รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Topics - tawattt005

หน้า: [1] 2
1

ขายส่งกระชายดำ บีทรูท เป็นพืชชนิดหนึ่งที่นิยมนำรากซึ่งอยู่ใต้ดินมารับประทาน มีอยู่หลายสายพันธุ์รวมทั้งมีชื่อเรียกไม่เหมือนกันออกไปตามภูมิภาคขายส่งกระชายดำเเคปซูล นิยมนำมากินสด ดอง ประกอบอาหาร เพิ่มสีสันของของกิน แปรรูปกระชายดำราคาถูกเykuilป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆrfkiuและ|และก็|แล้วก็|รluilวมทั้ง}ใช้ประโยชน์เป็นยารักษาโรค กล่าtfliuวกันว่าบีทรูluliulทช่วยลดระดับไขมันในเลือดบางจำพวกขายส่งกระชายดำเเคปซูล ลดความดันโลหิต เสuiluiluiluilริมสมรรถนะร่างกtykyuyurfliายให้แluiก่นักกีฬา เสริมแนวรyukilkrjtyทางการทำงานของตับหรือahtyjykคุ้มครองปกป้อyuluilงfrkiultfโรluคตับกระชายดำราคาถูก รวมถึงต่อต้านมะเร็งขายส่งกระชายดำเเคปซูล เหตุuilเพราะอุดมไปด้วยสารอาหารที่สำคัญหrflkiulลายอย่าง เช่น กระชายดำราคาถูกluilulใยอาหาร วิตามินบี 9 uilโฟเลต แมงกานีส โพแทสเซียม ธาตุเหล็ก วิตามินซี ฯลฯบีทรูทนอyktกจากrflkiuนี้ บีทรูทยังมีสาtulktykkรuiประกอบทางเคkytขายส่งกระชายดำเเคปซูลkuมีในพืชอีกหลายประเภทที่เป็นสารกuilลุ่มไนโตรเจนul tยกว่า เบตาเlาi}uilแตกต่างktykกันulul โดยเฉkrาะอย่างยิ่งสารอนุภาlบตาtykไซยานิน uiletacyanin)tyk ขายส่งกระชายดำเเคปซูลที่ให้สีแดง และสารบีตากระชายดำราคาถูกแซนrylทิน (Betaxanthktyin) ที่ให้สีเหลือง uilรhjtysวมทั้uildfงสyารให้สีชuykดอื่นๆยกตัวอย่างเykt บีทานิน (Betanin) วูลกา-แซนทิน (Vulgaulanthtluilin) หรือกรดเบทาเลuilมิก (Bultalamic Acid)ค่ากระชายดำราคาถูกทางโภชนาการที่esjuykเจอในบีทรูทดิบ yukyuk100 กรัมน้ำ 88 เyukปอร์เซ็นต์พลังงาน 43 กิโลแคykyuลอรี่โปรตีน 1.6 กรัมน้ำตาล 6.8 กรัมrflใยอาหาร 2.8 กulรัมไขuilนทั้งหมดทั้งปtวง 0.2 กรัม  กรดไขมันจำพวกอิ่มตัว 0.03 กรัluไขuillนไม่อิ่มตัวเชิงผู้เดียว 0.0iuluil3 กรัมไขมันuilไม่อิ่uilมตัวเชิงซ้อน 0.06 กรัมโอเมก้า 3 0.01 กรัมโอเมก้า 6 0.06 กรัมแม้uilกระนั้น ประโยชน์ของบีทรูทที่เคยได้ยินtyjกันนั้นจะเท็จหรือจริงuiแค่lไหน ฐานข้อมูลที่คliuiluรอบคลุrfrtมเกี่ยวกับการแพuilทย์ทางธรรมชาติ (Nuilatural Medicines Comprehensive Database) ระบุว่าข้อมูลกระชายดำราคาถูกการศึกษาเกี่ยวกับคุณประโยชน์uilทางยาขuilองบีทรูทในoiตอนนี้ยังมีจำกัดขายส่งกระชายดำเเคปซูล ก็เyulลยยากต่uilอการรับรองคุณภาพ ดังนี้ ประโยช์จากเอ่ยถึง มีดังนี้ลดระดับสามกลีเซอร์ไรด์ในเลือด พูดกันว่าสารไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) ที่พบdkuyในบีทรูทมีสyukรพคุณuiณประโยชน์กระชายดำราคาถูกช่วยขยายเส้นโลหิตylอย่างอ่อนๆทำให้โลหิตไหลเวียนได้สะดวyukกขึ้น แล้วก็ยังช่วยลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด ซึ่งเป็นiulปัจจัยหลักที่กระตุ้yuนแล้วส่งkuyผลให้มีการเกิดขายส่งกระชายดำเเคปซูลโรคหัวuilใจและหลอดเลือดได้ง่าย

