รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Topics - มม

หน้า: [1] 2
1
อื่น ๆ / ลูกซัด มีประโยชน์เเละสรรพคุณ
« เมื่อ: ธันวาคม 08, 2018, 03:04:07 AM »

ลูกซัด
ชื่อสมุนไพร  ลูกซัด
ชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น  ไม่มีข้อมูล
ชื่อวิทยาศาสตร์   Trigonella foenum-graecum L.
ชื่อสามัญ  Fenugreek , Methi
วงศ์ LEGUMINOSAE (FABACEAE) - PAPILIONIODEAE
ถิ่นกำเนิด
ลูกซัดเป็นพืชที่มีบ้านเกิดเมืองนอนในแถบเมติเตอร์เรเนียน แล้วก็มีการกระจายจำพวกไปในประเทศอินเดีย จีน รวมถึงประเทศแอฟริกา อาทิเช่น อียิปต์ , เอธิโอเปีย ในตอนนี้สามารถ พบได้ในหลายพื้นที่ทั่วทั้งโลกทั้งยังในทวีปเอเชีย แอฟริกา และก็ยุโรปโดยส่วนใหญ่นิยมใช้เม็ดของลูกซัดซึ่งมีกลิ่น เฉพาะบุคคล เป็นเครื่องเทศสำหรับการทำอาหาร โดยยิ่งไปกว่านั้นในอาหรับและอินเดีย ส่วนแหล่งปลูกเพื่อการค้าขายที่สำคัญ ตัวอย่างเช่น ประเทศอินเดีย อียิปต์ ตูนีเซีย โมร็อกโก เอธิโอเปียประเทศฝรั่งเศส ตุรกี รวมทั้ง จีน
ลักษณะทั่วไป
ลูกซัดจัดเป็นไม้ล้มลุกอายุปีเดียว ลำต้นตั้งชัน สูงได้ถึง 60 เซนติเมตร รากแก้วขนาดใหญ่ใบประกอบแบบขน มีใบย่อย 3 ใบ เรียงสลับ หูใบขนาดเล็ก ก้านใบยาว 1-4 หรือ 1-6 ซม. แกนกลางสั้น ใบย่อยรูปไข่กลับหรือขอบขนาด กว้าง 0.5-2 ซม. ยาว 1.5-4 เซนติเมตร ดอกเดี่ยวออกที่ซอกใบ รูปดอกถั่ว สีเหลือง ยาว 1-1.5 ซึม ฝักรูปขอบขนาน กว้าง 2-4 เซนติเมตร ยาว 5-19 ซม. ผิวเนียน ในฝักมีเม็ด 10-20 เมล็ด เม็ดแก่สีน้ำตาลอ่อน หรือสีเหลืองทอง เมล็ดมีขนาดเล็ก ขนาดกว้าง 3 มิลลิเมตร ยาว 4 มิลลิเมตร ครึ้ม 1 มิลลิเมตร มีร่องตรงกลางเมล็ด มีกลิ่นแรงเฉพาะบุคคล เม็ดมีรสฝาด มีกลิ่นหอมสดชื่น
การขยายพันธุ์
ลูกซัดสามารถแพร่พันธุ์ได้โดยการใช้เม็ด และการปักชำ โดยมีวิธีการเพาะเมล็ดและก็ใช้กิ่งปักชำ รวมทั้งกรรมวิธีการปลูกเหมือนกันกับพืชชนิดอื่นๆธรรมดา
องค์ประกอบทางเคมี
เมื่อเล่าเรียนทางด้านองค์ประกอบทางเคมีพบว่าสาระสำคัญที่เจอในลูกซัดมีgalactomannan จำนวนร้อยละ 14-15 น้ำมันระเหยยาก (fixed oil) มีรสขมแล้วก็กลิ่นเหม็น น้ำมันระเหยง่ายร้อยละ 0.02 พบสารกลุ่มAlkaloids อาทิเช่น trigonelline , สารกลุ่ม saponin เป็นต้นว่า diosgenin, yamogenin, tigogenin, neotigogenin, Graecunin A-G sarsapogenin smilgenin trigofoenside A trigofoenoside B,C trigofoenoside D trigofoenoside F,G yuccagenin, gitogenin สารกรุ๊ปflaronoids อาทิเช่น vitexin, orientin, quercetin, luteolin kaempferol กรดอะมิโนชื่อ 4-hydroxyisoleucine

ที่มา : Wikipedia
ยิ่งไปกว่านี้ ลูกซัดยังมีคุณค่าทางโภชนาการดังนี้ คุณค่าทางโภชนาการของเม็ดลูกซัดต่อ (100 กรัม) (3.5 ออนซ์)
พลังงาน 1,352 kJ (323 kcal)
คาร์โบไฮเดรต 58 กรัม
เส้นใยอาหาร 25 กรัม
ไขมัน 6.4 กรัม
โปรตีน 23 กรัม
วิตามิน
Thiamine(B 1 ) ไทอะมีน (วิตามิน B1) 0.322 mg
Riboflavin (B 2 ) ไรโบฟลาวิน (วิตามิน B2) 0.366 มก
ไนอาสิน(B 3 ) (วิตามิน B3) 1.64 มก
ไพริดอกซิน (วิตามิน บี6) 0.6 มก
โฟเลต(B 9 ) (วิตามิน B9) 57 ไมโครกรัม
แอสคอบิดเอซิด (วิตามินซี) 3 มก
แร่
แคลเซียม 176 มก.
เหล็ก 34 มก
แมกนีเซียม 191 มก
แมงกานีส 1.23 mg
ธาตุฟอสฟอรัส 296 มก
โพแทสเซียม 770 มก
โซเดียม 67 มก
สังกะสี 2.5 มก
องค์ประกอบอื่นๆ
น้ำ 8.8 กรัม
คุณประโยชน์/สรรพคุณ
ลูกซัดถูกนำมาใช้เป็นเครื่องเทศในการประกอบอาหาร เพราะเหตุว่าให้กลิ่นหอมสดชื่น และมีรสขมเฉพาะตัว เป็นรสเสน่ห์ของกินอย่างหนึ่ง ซึ่งลูกซัดจะมีกลิ่นหอมสดชื่นเหมือนขึ้นฉ่ายแต่ว่าแรงกว่า รสออกขมนิดๆขมหน่อยๆเมื่อจะใช้เขานำไปคั่วไฟก่อน ไฟจำเป็นต้องอ่อนมากมายๆเนื่องจากว่าลูกซัดบอบบาง ไหม้ง่าย เมื่อคั่วแล้วจะมีกลิ่นหอมหวนเยอะขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเกิดคั่วด้วยน้ำมันเม็ดจะพองตัว รสออกขมเข้มขึ้น เจือด้วยรสเผ็ดนิดๆแล้วก็ด้วยคุณลักษณะกลิ่นและรสดังที่กล่าวมาแล้ว ลูกซัดก็เลยกลายเป็นส่วนผสมที่สำคัญใน ?ผงกะหรี่? อันเป็นเครื่องเทศสากลที่ใช้กันทั่วโลก และก็ที่คนประเทศอินเดียใช้ ลูกซัดสำหรับในการดองมะม่วง พริก กระเทียมรวมทั้งผักอื่นๆทำเป็น Achar (อาจาด) ที่ใช้เป็นเครื่องเคียงของสะเต๊ะ รวมทั้งในอีกหลายๆประเทศก็ยังมีการใช้ลูกซัดมาเป็นส่วนผสมของแป้งเพื่อเตรียมเป็นอาหารชนิดต่างๆยกตัวอย่างเช่น ขนมปัง แป้งพิซซ่า มัฟฟิน แล้วก็ขนมเค้ก และก็มีการสร้างสรรค์เพื่อปรับปรุงลูกซัดในลักษณะของอาหารเพื่อสุขภาพ (functional food) แล้วก็ ผลิตภัณฑ์เสริมของกิน (dietary supplement) อีกด้วย ในประเทศอินเดียวมีการใช้เมล็ดแก้ท้องร่วง รักษาเกาต์ โรคเบาหวานขับนม กระตุ้นกำหนัด แล้วก็ขับเมนส์ ส่วนในประเทศทางแถบยุโรป จะใช้เมล็ดรักษาเบาหวาน รวมทั้งขับน้ำนม
สำหรับสรรพคุณทางยาตามตำรายาไทย: ใช้เมล็ด แก้ท้องเสีย กล่อมเสมหะรวมทั้งอาจมแก้ธาตุทุพพลภาพแก้ท้องขึ้น ขับลมในลำไส้ขับฉี่ บำรุงธาตุ ทำให้เจริญอาหาร บดแล้วประยุกต์ใช้พอก ฝี ลดอาการบวม ทาแผลต่างๆแก้อักเสบบวม แก้ไอเรื้อรัง ช่วยทำให้รอบเดือนมาปกติ
คุณประโยชน์แผนโบราณ ขับเสมหะ ทำให้ชุ่มชื้น ต้านการอักเสบ ขับรอบเดือน ขับนมข้างหลังคลอดบุตร รักษาเบาหวาน ส่วนชาวไทยในสมัยโบราณใช้น้ำสุกลูกซัดรวมทั้งเปลือกชะลูดต้มผ้า เพื่อให้ผ้ามีกลิ่นหอมแล้วก็แข็งจับกลีบได้ ซึ่งสารเมือกที่มีในลูกซัดนั่นเองที่ทำให้ผ้าแข็งตัวเป็นเงางาม ตอนนี้ได้มีการใช้เมือกของลูกซัดสำหรับการอาบกระดาษมัน รวมทั้งผสมสำหรับเพื่อการทำยาเม็ดเพื่อการแตกตัวของยาดียิ่งขึ้น
แบบอย่าง/ขนาดการใช้
การใช้ลูกซัดในตอนนี้ได้แก่การใช้สำหรับในการบริโภคในรูปแบบของเครื่องเทศ รวมทั้งของกินมากยิ่งกว่า การใช้สำหรับในการเป็นยารักษาโรคเพราะขนาดในการใช้ยารักษาโรคนั้นก็ยังไม่มีรายงานการศึกษาเรียนรู้ที่ชี้ชัดถึงขั้นการใช้ที่เหมาะสมและมีความปลอดภัยที่แน่นอน
การศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา
มีการเรียนฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดในสัตว์ทดลอง ทั้งยังปกติรวมทั้งถูกเหนี่ยวนำให้เป็นโรคเบาหวาน โดยพบว่าในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นเบาหวานด้วย alloxan เมื่อฉีดสารสกัดน้ำจากใบ ขนาด 0.06 0.2 0.5 และ 1 กรัม/กิโลกรัม และก็สารสกัด 70% เอทานอลจากใบ ขนาด 0.8 กรัม/กก. เข้าทางช่องท้อง แล้วก็ป้อนสารสกัดน้ำจากใบ ขนาด 1 2 และ 8 ก./กก. ส่งผลลดน้ำตาลในเลือดของหนู ยาต้มและก็สารสกัด 95% เอทานอลจากเม็ด ขนาด 0.5 มิลลิลิตร/ตัว สารสกัด 95% เอทานอลจากเม็ด ขนาด 250 มก./กก. แล้วก็สารสกัดอัลกอฮอล์จากเม็ด ขนาด1 2 และก็ 4 ก./กก. มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดในหนูที่ถูกรั้งนำให้บาหวานด้วย alloxan ได้เหมือนกัน
ลูกซัดส่งผลเสริมฤทธิ์ของยารักษาเบาหวานโดยเมื่อให้ผงเม็ดลูกซัดร่วมกับยา glicazide พบว่าลูกซัดจะเสริมรวมทั้งเพิ่มช่วงเวลาการออกฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของยาในหนูแรทปกติ หนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นเบาหวานด้วย alloxan monohydrate และในกระต่ายธรรมดา โดยไม่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการชักเนื่องด้วยน้ำตาลในเลือดต่ำ สารสกัดเอทานอล ขนาด 500 มก./กิโลกรัม เมื่อให้ร่วมกับยาglibenclamide แก่หนูแรทธรรมดารวมทั้งหนูที่ถูกรั้งนำให้เป็นเบาหวานด้วย streptozotocin จะมีผลเสริมฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดด้วยเหมือนกันผงเม็ด ขนาด 15 กก. มีผลลดน้ำตาลในเลือดรวมทั้งอินซูลินของคนเจ็บ เมื่อทดลองด้วยวิธีการวัดระดับน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหาร (Meal tolerance test) เมื่อให้ผู้เจ็บป่วย ปริมาณ 15 คน รับประทานอาหารที่ผสมผงเมล็ดลูกซัดที่ขจัดไขมัน จำนวน 100 ก.นาน 10 วัน พบว่าระดับน้ำตาลแล้วก็อินซูลินในเลือดลดลง คนป่วย อายุระหว่าง38-54 ปี ปริมาณ 10 คน ที่กินอาหารซึ่งผสมผงเมล็ดลูกซัด ขนาด 25 ก. โดยแบ่งเป็นขนาดเท่าๆกัน รับประทานวันละ2 มื้อ เป็น ช่วงกลางวันและเย็น นาน 15 วัน พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง โดยลูกซัดส่งผลลดระดับน้ำตาลในพลาสมา เพิ่มการใช้เดกซ์โทรส รวมทั้งเพิ่ม insulin receptor บนเม็ดเลือดแดง ทำให้เพิ่มความต้านทานต่อเดกซ์โทรส และก็เมื่อให้ผู้เจ็บป่วย ปริมาณ 60 คน รับประทานอาหารที่ผสมผงเมล็ดลูกซัดในขนาดเดียวกันนี้ นาน 24 สัปดาห์ พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดแล้วก็อินซูลินในคนเจ็บลดน้อยลงเหมือนกัน
การเรียนรู้
 
ในอาสาสมัครร่างกายแข็งแรงที่รับประทานแคปซูลผงใบลูกซัดขนาด 2.5 กรัม วันละ 2 ครั้ง นาน 3 เดือน พบว่าไม่มีผลลดน้ำตาลในเลือด เมื่อให้คนปกติ ปริมาณ 6 คน กินตำรับของกินที่ผสมผงเม็ดลูกซัดดิบ เมล็ดต้น และก็เม็ดกำลังผลิออก ปริมาณ 12.5 ก. วันละครั้งเป็นอาหารมื้อเช้า หรือให้รับประทานตำรับยาซึ่งประกอบด้วยลูกซัด แล้วก็ guar gum พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลงเมล็ด ขนาด 25 กรัม ยางที่สกัดจากเม็ด (gum) ขนาด 5 ก. รวมทั้งใบ ขนาด 150 ก. ส่งผลลดน้ำตาลในเลือดของคนธรรมดาได้ เมื่อให้อาสาสมัครชายร่างกายแข็งแรงอายุ 20-30 ปี ปริมาณ 20 คน กินสารสกัดน้ำจากใบ ขนาด 40 มก./กก.พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลง 13.4 ภายหลังจากได้รับสารสกัด 4 ซม. โดยส่งผลข้างๆนิดหน่อย ดังเช่นว่า รู้สึกหิวปัสสาวะบ่อยมาก แล้วก็เวียนหัว
 
ยิ่งไปกว่านี้ยังมีงานศึกษาเรียนรู้
 
ปริมาณหนึ่งทำการทดสอบโดยให้สตรี ที่อยู่ในตอนให้นมลูกดื่มชาที่มีส่วนผสมของลูกซัด ผลที่ได้ เป็น มีสัญญาณบ่งชี้ถึงปริมาณน้ำนมที่มากขึ้นของม่าม้าในกลุ่มทดลองอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปควบคุมที่มิได้บริโภคชาที่มีส่วนผสมของลูกซัด จึงอาจจะกล่าวว่า อาหารเพิ่มน้ำนมที่มีส่วนผสมของลูกซัดบางทีอาจช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำนม รวมทั้งมีส่วนช่วยเพิ่มน้ำหนักตัวเด็กในช่วงหลังคลอดได้ด้วย อย่างไรก็ดี หลักฐานที่แจ่มกระจ่างด้านการแพทย์เกี่ยวกับลูกซัดที่สโมสรกับการเพิ่มปริมาณนมในสตรีที่ให้นมบุตรยังคงมีจำกัดรวมทั้งนักค้นคว้ายังกล่าวว่าต้องมีการศึกษาเล่าเรียนเพิ่มเติมต่อไป
 
การเรียนรู้ทางพิษวิทยา
ลูกซัด การทดสอบความเป็นพิษ ยาต้มจากใบ สารสกัดน้ำจากใบ หรือสารสกัดเอทานอล:น้ำจากเม็ดเมื่อฉีดเข้าทางท้องหนูแรท รวมทั้งหนูเม้าส์ มีค่าLD50 พอๆกับ 4 กรัม/กิโลกรัม 1.9 กรัม/กก. แล้วก็ 1ก/กก. ตามลำดับ เมื่อป้อนหนูแรทด้วยสารกสัดน้ำจากใบพบว่ามีค่า LD50 พอๆกับ 10 กรัม/กิโลกรัม สารสกัดน้ำมันปิโตรเลียมอีเทอร์จากเมล็ด เมื่อทดสอบในกระต่ายและหนูแรทมีค่า LD50 มากกว่า 2 รวมทั้ง 5ก./กิโลกรัม เป็นลำดับ
การรับประทานเมล็ดลูกซัด ขนาด 25 กรัม/วัน ไม่ทำให้มีการเกิดพิษ การเล่าเรียนความเป็นพิษในคนเจ็บที่เป็นโรคเบาหวานจำพวกที่ 2 จำนวน 60 คน โดยให้ทานอาหารที่เสริมผงเมล็ดลูกซัด 25 ก. นาน 24 สัปดาห์ พบว่าไม่เป็นพิษต่อตับและก็ไต และไม่เจอความเปลี่ยนไปจากปกติของค่าทางโลหิตวิทยา แต่หรูหรายูเรียในเลือดน้อยลงภายหลังจากรับประทาน 12 อาทิตย์
พิษต่อเซลล์ สารสกัดน้ำจากเมล็ด ความเข้มข้น 0.3 มก./มิลลิลิตร เป็นพิษต่อเซลล์ตับของหนูแรท โดยการทำให้กำเนิดความเปลี่ยนไปจากปกติของไครโมโซม
พิษต่อตัวอ่อน ไม่เจอความเป็นพิษต่อตัวอ่อน เมื่อป้องผงเมล็ดแห้ง ขนาด 175 มิลลิกรัม/กก. ให้แก่หนูแรทที่ตั้งท้อง เมล็ด ขนาด 2 ก./ตัว ไม่เป็นผลทำให้หนูแรทแท้ง
มีรายงานคนเจ็บที่การเกิดอาการแพ้จากการสูดดมผงเมล็ดลูกซัด โดยการทำให้น้ำมูกไหลมาก หอบแล้วก็สลบ แล้วก็คนป่วยที่เกิดอาการแพ้จากการรับประทานเครื่องแกง ที่มีลูกซัดเป็นส่วนประกอบ โดยมีลักษณะหลอดลมบีบเกร็ง หอบ รวมทั้งท้องร่วง และจะเสริมให้แพ้มากในคนไข้ที่แพ้ถั่วดินด้วย ในคนเจ็บที่เป็นอาการหอบหืดเรื้อรังซึ่งใช้ผลเมล็ดลูกซัดสำหรับแก้รังแค พบว่าทำให้หนังหัวหมดความรู้สึก หน้าบวม รวมทั้งหอบ
 
ข้อเสนอแนะ/สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวัง

1. ไม่แนะนำให้คนที่แพ้ของกินประเภทถั่วทานลูกซัด เนื่องจากว่าถั่วลูกซัดเป็นพืชเครือญาติถั่ว หากแม้จะจัดเป็นเครื่องเทศก็ตาม
2. หญิงตั้งท้องไม่ควรทานถั่วลูกซัด เนื่องจากถั่วลูกซัดบางทีอาจเข้าไปกระตุ้นการหดตัวของมดลูกได้
3. ต้องระวังการใช้ลูกซัดร่วมกับยารักษาโรคเบาหวาน อาทิเช่น ยาในกลุ่ม sulfonylureas ตัวอย่างเช่น chlorpropamide, glibencamide, glipizide, gliclazide, gliquidone แล้วก็ glimepiride ด้วยเหตุว่าลูกซัด อาจไปเสริมฤทธิ์ของยา
4. อาจมีผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงมากจนเกินความจำเป็น ด้วยเหตุนี้ถ้าเกิดคนไข้โรคเบาหวาน จะรับประทานลูกซัด ควรจะขอความเห็นแพทย์รวมทั้งอยู่ภายใต้ข้อเสนอแนะของแพทย์อย่างใกล้ชิด
5. ควรรอบคอบสำหรับในการใช้ร่วมกับยาละลายลิ่มเลือด ตัวอย่างเช่น warfarin หรือสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต่อต้านการรวมตัวของเกร็ดเลือด อย่างเช่น กระเทียม หรือแปะก๊วย เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการตกเลือดได้
6. ลูกซัดบางทีอาจมีผลก่อให้เกิดผลข้างเคียงอื่นๆได้ อย่างเช่น ท้องเสีย ท้องไส้ป่วนปั่น เรอ มีก๊าซในท้อง หรือเยี่ยวมีกลิ่นคล้ายเมเปิลไซรัป
7. ถึงแม้ยังไม่มีรายงานการใช้ในสตรีตั้งท้องและก็ให้นมลูก แต่สตรีมีครรภ์และก็ให้นมบุตร แต่ว่าสตรีมีครรภ์ควรระมัดระวังสำหรับการใช้ เพราะลูกซัดส่งผลลดน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ยังมีรายงานวิจัยว่า สารสกัดน้ำ 95% เอทานอล แล้วก็เมทานอลจากเมล็ด มีฤทธิ์กระตุ้นมดลูกของหนูที่กำลังท้อง โดยเหตุนี้ อาจมีผลนำมาซึ่งแท้งลูกได้ ฉะนั้นควรขอความเห็นแพทย์และก็ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญก่อนใช้รวมถึงไม่สมควรใช้ในปริมาณมาก รวมทั้งสม่ำเสมอเป็นระยะเวลาที่ยาวนานๆ
 
เอกสารอ้างอิง

  • ธิดารัตน์ จันทร์ดอน.ลูกซัด...เครื่องเทศมีประโยชน์.จุลสารข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.ปีที่35.ฉบับที่1 ตุลาคม.2560
  • Chan HT, So LT, Li SW, Siu CW, Lau CP, Tse HF. Effect of herbal consumption on time in therapeutic range of warfarin therapy in patients with atrial fibrillation. J Cardiovasc Pharmacol. 2011;58(1):87-90.
  • นันทวัน บุณยะประภัศร อรนุช โชคชัยเจริญพร.บรรณาธิการ.สมุนไพรไม้พื้นบ้าน เล่ม 4 กรุงเทพฯ:บริษัท ประชาชน จำกัด,2543:740 หน้าhttps://www.disthai.com/
  • นิจศิริ เรืองรังสี เครื่องเทศ.กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.2542:206 หน้า.
  • อรัญญา ศรีบุศราคัม.ลูกซัด...แก้เบาหวาน.จุลสารข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.ปีที่ 27.ฉบับที่1 ตุลาคม.2552.หน้า4-11
  • El Bairi K, Ouzir M, Agnieszka N, Khalki L. Anticancer potential of Trigonella foenum graecum: cellular and molecular targets. Biomed Pharmacother 2017;90:479-91.
  • ลูกซัด..ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีEthan M. Natural standard herb and supplement reference: evidence-based clinical reviews. New York: Elsevier Mosby; 2005.
  • Lu FR, Shen L, Qin Y, Gao L, Li H, Dai Y. Clinical observation on Trigonella foenum-graecum L. total saponins in combination with sulfonylureas in the treatment of type 2 diabetes mellitus. Chin J Integr Med. 2008;14(1):56-60.
  • Nagulapalli VKC, Swaroop A, Bagchi D, Bishayee A. A small plant with big benefits: fenugreek (Trigonella foenum-graecum Linn.) for disease prevention and health promotion. Mol Nutr Food Res. 2017;61(6):1-26.
  • Izzo AA, Di Carlo G, Borrelli F, Ernst E. Cardiovascular pharmacotherapy and herbal medicines: the risk of drug interaction. Int J Cardiol. 2005;98(1):1-14.
  • Lambert JP, Cormier J. Potential interaction between warfarin and boldo-fenugreek. Pharmacotherapy. 2001;21(4):509-12.



