รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Topics - ำพ

หน้า: [1] 2 3
1

เตย
ชื่อสมุนไพร เตย
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ใบเตย , เตยหอม , ต้นเตย , เตยหอมใหญ่ , เตยหอมเล็ก (ภาคกลาง) , หวานข้าวใหม่ (ภาคเหนือ) , ปาแนะวอวิง , ปาแง๊ะออริง (นราธิวาส,มาเลเซีย) ,พังลั้ง (จีน)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Pandanus amaryllifolius Roxb.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์    Pandanus ordorus Ridl.
ชื่อสามัญ  Pandanus Palm , Fragrant Pandan , Pandom wangi.
วงศ์  Pandanaceae
ถิ่นกำเนิด
เตย เป็นพืชที่คนประเทศไทยรู้จักกันเป็นอย่างดีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว เนื่องจากได้นำมาใช้คุณประโยชน์ต่างๆเยอะแยะ โดยยิ่งไปกว่านั้นส่วนของใบที่พวกเราเรียกว่า ใบเตย จึงทำให้เรียกพืชประเภทนี้เคยปากกันมาจนถึงปัจจุบันว่า “ใบเตย” สำหรับบ้านเกิดของเตยนั้น เป็นพืชที่มีถิ่นเกิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ ไทย ประเทศพม่าลาว มาเลเซีย รวมทั้งอินเดีย รวมทั้งทวีปอื่นเช่นแอฟริกา และก็ประเทศออสเตรเลีย ชอบขึ้นตามพื้นที่เปียกแฉะ ริมลำธารหรือบริเวณที่ชื้นแฉะที่มีน้ำขังเล็กน้อย ในประเทศไทยสามารถเจอได้ทั่วทุกภาคของประเทศ
ลักษณะทั่วไป
เตยจัด เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว มีลำต้นทรงกลม และเป็นข้อสั้นๆถี่กัน โผล่ขึ้นมาจากดินเพียงเล็กน้อย โคนลำต้นแตกรากแขนงออกเป็นรากเกื้อหนุนหรือเรียกว่า รากอากาศ ลำต้นสามารถแตกหน่อเป็นต้นใหม่ได้ ทำให้มองดูเป็นกอหรือเป็นพุ่มไม้ใหญ่ๆที่รวมความสูงของใบแล้วสามารถสูงได้มากกว่า 1 เมตร
ใบเตย แตกออกเป็นใบคนเดียวข้างๆรอบลำต้นและก็เรียงสลับวนเป็นเกลียวขึ้นตามความสูงของลำต้น จนถึงขอด ใบมีลักษณะเรียวยาวเป็นรูปกระบี่ ปลายใบแหลม สีเขียวสด ใบยกเฉแนบไปกับลำต้น แผ่นใบเป็นเงา กว้างโดยประมาณ 2-3 ซม. ยาวโดยประมาณ 30-50 ซม. แผ่นใบและก็ขอบของใบเรียบ แผ่นใบด้านล่างมีสีจางกว่าด้านบน มีเส้นกลางใบลึกเป็นแอ่งตื้นๆกึ่งกลาง ใบนี้ส่งกลิ่นหอมตลอดระยะเวลา เนื่องจากมีน้ำมันหอมระเหย และก็สาร ACPY
การขยายพันธุ์
เตย สารมารถขยายพันธุ์ได้เองโดยการแตกหน่อ แม้กระนั้นในตอนนี้ก็สามารถปลูกด้วยการแยกเหง้าหรือย้ายหน่อปลูกได้เหมือนกัน ทั้งนี้ เตยสามารถขึ้นได้ดิบได้ดีในที่ชุ่ม แล้วก็ทนต่อภาวะดินเปียกแฉะก้าวหน้า แต่ควรที่จะเลือกพื้นที่ปลูกไม่ให้น้ำท่วมขังง่าย โดยมีวิธีการดังต่อไปนี้
การเตรียมแปลง แปลงปลูกเตย ควรไถแปลง รวมทั้งตากดินก่อน 5-10 วัน พร้อมกำจัดวัชพืชออกให้หมด ก่อนหว่านด้วยปุ๋ยธรรมชาติอัตรา 2 ตัน/ไร่ และปุ๋ยยูเรีย อัตรา 10 โล/ไร่ พร้อมไถกลบ
การปลูกเตย ควรจะปลูกไว้ในตอนฤดูฝน เนื่องจากว่าดินจะเปียกชื้นดี ทำให้ต้นเตยติด แล้วก็ตั้งตัวได้ง่าย ด้วยการขุดหลุมปลูกเป็นแนว ระยะหลุม และก็ระยะแถวที่ 50 ซม. หรือที่ 30 x 50 ซม. ก่อนนำต้นจำพวกเตยลงปลูก
หลังจากปลูกเตยเสร็จ ควรให้น้ำโดยทันทีแม้กระนั้นถ้าดินเปียกชื้นมากมายก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องให้ และก็ให้น้ำบ่อยๆทุกๆ7-10 วัน ขึ้นอยู่กับความชื้นดิน และก็ฝนที่ตก
ส่วนประกอบทางเคมี
จากการเรียนรู้ทางเคมีของใบเตยพบว่ามีสาระสำคัญหลากหลายประเภทเมื่อนำใบเตยหอมากลั่นด้วยละอองน้ำจะได้สารหอมที่มี แพนดานาไมน์ (Pandanamine) ไลนาลิลอะซีเตท ( linalyl acetate) เบนซิลอะซีเตท (benzyl acetate) ไลนาโลออน (linalool)และก็เจอรานิออล (geraniol) มีสารที่ทำให้มีกลิ่นหอมหวนเป็น คูมาริน (coumarin) แล้วก็เอทิลวานิลลลิน (ethyl vanillin)สารคลอโรฟิลล์(chlorophyll) ทำให้มีสีเขียว เบต้าแคโรทีน (Beta-Carotene) และสารในกลุ่มแอนโทไซยานิน (anthocyanin) ซึ่งเป็นสารที่ออกฤทธิ์ที่สำคัญ

linalyl acetate benzyl acetate
องค์ประกอบของสารไลนาลิลอะซีเตท โครงสร้างของเบนซิลอะซีเดท


linalool Geraniol
โครงสร้างของไลนาโลออล ส่วนประกอบพบรานิออล

Pandanamine Chlorophyll
ส่วนประกอบของแพนดานาไมน์ โครงสร้างของคลอโรฟิลล์

Anthocyanin Ethylvanillin
โครงสร้างของแอนโทไซยานิน โครงสร้างของเอทิลวานิลลิน
นอกเหนือจากนั้นในส่วนของคุณค่าทางโภชนาการของเตย คุณค่าทางโภชนาการของใบเตยสดใน 100 กรัม
องค์ประกอบ ใบเตยสด
พลังงาน (กิโลแคลอรี่) 35
ความชื้น (กรัม) 85.3
คาร์โบไฮเดรต (กรัม) 4.6
โปรตีน (กรัม) 1.9
ไขมัน (กรัม) 0.8
สายสัมพันธ์(กรัม) 5.2
แคลเซียม (มก.) 124
ธาตุฟอสฟอรัส (มก.) 27
เหล็ก(มิลลิกรัม) 0.1
วิตามิน บี 2 (มก.) 0.2
ไนอะซิน (มก.) 1.2
วิตามิน ซี (มก.) 8
เบตา-แคโรทีน (ไมโครกรัม) 2.987
ประโยชน์/สรรพคุณ
ใบเตย มักถูกนำมาผสมในอาหาร เพื่อให้ของกินมีกลิ่นหอมสดชื่นน่ากิน แล้วก็ยังช่วยแต่งสีเขียวให้กับขนมไทยโบราณหลายๆประเภท เช่น ขนมเปียกปูน ขนมชั้น แล้วก็ยังมีการนำมาทำเป็นเครื่องดื่มอีกด้วย
นอกนั้นยังใช้ใบเตยนำมาห่อทำอาหารหวาน เป็นต้นว่า ขนมตะโก้ใบเอามามัดรวมกัน ใช้สำหรับวางในห้องน้ำห้องรับแขกเพื่ออากาศมีกลิ่นหอมหวนช่วยในการดับกลิ่นหรือใช้ใบเตยสดนำมายัดหมอน ช่วยทำให้มีกลิ่นหอมหวน นำมาใช้เป็นสารแต่งกลิ่นบุหรี่ นำมาสับเป็นชิ้นเล็กๆนำไปตากแดดให้แห้ง ก่อนใช้ชงเป็นชาดื่ม น้ำมันหอมระเหยจากเตยนำไปเป็นส่วนผสมของน้ำยาปรับอากาศ ใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องแต่งหน้า ครีมทาผิว ยาสระผม สบู่ หรือ ครีมนวด ฯลฯ
ส่วนคุณประโยชน์ทางยาของเตยนั้น ตำราเรียนยาไทย ได้บรรยายคุณประโยชน์ทางยาของใบเตยไว้ว่าเตยมีคุณประโยชน์หลายประการ ได้แก่ บำรุงหัวใจ ลดน้ำตาลในเลือด ลดความดันเลือด ใช้รักษาโรคหัด เลือดออกตามไรฟัน หวัด ตับอักเสบ ดับพิษไข้ แก้โรคฝึกหัด แก้ท้องอืด แก้หิวน้ำ แก้ร้อนในขับปัสสาวะ รากเตย ใช้เป็นยาขับเยี่ยว รักษาเบาหวานด้วยเหตุว่ามีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดยิ่งไปกว่านั้นยังคงใช้รักษาโรคตับ ไตอักเสบ แล้วก็รักษาโรคโรคหืด แก้หนองใน แก้พิษเลือดแก้ตานซางในเด็ก ช่วยละลายก้อนนิ่วในไต
ต้นแบบ/ขนาดวิธีใช้
• ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ใช้ใบสดผสมในอาหาร แล้วกิน หรือนำใบสดมาคั้นน้ำกิน ทีละ 2-4 ช้อนแกง
• ช่วยดับกระหาย นำใบเตยสดมาล้างให้สะอาด เอามาตำหรือปั่นอย่างถี่ถ้วน แล้วเพิ่มน้ำเล็กน้อย คั้นเอาแต่น้ำ
• รักษาโรคฝึกหัดหรือโรคผิวหนัง โดยนำใบเตยมาตำแล้วมาพอกบนผิว
• ใช้รักษาโรคโรคเบาหวาน ใช้ราก 1 กำมือนำไปต้มเป็นน้ำดื่ม ทุกเช้าตรู่-เย็น
• ใช้เป็นยาขับฉี่ โดยการนำต้นเตยหอม 1 ต้น หรือราก ครึ่งกำมือไปต้มกับน้ำกินหรือใช้ใบมาหั่นตากแดดให้แห้งแล้วชงดื่มแบบชาก็ได้
• ใช้บำรุงผิวหน้า โดยการใช้ใบเตยล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆนำมาปั่นรวมกับน้ำที่สะอาดจนกระทั่งละเอียด จะได้ครีมข้นเหนียวแล้วเอามาพอกหน้าทิ้งเอาไว้ราวๆ 20 นาที
การเรียนทางเภสัชวิทยา
ใบเตย มีฤทธิ์ลดความดันโลหิตและลดอัตราการเต้นของหัวใจ เพิ่มความแรงสำหรับเพื่อการหดตัวรวมทั้งลดอัตราการหดตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ ลดน้ำตาลในเลือด ลดไข้ต่อต้านอนุมูลอิสระแล้วก็มีฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียStaphylococcus aureus, Staphylococcus epidermidis แต่ว่ายังเป็นการทดลองในสัตว์ทดสอบรวมทั้งในหลอดทดสอบเท่านั้น
การเรียนทางพิษวิทยา
จากการสืบค้นข้อมูลตอนนี้ ยังไม่มีรายงานความเป็นพิษหรืออาการไม่ปรารถนาจากการรับประทานใบเตย
ข้อแนะนำ/ใจความระวัง

  • ถึงแม้เตยจะเป็นพืชจากธรรมชาติ แม้กระนั้นก็ควรจะบริโภคในปริมาณที่สมควรและไม่บริโภคเป็นระยะเวลาที่ยาวนานกระทั่งเกินความจำเป็น
    2. ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือสตรีตั้งท้องและสตรีให้นมลูกควรจะขอความเห็นแพทย์รวมทั้งผู้ชำนาญก่อนบริโภคหรือใช้ผลิตภัณฑ์อะไรก็แล้วแต่จากเตย เพราะว่าสารเคมีในเตยบางทีอาจมีผลกระทบต่อสุขภาพได้
    3. ในแนวทางการตระเตรียมใช้ใบเตยด้วยตัวเองควรจะล้างทำความสะอาดใบเตยอย่างยอดเยี่ยมอย่าให้มีสิ่งเจือปนคละเคล้าไป เพราะบางทีอาจมีอันตรายต่อร่างกายได้
เอกสารอ้างอิง

  • อัจฉรา นิยมเดชา.ผลของการเสริมใบเตยหอม(Pandanus amarylifolius Roxb.) ในอาหารต่อสมรรถภาพการผลิตของนกกระทาญี่ปุ่นและคุณภาพไข่.รายงานการวิจัย มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ประจำปีงบประมาณ 2555.38หน้า
  • ดวงจันทร์เกรียงสุวรรณ. พืชผักผลไม้ไทยมีคุณค่าเป็นทั้งอาหารและยาเตยหอมและแตงกวา. งานศูนย์บริการวิชาการและฝึกอบรมฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตหาดใหญ่
  • ใบเตย.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.https://www.disthai.com/
  • วันดี กฤษณพันธ์.2538.สมุนไพรสารพัดประโยชน์.ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.กรุงเทพฯ
  • สรรพคุณของน้ำเห็ดหลินจือต้มผสมกับอ้อยดำและใบเตย.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • เตย/ใบเตย สรรพคุณและการปลูกเตย.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพืชเกษตรเพื่อพืชไทยLinda S.M Ooi, Samuel S.M Sun and Vincent E.C Ooi . 2004. Purification and characterization of a new antiviral protein from the leaves of Pandanus amaryllifolius (Pandanaceae). Department of Biology. The Chinese University of Hong Kong, Shatin, N.T., Hong Kong, China.