Tags : ขายส่งกระชายดำ,ขายกระชายดำราคาถูก

2

เห็ดหลินจือ ต้นเข็ม ต้นไม้ยอดนิยมความหมายดี ที่นิยมปลูกฯลฯไม้ขอบรั้ว และใช้ประกอบพิธีไหว้อาจารย์ ซึ่งต้นเข็มมีอยู่หลายประเภท พวกเราจะพาไปทำความรู้จักกับต้นเข็มกันจ้ะ ต้นเข็ม เtjtyjป็นไม้พุ่มขนาดเล็tyjtjกที่นิerhtrhjยมนำมาปลูกเห็ดหลินจือเพื่อแต่งแต้มรั้วบ้r ทั้yukงยังยังuigเป็นต้luilนไม้ที่เปรียบได้กับเป็นสัญลักษณ์แห่งพิธีการไหว้ครูuyukyukkkyuอีกด้วย ด้วยลักษkyณะดkyuอกที่แหลมเล็ก สีสันyukyuสuillดใสทั้งยังสีแดง ชมพู หรือสีส้ม กับความหมายดีๆที่เป็นมงuคล วันนี้กระปุกkuykดอทคอมก็เลยyuyuข้อมูลของต้นเข็มrthาฝากtrได้เรียนรู้แลrthะทำความรู้จักกับsdต้นเข็มใerห้มากขึ้นเรื่อยๆกันค่ะลัrtrtณะทั่วไปของต้นเhyukkrth เข็มเป็นไม้พุ่ม มีขrthนาrehtrดความสูงขergrtองhrthต้นประมาณ 3-5 เมตyukรk รูปแบบขrtองกิ่งเป็นกิ่งเดี่ยyuk แตกกอแผ่ขยายออก และก็มักจะแkyuตกกิ่งบนยอดyukyuต้น ใบเป็yukนykใบเดี่yยวเหมือนกัน แต่ลักษณะใบจะแข็งเปราะ ปลายใบแหลม มีสีเขียวสyukด มักจะขึ้นyแซมรkyukอบต้น ส่วนดอกเข็มจะแหลมเล็ก จับกลุ่มกันเป็นyukพุ่ม มักจะมีก้านดอกหุ้มห่ykuอปกป้องรักษyukาtyjyukyuดอกเข็มไว้ ส่วนสีแล้วก็ขนาดyukจะขึ้นอยู่yukบพันธุ์ukyukของต้นเข็มความหมายของต้นเข็ม    ดอกเข็มยังจัดว่าเป็นไม้มงคลyuukykตามความเชื่อของเก่าจkyukyuะถือว่า ดอกเข็มที่แหลมukyuเรียว ก็เปรียบได้กับสติปัtrhญญาที่เฉลียวฉลาด เห็ดหลินจือดอกเrthข็มก็เลยถูกเชิดชูให้เป็นดอกไrthม้ทุกวันไหว้อาจารย์rt hและชอบถูyukกนำไปบูชาพระ และก็ใช้เสริมแต่งแจกัน ตามงานrthพิธีบาปต่าrhงๆต้นเข็มมีกี่จำพวก  ต้นเข็ม มีอhยู่rtร่วมกันหลhtยประเภท รวมทั้งkyuจะมีลักษณะนานับประการตามสายพันธุ์ เห็ดหลินจือคุณลักษtjkyณะเด่นที่มองเห็นง่ายเห็ดหลินจือเป็นสีที่ไม่เหhrมือนกันขอkงดอกเข็ม ส่วนต้นเข็มสายพันธุ์ต่างๆมีดังนี้ต้นเข็มสีชมพู ต้นเข็มสีkyชมพู หรือบางที่เรียกว่า fgjเข็มพิษณุโลกชมพู เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ทรงพุ่มดrtอกอัดแน่นทึบ ดอกhrtสีชมพูหวาน ชอบออกดอกเป็นพุ่มเล็กๆกระจุ๋มกระจิ๋ม ต้นเข็มพันธุ์นี้มีดอกตลอkyuดทั้งปี อีกทั้งยัง{ออกkyu