Tags : ลูกซัด

2

เปล้าน้อย
ชื่อสมุนไพร เปล้าน้อย
ชื่ออื่นๆ/ ชื่อท้องถิ่น เปล้าท่าโพ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Croton fluviatilis Esser.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Croton stellatopilosus Ohba. , Croton sublyratus Kurz.
ชื่อสามัญ Thai croton
วงศ์ EUPHORBIACEAE
ถิ่นกำเนิด
เปล้าน้อย เป็นไม้ประจำถิ่นในเขตร้อนของทวีปเอเชีย เจอขึ้นกระจายในประเทศประเทศพม่าและไทย ตามป่าเบญจพรรณ ป่าละเมาะ รวมทั้งป่าชายหาดบางพื้นที่ในประเทศไทยมักพบในหลายจังหวัด ดังเช่น สุรินทร์ , จังหวัดอุบลราชธานี , จังหวัดนครพนม , กาญจนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเปล้าน้อยนี้เป็นพืชที่รุ่งโรจน์ก้าวหน้าในพื้นที่ที่เป็นดินร่วนคละเคล้าทรายที่มีการระบายน้ำได้ดี โดยออกดอกในช่วงกุมภาพันธ์ – เดือนมิถุนายน และก็เริ่มติดผลในเดือน มี.ค. – เดือนสิงหาคม
ลักษณะทั่วไป
เปล้าน้อย จัดเป็นไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้น เป็นไม้ผลัดใบ มีความสูงของต้นราว 1-5 เมตร แตกกิ่งก้านตั้งแต่โคนต้น ที่เปลือกลำต้นมีสีน้ำตาลคละเคล้าเทาผิวลำต้นออกจะเรียบ
ใบเป็นแบบเรียงแบบสลับ เมื่อใบใกล้หล่นจะกลายเป็นสีส้มเหลือง ก้านใบยาว 1-3.5 มิลลิเมตร มีขนสั้นนุ่มกระจาย แผ่นใบตรงแคบยาว กว้าง 1.5 -2.44 เซนติเมตร ยาว 10-17 ซม. แผ่นใบบางเหมือนกระดาษ ฐานใบแหลม ขอบใบจะฟันเลื่อยเป็นระยะ ขนาด 5-7 มม. ถึงเกือบเรียบ ปลายใบแหลมถึงเรียวแหลม ผิวใบด้านบนเกลี้ยง ด้านล่างมีขนกระจัดกระจายบนเส้นกลางใบเล็กน้อย หรือเกือบจะหมดจด ไม่มีนวล มีต่อมที่ฐานของก้านใบ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.7-1.0 มิลลิเมตร เส้นใบข้าง 11-16 คู่
ดอกออกเป็นช่อ เกิดช่อลำพังเล็ก ที่ปลายยอดปริมาณยาว 7-19 เซนติเมตร แกนช่อเกลี้ยงหรือแทบสะอาด ดอกเพศเมีย จำนวน 4-11 ดอก อาจมีไหมมีดอกเพศผู้ ใบแต่งแต้มของดอกเพศผู้รูปไข่ ขนาดยาว 2-3.5 มม. กว้าง 1.5-2 มิลลิเมตรบางคล้ายเยื่อ ดอกเพศผู้จำนวน 1-3-4 ดอกในหนึ่งใบประดับประดา ก้านดอกย่อยยาว 4-5 มิลลิเมตร เกลี้ยงกลีบเลี้ยง ขนาดกว้าง 1.5 มิลลิเมตร ยาว 2.5 มม. เชื่อมชิดกันนิดหน่อยที่ฐาน ปลายแหลมถึงเป็นติ่งแหลม ด้านนอกหมดจด แม้กระนั้นพบขนชุดครุยที่ปลายชัดเจน กลีบดอกไม้ลักษณะคล้ายกลีบเลี้ยงแม้กระนั้นแคบกว่า ขนาดกว้าง 0.5 มิลลิเมตร ยาว 2.5 มม. เกสรเพศผู้ 10-12 อัน ก้านชูยาว 2.0-2.5 มม. อับเรณูยาว 0.6 มิลลิเมตร ดอกเพศเมีย ก้านดอกย่อยแทบเกลี้ยง ปริมาณยาว 2 มม. กลีบเลี้ยง ขนาดกว้าง 1 มม. ยาว2 มม. ปลายแหลมถึงเป็นติ่งแหลม เกลี้ยง มองไม่เห็นกลีบ รังไข่ยาว 1.5 มิลลิเมตร ขนสั้นนุ่มหนาแน่น ก้านชูเป็นอิสระ ปริมาณยาว 3-5 มิลลิเมตร แบ่งเป็น 2 แฉก
ผลเปล้าน้อย รูปแบบของผลเป็นรูปทรงค่อนข้างกลมเปลือกผลเมื่อแห้งมีสีน้ำตาลและก็แตกได้ง่าย โดยผลจะแบ่งได้พู 3 พู มีรอยกลีบเลี้ยงติดอยู่ที่ก้นผล ในแต่ละพูจะมีเม็ดอยู่ 1 เม็ด เมล็ดมีสีน้ำตาลผิวเรียบ มีลายเส้นตามแนวยาวสีขาวหนึ่งเส้น มีขนาดกว้างราว 2-3 มม. และยาวราวๆ 3-4 มม.
การขยายพันธุ์ การขยายพันธุ์เปล้าน้อยสามารถได้หลายวิธี ตัวอย่างเช่น เพาะเม็ด และกระเพาะเลี้ยงเยื่อ ในปัจจุบันนิยมใช้ขั้นตอนการเพาะเลี้ยงเยื่อมากยิ่งกว่าเพราะเหตุว่าจะได้พันธุ์แท้โดยมีแถลงการณ์ว่าการขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดมีการกลายพันธุ์เกิดขึ้น สำหรับเพื่อการปลูกนั้นมีวิธีการเป็น ขุดหลุมขนาด 50x50x50 เซนติเมตร (โดยอาจลดหรืเพิ่มได้ขึ้นอยู่กับขนาดของต้นกล้าที่จะนำมาปลูก) ต่อจากนั้นนำดินที่ขุดออกมาผสมกับปุ๋ยคอกให้ถูกกัน แล้วนำต้นกล้าลงปลูกโดยใช้ระยะห่าง 4x4 เมตร กลบดิน รดน้ำให้เปียกแล้วก็ปักไม้ค้ำยันกันลมพัดล้ม
ส่วนประกอบทางเคมี
ในใบพบสาร (E.Z,E) -7- hydroxymethyl -3, 11, 15-trimethy-2,6,10,14-hexadecate traen-1-01 มีชื่อว่า CS-684 หรือ Plaunotol, Plaunotol A,B,C,D,E
Plaunotol
ประโยชน์ / สรรพคุณ
แบบเรียนยาไทย ใบ รสร้อน แก้คันตามตัว รักษาแผลในกระเพาะแล้วก็ลำไส้ก้าวหน้า เปลือกแล้วก็ใบ รักษาโรคท้องร่วงบำรุงเลือดประจำเดือน รักษาโรคผิวหนัง ราก รสร้อน แก้ลมขึ้นเบื้องบนให้ปกติ ขับโลหิตแก้บอบช้ำใน ผล รสร้อน ต้มน้ำ ขับหนองให้กระจัดกระจาย ดอก เป็นยาขับพยาธิ เปลือกต้น รสร้อน ช่วยในการย่อยอาหาร ใบ แล้วก็ ราก แก้คัน รักษาโรคมะเร็งเพลิง รักษาโรคผิวหนัง ขี้กลาก โรคเกลื้อน แก้พยาธิต่างๆริดสีดวงทวาร แก้ไอเป็นเลือด เป็นยาปฏิชีวนะในทางการแพทย์แผนปัจจุบันกล่าวว่า สาร plaunotol ออกฤทธิ์ช่วยลดการหลั่งกรดในกระเพาะแล้วก็ กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้แผลหาย เร็วขึ้น มีฤทธิ์สมานแผลในกระเพาะ อาหาร
รูปแบบ / ขนาดการใช้ สำหรับการใช้ตามตำรายาไทยเพื่อรักษาแผลในกระเพาะแล้วก็ลำไส้ แก้คันตามตัว รักษาโรคผิวหนัง ใช้บำรุงธาตุ บำรุงเลือด แก้พยาธิต่างๆ ให้นำใบ ออกจะใบอ่อน ตากแห้ง บดละเอียดแล้วนำมาต้มหรือชงน้ำกิน หรือใช้ รากต้มน้ำดื่มตอนอุ่นๆแก้โรคกระเพาะของกิน
นอกนั้นใบเปล้าน้อยยังสามารถนำไปสกัดเป็นยา “เปลาโนทอล” (Plaunotol) หรือยารักษาโรคกระเพาะได้อีกด้วย เรื่องจริงแล้วสารเปลาโนทอลมีอยู่ดูเหมือนจะทุกส่วนของต้นเปล้าน้อย แม้กระนั้นมีจำนวนมากน้อยแตกต่างกันออกไป แต่ว่าส่วนที่มีสารเปลาโนทอลสูงสุดคือส่วนของใบอ่อนที่อยู่รอบๆปลายช่อที่โดนแสงแดด สำหรับเพื่อการใช้ยา Plaunotol นั้น ควรที่จะใช้ครั้งละ 80 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง ตรงเวลา 8 อาทิตย์อาการจะดีขึ้นถึง 80-90% ซึ่งอาจมีอาการข้างๆบ้างคือ ผื่นคัน ท้องร่วง แน่นท้อง ท้องผูก
การศึกษาทางเภสัชวิทยา ผลการศึกษาทางเภสัชวิทยาของเปล้าน้อย
ในไทยมีน้อยมาก จะมีก็เพียงผลจากการทดสอบฤทธิ์ของเปลาโทนอลในผู้ป่วยโรคกระเพาะที่มีแผลในกระเพาะอาหาร (ผลขนาดไม่เกิน 1 เซนติเมตร) ได้ผลว่า คนไข้ปริมาณ 8 ใน 10 คนข้างหลังได้รับยาเปลาโนทอลเข้าไป แผลในกระเพาะจะหายสนิทภายในช่วงระยะเวลา 6 อาทิตย์รวมทั้งการเรียนทางฤทธิ์ของ Plaunotol ที่บอกว่า มีฤทธิ์สมานแผลในกระเพาะอาหาร รวมทั้งไส้ มีฤทธิ์กระตุ้นการผลิตเยื่อบุลำไส้ที่เสียหาย ทำให้แผลหายเร็วขึ้น มีฤทธิ์ลดจำนวนการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร และก็ช่วยทำให้ระบบคุ้มครอง การดูดดูดซับกรดของเยื่อบุกระเพาะซึ่งถูกทำลายด้วยสารบางจำพวก คืนกลับดีได้
การศึกษาทางพิษวิทยา ไม่มีข้อมุลการศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา แม้กระนั้นมีข้อมูลบอกว่ายารักษาโรคกระเพาะจากเปล้าน้อย (Plaunotol) ผ่านการเรียนรู้ถึงความปลอดภัยก่อนนำออกจำหน่าย มีประสิทธิภาพดีและก็ส่งผลข้างๆน้อยกว่ายาสังเคราะห์ที่มีใช้อยู่ในตอนนี้ แต่ว่าการใช้เปล้าน้อยที่ไม่ใช่สารสกัดหรือการใช้ในทางท้องถิ่นยังไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัย อย่างไรก็ดีการใช้เปล้าน้อยสำหรับการรักษาโรคกระเพาะควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เหมือนกันกับสมุนไพรชนิดอื่น
ข้อเสนอ / ข้อควรคำนึง
ในการให้ยารักษาโรคกระเพาะที่สกัดมาจากเปล้าน้อย (Plaunotol) อาจมีอาการข้างๆได้ ยกตัวอย่างเช่น ท้องเดิน แน่นท้อง ท้องผูก หรือมีผื่นคัน เพราะฉะนั้นสำหรับเพื่อการใช้ควรจะขอคำแนะนำแพทย์หรือผู้ที่มีความชำนาญเสมอ
เอกสารอ้างอิง

  • ภโวทัย พาสนาโสภณ.สารออกฤทธิ์ในสมุนไพร.คอลัมน์บทความวิชาการ.วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี ปีที่27.ฉบับที่1กันยายน2556-กุมภาพันธ์2559 .หน้า120-131https://www.disthai.com/
  • Khovidhunkit,S. O., Yingsaman, N., Chairachvit, K.,Surarit, R., Fuangtharnthip,P., & Petsom, A. (2011). In vitro study of the effects of plaunotol on oral cell proliferation and wound healing. Journal of Asian Natural Products Research, 13(2), 149-159.
  • เปล้าน้อย.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
  • เปล้าน้อยที่ไม่ใช่สารสกัดรักษาโรคกระเพาะได้หรือไม่.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • เปล้าน้อย .กลุ่มยาแก้บิด ท้องเดิน ท้องร่วง โรคกระเพาะ.โครงการอนุรักษ์พันธุ์กรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี.


เปล้าน้อย.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.

3

มะระจีน
ชื่อสมุนไพร  มะระจีน
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น มะระ (ทั่วไป)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Momordica charantia Linn. var. maxima Williums & Ng
ชื่อสามัญ  Bitter Gourd ,Balsam apple, Leprosy Gourd,   Bitter melon
วงศ์ CUCURBITACEAE
ถิ่นกำเนิด
 มะระจีนมีถิ่นเกิดในเขตร้อนทวีปเอเชีย และทวีปแอฟริกา เป็นพืชที่มีการปลูกภายในแถบประเทศเขตร้อนอย่างมากมาย โดยมีการปลูกกันในหลายประเทศ เช่นจีนประเทศอินเดีย , พม่า , ไทย , เวียดนาม อื่นๆอีกมากมาย ส่วนในประเทศไทยปลูกมากในภาคเหนือ ซึ่งมีการปลูกหลายสายพันธุ์
ลักษณะทั่วไป เป็นไม้เถาเลื้อย ลำต้นมีลักษณะเหลี่ยม เถาเลื้อยมีสีเขียว มีขนเล็กๆจะมีมือเกาะบนเถา อยู่รอบๆใต้ข้อต่อของใบ
• ใบ เป็นใบลำพัง ออกเรียงสลับกันคนละข้างตามเถา มีลักษณะเป็นแฉกเว้าลึก 5 แฉก โคนใบมีลักษณะกลม มีก้านใบยาว ใบมีสีเขียว มีขนสากเล็กๆมีมือเกาะยื่นออกมาจากที่ข้อ
• ราก เป็นระบบรากแก้ว รากมีลักษณะกลม แทงลึกลงดิน มีรากกิ่งก้านสาขารวมทั้งรากฝอยเล็กๆแทงออกตามบริเวณมีสีน้ำตาล
• มือเกาะ มีลักษณะกลม เป็นเส้นเล็กๆคล้ายหนวดขนาดเล็กๆแตกออกบริเวณข้อใต้ใบของเถา จำนวนมือเกาะ 1 เส้นต่อข้อ ส่วนปลายมีขนาดเล็กสุดม้วนงอ จะม้วนงอเข้ายึดเกาะรอบกาย ยึดลำต้นเพื่อเลื้อยแผ่ขึ้นที่สูง ใช้มือเกาะใช้ปลายหนวดม้วนใช้ยึดของ เป็นเกลียวพันรอบเหมือนสปริง
• ดอก ดอกเป็นดอกผู้เดียว มีลักษณะรูประฆัง กลีบดอกไม้จะมีเหลือง ก้านดอกยาว ออกตามซอกใบ
• ผล มีลักษณะทรงยาวรี เปลือกบาง ผิวตะปุ่มตะป่ำมีร่องลึกตามยาว ผลใหญ่เนื้อครึ้ม ผลดิบจะมีสีเขียวอ่อน ใช้กิน เมื่อผลสุกจะมีสีแดง แต่กินมิได้ ข้างในผลจะมีหลายเม็ด มีเนื้อฉ่ำน้ำ มีรสชาติขม
• เม็ด จะอยู่ภายในผล จะมีเมล็ดเล็กๆมากมาย เรียงอยู่ด้านในผล เม็ดมีลักษณะกลมแบนรี ผิวเรียบ เปลือกเมล็ดแข็ง สีน้ำตาล
การขยายพันธุ์
มะระจีนเป็นพืชที่นิยมนำมาปลูกกันมากในประเทศไทย โดยมะระจีนเป็นพืชปีเดียว สามารถปลูกได้ทุกฤดู แล้วก็ปลูกขึ้นได้ดีกับดินแทบทุกประเภท แม้กระนั้นดินต้องมีความชื้นสูงเป็นประจำ และก็ควรจะโดนแสงแดดเต็มกำลังทั้งวัน มะระจีนที่ปลูกไว้ในประเทศส่วนใหญ่แก่เก็บเกี่ยวราว 45-50 วัน การเก็บมะระควรเก็บวันเว้นวัน เลือกผลที่โตได้ขนาด มีสีเขียวยังไม่แก่เหลือเกิน ถ้าเริ่มมีสีขาวและก็เริ่มแตกถือว่าแก่เหลือเกิน
ส่วนวิธีการขยายพันธุ์สามารถเพาะพันธุ์โดยแนวทางการหยอดเมล็ดหรือปลูกจากต้นกล้าเพียงแค่นั้น โดยมีวิธีการดังนี้
การเตรียมดิน ทำไถกระพรวนดิน พร้อมกำจัดวัชพืช และผึ่งแดดราวๆ 5-10 วัน ขึ้นอยู่กับจำพวกดิน แล้วทำแนวปลูกด้วยการขึงเชือกหรือกะระยะ ในระยะระหว่างแถว 1-1.5 เมตร แล้วกระทำการไถตามจุดของแนวปลูกตามแนวยาวของแปลงให้เป็นร่องลึกโดยประมาณ 30 เซนติเมตรจากนั้นหว่านโรยปุ๋ยธรรมชาติหรือขี้วัว ปริมาณ 1000 กก./ไร่ และก็ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 จำนวน 30 กก./ไร่ แล้วกระทำการไถกลบหรือกลบแนวร่อง ตากดิน 2-3 วัน
การเตรียมกล้า ทำการเพาะกล้าในกระบะเพาะกล้า โดยใส่ดินผสมมูลสัตว์หรือวัสดุอื่นๆเช่น ขี้เถ้า กากมะพร้าว แล้วรดน้ำให้ชุ่ม วันละ 1-2 ครั้ง ยามเช้า-เย็น ถ้ากล้าเริ่มแตกใบ 4-6 ใบ หรือ 15-20 วัน สามารถนำมาปลูกได้
แนวทางการปลูก การปลูกด้วยกล้ามะระ ให้ปลูกลงในระยะห่างของหลุม 1.5-2 เมตร แต่ว่าแม้เป็น การปลูกด้วยการหยอดเม็ด ให้หยอดเม็ด 1-2 เมล็ด/หลุม ในระยะห่างของหลุมด้วยเหมือนกัน หลังการปลูกหรือหยอดเม็ดเสร็จ จะต้องรดน้ำหลุมปลูกให้เปียก
องค์ประกอบทางเคมี
องค์ประกอบทางเคมีและก็สารออกฤทธิ์ จากส่วนต่างๆของมะระจีน ดังเช่น ผล เมล็ด ใบ ลำต้น เอนโดสเปิร์ม รวมทั้งแคลลัส มีสารสำคัญมากถึง 228 ประเภท ที่บางครั้งก็อาจจะออกฤทธิ์แบบคนเดียวๆหรือ ออกฤทธิ์แบบด้วยกัน charantin, polypeptide-p, vicine, momordin และก็สารอนุพันธ์ที่คล้ายกัน ยกตัวอย่างเช่น momordinol, momordicilin, momorcharin, momordicin , Gallic acid , Caffeic acid และ Catechin ฯลฯส่วนคุณประโยชน์ทางโภชนาการของมะระจีน (100 กรัม) มี ใยอาหาร2.8 กรัม ขี้เถ้า 1.1 กรัม โปรตีน 1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 3.7 กรัม ไขมัน 0.17 กรัม พลังงาน 17 กิโลแคลอรี วิตามิน A 380 มิลลิกรัม วิตามิน B1 0.04