2

มะม่วงหาว มะนาวโห่
ชื่อสมุนไพร  มะม่วงหาวมะนาวโห่
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น  มะม่วงไม่รู้หาว มะนาวไม่รู้โห่ , มะนาวไม่รู้โห่ , หนามแดง (ภาคกลาง) , หนามขี้แฮด (เชียงใหม่) , มะนาวโห่ (ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์    Carissa carandas L.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์  Carissa congesta Wight.
ชื่อสามัญ  Karanda, Carunda , Christ’s thorn , Bengal Currants.
วงศ์  APOCYNACEAE
ถิ่นกำเนิด
มะม่วงหาว มะนาวโห่ เป็นผลไม้ในกลุ่มเบอร์รี่ประเภทหนึ่งที่มั่นใจว่าบ้านเกิดเมืองนอนอยู่แถบ Himalayas แม้กระนั้น นักพฤกษศาสตร์บางท่านกล่าวว่ามีถิ่นกำเนิดแถบ Java มะนาวโห่มีการกระจายตัวตั้งแต่เนปาลไปจนถึงอัฟกานิสถาน และพบได้ในหลายๆพื้นที่ในประเทศ อินเดีย มีการกระจายตัวในเขตอบอุ่นของประเทศ ประเทศอินเดีย รวมทั้งศรีลังกา โดยธรรมชาติเติบโตในพื้นที่ ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล ตั้งแต่ 300 ถึง 1,800 เมตรจากระดับน้ำทะเล รวมถึง อินโดนีเซีย มาเลเซีย ศรีลังกา ประเทศพม่า จีน รวมทั้งไทย
ส่วนในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ ส่วนในปัจจุบันออกจะหามารับประทานได้ยาก เนื่องด้วยเป็นพันธุ์พืชมีหนาม หลายคนไม่รู้คุณประโยชน์จึงฟันทิ้งกันไปๆมาๆก นอกจากผู้ที่รู้ทันนั้นที่เอามาปลูกไว้ สำหรับคนโบราณแล้วผลไม้ชนิดนี้นับว่ามีคุณประโยชน์เป็นอย่างมาก เพราะเหตุว่าเป็นมีฤทธิ์เป็นยาสมุนไพรซึ่งมีคุณประโยชน์ที่นานัปการ
ลักษณะทั่วไป มะม่วงหาว มะนาวโห่ มีลักษณะเป็นไม้พุ่มรอเลื้อย หรือต้นไม้ขนาดเล็ก เป็น ไม้ไม่ผลัดใบ มีสีเขียวทั้งปี มีลักษณะทางวิชาพฤกษศาสตร์ เป็น
ลำต้น : สูง 2-3 เมตร แต่ว่าบางทีอาจสูงถึง 5 เมตร มียาง ขาวเปลือกมีสีเทาอ่อน
กิ่ง: มีกิ่งเยอะแยะกิ่งมี ลักษณะแข็ง แล้วก็กระจัดกระจายไปทั่วต้น การแตกกิ่งจะแตก ออกเป็น 2 กิ่งตรงคู่กัน มีหนามอีกทั้งแบบหนามโดดเดี่ยว หรือ เป็นคู่ บางทีอาจยาวได้ถึง 5 ซม. หนามจะเจอรอบๆ มุมใบ หรือตามข้อของกิ่ง กิ่งกิ้งก้านชอบมีหนามที่แข็ง รวมทั้งคม
ใบ: เป็นใบเดี่ยว ออกตรงกันข้าม รูปขอบขนานหรือ รูปไข่ ไม่มีหูใบ กว้าง 1.5-4 เซนติเมตร ยาว 3-7 เซนติเมตร ปลายมน หรือเว้าบุ๋ม มีก้านในโดดเดี่ยว เส้นใบ เป็นแบบร่างแห ผิวใบเรียบ เป็นมัน มีสีเขียวเข้ม หรือ สีเขียวอมเทา
ช่อดอก: ออกเป็นช่อตามซอกใบ มีลักษณะเรียงเป็นแบบช่อเชิงหลั่นเป็นกลุ่มกันอยู่ใบแต่งแต้มตรง
ดอก: ดอกมีกลิ่นหอมยวนใจ (เหมือนดอกมะลิ) ขนาด ยาว โดยประมาณ 3.5-5.5 เซนติเมตร กลีบดอกไม้สีขาว หรือ สีชมพู รวมกันเป็นช่อ 2-3 ดอก ไม่มีใบแต่งแต้มย่อย มีก้านดอกย่อย เป็นดอกสมบูรณ์เพศ ดอกสมมาตรตามรัศมี มีกลับดอก 5 กลีบ กลีบเลี้ยงมีขนาดเล็ก มีลักษณะเป็นขน โคนเชื่อมเป็นหลอด ยาว 16-21.5 มิลลิเมตร ปลายแยกเป็นแฉก 5 แฉก มีขนสั้นขนาด เล็ก วงกลีบดอกไม้: กลีบดอกเชื่อมกัน 5 กลีบเป็นวง เป็น รูปใบหอก สีขาว มีขนสั้นขนาดเล็กนุ่ม หลอดมีลักษณะ ยาว และขยายตรงฐานรองดอก มีขนสั้นนุ่มอาทิเช่น เดียวกัน
เกสรตัวผู้: มีละอองเกสรเพศผู้ไม่น้อยเลยทีเดียวปลายยอดเกสรตัวผู้มีรยางค์ อับเรณูติดอยู่ตรงฐาน มีลักษณะหันเข้า อับเรณูแตกทางยาว
เกสรตัวเมีย: มี 1 อัน รังไข่มีลักษณะกลมรี มีวงเกสรตัวเมีย 2 วง เชื่อมกันอยู่ รังไข่เป็นsyncarpous มีหลาย locule placenta อยู่ที่ศูนย์กลาง (axis) ของรังไข่ มี carpel และ locule 2 อัน ยอดเกสรตัวเมียมีลักษณะเป็นเส้นใย ปลายแยกเป็น 2 แฉก
ผล: ผลไม้ที่มีเนื้อสด (fleshy fruit) มี pericarp เป็นเนื้อนุ่มกินได้ ผลเป็นแบบdrupe (ผลไม้ ที่มีเมล็ดแข็ง) ลักษณะรูปไข่ ขนาดกว้าง 12-17 มิลลิเมตร ยาว 15-23 มิลลิเมตร ผลสำเร็จลำพังออก รวมกันเป็นช่อ ผลอ่อนจะมีสีชมพูอ่อนๆรวมทั้งเบาๆเข้มขึ้นเป็นสีแดง จนกระทั่งสุกก็เลยกลายเป็นสีดำมีรสชาติ เปรี้ยว
เม็ด: เมื่อผลสุกจะมี 2-4 เม็ด เม็ดมี ลักษณะแบน รูปไข่ เอนโดสเปิร์มเป็นแบบเนื้อ (fleshy endosperm) มีลักษณะเว้า
การขยายพันธุ์
โดยปกติแล้ว มะม่วงหาว มะนาวโห่ นิยมแพร่พันธุ์ด้วยเมล็ด เมล็ด มะม่วงหาว มะนาวโห่เป็นเมล็ดที่มีอายุการรักษาสั้น ด้วยเหตุนั้นเมื่อ แยกเม็ดออกมาจากผลแล้วจึงควรเพาะเม็ดทันที (Patel, 2013) การเพาะเมล็ดนิยมเพาะในโรงเรือนตอน เดือน สิงหาคม-เดือนกันยายน หรือนำมาเพาะใส่เข้าไปภายในถุงพลาสติกเพาะชำ รดน้ำให้ชุ่ม วางเอาไว้ภายในที่แดดร่มๆซึ่งจะใช้เวลาเพาะราวๆ 6 เดือน แล้วนำมาปลูกลงในแปลง
หรือเมื่อต้น กล้าอายุได้ 1 ปี สำหรับแนวทางการทำหมัน กิ่งและก็การชำ ในมะม่วงหาว มะนาวโห่ควรจะเริ่มทำ ในตอนมรสุมรากจะออกข้างหลังตอนราวๆ 3 เดือน โดยการเลือกตอนในกิ่งที่ ไม่อ่อนหรือเปล่าแก่เดินไป อายุกิ่งไม่เกิน 1 ปี มีเส้นผ่าน ศูนย์กลางกิ่งไม่เกิน0.5 เซนติเมตรมะม่วงหาว มะนาวโห่จัดเป็นพืชที่ทนสภาพแล้งได้ดิบได้ดีจะเจริญก้าวหน้า เติบโตก้าวหน้าในเขตร้อนเขตอบอุ่น สามารถเจริญวัย เจริญในดินทราย แถบเทือกเขาหินปูน และก็ดินที่เสื่อมสภาพ หรือดินเทือกเขา โดยสามารถเจริญวัยได้ในดินแทบทุก ประเภท ตั้งแต่ดินเค็ม ไปจนกระทั่งดินเปรี้ยว พืชจำพวกนี้จะ เจริญเติบโตได้ดิบได้ดีในพื้นที่ชายฝั่ง หรือพื้นที่ที่ไม่มีการใช้ ประโยชน์ รวมทั้งยังเป็นพืชที่อยากน้ำน้อยมาก การให้ น้ำมีความสำคัญเฉพาะตอนข้างหลังย้ายปลูก หรือข้างหลังให้ ปุ๋ยแค่นั้น
ส่วนประกอบทางเคมี
ในผลของมะม่วงหาว มะนาวโห่ มีสาร anthocyanin สารประกอบฟีนอลิก และก็ triterpenoid acid รวมทั้งสารจำพวกพวกโปรตีน เป็นต้นว่า alanine, glycine, glutamine แล้วก็ยังพบคาร์โบไฮเดรต ฟลาโวนอยด์ ในลำต้นและก็รากเป็นพวกลิกแนน ใบเป็นพวกไตรเทอร์ป่ายปีนส์, สเตียรอยด์นอกจากนี้การศึกษาเล่าเรียนเบื้องต้นพบว่า สารสกัดของมะม่วงไม่รู้จักหาว มะนาวไม่เคยรู้โห่ยังมีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพอื่นๆดังเช่นว่า สารโฟลีฟีนอลิก (polyphenolic) ฟลาโวนอยด์(flavonoid) ฟลาวาโนน (flavanone) วิตามิน ซีอัลคาลอยด์(alkaloid) ซาโปนิน (saponin) แล้วก็ แทนนิน (tannins)
ส่วนคุณค่าทางโภชนาการของมะม่วงหาว มะนาวโห่ ระบุว่าผลมะม่วงหาวมะนาวโห่สุก 100 กรัม ให้พลังงานประมาณ 75 แคลอรี่ มีไขมัน 2-5 กรัม น้ำตาล 7-12 กรัม และวิตามินซี 9-11 มิลลิกรัม
คุณประโยชน์/สรรพคุณ
มะม่วงหาว มะนาวโห่มีผลแบบมีเนื้อหลายเมล็ด (berry) นิยมนำมาใช้บริโภคสดหรือนำมาใช้สำหรับเพื่อการทำครัวดองในประเทศอินเดีย มีการบริโภค ภายในประเทศรวมทั้งส่งออกต่างแดน มะม่วงหาว มะนาวโห่เป็น ผลไม้ที่จัดเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยที่รับประทานก่อนที่จะรับประทานอาหารจาน หลักได้เป็นอย่างดี โดยส่วนมากแล้วผลชอบนำไปดองก่อนจะสุก ส่วนผลดิบชอบใช้เป็นเครื่องดื่มคลาย้อน ประยุกต์ใช้ทำเยลลี่ แยม น้ำผลไม้ น้ำเชื่อม ทาร์ต แล้วก็เครื่องเคียง น้ำยางสีขาวในผลสุกใช้ใน อุตสาหกรรมแทนนินและสีผสมอาหาร ในผลสุกจะมี สารคล้ายยางเหนียวแม้กระนั้นเมื่อปรุงโดยการผ่านความร้อน แล้วทิ้งเอาไว้ให้เย็นจะได้น้ำผลไม้ที่มีสีแดงเข้มใส ใช้ประโยชน์เป็นเครื่องดื่มดับร้อนได้ ผลสุกของมะม่วงหาว มะนาวโห่จะมี เพ็กตินเป็นจำนวนมาก ผลสุกจำพวกที่มีรสหวานสามารถ กินได้โดยทันที แต่ว่าประเภทที่มีรสเปรี้ยวจะต้องกวนด้วย น้ำตาลหลายชิ้นก่อนจึงจะรับประทานได้ ในบาง ประเทศปรุงมะม่วงหาวมะนาวโห่ร่วมกับพริกเขียวเพื่อเป็นของกิน ที่รับประทานคู่กับแผ่นโรตี นอกเหนือจากนั้นยังมีการน้ำเอามาทำเป็นซอสเปรี้ยวใช้สำหรับรับประทานคู่กับปลาและก็เนื้อวัวอีกด้วย
ส่วนคุณประโยชน์ทางยาของมะม่วงหาว มะนาวโห่ตามตำรายาไทย
ระบุว่า แก่น บำรุงไขมัน เหมาะกับคนซูบผอม บำรุงธาตุแก้อ่อนแรง ใบสด ต้มน้ำดื่มแก้ท้องร่วง แก้ปวดหู ไข แก้เจ็บปากรวมทั้งคอ รากสดต้มน้ำกิน ขับพยาธิ บำรุงธาตุ เจริญอาหาร ตำอย่างถี่ถ้วนผสมกับสุรา ทาหรือพอกรักษาบาดแผลแก้คัน เปลือกลำต้น บรรเทาอาการโรคผิวหนัง แก้บิด ขับน้ำเหลืองเสีย แก้ท้องเสียแก้กามโรค ทำยาอมรักษาแผลในปาก แก้ปวดฟัน พอกดับพิษ ผล ผลดิบ มีรสขมและก็เปรี้ยว ใช้เป็นยาสมาน แผล ดับหิวคลายร้อน ใช้เป็นอาหารเรียกน้ำย่อย ที่กินก่อนที่จะกินอาหารจานหลัก แก้ท้องผูก ลดไข้ ละลายเสลดรวมทั้งมีคุณประโยชน์สำหรับผู้มีลักษณะ อยากกินน้ำ เบื่อข้าว ท้องเดิน อาการไข้ขึ้นสมอง และก็ อาการอาเจียนเป็นเลือด ผลสุก มีรสหวานแล้วก็มี คุณประโยชน์เย็น ใช้เป็นผลไม้เรียกน้ำย่อย ทุเลาอาการ ลักปิดลักเปิด รวมทั้งมีคุณประโยชน์ต่อผู้มีลักษณะอาเจียนมีเสมหะ ภาวการณ์ไม่อยากกินอาหาร แผลไหม้ โรคหิด อาการคัน และอาการอื่นๆจากโรคผิวหนังยิ่งกว่านั้นยังทุเลา ภาวะโลหิตจาง และก็ช่วยทำลายพิษ และในแบบเรียนแพทย์พื้น บ้านพูดว่าผลสุกสามารถกระตุ้นอารมณ์ทางเพศของ หญิง และก็ฆ่าพยาธิในลำไส้ได้ ผลสุกมีคุณสมบัติใน การฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ รวมทั้งเชื้อราได้ น้ำคั้นจากผลใช้ล้าง แผลเพื่อปกป้องการติดเชื้อ และบรรเทาอาการคันที่ ผิวหนัง รวมทั้งยังสามารถบรรเทาอาการบ้าได้อีก ด้วย เมล็ด แก้ขี้กลากโรคเกลื้อน แก้เนื้อหนังชาในโรคเรื้อน แก้โรคผิวหนัง แก้ตาปลา แก้เนื้องอก บำรุงไขข้อ บำรุงกระดูก บำรุงเอ็น บำรุงกำลัง บำรุงผิวหนัง น้ำยาง ทำลายตาปลา กัดทำลายเนื้อที่ด้านเป็นปุ่มโต แก้เลือดไหลตามไรฟัน รักษาหูด รักษากลาก แผลเนื้องอก โรคเท้าช้าง ยอดอ่อน รักษาริดสีดวงทวาร
ส่วนในการค้นคว้าด้านการแพทย์แผนปัจจุบันมีผลการเล่าเรียนบอกว่า สารออกฤทธิ์ในมะม่วงหาว มะนาวโห่สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระ สามารถคุ้มครองการเกิดเบาหวาน (antidiabetic) และคุ้มครองป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้ (anticancer)
รูปแบบ/ขนาดการใช้
รากสด ต้มกับน้ำใช้ดื่มเพิ่มความอยากอาหาร เพิ่มหลักการทำงานของกระเพาะ เพิ่มการหลั่งกรด แก้ท้องเดิน ขับพยาธิ ใบต้มกับน้ำกิน ใช้ลดไข้ แก้ท้องเสีย แก้แผลอักเสบที่ปาก ผลสุดใช้กินสดหรือทำเป็นน้ำผลไม้ดื่ม แก้ลักปิดลักเปิด แก้โลหิตจาง ช่วยเจริญอาหารแก้เลือดไหลตามไรฟัน แก้ท้องเสีย แก่นไม้มะม่วงหาว มะนาวโห่ใช้ต้มกับน้ำใช้ดื่ม ช่วยบำรุงธาตุ ชูกำลัง แก้อ่อนเพลีบ น้ำยางใช้ทากัดตาปลา แล้วก็พื้นที่ด้านแข็ง รักษาหูด กลากโรคเกลื้อนการเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา ฤทธิ์สำหรับการต่อต้านอนุมูลอิสระ พบว่าในผลสุกที่มีสีม่วงจะมีฤทธิ์ในการต่อต้าน อนุมูลอิสระสูงขึ้นยิ่งกว่าผลดิบ (ผลสีชมพู) และก็ผลกึ่งสุก (ผลสีแดง) แล้วก็ยังพบว่ามีปริมาณสารประกอบฟีนอลิก ทั้งหมดรวมทั้งจำนวนแอนโทไซยานินทั้งผองในผลสุก สูงกว่าผลดิบและผลกึ่งสุกด้วยเหมือนกัน และก็ยังพบว่าในรากมีสารที่สามารถต้านทาน อนุมูลอิสระได้ โดยมีปริมาณฟีนอลิกทั้งสิ้น ตั้งแต่ 1.79-4.35 GAE มก./กรัม ของแบบอย่างแห้งจำนวนฟลา โม้นอยด์ทั้งผองระหว่าง 1.91-3.76 CE มก./กรัม ของ แบบอย่างแห้ง มีฤทธิ์สำหรับเพื่อการต่อต้านอนุมูลอิสระแบบ DPPH รวมทั้งเปอร์เซ็นต์การหยุดยั้งปฏิกิริยาperoxidation ของ linoleic acid ระหว่าง 12.53-84.82% และก็ 41.0- 89.21% เป็นลำดับฤทธิ์ในการต้านมะเร็ง การเรียนรู้ถึง ผลของสารสกัดมะม่วงหาว มะนาวโห่ที่มีผลต่อเซลล์ของโรคมะเร็งรังไข่ เซลล์ของโรคมะเร็ง Caov-3 รวมทั้งเซลล์มะเร็งปอด โดยการทำการสกัดจาก 3 ส่วนประกอบ คือ ใบ ผลดิบ แล้วก็ผลสุก พบว่าสาร สกัดจากใบมะม่วงหาว มะนาวโห่ด้วย chloroform สามารถต้าน กิจกรรมของเซลล์มะเร็ง Caov-3 ได้อย่างดีเยี่ยม ในขณะ ที่สารสกัดจากผลดิบมะม่วงหาว มะนาวโห่ด้วย hexane สามารถ ต่อต้านกิจกรรมของเซลล์ของมะเร็งปอดได้ ยิ่งไปกว่านี้ยังมีการค้นพบสารตัวใหม่ที่มี อยู่ในใบของมะม่วงหาว มะนาวโห่ชื่อสาร carandinol ซึ่งเป็นสารในกลุ่มของ triterpene ซึ่งเมื่อนำมาประเมินความเป็น พิษต่อเซลล์(cytotoxicity) การผลิตภูมิต้านทาน (immunomodulatory) สารต้านทานไกลเคชั่น (antiglycation) ฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระ และความ สามารถสำหรับเพื่อการยั้งลักษณะการทำงานของเอนไซม์ ในสภาพ ไม่มีเชื้อโรค พบว่า สารชนิดนี้สามารถก่อความเป็นพิษ กับเซลล์มะเร็งทุกหมวดหมู่ที่ทำงานทดสอบ ทั้งยัง HeLa, PC-3 และ 3T3 โดยจะมีความเป็นพิษกับเซลล์ของมะเร็งคอมดลูก (HeLa) สูงที่สุด ซึ่งการค้นคว้านี้เป็นการ เรียนรู้แรกที่ทำงานแยกสารกลุ่ม isohopane triterpene จากใบมะม่วงหาว มะนาวโห่
ฤทธิ์สำหรับการต้านทานอาการอักเสบอาการปวด และลักษณะของการมีไข้มีการนำสาร สกัดจากผลแห้งมากระทำการทดลองความสามารถสำหรับเพื่อการ ต้านอาการอักเสบในหนู พบว่า สารสกัดโดยใช้ปัญญา นอลเป็นตัวทำละลายมีความรู้สำหรับเพื่อการต้าน อาการอักเสบในหนูได้ โดยน้อยลงได้ถึง 76.12% จึง ทำให้สารสกัดนี้มีสมรรถนะสำหรับในการใช้เป็นส่วนประกอบ ของยาที่ใช้ต้านอาการอักเสบได้ ยิ่งกว่านั้นยังมีการเล่าเรียนเพื่อนำสารสกัดจากใบ มะนาวโห่มาใช้เพื่อต่อต้านอาการอักเสบแล้วก็ลดไข้ในหนู พบว่า สารสกัดที่ให้กับหนูที่ความเข้มข้น 200 มิลลิกรัม/ น้ำหนักตัว 1 กก. สามารถต่อต้านอาการอักเสบจากการ บวมที่อุ้งเท้าของหนูได้มากถึง 72.10% ในส่วนของ ความสามารถสำหรับเพื่อการลดอาการไข้ พบว่าที่ความเข้มข้น 100 แล้วก็ 200 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กก. สามารถลดอุณหภูมิที่เกิดจากลักษณะของการมีไข้ลงได้อย่างมีนัยสำคัญ และ สามารถลดอาการได้นานถึง 4 ชั่วโมงภายหลังจากให้สารสกัดฤทธิ์สำหรับเพื่อการต้านอาการชักจากการศึกษาฤทธิ์สำหรับในการต่อต้านอาการชักที่เกิดขึ้นจากการกระตุ้นสมองด้วยกระแสไฟ รวมทั้งการกระตุ้นด้วยสารเคมี (pentylenetetrazole, picrotoxin, bicuculline และ N-methyl-dl-aspartic acid) ในหนูโดยใช้สารสกัดจาก รากที่ความเข้มข้น 100, 200 และก็ 400 มิลลิกรัม/กิโลกรัม พบว่า สารสกัดทั้งยัง 4 ความเข้มข้นสามารถลดระยะเวลาการ ชักในหนูได้ แม้กระนั้นเฉพาะความเข้มข้นที่ 200 และก็ 400 มก./กก. เท่านั้นที่ป้องกันอาการชักได้ แล้วก็ที่ความเข้มข้นนี้ยังสามารถคุ้มครองป้องกันอาการชักจากการกระตุ้นด้วย pentylenetetrazole รวมทั้งชะลอการเกิดอาการชักจากการกระตุ้นด้วยสาร picrotoxin และก็ N-methyl-dlaspartic acid แต่ว่าไม่มีผลคุ้มครองปกป้องอาการชักจากการกระตุ้นด้วยสาร bicuculline
ฤทธิ์สำหรับเพื่อการต้านทานโรคเบาหวาน จากการศึกษาในสารสกัดจากผลดิบ พบว่าการสกัดด้วยเมทานอลรวมทั้ง ethyl acetate ที่ความเข้มข้น400 มก./กิโลกรัม สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดลงได้อย่างเป็นจริงเป็นจังถึง 48 และก็ 64.5% ตามลำดับเมื่อเทียบกับ ยาต้านโรคเบาหวานแผนปัจจุบัน
ฤทธิ์ในการปกป้องรักษาความเป็นพิษต่อ ตับ สารสกัดด้วยเอทานอล จากรากมีฤทธิ์ในการ ปกป้องความเป็นพิษต่อตับที่เกิดขึ้นจากการใช้ยาพารา เซตตามอลได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง ซึ่งมีต้นเหตุจากการที่ สารสกัดนี้ไปยับยั้งกิจกรรมด้านชีววิทยาของพิษที่ เกิดขึ้นกับตับ
ยิ่งไปกว่านี้งานศึกษาวิจัยฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของมะม่วงหาว มะนาวโห่ ที่ระบุว่ามีฤทธิ์ทำให้หัวใจบีบตัวลดลง กระตุ้นมดลูกทำให้หัวเต้นชา บำรุงหัวใจ ลดระดับความดันโลหิต เป็นต้น
การเรียนรู้ทางพิษวิทยา
ในปัจจุบันยังไม่พบรายงานการศึกษาเล่าเรียนพิษวิทยาของส่วนผล แต่ว่าส่วนรากแสดงความเป็นพิษเมื่อให้สารสกัดเอทานอลของรากต้นมะม่วงหาว มะนาวโห่โดยฉีดเข้าเส้นเลือดดำ ฉีดเข้าท้อง แล้วก็ให้ทางปากของแมวในขนาด 5 - 150 มก./กิโลกรัม พบว่าส่งผลทำให้สัตว์ทดสอบอ้วก คลื่นไส้ เซื่องซึม น้ำมูกไหล ท้องเสีย หายใจหอบแล้วก็เร็ว (tachypnea) ชัก รวมทั้งตายสุดท้าย การให้ทางหลอดโลหิตดำจะกำเนิดอาการคลื่นไส้ อ้วกเร็วที่สุด เป็นใช้เวลา 3 - 5 นาที ภายหลังให้สาร ส่วนการให้ทางท้อง แล้วก็ทางปากใช้เวลา 10 - 20 แล้วก็ 40 - 60 นาที เป็นลำดับ แมวที่ได้รับสารสกัดทางเส้นเลือดดำทุกตัวตายภายในช่วงเวลา 1 - 2 ชั่วโมงหลังจากให้สาร เมื่อผ่าอวัยวะภายในพบว่าตับผิดปกติ มีการบวมของเซลล์ตับ (liver congestion) มีจุดเลือด (petechial hemorrhages) ที่ปอดและฝาผนังลำไส้เล็ก
ข้อเสนอ/ข้อควรไตร่ตรอง
ในการศึกษาทางเภสัชวิทยา แล้วก็พิษวิทยา ของมะม่วงหาวมะนาวโห่ในตอนนี้ล้วนเป็นการศึกษาในสัตว์ทดสอบ และผลของการทดสอบแม้กระนั้นยังไม่ปรากฏผลวิจัยที่ในคน ก็เลยทำให้ไม่บางทีอาจระบุประสิทธิภาพแล้วก็ความปลอดภัยในการใช้รักษาโรคได้อย่างแน่ชัด โดยการใช้ในต้นแบบที่ไม่เหมาะสมหรือใช้ในปริมาณมากเหลือเกินบางทีอาจเสี่ยงก่อให้เกิดอันตรายได้ ฉะนั้นก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆจากมะม่วงหาวมะนาวโห่ให้จึงปรึกษาหมอก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีปัญหาสุขภาพหรือมีโรคประจำตัว
เอกสารอ้างอิง

