รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Topics - sdfi5dsf1q2d1

หน้า: [1]
1

เหงือกปลาหมอ
รักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน กลากเกลื้อน
ชื่ออื่น : แก้มหมอ แก้มแพทย์เล จะเกร็ง นางเกร็ง อีเกร็ง เหงือกปลาหมอน้ำเงิน
ในตำรายาไทยบอกว่า เหงือกปลาแพทย์สามารถแก้โรคผิวหนังได้ทุกประเภท
ในเมื่อเหงือกปลาหมอมีสรรพคุณเด่นแก้น้ำเหลืองเสียได้ โรคผิวหนังต่างๆแม้กระทั้ง โรคอีสุกอีใส ที่เกิดขึ้นมาจากเชื้อไวรัสก็จะบรรเทาเบาบางลง
สมุนไพร เหงือกปลาแพทย์เป็นไม้พุ่มที่มีขนาดกลางสูงประมาณ 1-2 เมตร ส่วนของลำต้นและก็ใบจะมีหนามมีหนาม ใบหนามแข็งแล้วก็มีขอบเว้าหนามแหลมใบออกเป็นคู้ตรงกันข้ามกัน ส่วนของดอกจะออกเป็นช่อตามยอด กลีบดอกจะมีสีขาอมม่วง มี 4 กลีบแยกจากกันผลเป็นฝักสีน้ำตาล มี เม็ด จะสามารถพบได้มากตามชายน้ำ ริมฝั่งคลองบริเวณปากแม่น้ำ
ในกรณีโรคผิวหนังพุพองจากเชื้อไวรัสโรคภูมิคุมกันบกพร่อง แม้ว่าจะร้ายแรงกว่าโรคผิวหนังทั่วไป แต่ว่าเมื่อใช้เหงือกปลาแพทย์เป็นยากินแล้วก็ต้มน้ำอาบติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า 3 ข้างขึ้นไป แผลพุพอง ก็จะลดลงลงอย่างชัดเจน สำหรับคนเจ็บโรคผิวหนังด้วย
แนวทางปรุงยาและวิธีใช้ยาก็มีหลายวิธีเป็น
วิธีต้มยากินแล้วก็อาบ
เอาเหงือกปลาหมอสดหรือแห้งสับเป็นท่อนเล็กๆใส่เต็มขันขนาด 1 ลิตร ใส่น้ำ 4 ขัน ต้มยาให้เดือดนาน 10 นาที ตักน้ำยาขึ้นมา 1 แก้ว แบ่งไว้สำหรับดื่มกินขณะอุ่นๆทีละครึ่งแก้ว วันละ 2 ครั้ง รุ่งเช้า-เย็น ก่อนที่จะกินอาหาร
ส่วนน้ำยาที่แบ่งไว้อาบนั้น ต้องใช้อาบขณะน้ำยายังอุ่นอยู่ ก่อนอาบน้ำจำต้องชำระล้างร่างกายด้วยสบู่ให้สะอาดซะก่อน เมื่ออาบน้ำยาแล้ว ไม่ต้องอาบน้ำธรรมดาตามอีก อาบน้ำยาวันละ 2 ครั้ง รุ่งเช้า-เย็นครั้งละ 3-4 ขัน แต่ถ้าหากมีเหงือกปลาหมอจำนวนมาก บางครั้งก็อาจจะต้มยาเพื่อแช่ทั้งตัวในอ่างก็ยิ่งดี
วิธีทำเป็นยาลูกกลอน
นำเหงือกปลาแพทย์ 5 คราวตากแห้งมาบดเป็นผุยผงละเอียด 2 ส่วน ผสมน้ำผึ้งแท้ 1 ส่วน ปั้นเป็นเม็ดลูกกลอนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ซม. ผู้ใหญ่รับประทานทีละ 2 เม็ด เด็กบางครั้งก็อาจจะกินครั้งละ 1 เม็ดหรือครึ่งเม็ดตามขนาดอายุรวมทั้งน้ำหนัก รับประทานวันละ 2 ครั้ง ก่อนรับประทานอาหาร เช้า-เย็น กินไปเรื่อยๆจนกว่าจะหาย แต่ว่าถ้าเกิดเป็นโรคผิวหนังจากภูมิคุ้มกันบกพร่องก็จำเป็นต้องรับประทานตลอดไป

กระบวนการทำเป็นแคปซูล
นำผงเหงือกปลาหมอที่ผ่านการเหินเป็นผงละเอียดราวกับแป้งใส่แคปซูลขนาด 250 มก. คนแก่รับประทานครั้งละ 2 แคปซูลวันละ 2-3 เวลาก่อนที่จะรับประทานอาหาร เด็กลดน้อยลงตามส่วน
เหงือกปลาแพทย์มีสรรพคุณล้นหลาม เช่น
