รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Topics - kios32ds5f

หน้า: [1]
1

สมุนไพรพญายอ
ชื่อสมุนไพร พญายอ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau
ชื่อตระกูล ACANTHACEAE
ชื่อพ้อง Clinacanthus burmanni  Nees
ชื่ออังกฤษ ไม่มี
ชื่อท้องถิ่นผักมันไก่  ผักลิ้นเขียด  พญาข้อคำ  พญาบ้องดำ พญายอ  โพะโซ่จาง  เสมหะพังพอนตัวเมีย


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์


          ไม้พุ่มรอคอยเลื้อย ลำต้นและกิ่งก้านเกลี้ยงเป็นมัน สูงได้ถึง 3 เมตร ใบคนเดียวออกเรียงตรงกันข้าม รูปขอบขนานหรือขอบขนานแกมใบหอก กว้าง 2-3 เซนติเมตร ยาว 7-9 เซนติเมตร โคนใบมน ปลายใบแหลม ก้านใบยาว 0.5 เซ็นต์ ดอกเป็นช่อ ออกเป็นกลุ่มที่ปลายยอด กลีบสีส้มแดงเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว ปลายแยกเป็น 2 ปาก ยาว 3-4 ซม. ไม่ติดฝัก


ส่วนที่ใช้เป็นยาแล้วก็คุณประโยชน์


-ส่วนใบ รักษาอาการเพราะว่าแมลงกัดต่อยแล้วก็โรคเริม


สารสำคัญที่ออกฤทธิ์


สารฟลาโวนอยด์ มีฤทธิ์ลดการอักเสบ สารกลุ่ม monoglycosyl diglycerides อย่างเช่น 1,2-O-dilinolenoyl-3-O-b-d-glucopyranosyl-sn-glycerol แล้วก็สารกลุ่ม glycoglycerolipids จากใบ  มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อไวรัสเริม


ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา


ฤทธิ์ลดการอักเสบ
       เมื่อป้อนสารสกัดจากใบด้วยเอ็นบิวทานอลให้หนูแรท  หรือฉีดสารสกัดด้วยน้ำจากใบเข้าช่องท้องของหนูแรท  จะลดการอักเสบของข้อเท้าหนูแรทที่ทำให้บวมด้วยสารคาราจีแนน (carrageenan) ได้   ตำรับยาที่มีพญายอร้อยละ 5  ใน cold cream และก็สารสกัดด้วยเอทานอลจากใบ เมื่อนำมาทาเฉพาะที่ให้หนูแรท จะสามารถลดการอักเสบเรื้อรังได้  แต่ว่าเมื่อใช้สารสกัดด้วยนเอ็นบิวทานอลทาที่ผิวหนังจะไม่ได้เรื่อง
ฤทธิ์ลดลักษณะของการปวด
                 เมื่อให้หนูเม้าส์กินสารสกัดด้วยเอ็นบิวทานอลจากใบ จะลดความเจ็บของหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้ปวดด้วยกรดอะซีว่ากล่าวค  ขึ้นรถสกัดความแรง 90 มิลลิกรัม/โล จะมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับเฟนนิวบิวทาโซนขนาด 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม (5)  ส่วนสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม (2)  สารสกัดด้วยน้ำ และก็สารสกัดด้วยเอทานอล 50% จากใบ (3) ไม่เป็นผลลดความเจ็บปวด

ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัส
เชื้อไวรัสเริม
       [url=http://www.disthai.com/16913677/%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2]พญายอ[/url]สารสกัดด้วยเฮกเซน บิวทานอล และก็เอทิลอะซิเตทจากใบ มีฤทธิ์ต่อต้านไวรัสเชื้อเริม HSV-1  รวมทั้งเมื่อนำไปทำเป็นตำรับเจลโดยใช้สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ที่ความเข้มข้นปริมาณร้อยละ 4 รวมทั้งใช้ carbopol 940 เป็นสารก่อเจล  พบว่า มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อไวรัสเจริญและไม่เป็นพิษต่อเซลล์  ในเวลาที่เมื่อใช้สารก่อเจล poloxamer 407 จะเป็นพิษต่อเซลล์
                 จากรายงานการดูแลรักษาคนป่วยโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์จำพวกเป็นซ้ำด้วยยาจากสารสกัดพญายอ เปรียบเทียบกับยา acyclovir  แล้วก็ยาหลอก  โดยให้ผู้ป่วยทายาวันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 6 วัน พบว่าไม่มีความแตกต่างในช่วงเวลาการตกสะเก็ดของแผลคนเจ็บที่ใช้ยาจากสารสกัดใบพญายอรวมทั้งยา acyclovir   โดยแผลจะตกสะเก็ดข้างใน 3 วัน แล้วก็หายสนิทข้างใน 7 วัน ซึ่งผิดแผกกับยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญ ยาที่สกัดจากใบพญายอไม่ก่อให้เกิดการอักเสบ ระคายเคือง ขณะที่ acyclovir ทำให้แสบ   นอกจากนั้นมีการใช้ยาที่ทำมาจากพญายอ ในคนไข้โรคเริม งูสวัด แล้วก็แผลอักเสบในปาก พบว่าสามารถรักษาแผลรวมทั้งลดการอักเสบได้ดี   
เชื้อไวรัส Varicella zoster
                 สารสกัดจากใบพญายอออกฤทธิ์ทำลายเชื้อไวรัส Varicella zoster ที่เป็นต้นเหตุโรคงูสวัดและก็อีสุกอีใสได้โดยตรงก่อนที่เชื้อไวรัสจะเข้าสู่เซลล์
จากรายงานการดูแลรักษาคนป่วยโรคงูสวัดด้วยยาจากสารสกัดใบพญายอเปรียบเทียบกับยาหลอก  โดยให้ป้ายยาวันละ 5 ครั้ง เป็นเวลา 7-14 วัน จนกระทั่งแผลจะหาย  พบว่าคนเจ็บหวานใจษาด้วยสารสกัดจากใบพญายอ แล้วมีแผลเป็นสะเก็ดข้างใน 3 วัน และก็หายด้านใน 7-10 วัน จะมีมากมายกว่ากรุ๊ปหวานใจษาด้วยยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ระดับความเจ็บต่ำลงเร็วกว่ากรุ๊ปยาหลอก และไม่พบผลกระทบใดๆ


อาการใกล้กัน


ความเป็นพิษทั่วไปแล้วก็ต่อระบบแพร่พันธุ์


การทดสอบความเป็นพิษ
เมื่อป้อนสารสกัดด้วยเอ็นบิวทานอลจากใบให้หนูเม้าส์ พบว่ามีพิษน้อย แต่เป็นพิษปานกลางเมื่อฉีดเข้าช่องท้อง  ส่วนสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1.3 กรัม/กก. (หรือเสมอกันใบแห้ง 5.44 กรัม/กิโลกรัม) เมื่อป้อนเข้าทางปากหรือฉีดเข้าช่องท้องหนูเม้าส์ ไม่ส่งผลให้เกิดอาการพิษอะไรก็แล้วแต่
การเรียนพิษ
พญายอครึ่งหนึ่งเรื้อรัง พบว่าเมื่อป้อนหนูแรทด้วยสารสกัดเอ็นบิวทานอลจากใบขนาด 270 มิลลิกรัม/กก. และก็ 540 มิลลิกรัม/กก. ทุกเมื่อเชื่อวัน นาน 6 สัปดาห์ พบว่าไม่เป็นผลต่อการเจริญเติบโต แม้กระนั้นน้ำหนักต่อมธัยมัสลดลง ในเวลาที่น้ำหนักตับเพิ่มขึ้น ไม่พบความไม่ดีเหมือนปกติต่ออวัยวะอื่น และไม่เจออาการไม่พึงปรารถนาอะไรก็ตาม หนูแรทที่กินสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1 กรัม/กิโลกรัม แต่ละวันนาน 90 วัน พบว่าการกินของกินของกรุ๊ปที่ได้รับสารสกัดแล้วก็กลุ่มควบคุมไม่มีความแตกต่างกัน แต่ว่าน้ำหนักของหนูเพศผู้ที่ได้สารสกัดขนาด 1.0 กรัม/กิโล ต่ำยิ่งกว่าพญายอกรุ๊ปควบคุม  เกร็ดเลือดของหนูแรททั้งสองเพศสูงขึ้นยิ่งกว่า แล้วก็ครีอาว่ากล่าวนินน้อยกว่ากลุ่มควบคุม  แม้กระนั้นไม่เจอความไม่ปกติด้านจุลพยาธิวิทยาของอวัยวะภายใน และพยาธิสภาพภายนอกhttp://www.disthai.com/