  • สกุลกานต์ สิมลา.มะนาวโห่ : พืชในวรรณคดีไทยที่มากด้วยประโยชน์ .วารสารแก่นเกษตร .ปีที่ 44 ฉบับที่3 .กรกฎาคม – กันยายน .2559.หน้า 557-566.
  • มะนาวไม่รู้โห่...ไม้ประดับกินได้.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ธงชัย พุ่มพวง.ประพันธ์ ชานนท์.พิมพ์ใจ ทรงประโคน. กัลยาณี วรรณศรี. ดำรงเกียรติ มาลา และ พรประภา รัตนแดง 2556.มะม่วงหาว มะนาวโห่ ผลไม้ในวรรณคดีไทยที่มากมายด้วยคุณค่าและราคาดี.นิตยสารเกษตรโฟกัส.2(20):24-39.https://www.disthai.com/
  • ณัฏฐินี อนันตโชค.มะนาวไม่รู้โห่.จุลสารข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.ปีที่29.ฉบับที่ 1.ตุลาคม.2554.หน้า2-6
  • ณนัฐอร บัวฉุน.ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและสารประกอบฟีนอลิกของเมล็ดและเนื้อมะม่วงไม่รู้โห่.วานสารวิจัยและพัฒนะ วไลขอลงกรณ์ในพระบรมราชูปถัมภ์.ปีที่ 13 ฉบับที่2.พฤษภาคม-สิงหาคม 2561.หน้า 53-63
  • มะม่วงหาวมะนาวโห่.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • สกุลกานต์ สิมลา.สุรศักดิ์ บุญแต่ง และพัชรี สิริตระกูลศักดิ์.(2556).การประเมินปริมาณสารพฤษเคมีบางประการและกิจกรรมของสารต้านอนุมูลอิสระใน Carissa carandas L. แก่นเกษตร 41 ฉบับพิเศษ:602-606.
  • มะม่วงหาว มะนาวโห่.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • Itankar, P.R., S.J. Lokhande1, P.R. Verma, S.K. Arora, R.A. Sahu, and A.T. Patil. 2011. Antidiabetic potential of unripe Carissa carandas Linn. fruit extract. J. Ethnopharmacol. 135: 430-433.
  • Philippine Medicinal Plants. 2012. Caranda. Available: http://goo.gl/kBShxE. Accessed Aug. 6, 2014.
  • Begum, S., S.A. Syed, B.S. Siddiqui, S.A. Sattar, and M.I. Choudhary. 2013. Carandinol: First isohopane triterpene from the leaves of Carissa carandas L. and its cytotoxicity against cancer cell lines. Phytochem Lett. 6: 91-95
  • หนามแดง.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • Hati, M., B.K. Jena, S. Kar, and A.K. Nayak. 2014. Evaluation of anti-inflammatory and anti-pyretic activity of Carissa carandas L. leaf extract in rats. J. Pharm Chem Bio Sci. 1(1): 18-25.
  • Gupta, P., I. Bhatnagar, S-K. Kim, A. K. Verma, and A. Sharma. 2014. In-vitro cancer cell cytotoxicity and alpha amylase inhibition effect of seven tropical fruit residues. Asian Pac J Trop Biomed. 4(2), S665-S671.
  • Kumar, S., P. Gupta, and V. Gupta K.L. 2013. A critical review on Karamarda (Carissa carandas Linn.). Int J Pharm Bio Arch. 4(4): 637 -642.
  • Kubola, J., S. Siriamornpun, and N. Meeso. 2011. Phytochemicals, vitamin C and sugar content of Thai wild fruits. Food Chemistry. 126, 972-981.
  • Sulaiman, S.F., W.S. Teng, O.K. Leong, S.R. Yusof, and T.S.T. Muhammad. (n.d.). Anticancer study of Carissa carandas extracts. Available: http://goo.gl/ W2WjSG. Accessed May 16, 2014
  • Aslam, F., N. Rasool, M. Riaz, M. Zubair, K. Rizwan, M. Abbas, T.H. Bukhari, and I.H. Bukhari. 2011. Antioxidant, haemolytic activities and GC-MS profiling of Carissa carandas roots. Int J Phytomedicine. 3: 567-578
  • Patel, S. 2013. Food, pharmaceutical and industrial potential of Carissa genus: an overview. Rev Environ Science Biotech. 12(3): 201-208


คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : มะม่วงหาว มะนาวโน่หาว

3
อื่น ๆ / อังกาบหนู มีสรรพคุณเเละประโยชน์
« เมื่อ: ธันวาคม 05, 2018, 11:18:00 AM »

อังกาบหนู
ชื่อสมุนไพร  อังกาบหนู
ชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น  เขี้ยวแก้ว , เขี้ยวเนื้อ (ภาคกลาง) , มันไก่ (ภาคเหนือ)
ชื่อวิทยาศาสตร์   Barleria prionitis Linn.
ชื่อสามัญ   Porcupine flower
วงศ์  ACANTHACEAE
ถิ่นกำเนิด
อังกาบหนูเป็นพืชที่มีบ้านเกิดเมืองนอนในเขตร้อนต่างๆทั้งโลก โดยมีเขตการกระจายจำพวกในหลายประเทศตามเขตร้อนต่างๆตัวอย่างเช่น แอฟริกา อินเดีย ปากีสถาน มาเลเซีย ประเทศพม่า ลาว กัมพูชารวมทั้งไทย สำหรับในประเทศไทย พบได้ทั่วไปขึ้นหนาแน่นเป็นวัชพืชอยู่ตามเขาหินปูนในที่แห้งแล้งทางภาคใต้และภาคตะวันตกเฉียงใต้
ลักษณะทั่วไป
อังกาบหนู จัดเป็นไม้พุ่ม ลำต้นสามารถสูงได้ถึง 1.75 เมตร แตกกิ่งก้านมากที่ซอกใบมีหนามแหลมยาว 11 มม. 2-3 อัน ใบโดดเดี่ยวเรียงตรงกันข้าม รูปไข่แกมวงรีถึงรูปไข่กลับกว้าง 1.8-5.5 เซนติเมตร ยาว4.3-10.5 ซม. ปลายใบเว้าตื้น โคนใบสอบ ก้านใบยาวได้ถึง 2.5 เซนติเมตรดอกลำพังดูคล้ายช่อเชิงลดที่รอบๆซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ใบเสริมแต่งรูปแถบแกมขอบขนาน กว้าง 2-8 มิลลิเมตร ยาว 12-22 มม. ปลายเรียวแหลม มีขนยาวใบประดับย่อยรูปแถบปนใบหอก กว้างได้ถึง1.5 มิลลิเมตร ยาวได้ถึง 14 มม. ปลายเป็นหนามแหลม กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันแยกเป็น 2 วง วงนอกเปิดโปงรูปไข่แกมขอบขนาน กว้างได้ถึง 4 มิลลิเมตร ยาวได้ถึง 15 มม. ปลายเว้าตื้น วงในแฉกรูปแถบปนใบหอกกว้าง 2 มิลลิเมตร ยาว 13 มิลลิเมตร ปลายเว้าตื้น กลีบดอกเชื่อมชิดกันเป็นหลอดยาว ได้ถึง 2.5 เซนติเมตร ปลายแยกเป็นแฉกเส้นผ่านศูนย์กลางกว้างได้ถึง 3 เซนติเมตรแฉกรูปวงรีแกมขอบขนานถึงรูปกลม กลีบโค้ง ผลแห้งแตกได้ ทรงรูปไข่แกมขอบขนาน กว้าง 9-11 มิลลิเมตร ยาว12-16 มม. เม็ดรูปวงรีปนขอบขนาน 2 เม็ด กว้าง 5 มม. ยาว 8 มม. มีขนเหมือนไหม
การขยายพันธุ์
อังกาบหนูเป็นพรรณไม้ที่โล่งแจ้ง ที่เจริญเติบโตเจริญในดินทุกจำพวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินที่ร่วนซุยระบายน้ำเจริญ และก็มีความชุ่มชื้นในระดับปานกลาง สามารถขยายพันธุ์ได้ ด้วยเมล็ด รวมทั้งการทำหมันกิ่ง อังกาบหนูฯลฯไม้ที่ดูแลไม่ยาก ไม่ค่อยชอบความร่มเงามากมาย เติบโตได้ดีทั้งยังในรอบๆที่แสงแดดจัดเต็มวันหรือแสงแดดร่มรำไร ส่วนน้ำปรารถนาปานกลาง โรคและก็แมลงมารบกวนอีกด้วย ในฤดูร้อนส่วนของลำต้นเหนือดินชอบแห้งตาย แต่ว่าส่วนรากยังคงมีชีวิตอยู่ส่วนของลำต้นเหนือดินจะรุ่งเรืองขึ้นมาอีกรอบหนึ่งในฤดูฝน
ส่วนประกอบทางเคมี ใบอังกาบหนูมีสาร balarenone, pipataline, lupeol, prioniside A, prioniside B, prioniside C scutellarein, melilotic acid, syringic acid, vanillic acid, p-hydroxybenzoic acid, 6-hydroxyflavones ยิ่งไปกว่านี้ใบรวมทั้งยอดดอกมีโพแทสเซียมสูง
Balarenone pipataline lupeolmelilotic acid scutellarein
คุณประโยชน์ / คุณประโยชน์
คุณประโยชน์ของอังกาบหนูตามยาแผนโบราณกล่าวว่า ราก ใช้แก้ดับพิษร้อนในร่างกาย แก้พิษตะขาบพิษงู แก้ขี้กลากเกลื้อน ช่วยกระตุ้นระบบการทำงานด้านการย่อยอาหาร ช่วยรักษาฝี ดอกช่วยทำนุบำรุงธาตุทั้งยังสี่ ช่วยละลายเสมหะ ทุเลาอาการไอ ใบแก้ปวดฟันแก้ขี้กลากโรคเกลื้อน แก้ปวดฝี แก้ไข้ แก้หวัด รักษาโรคเลือดไหลตามไรฟัน แก้ท้องผูก แก้หูอักเสบ แก้ปวดบวมตามข้อ แก้ของกินไม่ย่อย ช่วยฟอกโลหิต บรรเทาอาการคันต่างๆแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย ใช้คุ้มครองส้นแตก ทั้งยังต้น ใช้แก้อักเสบ ขี้กลากโรคเกลื้อน แก้อาการบวมน้ำ ช่วยขับเยี่ยว แก้ไข้
นอกเหนือจากนี้อินเดียยังใช้ น้ำคั้นจากใบ ผสมกับน้ำตาลรับประทานแก้หืดหอบ น้ำคั้นจากใบผสมกับน้ำผึ้ง กินครั้งละ 2 ช้อนชา วันละ 2 ครั้ง จะช่วยลดอาการไอ ไอกรน ลดเสลด ลดไข้ น้ำคั้นจากใบใช้หยอดหูเมื่อมีลักษณะอาการซึ่งรู้สึกเจ็บในหูอีกด้วย
จากการค้นหาข้อมูลงานวิจัยของอังกาบหนูจะเห็นได้ว่ายังไม่มีคุณวุฒิในคน โดยส่วนมากจะเป็นการเล่าเรียนในหลอดทดสอบและก็ในสัตว์ทดลองในฤทธิ์ต่างๆเช่น ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านเชื้อรา ต่อต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ฯลฯ แต่ว่ายังไร้การศึกษาวิจัยทางคลินิกเกี่ยวกับการต้านมะเร็ง จึงสรุปได้ว่าต้นอังกาบหนูยังการศึกษาต่ำวิจัยเกี่ยวกับการต้านมะเร็ง เป็นเพียงแต่การบอกกล่าวต่อๆกันมา ด้วยเหตุดังกล่าวถ้าหากต้องการใช้ต้นอังกาบหนู ในการรักษาโรคมะเร็งควรที่จะใช้พร้อมกันไปกับการดูแลและรักษาโดยวิธีการหมอแผนปัจจุบัน อย่างไรก็ดีการใช้สมุนไพรจำต้องใช้ให้ละเอียด โดยยิ่งไปกว่านั้นผู้มีโรคประจำตัว ร่วมด้วย ส่วนที่มีกระแสข่าวลือว่าอังกาบหนูสามารถรักษาโรคมะเร็งได้นั้น
แบบ / ขนาดการใช้ การใช้ผลดีทางยามีรายงานการใช้ประโยชน์จากส่วนต่างๆดังนี้
 
ใบ น้ำคั้นจากใบใช้ทาแก้ส้นแตก ใช้ใบสดเคี้ยวแก้อาการปวดฟัน ใบใช้ผสมกับน้ำผึ้งช่วยรักษาโรคเลือดไหลตามไรฟัน น้ำคั้นจากใบใช้หยอดหู แก้หูอักเสบได้ ใช้แก้พิษงู ช่วยรักษาโรคคันต่างๆโรคปวดตามข้อ บวม ใช้ทาแก้ปวดหลังแก้ท้องผูก แก้โรคไขข้ออักเสบ หรือเอามาผสมกับน้ำมะนาวใช้แก้กลากหรือใช้ผสมกับน้ำผึ้งรักษาเลือดออกตามไรฟัน
ราก นำมาตากแห้งแล้วนำมาต้มเป็นยาดื่ม ช่วยขับเสลด ใช้เป็นยาแก้ฝียาลดไข้ เมื่อเอารากมาผสมกับน้ำมะนาวแก้ขี้กลาก แก้อาหารไม่ย่อย หรือนำมาตำให้ละเอียดใช้ใส่รอบๆที่เป็นฝีหนอง รากนำมาต้มใช้เป็นน้ำยาบ้วนปาก
รากแล้วก็ดอก อังกาบนำมาตากแห้งใช้ปรุงเป็นยาสมุนไพร ช่วยบำรุงรักษาธาตุภายในร่างกาย ช่วยเจริญรุ่งเรืองธาตุไฟเจริญรากใช้เป็นยาลดไข้ ใช้ผสมกับน้ำมะนาวช่วยรักษาขี้กลากโรคเกลื้อน ถ้าเกิดประยุกต์ใช้ทุกส่วนหรือเรียกว่าทั้ง 5 ส่วนของต้นอังกาบหนูก็ใช้เป็นยาปรับปรุงข้ออักเสบได้
 