3

กระเทียม ลักษณะทางวิชาพฤกษศาสตร์ราก และก็ลำต้นโหระพาเป็นไม้ล้มลุก มีระบบรากแก้ว รวมทั้งรากฝอย ลำต้นมีความสูงราว 40-60 เซนthrtjtukyilติเมตร ลำต้นเergerป็ilสี่oi;o'pเyukyukหลี่ยม แก่ilานใน|ข้างใน|ภาย[p]ใน}เป็kytkuนไม้เนื้อilอ่uอนกระเทียม ผิytjtyjวลำต้นอ่อนหรืerhอกิ่งtilukอ่อนมีสีม่วงykluilul;แดง ลำต้นแตuilกกิ่งตั้งyujแต่ระio;ดับต่ำของลำต้นกระทั่งแลดูเป็io;นkjyuทรงพุ่uilมไม้ กิ่งแkตกออกio;เป็นคู่ตรงข้ามกันโหระพาใบโหระพาบio;โหระพาออio;กเป็นใบเดี่ยวlมตร ยาวราว 6 เซนติเมตร โคนใบมน ใบปลายแหjtyลม แผ่นใบเรียบ และก็ค่yukyukอนข้างจะเป็นมัน ขอบใบหยักเuilป็นฟันเrthลื่อย มีเส้นใบมองเห็larwนแจ่มแasthrhจ้ง io;ใบไม่มีขนj ใบtykjyklu;lioมีน้ำมั;io;นหอมระเหยทำให้มีกลิ่นหอมดอกดอกโหระพาออกเป็นช่อที่io;ปลายยอด แต่ละช่อio;มีดอกเรียงเป็นชั้นๆแต่ละชั้นมีโดยประมาณ 6-8 ดอก ดอกมีio;สีขาวอมแดงม่วง io;oip;io;ข้างในมีเกสรตัวผู้ 4 อันการปลูกโหระพากาszjรปลูกโหio;ระพาสามารถhrtปลูกได้ 3 วิธี rthคือ กาio;รโปรยเมล็ด การ;ioย้ายพันธุ์กล้าหลังการio;io;หว่านเมล็ด และการปักohtrri;ชำกิ่ง แต่วิธีที่นิยมจะเio;ioป็นการหว่านเม็ด แล้วก็การย้ายประเtryuikuikภทกล้าการเตรียมดิน– ไถกลบดิน 2 รอบui แต่ละรอบตากดินนาน 5-7 วัน– ไถชูร่อrthrtแปลง ขนาดกว้าyukง 1.5-hrth2 yukเมตร ควyukามio;วตามความเหมาะสม– ก่อนไ;ioถยกร่อง ให้หjyukyukว่านด้วยปุ๋ยyukมูลสัตว์uiยธรรมชาติอัตรkkuiyuา 2-3 ตัน/ไร่ ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-1uky5 อัตรา 30 กิyukโล/ไร่–;s สำหรับyukแปลงเพาะกล้าโหระพา ให้ไถพรวนดิน และก็ชูร่องในขนาดเดียวกัน jytkyio;ioikและหว่านปุ๋ยมูลสัตว์กระเทียม รวมทั้yuปุ๋ยเคมีykในรูปร่างที่ลio;ดลงมาการจัดเตrehtรียมกล้า– ทำการหว่านเม;ioล็ดลงในแปลง ให้เมล็ดมีกาuilรกระจายตัวราว 3-5 เซนติเมตร– ข้างoiลังหว่านให้ใช้คราดเกลี่ยหน้าดินบางๆแล้วปกคลุมด้วยฟางข้าวบางๆ;io– ให้รดน้ำหลังหว่านเมล็ด และกระเทียมรดน้ำทุกวี่วัน วันละ 1-2 ครั้ง– เมล็ดจ;ะเริ่มงอกภายในio;io 5-7 วัน หลังหว่านเม็ด– ดูแลกล้โหระพาจนมีความสูงได้ราวๆ 10-15 เซนติเมsrehtjrtตร กระเทียมหรืออายุราว;20-25 วัน ค่อยถอนกล้าluioปลูกuiปลง– ก่อนถอuilนปลูก ให้รดน้ำก่อน 24 ชั่วโมงขั้นตอนการปลูกโหระพา– ระยะปลูก 20-30 x20-30 เซนติuilเมตร– ขุดหลุมด้วiluยเสียมลึกโดยประมาณ 5 เซนติเมตร หรือ ลึกให้กลบโคนต้นขึ้iluiนมา 2-3 เซนติเมตรlu– หลังปลูกเสร็จ รดน้ำlให้หน้าดินเปียกแฉะ