2

บัวบก
ใบบัวบก เป็นพืชสมุนไพรที่เราต่างรู้จักกันดีในฐานะของผักพื้นบ้าน นิยมนำมารับประทานกับน้ำพริกหรือเมนูอาหารต่างๆแบบใหม่ๆและยังนิยมเอามาทำเป็นเครื่องดื่มน้ำใบบัวบกเพื่อดับหิว แก้ช้ำใน รวมทั้งเพื่อช่วยบำรุงร่างกาย ซึ่งจัดว่าเป็นพืชสมุนไพรที่อยู่ในแถบทวีปเอเชียเรานี้เอง ด้วยคุณประโยชน์ที่นานาประการ ก็เลยทำให้มันเป็นทั้งยารักษาโรคและตัวดูแลสุขภาพ ในปัจจุบันเริ่มมีการทำวิจัย สกัดสารสำคัญในใบบัวบกนำมาใช้สำหรับเพื่อการรักษาในรูปของยาแคปซูล แล้วก็บัวบกผงสำหรับชงดื่มอีกด้วย
รูปแบบของใบบัวบก
บัวบก มีชื่อเรียกด้านวิทยาศาสตร์ว่า Centella asiatica อยู่ในวงศ์ Umbelliferae ซึ่งเป็นสกุลเดียวกันกับผักชี ส่วนชื่อเขตแดนถูกเรียกในชื่อที่หลากหลาย ดังเช่น ผักแว่น ผักหนอก และกะโต่ ฯลฯ  ลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้ล้มลุก มีกอติดอยู่กับพื้นดิน ลำต้นจะเลื้อยแพร่กิ่งไม้ไปตามพื้นดินในแนวยาว มีอายุยืนยาวได้นานนับเป็นเวลาหลายปี การแตกรากและใบจะเกิดขึ้นตามข้อ ลักษณะเป็นใบโดดเดี่ยว มีรูปร่างราวกับไต จะออกเป็นกรุ๊ปตามข้อ ขอบของใบหยัก มีก้านใบยื่นยาวออกมา ดอกเป็นสีม่วงผสมแดง ผลแบน ออกเป็นดอกเดี่ยวหรือช่อขนาดเล็กประมาณ 3-4 ดอก มีเอกเอกลักษณ์ในเรื่องของกลิ่น และรสที่ขมคละเคล้าหวาน
คุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากใบบัวบักที่นิยมนำมากิน
พวกเราอาจคุ้นชินว่าบัวบกเป็นพืชสมุนไพรแก้บอบช้ำในเป็นหลัก แม้กระนั้นอันที่จริงแล้วสมุนไพรจำพวกนี้มีประโยชน์สำหรับในการรักษาอีกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น การดูแลรักษาโรคลมชัก โรคผิวหนัง ท้องเดิน รักษาโรคในกระเพาะ ช่วยบำรุงสมอง แล้วก็ช่วยเพิ่มความจำ เป็นต้น การรับประทานใบบัวบกแบบใหม่ๆจะก่อให้ร่างกายได้สารสำคัญหลายอย่าง ที่พบมากคือ "สารไกลโคไซด์" (Glycosides) ซึ่งจัดว่าเป็นสารที่ผลเข้าไปกัดกันการเกิดสารอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสื่อมถอยสภาพของเซลล์แล้วก็เนื้อเยื่อต่างๆภายในร่างกาย มีส่วนช่วยรีบการสร้างคอลลาเจนที่ผิว กระดูก และก็เส้นเอ็น ทำให้แผลสมานตัวเข้าพบกันได้เร็วขึ้นกว่าเดิม
สรรพคุณของใบบัวบก ไม่ว่าจะเป็นการทานฯลฯดิบๆหรือนำมาคั้นเป็นน้ำดื่ม ล้วนมีสรรพคุณทางยาที่ไม่ได้ต่างอะไรกัน
เพราะมีฤทธิ์เป็นยาเย็น จะช่วยลดการเกิดอาการร้อนใน ช่วยลดการเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อม ในกลุ่มสตรีที่อยู่ในวัยใกล้หมดประจำเดือน ผู้ที่ต้องใช้สมองสำหรับเพื่อการทำงานมากๆใบบัวบกจะเป็นตัวช่วยเพิ่มความจำได้ดี ช่วยลดความตึงเครียด ลดการอักเสบที่ผิวหนัง อาการบวมช้ำและร่องรอยผิดปกติที่เกิดบนผิวหนัง ยิ่งไปกว่านี้ผู้ที่บริโภคใบบัวบกข้างหลังการผ่าตัด จะช่วยทำให้แผลสมานตัวได้เร็วขึ้น และก็ลดการติดเชื้อได้
คุณประโยชน์ของบัวบกกับผลงานวิจัย
การค้นคว้าวิจัยได้กล่าวถึงบัวบกเอาไว้ว่า เป็นพืชที่มีสรรพคุณเด่นในด้านการบำรุงสมองเช่นเดียวกันกับแปะก๊วย ช่วยกระตุ้นสมองสำหรับเพื่อการจดจำสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น แล้วก็ช่วยพัฒนาการศึกษาทางสมอง แล้วก็ด้วยลักษณะเด่นกลุ่มนี้ทำให้มันกลายเป็นพืชที่ถูกจดสิทธิบัตรสารสกัดจากบัวบกที่มีหน้าที่่ช่วยเพิ่มความจำ
จากการทดลองในลูกหนู พบว่ามีความจำรวมทั้งการศึกษาที่ ส่วนในคน มีการทดสอบในเด็กพิเศษ ด้วยการกินบัวบกวันละ 500 มิลลิกรัม ต่อเนื่องกัน 3 เดือน เปรียบเทียบกับกรุ๊ปควบคุม พบว่ามีความรู้ความเข้าใจในการทำความเข้าใจที่ดียิ่งกว่า ส่วนในคนวัยแก่ให้ทดลองกินสารสกัดบัวบก 750 มิลลิกรัม ต่อเนื่องกัน 2 เดือน พบว่า ความจำและการเรียนรู้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังยังช่วยลดอารมณ์แปรปรวน ทำให้คนชรามีอารมณ์เบิกบานมากยิ่งขึ้นด้วย ในรายที่เป็นวัยทำงาน ได้กระทำการทดลองกับผู้หญิงอายุประมาณ 33 ปี รับประทานสารสกัดบัวบก 500 มก. วันละ 2 ครั้ง พบว่าช่วยลดความเคร่งเครียด ความรู้สึกกังวลใจ แล้วก็สภาวะเศร้าหมองลงได้
เมื่อเจาะลึกลงไปถึงระดับเซลล์ พบหลักการทำงานของสารสกัดบัวบกที่ตรงเข้าออกฤทธิ์กับสมอง ช่วยให้การหายใจระดับเซลล์ข้างในสมองทำงานได้ดิบได้ดีขึ้น มีสารต้านอนุมลอิสระ ช่วยสร้างสมดุลสารสื่อประสาท รวมทั้งต่อต้านการสลายตัวของเซลล์สมองได้
การนำใบบัวบกมาใช้บริโภคเพื่อเป็นยา
บัวบกสามารถประยุกต์ใช้เป็นยาได้นานาประการ ไม่ว่าจะเป็นส่วนของต้นสด เม็ด หรือใบ ซึ่งเป็นที่นิยมประยุกต์ใช้มากที่สุด การเลือกใบบัวบกที่ดี ควรเลือกใบที่โตเต็มกำลังแล้วก็บริบูรณ์ นำมาใช้ตากแห้งป่นเป็นผงบรรจุลงในแคปซูลราวๆ 500 มิลลิกรัม กินเป็นยาบำรุงร่างกาย
นำเอาใบบัวบกสด 1 กำมือ มาคั้นให้ได้น้ำ หรือตำให้ถี่ถ้วนแล้วผสมกับน้ำ 1 แก้ว คนจนเข้ากันหลังจากนั้นกรองให้เหลือแค่น้ำ ผสมน้ำตาลหรือเกลือก็ได้ตามชอบ ดื่มครั้งละ 1 แก้ว ก่อนกินอาหารอีกทั้ง 3 มื้อ ราวๆ 5-7 วัน จะช่วยลดอาการร้อนในรวมทั้งแก้บอบช้ำในได้
ในกรณีที่เป็นคนป่วยโรคความดันเลือดสูง ให้สามารถกินน้ำใบบัวบกทุกวี่ทุกวัน ติดต่อกันโดยประมาณ 7 วัน จะช่วยลดความดันให้อยู่ในระดับธรรมดา
เมล็ดของบัวบกที่มีรสขมแล้วก็เย็น นิยมนำมาใช้แก้ไข้ ลดอาการปวดหัว และก็แก้บิด