เปลือกลำต้น
 
นำมาบดให้เป็นผงกินทีละครึ่งช้อนชาวันละ 2 ครั้ง ช่วยลดอาการปวดจากไขข้ออักเสบ
ทั้งต้น เอามาสกัดเอาน้ำมันมานวดศีรษะทำให้ผมดำ ทั้งยังต้นนำมาต้มดื่มทีละ 50-100 มิลลิลิตร แก้โรคเกาต์ ไขข้ออักเสบอาการบวมตามตัว ลดอาการอักเสบตามข้อ ใช้เป็นสมุนไพรเพิ่มอสุจิ โดยนำอีกทั้งต้นนำมาทำให้แห้ง บดเป็นผง ใช้ทีละ 6 กรัม ผสมกับน้ำผึ้งกิน ในกรณีที่ต่อมน้ำเหลืองบวม ให้นำรากมาตีให้แหลก นำไปแช่ลงไปภายในน้ำซาวข้าว พอกบริเวณที่บวม ยอดอ่อน นำมาเคี้ยวในกรณีที่เป็นแผลในปาก
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
การเล่าเรียนในหลอดทดสอบพบว่า สารสกัดอีกทั้งต้นของอังกาบหนูด้วยเอทานอลและก็น้ำมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดลองด้วยวิธี DPPH รวมทั้ง ABTS โดยที่สารสกัดเอทานอลมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดียิ่งไปกว่าสารสกัดน้ำ การศึกษาเล่าเรียนหาจำนวนสารประกอบฟีโนลิก แล้วก็ฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระของสารสกัด 50% เอทานอลจากใบ ดอกและลำต้นอังกาบหนู พบว่าสารสกัดจากใบมีปริมาณสารประกอบฟีนอลิกโดยรวมเยอะที่สุด โดยมีค่าเสมอกันกรดแกลลิกเท่ากับ 67.48 มิลลิกรัม/กรัม น้ำหนักพืชแห้ง และมีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ DPPH และhydroxyl radical ด้วยค่าความเข้มข้นที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้กึ่งหนึ่ง (IC50) เท่ากับ 336.15 แล้วก็ 568.65 มคกรัม/มล. เป็นลำดับ ยิ่งกว่านั้นยังพบว่าสารที่แยกได้จากส่วนเหนือดินของอังกาบหนู ดังเช่นสาร barlerinoside ซึ่งเป็นสารในกรุ๊ป phenylethanoid glycosides มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ DPPH ที่ดี โดยค่า IC50 พอๆกับ 0.41 มก./มิลลิลิตร และมีฤทธิ์ยั้ง glutathione S-transferase (GST) ด้วยค่า IC50 เท่ากับ 12.4 ไมโครโมลาร์ นอกเหนือจากนั้นเจอสารกรุ๊ปiridoid glycosides เป็นต้นว่า shanzhiside methyl ester, 6-O-trans-pcoumaroyl-8-O-acetylshanzhiside methyl ester, barlerin, acetylbarlerin, 7-methoxydiderroside รวมทั้ง lupulinoside มีฤทธิ์ต้าน DPPH ด้วยค่า IC50 อยู่ในตอน 5–50 มก./มิลลิลิตร
ฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ สารสกัดใบ ลำต้น ราก ของต้นอังกาบหนูด้วยปิโตรเลียมอีเทอร์ แล้วก็เอทานอล มีฤทธิ์ต้านทานเอนไซม์ที่ส่งผลให้เกิดการอักเสบ cyclooxygenase-1 (COX-1) รวมทั้ง cyclooxygenase-2 (COX-2) แล้วก็ยั้งการสร้างสารตัวกลางการอักเสบ prostaglandin เมื่อป้อนส่วนสกัดน้ำของรากอังกาบหนูชนิดที่ 3 รวมทั้ง จำพวกที่4 ขนาด 400 มิลลิกรัม/กก. นน. ตัว ให้กับหนูที่เหนี่ยวนำให้มีการอักเสบที่อุ้งเท้าด้วยสารคาราจีแนน พบว่าส่วนสกัดดังที่กล่าวผ่านมาแล้วสามารถลดอาการบวมอักเสบได้ 50.64 แล้วก็55.75% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับยาแผนปัจจุบัน indomethacin ที่ยับยั้งการอักเสบได้ 60.25% นอกจากนี้เมื่อป้อนสารสกัดดอกอังกาบหนูด้วย 50% เอทานอล ขนาด 200 มก./กิโลกรัม นน.ตัว ให้กับหนูแรทที่เหนี่ยวนำให้มีการอักเสบด้วยสารค้างรจีแนน และรั้งนำให้เกิดลักษณะของการปวดด้วยกรดอะซิว่ากล่าวก พบว่าสารสกัดดอกอังกาบหนูสามารถลดการอักเสบได้ 48.6% รวมทั้งลดลักษณะของการปวดได้ 30.6% เป็นลำดับ เมื่อเทียบกับยาแผนปัจจุบัน phenylbutazone ขนาด100 มิลลิกรัม/ กิโลกรัมนน. ตัว ที่สามารถลดการอักเสบได้ 57.5% แล้วก็ลดลักษณะของการปวด 36.4% ตามลําดับ
ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย การทดสอบในหลอดทดลองพบว่า สาร balarenone, lupeol, pipataline และก็ 13,14-secostigmasta-5,14-dien-3-a-ol ซึ่งเป็นสารสกัดอีกทั้งต้นอังกาบหนูด้วยเอทานอล มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียสิ่งแรกต่อเชื้อ Escherischia coli, Staphylococcus aureus, Corynebacteriun xerosis, Streptococcus agalactiae, Enterococcus faecalis, Bacillus cereus, Pseudomonas aeruginosa โดยเปรียบเทียบกับยาแผนปัจจุบัน ceftriaxone
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อรา การศึกษาเล่าเรียนในหลอดทดสอบเปลือกต้นอังกาบหนูด้วยอะซิโตน เมทานอล แล้วก็เอทานอล สามารถต่อต้านเชื้อราในปาก Saccharomyces ceruisiae และก็ Candida albicans โดยที่สารสกัดเมทานอลมีประสิทธิภาพมากที่สุด ในตอนที่ลำต้นและก็รากของต้นอังกาบหนูด้วยปิโตรเลียมอีเทอร์ ไดคลอโรมีเทน แล้วก็เอทานอลสามารถต่อต้านเชื้อ C. albicans ได้
ฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส สาร iridoid glycosides : 6-O-transp-coumaroyl-8-O-acetylshanzhiside methyl ester จากต้นอังกาบหนูเมื่อนำไปทดลองในหลอดทดสอบ พบว่าขนาดความเข้มข่นที่ส่งผลสำหรับการต่อต้านเชื้อไวรัสที่ก่อเกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ respiratory syncytial virus (RSV) ได้ครึ่งหนึ่ง(ED50) มีค่าเท่ากับ 2.46 มคกรัม/ มิลลิลิตร และก็ขนาดความเข้มข้นที่มีผลสำหรับการฆ่าเชื้อเชื้อไวรัส respiratory syncytial virus (RSV) ได้กึ่งหนึ่ง (ID50) มีค่าพอๆกับ 42.2 มคก./มิลลิลิตร
ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อป้อนสารสกัดใบอังกาบหนูด้วยแอลกฮอล์ ขนาด 200 มิลลิกรัม/นน. ตัว ให้กับหนูแรทที่รั้งนำให้เป็นเบาหวานด้วยสาร alloxan นาน 14 วัน พบว่าสารสกัดใบอังกาบหนูสามารถลดระดับน้ำตาล เพิ่มระดับอินซูลินในเลือด แล้วก็เพิ่มระดับไกลโคเจนในตับได้
ฤทธิ์คุ้มครองตับ เมื่อป้อนส่วนสกัด iridoid glycosides ที่ได้จากใบแล้วก็ลำต้นอังกาบหนูให้หนูแรท และก็หนูเม้าส์ก่อนที่จะเหนี่ยวนำให้กำเนิดความเป็นพิษที่คับด้วยสารคาร์บอนเตตระคลอไรด์ กาแลคโตซามีน รวมทั้งพาราเซทตามอล ขนาด 12.5 - 100 มก./กก. นน.ตัว พบว่าสารสกัดดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นสามารถลดความเป็นพิษที่ตับได้ โดยไปลดระดับค่าชีวเคมีในเลือดที่เกี่ยวกับตับ alanine aminotransferase (ALT), aspartate transaminase (AST), alkaline phosphatase (ALP), birirubin แล้วก็triglyceride ยิ่งกว่านั้นยังเพิ่มระดับเอนไซม์ glutathione ในตับและลดการเกิดการออกซิไดซ์ของไขมันที่ตับด้วย โดยเทียบกับยาแผนปัจจุบันที่ช่วยคุ้มครองป้องกันเซลล์ตับ silymarin ในขนาด 50 มิลลิกรัม/กก. นน. ตัว
ฤทธิ์ฆ่าพยาธิ การเรียนฤทธิ์ต้านพยาธิไส้เดือน Pheretima posthuma ของสารสกัดทั้งต้นของอังกาบหนูด้วยน้ำแล้วก็เอทานอล ที่ความเข้มข้น 50, 75 รวมทั้ง 100 มิลลิกรัม/มล. พบว่าฤทธิ์สำหรับในการทำให้พยาธิเป็นอัมพาต รวมทั้งฆ่าพยาธิไส้เดือนนั้นสังกัดขนาดที่ใช้ โดยที่สารสกัดเอทานอลของอังกาบหนูขนาด 100 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ใช้เวลาที่ทำให้พยาธิไส้เดือนเป็นอัมพาตที่ 2.58 ± 0.15 แล้วก็พยาธิตายที่ 7.12 ± 0.65 นาที ในขณะสารสกัดน้ำใช้เวลาที่ทำให้พยาธิไส้เดือนเป็นอัมพาตที่5.25 ± 0.51 แล้วก็พยาธิตายที่ 9.00 ± 0.68 นาที เมื่อเปรียบเทียบกับยาฆ่าพยาธิ albendazole ขนาด 20 มิลลิกรัม/มล. ใช้เวลาที่ทำให้พยาธิไส้เดือนเป็นอัมพาตที่ 11.06 ± 0.22 และก็ พยาธิตายที่ 16.47 ± 0.19 นาที
ฤทธิ์คุมกำเนิดเพศผู้ เมื่อทดลองให้สารสกัดรากอังกาบหนูด้วยเมทานอล แก่หนูขาวเพศผู้ในขนาด100 มก./กิโลกรัมนน.ตัว นาน 60 วัน ได้ผลคุมกำเนิดได้100% ผลนี้มีเหตุมาจากฤทธิ์ของสารสกัดรากอังกาบหนูสำหรับเพื่อการรบกวนการผลิตน้ำเชื้อ ลดปริมาณสเปิร์ม และก็ทำให้การเคลื่อนที่ของสเปิร์มลดน้อยลง สารสกัดส่งผลลดความอ้วนอัณฑะ และมีผลลดปริมาณโปรตีน กรดเซียลิก (sialic acid) และก็กลัยโคเจนในอัณฑะ ซึ่งทำให้การผลิตอสุจิ โครงสร้างและก็หน้าที่ของอสุจิไม่ดีเหมือนปกติไป
 
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา
การเรียนรู้

 
ความเป็นพิษ ส่วนสกัด iridoid glycosides ที่ได้จากใบและก็ลำต้นอังกาบหนู เมื่อป้อนให้หนูเม้าส์กิน ขนาดที่ต่างกันตั้งแต่ 100 - 3,000 มก. ตรงเวลา 15 วัน ไม่เจอความแตกต่างจากปกติอะไรก็แล้วแต่และไม่มีหนูเสียชีวิต ผู้ทำการศึกษาสรุปว่าขนาดของสารสกัดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งหนึ่ง LD50 มีค่ามากยิ่งกว่า3,000 มิลลิกรัม/กก. และถ้าเกิดฉีดสารสกัดเข้าทางช่องท้องของหนูเม้าส์พบว่า LD50 มีค่าเท่ากับ 2,530 มก./กก. ± 87 มก./กก. ซึ่งจัดว่าค่อนข้างปลอดภัย
 
ข้อเสนอ/ข้อควรคำนึง
1. การใช้อังกาบหนูสำหรับเพื่อการรักษาโรคต่างๆตามสรรพคุณที่กำหนดไว้ ไม่สมควรใช้ในปริมาณที่มากเหลือเกินและใช้ต่อเนื่องกันเป็นเวลานานเนื่องจากว่าอาจมีผลกระทบต่อระบบต่างๆของร่างกายได้
2. ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคตับ โรคไต โรคเบาหวาน ควรใช้ให้รอบคอบและควรจะขอความเห็นแพทย์ที่ให้การรักษาโดยใช้เสมอ
3. สำหรับเพื่อการใช้สมุนไพรอังกาบหนูอย่างต่อเนื่องจะต้องมีการเจาะเลือดดูค่าการทำงานของตับแล้วก็ไตอยู่ตลอด
4. ในขณะนี้ยังไม่มีรายงานการศึกษาเรียนรู้วิจัยอีกทั้งในมนุษย์และก็สัตว์ทดลองว่าอังกาบหนูสามารถรักษาโรคมะเร็งได้ ด้วยเหตุดังกล่าวถ้าเกิดปรารถนาจำใช้เพื่อสำหรับในการรักษามะเร็งควรจะใข้ควบคู่ไปกับการดูแลรักษาของแทพย์แผนปัจจุบันด้วย
 
เอกสารอ้างอิง

  • พนิดา ใหญ่ธรรมสาร.อังกาบหนู....รักษามะเร็งได้จริงหรือ? .สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • นันท่วัน บุณยะประภัศร อรนุช โชคชัยเจริพร (บรรณาธิการ).สมุนไพรไม้พื้นบ้าน (5).กรุงเทพฯ:บริษัทประชาชน จำกัด.2543:508 หน้า
  • อังกาบหนู สมุนไพรไม้ประดับ.คอลัมน์ สมุนไพรเพื่อสุขภาพ.นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์.ฉบับวันที่ 9-15 มีนาคม 2561 .ฉบับที่ 1960 . ปีที่ 38.
  • ปิยวรรณ จิตเจริญรุ่งเรือง ,ประนอม ขาวเมฆ,องค์ประกอบทางเคมีของใบอังกาบหนู.เอกสารประกอบการประชุมวิชาการระดับชาติ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างสถาบัน ครั้งที่ 2 .วันที่ 21 มีนาคม 2557 ณ.โรงแรกมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ.หน้า 98-101https://www.disthai.com/
  • Gupta RS, Kumar P, Dixit VP, Dobhal MP. Antifertility studies of the root extract of the Barleria prionitis Linn in male albino rats with special reference to testicular cell population dynamics. J Ethnopharmacol. 2000;70: 111-7.
  • Ata A, Van Den Bosch SA, Harwanik DJ, Pidwinski GE. Glutathione S-transferase- and acetylcholinesterase-inhibiting natural products from medicinally important plants. Pure Appl. Chem. 2007;79(12):2269-76.
  • Khadse CD, Kakde RB. Anti-inflammatory activity of aqueous extract fractions of Barleria prionitis L. roots. Asian J Plant Sci Res. 2011; 1(2):63-8.
  • Cramer LH. Acanthaceae. In : Dassanayake MD, Clayton WD, eds. A revised handbook to the flora of Ceylon, Vol 12. Rotterdam: A.A. Bulkema 1998.
  • Ata A,. Kalhari KS, Samarasekera R. Chemical constituents of Barleria prionitis and their enzyme inhibitory and free radical scavenging activities. Phytochem Lett. 2009;2:37-40.
  • Kosmulalage KS, Zahid S, Udenigwe CC, Akhtar S, Ata A, Samaraseker R. Glutathione S-transferase, acetylcholinesterase inhibitory and antibacterial activities of chemical constituents of Barleria prionitis. Z. Naturforsch. 2007;62b:580-6.
  • Amitava, G. (2012). Comparative Antibacterial study of Barleria prionitis Linn. Leaf extracts. International Journal of Pharmaceutical & Biological Archives. 3(2), 391-393.
  • . Chavana CB, Hogadeb MG, Bhingea SD, Kumbhara M , Tamboli A. In vitro anthelmintic activity of fruit extract of Barleria prionitis Linn. against Pheretima posthuma. Int J Pharmacy Pharm Sci. 2010;2(3):49-50.
  • Jaiswal SK, Dubey MK, Das S, Verma RJ, Rao CV. A comparative study on total phenolic content, reducing power and free radical scavenging activity of aerial parts of Barleria prionitis. Inter J Phytomed. 2010;2:155-9.
  • Daniel M. Medicinal Plants: Chemistry and Properties. 1st Ed. Enfield (NH) : Science Publishers, 2006:78.
  • Amoo SO, Ndhlala AR, Finnie JF, Van Staden J. Antifungal, acetylcholinesterase inhibition, antioxidant and phytochemical properties of three Barleria species. S Afr J Bot. 2011;77: 435-45.
  • Amoo SO, Finnie JF, Van Staden J. In vitro pharmacological evaluation of three Barleria species. J Ethnopharmacol. 2009;121:274-7.
  • Aneja KR, Joshi R, Sharma C. Potency of Barleria prionitis L. bark extracts against oral diseases causing strains of bacteria and fungi of clinical origin. N Y Sci J. 2010;3(11):1-12
  • Chetan C, Suraj M, Maheshwari C, Rahul A, Priyanka P. Screening of antioxidant activity and phenolic content of whole plant of Barleria prionitis Linn. IJRAP. 2011;2(4):1313-9.
  • Chen JL, Blanc P, Stoddart CA, Bogan M, Rozhon EJ, Parkinson N, et al. New Iridoids from the medicinal plant Barleria prionitis with potent activity against respiratory syncytial virus. J Nat Prod. 1998;61:1295-7.
  • Jaiswal SK, Dubey MK, DAS S, Verma A, Vijayakumar M and Rao CV. Evaluation of flower of Barleria prionitis for anti-inflammatory and antinociceptive activity. Inter J Pharma Bio Sci. 2010;1(2)1-10.
  • Ata A, Van Den Bosch SA, Harwanik DJ, Pidwinski GE. Glutathione S-transferase- and acetylcholinesterase-inhibiting natural products from medicinally important plants. Pure Appl. Chem. 2007;79(12):2269-76.
  • Singh B, Chandan BK, Prabhakar A, Taneja SC, Singh J and Qazi GN. Chemistry and hepatoprotective activity of an active fraction from Barleria prionitis Linn. in experimental animals. Phytother Res. 2005;19:391-404.



Tags : อังกาบหนู

4
อื่น ๆ / เสาวรส สรรพคุณเเละประโยชน์
« เมื่อ: ธันวาคม 05, 2018, 08:31:04 AM »


เสาวรส
ชื่อสมุนไพร  เสาวรส
ชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น  สุคนธรส (ภาคกลาง) , กะทกรกฝรั่ง กะทกรกสีดา , กะทกรกยักษ์ (ทั่วไป)
ชื่อวิทยาศาสตร์            Passiflora edulis Sims. (พันธุ์สีม่วง)
Passiflora edulis f. flavicarpa O. Deg. (พันธุ์สีเหลือง)
ชื่อสามัญ  Passion fruit  , Yellow granadilla , Jamaica honey-suckle
วงศ์      Passifloraceae
ถิ่นกำเนิด 

เสาวรส มีบ้านเกิดเมืองนอนในทวีปอเมริกาใต้ในประเทศบราซิลขว้างรากวัย และก็อาร์เจนตินา แล้วมีการกระจัดกระจายจำพวกโดยการนำเสาวรสไปปลูกเพื่อคุณประโยชน์เชิงพาณิชย์ในหลายประเทศทั่วทั้งโลก ตัวอย่างเช่น อินเดีย นิวซีแลนด์ อินโดนีเซียเปอร์โตริโก สาธารณรัฐโดมินิกัน ประเทศสหรัฐอเมริกาประเทศออสเตรเลีย อิสราเอล คอสตาริกา แอฟริกาใต้โปรตุเกสรวมทั้งประเทศแถบสมุทรแคริบเบียนรวมทั้งแอฟริกาตะวันออก
สำหรับในประเทศไทย เสาวรสถูกนำเข้ามาทดลองปลูกคราวแรกในภาคเหนือ โดยประมาณปี พ.ศ. 2498 ปัจจุบัน พบปลูกมากมายในภาคเหนือ รวมทั้งภาคตะวันออก ในแถบจังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เพชรบูรณ์ จังหวัดระยอง และจังหวัดชลบุรี
 
ลักษณะทั่วไป
 
เสาวรสจัดเป็นไม้เถาเลื้อยขนาดใหญ่ ส่วนโคนเป็นไม้เนื้อแข็ง อายุยาวนานหลายปี สามารถเลื้อยได้ไกลถึง 12 เมตร มีมือเกาะ ใบเดี่ยว รูปคล้ายโล่ หรือรูปไข่ ออกเรียงสลับกัน ขอบของใบมักเว้าลึกเป็น 3 พูปลายใบแหลม หรือเรียวแหลม โคนใบกลม หรือรูปหัวใจเว้าตื้น เนื้อใบค่อนข้างเหนียว ขอบของใบจะฟันเลื่อย มีเส้นใบ 3 เส้น ออกมาจากโคนใบก้านใบยาว 4-4.5 เซนติเมตร ที่ปลายก้านมีต่อม หูใบรูปหอก ขอบเรียบ หรือจักฟันเลื่อย
ดอกเสาวรสจัดเป็นดอกบริบูรณ์เพศ สามารถผสมเกสรด้วยตนเองเจริญ ตัวดอกแทงออกเป็นดอกผู้เดียว ดอกแทงออกบริเวณซอกใบตามเถา ประกอบด้วยกลีบเลี้ยง ข้างนอกกลีบเลี้ยงมีสีเขียว ด้านในมีสีขาว แล้วก็กลีบดอกสีครีมอมม่วง 5 กลีบ กลีบดอกเรียงสลับเป็น 2 ชั้นต่อมาภายในมีฝอยเป็นเส้นล้อมเป็นวงกลมมากไม่น้อยเลยทีเดียว โคนฝอยมีสีม่วง ปลายฝอยมีสีขาวตรงกลางดอกมีเกสรตัวผู้ 5 อัน ส่วนเกสรตัวเมียมีปลายแยกเป็น 3 แฉก เมื่อบานจะส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ
ผลเสาวรสออกสำเร็จโดดเดี่ยวผลมีทรงกลมหรือรูปไข่ และอวบน้ำ ขนาดผลโดยประมาณ 5-7 เซนติเมตร มีน้ำหนักผลราวๆ 35-115 กรัม ขึ้นอยู่กับขนาดผล ส่วนสีเปลือกต่างกันตามสายพันธุ์ อาทิ ประเภทสีม่วงจะมีเปลือกสีม่วงเข้ม ส่วนพันธุ์สีเหลืองจะมีเปลือกสีเหลืองสด เปลือกผลทุกพันธุ์ค่อนข้างจะครึ้ม และก็ เป็นเงา ภายในผลมีเมล็ดมากมาย
ส่วนพันธุ์ที่เจอในประเทศไทยแล้วก็นิยมนำมาปลูกกันมากมาย มี 3 พันธุ์
1. ประเภทผลสีม่วง ( Passiflora edulis) ชนิดผลสีม่วงในธรรมชาติพบมากในที่สูงประมาณ 1,000-2,000 เหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งมีอากาศค่อนข้างหนาวเย็นตลอดเวลา ทำให้ผลมีขนาดเล็ก เมื่อผลสุกจะมีสีม่วงเข้มผิวเป็นมัน น้ำจาก ชนิดผลสีม่วง มีรสชาติดียิ่งกว่าจำพวกผลสีเหลือง มีกรดต่ำสีงามแล้วก็หวาน จึงเหมาะกับกิน ผลสดข้อเสียของจำพวกนี้เป็น ค่อนข้างจะอ่อนแอต่อโรค
2. จำพวกผลสีเหลือง (Passiflora edulis, var flaicarpa) ประเภทผลสีเหลือง ตามธรรมชาติเจอขึ้นตามพื้นที่สูงในแถบประเทศชายฝั่งทะเลที่มีความสูงตั้งแต่ 800 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ผลมีลักษณะเด่น คือ ผลมีขนาดใหญ่เมื่อผลสุกจะมีสีเหลืองขมิ้น ผิวเป็นมัน น้ำคั้นของจำพวกนี้ มีกรดมาก ซึ่งมีpH ต่ำยิ่งกว่า 3 เหมาะสำหรับส่งเข้าโรงงานเพื่อแปรรูปมากยิ่งกว่าการ กินผลสด จุดเด่นของชนิดนี้คือ ให้ผลดกรวมทั้งมีแรงต้านทานโรคและแมลงสูงกว่าพันธุ์ผลสีม่วง
3. พันธุ์ลูกผสม เป็นจำพวกที่เกิดจากการผสมระหว่างประเภทผลสีม่วงกับชนิดสีเหลือง เพื่อเลือกต้นพันธุ์ใหม่ ศูนย์รวมลักษณะผลที่เด่นของแต่ละประเภทไว้ ทำให้มีลักษณะผลใหญ่ ให้ผลดก มีเกลื่อนกลาดห่อหุ้ม เม็ดมากเปลือกบาง ขัดขวางโรค และก็มีขณะสำหรับในการได้ผลที่ช้านาน ประเภทนี้จะให้ทั้งยังผลที่มีสีม่วงแล้วก็ผลสีเหลือง สามารถเก็บผลิตผลได้ตลอดทั้งปี
 