-ราก มีคุณประโยชน์สำหรับเพื่อการแก้โรคหืด อัมพาต แก้ไอ และใช้ขับเสมหะ
-ต้น มีสรรพคุณรักษาโรคหลายชนิด โดยใช้ต้นตำผสมน้ำรักษาวัณโรค อาการผ่ายผอม หากใช้ทาก็ช่วยแก้โรคเหน็บชาได้
-ลำต้น ไปผสมกับสมุนไพรอื่นๆก็จะได้คุณประโยชน์ทางยาแตกต่างออกไปอีก
-ต้นรวมรากต้มอาบแก้พิษไข้หัวลม แก้โรคผิวหนังทุกประเภท
-ต้นสดตำพอกปิดหัวฝีแผลเรื้อรังทำลายพิษ ต้มรับประทานแก้พิษไข้ทรพิษ ฝีทั้งสิ้น ผลรับประทานเป็นยาขับเลือดระดู ยิ่งกว่านั้น ถ้าตาเจ็บ ตาแดง เอา
"เหงือกปลาหมอ" อีกทั้งต้นตำกับขิงคั้นเอาน้ำหยอดตาหาย เป็นเหน็บชา ชาทั้งตัว
- ต้นตำทาบริเวณที่เป็นจะดีขึ้น
- ตำเอาน้ำกินกากพอก งูกัด
- ต้นกับขมิ้นอ้อยตำทาป็นฝีฟกบวม เป็นริดสีดวงทวาร
- ต้นตำกับขิงรับประทาน โรคเรื้อน โรคกุฏฐัง ไม่สบายจับสั่น
- ทั้งยังต้นตำใบส้มป่อยต้มดื่ม เจ็บข้างหลัง เจ็บเอว
- "เหงือกปลาหมอ" กับชะเอมเทศตำผงละลายน้ำผึ้งปั้นเป็นก้อนรับประทาน ริดสีดวงแห้ง
ในท้อง ซูบซีดเหลืองตลอดตัว รับประทานทุกเมื่อเชื่อวัน
- "เหงือกปลาหมอ" กับเปลือกมะรุมเสมอกันใส่หม้อ เกลือนิดเดียว หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ ใช้ฟืน 30 แท่ง ต้มกับน้ำจนกระทั่งเดือดให้งวดจึงชูลง กลั้นหายใจรับประทานขณะอุ่นจนถึงหมด เป็นริดสีดวง มือตายตีนตาย ร้อนหมดทั้งตัว มึนหัว ตามัว เจ็บระบมหมดทั้งตัว ตัวแห้ง จะหายได้
- "เหงือกปลาหมอ" อีกทั้ง 5 รวมราก กับ อาหารเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ ปริมาณเสมอกัน กะตามต้องการ ต้มกับน้ำกระทั่งเดือดดื่มขณะอุ่นทีละ 1 แก้ว 3 เวลา ตอนเช้า ตอนกลางวัน เย็น ต้มดื่มปอดเริ่มมีปัญหาเป็นฝ้าจะอาการดียิ่งขึ้น ไปให้หมอเอกซเรย์ปอดไม่เป็นฝ้าอีกหยุดต้มกินได้เลย และก็ต้องระมัดระวังอย่าให้เป็นอีก
ยาอายุวรรฒนะ
- "เหงือกปลาหมอ" 2 ส่วน พริกไทย 1 ส่วน ทำเป็นผงละลายน้ำผึ้งปั้นกินทุกเมื่อเชื่อวัน
กินได้ 1 เดือน ไม่มีโรค ปัญญาดี
กินได้ 2 เดือน ผิวหนังเต่งตึง
กินได้ 3 เดือน โรคริดสีดวงทุกหมวดหมู่หาย
กินได้ 4 เดือน แก้ลม 12 พวก หูไว
กินได้ 5 เดือน หมดโรค
กินได้ 6 เดือน เดินไม่เคยรู้เหนื่อย
กินได้ 7 เดือน ผิวงาม
กินได้ 8 เดือน เสียงไพเราะเพราะพริ้ง
กินได้ 9 เดือน หนังเหนียว
-"เหงือกปลาหมอ" 1 ส่วน ดีปลี 1 ส่วน ทำผงชงรับประทานกับน้ำร้อนถ้าหากผิวแตกหมดทั้งตัวหายได้ ทั้งปวงที่บอกเป็นแบบเรียนยาโบราณ ไม่เชื่อก็ไม่ควรดูถูกดูแคลน รู้ไว้เป็นวิชา http://www.disthai.com/

2

เห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือ รักษาโรคมะเร็ง
อีกหนึ่งงานค้นคว้าวิจัยที่เรียนรู้เกี่ยวกับประสิทธิผลของสารโพลีแซ็คคาไรค์ในเห็ดหลินจือของผู้ในคนป่วยมะเร็งปอด จากการวิเคาะห์พบว่า สารดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วมีส่วนสำหรับเพื่อการยัยยั้งลักษณะการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว
จากการศึกษาวิจัยเยอะมากถึงประสิทธิผลทางการรักษาโรคโรคมะเร็งของเห็ดหลินจืออาจมีผลต่อการต้านการอักเสบในผู้ป่วยมะเร็งปอดบางราย แม้กระนั้นยังคงไม่มีหลักฐานทางด้านวิทยาศาสตร์หรือการทดสอบทางการแพทย์ที่ให้ข้อมูลพอเพียงที่เกื้อหนุนให้ใช้เห็ดหลินจือสำหรับในการรักษามะเร็งอย่างเป็นทางการ
เมื่อวิเคราะห์เปรียบจากการรวบงานค้นคว้าวิจัยที่เล่าเรียนประสิทธิผลของเห็ดหลินจือเพื่อรักษาโรคโรคมะเร็งในมนุษย์ 373 คน แม้ว่าจะพบว่าผู้เจ็บป่วยตอบสนองต่อการดูแลและรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัดก้าวหน้าขึ้นเมื่อรักษาร่วมกับการใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือ แต่เมื่อทดสอบการใช้เห็ดหลินจือเพียงอย่างเดียวกลับไม่มีประสิทธิผลในสำหรับการทำให้มะเร็งลดขนาดลงอย่างใด
นอกเหนือจากนั้น จาการทบทวนการค้นคว้าวิจัยพบว่ามีงานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัย 4 ชิ้นที่ส่งผลลัพธ์เกื้อหนุนว่าเห็ดหลินจืออาจสมาคมต่อการปรับแก้คุณภาพชีวิตของผู้เจ็บป่วยให้ และก็ในขณะเดียวกัน ก็ส่งผลลัพธ์จากงานค้นคว้าหนึ่งที่แสดงถึงผลข้างคียงของเห็ดหลินจือ เป็นอาการคลื่นใส้แล้วก็นอนไม่หลับด้วย
โดยเหตุนั้น จึงอาจจะกล่าวว่า สิ่งที่ใช้ในการพิสูจน์ทางคุณลักษณะและก็คุณประโยชน์ซึ่งมาจากเห็ดหลินจือยังคงมีจำกัด บาง งานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยเป็นการทดลองขนาดเล็ก หลักฐานที่ได้ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ หรือเป็นเพียงแค่การทดสอบในคนไข้บางกลุ่มเท่านั้น ประสิทธิผลของเห็ดหลินจือต่อโรคมะเร็ง ก็เลยยังคงเป็นประเด็นการค้นคว้าที่ควรดำเนินการทดลองถัดไปเพื่อให้ได้ได้ผลลัพ์ที่แจ่มกระจ่างรวมทั้งมีคุณประโยชน์ในวงกว้างต่อการดูแลและรักษาคนป่วยโรคมะเร็งได้ในอนาคต
สภาวะต่อมลูกหมากโต แล้วก็การเจ็บป่วยในระบบทางเดินเยี่ยว
มีขั้นตอนทดลองหนึ่งที่ใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือทดสอบในคนไข้เพศ 88 รายซึ่งแก่เกินกว่า 49 ปีขึ้นไป ที่มีลักษณะอาการเยี่ยวขัดข้อง หลังการทดลองกว่า 12 อาทิตย์ ผลสรุปที่ได้เป็น คนเจ็บต่างหรูหราคะแนน IPSS ที่ดียิ่งขึ้น ( TNE lnternational Prostate Symptom Score )ซึ่งเป็นค่าคะแนนสากลสำหรับในการวัดปัญหาในระบบทางเดินปัสวะของคนเจ็บจากการตอบคำถาม กลับไม่ปรากฏผลในเชิงการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิต การขับถ่ายปัสวะ หรือขนาดของต่อมลูกหมากอะไร
