อเรียกหลายชื่อไม่เหมือนกันในแต่ละภาค ได้แก่ ต้นลมแล้ง คูน อ๋อดิบ ราชพฤกษ์เป็นพืชที่มีความมงคลใช้ประโยชน์ในพิธีสำคัญๆตัวอย่างเช่น ลงหลักเมือง ลงเสาฤกษ์ ทำคฑาจอมพลรวมทั้งยอดธงชัยเฉลิมพลของกองทหาร ในฤดูร้อนราชพฤกษ์จะมีดอกสะพรั่งอีกทั้งต้น ช่อดอกมีทรงสวยงาม สีเหลืองแพรวพราวเป็นสัญลักษณ์ของพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาประจำชาติ รวมทั้งเป็นสีเดียวกับวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ นอกนั้นความงดงามของช่อดอก และก็ความหมายที่ดียังถูกจำทดลองแบบประดับไว้บนอินทรธนูของข้าราชการอีกด้วย
ดอกราชพฤกษ์ ดอกไม้ประจำชาติไทย
ส่งดอกไม้ประจำชาติไทยเป็นดอกราชพฤกษ์ (Golden shower) หรือ ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของ ดอกราชพฤกษ์หมายถึงCassia fistula
           ดอกไม้สีเหลืองอร่ามที่พบบ่อยเห็นได้ทั่วไปตามข้างถนนสายต่างๆคือสีสันของ ดอกราชพฤกษ์ หรือ ดอกคูน ต้นไม้มงคลที่ได้รับการชื่นชมให้เป็น ดอกไม้ประจำชาติไทย ทั้งมั่นใจว่าฯลฯไม้ที่ปลูกไว้แล้วจะเสริมให้คนภายในบ้านมีเกียรติตำแหน่งชื่อ เสียงมากขึ้นเรื่อยๆด้วย ยิ่งใกล้เข้าสู่เวลาที่การเปิดประตูต้อนรับเพื่อนบ้านอาเซียนกันแล้ว ในวันนี้กระปุกดอทคอมจึงขอนำข้อมูลเกี่ยวกับดอกไม้ประจำชาติไทยอย่าง ดอกราชพฤกษ์ มาให้ทำความรู้จักกันแรง
เรื่องราวดอกราชพฤกษ์
           ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูน เป็นต้นไม้ประจำถิ่นของทวีปเอเชียใต้ ตั้งแต่ประเทศปากีสถาน อินเดีย ประเทศพม่า แล้วก็ศรีลังกา โดยนิยมนำมาปลูกกันมากในเขตร้อน สามารถเจริญวัยก้าวหน้าใน และก็เป็นที่รู้จักในประเทศไทยมาหลายสิบปี โดยมีการเสนอให้ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทยตั้งแต่ปี พุทธศักราช 2506 แม้กระนั้นก็ยังมิได้บทสรุปกระจ่างแจ้ง จวบจนกระทั่งมีการลงชื่อให้เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย ตอนวันที่ 26 เดือนตุลาคม พุทธศักราช 2544

ดอกไม้ประจำชาติไทย
           เหตุเพราะ ต้นราชพฤกษ์ ออกดอกสีเหลืองชูช่อ มองสง่างาม อีกทั้งยังมีสีตรงกับ สีทุกวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็เลยถูกตั้งชื่อว่าเป็น "ต้นไม้ของพระเจ้าอยู่หัว" และก็มีการลงชื่อให้ต้นราชพฤกษ์ เป็นเยี่ยมใน 3 สัญลักษณ์ประจำชาติไทย โดยมี 1. ช้าง เป็นสัตว์ประจำชาติไทย 2. ศาลาไทย เป็นสถาปัตยกรรมประจำชาติไทย และก็ 3. ดอก[url=http://www.disthai.com/16488365/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C]ราชพฤกษ์[/url] เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย
เหตุผลเลือกเป็นดอกไม้ประจำชาติไทย

  • เนื่องด้วยเป็นต้นไม้ประจำถิ่นที่รู้จักกันอย่างมากมาย และมีอยู่ทุกภาคของประเทศไทย
  • มีประวัติเกี่ยวกับจารีตประเพณีสำคัญๆในไทยรวมทั้งเป็นต้นไม้มงคลที่นิยมนำมาปลูก