การขยายพันธุ์
 
เสาวรส สามารถเติบโตได้ดิบได้ดีในสภาพอากาศของเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นเขตอากาศเย็นทางภาคเหนือ หรือเขตอากาศร้อนเปียกชื้นทางภาคกึ่งกลางแล้วก็ ภาคทิศตะวันออก ซึ่งเป็นพืชที่ปลูกได้ง่าย การรักษาไม่ยุ่งยาก แต่ให้ผลผลิตต่อไร่สูง
ส่วนการขยายพันธุ์เสาวรสสามารถขยายพันธุ์ได้จากต้นกล้าที่เพาะเม็ด รวมทั้งต้นกล้าที่ได้จากการปักชำหรือการทำหมันเถา แต่ส่วนมากนิยมนำมาปลูกจากเมล็ดเยอะที่สุด โดยมีวิธีการดังนี้
การเตรียมเม็ด เม็ดที่ใช้เพาะกล้า ควรที่จะเลือกจากผลเสาวรสที่ส่งผลขนาดใหญ่ ผลมีความสมบูรณ์ เปลือกผลเป็นมันวาว ไม่มีรอยกัดแทะเล็มของแมลง โดยนำเม็ดมาใส่ผ้าขาวบางแล้วก็ค่อยนำไปขยี้ให้น้ำ และเยื่อห่อเม็ดหลุดออกจากเม็ด แล้วต่อจากนั้นนำเม็ดมาล้างทำความสะอาด ก่อนจะนำเมล็ดมาตากตากแดดให้แห้ง นาน 5-7 วัน เก็บพักไว้ในที่ร่มนาน 1-2 เดือน ค่อยนำมาเพาะ ภายหลังพักเม็ดไว้ 1-2 เดือนแล้ว ก่อนเพาะให้นำเมล็ดมาแช่น้ำไว้ 1 คืน การเพาะเมล็ดอาจเพาะในถุงเพาะชำได้โดยตรง หรือหยอดเพาะในกระบะเพาะก่อน และหลังจากนั้นก็ค่อยแยกลงเพาะต่อในถุงเพาะชำได้
การเตรียมแปลงปลูก การปลูกเสาวรสในแปลงใหญ่จำนวนหลายต้นควรต้องเตรียมแปลงก่อน โดยการไถลูกพรวนดิน 1-2 รอบ พร้อมกำจัดวัชพืชออกให้หมด แล้วต่อจากนั้น ขุดหลุมปลูกขนาดโดยประมาณ 30 เซนติเมตร โดยให้ลึกประมาณ 30 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างแถว รวมทั้งระยะห่างระหว่างต้นหรือหลุม ราว 2-3 เมตร จากนั้น ปลดปล่อยหลุมผึ่งแดดไว้ 3-5 วัน
กรรมวิธีการปลูก ก่อนปลูก ให้โรยตูดหลุมด้วยปุ๋ยมูลสัตว์ 3-5 กำมือ แล้วก็ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ราวๆ 1 หยิบมือ ก่อนคลุกหน้าดินลงผสม ก่อนฉีกถุงดำออก แล้วนำต้นกล้าเสาวรสลงปลูกในหลุม พร้อมกลบดินให้แน่นพอประมาณ แล้วหลังจากนั้น นำไผ่มาปักข้างหลุม เพื่อลำต้นอิงเติบโตสักระยะ
กระบวนการทำค้าง เป็นเรื่องจำเป็น เพราะเสาวรสเป็นไม้เถาเลื้อย ต้องเกาะเลื้อยตามสิ่งของต่างๆการเตรียมค้าง ควรเตรียมข้างหลังการขุดหลุมปลูกเสร็จหรือทำร่วมกับการขุดหลุมปลูก หรืออาจทำหลังการปลูก แต่ควรระวังไม่ให้ต้นพันธุ์เกิดอันตรายระหว่างทำค้าง
การเตรียมค้างทำเป็นโดยการใช้เสาคอนกรีตหรือเสาไม้มาฝังใกล้กับต้นเสาวรสตามแนวยาวของแถว แล้ว ใช้ลวดกางโยงแต่ละเสาตามแนวยาว แล้วค่อยขึงโยงตัดตามแนวขวางให้เป็นตารางสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดประมาณ 50×50 ซม.
 
ส่วนประกอบทางเคมี
 
ในน้ำเสาวรสเจอสาระสำคัญ ตัวอย่างเช่น Carotenoid (ติดอยู่โรทีนอยด์) Pectin methyhesterase (เอนไซม์ เพคทนเมทิลเอสเตอเรส) Catalase (คาทาเลส) Leucine (ลิวซีน) Valine (วาลีน) Tyrosine (โทโรซีน) Prline (โพรลีน) Threonine (ทรีโอนีน) Glycine (ไกลซีน) Aspertic acid (กรดแอสพาร์ทิก) Arginine (อาร์จินีน) Lysine (ไลซีน) Alkalod (อัลคาลอยด์) ส่วนค่าทางโภชนาการของเสาวร
ประโยชน์/สรรพคุณ
เม็ดพร้อมเยื่อหุ้มเมล็ดเอามาคั้นหรือปั่นเป็นน้ำผลไม้ดื่ม ให้รสเปรี้ยวจัด หรือปั่นผสมกับผลไม้อื่นที่มีรสหวาน เพื่อเพิ่มความหวาน อาทิเช่น ประเทศทางแถบอเมริกาใต้นิยมนำเยื่อห่อเมล็ด รวมทั้งเปลือกมาปั่นผสมกับน้ำตาล ได้เครื่องดื่มที่เรียกว่า refresco หรือใช้ผสมกับน้ำผลไม้ชนิดอื่น ตัวอย่างเช่น น้ำแอปเปิ้ล น้ำส้ม น้ำสัปปะรด น้ำพีช ฯลฯ โดยอัตราการผสมน้ำเสาวรสราว 5 หรือ 10 เปอร์เซ็นต์ เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและรสที่ดี ซึ่งเป็นที่นำยมกันอย่างแพร่หลายในต่างชาติ เพราะนอกจากทำให้เครื่องดื่มมีกลิ่นหอมสดชื่นแล้วก็รสที่ดีขึ้นแล้ว ยังมีคุณค่าทางอาหารสูง และก็น้ำเสาวรสยังสามารถเอาไปใช้แต่งกลิ่นรวมทั้งรสของไอติม ขนมเค้ก เยลลี่ เชอร์เบท พาย ลูกอมไวน์ ฯลฯ
แล้วก็เยื่อหุ้มห่อเมล็ดยังดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆอาทิเช่น เสาวรสผง แยมเสาวรส รวมทั้งเยลลี่เสาวรส ส่วนเปลือกเสาวรสมีคาร์โบไฮเดรต และโปรตีนสามารถนำมาตากแห้งหรือใช้สดเป็นของกินเลี้ยงโค กระบือ แกะแพะ และหมู ได้
นอกเหนือจากนั้นยังมีการนำเสาวรสนำมาสกัดสารสำหรับเป็นส่วนผสมของเครื่องแต่งตัว โดยเฉพาะครีมที่เอาไว้ดูแลผิว เพราะเหตุว่ามีสารที่สามารถสะท้อนรังสียูวีได้ และก็ในงานศึกษาเรียนรู้วิจัยได้กำหนดไว้ว่า เสาวรสอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ แร่ธาตุ วิตามินและเส้นใย ในช่วงเวลาที่เสาวรส 100 กรัม ให้พลังงานเพียงแค่ 51-60แคลอรีเท่านั้น แล้วก็เสาวรส100 กรัม ให้วิตามินซีถึง 30 มิลลิกรัม การกินเสาวรสบ่อยๆแล้วจะห่างไกลจากไข้หวัด รวมทั้งยังช่วยทำให้มีภูมิคุ้มกันโรคที่แข็งแรง
เสาวรสดีต่อการขับถ่าย เนื่องจากมีไฟเบอร์สูง จึงสามารถช่วยกำจัดคอเลสเตอรอลในร่างกายได้ อีกทั้งยังช่วยขับสารพิษในไส้ คุ้มครองป้องกันโรคมะเร็งลำไส้อีกด้วย
เสาวรสบำรุงสายตาได้ดีเยี่ยม เพราะว่าอุดมไปด้วยวิตามินเอ และยังมีสารฟลาโวนอยด์อย่างเบต้าแคโรทีนและก็คยึดโทแซนทินเบต้า(cryptoxanthin-ß) ซึ่งสารเหล่านี้มีคุณสมบัติของสารต้านอนุมูลอิสระ พร้อมกันไปกับวิตามินเอที่ช่วยทำนุบำรุงสายตาได้อย่างดีเยี่ยม
ส่วนสรรพคุณตามตำรายาไทยระบุไว้ว่า ยอด สามารถรับประทานเป็นผักสด แต่ว่าจะมีรสขมบางส่วนอาจนำมาจิ้มน้ำพริกหรือนำไปแกงยอดเสาวรสก็ได้ แก่นไม้ ใช้เป็นยาควบคุมธาตุ ทำลายพิษ และใช้รักษาบาดแผล ราก แก้ไข้ รักษาผื่นคัน และรักษาโรคกามโรค โดยนำรากไปต้มน้ำใบ นำมาตำแล้วคั้นมัวแต่น้ำ กินเป็นยาถ่ายพยาธิได้ ดอกขับเสลด แก้ไอ ผลแก่ ใช้คั้นเอาน้ำกินเป็นน้ำผลไม้ช่วยลดไขมันในเลือดเป็นยาระบาย และยังมีคุณประโยชน์ ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ ลดความดับเลือด และก็โรคกระเพาะเยี่ยวอักเสบ
ต้นแบบ / ขนาดวิธีการใช้
โดยธรรมดาแล้ว ชอบนำเสาวรสสุกมาทำเป็นน้ำผลไม้หรือใช้กินสดๆก็สามารถได้ประโยชน์จากสารออกฤทธิ์ต่างๆของเสาวรสแล้วส่วนในคัดค้านการนำมาใช้เป็นสมุนไพรก็มีการมาใช้ เช่น นำรากเสาวรสไปต้มแล้วใช้ดื่มช่วยแก้ไข้ รักษาตามโรค แก้ผื่นคัน หรือนำใบมาต้มกับน้ำใช้รับประทานสามารถใช้เป็นยาถ่ายพยาธิได้ หรือจะใช้เนื้อในของผลสุกมาทำเป็นน้ำผลไม้ดื่ม จะช่วยลดไขมันในเลือด ลดระดับความดันเลือดและช่วยทำให้ระบายได้ เป็นต้น
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา
 
สำหรับการทดลองฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระในหลอดทดลอง (in vitro) พบว่า สารสกัดเอทานอล 80% จากเนื้อห่อหุ้มเม็ดของเสาวรสทั้งจำพวกผลสีม่วงแล้วก็ผลสีเหลืองมีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระเมื่อทดลองด้วยวิธี 2,2-azino-bis (3-ethylbenzthiazoline-6-sulphonic acid) decolorization assay (ABTS assay), H2O2 scavenging assay และ 2,2-diphenyl-1-picrylhydrazyl radical scavenging capacity assay (DPPH assay) จากผลการค้นคว้าดังที่ได้กล่าวมาแล้วแสดงให้เห็นว่า น้ำเสาวรสมีคุณค่าทางโภชนาการรวมทั้งมีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ เหมาะกับใช้เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ใยอาหารส่วนที่ไม่ละลายน้ำ (insoluble fiber-rich fraction) จากเมล็ดเสาวรสมีฤทธิ์ลดไขมันในเลือด เมื่อทดลองผสมลงในอาหารที่มีไขมันสูง (hypercholesterolemic diet) ปริมาณ 5% แล้วใช้เลี้ยงหนู แฮมสเตอร์นาน 30 วันพบว่า ไตรกลีเซอไรด์แล้วก็คอเลสเตอรอลในเลือดรวมทั้งในตับหนูต่ำลงอย่างเป็นจริงเป็นจัง และพบว่ามีไขมันในน้ำดีแล้วก็ในอุจจาระที่ขับถ่ายออกมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม แล้วก็สำหรับการป้อน น้ำคั้นเสาวรสจำพวกเปลือกสีเหลืองให้แก่หนูแรทขนาด 1,000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม วันละ 2 ครั้ง นานติดต่อกัน 28 วัน มีผลลดค่าไขมันและ LDL (low-density lipoprotein) ใน เลือดและก็เพิ่มค่า HDL (high-density lipoprotein) นอกเหนือจากนี้ยังส่งผลลดค่า thiobarbituric acid reactive substance (TBARS) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึง การเกิดปฏิกิริยาขบวนการออกซิเดชันของไขมัน (lipid peroxidation) แสดงให้เห็นว่าเมล็ดเสาวรสรวมถึงน้ำจากส่วนเยื่อหุ้มเมล็ดมีฤทธิ์ลดไขมันในเลือด รวมทั้งต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระที่เกิดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันของไขมันได้ นอกจากนี้การป้อนส่วนเนื้อห่อหุ้มเม็ดของเสาวรสประเภทเปลือกสีเหลืองให้แก่หนูแรทที่มีความดันโลหิตสูง ขนาดวันละ 5 – 8 กรัม/กิโลกรัม นานติดต่อกัน 5 วัน มีผลทำให้ค่าความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัวต่ำลง รวมทั้งพบว่าระดับglutathione ในเยื่อไตสูงขึ้น และสามารถยับยั้งการเกิดสาร TBARS ได้ผลการทดสอบดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วทำให้เห็นว่าส่วนเนื้อหุ้มห่อเมล็ดของเสาวรสมีฤทธิ์ลดความดันเลือดและฤทธิ์ต้านการเกิดอนุมูลอิสระ
 
การศึกษาทางคลินิก
การศึกษาฤทธิ์

 
ต้านอนุมูลอิสระของน้ำคั้นเสาวรสในกรุ๊ปอาสาสมัครคนแก่ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) ที่มีสุขภาพแข็งแรงและไม่มีภาวการณ์ของโรคร้ายแรงปริมาณ 60 คน ทั้งเพศชายและก็หญิง โดยให้อาสาสมัครดื่ม น้ำคั้นเสาวรสทั้งยังจากประเภทผลสีม่วงแล้วก็ผลสีเหลืองวันละ 1 แก้ว (โดยประมาณ 125 มิลลิลิตร) หลังจากรับประทาน อาหารมื้อกลางวัน นานติดต่อกัน 4 สัปดาห์เก็บตัวอย่างเลือดของอาสาสมัครอีกทั้งช่วงก่อนและหลังดื่มน้ำคั้น เสาวรส เพื่อตรวจวัดค่าทางชีวเคมีในเลือดและก็เปรียบผลของการเปลี่ยนแปลง ผลจากการเรียนพบว่า การกินน้ำคั้นเสาวรสทั้งจำพวกผลสีม่วงรวมทั้งสีเหลืองส่งผลทำให้จำนวนวิตามินเอและก็วิตามินอีในร่างกาย เพิ่มสูงมากขึ้น และก็มีผลเพิ่มลักษณะการทำงานของเอนไซม์ที่เกี่ยวพันกับวิธีการต้านการเกิดอนุมูลอิสระ อย่างเช่น superoxide dismutase (SOD) และ catalase นอกเหนือจากนั้นยังส่งผลยับยั้งการแสดงออกของโปรตีนที่เกี่ยวโยง ในวิธีการอักเสบคือ interleukin-6 (IL-6) และก็ tumor necrosing factor-α (TNF-α) อีกด้วย
ส่วนการเล่าเรียนทางสถานพยาบาลอีกชิ้นหนึ่งระบุว่าการทดสอบโดยให้อาสาสมัคร 9 คน(ทั้งยังชายแล้วก็หญิง) ที่มีอายุระหว่าง 20-35 ปี กินแคปซูลสารสกัดน้ำหรือชา (เข้มข้น 10%) จากส่วนใบเสาวรส วันละ 4 แคปซูลก่อนอน ติดต่อกันเป็นเวลานาน 1 อาทิตย์ พบว่าไม่แตกต่างอย่างเป็นจริงเป็นจังระหว่างอาสาสมัครกรุ๊ปที่ระบบประทานแคปซูลเสาวรสแล้วก็กลุ่มที่ได้รับยาหลอกในเรื่องผลการนอน กลับพบว่าอาสาสมัครกรุ๊ปที่ระบบประทานแคปซูลเสาวรสบางรายมีค่าโปรตีนรวมทั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ ไตแล้วก็ตับเพิ่มสูงมากขึ้นได้แก่ bilirubin, uric acid, creatinine phosphokinase และก็ glutamic-oxaloacetic transaminase
 
คำแนะนำ / ข้อควรคำนึง
 
1. การกินเสาวรสอาจจะก่อให้เกิดผลใกล้กัน ดังเช่นว่า หน้ามืดศีรษะ รู้สึกงงงวย กล้ามเนื้อดำเนินงานเปลี่ยนไปจากปกติ ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลงไป หลอดเลือดอักเสบ บางรายพบแถลงการณ์ว่ามีลักษณะคลื่นไส้ อ้วก ง่วงซึม หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นไม่ปกติ
2. จากการทดลองในหลอดทดสอบ (in vitro) น้ำคั้นเสาวรสมีฤทธิ์ยั้ง โปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีCYP450 ชนิดCYP3A4 เมื่อทดสอบบนเซลล์human liver microsomes ฉะนั้นจะต้องระแวดระวัง การดื่มน้ำคั้นเสาวรสร่วมกับกรุ๊ปแผนปัจจุบันที่ต้องอาศัยเอนไซม์ดังที่กล่าวผ่านมาแล้วในกรรมวิธีเผาผลาญยา
3. หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรรับประทานเสาวรสเนื่องจากว่าสารเคมีบางตัวในเสาวรสอาจทำให้มดลูกหดตัว
4. ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดควรหยุดกินเสาวรสขั้นต่ำ 2 อาทิตย์ เพราะว่าเสาวรสอาจมีผลต่อระบบประสาทศูนย์กลางซึ่งอาจไประงับฤทธิ์ยาสลบหรือยาตัวอื่นต่อสมองในตอนผ่าตัดรวมทั้งภายหลังผ่าตัดได้
 