มิลลิกรัม วิตามิน B2 0.4 มก. วิตามิน B3 0.4 มิลลิกรัม วิตามิน B5 0.212 มก. วิตามิน B6 0.043 มก. วิตามิน C 84 มก. สังกะสี 0.8 มิลลิกรัม แคลเซียม 19 มิลลิกรัม ทองแดง 0.034 ไมโครกรัม เหล็ก 0.43 มก. แมกนีเซียม 17 มิลลิกรัม แมงกานีส 0.089 มก. ฟอสฟอรัส 31 มก. โพแทสเซียม 296 ไมโครกรัม โซเดียม 5 มก.
ประโยชน์/คุณประโยชน์
มะระจีนนิยมเอามาทำเป็นอาหาร เป็นต้นว่า ต้มกับน้ำซุปกระดูกหมู หรือแกงจืดยัดไส้หมูสับบ้างพลิกแพลง นำมะระมาหั่นเป็นแว่นบางๆชุบไข่ทอด แบบชะอมหรือมะเขือยาว หรือจะใช้ฝานเป็นแว่นบางๆจิ้มกับน้ำพริก หรือจะทำมะระผัดไข่ก็นิยมกินกันมาก ซึ่งมะระจีนถือเป็นผักที่นิยมรับประทานมากสำหรับคนที่ป่วยด้วยโรคเบาหวาน เนื่องด้วยมีสารประกอบหลายชนิด อาทิ แคแรนทิน (charantin), โพลีเปปไทด์ พี (p-insulin) และก็วิสิน (vicine) ซึ่งมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้ ส่วนคุณประโยชน์ทางยาตามตำรายาไทยบอกว่า ราก แก้พิษ รักษาโรคริดสีดวงทวาร ฝาดสมาน ยาบำรุง เถา บำรุงน้ำดี ยาระบายอ่อนๆเจริญอาหาร ใบ แก้ไข้ ดับพิษร้อน ขับพยาธิ ขับลม ดอก แก้พิษ แก้บิด ผล ขับลม ดับพิษร้อนแก้พิษฝี แก้ฟกบวม แก้อักเสบ บำรุงน้ำดี ขับพยาธิ เจริญอาหาร บรรเทาโรคเบาหวาน รวมทั้งเม็ด แก้พิษ บำรุงธาตุนอกเหนือจากนั้นตำรายาแผนโบราณในต่างประเทศได้มีการใช้มะระแก้เบาหวาน เช่นเดียวกัน อย่างเช่น ประเทศอินเดีย ประเทศปากีสถาน ศรีลังกา แอฟริกาตะวันตก ประเทศฟิลิปปินส์ ซาอุดิอาระเบีย แล้วก็อังกฤษ เป็นต้น สำหรับเพื่อการหมอแผนปัจจุบันได้มีการทำการศึกษาเรียนรู้กล่าวว่า มะระจีนมีฤทธิ์ต้านทานเบาหวาน ช่วยระบายและทำลายเชื้อ โดยทางการแพทย์แผนไทยใช้เข้าตำรับยาแก้ไข้ที่มีอาการติดเชื้อโรคต่างๆสารต้านเบาหวานในมะระจีนได้แก่สารชาแรนทิน ซึ่งมี ฤทธิ์ต้านโรคเบาหวานได้ดีกว่ายา tolbutamide ยิ่งไปกว่านี้ เจอ สารไวซีน (vicine) โพลีเพปไทด์-พีแล้วก็สารออกฤทธิ์อื่นที่ กำลังเรียนกันอยู่ โพลีเพปไทด์-พี ออกฤทธิ์ลดน้ำตาลใน เลือดเมื่อฉีดแบบอินซูลินให้กับผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวานชนิด ฤทธิ์ต้านโรคเบาหวานของมะระจีนได้ถูกศึกษาอย่างใหญ่โต ทั้งยังโดยการเพาะเลี้ยงเซลล์ การเรียนในสัตว์ทดลอง และก็การเรียนทางคลินิก สารจากมะระจีนให้ผลทั้งยังในแง่การควบคุมปริมาณการหลั่งอินซูลินรวมทั้งเปลี่ยนแปลงเมแทบอลิซึมของเดกซ์โทรส การแพทย์โอกาสของประเทศสหรัฐอเมริกาแนะนำการใช้น้ำคั้นผลมะระจีน เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดคนไข้เบาหวาน
ต้นแบบ / ขนาดการใช้
• แก้อาการป่วยไข้ ให้นำมะระจีนอีกทั้ง 5 เป็น ดอก ผล ใบ ราก รวมทั้งเถาอย่างละ 1 กำมือใส่น้ำให้ท่วมแล้วต้มจนถึงเดือด กินครั้งละ 1 แก้ว ก่อนที่จะรับประทานอาหาร วันละ 3 - 4 ครั้งติดต่อกันเพียง 3-4 วันก็จะหายไข้
• แก้อาการคอแหบแห้ง เสียงไม่มี เนื่องด้วยโรคไข้หวัด นำผลมะระจีนต้มกิน หรือใช้ประกอบเป็นอาหารช่วยรักษาให้ดีขึ้นจนกระทั่งหายขาดได้
• ให้นำมะระจีนใกล้สุก มาหั่นทั้งเนื้อและเม็ดแล้วนำไปผึ่งแดดให้แห้ง คั่วจนกระทั่งหอมแล้วตำให้รอบคอบผสมน้ำผึ้ง ปั้นเป็นยาลูกกลอนขนาดนิ้วโป้งกินทีละ 1 เม็ดก่อนนอน แก้ท้องผูก
• บำรุงสายตา ให้นำผลมะระจีนและก็ยอดอ่อนมาปรุงอาหารตามใจชอบ ควรจะกินวันเว้นวันสม่ำเสมอ สายตาจะดียิ่งขึ้น
• บำรุงเลือด
• ชูกำลัง เพิ่มสมรรถนะทางเพศ ให้นำเม็ดมะระจีนแก่จัดมาตากแห้งแล้วแกะเปลือกออก ใช้เนื้อในบดจนกระทั่งละเอียดละลายน้ำร้อนรับประทานครั้งละ 1 ช้อนตักกาแฟวันละ 1 คราวก่อนนอน ติดต่อกัน 2 อาทิตย์ เว้น 2 อาทิตย์ กินอีก 2 อาทิตย์ จะทำให้เจริญอาหารมีกำลังขึ้น ยาขนานนี้ยังช่วยขับพยาธิตัวเล็กได้อีกด้วย
• ใบมะระจีนใช้ ต้มดื่ม แก้ไข้หวัด บำรุงน้ำดี ดับพิษฝี แก้ปากยุ่ย แก้ตับม้ามพิการ แก้อักเสบ ฟกช้ำบวม ใช้ทาด้านนอก แก้ผิวแห้ง ลดอาการระคายเคือง อักเสบ
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา มีการศึกษาถึงผลของมะระจีนในมนุษย์หลายการเล่าเรียนทั้งในคนที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงและผู้ป่วยเบาหวานประเภทต่างๆพบว่า มีหลายการค้นคว้าที่รายงานว่าสารสกัดหรือน้ำจากผลมะระมีฤทธิ์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดลงได้โดยการเรียนรู้เจอฤทธิ์รักษาโรคเบาหวานของมะระจีนเริ่มตั้งแต่ปี 1942 โดยพบว่ามีฤทธิ์ลดน้ำตาลในกระต่าย และก็เสริมฤทธิ์ยาลดน้ำตาลในกระต่ายที่เป็นโรคเบาหวาน จึงได้มีผู้ศึกษาฤทธิ์ของมะระในสัตว์ทดสอบต่างๆอย่างเช่นกระต่าย หนูขาว หนูถีบจักร แมว gerbils ลิง ตลอดจนการทดลองทางสถานพยาบาล ซึ่งสำหรับเพื่อการทดสอบได้ใช้มะระจันทั้งในรูปสารสกัดด้วยอัลกอฮอล์ สารสกัดด้วยอะซีโตนสารสกัดด้วย้ำในรูปผลแห้งรวมทั้งน้ำคั้น และได้มีผู้ทดลองสกัดแยกสารซึ่งมีฤทธิ์ลดเบาหวาน ตัวอย่างเช่น charantin , polypeptide , polypeptide P และก็ purified proteinสำหรับกลไกการออกฤทธิ์ พบว่ามะระจีนมีฤทธิ์เสมือนอินซูลินและกระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากเบต้าเซลล์ เพิ่มการใช้น้ำตาลเดกซ์โทรสในเนื้อเยื่อต่างๆโดยไปเพิ่ม tissue respiration เมื่อให้น้ำคั้นผลมะระจีนก่อนให้น้ำตาลเดกซ์โทรส พบว่ามีการนำกลูโคสไปใช้ก็เลยมีการสะสมของglycogen ในตับและก็กล้าม ซึ่งอาจด้วยเหตุว่าไปรีบการหลั่งอินซูลิน แล้วก็รีบการดูดซึมของกลูโคสก็ได้ นอกเหนือจากนี้น้ำคั้นยังมีผลต่อ gluconegensis ในไตคล้ายกับสาร hypoglycin ซึ่งลดน้ำตาลด้วยเหตุว่าเบาหวาน แล้วก็พบว่าการทดลองให้หนูที่เหนี่ยวนำด้วย strepotozotocin ให้เป็นโรคเบาหวาน มะระจีนไม่ได้ผล บางทีอาจเนื่องจากว่าเบต้าเซลล์ถูกทำลายไปแล้วไม่เพียงแค่มีการทดสอบโดยใช้ผลมะระจีนเท่านั้น ยังมีการทดลองผลของเมล็ดมะระจีนอีกด้วย
จากการเรียนรู้ของนักวิจัยในประเทศฮ่องกง
พบว่าในเม็ดมีสารซึ่งมีฤทธิ์เหมือนกันกับอินซูลินซึ่งถัดมาได้พบว่า เป็น α-momorcharin, β-momorcharin , α-trichosantin และก็เลคติน ในเวลาใกล้ๆกัน ได้มีหัวหน้าเม็ดมะระมาสกัดด้วย 50% เมทานอล และก็ 0.9% น้ำเกลือ เมื่อนำสารสกัดไปทดลองในหนูซึ่งอดอาหาร พบว่าจำนวนน้ำตาลในเลือดลดลง และสารสกัดเมทานอลรวมทั้งน้ำเกลือยังคุ้มครองไม่ให้ adrenaline ไปรั้งนำให้เกิดโรคเบาหวานโดยมีรายงานว่า สารสกัดมะระจีนยับยั้ง glucose optake ใน cell Ehrlich ascites tumor cell ซึ่งใช้เป็นการตรวจสอบพื้นฐานของพืชที่ยั้งเบาหวาน มีการศึกษาเล่าเรียนฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของตำรับยาซึ่งมีมะระจีนเป็นส่วนผสม (ไม่ระบุประเภทของสารสกัด) โดยฉีดเข้าช่องท้องหนูถีบจักร ขนาด 0.1 ก./กก. พบว่าลดน้ำตาลในเลือด เมื่อทดลองฉีดสารสกัดอินซูลินจากมะระจีนเข้าทางช่องท้องหรือให้ทางปากหนูขาวปกติ และก็หนูขาวที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นโรคเบาหวาน ด้วย alloxan หรือ streptozotocin พบว่าน้ำตาลในเลือดต่ำลง ต่อมามีการเล่าเรียนผลของสารสกัดเมทานอล:น้ำ ของดอกแห้งรวมทั้งใบมะระจีนขนาด 10 และก็ 30 มิลลิกรัม/กก. เมื่อกรอกเข้าทางกระเพาะหนูขาว พบว่ามีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด รวมทั้งสารสกัด 95% เอทานอลของผลสด ขนาด 200 มก./กิโลกรัม กรอกเข้าทางกระเพาะของหนูขาวที่ใช้ streptozotocin รั้งนำให้เกิดเบาหวาน มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดลง 22% รวมทั้งน้ำคั้นผลดิบสดของมะระจีน(ไม่เจาะจงขนาด) กรอกเข้าทางกระเพาะหนูขาว มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด
ยิ่งกว่านั้นเมื่อให้น้ำสกัดผลมะระจีน 2 มล.เป็นเวลา 3 สัปดาห์ ในหนูขาวที่ถูกรั้งนำให้เป็นโรคเบาหวานด้วย alloxan ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงจาก 220 มก.% เป็น 105 มิลลิกรัม%คิดเป็น 54% ซึ่งมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้มากกว่าผงแห้ง ซึ่งน้อยลง 25%
การศึกษาฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดในหนูขาวที่ถูกรั้งนำโดย alloxan ทดสอบการใช้สารสกัดเอทานอลขนาด 250 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ทดสอบเป็นเวลา 2 อาทิตย์ พบว่ามะระมีฤทธิ์อย่างแรงสำหรับเพื่อการลดน้ำตาลในเลือด สารสกัดมะระ 3 แบบอย่างคือ สารสกัด A ได้ผลสำเร็จแห้งมะระ 0.5 กก. ในเมทานอล (1:10) สารสกัด B ได้ผลแห้งมะระ 0.5 กก. ในคลอโรฟอร์ม (1:10) สารสกัด C เป็นผลสดมะระ 0.5 กก. ในน้ำ (10:25) ในขนาด 20 มก/กก มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดในหนูขาวที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นโรคเบาหวานด้วย alloxan เมื่อทดสอบการใช้เป็นเวลา 4 สัปดาห์ไม่พบความเป็นพิษต่อตับและก็ไต รวมทั้งทดลองใช้ในขนาดสูงไม่พบพิษต่อตับแล้วก็ไตด้วยเหมือนกัน โดยมองจากค่า SGOT , SGPT และก็ lipid profile
การศึกษาที่
ประเทศแอฟริกาใต้ ปี พุทธศักราช2549 ถึงฤทธิ์ของการใช้สารสกัดมะระจีนทั้งยัง5เพื่อลดปริมาณน้ำตาลในเลือดของหนูที่ทำให้เป็นโรคเบาหวานโดยใช้สารสเตรปโทโซโทซิน พบว่าจำนวนน้ำตาลในเลือดหนูต่ำลงทั้งหนูปกติและหนูที่เป็นเบาหวาน ผลการลดจำนวนน้ำตาลเปลี่ยนแปลงตามจำนวนสารสกัดที่ได้รับ
ส่วนการทดสอบให้สารสกัดมะระจีนอีกทั้ง 5 โดยการฉีดเข้าหลอดเลือดกับหนูธรรมดารวมทั้งหนูที่ถูกทำให้มีความดันสูง (hypertensive Dahl salt-sensitive rats) พบว่าลดความดันตอนบนรวมทั้งอัตราการเต้นของหัวใจของหนูทั้งๆที่เป็นปกติรวมทั้งมีอาการความดันสูงอย่างเปลี่ยนกับปริมาณสารสกัดดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว การให้สารอะโทรพีนต่อหนูไม่มีผลต่อการลดความดันเลือดในการทดลองนี้ ก็เลย มั่นใจว่าผลการลดระดับความดันดังกล่าวมิได้เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากกลไกโคลิเนอร์จิก
ส่วนการศึกษาเรียนรู้ที่ญี่ปุ่น ปีพุทธศักราช2549 พบว่าไทรเทอร์พีนอะไกลโคนจากสารสกัดแอลกอฮอล์ของผลมะระจีนแห้งจำนวน 2 ชนิด แสดงผลลัพธ์ลดปริมาณน้ำตาลในเลือดตัวทดลองที่เป็นเบาหวาน (หนูเบาหวานตัวผู้ ชนิด ddY) สารดังกล่าวข้างต้นเป็น epoxydihydroxycucurbitadiene และ trihydroxycucurbitadien-al
การทดสอบทางคลินิกในคนปกติพบว่า เมื่อกินผลมะระจีนสด (ไม่ระบุขนาด) มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด มีการศึกษาเล่าเรียนโดยใช้ใบมะระจีนพบว่า มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหาร (postpandrial glucose level) อีกทั้งในคนปกติแล้วก็ผู้ปั่นป่วนโรคเบาหวานชนิดที่ 2 แล้วก็ใบมะระจีน ลดน้ำตาลในเลือดคนป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ 60% อย่างมีนัยสำคัญเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ได้รับเดกซ์โทรส75 กรัม (97%) แต่ว่าระดับอินซูลินแล้วก็กลูโคสในเลือดไม่ได้มีความแตกต่างกัน
นอกเหนือจากนั้นจากผลที่เกิดขึ้นจากงานวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ยังพบว่าทั้งมะระจีนมีฤทธิ์ยั้งเชื้อ HIV โดยออกฤทธิ์สำหรับเพื่อการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน มีรายงานศึกษาว่าชาวประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นผู้ติดเชื้อได้ใช้สารสกัดจากมะระจีนนาน 4 ปี พบว่ามีจำนวน T lymphocytes มากขึ้น แล้วก็มีหมอชาวจีนรายงานว่ามีผู้ใช้มะระจีนนาน 4 เดือน ถึง 3 ปี พบว่ามีปริมาณ T lymphocytes มากขึ้น แสดงให้เห็นว่ามะระจีนมีฤทธิ์ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
การเรียนรู้ทางพิษวิทยา
การทดสอบความเป็นพิษ เมื่อฉีดสารสกัดพืชทั้งยังต้นด้วยเอทานอล(50%) เข้าใต้ผิวหนังในขนาด 20 ก./กิโลกรัม หรือให้หนูถีบจักรกินในขนาด 10 ก./กิโลกรัม ไม่พบพิษ สารสกัดส่วนเหนือดินและไม่กำหนดส่วนที่ใช้ด้วยเอทานอล (50%) เมื่อฉีดเข้าช่องท้องหนูถีบจักร ขนาดที่ทำให้สัตว์ทดสอบตายครึ่งเดียว (LD50) มีค่าเท่ากับ 681 มิลลิกรัม/กิโลกรัม รวมทั้งมีค่าสูงกว่า 1,000 มิลลิกรัม/กก. แอลติดอยู่ลอยด์ที่แยกได้จากมะระจีน เมื่อให้กระต่ายรับประทานขนาด 56 มิลลิกรัม/ตัว หรือฉีดเข้าช่องท้องหนูถีบจักร 14 มิลลิกรัม/กก. ไม่พบพิษ ฉีดน้ำคั้นจากผลเข้าท้องหนูขาวขนาด 15 ซีซี/กก. หรือ 40 ซีซี/กิโลกรัม พบว่าทำให้สัตว์ทดลองตายข้างใน 18 ช.ม.รวมทั้งเมื่อฉีดน้ำคั้นผลเข้าท้องของกระต่ายในขนาด 15 ซีซี/กก. พบว่าทำให้กระต่ายตายภายใน 18 ช.ม. แม้กระนั้นเมื่อให้เข้าทางกระเพาะของกระต่ายในขนาด 6 ซีซี/กิโลกรัม พบว่ากระต่ายตายภายหลังจากได้รับสารสกัดโดยตลอดเป็นเวลา 23 วัน
ส่วนน้ำสุกผลสดฉีดเข้าช่องท้อง หรือฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนูถีบจักร ค่า LD50 เท่ากับ 16 มคกรัม/ซีซี และก็ 270 มคก./ซีซี ตามลำดับ เมื่อฉีดสารสกัดผลด้วยเอทานอล (50%) เข้าท้องหนูถีบจักรพบว่าLD50 เท่ากับ 681 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ให้หนู gerbil กินสารสกัดผลด้วนเอทานอล (95%) ขนาด 1.1 ก./กก. นานต่อเนื่องกัน 30 วัน และสารสกัด (ไม่ระบุส่วนที่ใช้) ด้วยเอทานอล (95%) เมื่อผสมของกินในขนาด 50 มคก./ตัว ในหนูถีบจักรกิน พบว่าไม่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดพิษ เมื่อฉีดสารสกัดเม็ดด้วยน้ำเข้าท้องหนูขาวพบว่า LD50 พอๆกับ 25 มิลลิกรัม/กิโลกรัมสารสกัดผลด้วยคลอโรฟอร์ม เมื่อฉีดเข้าทางช่องท้องหนูถีบจักรในขนาด 1,000 มิลลิกรัม/กก. ทำให้สัตว์ทดสอบเหน็ดเหนื่อย และตายข้างหลังได้รับสารสกัดเป็นเวลา 24 ช.ม.
พิษต่อระบบสืบพันธุ์ เมื่อให้น้ำคั้นจากผล ขนาด 6 ซีซี/กิโลกรัม ในกระต่ายที่ตั้งท้อง ทำให้มีเลือดไหลจากมดลูกและมีกระต่ายตายจากการตกเลือด เมื่อฉีดสารสกัดผลซึ่งมีสาร charantin รวมทั้งเม็ดซึ่งมีสาร vicine เข้าทางท้องของสุนัขในขนาด 1.75 กรัม/ตัว พบว่าฤทธิ์ยับยั้งวิธีการสร้างน้ำอสุจิและในหนูถีบจักรเพศภรรยา เมื่อได้รับสารสกัด (ไม่เจาะจงจำพวก) พบว่าส่งผลยับยั้งการผสมพันธุ์เมื่อให้ใบแล้วก็เปลือกลำต้น (ไม่กำหนดขนาด) เข้าทางกระเพาะในหนูขาวที่ตั้งท้อง พบว่ามีเลือดออกไม่ปกติจากมดลูก น้ำคั้นผลสดเมื่อให้ในหนูถีบจักรเพศภรรยามีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญวัย รวมทั้งน้ำคั้นผลสดเมื่อให้เข้าทางกระเพาะของหนูขาว เมื่อให้น้ำคั้นจากผล (ไม่เจาะจงขนาด)
สารสกัดด้วยน้ำ (ไม่เจาะจงส่วนที่ใช้) ในขนาด 200 มิลลิกรัม/กก. เมื่อให้หนูขาวที่ท้องรับประทานไม่พบว่าเป็นพิษต่อตัวอ่อนหรือทำให้แท้ง และสารสกัดด้วยเอทานอลในขนาดที่เท่ากับ ก็ไม่พบว่ามีฤทธิ์ยั้งการฝังตัวของตัวอ่อนหรือทำให้แท้ง น้ำต้มจากใบเมื่อให้หนูขาวเพศภรรยากินในขนาด 500 มก./กก พบว่าไม่มีฤทธิ์ยับยั้งการฝังของตัวอ่อน และไม่เป็นพิษต่อตัวอ่อน
ผลต่อเม็ดเลือดขาว น้ำคั้นจากผลในขนาดที่มีผลทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวปกติ(lymphocyte) ตายครึ่งหนึ่ง มีค่าเท่ากับ 0.35 มก./จานเพาะเชื้อ สารสกัดด้วยน้ำเกลือ (ไม่เจาะจงส่วนที่ใช้) เมื่อทดลองกับเซลล์เม็ดเลือดขาว (lymphocyte) ในขนาด 40 มคกรัม/จากเพาะเชื้อ พบว่ามีความเป็นพิษต่อยืน (gene) lectin และก็โปรตีนบางชนิดในเมล็ดของมะระ ส่งผลยับยั้งบางแนวทางการสังเคราะห์ DNA ของทั้งเซลล์เม็ดเลือดขาวปกติแล้วก็เซลล์มะเร็ง ป้อนน้ำคั้นจากผลสดและเมล็ดของมะระจีนให้หนูขาวเพศผู้ในขนาด 1 ซีซี/น้ำหนักตัว 100 กรัม เป็นเวลา 30 วัน พบว่าทำให้ enzyme serum Ƴ-glutamyltransferase รวมทั้ง alkaline phosphatase มีความเข้มข้นสูงมากขึ้นจึงคาดว่าน่าจะมีสารที่ทำให้มีการเกิดความเป็นพิษต่อตับ
คำแนะนำ/ข้อควรคำนึง
1. ใบมะระจีนใช้ ต้มดื่ม แก้ไข้หวัด บำรุงน้ำดี ดับพิษฝี แก้ปากเปื่อยยุ่ย แก้ตับม้ามพิการ แก้อักเสบ ฟกช้ำดำเขียวบวม ใช้ทาข้างนอก แก้ผิวแห้ง ลดอาการเคือง อักเสบ
2. คนที่มีสภาวะขาดโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีจีซิกข์พีดี (G6PD) ไม่ควรกินเม็ดมะระ ด้วยเหตุว่าอาจเกิดผลข้างๆ เป็นต้นว่า โลหิตจาง ปวดศีรษะ เจ็บท้อง จับไข้ แล้วก็อาจมีภาวะโคม่าได้ในบางราย
3. หญิงมีท้องแล้วก็อยู่ในตอนให้นมลูก ไม่ควรรับประทานมะระจีน เพราะเหตุว่ามีการศึกษาในสัตว์ทดสอบพบว่า สารเคมีในผลหรือเม็ดมะเบื่อหน่ายจทำให้มีเลือดไหลระหว่างมีท้อง และอาจเป็นสาเหตุให้แท้งได้
4. ผู้ป่วยเบาหวาน โดยยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่จำเป็นต้องใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด เช่น อินซูลิน ไกลพิไซด์ โทลบูตาไมด์ ไกลเบนคาไมด์ ไพโอกลิตาโซน เป็นต้น ควรรอบคอบสำหรับการกินมะระ เหตุเพราะมะเอือมระอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลดลงเยอะเกินไป
เอกสารอ้างอิง

  • เสาวนิตย์ ดาวรัตนชัย.มะระกับเบาหวาน.จุลสารข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.ปีที่ 21 ฉบับที่ 1 .ตุลาคม .2546.หน้า 12-21
  • รศ.ดร.สุธาทิพ ภมรประวัติ.มะระต้านเบาหวาน. คอลัมน์ บทความพิเศษ.นิตยสารหมอขาวบ้าน.เล่มที่ 336.เมษายน 2550
  • นิรามัย ฝางกระโทก.”เบาหวาน” “มะระ”. บทความวิชาการ คณะเทคโนโลยีเกษตร มหาวิทยาลัยบูรพา .หน้า 1-5
  • นันทวัน บุณยะประภัศร อรนุช โชคชัยเจริญพร , บรรณาธิการ . สมุนไพรไม้พื้นบ้าน เล่ม 3.กรุงเทพฯ:ประชาชน จำกัด , 2542.823 หน้า.
  • การปลูกมะระจีน .พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพืชเกษตรไทย.(ออนไลน์). สอบถามเรื่องมะระ.กระดานถามตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.https://www.disthai.com/
  • Rajurkar NS, Pardeshi BM.Analysis of some herbal plants from lndia used in the control of diabeter mellitus by NAA and AAS techniques. Appl Radiat lsot 1997;48(8):1059-62.
  • Kar A, Choudhary BK, Bandyopadhyay NG. Preliminary studies on the inorganic constituents of some lndigenous hypoglycaemic herbs on oral glucose tolerance test. J Ethnopharmacol 1999;64:179-84.
  • Singh J, Cumming E, Manoharan G, Kalasz H,Adeghate E. 2011. Medicinal chemistry of the anti-diabetic effects of Momordica charantia: Active constituents and modes of actions. Open Medicinal Chemistry Journal.5:70-77
  • Aslam M, Stoclkley IH. Lnteraction between curry ingredient (karela) and drug (chloropamide). Lancet 1979;607.
  • Khanna P. Protein/polypeptide-K obtained from Momordica charantia, a process for the extraction thereof ,and therapeutic uses for diabetes mellitus. PCT lnt Appl Won00 61,619 2000;30pp.
  • Jain SR, Sharma SN. Hypoglycaemic drugd of lndian indigenous origin . Planta Med 1967;15(4):439-42.
  • Ng TB, Wong CM,Li WW,Yeung MW. Lnsulin like molecuies in Momordica charantia seeds. J Ethnopharmacol 1986;15107-17.
  • Murakami C, Myoka K, Kasai R, Ohtani K, Kurokawa T, lshibshi S, Sadahiko D, Fabian P, Willam G, Yamasaki K. Screening of plant constituents for effect on glucose transport activity on Ehrilich escites tumor cells. Chem Pharm Bull 1

4
อื่น ๆ / สรรพคุณเเละประโชน์ ชุมเห็ดเทศ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2018, 08:15:45 AM »

ชุมเห็ดเทศ
ชื่อสมุนไพร  ชุมเห็ดเทศ
ชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น ขี้คาก , ลับมืนหลวง , หมากกะลิงเทศ ,หญ้าเล็บมือหลวง (ภาคเหนือ) , ส้มเห็ด (เชียงราย) ,จุมเห็ด (มหาสารคาม) , ชุมเห็ดใหญ่ (ภาคกลาง) , ตะสีพอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) , ตุ๊ยเฮียะเต่า , ฮุยจิวบักทง (จีน) , ตุ้ยเย่โต้ว (จีนกลาง)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Senna alata (L.) Roxb.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์  Cassia alata (L.) Roxb. , Cassia bracteata L.f.
ชื่อสามัญ  Acapulo, Candelabra bush, Candle bush, Ringworm bush
วงศ์  FABACEAE (LEGUMINOSAE ) - Caesalpinioideae
ถิ่นกำเนิด
ชุมเห็ดเทศ มีถิ่นเกิดในเขตร้อนของทวีปแอฟริกา อเมริกาประเทศออสเตรเลีย และเขตร้อนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับในประเทศไทย สามารถพบได้บ่อยในประเทศไทย ดังที่ชุ่มชื้น ทุกภาวะดินแต่ว่าไม่ขอบที่ร่มมากมาย พบได้บ่อยทั้งรอบๆที่ราบแล้วก็บนเขาที่มีความสูงไม่เกิน 1500 เมตร จากระดับน้ำทะเล
ลักษณะทั่วไป
ชุมเห็ดเทศจัดเป็นพุ่มไม้ขนาดกึ่งกลาง สูง 1.5-3 เมตร ลำต้นแข็งมีแก่นไม้ ลำต้นแตกกิ่งก้านเป็นแนวขนานกับพื้นดิน กิ่งจะแบออกทางข้างๆ มีขนสั้นนุ่ม เปลือกลำต้นเรียบเป็นสีน้ำตาล ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ ออกเรียงสลับ ใบย่อย 8-20 คู่ ยาว 5-15 ซม. ใบย่อยรูปขอบขนาน ยาว5-15 เซนติเมตร ปนรูปรี โคนใบมน ปลายใบมน กลม หรือเว้าน้อย ไม่มีต่อม ฐานใบมนไม่เท่ากันทั้งคู่ด้าน ขอบใบเรียบมีสีแดง ศูนย์กลางใบดก ยาวราวๆ 30-60 เซนติเมตร ก้านใบประกอบยาวราว 2 ซม. หูใบรูปติ่งหู สามเหลี่ยม ยาว 6-8 มม. ติดทน ดอกย่อยมีเส้นผ่านศูนย์กลางราว 4 เซนติเมตร ก้านดอกย่อยสั้นมากมาย ใบแต่งแต้มเป็นแผ่นบางๆกลีบเลี้ยงสีเขียวปลายแหลมมี 5 กลีบ กลีบสีเหลืองปลายมนมี 5 กลีบ ลายเส้นที่กลีบดอกเห็นได้ชัด เกสรตัวผู้ยาว ไม่เท่ากัน เกสรตัวเมียมี 1 อัน ผลมีลักษณะเป็นฝักรูปแถบ ยาว แบน และหมดจดไม่มีขน ฝักมีปริมาณยาวโดยประมาณ 10-20 เซนติเมตรและกว้างโดยประมาณ 1.5-2 ซม. มีสันหรือปีกกว้าง 4 ปีก ปีกกว้างราวๆ 5 มิลลิเมตรตามความยาวของฝัก ฝักมีผนังกั้น ฝักเมื่อแก่จะเป็นสีดำและก็แตกตามยาว ข้างในฝักมีเม็ดโดยประมาณ 50-60 เม็ด เมล็ดเป็นรูปสามเหลี่ยมสีดำ มีผิวขรุขระ มีขนาดกว้างประมาณ 5-8 มม.และก็ยาวประมาณ 7-10 มิลลิเมตร
การขยายพันธุ์ ชุมเห็ดเทศสามารถแพร่พันธุ์ได้ 2 แนวทางเป็นการใช้เม็ดแล้วก็การปักชำ แม้กระนั้นส่วนใหญ่จะนิยมแพร่พันธุ์ด้วยเมล็ดมากกว่าซึ่งมีวิธีการปลูกดังต่อไปนี้
1. การเตรียมดินให้กำจัดวัชพืชแล้วก็เศษวัสดุ พร้อมด้วยไถลูกพรวนรวมทั้งตากดินไว้ 7-15 วัน ต่อจากนั้นใส่ปุ๋ยคอกอัตรา 2 ตันต่อไร่
2. การเตรียมชนิด ระงับเลือดเม็ดที่แก่จัดแล้วเอามาแช่น้ำไว้ 1 คืน หลังจากนั้นคลุกกับทรายในอัตรา 1: 1-2 แล้วห่อด้วยผ้าขาวบาง รดน้ำให้เปียกแฉะ เก็บในที่ร่ม 1-2 วัน เมล็ดก็จะเริ่มแตกออก
3. การปลูก ถ้าปลูกแบบหยอดหลุมด้วยเม็ดที่เริ่มผลิออก ให้หยอดหลุมละ 5-6 เม็ดให้มีระยะห่างระหว่างต้น และก็ระหว่างแถว 3x4 เมตร เมื่อปลูกเสร็จใช้ผางคลุมบางๆรดน้ำให้เปียก ถ้าเกิดปลูกแบบใช้ต้นกล้าให้น้ำต้นกล้าที่เพาะจากเมล็ดที่แก่ 30 วัน หรือมีใบจริง 5-7 ใบ มาปลูกลงแปลง รดน้ำให้เปียก ปักไม้ค้ำจนกระทั่งไว้และผูกชิดกับต้นกล้าแล้วคลุมโคนต้นด้วยผางและควรรดน้ำให้เปียกแฉะเสมอในช่าง 2 เดือนแรก
ส่วนประกอบทางเคมี ชุมเห็ดเทศมีส่วนประกอบทางเคมีที่สำคัญประกอบด้วยสารกรุ๊ป Anthraquinone โดยในใบชุมเห็ดเทศ ควรมีสาระสำคัญ Hydroxy-anthracene derives ไม่น้อยกว่า 1.0% w/w (โดยคำนวณเป็น rhein-8-glucoside) อาทิเช่น Aloe-emodin, Chrysophanol , Chrysophanic acid, lsochrysophanol, Physcion glycoside, Terpenoids, Sennoside, Sitosterols, Lectin, Rhein.

คุณประโยชน์ / คุณประโยชน์

ตำราเรียนยาไทย: ใช้ภายในแก้ท้องผูก เป็นยาระบาย ไปกระตุ้นทำให้ลำไส้ใหญ่บีบตัวดีขึ้น สมานธาตุรักษากระเพาะอาหารอักเสบ แก้กษัยเส้น ทำหัวใจให้ปกติขับฉี่ ขับพยาธิ ใช้ภายนอก รักษาฝี แล้วก็แผลพุพอง รักษาขี้กลาก เกลื้อน โรคผิวหนัง อมบ้วนปาก รักษาผิวหนังอักเสบเป็นผื่นคัน เส้นประสาทอักเสบ โดยใช้ส่วนของ ใบ เป็นยาถ่าย ใช้ภายนอกรักษาขี้กลาก แก้แมลงสัตว์กัดต่อย และโรคผิวหนังอื่นๆใช้ถ่ายพยาธิตัวตืด ใบสด ใช้รักษากลากโรคเกลื้อน ตำพอก รีบหัวฝี ใบรวมทั้งดอก ทำยาต้มกิน เป็นยาระบายแก้ท้องผูกขับเสลดในรายที่หลอดลมอักเสบ รวมทั้งแก้โรคหืด เมล็ด มีกลิ่นเหม็นเบื่อ รสเอียนนิดหน่อยใช้ขับพยาธิ แก้ตานซาง แก้ท้องเฟ้อ แก้นอนไม่หลับ ฝัก มีรสเบื่อเบื่อ แก้พยาธิ เป็นยาระบาย ขับพยาธิตัวตืด พยาธิไส้เดือน ต้นและก็ราก แก้กษัยเส้น แก้ท้องผูก บำรุงหัวใจเปลือกแล้วก็แก่นไม้ ใช้ขับน้ำเหลืองเสีย ส่วนในทางการแพทย์แผนปัจจุบันระบุว่า ชุมเห็ดเทศเป็นยาระบายที่ดี เพราะว่ามีอีกทั้งแอนทราควิโนน ซึ่งเป็นยาระบาย แล้วก็แทนนิน ซึ่งเป็นยาฝาดสมาน จึงเป็นยาระบายที่สมานธาตุในตัว และก็ในชุมเห็ดเทศยังมีพฤกษเคมีที่เป็นยาแล้วก็สารต้านทานนุมูลิอิสระสำคัญหลายชนิด โดยมีการทดสอบสารสกัดหยาบจากใบ เปลือกลำต้น ดอก ผล สกัด โดยใช้เอทิลอะสิเตทแล้วก็เมทานอล พบสารฟลาโวนอยด์ แอนทราควิโนน คูมาริน ซาโปนิน แทนนิน เทอร์ปินอยด์ สเตอร์รอยด์ และก็คาดิแอคไกลโคไซด์ แต่ไม่พบสารแอลคาลอยด์ ในทุกส่วนของชุมเห็ดเทศ และก็พบว่าสารสกัดทั้ง 8 ตัวอย่าง มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ นอกเหนือจากนี้ สารสกัดทั้งยัง 8 ตัวอย่างสารมารถต่อต้านเชื้อ Bacillus subtilis และก็ Staphy-lococcus aureus ได้ โดยยิ่งไปกว่านั้นสารสกัดเมทานอลจากดอกชุมเห็ดเทศชนิดเดียวเพียงแค่นั้นที่ต้านทานเชื้อ Pseudomonas auroginosa ได้ แต่ว่าไม่มีสารใดที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อ E.coli การศึกษาเล่าเรียนการออกฤทธิ์ของ Senna alata (L.) Roxb. หรือชุมเห็ดเทศสำหรับการยั้งการเจริญก้าวหน้าของเชื้อก่อโรคพบว่าสารสกัดจากชุมเห็ดเทศสามารถยั้งการเจริญก้าวหน้าของเชื้อก่อโรคได้หลายแบบ ดังเช่น เชื้อรา แบคทีเรีย ไวรัส ปรสิต และก็ยังมีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด ต่อต้านการก่อยั้งเนื้องอก เป็นยาระบาย ขับฉี่ ลดการอักเสบ แก้ปวดอีกด้วย
แบบ/ขนาดวิธีใช้