ฉะนั้น การทดสอบดังกล่าวข้างต้นจึงยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาสตร์ที่ชัดเจนพอเพียง จำเป็นที่จะต้องมีการค้นคว้าทดสอบในด้านนี้ต่อไปในอนาคต เพื่อค้นหาหลังฐานที่เด่นชัดในการสรุปเกี่ยวกับประสิทธิของเห็ดหลินจือต่อการรักษาสภาวะต่อมลูกหมากโตหรือปัญหาสุขภาพใดๆที่เกี่ยว
ลดปัจจัยเสี่ยงของโรคเส้นโลหิตหัวใจ
จากการวิเคราะห์ผลของการทดลองทางการแพทย์ 5 ราการ ซึ่งมีคนไข้เบาหวานประเภท 2 เข้าร่วมทดลองกว่า 398 รายพบว่า เห็ดหลินจือไม่มีผลทางการรักษาในเชิงการลดระดับน้ำตาลในเลือดไม่มีหลักฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพพอเพียงจะช่วยเหลือผลทางการรักษาพวกนั้น และไม่มีข้อมูลที่พอเพียงในการยืนยันด้านความปลอดภัยจากการบริโภคเห็ดหลินจือเช่นกัน โดยหนึ่งในงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยเหล่านั้น ได้แสดงถึงผลกระทบจากการบริโภคเห็ดหลินจือในผู้เจ็บป่วยบางราย เป็นอาการคลื่นใส้ ท้องเดิน หรือท้องผูก
ด้วยเหตุดังกล่าวควรต้องมีการค้นคว้าทดสอบถึงสมรรถนะของเห็ดหลินจือสำหรับเพื่อการลดสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่างๆเหล่านี้เพื่อคุ้มครองและการรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจต่อไป และให้ได้ความแจ่มชัดชัดดเจนในด้านดังที่กล่าวถึงแล้วมากขึ้น อันเป็นผลดีต่อกรรมวิธีรักษาคุ้มครองปกป้องโรคเส้นโลหิตหัวใจและก็อาการต่างๆที่เกี่ยวต่อไปในอนาคต
ปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการบริโรคเห็ดหลินจืออปิ้งชัดเจน เนื่องประสิทธิผลและก็ผลข้างคียงจากการบริโภค ด้วยเหตุผลดังกล่าว คนซื้อ ควรศึกษาเรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเห็ดหลินจือ และหารือหมอหรือเภสัชกรก่อนจะมีการบริโรค เพราะแม้เห็ดหลินจือในแต่ละรูปแบบจะเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ แต่สารเคมีและส่วนประต่างอาจส่งผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อสถาพทางร่างกายได้เช่นเดียวกัน

โดยปกติ ปริมาณการบริโภคเห็ดหลินจือ/วันดังเช่น
-เห็ดหลินจืออบแห้ง ไม่สมควรบริโภคเกิน 1.5-9 กรัม/วัน
-ผงสารสกัดเห็ดหลินจือ ไม่ควรบริโภคเกิน 1-1.5 กรัม
-สารละลายเห็ดหลินจือ ไม่สมควรบริโภคเกิน 1 มล./วัน
ความปลอดภัยสำหรับการบริโภคเห็ดหลินจือ
แม้ว่าจะมีการพิสูจน์ถึงคุณประโยชน์ในบางด้านที่บางทีอาจเกิดขึ้นได้จากการบริโภคเห็ดหลินจือ แต่ผู้บริโภคก็ควรทำการศึกษาเรียนรู้และทำการค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับเห็ดหลินจือ แล้วก็ขอความเห็นหมอหรือเภสัชกรก่อนที่จะมีการบริโภค โดยเฉพาะ ควรระมัดระวังในด้านจำนวนและก็รูปแบบเห็ดหลินจือที่บริโภค เพราะบางทีอาจเป็นผลใกล้กันต่อร่างกายได้ในคราวหลัง
โดยข้อควรระวังสำหรับเพื่อการบริโภคเห็ดหลินจืออาทิเช่น
ผู้บริโภคทั่วๆไป.......