Tags : กระเทียม

4

ขายส่งสลายไขมัน ดอกอัญชัน ดอกไม้สีม่วงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสมุนไพรที่เป็นประโยชน์อย่'opางมาก หลาlkiluiยๆ'op'คน'poคงoเคยรัdekuilkuiluilรู้สรรพคุณของเจ้าดulอกอัญชัuilio;กันมาบ้างแล้ว ที่เห็นกันแจ้kylkuงชัดสลายไขมันราคาถูกก็คงจะเilulป็นการนำอัญชันมuilถูขนคิ้วเilululdjyuด็กตัวเล็กๆๆเพราะมีความคิดว่frาจะทำให้คิ้วดกoi;ดำขึ้น หรือแม้กระทั้งสลายไขมันราคาถูกคุio;ณค่าio;ในการ|สำหรับกาop'ร|สำ'opหรับop'io;ในการ|สำหรัsjบเพื่อการ}นำสีของ'opดอuilกอัญชันมาใช้สำห'poรับการทำครัวหรือขนมต่างๆขายสลายไขมันเเคปซูลแต่ว่ารู้หรือไม่ขายสลายไขมันเเคปซูลว่าที่จริงแล้วดอกio;;อั'poญชันมีสาระอีกมากมายหลายอย่iluiางเลยuilล่ะจ้ะ ใคร่รู้แล้ykใช่ไห'pมล่ะว่า เจ้าดอกเล็กๆสีม่yukวงนี้ขายสลายไขมันเเคปซูลมีสาระyuio;kykอย่างไรบ้าง ไปดูกันเลย kufyukyจักดอกอัญชันก่อนที่จyukะพวกเราจะykไปioylทำความรู้จักกับขายสลายไขมันเเคปซูลสรรพคุณและก็คุณประโยชน์ที่ได้i;รับมาจากดอกjyอัญชันสลายไขมันราคาถูก พวกเราio;มาtyjทำควyukามรู้จักกับอัoi;ญyukนกันใuilห้มากขึ้นเรื่อยๆหน่อยuio;kyukดีมtf,lากกว่าจ้ะ เผื่อคนใดที่ยังไม่ทราบเวลาไปเห็นที่ไหi.fนจะได้ทรา.ioบกันจ้ะ อัญชัน มีชื่อภาษาอังกฤษว่า l,iopea, ;oBlue pea, หรือ Arshjtykysian pigeonwings มีkyukชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Clitoria ternatea L. เป็นพืชตระกูลyukถั่ว (Fuiabaceae) อยู่ในสกุล L.eguminosae เป็นพืชที่.ioมีต้นกำเนิดอยู่ในประเทศแถบอเมริกาใต้ โด'opยปกติสลายไขมันราคาถูกนิยuil'opมปลูuilกในเขตร้อluiน อัy'ทั้งiul}สีขาว ดอกชั้นในแบ่งเป็;io;lน 5 กลีบ กลีบนอกมีสีเขียว ส่งผลเป็นฝัก ลักษณi,ui,ะแบนคล้ายฝักถั่ว ปio;ริghkmมาณยาวรio;าวuy,myuๆ 5-10 ซม. ดอกอัlio;ญชันloiมีชื่uiอเรียกตามท้องถื่นที่แตกต่างกันuไป สลายไขมันราคาถูกดังเช่นว่า ในภาคเหop'นือจะเรียกดio;กอัญชันว่า เอื้องชัน แต่ในจังหวัดเชียงใหม่จuyะเรีย;tfกว่iluiuluilาแดงชัน  สรรพคุณดอกylkuilญชันอันน่uilาทึ่ง  ดอกอัญilชันio;มีคุณลักษyukณะ;io;สำหรับiuliuเพื่อ;ioกาyumkuilรเป็นสlui;ารต้านอนุมูyiuuio;kuilลอิสร;ะ io;io;โดยในดอกอัuykญuiiulชันนั้นมีสารตั;oi;วหuilนึ่งที่ชื่อว่าแอนโuiทไซยioานิน (uilAnthluocyanin) ซึ่งสารu;ระเภทkyukนี้สามารถช่วยทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมykากขึ้นหลักการทำงานของดio;วงตาyk เพิ่มความสามาyilรถสำหรับการเห็น แก้อาการตามัวขายสลายไขมันเเคปซูล ตามัว หรือสภาวะสลายไขมันราคาถูกการเสื่อมขyukองดวงตuilาที่มyukyาtจากเบuilาหวานukyfukui โรคต้อหิน โkyuรคต้อกระจylก ขายสลายไขมันเเคปซูลและมีหน้าที่ไปช่วยกระตุ้นกาio;oi;;ioรไหลเวียนของเลือด ทำให้เลือ;oikyukyuดไปเลี้ยuงส่วนต่างๆเจริญ;ioเพิ่มมากขึ้น  แถมยังมีฤทธิ์ต้านทานการอuiukylio;อกสิเyukดชั่นของไขมัน ชะลอการเกิดโรคuklyulที่มีต้นเหตุมากจากคอเลสเตอรอลyulชนิดที่ไม่ดี (LDL) สลายไขมันราคาถูกตันในเส้นเลือด และก็yuโtรlkคขายสลายไขมันเเคปซูลlyuเส้yโลหิตsjหัวใจแข็งตัklylวอีกด้วย และก็คุณลัyukกษณะที่สำyukญอีกอย่างหนึ่งyukkคือ ดอกอัญชันนั้นยัytงช่วยยั้งการรวมตัวขyukองเกล็ดเลือด ช่วยขับyukเยี่ยว แyuวก็ช่วยผ่อนyuคลายของกล้ามเนื้อ