อาการท้องผูก ใช้ใบปริมาณ 12-15 ใบย่อย ตากแห้ง คั่ว (ถ้าหากไม่คั่วเสียก่อน จะเกิดอาการข้างเคียง เป็นอาจมีอาการอ้วกอ้วก เมื่อคั่วความร้อนจะช่วยให้สารที่ออกฤทธิ์ทำให้อ้วกอ้วกสลายไป) แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปต้มกับน้ำพอสมควร ดื่มครั้งเดียวก่อนกินอาหารช่วงเช้ามืด หรือก่อนนอน หรือใช้ผงใบ 3-6 กรัม ชงน้ำเดือด 120 มล. เป็นเวลา 10 นาที ดื่มก่อนนอน อาจทำเป็นยาลูกกลอนก็ได้ หรือใช้ช่อดอกสด 1-3 ช่อดอก ลวก จิ้มน้ำพริก หรือใช้ดอก 1 ช่อ รับประทานใหม่ๆเป็นยาระบาย รวมทั้งใช้ใบและก็ก้านขนาดใหญ่ ประมาณ 3-5 ช่อ นำมาต้มกับน้ำประมาณ 2 ขัน(1500 ซี.ซี.) ต้มให้เดือดเหลือน้ำประมาณ 1/2 ขัน ใส่เกลือพอเพียงมีรสเค็มบางส่วน ดื่มวันละ 1 แก้ว (250 ซี.ซี.)ครั้งต่อมา รับประทานดอกครั้งละราว 1 ช่อ
การใช้ชุมเห็ดเทศรักษาขี้กลาก เกลื้อน นำใบสดมาตำให้ถี่ถ้วนใช้ทาบริเวณที่เป็นกลากหรือผื่นคัน หรือบางทีอาจนำใบชุมเห็ดเทศ 3-4 ใบ มาตำอย่างถี่ถ้วนเติมน้ำมะนาวบางส่วน ทาบริเวณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้ง หรือใช้ใบสดขยี้ถูนานๆและบ่อยๆตรงบริเวณที่เป็น
รวมทั้งใช้ใบสด 4-5 ใบ ตำรวมกับกระเทียม 4-5 กลีบ แล้วเพิ่มปูนแดงบางส่วน ทาบริเวณที่เป็นซึ่งได้ใช้ไม้ไผ่บางๆฆ่าเชื้อแล้วขูดผิวบริเวณที่นั้นให้มีสีแดง(กรณีขี้กลาก) ทาวันละ3-4 ครั้ง จวบจนกระทั่งจะหาย รวมทั้งเมื่อหายแล้วให้ทาไปอีก 1 สัปดาห์ หรือจะใช้ใบสดตำแช่เหล้า เอาส่วนสุราทาบริเวณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้ง กระทั่งจะหาย พบว่าได้ผลลัพธ์ที่ดี แต่ว่าไม่ค่อยสำเร็จในขี้กลากที่ผมแล้วก็เล็บ
รักษาฝีแผลพุพอง ใช้ใบชุมเห็ดเทศ 1 กำมือ ต้มกับน้ำพอเพียงท่วม เคี่ยวให้เหลือ 1 ใน 3 เอามาชะล้างฝีที่แตกแล้ว หรือแผลพุพอง วันละ 2 ครั้งเช้า เย็น ถ้าบริเวณที่เป็นกว้างมากมายใช้สมุนไพร 10-12 กำมือ ต้มกับน้ำใช้อาบเช้าเย็น จวบจนกระทั่งจะหาย
ใช้ใบสดตำพอก เพื่อเร่งให้หัวฝีออกเร็วขึ้น หรือจะใช้ใบผสมกับน้ำปูนใสหรือเกลือหรือน้ำมันตำพอก รักษากลาก แมลงสัตว์กัดต่อย โรคผิวหนัง ยิ่งกว่านั้นยังใช้ใบตำพอกหรือคั้นเอาน้ำผสมน้ำปูนใสทาหรือผสมวาสลิน ใช้ทำเป็นยาขี้ผึ้งทาได้อีกด้วย
ส่วนยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติที่แนะนำให้ใช้คือ กินทีละ 1 – 2 ซอง (ใบชุมเห็ดเทศแห้งซองละ 3 กรัม) (3 – 6 กรัม) ชงในน้ำเดือด 120 มล. นาน 10 นาที วันละ 1 ครั้งก่อนนอน บรรเทาท้องผูก
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ สารสกัดจากใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำขนาดเสมอกันผงใบชุมเห็ดเทศแห้ง 5 กรัม/กิโล ทำให้ลำไส้เล็กส่วนปลายของหนูตะเภาหดตัวได้ปริมาณร้อยละ 25 ของฤทธิ์จากฮีสตามีน 1 ไมโครกรัม/มล. สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำขนาดเท่ากันผงใบชุมเห็ดเทศแห้ง 10 และ 20 กรัม/กก. ส่งผลเพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้ของหนูเม้าส์ได้มากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำในขนาด 15 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ทำให้ลำไส้เล็กส่วนปลายของหนูตะเภาหดตัวได้ในหลอดทดสอบ ในช่วงเวลาที่สารกลัยวัวไซด์จากใบชุมเห็ดเทศมีฤทธิ์กระตุ้นกล้ามเรียบในไส้
ฤทธิ์ในการรักษาอาการท้องผูก เมื่อให้สารสกัดจากใบชุมเห็ดเทศแห้งด้วยน้ำร้อนกับหนูแรททางปากในขนาด 500 และก็ 800 มก./กิโลกรัม พบว่ามีฤทธิ์ช่วยระบาย และก็เมื่อให้สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำกับหนูเม้าส์ทางปากในขนาดเท่ากันผงใบชุมเห็ดเทศแห้ง 5, 10 และ 20 กรัม/โล จะทำให้หนูเม้าส์ถ่ายเหลว โดยการให้ในขนาดต่ำ (5 กรัม/โล) จะออกฤทธิ์ช้ากว่าในขนาดสูง (10 และ 20 กรัม/กิโล) สาร anthraquinone glycoside จากใบเป็นต้นว่า isocrysophanol, physcion-l-glycoside, chrysophanol, emodine, rhein, และก็ aloe-emodin มีฤทธิ์เป็นยาถ่าย
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อจุลชีวิน สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำ สารสกัดด้วยเอทานอล สารสกัดด้วยเมทานอล และก็สาร aloe-emodin, rhein emodol, 4,5-dihydroxy-1-hydroxymethylanthrone, 4,5-dihydroxymethylanthraquinone และก็ chrysophanol จากใบชุมเห็ดเทศ มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อราที่ผิวหนังเป็นต้นว่า Epidermophyton floccosum , Microsporium gypseum, Trichophyton rubrum , T. mentagrophytes และ M. canis เมื่อเทียบกับยา tolnaftate สารสกัดด้วยน้ำและก็เอทานอลจากเปลือกต้นชุมเห็ดเทศสามารถยั้งเชื้อยีสต์ Candida albicans ได้ โดยที่ความเข้มข้น 30 ไมโครกรัม/ไมโครลิตร จะได้ผลดีเมื่อเปรียบเทียบกับยา ticonazole 30 ไมโครกรัม/ไมโครลิตร แต่ว่าสารสกัดจากใบด้วยน้ำและก็เอทานอลไม่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อยีสต์ น้ำมันหอมระเหยจากใบชุมเห็ดเทศ สารสกัดจากเปลือกต้นด้วยเมทานอล มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย Bacillus subtilis ในจานเพาะเชื้อได้ปานกลาง สารสกัดด้วยน้ำจากใบชุมเห็ดเทศสามารถยั้งเชื้อ Escherichia coli ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อได้ที่ความเข้มข้นมากยิ่งกว่า 21.8 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร
ผลการวิเคาะห์ทางคลินิก (clinical pharmacology) การเล่าเรียนฤทธิ์สำหรับในการรักษาท้องผูก การเล่าเรียนทางคลินิกแบบสุ่มมีกลุ่มควบคุมระหว่างชงชาชุมเห็ดเทศ มิสท์แอลบา และยาหลอก ในโรงหมอชุมชน 5 ที่ แล้วก็โรงหมอทั่วๆไป 1 แห่ง คนไข้ที่ไม่ขี้ต่อเนื่องกันเกิน 72 ชั่วโมง ปริมาณ 80 ราย แบ่งเป็น 3 กรุ๊ป กรุ๊ปแรก รับยาหลอกเป็นน้ำ เพิ่มสีคาราเมล 120 มิลลิลิตร จำนวน 28 ราย กลุ่มลำดับที่สองรับยามิสท์แอทบา 30 มิลลิลิตร น้ำ 90 มิลลิลิตร จำนวน 28 รายแล้วก็กรุ๊ปที่สามรับน้ำละลายชุมเห็ดเทศ ได้จากการชงผงชุมเห็ดเทศปริมาณ 3-6 กรัม ในถุงกระดาษ แช่ลงไปในน้ำเดือด 120 มล. นาน 10 นาที ปริมาณ 24 ราย คนป่วยทั้ง 3 กรุ๊ปมีลักษณะไม่ได้แตกต่างกัน ได้รับยารับประทานก่อนนอนให้คะแนนจากการอุจจาระไหมอึด้านใน 1 วัน พบว่า ได้ผลอึภายใน 1 วัน จำนวนร้อยละ 18,86 แล้วก็ 83 ตามลำดับ ซึ่งพบว่าผลของกลุ่มชุมเห็ดเทศและมิสท์แอลบาดีกว่ายาหลอกอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติแต่เจออาการท้องร่วงในกรุ๊ปที่ได้รับมิสท์แอลบามากยิ่งกว่า คนป่วยกลุ่มที่ได้รับชุมเห็ดเทศมีความพอใจมากกว่ายาหลอก สรุป ยาชงชุมเห็ดเทศมีคุณภาพที่ดีสำหรับเพื่อการรักษาอาการท้องผูก
ส่วนอีกการทดสอบหนึ่งพบว่าเมื่อผสมผงใบชุมเห็ดเทศในอาหารในขนาดจำนวนร้อยละ 2 รวมทั้ง 10 ของอาหาร แล้วให้หนูแรทกินนาน 4 สัปดาห์ จะพบแผลในลำไส้ ตับ แล้วก็ไต และก็มีระดับฮีโมโกลบินและก็ packed cell volume (PCV) สูงมากขึ้น แต่จำนวนเม็ดเลือดแดงลดลงใน 2 อาทิตย์แรก เมื่อใส่สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยเอทานอลขนาด 100 มิลลิกรัมในน้ำให้หนูแรทรับประทานนาน 14 วัน พบว่าเกิดแผลในตับ เซลล์ตับตายเกลื่อนกลาดเรี่ยราดเรี่ยแล้วก็มีการคั่งของเลือดในเส้นเลือดดำ การฉีดสารemodin และก็ kaemferol ขนาด
10 มิลลิกรัม เข้าช่องท้องหนูแรทต่อเนื่องกัน 14 วัน หรือฉีดสาร aloe-emodin ขนาด 100 มิลลิกรัม สาร rhein ขนาด 70 มก. เข้าท้องนาน 4 วัน พบว่ากำเนิดแผลในตับของหนูทุกกรุ๊ป กลุ่มที่ได้รับ aloe-emodin จะเจอเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลาย หนูทุกกลุ่มหรูหราฮีโมโกลบิน รวมทั้ง PCV น้อยลงข้างใน 14 วัน เมื่อป้อนสารสกัดจากใบด้วยน้ำขนาด 10, 50, 100 รวมทั้ง 250 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ให้หนูแรทนาน 14 วัน จะเจอระดับฮีโมโกลบินรวมทั้ง เม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้น ในเวลาเดียวกันหนูมีลักษณะอาการเบื่อข้าว ซูบซีดและก็น้ำหนักลด
การศึกษาเล่าเรียนในคนไข้ที่เป็นโรคขี้กลากรวมทั้งเกลื้อนสารสกัดจากใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์รวมทั้งครีมชุมเห็ดเทศเข้มข้นร้อยละ 20 สามารถรักษาคนเจ็บโรคกลาก 30 ราย และโรคเกลื้อน 10 ราย ได้ดีเสมอกันกับยาขี้ผึ้ง whitfield แม้กระนั้นไม่มีผลรักษาราที่เล็บและก็หนังหัว ยาเตรียมชุมเห็ดเทศในรูปแบบทิงเจอร์แล้วก็ครีม(ซึ่งมีสารสำคัญ rhein 600 ไมโครกรัม/กรัม) ให้ผลสำหรับในการรักษาคนป่วยโรคกลากโรคเกลื้อนที่ผิวหนังได้เหมือนกันกับยาครีมวัวลไตรมาโซลจำนวนร้อยละ 1 สารสกัดใบชุมเห็ดเทศสดด้วยน้ำ (ใบสด 100 กรัมต่อน้ำ 50 มล.) ความเข้มข้นจำนวนร้อยละ 100 ทาบริเวณแขน แล้วก็ขา หรือความเข้มข้นจำนวนร้อยละ 90 ทาบริเวณคอ รวมทั้งมือ รวมทั้งความเข้มข้นจำนวนร้อยละ 80 ทาบริเวณหน้า วันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน 2 ชั่วโมง ส่งผลรักษาโรคขี้กลากโรคเกลื้อนประเภท Pityraisis versicolor ที่มีต้นเหตุที่เกิดจากเชื้อรา Malassezia furfur ในผู้ป่วยจำนวน200 คนได้
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา การทดสอบความเป็นพิษ การทดสอบความเป็นพิษฉับพลัน พบว่าสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์จำนวนร้อยละ 50 ในขนาด 15 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. ไม่มีพิษเมื่อให้หนูเม้าส์ทางปากและก็ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง แม้กระนั้นมีความเป็นพิษเล็กน้อยเมื่อฉีดเข้าทางช่องท้องหนูเม้าส์ แล้วก็เมื่อฉีดสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์ร้อยละ85 เข้าทางท้องหนูเม้าส์ในขนาด 2 กรัม/กิโลกรัมก็ไม่เจอความเป็นพิษ สารสกัดจากใบด้วยน้ำแล้วก็สารสกัดจากส่วนเหนือดินของชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์จำนวนร้อยละ 50 มีความเป็นพิษปานกลางเมื่อฉีดเข้าทางช่องท้องหนูเม้าส์
โดยขนาดของสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์ร้อยละ 50 ที่ทำให้หนูถีบจักรตายจำนวนร้อยละ 50 (LD50) เป็น ขนาดที่ให้ทางปากรวมทั้งทางผิวหนังมากยิ่งกว่า 15 กรัมต่อกิโลกรัมแล้วก็ทางท้อง 8.03 กรัมต่อกิโลกรัม
การทดลองพิษครึ่งเรื้อรังของผงใบชุมเห็ดเทศในหนูขาววิสตาร์ 4 กรุ๊ป กลุ่มละ 24 ตัว (เพศผู้ 12 ตัว เพศภรรยา 12 ตัว) เป็นกลุ่มควบคุมรวมทั้งกรุ๊ปที่ได้รับยาใช้ภายนอกงปากขนาด 0.03 , 0.15 และก็0.75 กรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน (ซึ่งเปรียบได้กับได้รับ 1 5 แล้วก็ 25 เท่า ของขนาดที่รักษาในคน) ผลเป็น ไม่พบพิษทุกกรุ๊ป มีการเจริญวัยธรรมดาการตรวจทางเลือดวิทยาและวิชาชีวเคมีปกติ ไม่เจอพยาธิสภาพและก็จุลพยาธิวิทยาของอวัยวะภายในที่ไม่ดีเหมือนปกติ
พิษต่อระบบสืบพันธุ์ เมื่อฉีดสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์จำนวนร้อยละ 50 เข้าช่องท้องหนูแรทในขนาด 125 มิลลิกรัม/กิโล ไม่เป็นผลทำให้แท้งและไม่พบพิษต่อตัวอ่อนแม้กระนั้นผลต่อการเปลี่ยนแปลงของรอบเดือนไม่ชัดแจ้ง ส่วนสารสกัดจากใบด้วยน้ำขนาด300ไมโครกรัม/มิลลิลิตร มีฤทธิ์ทำให้มดลูกหนูแรทหดตัวในหลอดทดสอบแล้วก็มีฤทธิ์เสริม oxytocin
พิษต่อเซลล์ การทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์โดยใช้ brine shrimp พบว่าสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำในขนาด 7.74 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ทำให้ brine shrimp ตายไปครึ่งเดียว และสารสกัดนี้มีความเป็นพิษต่อเซลล์ Vero โดยความเข้มข้น 1,414 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ทำให้เซลล์ Vero ตายไปกึ่งหนึ่ง
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยเอทานอล มีผลก่อกลายพันธุ์ในSalmonella typhimurium strain TA98 และพบว่าสารสกัดชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์ มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ S. typhimurium strain TA98 และก็TA100 โดยสำหรับในการออกฤทธิ์อยากได้เอนไซม์จากตับหนูกระตุ้นการออกฤทธิ์
ข้อแนะนำ/ข้อควรตรึกตรอง

1. ระมัดระวังการใช้ในเด็กอายุต่ำลงมากยิ่งกว่า 12 ปี ผู้ป่วย inflammatory bowel disease แล้วก็ภาวการณ์ทางเดินอาหารตัน คนชรา หญิงให้นมบุตร เพราะสารmetabolite บางตัวยกตัวอย่างเช่น rhein ถูกคัดหลั่งทางน้ำนม
2. ควรจะใช้ยาระบายเป็นบางโอกาส ไม่สมควรใช้ติดต่อกัน เพราะว่าสารแอนทราควิโนนในใบชุมเห็ดเทศ มีฤทธิ์ทำให้ไส้บีบตัวและก็ขยับเขยื้อนเร็ว ใช้ติดต่อนานจะทำให้ลำไส้คุ้นชินต่อการใช้ยา ถัดไปถ้าเกิดไม่ใช้จะทำให้ไส้ไม่บีบตัวไม่เคลื่อนไหวเกิดท้องผูกhttps://www.disthai.com/
3. การกินยาในขนาดสูงอาจจะเป็นผลให้กำเนิดไตอักเสบ มีเลือดหรือโปรตีนในฉี่มากยิ่งกว่าธรรมดา
4. การใช้สม่ำเสมอนานๆอาจมีผลลดจำนวนเม็ดเลือดแดง และฮีโมโกลบิตและก็อาจส่งผลให้เกิดแผลที่ตับ
5. การใช้สม่ำเสมอในขนาดสูงนานๆอาจกำเนิดระบบการดูดซึมแตกต่างจากปกติ มีการดูดกลับของเหลวลดลง เกิดภาวะระดับโพเทสเซียมรวมทั้งแคลเซียมในเลือดต่ำ
6. ห้ามใช้ในสตรีมีท้อง
7. การใช้ชุมเห็ดเทศในตอนแรกๆอาจจะส่งผลให้กำเนิดอาการไม่พึงประสงค์ ตัวอย่างเช่น ลักษณะของการปวดมวนท้องเนื่องด้วยการบีบตัวของลำไส้ใหญ่และก็อาจมีอาการคลื่นไส้ ของกินไม่ย่อยรวมทั้งปวดท้องได้
หนังสืออ้างอิง
1. ภก.ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ.ชุมเห็ดไทย/ชุมเห็ดเทศ.คอลัมน์ สมุนไพรน่ารู้.วารสารแพทย์ประชาชน.เล่มที่ 26 .กรกฎาคม .2524
2. ฉัตรโย สวัสดิไชย,สุรศักดิ์ อิ่มใหม่.ชุมเห็ดเทศ.ยาน่ารู้.นิตยสารศูนย์การเรียนรู้แพทยศาสตร์สถานพยาบาล โรงพยาบาลพระปกเกล้า.ปีที่ 34 ฉบับที่4.เดือนตุลาคม-เดือนธันวาคม.2560 หน้า.352-355
3. ดร.วิทย์ เที่ยงตรงบูรณธรรม.“ชุมเห็ดเทศ”. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. หน้า 271-274.
4. เปี่ยม บุณยะโชติ. แบบเรียนโบราณกล่าวถึงโรคเด็กรวมทั้งคุณผู้หญิง. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์เฟื่องอักษร, 2514. หน้า 39.
5. กองศึกษาค้นคว้าด้านการแพทย์. สมุนไพรท้องถิ่น ในตอนที่ 1. กรุงเทพมหานคร: กรมวิทยาศาตร์การแพทย์. กระทรวงสาธารณสุข, 2526. หน้า 34.
6. ดร.นิจศรี เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละระอุปต์. “ชุมเห็ดเทศChumhet Tet)”. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1 หน้า 108.
7. พระเทวดากระจ่างผมจุก. ตำรายากลางบ้าน. จ.กรุงเทพฯ: สถานที่พิมพ์มงกุฏราชวิทยาลัย, 2524. หน้า 140.
8. ชุมเห็ดเทศ.ฐานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
9. วิทยา บุญวรพัฒน์. “ชุมเห็ดเทศ”. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีนที่ใช้บ่อยครั้งในประเทศไทย. หน้า 208.
10. เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ กำเนิดดอนแฝก. “ชุมเห็ดเทศ”. หนังสือสมุนไพรบำบัดรักษาโรคเบาหวาน 150 ประเภท. หน้า 74-75.
11. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ชุมเห็ดเทศ Ringworm Bush”. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. หน้า 75.
12. ชุมเห็ดเทศ.ฐานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ม.อบ..
13. คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา. บัญชียาจากสมุนไพร พุทธศักราช 2549 ตามประกาศคณะกรรมการแห่งชาติด้านยา (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2549 เรื่องบัญชียาหลักแห่งชาติพ.ศ. 2547 (ฉบับที่ 4). จ.กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ประชุมสหกรณ์การกสิกรรมที่ประเทศไทยจำกัด, 2549
14. วันดี กฤษณพันธ์ แม้สรวง วุฒิอุดมเลิศเลอ มัลลิกา สามเดชะ สุภาวี อาชวาคม. การศึกษาเล่าเรียนฤทธิ์ต่อต้านเชื้อราของสารแอนทราควิโนนจากใบชุมเห็ดเทศ. การสัมมนาวิชาการวิทยาศาสตร์รวมทั้งเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 24, 19-21 ต.ค. ณ. ศูนย์สัมมนาแห่งชาติสิริกิตติ์ กรุงเทพฯ, 2541.
15. Harrison J, Garro CV. Study on anthraquinone derivatives from Cassia alata L. (Leguminosae). Rev Peru Bioquim 1977;(1):31-2.
16. จินตนา สุทธชนาความรื่นเริง และก็ภาควิชา. ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อราของใบชุมเห็ดเทศ. รวมข้อสรุปย่องานค้นคว้าวิจัยการแพทย์แผนไทยและแนวทางการศึกษาเรียนรู้ในอนาคต สถาบันการแพทย์แผนไทย, 2543.
17. Akah PA. Abortifacient activity of some Nigerian medicinal plants. Phytother Res 1994;8(2):106-8.
18. Plengvidhya P, Suvagondha C. A study of diagnostic contents of leaves of some members in genus Cassia. J Pharm Assoc Siam, Third series 1957;10(1):10-2.
19. เกษร นันทจิต. ฤทธิ์ต้านทานจุลชีวันของใบชุมเห็ดเทศ (Cassia alata Linn.). รายงานการวิจัย ที่ทำการคณะกรรมการศึกษาค้นคว้าแห่งชาติ, 2538.
20. เสาวลักษณ์ พงษ์ไพจิตร. ฤทธิ์ต่อต้านจุลชีวันของสารสกัดจากพืชสกุล Cassia sp. รายงานการวิจัย ที่ทำการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, 2543.
21. Thamlikitkul V, Dechatiwonges T, Chantrakul C, et al. Randomized controlled trial of Cassia Alata Linn. for constipation. J Med Assoc Thai 1990;73(4):217-21.
22. Mokkhasmit M, Swatdimongkol K, Satrawaha P. Study on toxicity of Thai medicinal plants. Bull Dept Med Sci 1971;12(2/4):36-65.
23. Rao JVLN, Sastry PSR, Poa RVK, Vimaladevi M. Occurrence of kaempferol and aloe-emodin in the leaves of Cassia alata. Curr Sci 1975;44(20):736-7.
24. นาถฤดี สิทธิสมสกุล ทรงพล ชีวะพัฒน์ เอมมนัส หวังหมัด สุบุตรี ไชยราช พัชรินทร์ รักษามั่น จรินทร์ จันทรฉายะ. พิษของใบชุมเห็ดเทศ. วารสารกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์2534;33(4):145-54.
25. Somchit MN, Reezal I, Nur IE, Mutalib AR. In

5
อื่น ๆ / บุก รูปแบบของยี่เข่งต้นยี่เข่ง
« เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2018, 12:37:00 PM »

บุก ลักษณะของยี่เข่งต้นยี่เข่ง ฯลฯไม้ขนาดเล็กหรือไม้พุ่มขนาดใหญ่ สูงโดยประมาณ 3-7 เมตร ขนาดของพุ่มไม้จะกว้างราว 2-4 เมตร มีเปลือกลำต้นเรียบ สีน้ำตาลวาว มีสะเก็ดขาวลอกเป็นแผ่นerg ส่วนของผลยี่เข่rthtyjujyklio;งมีลักษณะสำเร็จแห้งแตuiliuluiio;op' เปลือกแข็iul รูปถ้วย มีบุกเม็ดจำนวนไม่'op'ใช่น้อยยี่เข่งต้นยี่เข่งuilใบยี่เข่ง ใบเป็นใบเดี่ยวสีเขียว uilลักษณะใบคล้ายรูปไopข่' โคนใบจะtyjtyjtyopมน ปลopายใบแหล'op'ม ขอบของใบจะเรียบ ผิวใบจะมีขนสาiliuol;io;กมือบางส่วน โดยขนio;าดความกว้างของใบuilราวๆ 0.5-uil1.5 นิ้ว รวมทั้งrehtrยาวประมาณ 1-3 นิ้วคุio;ณประโยชน์ขioอ;งยี่เข่งดอกยี่เข่ง จะมีดอกเป็นช่อๆที่ปyukลายกิ่ง ข้างล่างของดอกจะมีลักษณะเป็นเส้นกลมเiulล็กๆส่วนบนจะบานแผ่ขยาiยioออกเป็นกลีบกลมขอบหยิกๆมีjytjรอยย่นยับ มีกลีบราวๆ 6 กลีบ มีเกสรyukyukกลาง|กึ่งกลาง}ดอกปลายเป็นตุ้มuilสีเหลืองuilสด เมื่อดอiliulบานuilเต็มที่จะกว้างโดยประมาณ 1.5 นิ้ว ส่วนสีของดอกก็uilสีขาว สีiuม่วง สีชมพู สีชมพูเข้มuillคล้ายสีบาluiนเย็น และสีแดงiส่วนมากแล้วuilเราจะมองเห็นดอกยี่เข่งในช่วงเดือuiนสิงหาคuilมถึงตุลาคมยี่เข่งuilดงuiดอกยี่เข่งยี่เข่งขาวความuilแตกต่างระหว่างต้นยี่เข่งกับต้นตะแบก บางคนบางทีอาจจะงงได้ไพเราะเพราะiuluiพริ้งดอกuiluilของuilทั้งสองต้นนี้จะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันมากมาย แม้จะแยกiulให้ออกจำต้องพินิจบุกรูปแบuiบของyukyลำต้นiu ซึ่งต้yukนยี่เข่งจะแตlกกิ่งก้าuiนขึ้นไปเป็นพุ่มไukyuม้อยู่ด้านบนของต้น รวมทั้งต้นจะไม่สูงเท่าไรนัก kyuส่วนต้นตะแบกนั้นจyukะเป็นuykyukyuม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ลำต้นจะเป็นลำyukเดี่ยว ตั้งตรง มีขนาดใหญ่ รวมทั้งมีขนาดuilerhtrtjhtyกิ่งก้านที่เล็กมากยิ่งกว่า !คุณประโยช์จากยี่เข่งเปลือกtyนยี่เข่งใช้เป็นยาลดไข้ได้ (เปลือกต้น)ช่วยให้{เลือดไหลเวียน|โลหิตไหลเวียนyukได้kyuสะดวกขึ้น (ราก)ช่yukวยแก้ลักษณะของกgerารปวดฟัน ด้วยการใช้รากยี่เข่งผสมกัtykuykบเนื้อหมูต้uiมกับkjtyjน้ำกิน (ราก)เปลือกต้นยี่เข่งมีฤทธิ์เป็yukyukนยากระตุ้นกระเyukyพาะ ส่วนต้นและก็ใบจะมีฤทธิ์สำหรับเพื่อการgerยั้ง (เปลืyukอกต้นjytk)ช่วยแก้บิด tyweจะใช้ใบหรือรากยี่เข่งก็ได้นำมาต้มกับน้ำกิน (ใบyuk, ราก)ช่วยแก้โรคหนองใน ด้วyukยกาyukyuรใช้ดอกแห้งyuk 3-10 กรัม หรือจะใช้ดอกสด 15-30 กรัมต้มกับน้ำใช้ชะล้kyukางkyukyuk (ดอกยี่เข่ง)ช่วยแก้อyukรตgerกเลือดข้างหลังคลอดลูก ด้วยการใช้ดอกยี่เข่yuktyufjงสดต้มกับน้ำดื่มอีกทั้งกาก (ดอกยี่เข่ง)บุกช่วยแก้ผื่นผื่นคัน ด้วยการกางใบสดเอามาyukyuukต้มกับน้ำแล้วก็ใช้ล้าง หรือถ้าไม่อย่างนั้นก็อาจจะนำมาตำแล้วพอกบริเyukวณที่เป็นก็ได้yuk (ใบ)ช่วยรักษาบาดแผลสด ด้วyukยการกางใบที่ตากแห้งแล้วเอามาบดเป็นผง แล้วเอามาโรยบริเวณukบาดแผล (ใบ)ช่วยรักษาแผลฝี แผลหนองที่หนังศีรษะ กลากโรคเกลื้อน ด้วยการใช้ดอกหรือรากแห้ง 3-10 กรัม หรือจะดอกสดหรือรากสดราtyjว 15-30 กรัมก็ได้ นำมาkyบดผสมกับน้ำส้มสายชูแล้วทาบริเวณที่เป็น หรือdjจะนำไปต้มกับน้ำใช้ชะyuyukล้างหรือรับประทานก็ได้บุก (ดอกยี่เข่kyuง, ราก)พวกเรานิยมปลูกต้นยี่เข่งไyukว้เป็นไม้ประดับในtytyjบ้ukานหรือในสวน หรือจะปลูกเป็นแนวรั้วเขตข้างทาง เพราะเหตุว่าให้ดอกสีชมพูสีสันผ่องใส อึด ทนแล้ง และดูแลไม่ยาก (ต้นยี่เข่ง)