-ควรบริโภคเห็ดหลินจือในจำนวนที่พอดิบพอดี
-การบริโภคสารสกัดจากเห็ดหลินจือติดต่อกันเป็นเวลานานเกินกว่า 1 ปี อาจทำให้มีอันตรายต่อสุขภาพได้
-การบริโภคสารสกัดจากเห็ดหลินจือติดต่อกันนานเกินกว่า 1 ปี อาจจะส่งผลให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้
-การบริโภคสารสกัดเห็ดหลินจืออาจทำให้เกิดผลกระทบได้ ดังเช่น ปากแห้ง คอแห้งผาก คันจมูก เลือดกำเดาไหล ท้องไส้ป่วนปั่น ถ่ายเป็นเลือด
-การดื่มไวน์เห็ดหลินจืออาจทำให้เกิดผลกระทบเป็นอาการผื่นคัน
-การสูดหายใจเอาเซลล์สืบพันธุ์ หรือ สปอร์ (Spores) ของเห็ดหลินจือเข้าไปอาจก่อให้กำเนิดอาการแพ้
ผู้ที่ต้องระวังสำหรับการบริโภคเป็นพิษ
ผู้ที่ท้อง หรือกำลังให้นมบุตร แม้ยังไม่มีการพิสูจน์ผลกระทบที่บางทีอาจเกิดขึ้นได้ในกรุ๊ปผู้บริโภคนี้แม้กระนั้นคนที่ตั้งครรภ์และคนที่กำลังให้นมลูกควรจะเลี่ยงการบริโภคเห็ดหลินจือ เพื่อให้มีความปลอดภัยต่อร่างกายของตนแล้วก็ลูกน้อย
คนที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด การบริโภคเห็ดหลินจือในจำนวนมาก อาจเพิ่มการเสี่ยงสำหรับในการเกิดภาวะมีเลือดออกในคนไข้บางรายที่จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด ด้วยเหตุผลดังกล่าว เพื่อลดการเสี่ยง คนเจ็บควรหยุดบริโภคเห็ดหลินจือ อย่างน้อย 2 อาทิตย์ก่อนวันผ่าตัด
คนที่มีปัญหาสุขภาพ
ความดันโลหิตต่ำ เห็ดหลินจืออาจนำมาซึ่งการทำให้ความดันโลหิตต่ำลง ด้วยเหตุผลดังกล่าว คนเจ็บสภาวะความดันโลหิตต่ำควรต้องหลบหลีกการบริโภคเห็ดหลินจือ
ภาวการณ์เกล็ดเลือดต่ำ การบริโภคเห็ดหลินจือในปริมาณมากอาจเพิ่มความเสี่ยงสำหรับในการเกิดภาวะมีเลือดออกในผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ ฉะนั้นคนไข้สภาวะเกล็ดเลือดต่ำจึงไม่สมควรบริโภคเห็ดหลินจือ
ภาวการณ์มีเลือดออกเปลี่ยนไปจากปกติ การบริโภคเห็ดหลินจือในปริมาณมาก อาจเพิ่มการเสี่ยงในการเกิดภาวะมีเลือดออกในผู้เจ็บป่วยบางราย โดยเฉพาะในคนที่มีภาวะเลือกออกแตกต่างจากปกติอยู่แล้ว http://www.disthai.com/

3

ขิง
ขิง ชื่อสามัญ Ginger (จิน’พบ)
ขิง ชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber officinale Roscoe จัดอยู่ในวงศ์ขิง (ZINGIBERACEAE)
ขิง จัดเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อสภาพร่างกายในหลายๆด้าน เพราะว่าอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีความหมายอย่างยิ่งต่อร่างกายของพวกเรา ยกตัวอย่างเช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี เบต้าแคโรทีน ธาตุเหล็ก ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส แถมยังมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และเส้นใยเยอะๆอีกด้วย ซึ่งประโยชน์ของขิงนั้น พวกเราสามารถนำมาใช้ได้หลายสิ่งหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นราก เหง้า ต้น ใบ ดอก แก่น และก็ผลก็ได้ทั้งหมด
คุณประโยชน์ที่ได้รับมาจากขิง