  • ใช้ประโยชน์ได้มากมาย ดังเช่น ใช้เป็นยารักษาโรค ทั้งยังคงใช้ลำต้นเป็นเสาเรือนได้ เป็นต้น
  • มีสีเหลืองสวยงาม พุ่มไม้งามเต็มต้น เปรียบเทียบเป็นสัญลักษณ์แห่งพุทธศาสนา
  • แก่ยืนนาน และทนทาน
ลักษณะทั่วไป
           ฯลฯไม้ขนาดกลาง สูงราวๆ 10-20 เมตร ออกดอกเป็นช่อสีเหลืองสวยงาม แต่ละช่อยาวประมาณ 20-40 ซม. โดยกลีบดอกจะเป็นสีเหลือง 5 กลีบ ส่งผลยาวราวๆ 30-60 เซนติเมตร มีกลิ่นแรง รวมทั้งมีเม็ดที่เป็นพิษ
การปลูกดอกราชพฤกษ์
           นิยมปลูกด้วยเมล็ด โดยจะมีการเจริญวัยช้าในช่วง 1-3 ปีแรก แต่ว่าหลังจากนั้นจะมีการเติบโตเร็วขึ้น และมีดอกตอนอายุราว 4-5 ปี
การดูแลรักษา
           แสง : ต้องการแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง รวมทั้งเจริญวัยก้าวหน้าในที่โล่งเป็นพิเศษ
           น้ำ : ชอบน้ำน้อย ควรรดน้ำ 7-10 วันต่อครั้ง สามารถทนกับสภาพอากาศร้อนได้ดิบได้ดี
           ดิน : สามารถเติบโตเจริญในดินซึ่งร่วนซุย ดินร่วนคละเคล้าทราย หรือดินเหนียว
           ปุ๋ย : นิยมใส่ปุ๋ยหมัก หรือ ปุ๋ยมูลสัตว์ ในอัตรา 2-3 กิโลต่อต้น รวมทั้งควรให้ปุ๋ยปีละ 3-4 ครั้ง
การขยายพันธุ์
           แนวทางขยายพันธุ์ต้นราชพฤกษ์ที่นิยม คือ การเพาะเม็ด โดยใช้เม็ดใหม่ๆมาขลิบด้วยกรรไกรตัดเล็บ แต่ว่าจะต้องเลือกขลิบรอบๆด้านป้าน เพราะด้านแหลมจะมีต้นอ่อนอยู่ หลังจากนั้นนำไปแช่น้ำสะอาดทิ้งเอาไว้ผ่านวัน แล้วก็ค่อยเทน้ำออกให้เหลือจำนวนเพียงพอหล่อเลี้ยงเมล็ดได้ แล้วหลังจากนั้นทิ้งเอาไว้อีกคืนก็จะเจอรากงอก และสามารถนำลงปลูกได้เลย
ความเลื่อมใสเกี่ยวกับต้นราชพฤกษ์
           เชื่อว่าเป็นต้นพืชที่มีความเป็นสิริมงคล ที่ควรจะปลูกเอาไว้ภายในทิศตะวันตกเฉียงใต้ และถ้าหากปลูกเอาไว้ในบ้านจะช่วยทำให้ทรงเกียรติขั้น เกียรติ และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางไสยศาสตร์ โดยใช้ใบทำน้ำพระพุทธมนต์สะเดาะเคราะห์ เนื่องมาจากเป็นไม้มงคลนาม http://www.disthai.com/

4

ชื่อสกุล : LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cassia fistula L.
ชื่อสามัญ : Golden shower, Indian laburnum, Pudding-pine tree
ชื่อพื้นเมืองอื่น : ลมแล้ง (ภาคเหนือ) ; ปูโย, เปอโซ, ปือยู, แมะหล่าหยู่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ; คูณ (ภาคกลาง, ภาคเหนือ) ; ชัยพฤกษ์, ราชพฤกษ์ (ภาคกึ่งกลาง) ; กุเพยะ (กะเหรี่ยง-จังหวัดกาญจนบุรี)