6

ดาวเรือง การปลูกผักแพวผักแพวเป็นพืชที่ชอบดินที่มีความชื้นสูงheh สามารถปลูก และก็เพาะพันธุ์ด้วยการปักชำลำต้น การขยายเหง้า รวมทั้งการโปรยเม็ด แม้กระนั้นที่นิยม'op'จyjะใช้วิธีปักชำต้น ดาวเรืองหรือ แยกเหง้าปrthjลูกegการเตรียมดิน แลentymopหลังบ้านหรือพื้นที่ว่างที่อ'opกจะ'opชื้น การเตรียมดินด้วยการลูopกพรวนดิน แล้วก็กำจัดวัชพืชออกให้หมด ต่อไป ค่อยนำลำต้loi;นที่เด็ดได้จา'opกกอหioรือขุดเหง้ามาลงปลูก ระยะห่างลำต้น 5-10 ซม. ถ้าเกิดเป็ykulio;ylkulนเหง้าจะใช้เหง้า 3-5 ต้น ปลูกsehop'ytjtลงแปลง ระยะห่างของเหง้าราว'op 10-15ดาวเรือง เซนติเมตรในการปลูกด้วยop'opชำลำต้น เกษตรกรจะใช้io;เคล็ดวิธีเร่งให้แ'op'รากก่อน และก็หลังจากนั้นจึงค่อยนำลงปลูกลงดิน โดยใช้วิธีนำกอผักแพวio;ที่ตัดจากแปaoi;gลงมาแช่น้ำ โดยแช่ลงไปใyukนน้ำให้ท่วมลำต้นโดยประมาณ 2-3 ข้ดาวเรืองอ ซึ่งแช่'op'ไว้ราว 3 วัน tkyลำต้นจะเริ่มแตกรากสีขาวอrthtyjกบริเวณข้อ ต่อไป นำปลูกลงดินได้กาdfhbfrjyukรดูแลรักylษาผักแพวไม่ยุงยากyulyilมาก เพียงแต่จะต้องคอยรดio;ioน้ำให้เปียกเสมอเพียงแค่นั้น และอio;าจใส่ปุ๋ยคอกหรื'อปุ๋ยเคมีร่วมด้วย ปุ๋ยเค'opมีที่op'ใช้จะย้ำเรื่'op'pองio;;การบำรุงใ'opบ และก็ลำต้น โดยใช้สูตร 'po24-8-'8 io;หรือใช้ปุ๋ยยูเรียารเก็บผักแพวผักแพวที่ปลูกใหม่จะเริ่มแกเหง้าที่'opป็นลำต้นใหม่หลังปลูกประมาณ 1 เดือน แล้วก็สามารถเริ่มเก็บยอ'opดได้ประมาณเดือนที่ 3 ซึ่งการเก็บpoยอดอาจใช้มีดตัดหรือใช้มือเด็ด ความย'opาวที่เด็ดราว 15-2'po0 เซนติเมตร โดยให้'opเหลือลำต้นไว้jytruilkสำหรับแตกเหง้าใหม่ใบใบผักแพวเป็นuilใบผู้เดียว'po' แตกออกบริเวณข้อของลำต้'opนดาวเรือง โยมีกาบที่ต่อกับก้านใบห่อหุ้มเหio;นือรอบๆข้อ ก้านใบมีหูใpo'opบอีกทั้ง 2 ข้'poาง รวมทั้งสั้นประมาณpo' 0.5-1 เซนติเมตร ใบมีลักษณะเรียวยาว โคนใบแคบ กลางใบกว้าง และก็ปลายใบแหลม ใบยาวโดยประiuoมาณ 7-10 เซนติเมตร กว้างสุดรอบๆกึ่งกลางใบราวๆ 1.5-2.5 เ'opซนติเมตร และหลังจากนั้นก็ค่io;อยแจ่มกระจ่าง opและก็มีเส้นใบแตกย่อ'opยเรียงเยื้องกันออกด้านข้างดอกดอกผักแพวออกเป็นช่อบ'poริเวณส่วนยอดของลำต้น ดอกมีขนาดเล็ก ดอกตูมมีสีม่วงแดง ดอกข้างหลังบานใหม่ๆจะมีสีขาวอมม่วง ดอกบานสุดกำลังจะมีสีขาว

Tags : ดาวเรือง

7

ถั่งเช่าบำรุงฮอร์โมน คู่สมรส อารมณ์จิตใจทางเพศเสื่อม
 พ.ค. 12, 2016  kungtep
ถั่งเช่าบำรุงทางเพศ ช่วยสร้างเสริมให้ชีวิตแต่งงานสดชื่น เพิ่มบำรุงฮอร์โมนให้กับหญิงชาย ผัวเมียรสรักชีวิตครอบครัวเสื่อม เป็นสัญาณอันตรายครอบครัวอาจแตกแยกได้ เพราะกิจกรรมทางเพศหมดไป
อย่าพูดว่าคุณกำลังเบื่อเซ็กส์ สัญญาณอันตรายข้างหลังชีวิตสมรส หญิงที่มีลูกแล้ว จำเป็นต้องคงความสาวหลังคลอด
ฮอร์โมนผู้หญิงเปลี่ยนครั้งใหญ่ จะเกิดภายหลังมีลูก เป็นต้นว่า รูปร่างเปลี่ยนแปลง อารมณ์ จิตใจอันเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากฮอร์โมนเพศเปลี่ยนแปลง มีความรู้สึกวิตก กังวล เครียด กลุ่มนี้ล้วนส่งผลไปถึงความรู้สึกทางเพศที่หาย ไม่ได้อยากยุ่งกับผัว บางทีอาจถึงกับขนาดเหนื่อยหน่ายการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งหมายถึงสัญญาณที่ไม่ดี เนื่องจากว่ามีสิทธิที่สามีจะหันไปหาสิ่งชดเชยนอกบ้านได้
หญิงจำต้องพากเพียรทำให้ทุกๆอย่างเหมือนเดิม ไม่ว่าจะมีความสุขภาพกาย แล้วก็สรีระร่างกาย อาจจะความสาว ชะลอความแก่ ขอเสนอแนะสมุนไพรยาจีน ถั่งเช่า ทิเบต หญ้าหนอนสีทองคำไว้บำรุงตัวเองเป็นประจำอย่าให้ขาด ยิ่งอายุมาก ยิ่งจะต้องดูแลตนเอง
ถั่งเช่าทิเบตบำรุงฮอร์โมน
ถั่งเช่าบำรุงฮอร์โมน หญิง-ผู้ชาย
ต้นถั่งเช่าทิเบต หญ้าหนอนสีทองคำชะลอความแก่ได้
ด้วยเหตุว่ามีสารช่วยทำให้ปรับสมดุลของระดับฮอร์โมน คนเราแก่ง่ายเพราะเหตุว่าฮอร์โมนหมด แต่ถ้าเกิดพวกเรารับประทานถั่งเช่าทิเบตตลอดเสมอๆ จะสามารถรักษาระดับฮอร์โมน จึงคงความสาวไว้ได้
อารมณ์ ความรู้สึก การแสดงออกของสตรีหลังจากการคลอดลูก จะไม่เหมือนเดิม ซึ่งเกี่ยวพันกับฮอร์โมนเพศเหมือนกัน ความอารมณ์เสีย หมดอารมณ์ทางเพศ เบื่อเซ็กส์ มีเหตุมาจากต้นเหตุเพราะเหตุว่าขาดฮอร์โมนเพศ การรับประทานถั่งเช่า ต้นหญ้าหนอนสีทองคำ จึงมีส่วนช่วยให้คลายความรำคาญลง มีอมรมณ์ทางเพศเพิ่มขึ้น รู้สึกกระชุ่มกระชวย พอใจกับการมีเซ็กส์มากขึ้นเรื่อยๆ

คุณประโยชน์ถั่งเช่าทิเบตต่อต้านโรคภูมิแพ้
ถั่งเช่าประเทศทิเบต หญ้าหนอนสีทองคำ ยังมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงร่างกายให้แข็งแรง มีภูมิคุ้มกันโรคภูมิแพ้ กินเป็นประจำก็เลยไม่ต้องกลัวเรื่องป่วยป่วยไข้ ไม่ต้องหาหมอให้ท้อแท้ และก็สำหรับสตรีที่ผ่านชีวิตของการการมีคู่ครองมานาน ไม่ว่าจะผ่านการมีลูกสักกี่คน ก็จะยังคงมัดจิตใจสามีได้ราวกับตอนแต่งงานใหม่ๆยังไม่สายหากท่านจะเลือกถั่งเช่าทิเบต หญ้าหนอนสีทองคำไว้ประจำบ้าน กินกันได้ทั้งบ้าน ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งผู้ใหญ่ หากให้สามีรับประทานครึกครื้นตลอด เพราะมีสารเพิ่มฮอร์โมนหญิงและชาย
วิธีสำหรับการเลือกซื้อถั่งเช่า ขอชี้แนะให้เลือกผู้ผลิต รวมทั้งยี่ห้อแบรนด์ที่มีคุณภาพ การพิเคราะห์ผู้สร้างและตราเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อมั่นใจว่าจะได้รับสินค้าที่ดี 100% เพราะเหตุว่าปัจจุบันนี้ มีคนขายหญ้าหนอนสีทองคำจำนวนมาก ซึ่งมีถั่งเช่าทิเบตสังเคราะห์รวมทั้งเพาะเลี้ยง ซึ่งหากเป็นถั่งเช่าสังเคราะห์จะมีฤทธิ์ทางยาน้อย  อีกทั้งกรรมวิธีการผลิตเป็นแคปซูลจำหน่ายแก่คนซื้อยังมีการปนสารอื่นๆถ้าเกิดซื้อมารับประทานจะมิได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง
ต้องการสั่งซื้อถั่งเช่า ยี่ห้อไหนดี คุณภาพมาตรฐานดีไหม
ท่านสามารถติดต่อสอบถามถึงที่กะไว้ เชียงดาว เนพบร์ฟูด ซึ่งเป็นฟาร์มเพาะเลี้ยงของโรงงานแม่คำป้อ ยารักษาโรค ท่านจะได้รับถั่งเช่าคุณภาพดี คุณภาพดีที่เชื่อถือได้ว่า สินค้าจากฟาร์มมีความบริสุทธิ์100% ไม่มีสิ่งแปลกปลอม

Tags : ถั่งเช่า,ถั่งเช่าทิเบต

8
ถั่งเช่าบำรุงไตฟื้นฟูเซลล์ ลดการเมื่อยล้าของคนเป็น”โรคไต”
 พ.ค. 3, 2018  kungtep
“โรคไต” เกิดเรื่องใหญ่ อย่าปล่อยให้ความสามารถไตเสื่อม มีผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อย ไม่สนใจเรื่องดูแลบำรุงไตของตน โรคไตเสื่อมเป็นแล้วอันตราย มีลักษณะอาการอ่อนแรง ไม่มีเรี่ยวแรง ร่างกายบวมน้ำ บำรุงไตฟื้นฟูเซลล์ ถั่งเช่าป้องกันได้

“ถั่งเช่าประเทศทิเบต” คุ้มครองโรคไตเสื่อม เพิ่มความสามารถไต
ถั่งเช่าบำรุงไต
อาการป่วยโรคไต คุณมีลักษณะอาการพวกนี้บ้างหรือไม่ เยี่ยวเปลี่ยนไปจากปกติ ฉี่น้อยหรือฉี่ไม่มีเลย สีขุ่นเข้ม เป็นฟอง  บางครั้งมีเลือดออกปนมาด้วย มีกลิ่นเปลี่ยนไปจากปกติ เมื่อยล้าง่าย ตื่นรุ่งเช้ามาอ่อนแรง ไม่สดชื่น ทานอาหารไม่อร่อย เบื่อเพราะว่ารู้สึกมีรสชาติที่แปลก  อ้วก อ้วกโน่นเป็นเพราะมีต้นเหตุที่เกิดจากผลที่ไตสะสมของเสียเอาไว้ในร่างกาย ไตไม่สามารถขับน้ำออกได้กำเนิดน้ำมาก ปลดปล่อยนานวันไปจะก่อให้ตัวบวม  งงงวย รวมทั้งโคม่า จนถึงขั้นไตวาย  หนำซ้ำยาแผนปัจจุบันกลับยิ่งเป็นภาระหน้าที่หนักกับไตด้วยเหตุว่าไตจะต้องขับยาทิ้งออก ไตเป็นอวัยวะที่ฟื้นฟูด้วยตนเองไม่ได้ ให้ถั่งเช่าบำรุงไตช่วยดูแลเป็นอีกโอกาสหนึ่งก่อนที่จะไตจะเสื่อมจนถึงสายเหลือเกิน
ถั่งเช่าประเทศทิเบต คุณประโยชน์ดีต่อ”ไต”
ไต อวัยวะที่มีบทบาทคอยขับของเสีย ปฏิบัติภารกิจกรองเลือดตามธรรมชาติ นานวันเข้าไตอาจขาดตกบกพร่อง เสื่อม เป็นแล้วอาจจะต้องถูไต ทรมาทรกรรมร่างกาย เจ็บตัวแถมยังมีค่ารักษาที่แพงใช้เงินสำหรับในการรักษามาก ไตเสื่อมเป็นโรคที่น่าสะพรึงกลัว ในช่วงแรกจะไม่มีอาการ นานวันเกิดความเสียหายมากเข้า จึงมีอาการ เมื่อนั้นหมอที่ไหนก็จะรักษาไม่ได้
ถั่งเช่าไตแข็งแรง
ถั่งเช่าเสริมไตแข็งแรง
“ถั่งเช่าทิเบต”ลู่ทางของคนป่วยโรคไต
ถั่งเช่าบำรุงไต โอกาสที่ดีอีกทางหนึ่ง ถั่งเช่าสมุนไพรมากมายด้วยผลดีและก็สรรพคุณ ที่เป็นเลิศจนได้สมญาว่าเป็น ราชาที่สมุนไพรจีนช่วยเลี้ยงดูไตแล้วก็ส่วนต่างๆของร่างกาย อย่าปลดปล่อยไม่เอาใจใส่ให้เป็นหนัก ซึ่งบางท่านเป็นแล้วอาจจำต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อฟอกไตถึงอาทิตย์ละ 3 ครั้งกันเลยก็มี

สรรพคุณของถั่งเช่าที่จะช่วยบำรุงไต
เป็นเบาหวาน มีน้ำตาลในเลือดสูง ถั่งเช่าจะไปช่วยลดรวมทั้งควบคุมน้ำตาลกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ทำให้คุมน้ำตาลในเลือดได้
การเป็นความดันเลือดสูง ยิ่งมีความดันสูงมากจะยิ่งทำให้เส้นโลหิตในไตเสื่อม เมื่อเส้นเลือดเสื่อมยิ่งไปกีดกั้นเลือดที่จะเข้าไปฟอกไต ความดันจะยิ่งเพิ่มสูง เป็นวงจรนานวันเข้าไตก็จะดำเนินงานไม่ไหว
ถั่งเช่าทิเบตจะช่วย ลดไขมันในเลือดลดคลอเรสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ช่วยทำให้ไขมันไม่ตันในเส้นโลหิตช่วยลดความเข้มข้นของเลือด ทำให้โลหิตไหลเวียนไปสู่ไตได้ดิบได้ดี ทั้งยังช่วยเพิ่มออกสิเจน ทำให้ไตขับของเสียออกได้
ฟื้นฟูร่างกายหลังนอนน้อย หรือเจ็บป่วย เหนื่อยล้า หลังตื่นนอนจะไม่อ่อนเพลียช่วยให้แจ่มใสแข็งแรง
ปรับปรุงแก้ไขซ่อนแซมและก็ฟื้นฟูการทำงานของไตสำหรับผู้ป่วยโรคไตจำพวกเรื้อรังให้กลับมาดีขึ้น ลดจำนวนครั้งของการขัดไต
เพิ่มความกำหนัด บำรุงฮอร์โมน
นอนสนิท นอนหลับลึก นอนสบาย
ถั่งเช่ารักษาไต บำรุงไต
ถั่งเช่ารักษาไต บำรุงไต
อย่าทำให้สมรรถนะลักษณะการทำงานของไตเสื่อม คุ้มครองป้องกันด้วย”ถั่งเช่าประเทศทิเบต”
พอใจถั่งเช่าบำรุงไต ฟื้นฟูร่างกายทุกส่วน
เพื่อสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงของท่าน รีบไปพบมารับประทาน ซึ่งมีขายอยู่หลายยี่ห้อ แม้กระนั้นเวลาเลือกซื้อถั่งเช่า คุณจำเป็นต้องเลือกที่มีทะเบียนยารวมทั้ง(อย) ซึ่งนั้นบ่งบอกถึงความปลอดภัยกับร่างกาย ถ้าเกิดสนใจถั่งเช่าทิเบตราคาขายส่ง ผลิตโดยโรงงานมาตรฐาน GMP เชียงดาวเนพบร์ ฟูด โทรสอบถามฝ่ายขายได้
ข้อมูลอื่นๆสินค้าถั่งเช่าทิเบต

Tags : ถั่งเช่า,ถั่งเช่าทิเบต

9

บัวบก
ใบบัวบก เป็นพืชสมุนไพรที่เจริญเติบโตในแถบประเทศอินเดีย แอฟริกา รวมทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ใบและก็ลำต้นนำมาใช้เป็นยารักษาโรคตามหมอแผนโบราณของประเทศอินเดียแล้วก็จีนมาอย่างนาน ใช้รักษาหลายโรค อาทิเช่น โรคซิฟิลิส โรคหอบหืด หรือโรคสะเก็ดเงิน และยังนำมาประกอบอาหารได้อีกด้วย
ใบบัวบก
ใบบัวบกประกอบด้วยสารออกฤทธิ์หลักที่มีคุณประโยชน์ต่อสถาพทางร่างกายอยู่หลายชนิด ยกตัวอย่างเช่น ซาโปนิน (Saponin) หรือสามเทอร์พีนอยด์ (Triterpenoids) ทวีปเอเชียตำหนิวัวไซด์ (Asiaticoside) กรดเอเชียติเตียนก (Asiatic Acid) มาเดแคสโซไซด์ (Madecassoside) และกรดมาดีคาสสิค (Madecassic Acid) จึงทำให้ประยุกต์ใช้ในทางการแพทย์ โดยเชื่อว่ามีคุณประโยชน์หลายอย่าง ได้แก่ บรรเทาอาการอักเสบ แม้ใช้กินอาจมีคุณสมบัติช่วยลดระดับความดันเลือดในหลอดโลหิตดำ และประยุกต์ใช้รักษาโรคหรืออาการที่มีต้นเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือปรสิตต่างๆได้แก่ หวัด ไข้หวัดใหญ่ การติดเชื้อที่ระบบทางเดินเยี่ยว โรคงูสวัด โรคเรื้อน อหิวาตกโรค โรคบิด โรคเท้าช้าง วัณโรค โรคพยาธิใบไม้ในเลือด ฯลฯ ยิ่งกว่านั้น ยังมีความเชื่อว่าหากใช้ใบบัวบกทาที่ผิวหนังบางทีอาจช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการสมานบาดแผล ลดลางเลือนรอยแผลเป็น รวมถึงปัญหาท้องลายที่มีเหตุที่เกิดจากการมีท้อง แต่สิ่งพิสูจน์หรือหลักฐานทางการแพทย์มีมากน้อยมีมากน้อยเท่าใดที่จะช่วยรับรองความศรัทธา สรรพคุณ รวมทั้งความปลอดภัยของใบบัวบกในการรักษาโรคพวกนี้
การรักษาด้วยใบบัวบกที่อาจเห็นผล
เส้นโลหิตขอด มีการเล่าเรียนชิ้นหนึ่งกล่าวว่าใบบัวบกอาจมีส่วนช่วยบำรุงรวมทั้งสร้างสมดุลในการเติบโตของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective Tissues) เพิ่มความแข็งแรงให้กับเส้นโลหิต ส่งผลต่อความดันในเส้นเลือดฝอยและเส้นเลือดขอด ลดอัตราการกรองของเส้นเลือดฝอยโดยปรับแต่งการไหลเวียนของเลือด นอกนั้น ยังมีการศึกษาโดยการทบทวนงานค้นคว้าที่เกี่ยวข้อง 8 ชิ้นเกี่ยวกับการรักษาโดยใช้สารสกัดจากใบบัวบกในคนเจ็บที่มีปัญหาเส้นเลือดขอดเรื้อรัง พบว่าอาการปวดขา ขาหนัก และอาการบวมน้ำทุเลาลงอย่างมีนัยสำคัญ ถึงแม้สารสกัดจากใบบัวบกอาจช่วยทุเลาอาการผู้เจ็บป่วยเส้นเลือดขอดเรื้อรังลงได้ แต่ว่าจากงานวิจัยกล่าวว่าบทสรุปข้างต้นจำเป็นต้องแปลความด้วยความระวังเพราะข้อกำหนดต่างๆของงานศึกษาค้นคว้าและการวิจัย แล้วก็ยังจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มอีกเพื่อหาหลักฐานที่มีความถูกต้องแน่ใจและก็มีคุณภาพมากพอสำหรับการประเมินคุณภาพการรักษาโดยใช้สารสกัดจากใบบัวบก
การดูแลรักษาด้วยใบบัวบกที่เป็นไปได้ แม้กระนั้นยังมีหลักฐานสนับสนุนไม่เพียงพอ
โรคเส้นเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) ใบบัวบกบางทีอาจช่วยในการลดปริมาณไขมันในเส้นเลือดได้ จากการศึกษาเล่าเรียนชิ้นหนึ่งโดยให้อาสาสมัครโรคเส้นโลหิตแดงแข็งที่ไม่ออกอาการกลุ่มหนึ่งรับประทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบบัวบกตรงเวลา 6 เดือน รวมทั้งอีกกลุ่มไม่รับประทาน แล้วตรวจหาความหนาแน่นของไขมันหรือพลัค (Plagues) ที่เกาะอยู่ตามเยื่อบุของเส้นโลหิต พบว่า ระดับคอเลสเตอรอลของอาสาสมัครอีกทั้ง 2 กรุ๊ปไม่ต่างกัน แต่ในกลุ่มที่รับประทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบบัวบกพบว่า อนุมูลอิสระในเลือดลดลง ปริมาณไขมันหรือพลัคที่เส้นโลหิตแดงใหญ่ที่คอและขาลดลง รวมถึงรูปแบบของพลัคทั้งความดกแล้วก็ความยาวก็ต่ำลงด้วยเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังไม่เจออาการที่ไม่ปรารถนา สามารถทนต่ออาการใกล้กันได้ รวมทั้งมีการบันทึกผลของการตรวจเลือดเสมอๆ เหตุเพราะหลักฐานส่งเสริมคุณลักษณะของใบบัวบกต่อโรคหลอดเลือดแดงแข็งยังไม่พอ ก็เลยจำเป็นต้องศึกษาต่อไป
คุ้มครองปกป้องลิ่มเลือด การรับประทานใบบัวบกอาจช่วยป้องกันการเกิดลิ่มเลือดที่ขาซึ่งมีต้นเหตุที่เกิดจากการโดยสารเรือบินเป็นระยะเวลานาน จากหลักฐานที่ได้รับการพัฒนาแนะนำว่าใบบัวบกบางทีอาจช่วยลดของเหลวรวมทั้งเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตในคนที่ขึ้นรถเครื่องบินติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า 3 ชั่วโมง แม้กระนั้น ยังไม่เป็นที่ชัดแจ้งว่าการศึกษาชิ้นนี้จะหมายคือการลดการสะสมของลิ่มเลือด เนื่องจากว่าหลักฐานสนับสนุนคุณสมบัติของใบบัวบกต่อการปกป้องคุ้มครองลิ่มเลือดยังน้อยเกินไป จึงต้องศึกษาต่อไป
กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ในผู้ป่วยเบาหวาน งานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยหนึ่งให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีปัญหาเกี่ยวกับเส้นเลือดฝอยปริมาณ 50 คน กินสารสกัดจากใบบัวบกซึ่งมีสารสามเทอร์พีนอยด์เป็นสาระสำคัญ ขนาด 60 มิลลิกรัม 2 ครั้งต่อวันตรงเวลา 6 เดือน เปรียบเทียบกับกลุ่มที่กินยาหลอก พบว่าสารตรีเทอร์พีนอยด์ของใบบัวบกมีประโยชน์ต่อการไหลเวียนของโลหิตในหลอดเลือดฝอยของผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวาน แต่หลักฐานเกื้อหนุนคุณลักษณะของใบบัวบกต่อการไหลเวียนเลือดยังไม่เพียงพอ ก็เลยจึงควรศึกษาต่อไป
แผลเบาหวาน มีการทำการศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพรวมทั้งผลข้างเคียงของการกินสารสกัดจากใบบัวบกต่อแผลเบาหวาน โดยแบ่งผู้เจ็บป่วยเบาหวานจำนวน 200 คนออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มหนึ่งกินสารทวีปเอเชียติวัวไซด์ซึ่งเป็นสกัดจากใบบัวบกขนาด 50 มิลลิกรัม รวมทั้งอีกกลุ่มรับประทานยาหลอกปริมาณ 2 แคปซูลข้างหลังมื้อของกินวันละ 3 ครั้ง และก็มีการประมวลผลทุก 7 วัน พบว่าแผลของผู้ป่วยที่รับประทานสารสกัดจากใบบัวบกมีการหดรั้ง (Wound Contraction) ที่ดีกว่าและไม่พบผลกระทบ หรือพูดได้ว่าสารสกัดจากใบบัวบกอาจมีประสิทธิภาพสำหรับในการรักษาแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้น และสามารถใช้ได้โดยสวัสดิภาพโดยไม่เกิดผลข้างเคียง แต่ว่าเนื่องด้วยหลักฐานส่งเสริมคุณสมบัติของใบบัวบกต่อการดูแลและรักษาแผลโรคเบาหวานยังไม่เพียงพอ จึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาต่อไป
แผล สารออกฤทธิ์ของใบบัวบก ดังเช่น ทวีปเอเชียติโคไซด์ กรดทวีปเอเชียติก มาเดแคสโซไซด์ และกรดมาดีค้างสสิค เป็นสารช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในร่างกายและอาจมีความสามารถในการรักษาแผลต่างๆทั้งยังแผลขนาดเล็ก แผลไฟไหม้ แผลเป็นจากโรคสะเก็ดเงินหรือโรคหนังแข็ง รวมทั้งแผลเป็นแบบนูน ซึ่งจากงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยชิ้นหนึ่งได้แนะนำว่าการทาครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบบัวบกรอบๆผิวหนังภายหลังจากเย็บแผลแล้ว 2 ครั้งต่อวัน สม่ำเสมอนาน 6-8 อาทิตย์ อาจช่วยลดการเกิดแผลเป็นได้ รวมถึงแผลเป็นแบบนูนหรือคีลอยด์ แต่เนื่องด้วยหลักฐานเกื้อหนุนคุณลักษณะของใบบัวบกต่อแผลยังไม่พอ ก็เลยจะต้องศึกษาต่อไป
ท้องลาย จากการมีครรภ์ ได้มีงานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยชี้แนะให้ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ทาครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบบัวบก วิตามินอี และคอลลาเจน เสมอๆทุกวี่วันในตอน 6 เดือนในที่สุดก่อนที่จะมีการคลอด ซึ่งอาจช่วยปัญหารอยแตกได้ ยิ่งกว่านั้น ยังมีการทดลองโดยให้หญิงตั้งครรภ์จำนวน 100 คน ทาครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบบัวบก วิตามินอี รวมทั้งคอลลาเจน-อีลาสติน ไฮโดรไลเซท ทาบริเวณผิวหนังที่มีรอยแตกเปรียบเทียบกับการใช้ยาหลอก พบว่าการทาครีมที่มีส่วนผสมของใบบัวบกอาจจะเป็นผลให้เกิดรอยแตกหรือท้องลายน้อยกว่าในกลุ่มที่ใช้ยาหลอก แต่เพราะว่าหลักฐานสนับสนุนคุณลักษณะของใบบัวบกต่อรอยแตกหรือท้องลายยังไม่แน่นอน ก็เลยจำเป็นที่จะต้องศึกษาต่อไป
ลดความวิตกกังวล การรักษาแบบหมอแผนจีนมีการนำใบบัวบกมาใช้เพื่อทุเลาอาการซึมเซาและความกลุ้มอกกลุ้มใจ ซึ่งสอดคล้องกับการเรียนทดสอบชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับความสามารถของใบบัวบกสำหรับเพื่อการลดความวิตกกังวล โดยสุ่มให้อาสาสมัครกินใบบัวบกในปริมาณ 12 กรัมหรือกินยาหลอก จากผลของการทดสอบแสดงให้เห็นว่าใบบัวบกมีฤทธิ์ต้านความกลุ้มใจ ช่วยลดความตึงเครียด แต่ยังคงต้องศึกษาเสริมเติมต่อไปถึงสมรรถนะของใบบัวบกสำหรับเพื่อการรักษาโรควิตกกังวล
โรครวมทั้งอาการอื่นๆอาทิเช่น หวัด ไข้หวัดใหญ่ ต่อมทอนซิลอักเสบ เป็นลมแดด การติดเชื้อฟุตบาทเยี่ยว โรคตับอักเสบ โรคดีซ่าน ท้องเสีย อาหารไม่ย่อย ซึ่งยังจำเป็นจะต้องศึกษาวิจัยหาประสิทธิภาพรวมทั้งความปลอดภัยสำหรับการรักษาต่อไป