เอกสารอ้างอิง

  • ศุภวัชร สิงห์ทอง, เสนีย์ เครือเนตร, ศุภพงษ์ อาวรณ์. ผลของน้ำเสาวรสต่อการต้านอนุมูลอิสระและต้าน การอักเสบในผู้สูงอายุและในหลอดทดลอง. กรุงเทพมหานคร : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย; 2557. Report No. RDG5420047.
  • การใช้สมุนไพร.กระดานถาม-ตอบ สำนักงานข้อมูลสมุนไพร มหาวิทยาลัยมหิดล.ธิดารัตน์ จันทร์ดอน.ผลไม้โครงการหลวงกับงานวิจัยเกี่ยวกับสุขภาพ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • "Passion Fruit: Background, Nutrition, Preparation". Exotic Fruit for Health. 25 August สืบค้นเมื่อ 18 September 2011.
  • เสาวรส/กะทกรกฝรั่ง สรรพคุณและการปลูกเสาวรส.พืชเกษตรดอทคอมพิชานันท์ ลีแก้ว . เสาวรส ผลไม้สำหรับผู้รักสุขภาพ. สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.https://www.disthai.com/
  • เสาวรส.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.Mallhi TH, Sarriff A, Adnan AS, Khan YH, Qadir MI, Hamzah AA, et al. Effect of fruit/vegetable-drug interactions on CYP450, OATP and p-glycoprotein: A systematic review. Trop J Pharm Res. 2015;14(10):1927-35.
  • de Souza Mda S, Barbalho SM, Damasceno DC, Rudge MV, de Campos KE, Madi AC, et al. Effects of Passiflora edulis (yellow passion) on serum lipids and oxidative stress status of Wistar rats. J Med Food. 2012;15(1):78-82.
  • Patel SS. Morphology and pharmacology of Passiflora edulis: a review. J Herb Med Toxicol. 2009;3(1):1-6
  • Konta EM, Almeida MR, do Amaral CL, Darin JD, de Rosso VV, Mercadante AZ. Evaluation of the antihypertensive properties of yellow passion fruit pulp (Passiflora edulis Sims f. flavicarpa Deg.) in spontaneously hypertensive rats. Phytother Res. 2014;28(1):28-32.
  • Chau CF, Huang YL. Effects of the insoluble fiber derived from Passiflora edulis seed on plasma and hepatic lipids and fecal output. Mol Nutr Food Res. 2005;49(8):786-90
  • Tala Y, Anavia S, Reismana M, Samachb A, Tirosha O, Aron M, et al. The neuroprotective properties of a novel variety of passion fruit. Journal of Functional Foods 2016;23:359- 69.
  • Hidaka M, Fujita K, Ogikubo T, Yamasaki K, Iwakiri T, Okumura M, et al. Potent inhibition by star fruit of human cytochrome P450 3A (CYP3A) activity. Drug Metab Dispos. 2004;32(6):581-3




Tags : เสาวรส

5

เพชรสังฆาต
ชื่อสมุนไพร  เพชรสังฆาต
ชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น สันชะควด (ภาคกลาง) , สันชะคาด , ขันข้อ (ราชบุรี) , สามร้อยต่อ (ประจวบคีรีขันธ์)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Cissus quadrangularis Linn.
วงศ์  Vitaceae
ถิ่นกำเนิด
เพชรสังฆาตเป็นพืชเขตร้อนที่มีบ้านเกิดในเขตร้อนของทวีปเอเชีย รวมทั้งแอฟริการวมทั้งมีการแพร่ขยายจำพวกไปตามประเทศเขตร้อนของทวีปดังที่ได้กล่าวมาแล้ว โดยมักพบตามบริเวณป่าหรือที่เปียกชื้นที่มีระดับความสูงไม่เกิน 600 เมตรจากระดับน้ำทะเล ส่วนในประเทศไทยพบบ่อยตั้งแต่ภาคเหนือตอนล่างลงไป และมักจะมีดอกแล้วก็ติดผลในช่วงเดือน เดือนมิถุนายน-สิงหาคม
ลักษณะทั่วไป
เพชรสังฆาตจัดเป็น ไม้เถาเลื้อย โดยมีเปลือกเถาเรียบ เถาอ่อนรูปสี่เหลี่ยมเป็นครีบ เป็นข้อๆต่อกันเห็นข้อข้อแจ้งชัด ลักษณะเป็นข้อๆตรงข้อเล็กรัดตัวลงแต่ละข้อยาวราว 6-10 ซม. บางข้ออาจมีรากออกมาด้วย มีมือเกาะออกตรงข้อต่อตรงข้ามกับใบ ตามข้อมียางขาว ใบคนเดียว เรียงสลับ ออกตามข้อต้น ข้อละ 1 ใบ กว้าง 3-8 ซม. ยาว 4-10 ซม. ใบเป็นสามเหลี่ยมหรือรูปไข่ กลมครึ้ม เล็ก ผิวเรียบ ปลายใบมน โคนใบเว้า หลังใบและท้องใบเรียบเป็นเงา ขอบใบหยักมนห่างๆหรือหยักเว้า 3-5 หยัก เนื้อใบนิ่ม ก้านใบยาว 2-3 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อ ออกตามข้อต้นตรงข้ามกับใบ ดอกกลมเล็กสีแดงเขียวเป็นช่อขนาดเล็ก ยาวราว 2-4 เซนติเมตรดอกย่อยสีเขียวอ่อน มีขนาด 2.5 มิลลิเมตร กลีบดอกไม้มี 4 กลีบโคนกลีบภายนอกมีสีแดง ส่วนกลีบดอกไม้ด้านในสีเขียวอ่อน เมื่อบานเต็มที่ดอกจะงอโค้งไปทางด้านล่าง เกสรตัวผู้มี 4 อันวางตรงกับกลีบ ผลสดรูปทรงกลม ผิวเรียบเป็นมัน ชุ่มฉ่ำน้ำ ผลกลมขนาด 4-7 มม. ผลอ่อนสีเขียว พอเพียงสุกเป็นสีแดงหรือดำ เม็ดกลมสีน้ำตาลมี 1 เมล็ด
การขยายพันธุ์
เพชรสังฆาตนิยมใช้วิธีการปักชำโดยมีวิธีการเป็น คัดเถาที่มีลักษณะเหมาะสม เป็น ควรเป็นเถาที่มีลักษณะครึ่งหนึ่งแก่กึ่งอ่อน เอามาตัดเป็นท่อนให้แต่ละท่อนมีข่อติดอยู่จำนวน2 ข้อแล้ว ทำปักชำท่อนจำพวกโดยใช้ข้อทางด้านโคนของเถาฝังลงดินแล้วกลบให้แน่น รดน้ำให้ชุ่ม และก็ควรจัดวางถุงต้นกล้าที่ปักชำเอาไว้ในที่ร่ม ในส่วนของข้อที่เหลืออยู่ด้านบนจะเป็นรอบๆที่แตกใบใหม่เพื่อเจริญเป็นเถาต่อไป
องค์ประกอบทางเคมี
เถาของเพชรสังฆาตมีส่วนประกอบทางเคมี อย่างเช่น natural plant steroids (ketosterones): onocer-7-ene-3 alpha, 21 beta-diol, delta-amyrin, delta-amyrone รวมทั้ง 3,3',4,4'- tetrahydroxybiphenyl สารกรุ๊ป stilbene: quadrangularins A, B, C, resveratrol, piceatannol, pallidol , parthenocissine A.สารในกลุ่ม flavonoids ดังเช่น diosmin, hisdromin, hesperidin. รวมไปถึง ascorbic acid (vitamin C), lupeol, carotene รวมทั้ง calcium oxalate.
ประโยชน์/คุณประโยชน์
ตามตำรายาไทย ระบุว่า เถา รสร้อนขมคัน เป็นยาแก้ริดสีดวงทวารหนัก แก้โรคลักปิดลักเปิด แก้รอบเดือนแตกต่างจากปกติ แก้กระดูกแตกหักซ้น ขับลมในลำไส้ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ริดสีดวงทวารทั้งยังจำพวกกลีบมะไฟแล้วก็เดือยไก่
• ราก รักษาอาการกระดูกแตกหัก
• ต้น แก้หูน้ำหนวก แก้เลือดกำเดา แก้ระดูไม่ปกติ ช่วยเจริญอาหาร ช่วยขับน้ำเหลืองเสีย
• ใบ รักษากระดูกแตกหัก รักษาโรคลำไส้ (อาการอาหารไม่ย่อย) ช่วยขับน้ำเหลืองเสีย แก้ริดสีดวงทวารหนัก
นอกนั้นในงานค้นคว้าวิจัยทางการแพทย์แผนปัจจุบันยังกำหนดไว้ว่าเพชรสังฆาต มีประสิทธิภาพที่ดีในการรักษาริดสีดวงทวารหนักโดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดอาการคัน ปวดการเกิดเลือดไหล และก็กลับกลายซ้ำ
ทั้งในขณะนี้ได้มีงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยพบว่า "เพชรสังฆาต" มีวิตามินซีสูงมากซึ่งการันตีคุณประโยชน์รักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้เป็นอย่างดี และยังอุดมไปด้วยแคโรทีนซึ่งเป็นสารขึ้นต้นของวิตามินเอ มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่สำคัญมีองค์ประกอบของแคลเซียมสูงมาก และสารอที่นาโบลิก สเตียรอยด์ (Anabolic Steroids) ที่มีฤทธิ์เร่งปฏิกิริยาการสมานกระดูกที่แตกหักโดยกระตุ้นการสร้างเซลล์ออสเตโอบลาสต์ (Osteoblast) ซึ่งทำหน้าที่สร้างกระดูกรวมทั้งยังช่วยทำให้มีการสร้างสารมิวโคโพลีแซกคาไรด์ (Mucopolysaccharides) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในกรรมวิธีการสมานกระดูก นอกเหนือจากนี้สารคอลลาเจน (Collagen) ในเพชรสังฆาตยังเป็นสารอินทรีย์โปรตีน ที่มาจับกุมกับผลึกแคลเซียมฟอสเฟตจนกระทั่งแปลงเป็นกระดูกแข็งซึ่งสามารถรับน้ำหนักรวมทั้งมีความยืดหยุ่นในตนเองอีกด้วย
ยิ่งไปกว่านี้เพชรสังฆาตยังสามารถใช้ปลูกเพื่อเป็นไม้ประดับ เนื่องมาจากเพชรสังฆาตเป็นไม้เถาเลื้อยมีลักษณะรูปทรงเป็นสีเหลี่ยมแปลกตา มีดอกและผลเป็นช่อสีแดงสวย สามารถนำไปปลูกประดับประดาบริเวณรั้วบ้าน ซุ้มไม้หรือรอบๆโคนต้นไม้ใหญ่เพื่อให้เถาก้าวหน้าเลื้อยพันขึ้น
แบบอย่าง/ขนาดวิธีการใช้
ในอดีตการใช้เพชรสังฆาตรักษา ริดสีดวงทวารหนักจะทำ โดยนำ เถาสดใส่กล้วยหรือ มะขามแล้วกลืน (ด้วยเหตุว่าเพชรสังฆาตมีแคลเซียม ออกซาเลต (calcium oxalate) การกลืนเถาสดอาจ เกิดการเคืองทางเดินอาหารได้) ต่อมาได้มี การนำ เพชรสังฆาตมาผลิตให้อยู่ในต้นแบบแคปซูลเพื่อให้ไม่ยุ่งยากต่อการบริหารยา
โดยในรูปยาผงบรรจุแคปซูล 250 มก. ให้กินทีละ 2 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหารและก่อนนอน เป็นเวลา 5-7 วัน
หนังสือเรียนยาประจำถิ่นนครราชสีมา ใช้ ต้น แก้ริดสีดวงทวารโดยหั่นเป็นแว่น ตำผสมเกลือนำไปตาก ปั้นเป็นลูกกลอน รับประทานทีละ 1 เม็ด 3 เวลา หรือใช้เถาสดคั้นเอาน้ำดื่ม แก้โรคลักปิดลักเปิด แก้ประจำเดือนไม่ดีเหมือนปกติ แก้กระดูกแตกหักซ้นขับลมในไส้
ตำรับยาสมุนไพรท้องถิ่นล้านนา ใช้น้ำจากต้น หยอดหู แก้น้ำหนวกไหล หยอดจมูกแก้เลือดเสียในสตรีใช้เถาตำละเอียดเป็นยาพอกบริเวณกระดูกหักช่วยลดอาการบวม อักเสบ น้ำคั้นจากเถาใช้ดื่มแก้เลือดไหลตามไรฟัน แก้เลือดรอบเดือนสตรีผิดปกติ รักษาริดสีดวงทวารที่เริ่มเป็นระยะแรก
ส่วนอินเดีย ใช้ ลำต้น เป็นยาพอกเมื่อกระดูกหัก น้ำคั้นจากต้นรับประทานแก้โรคลักปิดลักเปิด แก้อาการผิดปกติของรอบเดือน
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา
ผลต่อแรงตึงตัวของเส้นเลือดดำ สารสกัดเพชรสังฆาตมีฤทธิ์กระตุ้นหลอดเลือดดำ ให้มีความตึงตัวมากขึ้น คล้ายกับส่วนประกอบของไบโอฟลาโวนอยด์ 2 ชนิด ได้แก่ ไดออสมิน 90%แล้วก็ฮิสเพอริดิน 10% ที่พบในตำรับยาแผนปัจจุบัน สำหรับใช้รักษาริดสีดวงทวาร
ฤทธิ์ต้านทานการอักเสบรุนแรง สารสกัดเมทานอลยับยั้งการบวมของใบหู รวมทั้งการบวมของอุ้งเท้าของหนูขาว ที่ถูกกระตุ้นด้วยสารเคมี
สารสกัดเฮกเซนที่ความเข้มข้นร้อยละ 1 รวมทั้งสารสกัดเอทานอลที่ความเข้มข้นจำนวนร้อยละ 5 ลดอาการบวมของใบหูหนูที่รั้งนำด้วยสารเคมี พอดีเวลา 30 นาที ตรวจพบส่วนประกอบทางเคมีของสาร lupeol ในสารสกัดเฮกเซน
ฤทธิ์แก้ปวด สารสกัดเมทานอลลดจำนวนครั้งที่หนูถีบจักรยืดบิดตัวจากลักษณะของการเจ็บปวดท้องเพราะว่าได้รับกรดอะซีติเตียนกที่ฉีดเข้าทางช่องท้อง และก็ลดระยะเวลาของการเลียเท้าหลังทั้งยัง 2ระยะ ในการทดสอบด้วยการฉีดฟอร์มาลิน แสดว่าออกฤทธิ์แก้ปวดผ่านทั้งระบบประสาทส่วนกลาง และส่วนปลาย
ฤทธิ์คุ้มครองป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร สารสกัดเอทานอล สามารถลดการเกิดแผลในกระเพาะหนูขาวที่ถูกรั้งนำให้เป็นแผลด้วยแอสไพริน เมื่อให้สารสกัดขนาด 250, 500 รวมทั้ง 750 มก./กก. ให้หนูกินนาน 7 วัน ลดการเกิดแผลได้ 40, 71.2 แล้วก็ 72.6% ตามลำดับ เปรียบเทียบกับranitidine ขนาด 30 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ลดการเกิดแผล 71.9% ฉะนั้นสารสกัดขนาด 500 มิลลิกรัม/กก. เป็นขนาดที่ยอดเยี่ยม เนื่องมาจากออกฤทธิ์ใกล้เคียงกับ Ranitidine รวมทั้งได้ผลไม่ต่างอะไรกับขนาด 750 มิลลิกรัม/กิโลกรัมจะลดการทำลายเยื่อในกระเพาะอาหาร แล้วก็รายงานการวิจัยอีกฉบับหนึ่งบอกว่า การเรียนประสิทธิผลและก็ผลข้างเคียงของการใช้สมุนไพรเพชรสังฆาตในคนป่วยโรคริดสีดวงทวารระยะทันควัน จำนวน 570 คน โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กรุ๊ปที่ได้รับยาที่มีส่วนผสมของฟลาวานอยด์ (Daflon 500 มก./เม็ด) กลุ่มที่ได้รับสมุนไพรเพชรสังฆาต (500 มิลลิกรัม/เม็ด) และกลุ่มที่ได้รับยาหลอก ในตอน 4 วันแรก ให้รับประทานครั้งละ 3 เม็ด ตอนเช้าและก็เย็นหลังอาหาร แล้วก็ตอน 3 วันหน้า ได้รับครั้งละ 2 เม็ด ยามเช้าแล้วก็เย็น หลังรับประทานอาหาร คนป่วยจะได้รับการวัดอาการต่างๆเป็น เลือดไหลทางทวารหนัก เมือก อาการคัน รอยแดงหรืออักเสบรอบทวารหนัก และการสัมภาษณ์เพื่อซักถามอาการ รวมถึงมีการตรวจเลือดแล้วก็ติดตามผลกระทบของการได้รับยาหรือสมุนไพรพร้อมกันไปพร้อมด้วย
ผลการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ป่วยในทุกกรุ๊ปส่วนมากอาการเลือดไหลฉับพลันจะหยุดในวันที่ 2 ของการให้ยา และก็มีลักษณะดียิ่งขึ้นหลังการให้ยาครบ 7 วัน ประสิทธิผลของการรักษาในผู้เจ็บป่วยทุกกลุ่มไม่ได้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และไม่ส่งผลข้างเคียงเกิดขึ้น สรุปได้ว่าเพชรสังฆาตได้ผลในการรักษาริดสีดวงทวารในระยะกระทันหันไม่ได้ต่างอะไรจากยาที่มีส่วนผสมของฟลาวานอยด์และก็ยาหลอก แปลว่าเพชรสังฆาตไม่มีผลช่วยในการรักษาริดสีดวงทวารในระยะทันควัน
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา
ความเป็นพิษกระทันหัน เมื่อทดสอบความเป็นพิษโดยให้หนูขาวกิน ขนาด 0.5 – 5.0 ก./กก
ไม่เจอพิษใดๆก็ตาม
ความเป็นพิษครึ่งเรื้อรัง (3 เดือน) ในหนูขาวจำพวกวิสตาร์ 5 กรุ๊ปๆละ 12 ตัว/เพศ กลุ่มควบคุมได้รับน้ำทางปาก 10 มล./น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน ระหว่างที่หนูอีก 4 กรุ๊ปได้รับผงยาเพชรสังฆาตแห้งทางปากในขนาด 0.03,0.3 รวมทั้ง 3.0 กรัม/น้ำหนักตัว 1 กก/วัน หรือเทียบเท่า 1,10 และก็ 100 เท่าของขนาดที่ใช้ในคน/วัน ตามลำดับ โดยกรุ๊ปสุดท้ายเป็นกลุ่มสังเกตอาการหลังการหยุดยา ผลการค้นคว้าพบว่าการเติบโตของกรุ๊ปสุดท้ายเป็นกรุ๊ปดูอาการข้างหลังการหยุดยา ผลการค้นคว้าพบว่าการเติบโตของกรุ๊ปได้รับผงยาและก็กลุ่มควบคุมไม่มีความแตกต่างกัน ไม่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวของค่าทางเลือดวิทยาและค่าทางซีรั่มวิชาชีวเคมี หรือจุลพยาธิสภาพของอวัยวะภายในที่มีความเชื่อมโยงกับขนาดของผงยา และไม่พบความไม่ดีเหมือนปกติใดๆก็ตามซึ่งสามารถสรุปได้ว่าเพราะว่าความเป็นพิษของผงยาเพชรสังฆาต
ข้อเสนอ/สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวัง

การรับประทานเพชรสังฆาตสด อาจก่อให้กำเนิดอาการระคายคอ ระคายเยื้อบุในปากเพราะเหตุว่าเถาสดมีผลึกแคลเซียมออกซาแลตอยู่มาก
2. ห้ามกินติดต่อกันนานเกิน 2 สัปดาห์เพราะว่าอาจจะก่อให้เกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ผู้เจ็บป่วยโรคไตห้ามรับประทาน
3. การใช้สมุนไพรเพชรสังฆาตควรจะขอความเห็นหมอหรือผู้ชำนาญในการใช้เสมอ เพราะเหตุว่าอาจจะทำให้เกิดผลใกล้กันที่ไม่พึงปรารถนาได้ ดังเช่นว่า ตาเหลือง ตัวเหลือง เยี่ยวน้อย แน่นท้อง เป็นต้น
เอกสารอ้างอิง