ชนิดนี้แบบเรียนหลังเล่มเสนอ ชื่อใหม่เป็นเพียงระดับชนิดย่อยเป็นCassia javanica L.subsp javanica K.& S.S .Larsen พืชประเภทนี้เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก ถึงขั้นกลาง สูงได้ถึง ๑๕ เมตร เมื่อลำต้นอย่างอ่อนอยู่มีน้ำแข็งที่เกิดขึ้นมาจากกิ่งแก่ที่ร่วงหล่นไป แม้กระนั้นเมื่อต้นแก่ขึ้นจะหายไป ลำต้นไม่เป็นปุ่มปม ใบเป็นใบประกอบแบบขนเรียงสลับกัน มีใบย่อย ๕-๑๕ คู่ ก้านใบยาว ๑.๕-๔ ซม. ศูนย์กลางใบยาว ๒๐-๓๐ เซนติเมตร ใบย่อยรูปไข่ปนรูปมูลหรือรูปขอบขนาน กว้าง ๑.๕-๓ เซนติเมตร ยาว ๒-๕ ซม. ปลายใบกลมหรือมน โคนใบกลม ใต้ใบมีขนละเอียดอยู่เอนราบกับผิวใบ ก้านใบย่อยสั้นมากมาย ดอกออกเป็นช่อตามกิ่ง ก้านช่อดอกใหญ่และก็แข็ง ไม่แตกกิ่ง ยาว ๕-๑๖ เซนติเมตร เมื่อเริ่มบานมีสีชมพูแล้ว เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม เมื่อใกล้โรยเปลี่ยนเป็นสีออกขาว ดอกย่อยมีก้านเรียวยาว ๓-๕ ซม.ราชพฤกษ์ มีกลีบเลี้ยงมี สีแดงเข้มถึงสีแดงอมน้ำตาล รูปไข่ ปลายแหลม ยาว ๗-๑๐ มม.กลีบรูปไข่กลับ กว้าง ๗-๘ มิลลิเมตร ยาว ๒๕-๓๕มม. โคนกลีบดอกเป็นก้านยาวราว ๓ มม.  เกสรเพศผู้มี ๑๐ อัน ขนาดยาวไม่เท่ากัน รังไข่เรียว ขนปกคลุมบางๆผลเป็นฝักรูปกระบอกขนาดวัดผ่าศูนย์กลางราม ๑-๑.๕ ซม. ยาว ๒๐-๖๐ ซม. แขวนลงมาจากกิ่ง ฝักแก่สีดำ สะอาด ไม่มีขน ไม่แตก มีเมล็ดเยอะมากๆ รวมทั้งรูปแบนเกือบกลม สีน้ำตาลเป็นมัน
ลักษณะทางวิชาพฤกษศาสตร์
ไม้ใหญ่ (T) สูงประมาณ 5-15 เมตร เปลือกต้นเรียบ เกลี้ยง สีเทาอ่อนหรือสีเทาอมน้ำตาล สีเทาอมขาว หรือสีนวล
ใบ เป็นใบประกอบแบบขน ใบเรียงสลับ ลักษณะใบย่อยรูปไข่ ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ โคนใบมน แผ่นใบสีเขียว มีใบย่อยราวๆ 4-12 คู่
ดอก มีดอกเป็นช่อแบบช่อกระจะ เป็นช่อแขวนระย้าออกตามกิ่งหรือออกตามง่ามใบ มีดอกแบบสมมาตรข้างๆ มีกลีบ 5 กลีบ สีเหลืองสด โดยกลีบดอกไม้บนสุดจะเรียงอยู่รอบในสุด ดอกมีกลิ่นหอมหวนอ่อนๆ
ผล เป็นฝักกลม ทรงกระบอกยาว ผิวเรียบ รวมทั้งมีเปลือกแข็ง ภายในมีฝาผนังแบนสีน้ำตาล กั้นเป็นห้องและก็มีเม็ดห้องละ 1 เม็ด ผลอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาลเข้ม หรือดำ
เมล็ด มีเนื้อห่อหุ้มนิ่มๆสีน้ำตาลไหม้ หรือสีดำ ลักษณะกลมมนและก็แบน มีรสหวาน
นิเวศวิทยา
ขึ้นตามป่าเบญจพรรณแล้งทั่วๆไป มีมากมายทางภาคเหนือ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับและปลูกข้างถนนเพื่อความสวยงาม
การปลูกและก็แพร่พันธุ์
ปลูกได้ไม่ยากรวมทั้งเจริญเติบโตได้ในดินแทบทุกชนิด แต่จะถูกใจดินร่วนซุยผสมทราย แพร่พันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดและตอนกิ่ง

คุณประโยชน์ทางยา
รสและก็คุณประโยชน์ในตำราเรียนยา
ราก รสเมา เป็นยาบำรุง รักษาโรคเกี่ยวกับหัวใจ โรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี เป็นยาถ่ายอย่างแรง รักษาลักษณะของการมีไข้ ระบายพิษไข้ ถ่ายสิ่งโสโครกออกจากร่างกาย ฆ่าเชื้อโรคโรคกุฏฐัง แก้กลากโรคเกลื้อน แก้อาการเซื่องซึม หนักหัว
เปลือกราก รสฝาด ต้มดื่มแก้ไข้ไข้จับสั่นรวมทั้งระบายพิษไข้ ใช้ร่วมกับเนื้อในฝักเป็นยาแก้ไข้มาลาเรียรวมทั้งเป็นยาระบาย
แก่น รสเมา ใช้เป็นยาขับพยาธิไส้เดือน รักษาอาการท้องร่วง แล้วก็ช่วยรีบคลอด