Tags : ขายส่งสลายไขมัน,สลายไขมันราคาถูก,ขายสลายไขมันเเคปซูล

5

รากสามสิบ
รากสามสิบ สรรพคุณ ว่านสามสิบ ตำรายาประจำถิ่น ใช้ ทั้งต้นหรือราก ต้มน้ำ แก้แท้งลูก แล้วก็โรคคอพอก ราก มีรสขื่นเย็น รับประทานเป็นยาแก้พิษร้อนในหิวน้ำ แก้ปวดเมื่อย ครั่นตัว ฝนทาแก้พิษแมลงป่องกัดต่อย แก้ปวดฝี ทำให้เย็น ถอนพิษฝี พิษปวดแสบปวดร้อน ช่วยบำรุงรักษาทารกในท้อง บำรุงตับ ปอด ชูกำลัง ผสมกับเหง้าขิงป่า รวมทั้งต้นจันทน์แดงผสมเหล้าโรงใช้เป็นยาแก้วิงเวียน ทั้งยังต้นหรือราก ต้มน้ำดื่ม แก้ตกเลือด และก็โรคคอพอก ผล มีรสเย็น ปรุงเป็นยาแก้พิษไข้เซื่องซึม แก้พิษไข้กลับ ไข้ซ้ำ มักใช้ร่วมกับผลราชดัด เพื่อดับพิษไข้จากบิดเรื้อรัง
รากสามสิบ ผลักดันความรัก รวมทั้ง กระชับความเกี่ยวข้องให้ชีวิตของการการมีคู่ครอง คลายกล้ามของมดลูก บำรุงหัวใจ ,แก้การอักเสบ ,บำรุงเลือด แก้ปวดระดู ระดูมาไม่ปกติ ลดภาวการณ์มีลูกยาก เสริมฮอร์โมนผู้หญิง กระชับช่องคลอด ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็ว บำรุงผิวพรรณ ลดสิวฝ้า ชลอความแก่ แก้อาการวัยทอง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Asparagus racemosus Willd.
ตระกูล : Asparagaceae
ชื่ออื่น : สาวร้อยสามี รากศตวารี จ๋วงเครือ (เหนือ) ผักชีช้าง (จังหวัดหนองคาย) ผักหนาม (จังหวัดโคราช) สามร้อยราก (จังหวัดกาญจนบุรี) สามสิบ ชีช้าง จั่นดิน ม้าสามต๋อน
ลักษณะทางวิชาพฤกษศาสตร์
ไม้เลื้อย เนื้อแข็ง ลำต้นสีเขียว มีหนามแหลม มักเลื้อยพันตันไม้อื่น เลื้อยยาว 1.5-4 เมตร เถากลมเรียบ เถาอ่อนเป็นเหลี่ยม ตามข้อเถามีหนามแหลม มีเหง้าแล้วก็รากใต้ดินออกเป็นกระจุกเหมือนกระสวยออกเป็นพวงเหมือนรากกระชาย อวบน้ำ เป็นเส้นกลมยาว โตกว่าเถามาก ลำต้นมีหนาม เถาเล็กเรียว กลม สีเขียว ใบคนเดียว แข็ง ออกรอบข้อ เป็นฝอยเล็กๆเหมือนหางกระรอก สีเขียวดก หรือเป็นกลุ่ม 3-4 ใบ เรียงแบบสลับ ใบรูปเข็ม กว้าง 0.5-1 มิลลิเมตร ยาว 3-6 เซนติเมตร แผ่นใบมักโค้ง สันเป็นสามเหลี่ยม มี 3 สัน ปลายใบแหลม เป็นรูปเคียว โคนใบแหลม มีหนามที่ซอกกลุ่มใบ ก้านใบยาว 13-20 ซม. ช่อดอก ออกที่ปลายกิ่งหรือซอกใบ แบบช่อกระจะ ยาว 2-4 ซม. ดอกย่อย สีขาว ขนาดเล็ก มีกลิ่นหอมยวนใจ มี 12-17 ดอก ก้านดอกย่อย ยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร กลีบรวม มี 6 กลีบ เชื่อมกันเป็นหลอดรูปดอกเข็ม ปลายแยกเป็นแฉก ส่วนหลอดยาว 2-3 มิลลิเมตร ส่วนแฉกรูปช้อน ยาว 3-4 มิลลิเมตร กลีบดอกไม้บางรวมทั้งย่นย่อ เกสรเพศผู้ เชื่อมและอยู่ตรงกันข้ามกลีบรวม ขนาดเล็กมี 6 อัน ก้านชูอับเรณูสีขาว อับเรณูสีน้ำตาลเข้ม รังไข่รูปไข่กลับ ยาวราวๆ 1 มม. อยู่เหนือวงกลีบ มี 3 ช่อง แต่ละช่องมีออวุล 2 เม็ด หรือมากยิ่งกว่า ก้านเกสรเพศเมียสั้น ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็นสามแฉกขนาดเล็ก ผลสด ออกจะกลม หรือเป็น 3 พู ผิวเรียบเป็นเงา ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4-6 มม. ผลอ่อนสีเขียวเมื่อสุกสีแดงหรือม่วงแดง เม็ดสีดำ มี 2-6 เมล็ด ออกดอกช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน เจอตามป่าโปร่ง หรือเขาหินปูน