  • นพมาศ สุนทรเจริญนนท์.เพชรสังฆาต.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • วีรพล ภิมาลย์และคณะ.การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบและการวิเคราะห์อภิมานประสิทธิภาพในการรักษาริดสีดวงทวารหนักของเพชรสังฆาต.วารสารเภสัชศาสตร์อีสาน.ปีที่10.ฉบับที่3.กันยายน-ธันวาคม.2557.หน้า403-418https://www.disthai.com
  • Panthong A, Supraditaporn W, Kanjanapothi D, Taesotikul T, Reutrakul V. Analgesic, anti-inflammatory and venotonic effects of Cissus quadrangularis Linn. J Ethnopharmacology 2007; 110 : 264–70.
  • เพชรสังฆาต.ฐานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีPanpimanmas S, Sithipongsri S, Sukdanon C, Manmee C. Experimental Comparative Study of the Efficacy and Side Effects of Cissus quadrangularis L. (Vitaceae) to Daflon (Servier) and Placebo in the Treatment of Acute Hemorrhoids. J Med Assoc Thai 2010; 93 (12): 1360-7.
  • ผลของการใช้เพชรสังฆาตในการรักษาโรคริดสีดวงทวารที่มีอาการเฉียบพลัน.ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • เพชรสังฆาต.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.J Med Assoc Thai 2010;93(12):1360-7



6

มะรุม แกงจืด หรือสูตรต้มจืด เป็นเมนูอาหารไทยที่เคยชินตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะแกงจืดผักกาดขาว แกงจืดวุ้นเส้น แกงจืดปลาหมึกยัดไส้ และแกงจืดเต้าหู้หมูสับ แหมyukyukykuง|คิดถึง|ระลึกrtjhtyjyukถึง|dfkลึกถึง}uilio;op;'op'sน้ำซุปร้อนๆเมื่iluรน้ำrthrtjyลายหกluiuilน้ำลายไหลมะรุมทุกครั้งสินะ uilสำหรับมื้อเย็นนี้หากykใครอยากทำรายการอาหารแiluilกงuilจืด กระปุกดอทคอมขอนำเสนอ 9 สูตรแกงจืด ได้แก่ แกงจืดiluuilเต้าหู้สอuyilดuilใส่ไส้เนื้อปลาuil แกงจืด uilyulฟักมะนio;io;dfrkyuklาวดอง แกงจืio;ดyuมy;uiluilะระยัดไส้uiluสับ แกงจืtkuluiดแตงกวายัดไส้ แกงจืดไข่ม้วนlหมูสับ|หมูบด}o;io;วุ้นเส้น อูย… ท้องร้อง ขอตัวปรุuyluiงอluiาหารก่อนนะคะ แกงจืด1. แกงจืดเต้าหู้ใส่ไส้เนื้อปลาขอเช็ดน้ำลายก่อนนะคะ แค่ภาพแกงจืดเต้าหู้สอดไส้เนื้อปลาก็ทำเอาไม่เป็นอันทำงานทำการกันเลย ในตอนนี้เนื้อปลารับประทานใdfkyห้ulสมใจuylนึกก็มาเขียนสูตรจากคุณบ่งบ๊ง สมาชิกเว็บykพันทิปดอทคอม สูตรนี้เป็นแกงluiจืดสไตtkล์สิงคโปร์ dfhftrhjคุณลัuiษณะเด่นคือ จับเต้าหู้ใส่ไส้เนื้อปลาปรุงรส ทั้งนี้อาจเพิ่มแตงกวา หรือมะระยัดไส้ไปได้ด้วยนะคะ มื้อนี้สงสัยytjต้อง|จะต้อง|จำต้อง|จำเป็นต้อง}ytkjyukรับประทานข้uykาluilวสองจานแน่ๆเลยจ้ะ {วิธีทำ|วิธีการทำ|แนวทางการทำ|กระบวนการทำ|jtyjtykuliuiขั้นตอนการtyแกsjงจืดเต้าหู้fyyukอดไส้เนื้อปลา 1. หั่นแบ่งเต้yukkหู้ขาวเป็น 4 ชิ้น แล้วผ่าครึ่งเพื่yukอให้มะรุมสอดไส้เข้าไปได้ แล้วหลังจากนั้นหั่นต้นหอมแล้วก็ผัluiเป็นท่อน พักไว้  2.likuiluilตำสามเพื่อน กระเทียม พริกไทย และก็รากผักชีให้ถี่ถ้วนแล้วyukนำมามะรุมyuคลุกyukyuกัkyukบเนื้อปลา jyu3.นำเนื้อปลาที่แต่kdงรสยัดไส้jtyไปในเต้yukหู้ แลyukะก็แตงกytวา หรือมะระ (ที่ประเทศสิงคโปร์เขาทำสามแบบ ไส้แตkuงร้าน ไส้มะdะ รวมทั้งhtyjtyไส้เต้าหู้)   4. นำหม้อใส่น้ำเปล่าลงไป ตั้งไฟให้เดือkjtyด ใส่ผงซุปkuไก่ลงไปyuk (อาจใส่เห็ดหอมหั่นลงไปต้มด้วย เพื่อได้กลิ่น) 5. เมื่อน้ำเดือดจัด ใส่เต้าหู้รวมทั้งแตงร้านยัดไส้ลงไuillป ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวมะรุม ถ้าหากเต้าหู้และfก็แตงร้านลอยขึ้นมาแปลว่าสุyuกดีแล้ว  6kuilui. ก่อนปิดไฟให้แบ่งใส่ต้นหอมและผักชีเล็กน้อยลงไป ใส่แครอทเพื่อเพิ่มuilสีสัน 7. ก่อนเสิร์ฟ โรยต้นหอม ผักชี แล้วก็พริกไทย ใส่กระเทียมเจียวลงไปuil

Tags : มะรุม

7
อื่น ๆ / ไพร ลักษณะทางวิชาพฤกษศาสตร์
« เมื่อ: พฤศจิกายน 13, 2018, 05:09:00 PM »

ไพร ลักษณะทางวิชาพฤกษศาสตร์ : ต้นแก้วเป็นไม้พุ่มถึงไม้ยืนต้นขนาดเล็ก แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มไม้ เปลือกสีน้ำตาลผสมเหลืองอ่อน ใบออกเป็นคู่แล้วก็เป็นใบรวมแบบขน ใบย่อยมีรูปไข่ หรือรูปไข่ที่ค่อนข้op';op'างยาว ใบมีกลิ่นหอมสดชื่น ไพรเมื่อส่องดูerasgrกับแสl;oi;งสว่างจะมองเห็นรอยต่อมน้ำมันบนใบ ใบมีสีเขียวเข้uilมuilรวมทั้งเป็นเงา ก้านดอi;กสีเ;io;ขียวkykอ่อน ykiulดอกสีข'opาวi'op'oppมีกลิ่นหอมสดชื่น ออกเป็นช่อดอก ผลสีหมากงดงาiมมาก uilขนrhtrjuykาp'ดเท่าผลdtuiluiljytyมะแว้งโตkyๆรูปไข่รี ปลายผลkjyukuyiluilทู่ สีส้มอมแดง ด้านในมี 1-io;oip';2 เม็ด ผลสุกรับประทานได้op'opแก้วเป็นพันธุ์พืชที่ปลู;io;ioกง่าย ตอนหรืulอหั;iluioกชำได้ มีขึ้นtyjtyjyuห่างๆtyตามป่าดิบทั่วไป และก็ตามบ้านเรือนrthoi;oi;มักl;ioจะปลูกเป็นรั้วเioป็นไม้ประ;ioดับluuบางคนจึงนิยมtrjhtyนำดอกแก้วไปถวาjtyjtyjyพระ ใบของดอกแก้วเองก็ดูเป็นuiมันทั้งสองด้านตัดกับสีของใบที่เข้มๆแล้วยิ่po';ไพรสวย เมื่อต้นแก้วส่งผuiluล ผลของต้นแก้tluiiykวoi;จะเป็นทรงรี หรือรูปทรงluiluคo;oi;ล้ายไข่ ที่เปuiluilลือกของ;io;oi;ผลแก้วจะมีต่อมไขมันiluilแลเห็นได้uiแจ้งชัดจ้oi;io;ะ ผลอ่อนจtykjyukyukะมีสีเขียว เพียงพอสุกเluiพิ่มมsrhrthrluithากขึ้นก็จะกลop'ยเป็นสีส้มอuiมแดง ต้นแก้ว[p[ นั้น มีluiสugilluilรรพคุณเป็luylนยาได้เfrluiกือบจะทั้งยังต้น ไม่ว่าจะเio;io;ป็น “ก้านแio;ก็op'ใบ” ที่พวกเราสาoi;มารถเก็บได้ตuilอด;ioทั้งปี จะเก็บรสข;iองก้านแล;ioะใบของต้นแก้วนั้น จะอuilอกเผ็ดไพรปนขมไปสักนิดสักหน่อย หากงคsgrthjtyluiujyวรล้างเอาดินออกให้หมด จนกkระทั่io;งuilสะอาดนะคะ ค่อยเอามาหั่uuillนเป็นแผ่นๆต่อจากioนั้นก็ผึ่งแดดไว้จน'oห้งuilรวมทั้งเก็kyuบขึ้นukyukyuไว้ใช้ค่ulะ รากต้นiluแก้วนั้น ก็มีรสเผ็ดปนขมราวใบuiluแล้วก็ก้าuilน แต่ว่ามีคุณประ'op'o'โยชน์ช่วยลดอากา'opรปวดเอว, บรuilรเทาอาการคันรวมทั้งลดอาการอักเสบจากแมลงกัดต่อยได้ และถ้าหากพวกเรานำ “รากไพรรวมทั้งใบ” มาผสมกันก็จะได้ยาอีกขนานหนึ่ง มีคุณประโยชน์uilในการของกิน, ลดอาการไขข้ออักเสบ, ทุเลาอาการuiไอ {และ|และก็|แล้วก็|รuilสงสัยตัวเองจะมีoi;พยาop'ธิมาแบ่งแยกพื้นที่ร่างกายเข้าแล้วหล่ะก็ ให้นำแต่ว่า “ใบ” ต้นแก้วมาต้มดื่ม ซึ่งจะช่วยขับพยาธิตัวตืด แก้อาการท้องเดิน หรือ ท้องบิดได้จ้ะ ส่วนที่เป็น “ผลสุก” ของต้นแก้วนั้น พวuil;io;กเราก็นำมากินเป็นอาหารได้
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ไพล

Tags : ไพล

8

พลูคาว ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ไม้เถาล้มลุก (HC) หัวใต้ดินลักษณะกลม ครั้งคราวเป็นพูหรือยาว เปลือกบางมีสีฟางหรือเทา เนื้อในหัวมีสีขาวหรือสีเหลือjงอ่อนอมเขียว เป็นพิษ ลำrrtต้นเหนือดินhrtyukuilioสีเขียวลักษณ;op;op'jtyะกลมมีหนามop'op'เล็กๆjytกyruikiuระจัtyjดกระจาswthytjยไปทั่วพลูคาวแล้วก็lkuiluilergrtjมีขนนุ่มๆปกคลุtyjม เลื้อยไปtyตามพื้นดินหรือต้นไม้tyjอื่น มีกิ่งออกตรงเถาใบ เป็นใบประกอบ ผลิใบเรียงสลั;io;io;บกัน ผิวใบio;io;io;สากมือ มีขนนุ่มๆปกคลุม ใบกว้าง 3-5 ซมio;i.o; {และ|และก็|แล้วก็|รtyjtyjawhtyerthjtyytjjyhtetyวมทั้งkjytukยาวโดยประมาณ 8-10 ซio;iooi;มgerger. มีjใบย่อย 3 ใบ ใบย่อjyukกึ่งกyukyuลางมีtyลัjกkyukษณtyะเป็นรีรูปรี หรือytjytrjkytyjukyukใบรีรูปขอบขนาน ปjtyลjtytyjytjายใบเป็นติ่งแหลtyjม ขอบของใบพลูคาวewuilgrrthrthtyjtyjytjtyjเป็นขนคtykuรุย erคนใบแหลมเป็นgรูปลิ่ม เส้นใบเรียงตามแนวยาว 3-5j เส้น ใtyjtyบย่อย 2 ข้าง มีลักษณะเtyป็นyukjใบรูปไข่luuiกลับหรือรูtyjปiluilวuilใจเบี้ยว ปลายใบเป็นtyjติ่งแuiluilหลม ขอบของใบเรียบโคนใบมน ใบกลมสั้นกว่าใบกึ่งกลาง ก้านใบกึ่งกลางลักefgerwษณะกลมและมีขkyutyjtyjน ก้านใบแก่มีหนามหัวyikด้าuilหลังโป่งบาuilงส่วนรสและคุณประโยtyjtyชน์ในหนังสือเรียนยาราก รสขมคัน บดอย่างถี่ถ้วนtyjtyjผสlมyukกับน้ำมันมะพร้าว ใบยาสูบ ใบลำโพงหรือพyukริก ใช้rehtyjทาพอกแผล เพื่อฆ่าหนtyjอนในแผลสัตว์เลี้ยงวlioใต้ดิน รสเบื่อเมา เjyuป็นพิษมาก ถ้าหั่นเป็tyชิ้นบางๆแล้วแช่ทิ้งไtyjใergtrhrนทางน้ำkuiluyไหล 2-3 วัน ล้างให้สะอาดแล้วtyjtทำให้สุกรับประทานได้ น้ำioloiสุกหัวดื่มแก้น้ำเหลืองเสีย ขับเยี่ยว แก้ปวดตามข้อพลูคาว นอกเหนือjจากนี้ยังปรุงเป็นยารับประทานแก้เjป็นเถาเป็นดาน เtyjtyป็นก้อนในท้อง yukถ้าใช้yukkภายนอกโyukดยการหุงเป็นน้ำมันใส่แผลกลัดฝีกลัดหนอง หรือนำไปฝryhjtyนกันเหrthrthล้าytโรงyukทาแก้ต้นไม้เป็นพิษทั้งผองที่ทำให้ioมีลักษณะอาการแตกบวม เช่น ตำแย ก้านการัง qweferyukyukyukตังช้าง หมามุ่ย จะสามารถบรรเiolทlioioาอาการได้ในทันที tykjมีดอกyukเป็นช่อตามง่ามใบ ดอกเล็กสีเขียghrthว ดอกเพศผู้และก็ดอกเพศเมียอยู่ต่างต้นกัน โดยดอกเพศผู้ดอกพลูคาวตั้งขึ้นมีใบเสริมแต่งติดอgerยู่ที่ฐานลักษณะที่คล้ายถุง ปลายแหลม ดอกเพศภรรยาเป็นช่อชั้นเดียวผู้เดียวๆดอกชี้ลงgerดินผล รูปคล้ายน้ำเต้าคอชะลูดหรือเหมือนผลมะเฟือง แต่ละพูมี 1 เมล็ด ผิวเกลี้ยงสีน้ำผึ้ง มีปีก เมื่อแก่แตกได้เgergerองเม็ด ลักษณะกลมแบน มีปีกบางใสรอบเมล็ด

Tags : พูลคาว

9

ขายพลูคาว มะแว้งเครือ รสรวมทั้งสรรพคุณัาีyedddddkmในตำราเรียนยา ผล รสตรอykมo';9'ตรมเปรี้ยว ผลสดตำผสมเกลือเล็กน้อย อมหรือจิi;i;บแก้ไอ แก้เจ็บคอ ขับเสมหะจำหน่ายพลูคาว ผลแห้ง ปรุltlงเป็นยาแก้ไอ ykบปัสสาวะ เจริญอาหาร ly;ykแก้เบykาหวาน ราก รสระทtl98uมใจเปรี้ยว แก้ไข้ykสันนิtlบาykต แก้น้ำลายเหนีuliuli;oยyk แก้i;ไอ กัดและก็ขัi;บเสลดi; ขับi;ykฉี่ ขับลม แก้เi;ลือดออกทวารหนัก i;วารเบา ต้น รสขื่นเปรี้yl;u;yยว แก้ท้องอืดท้องเฟ้อในหญิงlมีi;i;oครรภ์มะแว้งมี 2 ykจำพวก คือมะแว้งที่เป็นพุ่มหรืi;อเป็นต้นๆulioliเรียกว่า “มะแว้งต้น” ส่วนต้นเป็นเถาเtlอยพิงพันกับต้นไtlol;ม้อื่นเรียกว่า “มะแว้งเครือyk” หรือ “มะแว้งเถาเครือi;” มีหนามตลอดต้น เก็บยาก แต่ว่ามะykแว้งเนี่ย ใบจะขายพลูคาวเหมือนมะio;เขือ ดอกก็เสมือนมะเขือ ลูกมะแว้งทีแรกๆก็จะเขียวๆแtrไปจykะเป็นสีแดง ปลูกได้i;ไม่ยาก ใส่ปุ๋ยขี้วัว ครั้งเดียว กินได้ทั้งปีชื่อykวิทยาศาสykตร์ : Solanum trilobatum L.วงศ์ : Solanaceaeชื่ออื่น : มะแว้งเถา (กรุงเทพฯ ) ดวงจันทร์ว้งเควีย (ตาi;ก)ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ไ;;op;orม้เถาเลื้อยพาดi;พัulนกับต้นไม้อื่น yukลำต้นกi;ลม สีเขียวเป็นมันจำหน่ายพลูคาว มีหนามแหลมตามแขนงขายพลูคาว ใบ เป็นใบลำพัง ออกเรียงสลับ สีเขียวเป็นเงา แผ่นใบด้านล่างมีหtli;;นามตามเส้นใบ ดอก ออกเป็นช่อตามkyukซอกใบที่ปลายกิ่ง ดluuอกสีม่วง

Tags : ขายพลูคาว,ขายพลูคาว

10

ตะไคร้ บ้านเกิด รวมทั้งการแพร่ระบาดยี่หุบมีบ้านเกิดเมืองนอนเริ่มแรกมาจากจีนตอนใต้ โดยมักพบตะไคร้ที่สุดในเมืองก[p'p[[วางตุ้ง รวมทั้งเมืองกวางซี uiluเพราะเป็นเขตที่มีอากาศเย็;oi;น และio;ก็ออกจะชื้น เuisrhtnrtjtyมาะสมต่อulululการเติบโต|กาuiio;lรเจริญเio;ติบโต}ได้อย่างดีเยี่ยมลักษio;ณะทางyuศาkสตร์ลำต้นio;ยี่หุyukบio; จัดเป็yuนไม้พุ่มขาดกลางk สูงประมาณ 2-4 เมtyตร ลำegerhrthesfergต้นแตกกิ่งหลักtrjhytปานกลาง แตกyukกิ่งกิ่งก้านสาขluามากมาย รวมykงใบดก มีขนาดio;ใหญ่ ทำuiluilให้แลดูเป็นทรงพุ่มไม้ทึบ เtyjปลือtyjกลำต้นมีสีน้ำตykyukาล กิ่งอ่อนมีสีเขียวdejyyukukuky แก่นลำต้นเป็นไuilม้เนื้ออ่อน เปราuilะหักง่ายใบยี่หุio;ioบเป็นพืชใบเdekyukyukyukลี้ยงคู่ ออกเป็นjtyใบคนyuytkkเดียวๆเรียงluilเวียนสtyjลับกันบนกิ่aeguilutyjilง มีก้านrehttyjtkjykyuใบสั้น 1-1.5ykyuk เซนติyukเมตร;io; ใบมีลั;ioกgrehrณะเป็นqewfรูปหอykuyu กว้างราว 2-8 ซม. ยาวโดยประมาณjtyj 8-25 เซนติyukเมตuykร โคนใบสอrdบแคบ ปลายใบแyukหลม แผ่นyukใบ แลykะขtyอบของใkio;uyukบtykเรียบ ใบอ่อนมีสีyukkyเขียวสด ใบแyukก่มีสีเขียวเข้ม รวมทั้งวาว แผ่นใบแข็ง และค่อนข้างuykจะกรอบ แผ่นใบมีเส้นyukกลาง|กึ่งกลาง}ใบกtyjระจ่างแจ้ง แผ่นใบด้านล่างมีเส้นใบต่อกันเป็นร่างแหดอกยี่หุบมีดอio;oiกตะไคร้เป็นดอกผู้เดียว แทงออกรอบๆปลายuiluilยอด แขวนตัวดiulอกลงข้างล่าง ดอกประกอบด้วยก้านดอกสั้น 1-2 ซม. รวมทั้งมีลักษณะเป็นข้อบ้อง ราวๆ 4 ข้อ ตัวดอกมีกลีบเลี้ยงสีเขีtyยวเข้ม tjyขณะดอกตูมจะมีuilกษณะเป็นทรงกรวย ถูกหุ้มด้yukyukyuio;kยกลีบเลี้ยงสีเขียว ปริมาณ 3 กลีบ เมื่อดอกukบkuาน กลีบเลี้ยง และกลีบดอกไม้ljuuikiuiluiจะแผ่กางออluilก ขkuilนาดกว้างโดยประมาณ 4-6 ซม. กลีบเลี้ytkyuยงมีรูปหอก ขอบกลีบ แล้วyukyก็ปลายluilกลีบโค้งเข้าหากึ่งกลางกลีบกลีบดอก แบ่งได้ 2-3 ชั้น แต่ละชั้นมีกลีบดอกไม้ ปtykริมาณ 3 กลีบ รวมเป็น 6-9 กลีบ กลีiuบชั้นในจะเหjtyjyukลือเพียงแค่ผลขนาดเuilล็กที่yukพัฒนuilปรับปรุงข้างหลังการผสมเกสร ถัดมาตรluilงกลางดอกจะเuilนเกสรตัวผู้uiอuilยู่ฐานรอบนอก มีลัluilกษณะเป็นตุ่uilมkyuน แล้วก็ตะไคร้เกสรตัวเมียที่อยู่ตรงกลาง มีลักษณะilเuuilป็นก้านยาuilว luiดังนี้ ยี่หุบจะออกดอกมากในตอนพฤษภาคมyuk-มิuilถุนukyายน โดยดอกจะเริ่มบานเมื่อตะวัuiluiนใกล้ตrsjhtyกดิน รวมทั้งบานนานประมาณ 2 วัน ก่uilอนกลีบดอกไม้จะตกลงดิน เilหลืออยู่uilแม้กระนั้นเกuilสรไว้ และไม่uilค่อยติดผลให้พบเห็นบ่อยนัก