ความปลอดภัยสำหรับการรับประทานใบบัวบก
 การใช้สารสกัดจากใบบัวบกทาบริเวณผิวหนังอาจมีความปลอดภัยในระดับหนึ่ง แต่ว่าการกินใบบัวบกอาจไม่ปลอดภัยสำหรับเด็ก ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือคนที่อยู่ในตอนให้นมบุตร ด้วยเหตุว่ายังไม่มีหลักฐานด้านการแพทย์เพียงพอที่จะช่วยเหลือถึงเรื่องความปลอดภัยทั้งต่อเด็ก คุณแม่ หรือลูกในท้อง
การกินใบบัวบกอาจเป็นต้นเหตุให้เกิดความย่ำแย่ต่อตับ ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคตับหรือมีปัญหาเกี่ยวกับตับไม่ควรกินใบบัวบก เนื่องจากอาจจะเป็นผลให้อาการต่างๆแย่ลงได้ รวมถึงไม่สมควรกินใบบัวบกร่วมกับยาที่มีผลต่อตับในกลุ่มกลุ่มนี้ อาทิเช่น พาราเซตามอล อะมิโอดาโรน คาร์บามาซีไต่ ไอโซไนอะสิด ซิมวาสแตติเตียนน เป็นต้น
การรับประทานใบบัวบกในจำนวนมากอาจทำให้รู้สึกง่วงได้มากกว่าปกติ หรือถ้าเกิดรับประทานร่วมกับยานอนหลับหรือยาความวิตกกังวลน้อยลง ดังเช่นว่า โคลนาซีแพม ลอราซีแพม ฟิโนบาร์บิทอล แล้วก็โซลพิเดม
ควรหยุดรับประทานใบบัวบกอย่างน้อย 2 อาทิตย์สำหรับคนที่คิดแผนเข้ารับการผ่าตัด เพราะว่าอาจเกิดปฏิกิริยากับยาที่ใช้ในการผ่าตัดรวมทั้งอาจทำให้รู้สึกง่วงหงาวหาวนอนได้มากขึ้น
ควรจะปรึกษาหมอก่อนรับประทานใบบัวบก หากอยู่ในช่วงการใช้ยาหรืออาหารเสริมประเภทอื่นๆอยู่เป็นประจำ ด้วยเหตุว่าอาจจะส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาที่ไม่ปรารถนาหากกินใบบัวบกในระหว่างการดูแลรักษาของผู้ป่วยโรคกังวล ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ผู้เจ็บป่วยอัลไซเมอร์ รวมถึงผู้ที่ใช้ยานอนหลับหรือยาวิตกกังวลน้อยลง แล้วก็คนที่ดื่มแอลกอฮอล์ ด้วยเหตุว่าอาจส่งผลให้กดประสาทมากยิ่งขึ้น http://www.disthai.com/

10

เหงือกปลาหมอ
บ้านเกิดเมืองนอนเหงือกปลาหมอ
เหงือกปลาหมอนับว่าเป็นสมุนไพรพื้นถิ่นของไทยเราด้วยเหตุว่ามีประวัติสำหรับเพื่อการประยุกต์ใช้เป็นยาสมุนไพรมาตั้งแต่โบราณแล้ว ซึ่งเหงือกปลาหมอนี้เป็นพรรณไม้ที่มักขึ้นที่โล่งแจ้งรวมทั้งมักจะพบบ่อยในรอบๆป่าชายเลน หรือตามพื้นที่ชายน้ำริมฝั่งลำคลอง เจริญเติบโตได้ดีในที่ร่มและก็มีความชุ่มชื้นสูง หรือในแถบที่ดินเค็มและไม่ถูกใจที่ดอน แถบภาคอีสารก็มีรายงายว่าปลูกได้เช่นกัน เหงือกปลาแพทย์ พบอยู่ 2 พันธุ์เป็นประเภทดอกสีขาว Acanthus ebracteatus Vahl พบมากในภาคกึ่งกลางแล้วก็ภาคตะวันออก ชนิดดอกสีม่วง  Acanthus ilicifolius L. พบทางภาคใต้ ทั้งยังเหงือกปลาหมอยังเป็นชนิดไม่ลือชื่อของจังหวัดสมุทรปราการอีกด้วย
ลักษณะทั่วไป
ต้นเหงือกปลาหมอ เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง มีความสูงประมาณ 1-2 เมตร ลำต้นแข็ง มีหนามอยู่ตามข้อของลำต้น ข้อละ 4 หนาม ลำต้นกลม กลวง ตั้งชัน มีสีขาวอมเขียว ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางราวๆ 1.5 ซม.
ใบเหงือกปลาหมอ ใบเป็นใบผู้เดียว ลักษณะของใบมีหนามคมอยู่ริมขอบของใบแล้วก็ปลายใบ ขอบใบเว้าเป็นระยะๆผิวใบเรียบเป็นมันลื่น แผ่นใบสีเขียว เส้นใบสีขาว มีเหลือบสีขาวเป็นแนวก้างปลา เนื้อใบแข็งและเหนียว ใบกว้างราวๆ 4-7 เซนติเมตร รวมทั้งยาวราวๆ 10-20 เซนติเมตร ใบจะออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน ก้านใบสั้น
ดอกเหงือกปลาหมอ มีดอกเป็นช่อตั้งตามปลายยอด ยาวราว 4-6 นิ้ว ทั้งนี้สีของดอกขึ้นกับประเภทของต้นเหงือกปลาหมอเป็น ดอกมีจำพวกดอกสีม่วง หรือสีฟ้า และก็จำพวกดอกสีขาว แต่ลักษณะอื่นๆเหมือกันเป็น  ที่ดอกมีกลีบรองดอกมี 4 กลีบ กลีบแยกจากกัน ส่วนกลีบดอกเป็นท่อปลายบานโต ยาวโดยประมาณ 2-4 เซนติเมตร รอบๆกลางดอกจะมีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่
ผลเหงือกปลาหมอ ลักษณะของผลเป็นฝักสีน้ำตาล ลักษณะของฝักเป็นทรงกระบอกกลมรี รูปไข่ ยาวราวๆ 2-3 ซม. เปลือกฝักมีสีน้ำตาล ปลายฝักป้าน ข้างในฝักมีเมล็ด 4 เมล็ด
เหงือกปลาหมอ
รักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน กลากโรคเกลื้อน
ชื่ออื่น : แก้มหมอ แก้มแพทย์เล จะเกร็ง นางเกร็ง อีเกร็ง เหงือกปลาหมอน้ำเงิน
ในหนังสือเรียนยาไทยบอกว่า เหงือกปลาหมอสามารถแก้โรคผิวหนังได้ทุกประเภท
ในเมื่อเหงือกปลาหมอมีคุณประโยชน์เด่นแก้น้ำเหลืองเสียได้ โรคผิวหนังต่างๆแม้กระทั้ง โรคอีสุกอีใส ที่เกิดขึ้นมาจากเชื้อไวรัสก็จะบรรเทาเบาบางลง
ในกรณีโรคผิวหนังพุพองจากเชื้อไวรัสเอดส์ แม้จะร้ายแรงกว่าโรคผิวหนังทั่วไป แม้กระนั้นเมื่อใช้เหงือกปลาแพทย์เป็นอีกทั้งยารับประทานและต้มน้ำอาบต่อเนื่องกันเป็นเวลานานกว่า 3 เดือนขึ้นไป แผลพุพอง ก็จะลดลงลงอย่างเห็นได้ชัด สำหรับคนเจ็บโรคผิวหนังด้วย
แนวทางปรุงยาและก็การใช้ยาก็มีหลายวิธี เป็น
วิธีต้มยารับประทานและอาบ
เอาเหงือกปลาหมอสดหรือแห้งสับเป็นท่อนเล็กๆใส่เต็มขันขนาด 1 ลิตร ใส่น้ำ 4 ขัน ต้มยาให้เดือดนาน 10 นาที ตักน้ำยาขึ้นมา 1 แก้ว แบ่งไว้สำหรับดื่มรับประทานขณะอุ่นๆทีละครึ่งแก้ว วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ก่อนกินอาหาร
ส่วนน้ำยาที่แบ่งไว้อาบนั้น จำเป็นต้องใช้อาบขณะน้ำยายังอุ่นอยู่ ก่อนอาบน้ำจะต้องชำระล้างร่างกายด้วยสบู่ให้สะอาดเสียก่อน เมื่ออาบน้ำยาแล้ว ไม่ต้องอาบน้ำปกติตามอีก อาบน้ำยาวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็นทีละ 3-4 ขัน แต่ถ้าเกิดมีเหงือกปลาหมอเยอะมากๆ อาจจะต้มยาเพื่อเป็นการแช่ตลอดตัวในอ่างก็ยิ่งดี
วิธีทำเป็นยาลูกกลอน
นำเหงือกปลาหมออีกทั้ง 5 คราวตากแห้งมาบดเป็นผงละเอียด 2 ส่วน ผสมน้ำผึ้งแท้ 1 ส่วน ปั้นเป็นเม็ดลูกกลอนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ซม. คนแก่รับประทานทีละ 2 เม็ด เด็กบางครั้งอาจจะรับประทานทีละ 1 เม็ดหรือครึ่งเม็ดตามขนาดอายุและก็น้ำหนัก กินวันละ 2 ครั้ง ก่อนที่จะรับประทานอาหาร เช้าตรู่-เย็น รับประทานไปเรื่อยๆกระทั่งจะหาย แต่ถ้าเกิดเป็นโรคผิวหนังจากภูมิคุ้มกันบกพร่องก็จะต้องรับประทานตลอดกาล

วิธีทำเป็นแคปซูล
นำผงเหงือกปลาหมอที่ผ่านการเหินเป็นผงละเอียดเสมือนแป้งใส่แคปซูลขนาด 250 มก. คนแก่กินทีละ 2 แคปซูลวันละ 2-3 เวลาก่อนที่จะกินอาหาร เด็กลดน้อยลงตามส่วน
 เหงือกปลาหมอมีคุณประโยชน์เยอะมาก เช่น
-ราก มีสรรพคุณสำหรับในการแก้โรคหืด อัมพาต แก้ไอ แล้วก็ใช้ขับเสมหะ
-ต้น มีคุณประโยชน์รักษาโรคหลายชนิด โดยใช้ต้นตำผสมน้ำกินรักษาวัณโรค อาการผอมโซ ถ้าเกิดใช้ทาก็ช่วยแก้โรคเหน็บชาได้
-ลำต้น ไปผสมกับสมุนไพรอื่นๆก็จะได้คุณประโยชน์ทางยาไม่เหมือนกันออกไปอีก
-ทั้งต้นรวมรากต้มอาบแก้พิษไข้หัวลม แก้โรคผิวหนังทุกประเภท
-อีกทั้งต้นสดตำพอกปิดหัวฝีแผลเรื้อรังทำลายพิษ ต้มรับประทานแก้พิษโรคฝีดาษ ฝีทั้งปวง ผลกินเป็นยาขับโลหิตระดู นอกนั้น ถ้าเกิดตาเจ็บ ตาแดง เอา
"เหงือกปลาหมอ" ทั้งต้นตำกับขิงคั้นเอาน้ำหยอดตาหาย เป็นเหน็บชา ชาหมดทั้งตัว
- อีกทั้งต้นตำทาบริเวณที่เป็นจะ
- ตำเอาน้ำดื่มกากพอก งูกัด
- ต้นกับขมิ้นอ้อยตำทาป็นฝีฟกบวม เป็นริดสีดวงทวาร
- ต้นตำกับขิงกิน โรคเรื้อน โรคกุฏฐัง เป็นไข้จับสั่น
- ทั้งยังต้นตำใบส้มป่อยต้มดื่ม เจ็บข้างหลัง เจ็บเอว
- "เหงือกปลาหมอ" กับชะเอมเทศตำผงละลายน้ำผึ้งปั้นเป็นก้อนรับประทาน ริดสีดวงแห้ง
ในท้อง ผอมบางเหลืองตลอดตัว กินทุกวัน
- "เหงือกปลาหมอ" กับเปลือกมะรุมเสมอกันใส่หม้อ เกลือนิดนึง หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ ใช้ฟืน 30 ท่อน ต้มกับน้ำจนเดือดให้งวดก็เลยชูลง กลั้นใจกินขณะอุ่นจนกระทั่งหมด เป็นริดสีดวง มือตายตีนตาย ร้อนทั้งตัว เวียนหัว ตามัว เจ็บระบมหมดทั้งตัว ตัวแห้ง จะหายได้
- "เหงือกปลาหมอ" อีกทั้ง 5 รวมราก กับ อาหารมื้อเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ ปริมาณเสมอกัน กะตามอยากได้ ต้มกับน้ำจนกระทั่งเดือดดื่มขณะอุ่นทีละ 1 แก้ว 3 เวลา รุ่งเช้า ช่วงเวลากลางวัน เย็น ต้มดื่มปอดเริ่มมีปัญหาเป็นฝ้าจะอาการดีขึ้น ไปให้แพทย์เอกซเรย์ปอดไม่เป็นฝ้าอีกหยุดต้มกินได้เลย แล้วก็ต้องระวังอย่าให้เป็นอีก
ยาอายุวรรฒนะ
- "เหงือกปลาหมอ" 2 ส่วน พริกไทย 1 ส่วน ทำเป็นผงละลายน้ำผึ้งปั้นกินแต่ละวัน
กินได้ 1 เดือน ไม่มีโรค สติปัญญาดี
กินได้ 2 เดือน ผิวหนังเต่งตึง
กินได้ 3 เดือน โรคริดสีดวงทุกหมวดหมู่หาย
กินได้ 4 เดือน แก้ลม 12 ชนิด หูไว
กินได้ 5 เดือน หมดโรค
กินได้ 6 เดือน เดินไม่ทราบอ่อนล้า
กินได้ 7 เดือน ผิวงาม
กินได้ 8 เดือน เสียงไพเราะเพราะพริ้ง
กินได้ 9 เดือน หนังเหนียว
-"เหงือกปลาหมอ" 1 ส่วน ดีปลี 1 ส่วน ทำผงชงกินกับน้ำร้อนหากผิวแตกตลอดตัวหายได้ ทั้งหมดทั้งปวงที่บอกเป็นตำราเรียนยาโบราณ ไม่เชื่อก็ไม่สมควรดูถูกดูแคลน รู้ไว้เป็นวิชา http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรเหงือกปลาหมอ

11

เหงือกปลาหมอ
เหงือกปลาหมอ ชื่อสามัญ Sea holly, Thistleplike plant
เหงือกปลาหมอ ชื่อวิทยาศาสตร์ Acanthus ebracteatus Vahl (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Acanthus ilicifolius Lour., Acanthus ilicifolius var. ebracteatus (Vahl) Benoist, Dilivaria ebracteata (Vahl) Pers.) จัดอยู่ในตระกูลเหงือกปลาหมอ(ACANTHACEAE)
สมุนไพรเหงือกปลาหมอ มีชื่อแคว้นอื่นๆว่า แก้มแพทย์ (สตูล), แก้มแพทย์เล (กระบี่), อีเกร็ง (ภาคกลาง), นางเกร็ง จะเกร็ง เหงือกปลาหมอน้ำเงิน เป็นต้น
เหงือกปลาหมอมีอยู่ด้วยกัน 2 สายพันธุ์หมายถึงชนิดที่เป็นดอกสีม่วง (Acanthus ilicifolius L.) ที่พบได้ทั่วไปทางภาคใต้ แล้วก็ประเภทที่เป็นดอกสีขาว (Acanthus ebracteatus Vahl) ที่มักพบทางภาคกลางแล้วก็ภาคตะวันออก รวมทั้งเป็นพรรณไม้ที่ขึ้นชื่อลือนามของจังหวัดสมุทรปราการ
เหงือกปลาหมอ สมุนไพรใกล้ตัวหรือบางทีอาจจะเรียกว่าเป็นสมุนไพรชายน้ำหรือชายเลนก็ได้ สามารถนำสรรพคุณทางยามาใช้สำหรับในการรักษาโรคได้หลายแบบ ที่สะดุดตามากก็คือการนำมารักษาโรคผิวหนังได้แทบทุกชนิด แก้น้ำเหลืองเสีย และก็การนำมาใช้รักษาริดสีดวงทวาร ฯลฯ โดยส่วนที่ประยุกต์ใช้เป็นยาสมุนไพรก็ได้แก่ ส่วนลำต้นอีกทั้งสดรวมทั้งแห้ง ใบทั้งสดและแห้ง ราก เมล็ด และต้น (ส่วน 5 ประกอบไปด้วย ต้น ราก ใบ ผล เมล็ด)
รูปแบบของเหงือกปลาหมอ
ต้นเหงือกปลาหมอ เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง มีความสูงราวๆ 1-2 เมตร ลำต้นแข็ง มีหนามอยู่ตามข้อของลำต้น ข้อละ 4 หนาม ลำต้นกลม กลวง ตั้งชัน มีสีขาวอมเขียว ลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางโดยประมาณ 1.5 เซนติเมตร แพร่พันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเม็ดแล้วก็การใช้กิ่งปักชำ เป็นพรรณไม้ที่มักขึ้นที่โล่งแจ้ง เติบโตก้าวหน้าในที่ร่มและก็ในที่ที่มีความชื้นสูง ถูกใจขึ้นตามชายน้ำหรือบริเวณริมฝั่งลำคลองบริเวณปากแม่น้ำ อย่างเช่น บริเวณริมน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกเหนือปากคลองมหาวงก์ และก็ที่สถานที่เรียนนายเรือ เป็นต้น
ต้นเหงือกปลาหมอ
ใบเหงือกปลาหมอ ใบเป็นใบผู้เดียว รูปแบบของใบมีหนามคมอยู่ขอบขอบของใบรวมทั้งปลายใบ ขอบใบเว้าเป็นระยะๆผิวใบเรียบเป็นเงาลื่น แผ่นใบสีเขียว เส้นใบสีขาว มีชำเลืองสีขาวเป็นแนวก้างปลา เนื้อเรือใบแข็งรวมทั้งเหนียว ใบกว้างราว 4-7 เซนติเมตร แล้วก็ยาวราวๆ 10-20 เซนติเมตร ใบจะออกเป็นคู่ตรงกันข้ามกัน ก้านใบสั้น
ใบเหงือกปลาหมอ
ดอกเหงือกปลาหมอ ออกดอกเป็นช่อตั้งตามปลายยอด ยาวราวๆ 4-6 นิ้ว ดอกมีชนิดดอกสีม่วง (หรือสีฟ้า) และพันธุ์ดอกสีขาว ที่ดอกมีกลีบรองดอกมี 4 กลีบ กลีบแยกจากกัน รอบๆกลางดอกจะมีเกสรตัวผู้แล้วก็เกสรตัวเมียอยู่
ดอกเหงือกปลาหมอ
สมุนไพรเหงือกปลาหมอ
ผลเหงือกปลาหมอ ลักษณะของผลเป็นฝักสีน้ำตาล รูปแบบของฝักเป็นทรงกระบอก รูปไข่ หรือกลมรี ยาวราว 2-3 เซนติเมตร เปลือกฝักมีสีน้ำตาล ปลายฝักป้าน ภายในฝักมีเมล็ด 4 เมล็ด
คุณประโยชน์ของเหงือกปลาหมอ
ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้อายุยืน ร่างกายแข็งแรง เลือดลมไหลเวียนดี เส้นโลหิตไม่อุดตัน บำรุงผิวพรรณ ด้วยการใช้ต้นเหงือกปลาหมอนำมาตำผสมกับพริกไทยในอัตราส่วน 2:1 แล้วคละเคล้าผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นเป็นยาลูกกลอน ว่ากันว่าถ้าเกิดรับประทานติดต่อกัน 1 เดือน จะก่อให้ปัญญาดี ไม่มีโรค / 2 เดือน ผิวหนังเต่งตึง / 3 เดือน ทำให้ริดสีดวงหาย / 4 เดือน ช่วยแก้ลม 12 จำพวก หูไว / 5 เดือน หมดโรค / 6 เดือน ทำให้เดินไม่ทราบอิดโรย / 7 เดือนผิวสวย / 8 เดือน เสียงไพเราะเพราะพริ้ง / 9 เดือน หนังเหนียว (ทั้งต้น, ราก)
เหงือกปลาหมอมีคุณประโยชน์ช่วยบำรุงประสาท (ราก)
ช่วยรักษาอาการธาตุผิดปกติ (ทั้งยังต้น)
ช่วยให้เลือดลมเป็นปกติ (อีกทั้งต้น)เหงือกปลาหมอขาว
ช่วยให้เจริญอาหาร (ทั้งยังต้น)
ช่วยแก้โรคกระษัย อาการผอมแห้งแรงน้อยเหลืองหมดทั้งตัว ด้วยการใช้ต้นของเหงือกปลาหมอนำมาตำเป็นผงรับประทานทุกเมื่อเชื่อวัน (ต้น)
ช่วยแก้อาการร้อนทั้งตัว เจ็บระบบทั้งตัว ตัวแห้ง เวียนหัว หน้ามืดตามัว มือตายตีนตาย ด้วยการใช้ทั้งยังต้นของเหงือกปลาหมอและเปลือกมะรุมอย่างละเสมอกัน ใส่หม้อต้มผสมกับเกลือบางส่วน หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ แล้วก็ใช้ฟืน 30 ท่อน ต้มกับน้ำเดือดจนกระทั่งงวดแล้วยกลง เมื่อเสร็จให้กลั้นใจรับประทานขณะอุ่นๆกระทั่งหมด อาการก็จะดียิ่งขึ้น (อีกทั้งต้น)ช่วยยั้งโรคมะเร็ง ต้านทานมะเร็ง (ทั้งต้น)
ช่วยรักษาอาการปอดอักเสบ ด้วยการใช้เหงือกปลาหมอต้นและก็อาหารเย็นเหนือ อาหารมื้อเย็นใต้ในรูปร่างที่เท่ากัน นำมาต้มกับน้ำจนเดือดแล้วนำมาดื่มในขณะอุ่นๆครั้งละ 1 แก้ว เช้าตรู่ ช่วงเวลากลางวัน เย็น อาการจะ (ต้น)
รักษาปอดอักเสบ ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ใบ)
ต้นมีรสเค็มกร่อย สรรพคุณช่วยแก้อาการปวดหัว (ต้น)
รากช่วยแก้และบรรเทาอาการไอ หรือจะใช้เมล็ดเอามาต้มดื่มแก้อาการไอก็ได้เช่นกัน (ราก, เม็ด)
ช่วยแก้หืดหอบ (ราก)
ช่วยรักษาวัณโรค ด้วยการใช้ต้นเอามาตำผสมเป็นน้ำดื่ม (ต้น)
ช่วยแก้ลักษณะการเจ็บตา ตาแดง ด้วยการใช้เหงือกปลาหมอต้นนำมาตำผสมกับขิง คั้นมัวแต่น้ำใช้หยอดตาแก้อาการ (ทั้งยังต้น)
ใบช่วยแก้ไข้ (ใบ)
ช่วยแก้ไข้จับสั่น ด้วยการใช้อีกทั้งต้นเหงือกปลาหมอมาตำผสมกับขิง (ต้น)
ช่วยแก้พิษไข้หัว ด้วยการใช้อีกทั้งต้นและก็รากเอามาต้มอาบแก้อาการ (ทั้งยังต้น)
แก้อาการไอ เมล็ดใช้ผสมกับดอกมะเฟือง เปลือกอบเชย น้ำตาลกรวด นำมาต้มรวมกันแล้วมัวแต่น้ำมากินเป็นยาแก้ไอ (เม็ด)
ช่วยขับเสมหะ (ราก)
หากเป็นลม ให้ใช้ต้นเหงือกปลาหมอ 1 ส่วน / พริกไทย 2 ส่วน ผสมรวมกัน ตำอย่างถี่ถ้วนเป็นผงแล้วเอามาละลายน้ำร้อนดื่ม (ต้น)
ช่วยแก้โรคกระเพาะ ด้วยการใช้ทั้งต้นแล้วก็พริกไทย (10:5 ส่วน) ตำผสมปั้นเป็นยาลูกกลอน (ต้น)