สาวร้อยผัวหรือรากสามสิบ เป็นสมุนไพรไทยมีรสขนมหวานเย็น ที่แฝงไปด้วยสรรพคุณขนานเอก บำรุงเครื่องเพศในสตรี และก็ยังเสริมสมรรถภาพทางเพศให้แก่ผู้ชาย
นิยมนำส่วนของใบอ่อน ยอดอ่อน ผลอ่อน ซึ่งมีกลิ่นหอมยวนใจเหมือนผักชีลาว มารับประทานเป็นผัก และนำส่วนของรากที่มีลักษณะคล้ายกระชาย แม้กระนั้นมีขนาดใหญ่และก็ยาวกว่าทั้งยังมีกลิ่นหอม มาใช้ดองยาสมุนไพร บำรุงกำลังในสตรีด้วยคุณประโยชน์ที่สอดคล้องกับชื่อที่เรียกขานกันว่า สาวร้อยผัว ที่สื่อความหมายได้ว่า ไม่ว่าสาวใด อายุเท่าไหร่ อยู่ในวัยมีประจำเดือนหรือหมดประจำเดือนก็ตาม ถ้าหากได้ทานหัวพืชประเภทนี้เป็นประจำ จะช่วยทำให้ดูเป็นสาวกว่าวัย มีพลังทางเพศ แล้วก็ยังช่วยเพิ่มขนาดของหน้าอก ด้วยวิธีการนำรากสดมาต้มกินหรือจะนำรากไปตากแห้ง แล้วเอามาบดเป็นผุยผงปั้นเป็นลูกกลอนผสมกับน้ำผึ้งกินก็ได้เช่นกันตามตำราอายุรเวท มีการใช้รากสามสิบเป็นสมุนไพรหลักสำหรับบำรุงในผู้หญิง ช่วยให้สตรีกลับมาเป็นสาวได้อีกที
ในอินเดียก็เรียกสมุนไพรประเภทนี้คล้ายกับเมืองไทย โดยในภาษาสันสกฤต เรียกว่า ศตาวรี (Shtavari) มีความหมายว่า ต้นไม้ที่มีรากหนึ่งร้อยราก หรือบางตำราเรียนบอกว่าคือ ผู้หญิงที่มีร้อยผัว “Satavari” (this is an India word meaning’a woman who has a hundred husbands) รากสามสิบเป็นสมุนไพรที่ถูกพูดถึงในหนังสือ พระเวท ซึ่งเป็นคำภีร์ที่มีมาก่อนอายุยงรเวทด้วยซ้ำ ก็เลยคงจะถือได้ว่าเป็นสมุนไพรที่มีการใช้มานานหลายพันปีแล้ว และในประเทศอินเดียใช้ รากสามสิบ ทำเป็นอาหารหวานเหมือนกับเมืองไทย
ในตำราเรียนอายุรเวทใช้รากสามสิบเป็นสมุนไพรหลักสำหรับบำรุงในหญิง สำหรับการทำให้เพศหญิงกลับมาเป็นสาว (Female rejuvention) ยิ่งกว่านั้นยังช่วยไขปัญหาอื่นๆของเพศหญิงดังเช่น สภาวะรอบเดือนเปลี่ยนไปจากปกติ ปวดประจำเดือน สภาวะมีลูกยาก ตกขาว ภาวะอารมณ์ทางเพศเสื่อมโทรม สภาวะหมดปะจำเดือน(menopause) และก็ใช้บำรุงนมบำรุงท้อง ปกป้องการแท้ง (habitual abortion) รวมทั้งอาการที่ไม่ปรารถนาอื่นๆของเพศหญิง
หากแม้สมุนไพรจำพวกนี้จะเด่นต่อเพศหญิงแล้ว ในประเทศอินเดียยังคงใช้สำหรับเพื่อการเพิ่มพลังทางเพศให้กับผู้ชายอีกด้วย ซึ่งก็อาจคล้ายกับทางภาคเหนือของไทยที่ใช้สาวร้อยสามี หรือที่เรียกในภาคเหนือว่า “ม้าสามต๋อน” เป็นยาดองเพื่อเพิ่มพลังทางเพศชาย รวมทั้งยังใช้เพื่อคุณประโยชน์ทางยาอื่นๆอีกมากมาย เช่น ยาแก้ไอ ยารักษาโรคกระเพาะ ยาแก้บิด แก้ไข้ แก้อักเสบ ซึ่งจัดได้ว่าสมุนไพรประเภทนี้เป็นสมุนไพร ที่ใช้สูงที่สุดในอินเดียประเภทหนึ่ง ตอนนี้มีสารสกัดด้วยน้ำ ของรากสามสิบ จากประเทศอินเดียไปจำหน่ายที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ในลักษณะเป็น dietary supplement หรือพวกอาหารเสริมซึ่งสามารถขายได้ ทั่วไปไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์