[url=http://www.disthai.com/16488365/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C]ราชพฤกษ์[/url]เปลือกต้น รสฝาดเมา ใช้เป็นยาช่วยรีบคลอด รักษาอาการท้องร่วง
กระพี้ รสเมา ใช้แก้รำมะนาด
ฝัก เนื้อในฝักรสหวานเอียน ใช้รับประทานเป็นยาระบาย ช่วยบรรเทาอาการแน่นหน้าอก ฟอกหรือชำระน้ำดี แก้ลมเข้าข้อรวมทั้งขัดข้อ
เปลือกฝัก รสเฝื่อนฝาดเมา ทำให้แท้งลูก ขับรกที่ค้าง และก็ทำให้อ้วก
ใบแก่ รสเมา ใบสดหรือตากแห้ง ใช้เป็นยาถ่าย รักษาอัมพาต ฆ่าเชื้อโรคทั้งมวล ฆ่าพยาธิผิวหนัง รักษาอัมพาตของกล้ามบนบริเวณใบหน้า พอกแก้ปวดข้อ หรือต้มน้ำแก้โรคที่เกิดขึ้นและมีปัญหาเกี่ยวกับสมอง แก้เอ็นพิการ
ใบอ่อน รสเมา ตำพอกหรือคั้นเอาน้ำทารักษาโรคขี้กลากโรคเกลื้อน แก้ไข้รูมาติก
ดอก รสเปรี้ยวขม ใช้รักษาโรคกระเพาะ เป็นยาถ่ายพยาธิ ต้มดื่มแก้ไข้ แก้แผลเรื้อรัง ช่วยหล่อลื่นในลำไส้ ระบายท้อง
เมล็ด ช่วยกระตุ้นให้อ้วก เป็นยาถ่าย
ราชพฤกษ์ แนวทางและก็ปริมาณที่ใช้
แก้อาการท้องผูก โดยการเอาเนื้อในฝักแก่หนักประมาณ 5-10 กรัม ต้มกับน้ำ 500 ซีซี ใส่เกลือนิดหน่อย ดื่มก่อนนอนหรือเช้าตรู่ก่อนที่จะรับประทานอาหาร เป็นยาระบายที่เหมาะกับผู้ที่ท้องผูกเสมอๆ และก็สตรีท้องก็ใช้ฝักคูณเป็นยาระบายได้
รักษาโรคกระเพาะอาหาร โดยใช้ฝักประมาณ 30 กรัม ผสมน้ำ 100 ซีซี ต้มให้เดือดรวมทั้งเหลือน้ำ 50 ซีซี ดื่มให้หมดครั้งเดียว วันละ 3 ครั้ง http://www.disthai.com/

Tags : ประโยชน์ราชพฤกษ์

5

กระเทียม
สรรพคุณกระเทียม
ปรับความดันเลือดให้อยู่ในระดับปกติ
ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด จึงเหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
บำรุงเลือด คุ้มครองปกป้องอาการโลหิตจาง
เพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย
ป้องกันโรคหัวใจ
ลดท้องผูก ทำให้ระบบขับถ่ายดำเนินงานเจริญขึ้น
ช่วยขับลม แก้อาการจุดเสียดแน่นท้อง
ปกป้องไข้หวัด ยั้งการเติบโตของไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา
มีสารต้านอนุมูลอิสระ บำรุงผิวพรรณ และก็ลดการเสี่ยงสำหรับในการเป็นโรคโรคมะเร็ง
chopped-garlicsiStock
กระเทียม กับ 10 ผลดีดีๆที่พวกเราต้องการให้คุณทานทุกวัน
วิธีทานกระเทียมให้ได้ประโยชน์
สารอัลลิซินในกระเทียมที่มีประโยชน์ต่อสถาพทางร่างกายของเรา จะต้องผ่านการหั่น สับ ทุบ หรือบด จึงควรหั่น สับ ทุบ หรือบดกระเทียมก่อนเอามาทำกับข้าว 5-10 นาที ขึ้นรถอัลลิสินนี้จะไม่สลายหายไปเมื่อถูกความร้อน ด้วยเหตุนั้นจะทานสด หรือจะประกอบอาหารในน้ำมันก็ช่างเถอะ
ปริมาณกระเทียมที่ควรจะทานต่อวัน
ในวัยผู้ใหญ่สามารถทานกระเทียมได้ราว4 กรัมต่อวัน แม้กระนั้นไม่ควรทานมากเกินกว่านี้ติดต่อกันเกิน 10 วัน ด้วยเหตุว่าจะเพิ่มการเสี่ยงสภาวะเลือดแข็งตัวช้า  หรือเลือดไหลไม่หยุดเมื่อเกิดรอยแผล
วิธีเลือกซื้อกระเทียมมาประกอบอาหาร