-ขิงจัดว่าเป็นยาอายุวัฒนะชั้นยอด
มีสารต้านทานอนุมูลอิสระเยอะๆ ช่วยชะลอความแก่และก็ชะลอการเกิดริ้วรอย
มีส่วนช่วยสำหรับในการคุ้มครองป้องกัน ต้านการเกิดโรคมะเร็ง ต่อต้านการเติบโตของเซลล์ของโรคมะเร็ง
ช่วยลดผลกระทบจากสารเคมีที่ใช้เพื่อการรักษามะเร็ง ฉะนั้นควรกินขิงพร้อมกันไปกับการรักษามะเร็งจะเป็นประโยชน์
ขิง มีฤทธิ์อุ่น ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น รวมทั้งช่วยสำหรับในการขับเหงื่อ
ช่วยแก้อาการร้อนใน ด้วยการใช้ลำต้นใหม่ๆนำมาทุบให้แหลกราว 1 กำมือ แล้วต้มกับน้ำดื่ม
ช่วยลดหุ่น ลดระดับไขมัน คอเลสเตอรอล ด้วยการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากไส้ แล้วปล่อยให้ร่างกายกำจัดออกทางอุจจาระ
ช่วยรักษาลักษณะของการปวดหัวแล้วก็ไมเกรน ด้วยการกินน้ำขิงเป็นประจำ
ช่วยลดความต้องการของผู้ติดยาเสพติดลงได้
แก้ตานขโมย ด้วยการใช้ขิง ใบกะเพรา พริกไทย ไพล มาบดผสมกันแล้วนำมารับประทาน
ช่วยรักษาโรคความดันโลหิต ด้วยการนำขิงสดมาฝานต้มกับน้ำกิน
ช่วยบำรุงหัวใจของคุณให้แข็งแรง
ช่วยทุเลาลักษณะของโรคประสาท ซึ่งทำให้จิตใจขุ่นหมอง (ดอก)
ช่วยฟื้นฟูร่างการสำหรับมารดาข้างหลังคลอดลูก ด้วยการกินไก่ผัดขิง
มีส่วนช่วยให้เจริญอาหาร (ราก, เหง้า) ด้วยการใช้เหง้าสดราว 1 องคุลีนำมาต้มกับน้ำ ก็จะได้เป็นยาขมเจริญอาหาร
ใช้รับประทานเพื่อบำรุงเป็นยาธาตุ บำรุงธาตุไฟ (เหง้า, ดอก)
ใช้บำรุงนมของคุณแม่ (ผล)
ช่วยให้นอนได้อย่างสบาย
การกินขิงจะช่วยทำให้เลือดแข็งตัวเป็นลิ่มเลือดได้ช้าลง
ใช้แก้ไข้ (ผล) ด้วยการนำขิงสดมาคั้นเป็นน้ำให้ได้ราวครึ่งถ้วย แล้วผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา นำมาต้มกับน้ำ 2 ถ้วย แล้วนำมาดื่มวันละ 3 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการได้
ช่วยแก้หวัด ทุเลาอาการไอ บรรเทาหวัดจับเสมหะ ด้วยการใช้ขิงสดฝนกับน้ำมะนาวใส่เกลือนิดเดียว
ไอน้ำหอมระเหยจากน้ำขิงช่วยทำลายเชื้อไวรัสหวัดในทางเดินหายใจได้
แก้ลม (ราก)
ในผู้ป่วยที่มีอาการติดยาสลบหลังผ่าตัด น้ำขิงช่วยแก้เมาได้
ช่วยแก้อาการเมารถ เมาเรือได้เป็นอย่างดี ด้วยการใช้ขิงสดเอามาตำให้แหลก คั้นเอาเฉพาะน้ำ (ไม่ต้องกินน้ำตาม)
ช่วยแก้ปัญหาผมหล่น หัวล้าน ด้วยการนำเหง้าสดไปผิงไฟจนกระทั่งอุ่น แล้วเอามาตำให้แหลก เอามาพอกบริเวณที่มีผมตก วันละ 2 ครั้งกระทั่งอาการ หรืออีกวิธีก็คือคั้นเอาเฉพาะน้ำขิงมาผสมกับน้ำมันที่สกัดจากมะกอกแล้วนำมาหมักผม นวดให้ทั่วศีรษะราวๆ 30 นาทีก็ช่วยลดปัญหาผมตกได้แบบเดียวกัน แถมยังช่วยทำให้ผมงาม แข็งแรง มีความนิ่มลื่น ไม่ขาดง่ายอีกด้วย
-ช่วยทำนุบำรุงสายตา รักษาโรคเกี่ยวกับตา แล้วก็ใช้แก้อาการตามัว (ผล, ใบ)
ช่วยรักษาอาการตาแฉะ (ดอก)
ช่วยแก้โรคกำเดา (ใบ)
ใช้แก้อาการคอแห้ง เจ็บคอ (ผล)
ใช้รักษาอาการปากคอเปื่อย ท้องผูก (เหง้า,ดอก)