ช่วยขับพยาธิ (เมล็ด)
ช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร ด้วยการใช้ต้นเหงือกปลาหมอกับขมิ้นอ้อย นำมาตำละลายกับน้ำแล้วทาบริเวณที่เป็นริดสีดวง หรือจะใช้ปรุงกับฟ้าทะลายขโมย ใช้รมหัวริดสีดวงก็ได้ (ต้น, ใบ)
ช่วยขับฉี่ ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
ช่วยรักษามุตกิดตกขาว ตกขาวของสตรี ด้วยการกางใบและต้นนำมาตำเป็นผง ผสมกับน้ำผึ้งหรือน้ำมันมันงา ปั้นเป็นยาลูกกลอนกินแก้อาการ (ต้น, ใบ, ราก)
ช่วยแก้รอบเดือนมาไม่เป็นปกติของสตรี ด้วยการใช้ต้นนำมาตำผสมกับน้ำผึ้ง น้ำมันงา (ทั้งยังต้น)
ช่วยรักษานิ่วในไต ด้วยการใช้ใบนำมาต้มเป็นน้ำดื่ม (ใบ)
ช่วยแก้ไตทุพพลภาพ ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่กำหนดส่วนที่ใช้)
ผลช่วยขับเลือด หรือจะใช้เม็ดผสมกับดอกมะเฟือง เปลือกอบเชย น้ำตาลกรวด นำมาต้มรวมกันแล้วมัวแต่น้ำมากิน หรือใช้ต้น 10 ส่วนและพริกไทย 5 ส่วน ผสมทำเป็นยาลูกกลอนรับประทานก็ได้ (เมล็ด, ผล, อีกทั้งต้น)
ช่วยฟอกโลหิต ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
แก้พิษเลือด ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (เปลือกต้น)
ช่วยรักษาแผล ด้วยการใช้ต้นเอามาตำผสมกับหัวสามสิบ ในอัตราส่วน 2:1 (ต้น)
ต้นเหงือกปลาหมอมีสรรพคุณช่วยรักษาแผลพุพอง (ต้น)
ใบมีรสเค็มกร่อย สรรพคุณช่วยรักษาแผลอักเสบ (ใบ)
ช่วยแก้น้ำเหลืองเสีย ด้วยการใช้ต้น 3-4 ต้น นำมาหั่นเป็นชิ้น แล้วต้มน้ำอาบแก้อาการ (ต้น, ใบ, เม็ด)
สำหรับคนเจ็บเอดส์ที่มีแผลพุพองตามผิวหนัง แม้ใช้ต้นมาต้มอาบรวมทั้งทำเป็นยากินติดต่อกันประมาณ 3 เดือนจะช่วยทำให้อาการของแผลพุพองทุเลาลงอย่างชัดเจน (ต้น)
ช่วยรักษาโรคผิวหนังหรือประดง รักษากลากโรคเกลื้อน อีสุกอีใส (ใบ)
ช่วยรักษาโรคขี้เรื้อน คุดทะราด ด้วยการใช้ทั้งต้นเอามาตำเอาแต่น้ำดื่ม (ทั้งต้น)
ช่วยแก้ผื่นผื่นคันตามร่างกาย ใช้ล้างแผลเรื้อรัง ด้วยการใช้ต้นสดรวมทั้งใบสดล้างสะอาดประมาณ 3-4 กำมือ นำมาสับแล้วต้มกับน้ำอาบแก้ผื่นคันติดต่อกัน 3-4 ครั้ง (ต้น, ใบ)
เหงือกปลาหมอมีคุณประโยชน์ทางยาช่วยแก้ลมพิษ (ต้น)
รากสดเอามาต้มมัวแต่น้ำ ใช้ดื่มเป็นยารักษาโรคงูสวัดได้ (ราก)
ช่วยรักษาฝี ฝีเรื้อรัง แผลฝีหนอง ไข้ทรพิษ ตัดรากฝี แก้พิษฝีทุกประเภททั้งยังข้างในด้านนอก ด้วยการใช้ต้นและใบทั้งยังสดและแห้งราวๆ 1 กำมือ เอามาบดอย่างถี่ถ้วน แล้วนำมาพอกบริเวณที่เป็นฝี หรือแนวทางลำดับที่สองจะนำมาสับเป็นชิ้นเล็กๆใส่น้ำให้ท่วมแล้วต้มในน้ำเดือดทิ้งเอาไว้ 10 นาที แล้วเอามาดื่มก่อนอาหารทีละครึ่งแก้ว วันละ 3 ครั้ง โดยประมาณ 2-3 อาทิตย์ หรือจะใช้เมล็ดนำมาคั่วให้ไหม้เกรียมแล้วป่นให้รอบคอบ ชงกับน้ำกินเป็นยาแก้ฝีก็ได้ (ต้น, ใบ, เม็ด)
เมล็ดใช้ปิดพอกฝี (เมล็ด)
ผลมีรสเผ็ดร้อน คุณประโยชน์ช่วยถอนพิษ (ผล, ต้น)
ใบสดเอามาตำให้ถี่ถ้วน สามารถใช้พอกบริเวณแผลที่ถูกงูกัดได้ (ใบ)
ช่วยแก้ผิวแตกหมดทั้งตัว ด้วยการใช้ทั้งยังต้นของเหงือกปลาหมอ 1 ส่วน / ดีปลี 1 ส่วน ใช้ผสมกันบดให้เป็นผุยผงชงกับน้ำร้อนดื่มแก้อาการ (ทั้งยังต้น)
ต้น หากนำมาใช้จะช่วยแก้โรคเหน็บชา อาการชาทั้งตัวได้ (ต้น)
รากมีสรรพคุณช่วยแก้อัมพาต (ราก)
แก้อาการเจ็บหลังเจ็บเอว ด้วยการใช้ต้นกับชะเอมเทศเอามาบดเป็นผง ผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นยาลูกกลอนกิน (ต้น)
ใบใช้เป็นยาประคบปรับปรุงข้ออักเสบและแก้ลักษณะของการปวดต่างๆ(ใบ)
ช่วยทำนุบำรุงรากผม ด้วยการใช้น้ำคั้นจากใบเอามาทาให้ทั่วศีรษะ จะช่วยทำนุบำรุงรากผมได้ (ใบ)
ประโยชน์ซึ่งมาจากเหงือกปลาหมอ
ในขณะนี้สมุนไพรเหงือกปลาหมอมีการนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นยาแคปซูลสมุนไพร (เหงือกปลาหมอแคปซูล) หรือเป็นยาชงสมุนไพร (เหงือกปลาหมอผงสำเร็จรูป) หรือในรูปแบบของยาเม็ด
นอกจากการใช้เป็นยาสมุนไพรที่ใช้เพื่อการอบตัวหรืออบด้วยละอองน้ำ สมุนไพรเหงือกปลาหมอยังคงใช้เป็นส่วนผสมสำหรับการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น สบู่ สินค้าที่ใช้สำหรับในการเปลี่ยนสีผม จวบจนกระทั่งยาสระผมของสุนัข เป็นต้น
แหล่งอ้างอิง
: เว็บไซต์ที่ทำการโครงงานอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากความคิด สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, หนังสือพิมพ์บ้านเมือง (เชี่ยวชาญ หิมะคุณ), หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 4, ฐานข้อมูลพันธุ์ไม้ หน่วยงานส่วนพฤกษศาสตร์, ที่ทำการกองทุนช่วยเหลือการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), หนังสือยอดสมุนไพรยาอายุวัฒนะ (อาจารย์ยุยงวดี จอมคุ้มครอง), หนังสือการบริหารร่างกายแกว่งไกวแขน (โชคชัย ปัญจทรัพย์สมบัติ) http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรเหงือกปลาหมอ

12


ราชพฤกษ์

คูน ประโยชน์แล้วก็สรรพคุณของคูน หรือ ต้นราชพฤกษ์
ความเป็นมาดอกราชพฤกษ์
           ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูน เป็นต้นไม้ประจำถิ่นของทวีปเอเชียใต้ ตั้งแต่ประเทศปากีสถาน อินเดีย พม่า รวมทั้งศรีลังกา โดยนิยมปลูกกันมากในเขตร้อน สามารถเติบโตก้าวหน้าในที่โล่ง และเป็นที่รู้จักในประเทศไทยมาหลายสิบปี โดยมีการเสนอให้ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทยตั้งแต่ปี พุทธศักราช 2506 แต่ก็ยังไม่ได้บทสรุปกระจ่าง จนถึงมีการลงนามให้เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย ช่วงวันที่ 26 ตุลาคม พุทธศักราช 2544
ดอกไม้ประจำชาติไทย
           เพราะว่า ต้นราชพฤกษ์ มีดอกสีเหลืองยกช่อ มองสง่างาม ทั้งยังยังมีสีตรงกับ สีทุกวันพระราชการบังเกิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็เลยถูกตั้งชื่อว่าเป็น "ต้นไม้ของพระเจ้าแผ่นดิน" รวมทั้งมีการลงชื่อให้ต้นราชพฤกษ์ เป็นเยี่ยมใน 3 สัญลักษณ์ประจำชาติไทย โดยมี 1. ช้าง เป็นสัตว์ประจำชาติไทย 2. ศาลาไทย เป็นสถาปัตยกรรมประจำชาติไทย แล้วก็ 3. ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย
เหตุผลเลือกเป็นดอกไม้ประจำชาติไทย

  • ด้วยเหตุว่าเป็นต้นไม้ประจำถิ่นที่รู้จักกันอย่างล้นหลาม รวมทั้งมีอยู่ทุกภาคของประเทศไทย
  • มีประวัติเกี่ยวโยงกับประเพณีหลักๆในไทยและก็เป็นต้นไม้มงคลที่นิยมนำมาปลูก
  • ใช้ประโยชน์ได้มากมาย ดังเช่นว่า ใช้เป็นยารักษาโรค ทั้งยังยังใช้ลำต้นเป็นเสาเรือนได้ ฯลฯ
  • มีสีเหลืองอร่าม พุ่มสวยเต็มต้น เทียบเป็นสัญลักษณ์ที่พุทธศาสนา
  • มีอายุยืนนาน และคงทน


คูน หรือ ราชพฤกษ์ (Golden Shower, Indian Laburnum) เป็นพืชสมุนไพรจำพวกยืนต้นขนาดกึ่งกลางถึงขนาดใหญ่ ที่มีชื่อเรียกตามแคว้นต่างๆเป็นต้นว่า ภาคเหนือเรียก ราชพฤกษ์, คูน หรือชัยพฤกษ์ ส่วนจังหวัดปัตตานีเรียก ลักเคย หรือลักเกลือ และก็กะเหรี่ยง-จังหวัดกาญจนบุรีเรียก กุเพยะ ฯลฯ ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรท้องถิ่นของทวีปเอเชียใต้ไปจนกระทั่งอินเดีย ศรีลังกา รวมทั้งเมียนมาร์ และคูนหรือราชพฤกษ์นี้ยังเป็นดอกไม้ประจำชาติของไทยอีกด้วย
————– advertisements ————–
การรักษา
           แสง : อยากแสงแดดจัด หรือที่โล่งแจ้ง รวมทั้งเจริญวัยได้ดีในที่โล่งแจ้งเป็นพิเศษ
           น้ำ : ถูกใจน้ำน้อย ควรจะรดน้ำ 7-10 วันต่อครั้ง สามารถทนกับสภาพภูมิอากาศร้อนได้ดิบได้ดี
           ดิน : สามารถเติบโตก้าวหน้าในดินซึ่งร่วนซุย ดินร่วนคละเคล้าทราย หรือดินเหนียว
           ปุ๋ย : นิยมให้ปุ๋ยหมัก หรือ ปุ๋ยมูลสัตว์ ในอัตรา 2-3 กิโลต่อต้น และควรให้ปุ๋ยปีละ 3-4 ครั้ง
ดอกราชพฤกษ์ ดอกไม้ประจำชาติไทย
การขยายพันธุ์
           วิธีเพาะพันธุ์ต้นราชพฤกษ์ที่นิยมเป็นการเพาะเม็ด โดยใช้เมล็ดสดๆมาขลิบด้วยกรรไกรตัดเล็บ แม้กระนั้นต้องเลือกขลิบบริเวณด้านป้าน เพราะว่าด้านแหลมจะมีต้นอ่อนอยู่ แล้วต่อจากนั้นนำไปแช่น้ำสะอาดทิ้งเอาไว้ผ่านวัน จึงค่อยเทน้ำออกให้เหลือจำนวนพอเพียงหล่อเลี้ยงเมล็ดได้ แล้วทิ้งเอาไว้อีกคืนก็จะพบรากผลิออก รวมทั้งสามารถนำลงปลูกได้เลย
ความเชื่อถือเกี่ยวกับต้นราชพฤกษ์
           เชื่อว่าเป็นต้นพืชที่มีความมงคล ที่ควรปลูกไว้ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ รวมทั้งถ้าหากปลูกเอาไว้ในบ้านจะช่วยทำให้ทรงเกียรติยศ เกียรติ และก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางไสยเวท โดยใช้ใบทำน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ ด้วยเหตุว่าเป็นพืชที่มีความเป็นสิริมงคลนาม
ลักษณะทั่วไปของคูน
สำหรับต้นคูนนั้นจัดว่าเป็นต้นไม้ขนาดกึ่งกลาง โดยลำต้นมีสีน้ำตาลอมเทา มักขึ้นตามป่าผลัดใบ หรือในดินที่สามารถถ่ายเทน้ำได้ดิบได้ดี ส่วนใบจะมีสีเขียววาว โคนมน เนื้อใบเกลี้ยงและก็บาง ดอกจะออกเป็นช่อ มีกลีบรูปทรงไข่กลับอยู่ 5 กลีบ แล้วก็มองเห็นเส้นกลีบชัดเจน ฝักอ่อนมีสีเขียวและจะเป็นสีดำเมื่อแก่จัด และในฝักจะมีผนังเยื่อบางๆกั้นเป็นช่องๆอยู่ตามแนวขวางของฝัก รวมทั้งด้านในช่องเหล่านี้จะมีเม็ดสีน้ำตาลแบนๆอยู่
ต้นคูน หรือ ต้นราชพฤกษ์
ผลดีและก็สรรพคุณของคูน
ใบ – ช่วยฆ่าพยาธิผิวหนัง ฆ่าเชื้อโรคต่างๆช่วยระบายท้อง สามารถใช้พอกแก้ลักษณะของการปวดข้อ หรือแก้ลมตามข้อ และช่วยแก้โรคอัมพาตของกล้ามบนบริเวณใบหน้า หรือนำไปต้มรับประทานแก้เส้นพิการ และโรคที่มีปัญหาเกี่ยวกับสมอง ให้รสเมา
ดอก[url=http://www.disthai.com/16488365/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C]ราชพฤกษ์[/url] – ช่วยระบายท้อง แก้ไข้ แก้พรรดึก (ท้องผูก) และก็โรคกระเพาะอาหาร แล้วก็แผลเรื้อรัง ให้รสขมเปรี้ยว
ราก – ช่วยสำหรับเพื่อการทำลายเชื้อคุดทะราด ระบายพิษไข้ แก้ขี้กลากหรือเกลื้อน แก้อาการเซื่องซึมหนักแถวๆหัว และก็ช่วยถ่ายสิ่งสกปรกสกปรกออกจากร่างกาย แก้อาการหายใจขัด ทำให้กระชุ่มกระชวยทรวงอก แก้อาการไข้ ไปจนกระทั่งรักษาโรคหัวใจ ถุงน้ำดี มีฤทธิ์ถ่ายแรงกว่าเนื้อในฝัก สามารถใช้ได้กับเด็กหรือสตรีตั้งครรภ์ ไม่เป็นผลใกล้กันอะไรก็ตามให้รสเมา
แก่น – ช่วยสำหรับเพื่อการขับพยาธิไส้เดือน ให้รสเมา
กระพี้ – ช่วยแก้โรครำมะนาด ให้รสเมา
เนื้อในฝัก – ใช้พอกเพื่อช่วยแก้อาการปวดข้อ แก้ตานขโมย ปรับแก้ไข้จับสั่น แก้บิด ถ่ายพยาธิ หรือผู้ที่มีอาการท้องผูกเรื้อรัง และก็ถ่ายเสมะและแก้พรรดึก (ท้องผูก) ไปจนถึงระบายพิษไข้ สามารถใช้ได้ในเด็กแล้วก็สตรีตั้งครรภ์ ไปจนกระทั่งเป็นยาระบายที่ไม่ทำให้ปวดมวนหรือไข้ท้อง ให้รสหวานเหม็นเบื่อ
เปลือกฝัก – ทำให้แท้งลูก ทำให้คลื่นไส้ แล้วก็ขับเกลื่อนกลาดที่ค้างอยู่ออกมา ให้รสเฝื่อนฝาดเมา
เม็ด – ทำให้อาเจียน ให้รสเฝื่อนฝาดเมา
เปลือกต้น – ช่วยแก้อาการท้องเดิน ใช้ฝนผสมกับต้นหญ้าฝรั่น น้ำดอกไม้เทศ รวมทั้งน้ำตาล กินเพื่อให้กำเนิดลมเบ่ง ให้รสฝาดเมา
เปลือกราก – ช่วยแก้ไข้มาลาเรีย และระบายพิษไข้ ให้รสฝาด
ดอกคูน หรือ ดอกราชพฤกษ์
ต้นคูนมักนิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับในพื้นที่เขตร้อนรวมทั้งกึ่งเขตร้อน สามารถเติบโตได้ดีในที่โล่ง และก็ปลูกได้ง่ายทั้งยังในดินที่ร่วนซุย ดินร่วนซุยผสมทราย หรือดินร่วนซุยเหนียว รวมถึงยังทนต่อสภาพภูมิอากาศแห้งแล้งและดินเค็มเจริญ แต่ว่าหากอากาศหนาวจัดอาจก่อให้ติดโรคราหรือโรคใบจุดได้http://www.disthai.com/

13

ตะไคร้บ้าน
ตะไคร้ คุณประโยชน์
"ตะไคร้" (Lemongrass) เป็นสมุนไพรก้นครัวที่เรารู้จักแล้วก็รู้จักกันมานาน เพราะเหตุว่าในอาหารไทยหลายประเภทมักใส่ตะไคร้ลงไปเป็นหนึ่งในเครื่องปรุงด้วยเสมอ อาทิ ต้มยำ ต้มข่าไก่ ยำ น้ำพริกต่างๆช่วยเพิ่มรสและก็คุณประโยชน์ให้กับอาหาร ส่งกลิ่นหอมเชิญกิน จนกระทั่งแปลงเป็นสิ่งที่จะต้องมีให้ได้เลยในอาหารเหล่านี้ นอกจากยังมีกลิ่นหอมสดชื่นเฉพาะบุคคลจากน้ำมันหอมระเหย ทำให้ตะไคร้ถูกเอาไปใช้เป็นกลิ่นในผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพล้นหลาม ทั้งยังน้ำมันหอยระเหย น้ำมันทาตัว ยาจุดกันยุง สบู่ต่างๆ
ตะไคร้ จัดเป็นไม้ล้มลุกที่จัดอยู่ในสกุลหญ้า มีหลายประเภท นอกเหนือจากนำไปเตรียมอาหารแล้วรวมทั้งทำเป็นยาสมุนไพรแล้ว ตะไคร้บางชนิดยังช่วยไล่ยุงมดแมลงได้อีกด้วย ก็เลยจัดเป็นผักสวนครัวที่อยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน หลายบ้านก็เลยนิยมปลูกเอาไว้ภายในบ้าน จะใช้เมื่อใดก็ตัดมาใช้ได้โดยทันที
ตะไคร้จัดเป็นสมุนไพรที่ซ่อนคุณค่าไว้มากไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะเป็นทั้งยังของกินและก็ยารักษาโรค มีวิตามินแล้วก็แร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อสถาพทางร่างกาย อีกทั้งวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม เหล็ก สังกะสี ทองแดง แมงกานีส และก็โฟเลต ประสิทธิภาพคับแก้วขนาดนี้รังเกียจตะไคร้ลองเปลี่ยนความคิดกันใหม่ หันมาถูกใจตะไคร้ให้มากยิ่งขึ้น จะได้ประโยชน์เยอะมากแน่ๆ
ตะไคร้หอมไล่ยุงได้ใช่หรือ?
ในตะไคร้หอม มีน้ำมันหอยละเหยอยู่ซึ่งมีฤทธิ์สำหรับเพื่อการคุ้มครองแมลงได้ โดยครีมที่มีส่วนผสมจากน้ำมันหอมละเหยในตะไคร้สามารถคุ้มครองยุงลาย ยุงก้นปล่อง แล้วก็ยุงหงุดหงิดรำคาญกัดได้ ยิ่งไปกว่านี้ยังฤทธิ์สำหรับการกำจัดลูกน้ำยุงได้อีกด้วย
นอกเหนือจากยุงแล้ว สารสกัดจากตะไคร้หอมยังช่วยคุ้มครองปกป้องแมลงชนิดอื่น ได้แก่ แม้ผสมสารสกัดตะไคร้กับสะเดาจะมีผลช่วยลดเพลี้ยอ่อนและหนอนเจาะฝักซึ่งเป็นศัตรูของถั่วค้าง ส่วนแชมพูที่มีส่วนผสมจากตะไคร้หอม สามารถฆ่าเห็บหมัดในสัตว์เลี้ยงได้
ลักษณะ
ลำต้นทรงกระบอก แข็ง หมดจด ตามข้อมักมีไขปกลุกลม เหง้า มีข้อและก็ปล้องสั้นมากมาย กาบใบสีขาวนวล หรือสีขาวปนม่วง รสปร่า  มีกลิ่นหอมยวนใจเฉพาะ
สรรพคุณ
– ทั้งต้น : ใช้เป็นยารักษาโรคหือหอบ แก้ปวดท้อง ขับฉี่ แล้วก็แก้อหิวาตกโรค นอกจากนั้นยังใช้ร่วมกับสมุนไพรอื่น รักษาโรคได้ อาทิเช่น บำรุงธาตุ เจริญอาหาร และก็ขับเหงื่อ
– ใบ : ช่วยลดความดันเลือดสูง แก้ไข้
– ราก : ใช้เป็นยาแก้ไข ปวดท้อง ท้องร่วง
– ต้น : ใช้เป็นยาขับลม ยาแก้ไม่อยากอาหาร แก้โรคฟุตบาทเยี่ยว นิ่ว เป็นยาบำรุงธาตุไฟให้รุ่งโรจน์ นอกจากนั้นยังใช้ขจัดกลิ่นคาวได้ด้วย
– น้ำมัน : มีฤทธิ์ต้นเชื้อรา แล้วก็มีกลิ่นไล่หมาแล้วก็แมว
หนังสือเรียนยาไทย : ต้น รสหอมปร่า ขับลม ลดอาการท้องอืดท้องอืดแน่นจุกเสียด แก้อาการเกร็ง ขับเหงื่อ แก้โรคทางเท้าฉี่ แก้อาการขัดเบา แก้นิ่ว แก้ปัสสาวะเป็นเลือด ทำให้เจริญอาหาร ลดระดับความดันเลือด เหง้า แก้ไม่อยากอาหาร บำรุงไฟธาตุ แก้กษัย ขับลมในไส้ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ฉี่ขัด แก้ปัสสาวะพิการ แก้นิ่ว เป็นยารักษาโรคเกลื้อน แก้ไข้หวัด ขับเมนส์ ขับตกขาว ใช้ข้างนอกทาแก้ลักษณะของการปวดบวมตามข้อ
ตะไคร้หอม
ตะไคร้ คุณประโยชน์
ลักษณะ
ลำต้นเป็นข้อๆใบรูปขอบขนานปลายแหลม ใบยาวกว่าตะไคร้บ้าน รูปแบบของใบกว้าง 5-20 มิลลิเมตร ยาวโดยประมาณ 50-100 เซนติเมตร แผ่นใบแคบ ยาว และก็นุ่มกว่าตะไคร้บ้าน มีสีเขียว ผิวเกลี้ยง แล้วก็มีกลิ่นหอมเบื่อ ก้านใบเป็นกาบทับกันแน่นสีเขียวปนม่วงแดง รากฝอยแตกออกจากโคน ต้นและก็ใบมีกลิ่นแรงจนกินเป็นอาหารไม่ได้ อีกทั้งต้น มีรสปร่า ร้อนขม

สรรพคุณ
– ทั้งต้น : ใช้เป็นยาแก้ปากแตกระแหง แก้ริดสีดวงในปาก ขับลมในไส้ แก้แน่น ขับเลือดเมนส์ มีฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อเรียบบีบตัว ไม่เหมาะสมกับสตรีมีครรภ์ เพราะเหตุว่าถ้าหากทานเข้าไป อาจก่อให้แท้งได้
– ใบ : ใช้เป็นยาคุม ชำระล้างไส้ ไม่ให้เกิดซาง
– ราก : แก้ลมจิตรวาด หัวใจ ร้อนใจ เพ้อเจ้อ
– ต้น : แก้ลมพานไส้ แก้ธาตุ แก้เลือดลมไม่ปกติ
– น้ำมัน : ใช้ทาปกป้องยุง มีฤทธิ์ไล่แมลง และก็ใช้รักษาโรคเห็บสุนัข
ตำราเรียนยาไทย : ใช้ เหง้า เป็นยาบีบมดลูก ทำให้แท้งบุตรได้ คนท้องห้ามรับประทาน ยิ่งไปกว่านี้ยังใช้ขับรอบเดือน ขับฉี่ ขับตกขาว ขับลมในไส้ แก้แน่น แก้แผลในปาก แก้ตานซางในลิ้นแล้วก็ปาก บำรุงไฟธาตุ แก้ไข้ แก้อ้วก แก้ริดสีดวงตา แก้ธาตุ แก้เลือดลมไม่ดีเหมือนปกติ
เหง้า ใบ รวมทั้งกาบ นำมากลั่นได้น้ำมันหอมระเหย ใช้เป็นเครื่องหอม เป็นต้นว่า สบู่ หรือพ่นทาผิวหนังกันยุง แมลง ต้น มีรสปร่า ร้อนขม แก้ริดสีดวงในปาก
คุณประโยชน์ซึ่งมาจากน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้
– น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้บ้าน ช่วยกระตุ้นให้ตื่นตัว เบิกบานใจ ทำให้กระชุ่มกระชวย ความเครียดน้อยลง แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยย่อยอาหาร ช่วยเจริญอาหาร บรรเทาลักษณะของการปวดโรคข้ออักเสบ ปวดกล้ามเนื้อ
-น้ำมันหอมระเหยที่กลั่นจากใบตะไคร้ ช่วยบรรเทาลักษณะของการปวดข้อ ช่วยต้านเชื้อราบนผิวหนังได้เป็นอย่างดี แล้วก็ช่วยลดการบีบตัวของไส้ได้
ข้อควรคำนึง
ตะไคร้มีฤทธิ์ที่จะช่วยขับเลือด ทำให้มดลูกบีบตัว ห้ามใช้กับหญิงตั้งท้องเพราะว่าอาจจะส่งผลให้แท้งได้