สรรพคุณสมุนไพรรากสามสิบ (รากศตวารี)
ช่วยสร้างสมดุล แก่ระบบฮอร์โมนผู้หญิง
แก้ปวดระดู
แก้ระดูมาไม่ปกติ
แก้อาการตกขาว
แก้ปัญหาช่องคลอดอักเสบ ช่วยดับกลิ่นในช่องคลอด
ช่วยให้ช่องคลอดกระชับ
ไขปัญหาการมีบุตรยาก คุ้มครองป้องกันการแท้งบุตร
บำรุงนม
ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็ว
ช่วยระบาย ขับปัสสาวะ
ลดกลิ่นตัว กลิ่นปาก
ช่วยเพิ่มขนาดทรวงอก และสะโพก
กระชับสัดส่วน
ช่วยลดไขมันส่วนเกิน
ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
บำรุงเลือด แล้วก็บำรุงหัวใจ
บำรุงฮอร์โมนเพศ
บำรุงผิวพรรณ
ลดสิว ลดฝ้า ช่วยผิวขาวใส
แก้อาการวัยทอง ชะลอความเฒ่า
ใช้รักษาโรคตับ ปอดพิการ
ชูกำลัง แก้กระษัย
ข้อควรปฏิบัติตามสำหรับในการใช้รากสามสิบ
รายงานการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์พบว่ารากสามสิบมีฤทธิ์เหมือนฮอร์โมนเอสโตรเจน ด้วยเหตุดังกล่าวก็เลยห้ามประยุกต์ใช้ในสตรีที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง อาทิเช่น ผู้เจ็บป่วยโรค uterine fribrosis หรือ fibrocystic breast
ผลการวิเคาะห์สมุนไพรรากสามสิบ
การศึกษาในหนูแรทของสารสกัดรากด้วยเอทานอลต้นรากสามสิบ แบ่งเป็น 2 ช่วงเป็นตอนฉับพลัน รวมทั้งช่วงยาวตลอด
โดยการศึกษาเล่าเรียนในระยะเฉียบพลันป้อนสารสกัดเอทานอลต้นรากสามสิบขนาด 1.25 กรัม/กิโลกรัม ให้กับหนูแรทที่ไม่เป็นเบาหวาน แล้วก็หนูแรทที่เป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 1 และ จำพวกที่ 2 พบว่าไม่เป็นผลลดระดับน้ำตาลในเลือด แต่ว่าช่วยทำให้ทนต่อการเพิ่มขึ้นของกลูโคส (glucose tolerance) ในนาทีที่ 30 ดีขึ้น รวมทั้งการศึกษาเล่าเรียนตอนยาวสม่ำเสมอโดยป้อนสารสกัดเอทานอลรากสามสิบขนาด 1.25 กรัม/กก.วันละ 2 ครั้ง นาน 28 วัน ให้กับหนูที่เป็นเบาหวานประเภทที่ 2 ในระหว่างที่หนูโรคเบาหวานกลุ่มควบคุมได้รับน้ำในขนาดที่เท่ากัน พบว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ และเพิ่มระดับของอินซูลิน 30% เมื่อเทียบกับกรุ๊ปโรคเบาหวานควบคุม นอกจากนี้ยังเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มระดับอินซูลินในตับอ่อน และเพิ่มกลัยโคเจนที่ตับเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มโรคเบาหวานควบคุม จากการเล่าเรียนในครั้งนี้สรุปได้ว่าฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดของสารสกัดรากสามสิบน่าจะเป็นผลมาจากการหยุดยั้งการย่อยแล้วก็การดูดซึมสารคาร์โบไฮเดรต และการเพิ่มการหลั่งอินซูลิน ซึ่งต้นรากสามสิบน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการเอามารักษาผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวานได้
ที่มา : หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล http://www.disthai.com/