ช่วยรักษาลักษณะของการปวดฟัน ด้วยการนำขิงแก่มาทุบอย่างระมัดระวังคั่วกับน้ำสารส้มกระทั่งไหม้เกรียม แล้วบดจนถึงเป็นผง แล้วหลังจากนั้นนำมาพอกรอบๆฟันที่ปวดแก้เสลด เสลดขาวเหลวจำนวนมากมีฟอง (ผล, ราก)ช่วยรักษาสภาวะน้ำลายมาก อ้วกเป็นน้ำใสช่วยลดกลิ่นปาก แก้อาการปากเหม็น ด้วยการนำขิงมาคั้นผสมน้ำอุ่นและก็เกลือนิดหน่อย เอามาอมบ้วนปาก ช่วยฆ่าเชื้อโรคในปากได้อีกด้วยช่วยทำนุบำรุงฟันและก็คุ้มครองป้องกันการเกิดฟันผุ
ช่วยขจัดกลิ่นรักแร้ ด้วยการใช้เหง้าขิงแก่นำมาตีให้แหลก แล้วเอามาคั้นเอาน้ำมาทาจั๊กกะแร้เป็นประจำ จะช่วยในการจัดการกับรอยคราบกลิ่นได้
ช่วยแก้อาการสะอึก ด้วยการใช้ขิงสดตำจนแหลก คั้นเอาเฉพาะน้ำผสมกับน้ำผึ้งนิดหน่อย คนจนเข้ากันแล้วเอามาดื่ม
ช่วยรักษาโรคบิด (ผล, ราก, ดอก) ด้วยการใช้ขิงสดประมาณ 75 กรัม ผสมกับน้ำตาลทรายแดง นำมาตำจนถึงถูกกัน แล้วกิน 3 มื้อต่อวัน
ช่วยแก้อาการอ้วก (เหง้า, ผล) ด้วยการนำขิงสดประมาณ 5 กรัมหรือขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ นำมาตีให้แตกแล้วต้มกับน้ำกิน
ช่วยลดการอาเจียนอ้วกจากการแพ้ท้อง (สำหรับหญิงมีท้องไม่ควรกินบ่อยครั้งจนถึงเกินความจำเป็น)
แก้อาการท้องอืด จุกเสียด แน่นท้อง ขับลมในไส้ (ผล, ราก, ใบ) ด้วยการนำขิงแก่มาตีพอแหลก เทน้ำเดือดลงไปครึ่งแก้ว แล้วปิดฝาตั้งทิ้งไว้ราว 5 นาทีแล้วนำน้ำมาดื่มระหว่างมื้ออาหาร
ช่วยรักษาอาการปวดในช่วงหลังหรือก่อนระดู ด้วยการนำขิงแก่ที่แห้งแล้วราวๆ 30 กรัมมาต้มกับน้ำกินเสมอๆ
ช่วยย่อยของกินได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ดอก)
ช่วยคุ้มครองการเกิดแผลในกระเพาะ ลดอาการจุกเสียด (เหง้า)
ช่วยสำหรับในการถ่าย แล้วก็ช่วยในเรื่องของระบบลำไส้ให้ดำเนินการได้อย่างเป็นปกติ
ช่วยฆ่าพยาธิ พยาธิกลมจุกลำไส้ (ใบ) ใช้น้ำขิงผสมกับน้ำผึ้งแล้วนำมาดื่ม
ช่วยแก้อาการขัดเยี่ยว (ดอก, ใบ)
ช่วยรักษาฉี่รดที่นอนในคนป่วยที่มีภาวการณ์หยางพร่อง มีความเย็นภายในร่างกายเป็นเหตุ
ช่วยรักษาโรคนิ่ว (ใบ, ดอก)
ช่วยแก้อาการฟกช้ำ (ใบ)
ขิง ช่วยรักษาอาการปวดข้อตามร่างกายด้วยการรับประทานขิงสดเสมอๆ
มีฤทธิ์ช่วยต้านทานเชื้อแบคทีเรีย
ใช้เป็นยาแก้คัน ด้วยการนำแก่นของขิงฝนทำเป็นยา (แก่น)
แก้ไขปัญหาหนังที่มือลอกเป็นสะเก็ด ด้วยการใช้เหง้าสดมาหั่นเป็นแผ่น แล้วนำมาแช่สุรา 1 ถ้วยชา ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง แล้วนำแผ่นขิงมาเช็ดรอบๆดังกล่าววันละ 2 ครั้ง
ช่วยรักษาแผลเริมบริเวณข้างหลัง ด้วยการใช้เหง้า 1 หัว เอามาเผาเปลือกนอกจนเป็นถ่าน คอยเฉือนถ่านที่เปลือกนอกออกไปเรื่อยแล้วนำผงที่ได้มาผสมกับน้ำดีหมูเอามาทาบริเวณที่เป็นแผลซึ่งถ้าหากว่าถูกแมงมุมกัด ใช้ขิงสดฝานบางๆเอามาวางทับบริเวณที่ถูกกัดจะช่วยทุเลาอาการได้ช่วยรักษาอาการมือเท้าเย็น กลัวหนาว เย็นท้อง เป็นต้น ช่วยคุ้มครองปกป้องการแพ้อาหารทะเลจนถึงเกิดผื่นคัน ผื่นคัน หรือของกินช็อกคุณประโยช์จากขิง