ควรเลือกกระเทียมที่ศีรษะแน่นๆไม่ฝ่อ เปลือกบาง เนื้อสีเหลืองอ่อน สด ไม่เน่า ไม่มีราขึ้น แล้วก็แม้อยากได้รสชาติของกระเทียมแบบแรงๆควรที่จะทำการเลือกกระเทียมหัวเล็กๆ
ว่าแล้วอาหารมื้อต่อไปก็บอกให้คนทำอาหารพ่อครัวใส่กระเทียมลงไปในอาหารให้ด้วยนะคะ แต่ว่าระวังสักหน่อย แม้ทานกระเทียมมากมายๆโดยยิ่งไปกว่านั้นกระเทียมสด อาจมีอาการเจ็บคอภายหลัง และอย่าลืมระแวดระวังกลิ่นปากกันด้วยค่ะ สักครู่จะกล่าวหาไม่เตือนนะ
ลักษณะทั่วไปของกระเทียม
กระเทียมเป็นไม้ล้มลุกจำพวกรับประทานหัว ลำต้นสูง 1-2 ฟุต มีหัวลักษณะกลมแป้นขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-2 นิ้ว ภายนอกของหัวกระเทียมมีเปลือกบางๆหุ้มอยู่หลายชั้น ข้างในหัวประกอบแกนแข็งตรงกลาง ด้านนอกเป็นกลีบเล็กๆปริมาณ 10-20 กลีบ เนื้อกระเทียมในกลีบมีสีเหลืองอ่อนและก็ใส  มีน้ำเป็นส่วนประกอบสูง มีกลิ่นฉุนจัด
ลำต้นแล้วก็หัวกระเทียมสด
แหล่งเพาะปลูก
กระเทียมสามารถปลูกได้ทั่วไปในทุกภาคของเมืองไทย แม้กระนั้นนิยมนำมาปลูกกันมากทางภาคเหนือรวมทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากว่ามีสภาพดินรวมทั้งสถานการณ์อากาศที่เหมาะอย่างยิ่งกว่าภาคอื่นๆทำให้กระเทียมเจริญเติบโตได้ดิบได้ดี เห็นผลผลิตสูงและก็มีรสชาติที่ดีกว่า

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
กระเทียมเป็นไม้ล้มลุกและก็ใหญ่ยาว สูง 30-60 เซนติเมตร มีกลิ่นแรง มีหัวใต้ดิน2 ลักษณะกลมแป้น เส้นผ่าศูนย์กลาง 2-4 เซนติเมตร มีแผ่นเยื่อสีขาวหรือสีม่วงอมชมพูห่อหุ้มอยู่ 3-4 ชั้น ซึ่งลอกออกได้ แต่ละหัวมี 6-10 กลีบ กลีบเกิดจากตาซอกใบของใบอ่อน ลำต้นลดรูปลงไปๆมาๆก ใบโดดเดี่ยว (Simple leaf) ขึ้นมาจากดิน เรียงซ้อนสลับ แบนเป็นแถบแคบ กว้าง 0.5-2.5 ซม. ยาว 30-60 เซนติเมตร ปลายแหลมแบบ Acute ขอบเรียบและก็พับทบเป็นสันตลอดความยาวของใบ โคนแผ่เป็นแผ่นและก็เชื่อมชิดกันเป็นวงห่อหุ้มรอบใบที่อ่อนกว่าและก้านช่อดอกนำมาซึ่งการก่อให้เกิดเป็นลำต้นเทียม ปลายใบสีเขียวและสีจะเบาๆจางลงกระทั่งถึงโคนใบ ส่วนที่หุ้มหัวอยู่มีสีขาวหรือขาวอมเขียว ช่อดอกแบบช่อซี่ร่ม (Umbel) มีตะเกียงรูปไข่เล็กๆจำนวนไม่ใช่น้อยอยู่ปะปนกับดอกขนาดเล็กซึ่งมีปริมาณน้อย มีใบประดับใหญ่ 1 ใบ ยาว 7.5-10 ซม. ลักษณะบาง ใส แห้ง เป็นจะงอยแหลมห่อหุ้มช่อดอกในเวลาที่ยังตูมอยู่ แต่เมื่อช่อดอกบานใบตกแต่งจะเปิดอ้าออกและห้อยลงรองรับช่อดอกไว้ ก้านช่อดอกเป็นก้านกระโดด เรียบ ทรงกระบอกตัน ยาว 40-60 เซนติเมตร ดอกสมบูรณ์เพศ กลีบรวม 6 กลีบ แยกจากกันหรือติดกันที่โคน รูปใบหอกปลายแหลม ยาวประมาณ 4 มม. สีขาวหรือขาวอมชมพู เกสรเพศผู้ 6 อัน ติดที่โคนกลีบรวม อับเรณูรวมทั้งก้านเกสรเพศเมียยื่นขึ้นมาสูงยิ่งกว่าส่วนอื่นๆของดอก รังไข่ 3 ช่อง แต่ละช่องมีออวุล 1-2 เม็ด ผลเล็กเป็นกระเปาะสั้นๆรูปไข่หรือค่อนข้างจะกลม มี 3 พู เม็ดเล็ก สีดำ
ในประเทศไทยปลูกมากมายทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและก็ภาคเหนือ แต่ว่ากระเทียมที่เป็นที่รู้จักว่าเป็นกระเทียมคุณภาพดี กลิ่นฉุน ตัวอย่างเช่นกระเทียมจากจังหวัดศรีสะเกศ
วิธีเลือกซื้อกระเทียม
การเลือกซื้อกระเทียมนั้น มีหลักพิจารที่กล้วยๆเป็น เลือกกระเทียมที่หัวแน่น กลีบแน่น เปลือกบาง มีเนื้อสีเหลืองอ่อน สด แน่น ไม่ฝ่อและไม่มีเชื้อรา ที่สำคัญถ้าเกิดต้องทำครัวที่ต้องการกลิ่นแรงๆต้องเลือกกระเทียมหัวเล็กเพียงแค่นั้น
กระเทียมสดคุณภาพดี
จะมีความคิดเห็นว่ากระเทียมมีสาระแล้วก็คุณประโยชน์ล้นหลาม ถึงกระเทียมจะมีกลิ่นฉุน แม้กระนั้นก้ไม่ยากเหลือเกินที่จะกินนะครับ เพราะฉะนั้นอย่าลืมเพิ่ข้อควรคำนึงสำหรับเพื่อการรับประทานกระเทียมโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลในกรุ๊ปต่อแต่นี้ไป
คนที่กำลังตั้งครรภ์หรือคนที่อยู่ในตอนให้นมลูก การกินกระเทียมในตอนการตั้งท้องค่อนข้างไม่มีอันตรายถ้าเกิดรับประทานเป็นของกินหรือในปริมาณที่สมควร แต่บางทีอาจไม่ปลอดภัยถ้าหากกินกระเทียมเป็นยารักษาโรค ทั้งยังไม่มีช้อมูลที่น่าไว้ใจพอเพียงเกี่ยวกับความปลอดภัยของการทากระเทียมที่รอบๆผิวหนังในตอนการท้องหรือให้นมบุตร
เด็ก การกินกระเทียมในจำนวนที่สมควรและในระยะสั้นๆอาจไม่มีอันตรายสำหรับเด็ก แต่ว่าการใช้กระเทียมทาบริเวณผิวหนังอาจจะก่อให้เกิดอาการแสบร้อนและระคาย
ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะหรือการย่อยของอาหาร อาจทำให้มีการระคายที่ดินเดินอาหารได้
คนที่มีความดันเลือดต่ำ การรับประทานกระเทียมอาจจะก่อให้ระดับความดันโลหิตลดลดน้อยลงมากกว่าธรรมดา
ผู้ที่คิดแผนเข้ารับการผ่าตัด ควรหยุดกินกระเทียมก่อนจะมีการผ่าตัดขั้นต่ำ 2 สัปดาห์เพราะเหตุว่าอาจจะก่อให้เลือดออกมากรวมทั้งส่งผลต่อความดันเลือดในระหว่างการผ่าตัด และผู้ที่มีสภาวะเลือดออกไม่ดีเหมือนปกติไม่ควรรับประทานกระเทียม โดยยิ่งไปกว่านั้นกระเทียมสด เพราะบางทีอาจเพิ่มความเสี่ยงให้เลือดออกได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
คนที่อยู่ในระหว่างการรับประทานยารักษาโรค เป็นต้นว่า ไอโซไนอะซิด เพราะกระเทียมบางทีอาจลดการดูดซึมของยาในร่างกายและก็มีผลต่อสมรรถนะลักษณะการทำงานของยา รวมทั้งไม่ควรรับประทานกระเทียมในระหว่างใช้ยาดังต่อไปนี้
ยารักษาการติดโรคเอชไอวีหรือโรคภูมิคุมกันบกพร่อง
ยาคุมกำเนิด
ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
ยาต้านเกล็ดเลือดกระเทียมลงในเมนูอาหารของท่านครับ สรรพคุณและก็คุณประโยชน์ซึ่งมาจากกระเทียมนั้นเหลือร้ายจริงๆ http://www.disthai.com/

6

ทับทิม
มารู้จัก “ทับทิม” ผลไม้เพื่อสุขภาพ
นักระบุของกินขึ้นบัญชีวิชาชีพประเทศสหรัฐอเมริกา