14

ทับทิม
การกินเพื่อสุขภาพ
ทับทิม ยอดเยี่ยมราชินีที่ผลไม้ มีประโยชน์ต้น
การกินเพื่อสุขภาพ
ทับทิม ยอดเยี่ยมราชินีแห่งผลไม้ มีคุณประโยชน์อีกทั้งต้น
อัปเดตล่าสุดตอนวันที่ พฤษภาคม 3, 2018 ราวเวลาการอ่าน: 2 นาที
แชร์บทความนี้
ทับทิมสำเร็จไม่ที่นิยมรับประทานกันมาก รวมทั้งขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของคุณค่าที่มากมาย จนได้รับสมญาว่า ราชินีแห่งผลไม้ พูดกันว่าทับทิมนั้นคือผลไม้ที่ถูกประยุกต์ใช้ในแวดวงแพทย์มาแล้วนับพันปี ในตอนนี้ทับทิมถือเป็นผลไม้ที่นิยมนำมาปลูก และกินกันทั่วทั้งโลก สามารถหารับประทานได้ง่ายในประเทศไทย พินิจได้จากร้านค้าขายน้ำทับทิม หรือผลทับทิมสด ที่เกือบจะมีอยู่ตามถนนหรือทุกตลาดในประเทศไทย
ประโยช์จากทับทิมมีเยอะมาก อีกทั้งในเรื่องของสารอาหาร รวมทั้งการปกป้องคุ้มครองโรค
วิตามินซีสูงมาก
ทับทิมนับว่าเป็นผลไม่ที่มีวิตามินซีสูงมาก ในน้ำทับทิมเพียงแต่ 1 แก้ว มีวิตามินซีถึงร้อยละ 40 ของปริมาณที่เราต้องการในหนึ่งวัน (สำหรับคนแก่) ด้วยปริมาณวิตามินซีที่สูงในระดับนี้ก็เลยมีคุณประโยชน์สำหรับการลดการเสี่ยงสำหรับเพื่อการเป็นโรคหวัด หรือแพ้อากาศได้อย่างดี
ช่วยบำรุงรักษาผิวพรรณ
การกินทับทิมสด หรือน้ำทับทิมนั้น จะช่วยทำให้ผิวพรรณของเรามองแจ่มใส เนื่องจากทับทิมได้ผลสำเร็จได้ที่มีสรรพคุณในการต้านทานอนุมูลอิสระ ช่วยสำหรับเพื่อการชะลอวัย ลดการเกิดริ้วรอยในผิวของเรา รวมทั้งด้วยจำนวนวิตามินซีที่สูงจึงช่วยในเรื่องทำให้ผิวกระจ่างขาวใส นอกเหนือจากนี้พวกเรายังสามารถใช้น้ำทับทิมประมาณ 1 ช้อนชา ทาบริเวณใบหน้า ทิ้งเอาไว้ 10 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยสำหรับการบำรุงผิวหน้าให้ดูเต่งตึงเยอะขึ้นเรื่อยๆได้อีกด้วย ประโยชน์ในข้อนี้ของทับทิมสามารถรับรองได้จากการที่ในปัจจุบัน มีเครื่องแต่งตัวหรือครีมหลายอย่างได้นำทับทิมไปเป็นส่วนประกอบ
เส้นโลหิตรวมทั้งหัวใจดีขึ้น
ในทางการแพทย์มีการศึกษาค้นคว้าแล้วพบว่าทับทิม มีสรรพคุณช่วยในการทำให้การไหลเวียนของเลือด ลดภาวการณ์ขาดเลือดในคนเจ็บโรคหัวใจ ยิ่งไปกว่านี้ยังพบว่าผู้ที่มีความดันโลหิตสูง เมื่อกินน้ำทับทิมวันละ 50cc จะช่วยลดความดันโลหิตได้จำนวนร้อยละ 5 ช่วยลดสภาวะการแข็งตัวของไขมันในหลอดเลือดได้อีกด้วย
ลดการเสี่ยงสำหรับในการกำเนิดมะเร็ง
ด้วยเหตุว่าเป็นผลไม้ที่มีค่าการต้านอนุมูลอิสระที่สูง ก็เลยช่วยลดการเสี่ยงสำหรับเพื่อการเกิดโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี มีงานค้นคว้าพบว่า การกินทับทิมช่วยลดโอกาสการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ของโรคมะเร็งถึง 13ช นิด และยังสามารถช่วยทำลายเซลล์มะเร็งในหลอดอาหาร และลำไส้ได้อีกด้วย
ประโยชน์อื่นๆของทับทิม
นอกจากสรรพคุณหลักที่กล่าวไปในข้างต้นแล้ว ทับทิมยังมีสรรพคุณอื่นอีกเพียบเลย ไม่ว่าจะเป็น ช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องในหญิงมีครรภ์ ช่วยทำให้สมดุลในวัยหมดระดู ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคจำอะไรไม่ค่อยได้ในคนแก่ คุ้มครองโรคเลือดออกตามไรฟัน เสริมสุขภาพกระดูกลดความเสี่ยงสำหรับในการเป็นโรคกระดูกพรุน คุ้มครองปกป้องการเสื่อมสรรถยนต์ภาพทางเพศ ลดการตกขาว พูดได้ว่ามีสรรพคุณจำนวนมากจริง
 เว้นแต่ส่วนที่พวกเรานิยมกินกันอย่างเมล็ดแล้ว องค์ประกอบอื่นของทับทิมก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน ทั้งที่ยังไม่ตายยาและก็สมุนไพร
ใบ: สามารถทำน้ำยาบ้วนปากหรือล้างตาได้ ยาพอกที่ทำมาจากใบสามารถช่วยบรรเทาอาการผมร่วงได้อย่างยอดเยี่ยม
เปลือก: ลดการเกิดริ้วรอยในผิวของพวกเราใช้รักษา แผลหิด กากเกลื้อน มีคุณประโยชน์เกี่ยวกับการดูแลรักษาโรคในทางเดินของกิน ดังเช่นว่ารักษาอาการท้องเดินได้
เปลือกของลำต้น และราก: สามารถเอามาทำเป็นยาถ่ายพยาธิได้อีกด้วย โดยนำมาผสมกับกานพลู แล้วก็บางทีอาจใส่ดีเกลือต้มกับน้ำโดยประมาณสามถ้วย มีคุณประโยชน์สำหรับในการถ่ายพยาธิ
ดอก: มีสรรพคุณสำหรับเพื่อการรักษาแผล และทุเลาอาการอักเสบของหูชั้นใน
ทับทิมถือเป็นผลไม้ที่เป็นประโยชน์ในทุกส่วนของต้น ไม่ใช่ก็แค่เม็ด หรือน้ำทับทิม ก็เลยไม่แปลกใจเลยที่ทับทิมจะได้รับฉายานามว่า "ราชชินีที่ผลไม้"
โรคและก็อาการอื่นๆเช่น โรคเส้นเลือดหัวใจ การหย่อนความสามารถทางเพศ เจ็บกล้ามเนื้อข้างหลังการบริหารร่างกาย กลุ่มอาการอ้วนลงพุง โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก เยื่อบุช่องปากอักเสบ ผิวไหม้จากแสงอาทิตย์ การตำหนิดเชื้อทริโคโมแนส (Trichomoniasis) ท้องเดิน โรคบิด เจ็บคอ โรคริดสีดวงทวาร อาการวัยทอง และก็อื่นๆยังจำต้องศึกษาค้นคว้าศึกษาค้นคว้าเพิ่มเพื่อหาหลักฐานเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความปลอดภัยของทับทิมสำหรับการรักษาโรค
ความปลอดภัยสำหรับเพื่อการรับประทานทับทิมหรือผลิตภัณฑ์จากทับทิม
โดยปกติการกินน้ำทับทิมออกจะมีความปลอดภัย แต่ในบางรายที่มีลักษณะอาการแพ้ผลสดของทับทิมบางทีอาจเป็นผลข้างเคียงจากการกินน้ำทับทิมได้
รากทับทิมมีสารที่เป็นพิษต่อสุขภาพ การกินรากและก็ลำต้นของทับทิมในจำนวนมากบางทีอาจไม่ปลอดภัย
สารสกัดจากทับทิมออกจะไม่มีอันตรายในการกินหรือประยุกต์ใช้กับผิวหนัง แต่ว่าอาจจะส่งผลให้กำเนิดอาการแพ้บางส่วนในบางราย อย่างเช่น อาการคัน บวม น้ำมูกไหล หรือหายใจไม่สะดวก
การรับประทานน้ำทับทิมออกจะมีความปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งท้องหรืออยู่ในช่วงให้นมลูก แม้กระนั้นยังไม่มีรายงานรับรองความปลอดภัยสำหรับในการรับประทานหรือใช้ทับทิมในรูปแบบอื่น อาทิเช่น สารสกัดจากทับทิม ควรต้องปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะมีการรับประทานทุกหน
น้ำทับทิมอาจจะก่อให้ความดันเลือดลดลดลงเล็กน้อย ซึ่งอาจจะก่อให้ผู้ป่วยที่มีภาวการณ์ความดันต่ำอาการไม่ดีขึ้น

ผู้ที่มีอาการแพ้จากพิษพืชอาจมีการเสี่ยงที่จะกำเนิดอาการแพ้จากการกินทับทิม
คนเจ็บที่จำต้องเข้ารับการผ่าตัดควรหยุดกินทับทิมอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เหตุเพราะทับทิมนำมาซึ่งการทำให้ความดันโลหิตต่ำลง จึงอาจกระทบต่อความดันเลือดในขณะผ่าตัดหรือส่งผลต่อเนื่องไปยังหลังการผ่าตัด
การรับประทานทับทิมควบคู่กับยาบางจำพวกอาจจะเป็นผลให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยา ดังเช่น ยาที่เกี่ยวพันกับแนวทางการทำงานของตับโดยโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับ Cytochrome ชนิด P450 2D6 หรือชนิด P450 3A4 ยาลดความดันเลือดหรือเอซีอี อินฮิบิเตอร์ ยารักษาโรคความดันเลือดสูง ยาโรสุวาสแตติเตียนน คนที่รับประทานยาบ่อยๆหรือมีโรคประจำตัวควรขอคำแนะนำหมอก่อนที่จะมีการรับประทานเพื่อความปลอดภัย http://www.disthai.com/

15

ขิง
ขิง เป็นพืชที่มีเหง้าใต้ดิน ด้านนอกเหง้าเป็นน้ำตาลปนเหลือง เนื้อในสีขาวหรือเหลืองอ่อน มักนำมาปรุงอาหารเพราะเหตุว่าส่งกลิ่นหอม ยิ่งไปกว่านี้ ขิงยังใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องดื่ม สบู่ แล้วก็เครื่องแต่งตัวทั้งหลายด้วยเหมือนกัน ด้านประโยชน์ต่อร่างกาย มีความเชื่อเกี่ยวกับการใช้ขิงรักษาโรคหลากหลายชนิดมาอย่างยาวนาน ดังเช่นว่า โรคที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบที่ทำหน้าที่ย่อยอาหารอย่างท้องร่วง มีก๊าซในกระเพาะ ของกินไม่ย่อย อาการเมารถเมาเรือ อาเจียน เบื่ออาหาร
คุณสมบัติของขิงเชื่อว่ามีสารที่บางทีอาจช่วยลดอาการอ้วกแล้วก็ลดการอักเสบ โดยนักวิจัยโดยมากคาดว่าเป็นสารที่ออกฤทธิ์ในกระเพาะอาหารและไส้ รวมทั้งสารนี้อาจมีผลต่อสมองหรือระบบประสาทส่วนที่ควบคุมอาการอาเจียนด้วย แต่ว่าการสันนิษฐานดังที่กล่าวถึงแล้วยังไม่กระจ่างนัก และคุณลักษณะด้านอื่นๆมีข้อมูลน้อยกว่า ซึ่งประโยช์จากขิงต่อสุขภาพที่เราเชื่อกันนั้น เดี๋ยวนี้ทางวิทยาศาสตร์มีข้อมูลอธิบายไว้ดังนี้
การรักษาที่อาจเห็นผล
อาการอาเจียนคลื่นไส้ที่เกิดจากการใช้ยาต้านเชื้อไวรัสเอชไอวีหรือเอดส์ คุณประโยชน์ทุเลาอาการอาเจียนอ้วกของขิงบางทีอาจเป็นประโยชน์ต่อคนป่วยโรคนี้ที่อยากได้รับผลข้างเคียงจากการใช้ยารักษาโรค โดยจากการศึกษาเล่าเรียนผู้ป่วยปริมาณ 102 คน แบ่งให้กรุ๊ปหนึ่งกินขิง 500 กรัม อีกกรุ๊ปรับประทานยาหลอกวันละ 2 ครั้ง ในช่วง 30 นาทีก่อนจะได้รับยารักษาโรคเอดส์อย่างยาต่อต้านรีโทรเชื้อไวรัส เป็นเวลาทั้งหมดทั้งปวง 14 วัน พบว่าขิงช่วยลดอาการอ้วกอ้วกที่เกิดขึ้นจากการดูแลและรักษาโรคติดเชื้อเอชไอวีได้
อาการอ้วกคลื่นไส้ภายหลังจากการผ่าตัด ขิงอาจช่วยทุเลาอาการคลื่นไส้และก็อ้วกจากการผ่าตัดได้เช่นกัน โดยการศึกษาเล่าเรียนทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากชี้ว่าการกินขิง 1-1.5 กรัม ในช่วง 1 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัดนั้นดูเหมือนจะช่วยลดอาการอ้วกอาเจียนที่บางทีอาจเกิดขึ้นในระหว่าง 24 ชั่วโมงหลังได้รับการผ่าตัด
งานค้นคว้าวิจัยหนึ่งทดสอบแบ่งคนป่วยจำนวน 122 คนที่รับการผ่าตัดต้อกระจกให้กินแคปซูลขิง 1 กรัม แล้วก็อีกกรุ๊ปได้รับแคปซูลขิง 500 มิลลิกรัมแต่แบ่งให้ 2 คราวก่อนผ่าตัด ซึ่งผลสรุปพบว่าคนไข้ในกลุ่มหลังมีลักษณะคลื่นไส้อาเจียนน้อยครั้งและก็มีความรุนแรงของอาการน้อยกว่า โดยงานค้นคว้าวิจัยนี้พบว่าการใช้ขิงนั้นคงจะให้สมรรถนะสูงสุดเมื่อกินเสมอๆรวมทั้งบ่อยโดยแบ่งจำนวนการใช้
นอกจากนี้ การทดสอบทาน้ำมันขิงบริเวณข้อมือของผู้ป่วยก่อนเข้ารับการผ่าตัด พบว่าช่วยป้องกันอาการคลื่นไส้ในผู้เจ็บป่วยราวๆ 80 เปอร์เซ็นต์จากผู้เข้ารับการผ่าตัดทั้งหมด แต่ทว่าการใช้ขิงช่วยลดอาการคลื่นไส้คลื่นไส้ร่วมกับยาลดคลื่นไส้อ้วกนั้นบางทีอาจได้ผลได้ไม่ดีนัก รวมถึงการใช้ขิงกับคนไข้ที่เสี่ยงต่อการอ้วกอ้วกน้อยอยู่และอาจไม่ได้เรื่องเช่นกัน
อาการแพ้ท้อง การกินขิงอาจมีส่วนช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้อง เป็นต้นว่า อาเจียน คลื่นไส้ หรือเวียนศีรษะ ผลวิจัยชิ้นหนึ่งที่ช่วยรับรองคุณลักษณะนี้เป็นการทดลองในหญิงที่มีอายุท้องต่ำลงมากยิ่งกว่า 20 อาทิตย์ จำนวน 120 คน ซึ่งเผชิญอาการแพ้ท้องทุกๆวันนานอย่างต่ำ 1 อาทิตย์ และไม่รู้สึกดีขึ้นแม้ว่าจะแปลงการทานอาหารแล้วก็ตาม ภายหลังกินสารสกัดจากขิง 125 มก. ซึ่งเสมอกันกับขิงแห้ง 1.5 กรัม วันละ 4 ครั้ง 4 วัน ผลได้แสดงให้เห็นว่าขิงอาจสามารถนำมาใช้ผลดีในฐานะการดูแลรักษาช่องทางต่ออาการแพ้ท้องได้
นับว่าสอดคล้องกับอีกงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยก่อนหน้าที่ชี้ว่าการกินขิง 1 กรัมต่อวัน ติดต่อนาน 4 วัน สามารถช่วยลดความรุนแรงของอาการอาเจียนอาเจียนในหญิงตั้งท้องที่มีอาการแพ้ท้องได้ แต่การใช้ขิงสำหรับคุณประโยชน์ด้านนี้บางทีอาจมองเห็นการดูแลและรักษาได้ช้ากว่าหรือให้ผลดีไม่พอๆกับการใช้ยาแก้อาเจียนอาเจียน นอกจากนั้น การศึกษาเล่าเรียนเกี่ยวกับคุณลักษณะช่วยลดอาการแพ้ท้องของขิงยังมีข้อกำหนดรวมทั้งพบผลลัพธ์ที่ไม่สม่ำเสมอ โดยมีบางการทดลองที่ชี้ว่าขิงบางทีอาจมิได้มีส่วนช่วยสำหรับในการลดอาการแพ้ท้องเช่นเดียวกัน
อาการหน้ามืดศีรษะ อาการที่เกิดขึ้นพร้อมกับการคลื่นไส้นี้บางทีอาจทุเลาให้ได้ด้วยการใช้คุณค่าจากขิง จากงานศึกษาเรียนรู้วิจัยที่ทดสอบด้วยการให้คนที่มีลักษณะอาการบ้านหมุน และตากระตุกจากการกระตุ้นโดยใช้อุณหภูมิรับประทานผงเหง้าขิง ปรากฏว่าเหง้าขิงช่วยลดอาการวิงเวียนหัวได้อย่างเป็นจริงเป็นจังเมื่อเทียบกับกลุ่มที่รับประทานยาหลอก แม้กระนั้นมิได้ช่วยลดช่วงเวลาหรือชะลอการกระตุกของตามากนัก
โรคข้อเสื่อม มีการเรียนบางงานที่ชี้ว่าขิงอาจมีคุณประโยชน์ลดอาการเจ็บที่เกิดขึ้นจากโรคข้อเสื่อม จากการทดลองหนึ่งที่ให้ผู้เจ็บป่วยรับประทานสารสกัดจากขิงประเภทหนึ่ง (Zintona EC) ในจำนวน 250 กรัม วันละ 4 ครั้ง พบว่าช่วยลดลักษณะของการปวดข้อเข่าภายหลังจากการดูแลรักษาตรงเวลา 3 เดือน ส่วนอีกการวิจัยที่ใช้สารสกัดจากขิงผสมกับข่า พบว่าให้ผลลัพธ์สำหรับในการช่วยลดอาการเจ็บขณะยืน อาการเจ็บหลังเดิน และอาการข้อติด
นอกจากนี้ มีการศึกษาเล่าเรียนเปรียบเทียบคุณภาพระหว่างขิงและยาพารา โดยให้ผู้เจ็บป่วยโรคข้ออักเสบในกระดูกบั้นท้ายแล้วก็ข้อหัวเข่ารับประทานสารสกัดขิง 500 มก.ทุกวี่ทุกวัน วันละ 2 ครั้ง ขิงให้ผลทุเลาอาการปวดได้เทียบเท่ากับการใช้ยาไอบูโพรเฟน 400 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง รวมทั้งยังมีงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยที่ชี้แนะว่าการนวดด้วยน้ำมันที่มีส่วนผสมของขิงและส้มบางทีอาจช่วยทุเลาลักษณะของการปวดรวมทั้งอ่อนล้าที่เกิดขึ้นในช่วงสั้นๆของคนไข้ที่มีลักษณะเจ็บเข่าได้ด้วย
ลักษณะของการปวดประจำเดือน นอกจากลักษณะของการปวดจากโรคข้อเสื่อม การศึกษาบางงานยังชี้ว่าขิงอาจมีคุณลักษณะช่วยบรรเทาอาการปวดเมนส์ เป็นต้นว่า การทดลองในนิสิตมหาวิทยาลัย 120 คน โดยให้รับประทานผงเหง้าขิงครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้งในช่วง 2 วันก่อนเริ่มมีเมนส์ตลอดไปจนกระทั่ง 3 วันแรกของการมีระดู รวมยอดเป็น 5 วัน พบว่าผงเหง้าขิงมีส่วนช่วยลดความรุนแรงของลักษณะของการปวดประจำเดือนได้อย่างเป็นจริงเป็นจังด้านการศึกษาเล่าเรียนเทียบประสิทธิภาพของขิงและยาลดอาการปวดรอบเดือนอย่างเมเฟนามิค (Mefenamic acid) หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) 400 มิลลิกรัม ในอาสาสมัคร 150 คน โดยแบ่งกลุ่มรับประทานแคปซูลขิงหรือยาแต่ละจำพวกในจำนวน 250 มก. วันละ 4 ครั้ง นาน 3 วัน โดยเริ่มตั้งแต่มีประจำเดือน ผลปรากฏไปในทิศทางเดียวกันกับงานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยแรก คือ ขิงมีประสิทธิภาพทุเลาความร้ายแรงของอาการปวดรอบเดือนไม่ต่างกับการใช้ยาเมเฟนามิคหรือไอบูโพรเฟน
การรักษาที่บางทีอาจไม่เป็นผล
อาการเมารถและก็เมาเรือ นับเป็นคุณประโยชน์ของขิงที่มีการเอ๋ยถึงกันมาก ทว่าขิงบางทีก็อาจจะช่วยลดอาการหน้ามืดได้ แต่สำหรับเพื่อการตาลายอาเจียนที่เกิดขึ้นมาจากการเดินทางนั้น งานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยโดยมากกล่าวว่าขิงบางทีอาจไม่มีส่วนช่วยได้จริง อย่างเช่น การแบ่งกลุ่มให้เด็กนักเรียนนายเรือ 80 คนที่ไม่คุ้นเคยกับการออกเรือท่ามกลางทะเลที่มีคลื่นแรง รับประทานเหง้าขิง 1 กรัม เทียบกับอีกกรุ๊ปที่กินยาหลอก ปรากฏว่ากลุ่มที่รับประทานขิงนั้นมีอาการอ้วกแล้วก็วิงเวียนลดลงจริงแต่ว่าอยู่ในระดับเล็กน้อยแค่นั้น หรือในอีกงานศึกษาค้นคว้าวิจัยที่ชี้ว่าการกินผงขิงในจำนวน 500 กรัม 1,000 กรัม หรือเหง้าขิงสด 1,000 มิลลิกรัม ต่างไม่มีส่วนช่วยสำหรับในการปกป้องอาการเมารถหรือรูปแบบการทำงานของกระเพาะที่เกี่ยวโยงกับอาการเมารถที่เกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใด
การรักษาที่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอต่อการเจาะจงความสามารถ
อาการอาเจียนอาเจียนจากกระบวนการทำเคมีบำบัด อีกหนึ่งคุณประโยชน์เป็นลดอาการอ้วกแล้วก็อ้วก ซึ่งมีการเล่าเรียนด้านวิทยาศาสตร์ แต่หลักฐานเกี่ยวกับการใช้ขิงในคนป่วยที่รับเคมีบำบัดนั้นยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าจะมีส่วนช่วยได้จริงหรือไม่ การเรียนรู้หนึ่งที่ชี้ถึงประโยชน์ข้อนี้ของขิง โดยให้คนป่วยรับประทานแคปซูลขิงที่ประกอบด้วยขิง 0.5-1.5 กรัม เทียบกับยาหลอก ตั้งแต่ 3 วันก่อนวันทำเคมีบรรเทานานต่อเนื่องตรงเวลา 6 วัน พบว่า มีระดับความรุนแรงของอาการอ้วกที่เกิดขึ้นหลังจากการรักษาน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับประทานแคปซูลขิง แม้กระนั้นเห็นผลได้ชัดในกลุ่มที่ใช้แคปซูลขิง 0.5 กรัม กับ 1 กรัมเพียงแค่นั้น ส่วนกลุ่มที่กินแคปซูลขิง 1.5 กรัมกลับเห็นผลน้อยกว่า แปลว่าการกินขิงในปริมาณมากจึงบางทีอาจไม่ได้ทำให้อาการคลื่นไส้อย่างที่น่าจะเป็น
อย่างไรก็แล้วแต่ มีหลักฐานที่ปะทะคารมข้อเกื้อหนุนดังกล่าวมาแล้วข้างต้นซึ่งเป็นการวิจัยที่เผยว่าการรับประทานขิงมิได้มีประสิทธิภาพดีไปกว่าการใช้ยาแก้อ้วก ทั้งนี้ ผลวิจัยที่ขัดแย้งกันนี้ คาดว่าอาจมีต้นเหตุมาจากจำนวนขิงที่ใช้ทดสอบนั้นต่างกัน รวมถึงขณะที่เริ่มรักษาด้วย ขิงจะประยุกต์ใช้คุณประโยชน์ทางการแพทย์ในด้านนี้แล้วเห็นผลไหมอาจควรมีการยืนยันเสริมเติมถัดไป
เบาหวาน คุณสมบัติของขิงต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของคนเจ็บเบาหวานในตอนนี้ยังมีผลการศึกษาที่ไม่แน่นอน งานศึกษาค้นคว้าวิจัยหนึ่งพบว่าการรับประทานขิง 2 กรัม นาน 12 สัปดาห์ สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม ระดับไขมันในเลือด และสารมาลอนไดอัลดีไฮด์ที่แสดงถึงระดับอนุมูลอิสระในผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวานจำพวกที่ 2 รวมถึงอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังบางชนิดจากโรคเบาหวานได้ ในเวลาเดียวกัน มีการวิจัยอื่นๆที่แนะนำว่าขิงนั้นส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดจริง กลับไม่มีผลต่อระดับอินซูลิน หรือบางงานศึกษาเรียนรู้วิจัยพูดว่าขิงมีผลกับอินซูลิน แต่กลับไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ซึ่งผลการค้นคว้าที่ต่างกันนั้นอาจมาจากจำนวนขิงหรือช่วงเวลาที่คนไข้ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานในแต่ละการทดลองนั้นไม่เท่ากันนั่นเอง
ของกินไม่ย่อย มีการวิจัยเรียนสมรรถนะของขิงในผู้ป่วยที่มีลักษณะของกินไม่ย่อยปริมาณ 11 คน โดยให้กินแคปซูลที่มีขิง 1.2 กรัมหลังจากการเลิกอาหาร 8 ชั่วโมง ผลปรากฏว่าขิงช่วยกระตุ้นให้กระเพาะมีการย่อยอาหารและมีการบีบตัวของกระเพาะส่วนปลาย แต่ว่าการกินขิงนั้นไม่มีผลต่ออาการที่เกี่ยวพันกับระบบทางเดินอาหารหรือสารเปปไทด์ในไส้ แต่ ผู้ร่วมการทดสอบนี้มีจำนวนน้อย ทำให้ไม่บางทีอาจเจาะจงได้อย่างชัดเจนว่าขิงช่วยลดอาการของกินไม่ย่อยได้แน่ๆเพียงใด
อาการแฮงค์ เช้าใจกันว่าการกินน้ำขิงจะสามารถช่วยทุเลาอาการเมาค้างซึ่งได้ผลสำเร็จใกล้กันจากการดื่มแอลกอฮอล์ได้ สำหรับผลดีข้อนี้มีงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยเมื่อนานมาแล้วที่เสนอแนะว่าการผสมขิงกับเปลือกภายในของส้มเขียวหวาน แล้วก็น้ำตาลทรายแดงก่อนดื่มแอลกอฮอล์จะช่วยลดอาการเมาค้างในคราวหลัง รวมถึงอาการคลื่นไส้ อาเจียนและก็ท้องเสีย แต่ การเรียนดังที่กล่าวผ่านมาแล้วยังจัดว่าคลุมเครืออยู่มากมายและไม่บางทีอาจรับรองได้ว่าเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากขิงจริงๆหรือส่วนประกอบอื่นๆที่ใช้ประกอบ
ลดคอเลสเตอรอล คุณสมบัติของขิงซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลนั้นได้มีการทดลองโดยให้ผู้ป่วยที่มีสภาวะไขมันในเลือดสูงกินแคปซูลขิงวันละ 3 ครั้ง ทีละ 1 กรัม ผลบอกว่าเมื่อเทียบกับคนป่วยกลุ่มที่รับประทานยาหลอก ขิงมีประสิทธิภาพช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลลงได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง ซึ่งการใช้ขิงลดระดับคอเลสเตอรอลจะได้ผลดีกระทั่งสามารถนำมาใช้รักษาคนป่วยภาวการณ์นี้ได้หรือเปล่าคงจะจำต้องคอยการเล่าเรียนในอนาคตที่กระจ่างแจ้งกันถัดไป
ลักษณะการเจ็บกล้ามหลังออกกำลังกาย คุณสมบัติด้านการบรรเทาปวดและลดการอักเสบของขิงจะช่วยลดอาการเจ็บจากการบริหารร่างกายได้ด้วยหรือเปล่านั้นยังคงคลุมเครือรวมทั้งเป็นที่โต้วาทีกันอยู่เช่นเดียวกัน จากการทดลองหนึ่งที่ให้ผู้เข้าร่วมรับประทานขิงสดหรือขิงที่ทำให้สุกด้วยความร้อนแล้ว 2 กรัมอย่างต่อเนื่องนาน 124 ชั่วโมง พบว่าขิงสดแล้วก็ขิงสุกต่างมีส่วนช่วยลดลักษณะการเจ็บกล้ามเนื้อจากการบริหารร่างกายแบบหดยืดกล้ามได้ในระดับปานกลางไปจนถึงระดับมากมาย
ทว่าอีกงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยหนึ่งกลับเจอคำตอบในทางตรงกันข้าม จากการให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบที่ทำกิจกรรมออกกำลังกายยืดหดกล้ามเนื้อเหมือนกัน กินขิง 2 กรัมในตอน 24 ชั่วโมงและ 48 ชั่วโมงภายหลังการบริหารร่างกาย พบว่ามิได้นำมาซึ่งการทำให้ลักษณะของการเจ็บกล้ามเนื้อ การอักเสบ หรือบาดเจ็บที่เกิดขึ้นมาจากการบริหารร่างกายน้อยลง แต่ผู้ทำการวิจัยพบว่าการกินขิงอาจช่วยทำให้อาการเจ็บกล้ามค่อยๆดียิ่งขึ้นในทุกวัน ถึงแม้อาจมองไม่เห็นผลได้โดยทันที
ลักษณะของการปวดหัวไมเกรน มีการศึกษากับคนไข้ 100 คน ที่เคยมีลักษณะปวดหัวไมเกรนเฉียบพลันโดยให้รับผงขิงหรือยารักษา http://www.disthai.com/

หน้า: [1] 2