ข้อควรตรึกตรองสำหรับการใช้ใบบัวบก
ก่อนรับประทานใบบัวบกเพื่อเป็นยา จะต้องพิจารณาสุขภาพด้านร่างกายของตัวเองก่อนว่าฐานรากแล้วมีโรคประจำตัวอะไรที่มีความเสี่ยงหรือเปล่า ด้วยเหตุว่าสารบางชนิดในใบบัวบก จะเข้าไปทำให้อาการของโรคกำเริบเสิบสานเยอะขึ้นได้
เหตุเพราะบัวบกเป็นยาที่มีฤทธิ์เย็น การกินมากเกินความจำเป็นจะก่อให้สะสมในร่างกายกระทั่งรู้สึกหนาวมากยิ่งขึ้นได้
เลี่ยงการกินใบบัวบกต่อเนื่องกันทุกเมื่อเชื่อวัน หรือรับประทานครั้งละมากๆเมื่อรับประทานต่อเนื่องกันราวๆ 1 อาทิตย์แล้ว ก็ควรจะหยุดพัก 1 อาทิตย์ แล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยกลับมากินใหม่
สำหรับคนที่รับประทานใบบัวบกใหม่ๆต่อเนื่องกันทุกๆวัน ควรกินในรูปร่างราววันละ 3-6 ใบ ไม่ควรเกินไปกว่านี้
หากร่างกายมีลักษณะอ่อนแรง เวียนหัว ใจสั่น หรือหัวใจเต้นเปลี่ยนไปจากปกติ รู้สึกคันตามผิวหนัง ท้องเดิน หลังจากการกิน ควรจะหยุดรับประทานในทันทีรวมทั้งรีบเข้าพบแพทย์อย่างเร่งด่วน
ในฝูงชนที่ต้องรับประทานยาแก้แพ้ ยานอนหลับ หรือยากันชัก ไม่สมควรกินใบบัวบก เหตุเพราะจะยิ่งไปเพิ่มฤทธิ์ให้รู้สึกง่วงซึมเพิ่มมากขึ้น
ใบบัวบกเป็นพืชสมุนไพรไทยที่หาได้ง่ายทั่วไปตามตลาด ราคาแพงถูก แม้กระนั้นมากไม่น้อยเลยทีเดียวด้วยสรรพคุณทางยา ที่จะเป็นโอกาสสำหรับในการรักษาโรคต่างๆและก็ใช้สำหรับบำรุงร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ http://www.disthai.com/

3

ชื่อวงศ์ : LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cassia fistula L.
ชื่อสามัญ : Golden shower, Indian laburnum, Pudding-pine tree
ชื่อประจำถิ่นอื่น : ราชพฤกษ์ (ภาคเหนือ) ; ปูโย, เปอโซ, ปือยู, แมะหล่าหยู่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ; คูณ (ภาคกลาง, ภาคเหนือ) ; ชัยพฤกษ์, [url=http://www.disthai.com/16488365/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C]ราชพฤกษ์[/url][/url][/color] (ภาคกลาง) ; กุเพยะ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี)
จำพวกนี้แบบเรียนข้างหลังเล่มเสนอ ชื่อใหม่เป็นเพียงระดับจำพวกย่อยหมายถึงCassia javanica L.subsp javanica K.& S.S .Larsen พืชประเภทนี้เป็นไม้ใหญ่ขนาดเล็ก ถึงขั้นกลาง สูงได้ถึง ๑๕ เมตร เมื่อลำต้นอย่างอ่อนอยู่มีน้ำแข็งที่เกิดขึ้นจากกิ่งแก่ที่ร่วงหล่นไป แต่ว่าเมื่อต้นอายุมากขึ้นจะหายไป ลำต้นไม่ตะปุ่มตะป่ำ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกเรียงสลับกัน มีใบย่อย ๕-๑๕ คู่ ก้านใบยาว ๑.๕-๔ เซนติเมตร แกนกลางใบยาว ๒๐-๓๐ ซม. ใบย่อยรูปไข่แกมรูปมูลหรือรูปขอบขนาน กว้าง ๑.๕-๓ เซนติเมตร ยาว ๒-๕ เซนติเมตร ปลายใบกลมหรือมน โคนใบกลม ใต้ใบมีขนละเอียดอยู่เอนราบกับผิวใบ ก้านใบย่อยสั้นมาก ดอกออกเป็นช่อตามกิ่ง ก้านช่อดอกใหญ่แล้วก็แข็ง ไม่แตกกิ่งก้านสาขา ยาว ๕-๑๖ ซม. เมื่อเริ่มบานมีสีชมพูแล้ว เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม เมื่อใกล้โรยกลายเป็นสีออกขาว ดอกย่อยมีก้านเรียวยาว ๓-๕ ซม.ราชพฤกษ์ มีกลีบเลี้ยงมี สีแดงเข้มถึงสีแดงอมน้ำตาล รูปไข่ ปลายแหลม ยาว ๗-๑๐ มิลลิเมตรกลีบรูปไข่กลับ กว้าง ๗-๘ มิลลิเมตร ยาว ๒๕-๓๕มม. โคนกลีบเป็นก้านยาวราว ๓ มิลลิเมตร  เกสรเพศผู้มี ๑๐ อัน ปริมาณยาวไม่เท่ากัน รังไข่เรียว ขนหุ้มบางๆผลเป็นฝักรูปกระบอกขนาดวัดผ่าศูนย์กลางราม ๑-๑.๕ เซนติเมตร ยาว ๒๐-๖๐ เซนติเมตร แขวนลงมาจากกิ่ง ฝักแก่สีดำ เกลี้ยง ไม่มีขน ไม่แตก มีเม็ดมากมาย แล้วก็รูปแบนแทบกลม สีน้ำตาลวาว
ลักษณะทางวิชาพฤกษศาสตร์
ไม้ต้น (T) สูงโดยประมาณ 5-15 เมตร เปลือกต้นเรียบ หมดจด สีเทาอ่อนหรือสีเทาอมน้ำตาล สีเทาอมขาว หรือสีนวล
ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ใบเรียงสลับ ลักษณะใบย่อยรูปไข่ ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ โคนใบมน แผ่นใบสีเขียว มีใบย่อยราวๆ 4-12 คู่
ดอก มีดอกเป็นช่อแบบช่อกระจะ เป็นช่อแขวนระย้าออกตามกิ่งหรือออกตามง่ามใบ ออกดอกแบบสมมาตรข้างๆ มีกลีบดอก 5 กลีบ สีเหลืองสด โดยกลีบบนสุดจะเรียงอยู่รอบในสุด ดอกมีกลิ่นหอมอ่อนๆ
ผล เป็นฝักกลม ทรงกระบอกยาว ผิวเรียบ และก็มีเปลือกแข็ง ข้างในมีฝาผนังแบนสีน้ำตาล กั้นเป็นห้องและมีเม็ดห้องละ 1 เม็ด ผลอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาลเข้ม หรือดำ
เม็ด มีเนื้อห่อหุ้มนิ่มๆสีน้ำตาลไหม้ หรือสีดำ ลักษณะกลมมนและก็แบน มีรสหวาน
นิเวศวิทยา
ขึ้นตามป่าเบญจพรรณแล้งทั่วๆไป มีมากทางภาคเหนือ นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับและก็ปลูกข้างถนนเพื่อความสวย
การปลูกรวมทั้งขยายพันธุ์
ปลูกได้ไม่ยากแล้วก็เติบโตได้ในดินแทบทุกจำพวก แม้กระนั้นจะถูกใจดินร่วนซุยผสมทราย ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดรวมทั้งตอนกิ่ง