Tags : ตะไคร้

11
อื่น ๆ / งาดำ มีทั้งอาหาร
« เมื่อ: ตุลาคม 29, 2018, 04:18:46 PM »

งาดำ มีทั้งอาหารที่ชาวต่างประเทศรู้จักกันดีอยู่แล้ว ไปจนกระทั่งอาหารทั่วๆไปเว้นแต่คำว่า 'สวัสดี' ที่คนuykuliประเทศไทloi;opยงาดำนิยjtyjyjใช้ในการ|ใช้สำtyjหรั'p'p[บการ|ใช้สำwgrehgtrjหรับเพื่อtyjyukiulการ|ใช้ในลัษณะของการ|tyjtyjใช้luilo;เพื่อการ|ใช้เiuluiluiluiพื่อสำหรับกาethrthร|ใช้เพื่อสำหรับในกesagrthาร|ใrjyuktyjtyyช้สำหรับในการ}กล่าวทักทายเวลาเจอหน้ากันแล้ว ยังมีอีuukyukayl;oiu;ก 1 คำที่ในสายตาของคนต่าjykงประเทศเห็kyukiulนว่า frkyukyulylบางคราวใช้แทนกันด้uilวย คือคำว่าiul 'รับประทานอะไรมาหรือยัyuktyjtง' แปuilลว่iuliulาคนไทยให้ความใส่uilใจกับการiuyliluเป็yukนอันดับแรกๆซึ่งในปergrtjระเทศไทยมีร้านอาhrthjyหารให้เลือกเยอะแยะ แต่จะมีแนวทางเช่นไรล่ะ ที่จะทราบlได้ว่iulาiulร้าyukนค้าไหนขyukองกินอร่yukอtuyukluilยl/ไม่อร่อย CNN รutiะบุว่าtlutil อย่าตัyuดสินrfkyutyluiจากเมนู uiluilการตกแต่งร้าน หรือราคา แต่ให้yukiuluiตัดสินkyukจากปริwegewrgมาณผู้ที่อtrjyukyuยู่ในร้านและความ;oยาวi;oขอi;งแถวห;io;io;น้าkyio;ร้านต่างหากio;และเoi;พื่อเoi;ป็นการร่วoi;มเฉลิมฉลtyytkoi;องl;oi;ให้กับyukkjyulkuiliuของกินไทยที่มีชื่อดัtykyงไป;ioiooi;ทั่วทั้งโลก;oi ทาง CdkjyukNN ก็เลยไio;ด้ทำเrthก็บรวบรวม 40 เมนูอาหารไทย ที่ซึ่งพูดได้ว่า.. ถ้าไม่ได้กิoiรับiulประทานจำเป็นที่จะoiต้;องyukเสียดาย โดyukย;มีทั้งยังyukอาหารuilที่ฝรั่yukงuilรู้จักกันดีอยู่แล้iuliulว ไปจนถึงuiliul;oi;อาหารio;ทั่วไyio;ukป มาดูกัio;นเลยดีกว่าค่ะหมักกระดูกซี่kkโครงหมูด้วยซekyอสหอยนางtyรม ซีอิ๊วขาว เกลือ ผงแoiต่งรส และน้ำตาล คลุกเคล้าจะtyyukkกว่าจะเข้ากันใyukส่พริกไทยรวมทั้tkรากผักชีบด หมักiulทิ้งไว้กuilระทั่งเครื่องปรุงซึมขาดทุนซี่io;โครงหมูตั้งกระท'poะ ใส่น้ำมั'poนให้ท่วม รอคอ;op;ยให้น้ำมันเดือดแล้วนำuykกระเทียมลงไปทอด ทอดใfrห้เหลือuiliulงกรykอบ แล้วตักขึ้นมาพักtykjไว้นำกระดูกซี่tyjโครo;งงาดำหมูที่io;หมักไว้ลงไปทอด ทอดใkyสุก หากถูก;ioใจแห้งๆก็ทอ;oiดให้uilนlาน;oiขึ้นโดยใช้ไฟอ่อนถึงปoiานกลาง เluiสร็luilจแuilละก็นำขึ้นใส่จาน โ;oi;รยoi;ด้วยกระเทียมเจีoiu;ย;oiวตีไข่ไoiก่ใส่oi;ลงไปใuiluilนชามผofgluiสม io;และก็ตามด้วยหมูบก oi;แครอทหั่นเ;ต๋า พริกแดง แล้วก็ต้นห;oอมซอก;oiซอย;oiแต่งรสงาดำด้วยkuykเครื่yองปรุงที่ซองบะuilหมี่คrthtyรึ่งหuyilkuil;uiluiนึ่งสำเร็uilจรูปให้มาuilเลือกuiป็นรสต้มยำบuilะหมี่คloi;ioรึ่งงาดำสำเร็;จรูปที่ลวกมาแล้วใส่ลoi;งไปตีกับไข่ คลุกให้เข้ากันตั้งกระทะใส่น้ำมัluilนให้ร้อน เทไข่ใsgrehgtrhrtส่ลงไปทอดให้สุกทั้งคู่tyjykuyuด้hานเสร็จแล้วใส่klyulkuจานเสิร์ฟทันที

12
อื่น ๆ / ขายส่งว่านชักมดลูก หาก
« เมื่อ: ตุลาคม 20, 2018, 10:56:05 PM »

ขายส่งว่านชักมดลูก ถ้าเกิดเอ่ยถึงผลไม้ยอดนิยululมในเรื่องรสชาติที่อร่อย แถมยัytlkuilงสามารถนำไปกินได้หdejykloil;ลากหลายfrkuylแบบ หนึ่งในนั้นต้ykองเป็นว่านชักมดลูกราคาถูกกระท้อyukyนขายส่งว่านชักมดลูกเเคปซูลอย่างแน่นอน เนื่องจากว่ากระท้อนdเป็นผลไม้ที่อร่อยขายส่งว่านชักมดลูกเเคปซูลถูกอกถูกใykจใคulรrhykต่อใครเยอะมาก วันนี้ulพวกเรop';าก็เลยขuนำความรู้ดีๆที่เกี่ยวกับผลไม้ykykจำพวกนี้มาฝากกัน บอกได้เลยว่าtdejyกระท้อนyuykkไม่ได้มีดีเl5redjykuiuพียงแค่รสชาติอร่อloi;ย แต่ว่ายังช่วยบำรุงสุullขภาพว่านชักมดลูกราคาถูก และป้องกันulภัยสุขภาพได้อีกหลายอย่างเลยกระท้อน กระท้อน (Santol) ชื่อวิทยulาpo;ศาสตร์ว่า Sandoricop'opumyuluil kouluiletjape (Burm. f.) Merr. ส่วนภาษาอังกฤษคือ Santol เป็นผลไม้ที่มีต้ylulนกำเนิดในแถบอินโดจีนky โดยในykแต่ละiuluilulประเทศมีชื่อเรียกตามแคว้นที่ไม่เหมือนกัน ในส่วนของปfkyระเทศไทย kuภาคtkอีสานเรียกกระulท้อนว่าuilul มะจะต้uiledอง หรือหมากจำเป็jyukuylkiuนต้อง ภาคเหนือเรียกolio; มะจำต้อง หรือ มะติ๋น ส่วนภาษาใต้เรียกผลไม้ชนิดว่านชักมดลูกราคาถูกนี้ว่า เตียน ylkuiliulล่อน ขายส่งว่านชักมดลูกเเคปซูลสะท้อน สตียา สะตู สะsdjโต คือผลไม้io;ที่อยู่uilวงศ์|ตระกูล|สกุล}เดียวiuil;กับลูกลางสาดและก็ทดลองกอง มีทั้งสิ้น 4 ukuilสายพันธุ์ยกตัวอย่างเช่น กระท้อนประเภทปุยฝ้าย กระuliท้อนชนิดอีล่า กระท้อนชนิดทับทิม แล้วก็กระท้อนจำพวกนิ่มนวลกระท้อน  ระท้อนมีลัykกษณะเป็นไyukม้ยืนต้น ขนาดกึ่งกลuilางถึงขนาดส่p['วuilมากแล้วมักนิยiulมนำผลมารับประทานเป็นทั้งยังอาหารคาวหวาน ด้วยเหตุว่ามีรสชาติที่อร่อยรวมทั้งรuilสสัมผัสที่นุ่มละมุนกระท้อuilนคุณประโยชน์ของuilกระท้อน ขายส่งว่านชักมดลูกเเคปซูลอร่อยและดีกับสุขภาพ.ว่านชักมดลูกราคาถูก สร้luilางเสริมระบบuilภูมิคุ้มกัน

Tags : ขายส่งว่านชักมดลูก

13

ส้มเป็นผลไม้ที่มีการเพาะปลูyu,กมาหลายพันปี โดยส้มที่l;tntnอยู่ในตระกูลสิขายกวาวเครือขาวตรัสเป็นพืชที่มีถิ่นเกิดจำหน่ายกวาวเครือขาวในเขตร้yu,yuอนรวม,yuทั้งเขตครึ่งmuyนึ่งร้yumอนของทวีปเอเชีย รbwbdrtbrnbrnrnวมไปถึงy,ในหมู่เกาะมลายู ส่วนในไทy,ยมีหytmyyลักฐาy,นเป็นรายงานที่เอ๋ยถึงส้ytyttyมจำพวกต่างๆคือ ส้มโอ ส้y,yuuมแก้ว ,yyu,yuแล้วก็มะกรูด โดyu,ยเป็นรายงานที่มีต้นyyyu,,umฉบับเป็นภาษาฝรั่yumumส แปลและก็จัดพิมพ์เป็นyภาษาอังกฤtytttmymyษ เมื่อ พ.ศ. 2236,y,yu,u,yu,yu,
          ค่าyummyuทางสารอาหารyumyu,yumของส้มก็มีไม่น้อยดังข้yumyumyumอมูลข้างต้น ตอนนี้พวกเรามาดูกันymttค่ะจำหน่ายกวาวเครือขาวว่าคุณประโยช,yน์ของส้มyu,จะเยี่ยมเบอร์ไหน yu,
ผลไม้แก้ท้องผูก rn
          ส้มเnfnfngnytmtmป็นเยี่ยมในผลไyuแก้ท้องผูกได้ จำหน่ายกวาวเครือขาวเพราะมีtyใยอาหารสูง ช่วยในระบบย่อยอาหารรวมทั้งการขับถ่าย โดยรับประทานส้ม 1 ผลใหญ่ก็จะได้,yใยอาห,yาร 2.,y0 กรัมแล้วนะคะy,yuuy,
          - 9 ผล,yไม้ช่วยขับถ่าt,yymtmtmuymyumtmย หาทาytttนง่าย แก้ท้องผูกได้อ,y,ยู่หมัด
 กระตุ้นภูมิต้y,านทานร่างกายy,
          เนื่องจากว่y,y,า,ส้มพกmtmtmmttmวิตามินซีมาไม่น้อย จึงทำให้ส้มจัดคือผลไม้กระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกาย ช่วยปกป้องtmyu,ymtttmtลักษณะของการป่วยเ,บสิกๆไปจนถึงขายกวาวเครือขาวลักษณะการป่วยที่ยิ่งนักได้ เนื่องจากy,นื่องจากว่าเมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่ดี พวกเราก็จะป่วยไข้ยาก เชื้อโรครวมทั้yu,งเชื้อไวรัสต่างๆก็มีโyuอกาสรุกfdnfdgnngddnรานเราได้น้อยนั่นเองส้ม
 ปรับสมดุลระดับtrnttgnftdmntyน้ำตาลในเy,ลือด,}ในส้มยังช่วยให้y,ร่างกายควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อีกทาง ก็เลยขายกวาวเครือขาวจัดว่าส้มคือผลไม้ช่ytyttmyu,tวยคุมระดับน้ำตาลในเลือดอีกประเภทหนึ่ง

Tags : ขายกวาวเครือขาว

14
ใครทราบบ้าง สิ่งที่สตรีอยากได้และก็ควรมี
 ม.ค. 5, 2018  kungtep
สิ่งที่ลูกผู้หญิงอยากได้รวมทั้งต้องมี 5ข้อ
โดยธรรมชาติแล้วอาจไม่ได้มีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะฐานะยากดีมีจน ทุกคนอยากได้แบบเดียวกัน
1.เค้าหน้าสวย จะมีผลให้เป็นที่พึงพอใจของชาย ทำให้ได้เจอได้เลือกเพศชายที่ดี ฐานะมั่นคงมาเป็นคู่ทุกข์คู่ยาก อันนี้เลือกไม่ได้
2.ผิวพรรณดี เนียนใสเปล่งปลั่งนุ่ม อันนี้เลือกได้ โดยการคัดเลือกเครื่องประทินโฉม มาบำรุงจะได้มา โดยใช้ครีมบำรุง   ผิวหรือรับประทานสมุนไพรช่วยทำให้ผิวพรรณดีได้
3.ร่างกายแข็งไม่ขี้โรค จำต้องคอยดูสุขภาพ หลีกหลี่ยงการนำพิษไปสู่ร่างกาย ตรีผลาดีท๊อกซ์พิษออกมาจาก     ร่างกายได้
4.มดลูกแข็งแรงระบบข้างในดี ไม่มีกลิ่น ไม่มีตกขาว สะอาด มีความต้องการทางเพศพร้อมตอบสนองผัวได้ทุกครั้งที่เขา   ต้องการ ไม่จู้จี้ขี้บ่น อันนี้ผู้ชายถูกใจ ว่านชักมดลูกช่วยได้
5.นมใหญ่หรืออกใหญ่ ผิวพรรณเต่งตึงเป็นสาว2,000ปี อย่างนี้เพศชายชอบ [url=https://kungtep.com/]กวาวเครือขาว[/b][/url]ช่วยได้
สรุปแล้วหญิงอยากได้สิ่งเหล่านี้เพื่อสนองเพศชายเรารัก อันเป็นธรรมชาติของคน สิ่งที่กว่ามาข้างต้นใครกันแน่ที่ยังไม่มีในข้อไหนลองหาสมุนไพรมากินมอง สุขภาพดี แข็งแรง มีชัยไปกว่าครึ่ง https://kungtep.com/

Tags : กวาวเครือขาว

15

ถั่งเช่าเพิ่มฮอร์โมนชาย เรียกความเป็นชายหนุ่ม รับประทานถั่งเช่า
 พฤษภาคม 12, 2016  kungtep
ถั่งเช่าปรับความสมดุลฮอร์โมนชาย ภรรยาอารมณ์ค้าง เนื่องจากอวัยวะสืบพันธุ์คุณไม่แข็งตัว ไม่อึด หมดสภาพของความเป็นผู้ชายชาตรี ถ้าไม่บำรุงร่างกายด้วยถั่งเช่า ระวังร่างกายเสื่อม
ถั่งเช่าเพิ่มฮอร์โมนเพศชาย” ชูกำลังเรียกความฟิตกลับคืนมา
สมรรถภาพทางเพศเสื่อม สาเหตุของการหย่าร้าง อย่าให้ภรรยาอารมณ์ค้าง เพราะเหตุว่าน้องชายไม่แข็ง เรื่องบนเตียง เป็นเรื่องที่จะต้องทำความเข้าใจกันให้ดี อีกคดีหนึ่งที่เกิดขึ้นบ่อยๆในชีวิตครอบครัวก็คือ สามีวัยหนุ่มไม่ทำการบ้าน เมียเข้าใจผิดมีความคิดว่ากิ๊กทำพิษ แต่ว่าในความเป็นจริงแล้ว คือผัวไร้ความรู้สึกทางเพศ ฮอร์โมนเพศลด
ถั่งเช่าบำรุงราคะ กระตุ้นฮอร์โมนเพศชายหญิง
สาเหตุของฮอร์โมนเพศลดลง โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์เราเริ่มไม่มีสิ่งที่ต้องการทางเพศ เมื่อแก่ขึ้น สาเหตุที่เจอก็คือฮอร์โมนเพศลดลงไปตามธรรมชาติ แต่ก็มีอีกส่วนใดส่วนหนึ่งที่ค้นพบว่าฮอร์โมนเพศน้อยลงเปลี่ยนไปจากปกติ ในช่วงอายุยังน้อย เป็นไปได้ว่าร่างกายขาดความสมดุล ระบบฮอร์โมนเพศดำเนินงานไม่ดี ยิ่งไปกว่านี้ยังพบว่าเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากระบบประสาท ภาวะทางด้านจิตใจ อื่นๆอีกมากมาย
โดยเหตุนี้ ถั่งเช่าทิเบตหากสามีหมดอารมณ์ทางกามารมณ์ เมียอย่าเพิ่งจะคิดเปลี่ยนไป สำรวจหามูลเหตุก่อน หากพบว่า ฮอร์โมนเป็นเหตุ สมรรถภาพทางเพศเสื่อม พวกเราจะได้ปรับแก้ให้ได้ตรงจุด

ถั่งเช่าเพิ่มฮอร์โมนชายหญิง
การปรับแก้ การเพิ่มฮอร์โมนเพศ ก็คือการปรับความสมดุล ให้ระบบฮอร์โมนเพศ เสริมสร้างสมรรถนะลักษณะการทำงานของระบบฮอร์โมน การไหลเวียนของเลือด บำรุงระบบประสาทโดยใช้สมุนไพรที่ผมกำลังจะชี้แนะ
ถั่งเช่าประเทศทิเบตหรือหญ้าหนอนสีทองคำ ทุเลาอาการเสื่อม เพิ่มความรู้สึกทางเพศในลักษณะของการปรับสมดุลให้กับร่างกายถั่งเช่าทิเบต ในหญ้าหนอนสีทอง มีสารที่ช่วยทำนุบำรุงระบบประสาท การไหลเวียนของโลหิต ปรับรูปแบบการทำงานของระบบฮอร์โมนเพศ เสริมสร้างรูปแบบการทำงานของต่อมหมวกไต คุณสมบัติเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อสมรรถนะทางเพศทั้งสิ้น
 ตัวอย่างเช่น เมื่อเลือดไหลเวียนดี ของลับชายจะตื่นตัวดี ถั่งเช่าสามารถแข็งตัวได้เป็นปกติ ทั้งยังส่งผลต่อการหลั่งน้ำอสุจิอย่างเป็นธรรมชาติ ฯลฯ

Tags : ถั่งเช่า,ถั่งเช่าทิเบต

หน้า: [1] 2 3