ช่วยรักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ด้วยการนำขิงสดมาตำให้แหลก แล้วนำกากมาพอกรอบๆแผล เพื่อคุ้มครองป้องกันการอักเสบรวมทั้งการเกิดหนองในขิงมีสารที่สามารถใช้กันบูดกันเหม็นหืนในน้ำมันได้
ในด้านการปรุงอาหารนั้น ขิงสามารถช่วยเพิ่มรสชาติอาหารได้อย่างดีเยี่ยม แล้วก็สามารถช่วยดับกลิ่นคาวของของกินก้าวหน้าอีกด้วย
ในด้านความงดงามนั้นมีผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งหน้าที่ใช้บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของขิงอีกด้วย
ช่วยให้ผิวพรรณเรียบเนียนยิ่งขึ้น ด้วยการนำขิงสดมาขูดเป็นฝอยแล้วนำมานวดบริเวณต้นขา ตูด หรือรอบๆที่มีเซลลูไลต์จะช่วยลดความขรุขระของผิวได้อีกด้วย
สินค้าจากขิงนั้นนำมาแปรรูปได้หลายอย่าง ดังเช่น ขนมบัวลอยน้ำขิง ขิงแช่อิ่ม ขิงเชื่อม ขิงกระป๋อง ขิงแคปซูล น้ำขิงมะนาว ฯลฯ

วิธีการทำน้ำขิง
วิธีทำน้ำขิงกระบวนการทำน้ำขิงขั้นตอนแรกให้เตรียมส่วนประกอบดังต่อไปนี้ ขิงแก่ 1 โล / น้ำตาลทรายแดง 1 ถ้วยตวง / น้ำที่สะอาด 3 ลิตร
นำขิงที่ได้ไปล้างให้สะอาด นำมาทุบให้แตก แล้วเอามาใส่เอาไว้ข้างในหม้อต้ม เติมน้ำที่สะอาดลงไป ยกขึ้นตั้งไฟ
เมื่อต้มกระทั่งน้ำเดือดแล้วค่อยค่อยไฟลง ต้มโดยประมาณ 20 นาทีจนถึงน้ำขิงละลายออกมาจนกระทั่งหมด (น้ำจะเป็นสีเหลืองอ่อนๆ) แล้วชูลงจากเตา
เสร็จแล้วให้ตักน้ำขิงใส่แก้ว เพิ่มน้ำตาลทรายแดงลงไป 1-2 ช้อนชา (ตามความต้องการ) แล้วคนจนเข้ากัน
เป็นระเบียบและจากนั้นก็สามารถนำมาดื่มได้ โดยนำมาดื่มแบบร้อนๆได้เลย
หรือจะดื่มแบบเย็นๆด้วยการใส่น้ำแข็งลงไปก็ได้เหมือนกัน แม้กระนั้นควรเพิ่มน้ำตาลมากยิ่งกว่า 2-3 เท่า (จะช่วยไม่ให้รสจืดมากจนเกินไป เนื่องจากมีน้ำแข็งผสมอยู่นั่นเอง)
น้ำขิงที่คั้นมานั้นไม่ควรใช้จำนวนที่เข้มข้นกระทั่งเหลือเกิน เพราะเหตุว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ เนื่องจากจะไปหยุดการบีบตัวของไส้ จนกระทั่งทำให้ไส้หยุดการบีบตัว ด้วยเหตุนี้ควรคั้นในปริมาณน้อยๆหรือดื่มจนเคยชินก่อน
พวกเรามักจะรู้จักคุ้นเคยกับขิงว่าเป็นของกินที่นิยมประยุกต์ใช้สำหรับการทำครัวและทำเครื่องดื่ม ซึ่งจริงๆแล้วขิงจัดเป็นสมุนไพรไทยที่ช่วยการบำบัดรักษาโรคต่างๆได้สารพัน นับได้ว่าเป็นตัวช่วยสำหรับการรักษาโรคได้เลยทีเดียว แต่ว่าทั้งนี้เราก็ไม่สมควรจะหวังพึ่งสรรพคุณของขิงเพียงอย่างเดียวสำหรับเพื่อการเยียวยาโรค ควรทำอันอื่นหรือดูแลสุขภาพของพวกเราร่วมด้วยจะได้ประสิทธิภาพที่ดีนักแล
เรามักนิยมใช้ขิงแก่ เพราะยิ่งแก่จะยิ่งให้ความเผ็ดร้อน จึงมีคุณประโยชน์ทางยาที่มากกว่าขิงอ่อน และก็ยังมีใยอาหารมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย แต่ด้วยเหตุว่าขิงมีรสเผ็ด มีคุณสมบัติอุ่น ก็เลยไม่เหมาะกับผู้ที่มีความร้อนในร่างกายอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่นผู้ที่เหงื่อออกมาก เหงื่อออกตอนกลางคืน ตาแดง หรือมีไฟในตัวมากกว่าปกติ แต่ถ้าจะรับประทานควรระมัดระวังเป็นพิเศษ http://www.disthai.com/

หน้า: [1]