ประโยชน์ทางยา
รสรวมทั้งสรรพคุณในตำราเรียนยา
ราก รสเมา เป็นยาบำรุง รักษาโรคเกี่ยวกับหัวใจ โรคที่เกิดขึ้นและมีปัญหาเกี่ยวกับถุงน้ำดี เป็นยาถ่ายอย่างแรง รักษาลักษณะของการมีไข้ ระบายพิษไข้ ถ่ายสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย ฆ่าเชื้อโรคโรคกุฏฐัง แก้ขี้กลากเกลื้อน แก้อาการเซื่องซึม หนักหัว
เปลือกราก รสฝาด ต้มดื่มแก้ไข้มาลาเรียและก็ระบายพิษไข้ ใช้ร่วมกับเนื้อในฝักเป็นยาแก้ไข้ไข้มาลาเรียรวมทั้งเป็นยาระบาย
แก่น รสเมา ใช้เป็นยาขับพยาธิไส้เดือน รักษาอาการท้องเดิน และช่วยเร่งคลอด
ราชพฤกษ์เปลือกต้น รสฝาดเมา ใช้เป็นยาช่วยรีบคลอด รักษาอาการท้องร่วง
กระพี้ รสเมา ใช้แก้รำมะนาด
ฝัก เนื้อในฝักรสหวานเหม็นเบื่อ ใช้รับประทานเป็นยาระบาย ช่วยทุเลาอาการแน่นหน้าอก ขัดหรือชำระน้ำดี แก้ลมเข้าข้อรวมทั้งขัดข้อ
เปลือกฝัก รสเฝื่อนเมา ทำให้แท้งลูก ขับเกลื่อนกลาดที่ค้าง รวมทั้งทำให้อาเจียน
ใบแก่ รสเมา ใบสดหรือตากแห้ง ใช้เป็นยาถ่าย รักษาอัมพาต ฆ่าเชื้อโรคทั้งหมด ฆ่าพยาธิผิวหนัง รักษาอัมพาตของกล้ามเนื้อบนใบหน้า พอกแก้ปวดข้อ หรือต้มน้ำดื่มแก้โรคเกี่ยวกับสมอง แก้เส้นเอ็นพิการ
ใบอ่อน รสเมา ตำพอกหรือคั้นเอาน้ำทารักษาโรคกลากโรคเกลื้อน แก้ไข้รูมาติก
ดอก รสเปรี้ยวขม ใช้รักษาโรคกระเพาะ เป็นยาถ่ายพยาธิ ต้มดื่มแก้ไข้ แก้แผลเรื้อรัง ช่วยหล่อลื่นในไส้ ระบายท้อง
เมล็ด ช่วยกระตุ้นให้อาเจียน เป็นยาถ่าย
ราชพฤกษ์ แนวทางและก็จำนวนที่ใช้
แก้อาการท้องผูก โดยการเอาเนื้อในฝักแก่หนักประมาณ 5-10 กรัม ต้มกับน้ำ 500 ซีซี ใส่เกลือบางส่วน ดื่มก่อนนอนหรือช่วงเช้าก่อนรับประทานอาหาร เป็นยาระบายที่เหมาะกับคนที่ท้องผูกเสมอๆ แล้วก็สตรีตั้งท้องก็ใช้ฝักคูณเป็นยาระบายได้
รักษาโรคกระเพาะอาหาร โดยใช้ฝักราวๆ 30 กรัม ผสมน้ำ 100 ซีซี ต้มให้เดือดรวมทั้งเหลือน้ำ 50 ซีซี ดื่มให้หมดครั้งเดียว วันละ 3 ครั้ง http://www.disthai.com/

4

กระเทียม
สรรพคุณกระเทียม
ปรับความดันโลหิตให้อยู่ในระดับธรรมดา
ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด จึงเหมาะกับคนป่วยโรคเบาหวาน
บำรุงเลือด ป้องกันอาการโลหิตจาง
เพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย
คุ้มครองป้องกันโรคหัวใจ
ลดท้องผูก ทำให้ระบบขับถ่ายดำเนินการได้ดิบได้ดีขึ้น
ช่วยขับลม แก้อาการจุดเสียดแน่นท้อง
ป้องกันหวัด ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา
มีสารต้านอนุมูลอิสระ บำรุงผิวพรรณ แล้วก็ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง
chopped-garlicsiStock
กระเทียม กับ 10 คุณประโยชน์ดีๆที่พวกเราต้องการให้คุณทานทุกวี่วัน
แนวทางทานกระเทียมให้ได้ประโยชน์
สารอัลลิสินในกระเทียมที่มีสาระต่อสุขภาพร่างกายของพวกเรา จะต้องผ่านการหั่น สับ ตี หรือบด จะต้องหั่น สับ ตี หรือบดกระเทียมก่อนเอามาทำกับข้าว 5-10 นาที โดยสารอัลลิสินนี้จะไม่สลายหายไปเมื่อถูกความร้อน ด้วยเหตุนี้จะทานสด หรือจะทำอาหารในน้ำมันก็ไม่เป็นไร
ปริมาณกระเทียมที่ควรทานต่อวัน
ในวัยผู้ใหญ่สามารถทานกระเทียมได้ราว4 กรัมต่อวัน แม้กระนั้นไม่สมควรทานมากเกินกว่านี้ติดต่อกันเกิน 10 วัน เนื่องจากจะเพิ่มการเสี่ยงภาวการณ์เลือดแข็งช้า  หรือเลือดไหลไม่หยุดเมื่อกำเนิดรอยแผล
วิธีเลือกซื้อกระเทียมมาประกอบอาหาร
ควรจะเลือกกระเทียมที่หัวแน่นๆไม่ฝ่อ เปลือกบาง เนื้อสีเหลืองอ่อน สด ไม่เน่า ไม่มีราขึ้น แล้วก็ถ้าอยากได้รสชาติของกระเทียมแบบแรงๆควรที่จะทำการเลือกกระเทียมหัวเล็กๆ
ว่าแล้วของกินมื้อต่อไปก็บอกให้คนประกอบอาหารพ่อครัวใส่กระเทียมลงไปในอาหารให้ด้วยนะคะ แต่ระวังสักนิด ถ้าหากทานกระเทียมมากมายๆโดยยิ่งไปกว่านั้นกระเทียมสด อาจมีอาการเจ็บคอวันหลัง แล้วก็อย่าลืมระมัดระวังกลิ่นปากกันด้วยค่ะ ประเดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือนนะ
ลักษณะทั่วไปของกระเทียม
กระเทียมเป็นไม้ล้มลุกชนิดรับประทานหัว ลำต้นสูง 1-2 ฟุต มีหัวลักษณะกลมแป้นขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-2 นิ้ว ด้านนอกของหัวกระเทียมมีเปลือกบางๆหุ้มอยู่หลายชั้น ภายในหัวประกอบแกนแข็งกึ่งกลาง ด้านนอกเป็นกลีบเล็กๆจำนวน 10-20 กลีบ เนื้อกระเทียมในกลีบมีสีเหลืองอ่อนแล้วก็ใส  มีน้ำเป็นส่วนประกอบสูง มีกลิ่นฉุนจัด
ลำต้นรวมทั้งหัวกระเทียมสด
แหล่งเพาะปลูก
กระเทียมสามารถปลูกได้ทั่วไปในทุกภาคของเมืองไทย แต่ว่านิยมปลูกกันมากทางภาคเหนือและก็ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องด้วยมีสภาพดินและสภาวะอากาศที่เหมาะอย่างยิ่งกว่าภาคอื่นๆทำให้กระเทียมเติบโตได้ดี เห็นผลผลิตสูงแล้วก็มีรสชาติที่ดีกว่า