ในสมัยที่ใครกันแน่ก็ห่วงสุขภาพ รักการออกกำลังกาย หมั่นรับประทานผัก ผลไม้ต่างๆเมื่อกล่าวถึง “ทับทิม” ผู้คนจำนวนมากอาจจะคุ้นเคยกันดีกับผลไม้ที่มีกลิ่นหอมหวน รสอร่อยชักชวนพึงใจ ทับทิมนั้นมีต้นกำเนิดมาจากประเทศอินเดียและก็อิหร่าน โดยในบันทึกโบราณด้านการแพทย์ระบุว่า ทับทิมถูกใช้เป็นยารักษาโรคและก็ใช้เพื่อการดูแลสุขภาพมานานนับพันๆปี
เดี๋ยวนี้ทับทิมจัดคือผลไม้ในกรุ๊ป ซุปเปอร์ฟรุ๊ต ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามิน ธาตุสารพฤกษเคมีและสารแอนติออกซิแดนท์ซึ่งมีจำนวนสูงยอดเยี่ยมในทับทิมโดยสูงเป็น 3 เท่าของอาหารอื่นที่มีสารแอนติออกซิแดนท์สูง ทั้งมีใยอาหารสูงมากมาย นอกเหนือจากนี้ยังมีวิตามินซีสูง มีวิตามินบี 5 (กรดแพนโทธีนิค) วิตามินเอ วิตามินอี ส่วนแร่ธาตุที่มีมากเป็น แคลเซียม โพแตสเซียม รวมทั้งธาตุเหล็ก
จากการศึกษาพบว่าทับทิมมีสารที่มีฤทธิ์สำหรับเพื่อการต้านทานขบวนการออกซิเดชันที่เกี่ยวกับการอักเสบ ซึ่งบางทีอาจช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และก็โรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในทับทิมสูงขึ้นมากยิ่งกว่า เหล้าองุ่นแล้วก็ใบชาเขียวถึง 3 เท่า และก็ยังมีจำนวนสารโพลีฟีนอลในทับทิมสูงขึ้นมากยิ่งกว่าน้ำผลไม้อื่นๆเช่น ส้ม องุ่น แคนเบอร์รี่ ลูกแพร แอปเปิ้ล อีกด้วย
ทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในกลุ่มสารโพลีฟีนอล ที่สำคัญคือ สารพูนิติดอยู่ลาจิน พูนิคาลิน แล้วก็กรดกัลลาจิก ทั้งหมดนี้อาจมีผลต่อการปกป้องคุ้มครองอันตรายต่อเนื้อเยื่อในร่างกายที่จะมีผลต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังรังต่างๆการค้นคว้าวิจัยพบว่าสารต้านอนุมูลอิสระในทับทิมบางทีอาจช่วยยั้งการเจริญก้าวหน้าของเซลล์ของมะเร็ง ทับทิมยังมีสารอโรมาเทสอินฮิบิเตอร์ธรรมชาติ ซึ่งช่วยยับยั้งการสร้างฮอร์โมนเอสโทรเจนที่อาจช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านม นอกเหนือจากนี้สารอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระในน้ำทับทิมสกัดยังเป็นประโยชน์ต่อผิวพรรณ บางทีอาจต่อต้านการเกิดริ้วรอย ช่วยให้มีผิวพรรณอ่อนกว่าวัยและก็มีร่างกายแข็งแรง นอกจากนี้ทับทิมยังจัดคือผลไม้ที่มีพลังงานต่ำ ก็เลยอาจให้คุณประโยชน์ต่อการลดพลังงานในการควบคุมน้ำหนัก โดยการกินทับทิมแทนอาหารหวาน
ด้วยสารสำคัญต่างๆในทับทิม นักวิจัยก็เลยพอใจทำการศึกษาเรียนรู้ถึงผลดีต่อร่างกาย โดยมีรายงานการวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่า สารสกัดจากทับทิมช่วยชะลอการเจริญของเซลล์ของมะเร็ง แล้วก็สามารถฆ่าเซลล์ของมะเร็งในห้องแลปได้ นอกเหนือจากนั้นยังมีการวิจัยชี้ว่า น้ำทับทิมสกัดยังสามารถช่วยลดแอลดีแอลคอเลสเทอรอล ซึ่งเป็นคอเลสเทอคอยลไม่ดี ทำให้เส้นเลือดแดงแข็งอุดตัน แล้วก็ยังช่วยลดระดับความดันโลหิต มีผลสำหรับการช่วยปกป้องโรคหัวใจ โรคเส้นเลือดสมองตีบและหัวใจวาย