ลักษณะทางวิชาพฤกษศาสตร์
กระเทียมเป็นไม้ล้มลุกและใหญ่ยาว สูง 30-60 เซนติเมตร มีกลิ่นแรง มีหัวใต้ดิน2 ลักษณะกลมแป้น เส้นผ่าศูนย์กลาง 2-4 เซนติเมตร มีแผ่นเยื่อสีขาวหรือสีม่วงอมชมพูหุ้มอยู่ 3-4 ชั้น ซึ่งลอกออกได้ แต่ละหัวมี 6-10 กลีบ กลีบเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากตาซอกใบของใบอ่อน ลำต้นลดรูปลงไปๆมาๆก ใบลำพัง (Simple leaf) ขึ้นมาจากดิน เรียงซ้อนสลับ แบนเป็นแถบแคบ กว้าง 0.5-2.5 ซม. ยาว 30-60 ซม. ปลายแหลมแบบ Acute ขอบเรียบและก็พับทบเป็นสันตลอดความยาวของใบ โคนแผ่เป็นแผ่นและเชื่อมชิดกันเป็นวงห่อรอบใบที่อ่อนกว่าแล้วก็ก้านช่อดอกทำให้เกิดเป็นลำต้นเทียม ปลายใบสีเขียวรวมทั้งสีจะเบาๆจางลงจวบจนกระทั่งถึงโคนใบ ส่วนที่ห่อหุ้มหัวอยู่มีสีขาวหรือขาวอมเขียว ช่อดอกแบบช่อซี่ร่ม (Umbel) ประกอบด้วยตะเกียงรูปไข่เล็กๆจำนวนไม่ใช่น้อยอยู่ปนเปกับดอกขนาดเล็กซึ่งมีจำนวนน้อย มีใบประดับใหญ่ 1 ใบ ยาว 7.5-10 ซม. ลักษณะบาง ใส แห้ง เป็นจะงอยแหลมห่อหุ้มช่อดอกในตอนที่ยังตูมอยู่ แม้กระนั้นเมื่อช่อดอกบานใบตกแต่งจะเปิดอ้าออกและก็แขวนลงรองรับช่อดอกไว้ ก้านช่อดอกเป็นก้านกระโดด เรียบ รูปทรงกระบอกตัน ยาว 40-60 เซนติเมตร ดอกบริบูรณ์เพศ กลีบรวม 6 กลีบ แยกจากกันหรือชิดกันที่โคน รูปใบหอกปลายแหลม ยาวโดยประมาณ 4 มิลลิเมตร สีขาวหรือขาวอมชมพู เกสรเพศผู้ 6 อัน ติดที่โคนกลีบรวม อับเรณูและก็ก้านเกสรเพศเมียยื่นขึ้นมาสูงขึ้นยิ่งกว่าส่วนอื่นๆของดอก รังไข่ 3 ช่อง แต่ละช่องมีออวุล 1-2 เม็ด ผลเล็กเป็นกระเปาะสั้นๆรูปไข่หรือออกจะกลม มี 3 พู เมล็ดเล็ก สีดำ
ในประเทศไทยปลูกมากมายทางภาคอีสานและภาคเหนือ แม้กระนั้นกระเทียมที่เป็นที่รู้จักว่าเป็นกระเทียมคุณภาพดี กลิ่นฉุน ตัวอย่างเช่นกระเทียมจากจังหวัดศรีสะผม
แนวทางเลือกซื้อกระเทียม
แนวทางในการเลือกซื้อกระเทียมนั้น มีหลักพิจารที่กล้วยๆคือ เลือกกระเทียมที่ศีรษะแน่น กลีบแน่น เปลือกบาง มีเนื้อสีเหลืองอ่อน สด แน่น ไม่ฝ่อและไม่มีเชื้อรา ที่สำคัญถ้าหากต้องทำอาหารที่ต้องการกลิ่นแรงๆจำเป็นต้องเลือกกระเทียมหัวเล็กเพียงแค่นั้น
กระเทียมสดคุณภาพดี
จะมีความเห็นว่ากระเทียมมีสาระแล้วก็สรรพคุณมากไม่น้อยเลยทีเดียว ถึงกระเทียมจะมีกลิ่นฉุน แม้กระนั้นก้ไม่ยากเกินไปที่จะกินครับ ฉะนั้นอย่าลืมเพิ่ข้อควรตรึกตรองสำหรับในการรับประทานกระเทียมโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลในกรุ๊ปต่อไปนี้
ผู้ที่กำลังตั้งท้องหรือผู้ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร การรับประทานกระเทียมในตอนการตั้งท้องค่อนข้างจะไม่เป็นอันตรายถ้าเกิดรับประทานเป็นของกินหรือในจำนวนที่สมควร แต่ว่าอาจไม่ปลอดภัยหากกินกระเทียมเป็นยารักษาโรค ทั้งยังไม่มีช้อมูลที่น่าไว้ใจเพียงพอเกี่ยวกับความปลอดภัยของการทากระเทียมที่รอบๆผิวหนังในตอนการตั้งท้องหรือให้นมบุตร
เด็ก การรับประทานกระเทียมในจำนวนที่เหมาะสมแล้วก็ในระยะสั้นๆบางทีอาจไม่เป็นอันตรายสำหรับเด็ก แม้กระนั้นการใช้กระเทียมทาบริเวณผิวหนังอาจจะส่งผลให้เกิดอาการแสบร้อนและก็เคือง
คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะหรือการย่อยของอาหาร อาจจะส่งผลให้เกิดการระคายที่ทางเดินของกินได้
ผู้ที่มีความดันเลือดต่ำ การกินกระเทียมอาจจะทำให้ระดับความดันโลหิตลดลดลงมากกว่าปกติ
ผู้ที่คิดแผนเข้ารับการผ่าตัด ควรหยุดกินกระเทียมก่อนจะมีการผ่าตัดขั้นต่ำ 2 สัปดาห์เพราะว่าอาจทำให้เลือดออกมากและส่งผลต่อความดันเลือดในระหว่างการผ่าตัด และผู้ที่มีภาวการณ์เลือดออกไม่ปกติไม่สมควรกินกระเทียม โดยเฉพาะกระเทียมสด เพราะเหตุว่าอาจเพิ่มการเสี่ยงให้เลือดออกได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
คนที่อยู่ในระหว่างการรับประทานยารักษาโรค ยกตัวอย่างเช่น ไอโซไนอะซิด ด้วยเหตุว่ากระเทียมบางทีอาจลดการดูดซึมของยาในร่างกายและก็ส่งผลต่อความสามารถการทำงานของยา รวมถึงไม่สมควรกินกระเทียมในระหว่างใช้ยาดังนี้
ยารักษาการติดโรคเอชไอวีหรือโรคภูมิคุมกันบกพร่อง
ยาคุม
ยาต่อต้านการแข็งตัวของเลือด
ยาต่อต้านเกล็ดเลือดกระเทียมลงในเมนูอาหารของท่านครับผม สรรพคุณและก็ประโยชน์ซึ่งมาจากกระเทียมนั้นร้ายมากจริงๆ http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรกระเทียม

5

บุก (Amorphophallus spp.) มีชื่อสามัญว่า Konjac (คอนจัค)12 ในไทยจะใช้บุกที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson หรือที่พวกเราเรียกว่า “บุกคางคก” ซึ่งเป็นพืชวงศ์เดียวกันกับบุกชนิดที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus konjac K.Koch แต่ว่าต่างจำพวกกัน ซึ่งมีคุณสมบัติและสรรพคุณทางยาที่ใกล้เคียงกัน และก็สามารถนำมาใช้แทนกันได้
บุก
บุก ชื่อสามัญ Devil’s tongue, Shade palm, Umbrella arum
บุก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus konjac K.Koch (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus rivieri Durand ex Carrière) จัดอยู่ในตระกูลบอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุก มีชื่อเรียกอื่นว่า หมอ ยวี จวี๋ ยั่ว (จีนแต้จิ๋ว), หมอยื่อ (จีนแมนดาริน) ฯลฯ
ต้นบุก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกที่มีอายุหลาย ลำต้นแทงขึ้นมาจากหัวใต้ดิน มีความสูงของต้นประมาณ 50-150 เซนติเมตร หัวที่อยู่ใต้ดินนั้นมีขนาดใหญ่ รูปแบบของหัวเป็นรูปค่อนข้างจะกลมแบนบางส่วน หรือกลมแป้น มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว 25 ซม. ผิวเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ลำต้นแล้วก็กิ่งไม้มีลักษณะกลมใหญ่ เปลือกลำต้นเป็นสีเขียวมีลายทาสีขาวปนเปอยู่
หัวบุก
ใบบุก ใบเป็นใบประกอบแบบขน มีใบย่อยเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กลมรี ปลายใบแหลม ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดยาวราวๆ 15-20 เซนติเมตร
ใบบุก
ดอกบุก ออกดอกเป็นดอกคนเดียว ลักษณะของดอกเป็นรูปทรงทรงกระบอกกลมแบน มีกลิ่นเหม็น สีม่วงแดงอมเขียว มีกาบใบยาวประมาณ 30 ซม. สีม่วงอมเหลือง โผล่ขึ้นพ้นจากกลีบเลี้ยงที่มีสีม่วง
ผลบุก ลักษณะของผลเป็นรูปกลมแบน เมื่อสุกจะเป็นสีส้ม
ดอกรวมทั้งผลบุก
บุกคางคก
บุกคางคก ชื่อสามัญ Stanley’s water-tub, Elephant yam
บุกคางคก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus campanulatus Decne.) จัดอยู่ในตระกูลบอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุกคางคก มีชื่อแคว้นอื่นๆว่า บุกหลวง บุกหนาม เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน), บักกะเดื่อ (จ.สกลนคร), กระบุก (บุรีรัมย์), บุกคางคก บุกลุกงคก (ชลบุรี), หัวบุก (จังหวัดปัตตานี), มันซูรัน (ภาคกึ่งกลาง), บุก (ทั่วไป), กระแท่ง บุกรอคอย หัววุ้น (ไทย), บุกอีคอยกเขา เป็นต้น
ต้นบุกคางคก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกพวกกะแท่งหรือเท้าคุณยายม่อมหัว มีอายุได้นานหลายปี มีความสูงของต้นประมาณ 5 ฟุต มีลักษณะของลำต้นอ้วนและอวบน้ำไม่มีแก่น ผิวตะปุ่มตะป่ำ ลำต้นกลมรวมทั้งมีลายเขียวๆแดงๆลักษณะซึ่งคล้ายกับคนเป็นโรคผิวหนัง ต้นบุกนั้นเพาะพันธุ์ด้วยแนวทางแยกหน่อ พรรณไม้จำพวกนี้จะเจริญเติบโตในฤดูฝน และก็จะเหี่ยวเฉาไปในช่วงต้นหน้าหนาว ในประเทศไทยพบบ่อยขึ้นเองตามป่าราบริมหาดแล้วก็ที่อำเภอศรีราชา ส่วนในต่างถิ่นบุกคางคกนั้นเป็นพืชประจำถิ่นในเอเซียอาคเนย์ เจอได้ตั้งแต่ศรีลังกาไปจนกระทั่งอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์
ต้นบุกคางคก
หัวบุกคางคก เป็นส่วนของหัวที่อยู่ใต้ดิน มีลักษณะออกจะกลมรวมทั้งมีขนาดใหญ่สีน้ำตาล ผิวขรุขระ เส้นผ่านศูนย์กลางของหัวบุกนั้นจะมีขนาดตั้งแต่ 15 เซนติเมตรขึ้นไป เนื้อในหัวเป็นสีเหลืองอมชมพู สีชมพูสด สีขาวขุ่น สีครีม สีเหลืองอ่อน สีเหลืองอมขาวละเอียดรวมทั้งเป็นมูกลื่น มียาง โดยยิ่งไปกว่านั้นหัวสด ถ้าหากสัมผัสเข้าจะมีผลให้กำเนิดอาการคันได้ ก่อนนำมาปรุงเป็นของกินนั้นจึงจะต้องทำให้เป็นมูกโดยการต้มในน้ำเดือดเสียก่อน โดยน้ำหนักของหัวนั้นมีตั้งแต่ว่า 1 กรัม ไปจนถึง 35 กก.
บุกคางคก
ใบบุกคางคก ใบเป็นใบเดี่ยว ออกที่ปลายยอดของต้น ใบแผ่ขยายออกคล้ายกางร่มแล้วหยักเว้าเข้าพบเส้นกลางใบ ส่วนขอบของใบจะเว้าลึก ก้านใบกลม อวบน้ำรวมทั้งยาวได้ราวๆ 150-180 เซนติเมตร
ใบบุกคางคก
ดอกบุกคางคก มีดอกเป็นช่อ ดอกแทงขึ้นมาจากพื้นดินรอบๆของโคนต้น เป็นแท่งมีลายสีเขียวหรือสีแดงปนสีน้ำตาล (ขึ้นกับสายพันธุ์) ดอกออกเป็นช่อ แทงขึ้นมาจากหัวที่อยู่ใต้ดิน ก้านช่อดอกสั้น มีใบประดับเป็นรูปห่อช่อดอก ขอบหยักเป็นคลื่นและบานออก ปลายช่อดอกเป็นรูปกรวยคว่ำขนาดใหญ่ ยับเป็นร่องลึก สีแดงอมน้ำตาลหรือสีม่วงเข้ม ดอกเพศผู้อยู่ตอนบน ส่วนดอกเพศเมียอยู่ตอนล่าง ดอกมีกลิ่นเหม็นคล้ายซากสัตว์เน่า
ดอกบุกคางเรือนจำ
ผลบุกคางคก ผลได้ผลสด เนื้อนุ่ม ลักษณะของผลเป็นทรงรียาว ปริมาณยาวโดยประมาณ 1.2 เซนติเมตร ผลมีจำนวนไม่น้อยติดกันเป็นช่อๆ(สิบถึงร้อยร้อยผลต่อหนึ่งช่อดอก)ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนสีเหลือง สีส้ม จนถึงสีแดง ด้านในผลมีเมล็ดราวๆ 1-3 เม็ด โดยมีสันขั้วเมล็ดของแต่ว่าเม็ดแยกออกจากกัน เม็ดมีลักษณะกลมรีหรือเป็นรูปไข่
คุณประโยชน์ของบุก
หัวบุกมีรสเผ็ด เป็นยาร้อน มีพิษ ออกฤทธิ์ต่อม้าม ตับ และก็ระบบทางเดินอาหาร มีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นโลหิต (หัว)
ใช้เป็นอาหารสำหรับคนไข้เบาหวานรวมทั้งผู้เจ็บป่วยโรคไขมันในเลือดสูง ด้วยการแยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วชงกับน้ำ โดยให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว นำมาชงกับน้ำกินก่อนกินอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ
หัวใช้เป็นยารักษาโรคโรคมะเร็ง (หัว)
ใช้เป็นยาแก้ไข้จับสั่น (หัว)
ช่วยแก้อาการไอ (หัว)
หัวใช้เป็นยากัดเสมหะ ละลายเสลด ช่วยกระจัดกระจายเสมหะที่ตันบริเวณหลอดลม (หัว)
หัวบุกมีรสเบื่อคัน ใช้เป็นยากัดเสลดเถาดาน รวมทั้งเลือดจับกันเป็นก้อน (หัว)
หัวเอามาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้โรคท้องมาน (หัว)
ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร (ราก)
ช่วยแก้ประจำเดือนไม่มาของสตรี (หัว)6 ช่วยขับประจำเดือนของสตรี (ราก)
หัวนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้โรคตับ (หัว)
ใช้แก้พิษงู (หัว)
ใช้เป็นยาแก้แผลไฟลุกน้ำร้อนลวก (หัว)
หัวใช้หุงเป็นน้ำมัน ใช้ใส่รอยแผล กัดฝ้าและก็กัดหนองเจริญ (หัว)1,2,3,4 บางข้อมูลบอกว่ารากใช้เป็นยาพอกฝีได้ (ราก)
ใช้แก้ฝีหนองบวมอักเสบ (หัว)6
หัวใช้เป็นยาแก้ปวดบวม แก้บวมช้ำ (หัว)
บุก เป็นสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์มากกว่าไวอากร้า หรือเป็นยาเพิ่มความสามารถทางเพศ โดยคุณนิล ปักษา (บ้านหนองพลวง ต.โคกกึ่งกลาง อำเภอลำปลายกาญจน์ จังหวัดจังหวัดบุรีรัมย์) ชี้แนะให้ทดลองพิสูจน์ ด้วยการเอาไม้พาดปากหม้อแล้วนำสมุนไพรบุกคางคก เอาพวงเม็ดเอามาปิ้งไฟให้หอมก่อน แล้วก็ใช้ผูกกับไม้แขวนจุ่มลงไปในหม้อต้มใส่น้ำเพียงพอท่วมเมล็ดบุก ต้มกระทั่งเมล็ดบุกร่วงลงหม้อ ตัวยาก็จะไหลลงมาด้วย เมื่อเดือดและก็ให้เติมน้ำตาลพอควรลงไปต้มให้พอหวาน หลังจากนั้นลองชิมดู ถ้าเกิดยังมีอาการคันคออยู่ก็ให้เติมน้ำตาลเพิ่มแล้วค่อยชิมใหม่ ถ้าหากไม่มีอาการคันคอก็เป็นพิษว่าใช้ได้ และก็ให้นำสมุนไพรโด่ไม่รู้จักล้มใส่เข้าไปด้วยราวๆ 1 กำมือ แล้วต้มให้เดือด ปล่อยให้เย็นแล้วก็เก็บไว้ในตู้แช่เย็น ใช้ดื่ม 1 เป็ก ประมาณ 30 นาที จะปวดฉี่โดยธรรมชาติ หลังจากอาวุธนั้นจะพร้อมสู้ในทันที (ผล)
หมายเหตุ : สำหรับวิธีการใช้ให้แยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วนำมาชงกับน้ำดื่ม ส่วนขนาดที่ใช้นั้นให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว ชงกับน้ำกินก่อนอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ2 ส่วนการใช้ตาม 6 ให้ใช้ครั้งละ 10-15 กรัม (เข้าใจว่าคือส่วนของหัว) เอามาต้มกับน้ำนาน 2 ชั่วโมง ก็เลยสามารถนำมารับประทานได้ ถ้าหากเป็นยาสดให้ใช้ตำพอกหรือเอามาฝนกับน้ำส้มสายชู หรือต้มเอาน้ำใช้ชะล้างรอบๆที่เป็นแผล
ในเนื้อหัวบุกป่าจะมีผลึกของแคลเซียมออกซาเลท (Calcium oxalate) เยอะมากๆ ที่ส่งผลให้เกิดอาการคัน ส่วนเหง้าและก้านใบถ้าหากปรุงไม่ดีแล้วกินเข้าไปจะทำให้ลิ้นพองแล้วก็คันปากได้8ก่อนเอามากินต้องกำจัดพิษออกก่อน และไม่กินกากยาหรือยาสด6
กระบวนการกำจัดพิษจากหัวบุก ให้นำหัวบุกมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆตำพอเพียงแหลก คั้นเอาน้ำออกพักไว้ นำกากที่ได้ไปต้มน้ำ แล้วคั้นเอาแต่น้ำ นำไปผสมกับน้ำที่คั้นคราวแรก แล้วนำไปต้มกับน้ำปูนใสเพื่อพิษหมดไป เมื่อเดือดก็พักไว้ให้เย็น จะจับตัวกันเป็นก้อน ก็เลยสามารถใช้ก้อนดังที่กล่าวมาข้างต้นในการประกอบอาหารหรือนำไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นยาได้6ถ้าอาการเป็นพิษจากการกินบุก ให้รับประทานน้ำส้มสายชูหรือชาแก่ แล้วตามด้วยไข่ขาวสด แล้วให้รีบไปพบแพทย์
เพราะวุ้นบุกสามารถขยายตัวได้มาก (ไม่ต่ำยิ่งกว่า 20 เท่าของเนื้อวุ้นแห้ง) จึงไม่ควรบริโภควุ้นบกวันหลังการกิน แต่ว่าให้กินก่อนที่จะรับประทานอาหารไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง ส่วนการบริโภคของกินที่สร้างขึ้นมาจากวุ้น อาทิเช่น วุ้นก้อนแล้วก็เส้นวุ้น สามารถบริโภคพร้อมของกินหรือหลังรับประทานอาหารได้ เพราะเหตุว่าวุ้นดังที่กล่าวผ่านมาแล้วได้ผ่านกระบวนการแล้วก็ได้ขยายตัวมาก่อนแล้ว และการการที่จะขยายตัวหรือขยายตัวได้อีกนั้นก็เลยเป็นไปได้ยาก ส่วนในเรื่องของคุณค่าทางโภชนาการนั้นพบว่าวุ้นบุกไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เนื่องจากไม่มีการสลายตัวเป็นน้ำตาลในร่างกาย และไม่มีวิตามินแล้วก็แร่ หรือสารอาหารใดๆก็ตามที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเลยกลูโคแมนแนนส่งผลทำให้การดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันลดน้อยลง (ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี รวมทั้งวิตามินเค) ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดโทษและส่งผลเสียรวมทั้งไม่ดีต่อสุขภาพโดยรวมได้ แม้กระนั้นจะไม่มีผลต่อการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในน้ำ (อย่างเช่น วิตามินบีรวม วิตามินซี)
การกินผงวุ้นบุกในจำนวนมาก อาจทำให้มีลักษณะอาการท้องเสียหรือท้องอืด มีลักษณะอาการอยากกินน้ำมากกว่าเดิม บางคนอาจมีอาการหมดแรงเพราะว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลงได้

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของบุก
สารที่พบ อาทิเช่น สาร Glucomannan, Konjacmannan, D-mannose, Takadiastase, แป้ง, โปรตีนบุก, วิตามินบี, วิตามินซี และก็ยังพบสารที่เป็นพิษหมายถึงConiine, Cyanophoric glycoside ก้านบุกพบสาร Uniine และวิตามินบีที่ก้านช่อดอก6 แล้วก็หัวบุกยังมีโปรตีนอยู่จำนวนร้อยละ 5-6 รวมทั้งมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูงร้อยละ 672หัวบุกมีสารสำคัญ คือ กลูวัวแมนแนน (Glucomannan) เป็นสารชนิดคาร์โบไฮเดรต ซึ่งประกอบด้วยเดกซ์โทรส แมนโนส และก็ฟรุคโตส สารกลูวัวแมนแนนสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ เนื่องมาจากมีความเหนียว ช่วยยับยั้งการดูดซึมของเดกซ์โทรสจากทางเดินอาหาร ยิ่งหนืดมากก็ยิ่งมีผลการดูดซึมเดกซ์โทรส ดังนั้น กลูโคแมนแนน ซึ่งเหนียวกว่า gua gum ก็เลยสามารถลดน้ำตาลได้ดีกว่า ก็เลยใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นของกินสำหรับคนเจ็บโรคเบาหวานและสำหรับผู้ที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูงสารกลูวัวแมนแนน (Glucomannan) จะมีปริมาณแตกต่างออกไปตามประเภทของบุก5
แป้งจากหัวบุกนั้นประกอบไปด้วยกลูโคนแมนแนนราวๆ 90% และก็สิ่งแปลกปลอมอื่นๆอาทิเช่น alkaloid, starch, สารประกอบไนโตเจนต่างๆsulfates, chloride, และก็สารพิษอื่น โมเลกุลของกลูโคแมนแนนนั้นสำคัญๆแล้วจะประกอบไปด้วยน้ำตาลสองประเภทเป็นกลูโคส 2 ส่วน และแมนโนส 3 ส่วน คร่าวๆ เชื่อมต่อกันระหว่างคาร์บอนตำแหน่งที่ 1 ของน้ำตาลจำพวกที่สอง กับคาร์บอนตำแหน่งที่ 4 ของน้ำตาลจำพวกแรกแบบ ?-1, 4-glucosidic linkage ซึ่งแตกต่างจากแป้งที่พบในพืชทั่วๆไป ก็เลยผิดย่อยโดยกรดรวมทั้งน้ำย่อยในกระเพาะ เพื่อให้น้ำตาลที่ให้พลังงานได้8 นอกจากกลูวัวแมนแนนจะพบได้ในบุกแล้ว ยังพบได้ในว่านหางจระเข้อีกด้วย9
กลูโคแมนแนน (Glucomannan) สามารถดูดน้ำรวมทั้งขยายตัวได้มากถึง 200 เท่า ของปริมาณเดิม เมื่อเรารับประทานกลูวัวแมนแนนก่อนรับประทานอาหารครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงครั้งละ 1 กรัม กลูโคแมนแนนจะดูดน้ำที่มีมากในกระเพาะของเรา แล้วมีการพองตัวจนถึงทำให้พวกเรารู้สึกอิ่มอาหารได้เร็วและก็อิ่มได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้พวกเรากินได้ลดลงกว่าธรรมดาด้วย ทั้งยังกลูโคแมนแนนจากบุกก็มีพลังงานต่ำมาก กลูโคแมนแนนจึงช่วยสำหรับเพื่อการควบคุมน้ำหนักรวมทั้งเป็นของกินของคนที่ต้องการลดความอ้วนได้เป็นอย่างดี8
เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่รับประทานทีละ 15 กรัม ต่อ 1 กิโล ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 2-3 สัปดาห์ พบว่าระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดของหนูลดน้อยลงคิดเป็น 44% และก็ Triglyceride น้อยลงคิดเป็น 9.5%6
สาร Glucomannan มีฤทธิ์ซับน้ำในกระเพาะและลำไส้เจริญมาก และยังสามารถไปกระตุ้นน้ำย่อยในลำไส้ให้มากเพิ่มขึ้น ทำให้มีการขับของที่ค้างในไส้ได้เร็วขึ้น6สารสกัดแอลกอฮอล์จากหัวบุก สามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อวัณโรคในหลอดแก้วได้5
เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่ที่มีลักษณะบวมที่ขารับประทานทีละ 15 กรัม ต่อ 1 กิโลกรัม พบว่าอาการบวมที่ขาของหนูน้อยลง6
ประโยชน์ที่ได้รับมาจากบุกคนประเทศไทยพวกเรานิ http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรบุก

6

เห็ดหลินจือ
เรื่องเล่าประสบการณ์ตรงจากที่ลงภาคสนาม
ยายคนหนึ่ง อายุประมาณ 67 ปี ทำอาชีพขายเห็ดในตลาด ลักษณะของการป่วยเป็นโรค ดังนี้
1.เห็ดหลินจือ สามารถรักษาเบาหวาน เป็นทุนเดิม เป็นโรคนี้มาประมาณ 1x ปี
2.โรคความดันโลหิต เป็นมาพร้อมๆกับโรคเบาหวาน จำต้องกินยาแผนปัจจุบันตลอด มีลักษณะงงงัน
3.โรคไขมัน มาพร้อมๆกับโรคเบาหวาน จะต้องรับประทานยาแผนปัจจุบันตลอด
4.โรคไตเสื่อม ภายหลังเป็นโรคเบาหวานมาโดยประมาณ 10 ปี แพทย์ตรวจเจอว่า ไตเสื่อม ระยะ 2 มีลักษณะขาบวม ไม่มีแรงเดิน
5.โรคกระเพาะเยี่ยว อักเสบ มาตอนเป็น ไตเสื่อม นำมาซึ่งอาการฉี่ขับ ฉี่ไม่สุด เจ็บแปล็บๆ
6.โรคเก๊า มาตรวจเจอคราวหลัง ว่าค่ายูริก เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
======================
ความประพฤติปฏิบัติของผู้เจ็บป่วยและความเป็นมาก่อนรับประทานเห็ดหลินจือสกัดเข้มข้น
1.ตอนป่วยตอนเริ่มต้น จะมีลักษณะน้ำตาลในเลือดสูง เกือบ 200 มก. แม้กระนั้นพอผ่านมาแทบ 10 ปี รู้สึกว่าดูแลตัวเองได้ดิบได้ดี ผลที่ได้กลับเป็นอย่างนี้ ประเดี๋ยวน้ำตาลสูง เดี๋ยวน้ำตาลต่ำ กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการมึนหัวได้ตลอดทั้งวัน งานการไม่ต้องทำแล้ว นอนดียิ่งกว่า
2.พอเพียงมีน้ำตาลในเลือดสูง ความดันจะตามมาเลย ทำให้มีการเกิดอาการโลกหมุน ลายตา จำต้องนอนอีกอย่างเดิม
3.พอพักหลังเริ่มรับประทานของมันลดน้อยลง สามารถที่จะคุมไขมันได้ แต่พอนานวันเข้า ไขมันคุมได้ แม้กระนั้นเจอตรีกีซาลายสูงซะงั้น
4.ภายหลังเจ็บมา 1x ปี ร่างกายก็ไม่ค่อยได้พักผ่อน ทำให้เกิดช่วงอาการน็อคน้ำตาล ไป 2 ครั้ง ในรอบ 1 ปีที่ล่วงเลยไป จะต้องเข้า โรงพยาบาล เพื่อให้กลูโคส ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงมากขึ้น
5.เพียงพอผ่านมาอีก 6 เดือน หมอตรวจพบเป็นไตเสื่อมขั้นที่ 2 แถมมีโรคกระเพาะฉี่อักเสบ เพราะเหตุว่ามีไข่ขาวรั่วมาทางเยี่ยวเยอะ ทำให้เรี่ยวแรงสำหรับในการเดินไม่มี (แทบจะเดินไม่ไหว ก้าวขาไม่ออก) แถมเจอโรคเก๊าต์ ถามหาอีก
6.พักหลังจากที่รู้ว่าเป็นหลายโรค ชีวิต มันช่างมืดมนอย่างมาก ทำให้เบื่ออาหาร รับประทานไม่ได้ นอนไม่หลับ ถึงหลับก็ไม่สนิท ขาบวม ใจสั่น อารมณ์เสียง่าย
7.พอถึงเวลานี้ ยายคนนี้ ความประพฤติแปรไป จากที่เคยต้องออกไปเปิดร้านขายเห็ดในตลาดวันแล้ววันเล่า ไม่เคยหยุด กลับทำให้เขาไม่อยากขายของ ขอหยุดนอนอยู่ในบ้าน ปฏิบัติตนเหมือนไม่มีค่า จำต้องให้ลูกๆมาคอยมอง ทำให้เป็นภาระของลูก
======================
โจทย์ สำหรับลูกที่ดูแล และจุดเปลี่ยนแนวความคิด
1.ลูกคนนั้น มีความคิด ทำอย่างยังไงก้อได้ ให้แม่หายจากโรคทั้งหมดทั้งปวงนี้
2.ทำอย่างยังไงก็ได้ให้คุณแม่กลับมาดำเนินงานได้ดังเดิม
3.ทำอย่างยังไงก็ได้ให้คุณแม่ทานข้าวได้เสมือนสมัยเก่าเป็นเบาหวาน
4.ทำอย่างยังไงก็ได้ให้คุณแม่นอนหลับเจริญ
=======================
ท้ายที่สุดลูกคนนั้นได้มาคุยกับผม ผมเลยชี้แนะเห็ดหลินจือแดงสกัดเข้ม แล้วก็ลูกคนนั้นได้เอาไปให้ท่านแม่ทาน
เริ่มต้นที่ม่าม้าไม่เชื่อว่าเห็ดหลินจือแดงสกัดเข้มข้น จะช่วยให้ชีวิตเขาดีขึ้นได้ เพราะม่าม้าทานสมุนไพร อาหารเสริมมาเยอะแยะแล้ว
=======================

เริ่มกับการทานเห็ดหลินจือแดงสกัดเข้มข้น (ผลสรุปอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล)
1.ผมชี้แนะให้ทาน 24 ชั่วโมง 2 เวลาเป็นเช้าตรู่-เย็น ในกรณีของแม่คนนี้ มีโรคประจำตัวมาก จะให้ทานแบบงี้ ภายหลังจากกินอาหารแล้ว ให้ทานยาแผนปัจจุบัน แล้วก็คอย 30 นาที ค่อยทานเห็ดหลินจือสกัดเข้มข้น
2.พอภายหลังจากทานได้ตอนแรก อาการมึนๆงวยงงๆเริ่ม นอนหลับเจริญมากยิ่งขึ้น ปกติจะมองจนกระทั่งเที่ยงคืนและหลังจากนั้นก็ค่อยหลับ แล้วตื่น 6-7 โมงยามเช้า มาจัดร้านขายของ กลายเป็น นอนตั้งแต่ 2 ทุ่ม ตื่น 6 นาฬิกาเช้าตรู่
3.หลังจากนอนก้าวหน้า  ทำให้อาการขาบวมดีขึ้น ฉี่ดีขึ้นมาก ไม่ขัดรวมทั้งเยี่ยวได้สุด ค่าน้ำตาลดีขึ้น ไม่สวิงต่ำ-สูง และก็ผลไตดียิ่งขึ้นด้วย
4.ผู้ป่วยเริ่มทานข้าวได้ธรรมดา (ม่าม้าไม่เชื่อว่าเห็ดหลินจือช่วยได้จริงไหม เลยทดลองด้วย รับประทานทุเรียน2เม็ด แล้วพรุ่งนี้ไปตรวจเลือด ผลเลือดที่ออกมาคุณแม่ตกอกตกใจ ว่าเพราะเหตุใดน้ำตาลปกติ ^_^)
5.พอร่างกายได้ นอนได้เต็มอิ่ม หน้าใส(มีคนทักว่าไปทำอะไรมา) แข็งแรงสามารถชูของหนักๆได้ ซึ่งถ้าเป็นก่อนหน้า แค่เดินยังต้องหาที่นั่งพักเลย
สรรพคุณ[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจือ[/url][/url][/color]ที่มีการวิจัยยืนยัน....มีอะไรบ้าง
มีความเชื่อกันมานานแล้วว่าเห็ดหลินจือแดงสามารถทำให้หัวใจแข็งแรง เลือดลมดี ผิวพรรณผ่องใส ช่วยทำให้แก่ช้าลง ความจำดียิ่งขึ้น และช่วยอายุยืนนาน
ส่วนสรรพคุณในทางการรักษาโรคถูกกล่าวไว้อย่างมากมายเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น แก้ตับแข็ง รักษามะเร็ง รักษาโรคความดัน และภูมิแพ้เป็นต้น
แต่ว่าทีเด็ดเป็น......
มีการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับเห็ดหลินจือรักษาโรคจากคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งสำหรับในการทดสอบเล่าเรียนทางคลีนิคและยืนยันว่าเห็ดหลินจือมีคุณประโยชน์ดังต่อไปนี้จริง ไม่ใช่แค่ความศรัทธาอีกต่อไป อันยกตัวอย่างเช่น
-กระตุ้นภูมิต้านทาน
-ต้านทานเนื้องอกและก็มะเร็ง
-รักษาโรคฟุตบาทปัสสาวะ
-รักษาโรคหัวใจ
-ช่วยให้การนอนหลับ
-ลดไขมันในเลือด
-ต้านอนุมูลอิสระ
-ต้านทานการอักเสบ

หน้า: [1]