ด้วยคุณประโยชน์ของทับทิมที่มีต่อสุขภาพรวมทั้งมาจากธรรมชาติ ทำให้ทับทิมเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายทั้งโลก เดี๋ยวนี้มีการนำทับทิมมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์น้ำทับทิมสกัดแบบพร้อมดื่ม เพื่อความสะดวกสำหรับผู้ใช้สุดที่รักรวมทั้งประสงค์ดีสำหรับในการดูแลรักษาสุขภาพร่างกาย
งานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยของ Sharma, Mc Clees and Afaq ล่าสุดในปี 2017 บอกว่า สารสกัดจากทับทิมมีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ ยับยั้งการเกิดเซลล์กลายพันธุ์ที่ส่งผลให้เกิดเซลล์ของโรคมะเร็ง
ด้วยคุณประโยชน์จำนวนมากดังที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ทับทิมได้รับการขนานนามว่าเป็น “ซุปเปอร์ฟรุต” (Super fruit) ที่ได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วทั้งโลก เพราะเหตุว่ามีวิตามินรวมทั้งแร่ธาตุ
ความเชื่อถือและตำนาน
ชาวกรีกโบราณเชื่อว่า ต้นทับทิมมีสาเหตุมาจากโลหิตของไดโอนีซุส (Di-onysus) ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่เทพเทวดาทั้งหมดแล้วก็เทวีนาน่า(Nana) ซึ่งเป็นพรหมจารีย์ ตั้งท้องขึ้นโดยการใส่ผลทับทิม และก็ให้กำเนิดทวยเทพแอตติส (Attis) ขึ้น ด้วยเหตุนั้น คนที่เคารพนับถือเทวดาแอตว่ากล่าวสจึงไม่กินผลทับทิม ชาวยิวในสมัยพระเจ้าโซโลมอนก็นับว่า ทับทิมคือผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ ดังปรากฏอยู่บนยอดเสาของวิหารกษัตริย์โซโลมอน ชาวฮินดู ในอินเดียมั่นใจว่า พระคเณศทรงโปรดทับทิม ผู้ที่ยกย่องพระวิฆเนศวรก็เลยนิยมนำผลทับทิมไปมอบให้ นอกนั้น ยังคงใช้ดอกทับทิมบวงสรวงบูชาดวงอาทิตย์ พระนารายณ์ แล้วก็เทวีพระลักษมี อีกด้วย
คนจีนจัดว่า ต้นทับทิมเป็นไม้มงคล (โดยยิ่งไปกว่านั้นทับทิมประเภทดอกสีขาว) แล้วก็ถือว่าทับทิมเป็นเครื่องหมายแห่งความอุดมสมบูรณ์ ความมีลูกหลานเยอะแยะ (ด้วยเหตุว่าผลทับทิมมีเม็ดมากมาย) จึงนิยมให้ผลทับทิมเป็นของขวัญแก่คู่บ่าวสาวในพิธีแต่งงาน (เพื่อมีลูกหลานมากมายๆ) ในพิธีสมรสนิยมปักยอดทับทิมไว้ที่ผมเจ้าสาว และปักยอดทับทิมไว้ที่ข้าวของเซ่นสรวงเจ้า ชาวจีนยังมั่นใจว่า ใบหรือกิ่งทับทิมมีอำนาจไล่ภูตผีปีศาจได้ ก็เลยนิยมปลูกทับทิมไว้ภายในรอบๆบ้าน และก็ใช้ใบทับทิมแช่น้ำล้างหน้า ล้างมือ ข้างหลังกลับจากงานฌาปนกิจศพ (เพื่อไม่ให้ภูติผีติดตามมา)
ในประเทศญี่ปุ่นคงรับความเชื่อเกี่ยวกับทับทิมไปจากจีน แปลงเป็นเครื่องหมายของเจ้าแม่ที่รอปกป้องรักษาเด็กๆให้ปลอดภัย และเชื่อว่าเมื่อเด็กๆได้รับประทานผลทับทิมแล้วจะปลอดภัยจากภูตผีปีศาจทั้งปวง คนประเทศไทยก็คงจะได้รับถ่ายทอดความเชื่อเกี่ยวกับทับทิมมาจากคนจีนบ้าง ดังปรากฏว่า มีศาลเจ้าหลายที่ในประเทศไทย ชื่อเจ้าแม่ทับทิม ซึ่งคงเป็นเจ้าแม่ที่มีกำเนิดจากเมืองจีนแล้วเปลี่ยนเป็นชื่อไทยทีหลัง

หน้า: [1]