6

สมุนไพรรากสามสิบ
สมุนไพร รากสามสิบแคปซูล รากสามสิบ แบบล้วน  สรรพคุณและผลดี สิ่งที่ไม่อนุญาต ผลกระทบจากรากสามสิบ สำหรับหญิงที่มีปัญหาเรื่องกระชับช่องคลอด
อยู่อย่างไรให้ชีวิต Sex ดีขึ้น กระชับช่องคลอด เพิ่มน้ำหล่อลื่น ทำให้กระชับ (รีแพร์) แบบผู้หญิง ทำให้ช่องคลอดไม่แห้ง มีความชุ่มชื้น แล้วก็ เป็นสุขทางเพศ รักษาภาวะเมนส์ผิดปรกติ ปวดรอบเดือน มีบุตรยาก ตกขาว ไม่มีอารมณ์ทางเพศ  กามตายด้าน บำรุงนม บำรุงครรภ์ คุ้มครองปกป้องแท้ง แพงส่ง รวมทั้ง ราคาถูก แบรนด์ รีวิวมากมาย กว่า 8 ปี
สมุนไพรเน้น กระชับ ช่องคลอด ตกขาว ประจำเดือน อารมณ์เพศผันแปร ไร้สมรรถภาพทางเพศผู้หญิง รากสามสิบ ราชินีสมุนไพรชีวิตครอบครัว  ดูแลปัญหาระบบด้านในช่องคลอดไม่กระชับและก็มีปัญหาชีวิตแต่งงานบนเตียงมีเหม็นอับ ไม่พึ่งปรารถนาตกขาวมดลูกต่ำ สตรีวัยทอง ดูแลปัญหารอบเดือนมาไม่ดีเหมือนปกติ
สมุนไพร รากสามสิบ แคปซูล กระชับช่องคลอด
ปัญหาลับๆยกตัวอย่างเช่น ช่องคลอดหย่อนยานไม่กระชับ ปวดท้องเวลามีประจำเดือน ระดูไม่ตามกำหนด คือปัญหาต่างๆที่รบกวนจิตใจของสตรีกว่า 98% รวมถึง อกเล็กแบบ หย่อนยาน พุงป่อง หรือปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการขาดสมดุลในฮอร์โมน แนะนำ กวาวเครือขาว และ รากสามสิบ ซื้อ กวาวเครือขาว แล้วก็ รากสามสิบ
รากสามสิบ กระชับช่องคลอด
สรรพคุณ ผลดี และก็ ข้อที่ไม่อนุญาต ผลข้างเคียง
สมุนไพรไทย รากสามสิบแบบแคปซูล กระชับสำหรับสตรี  ไม่ว่าจะเป็นกำลังเสือโคร่ง โด่งไม่รู้ล้ม สาวน้อยตกเตียง จนมาถึงรากสามสิบหรือต้นสาวร้อยสามีนี้แหละ ต่างคนต่างงงเต็ก ว่ามันเป็นยังไง คุณประโยชน์ ทำให้กลับมาเป็น ใช้เป็นยาบำรุงสำหรับสตรี สาว(female rejuvention) กระชับช่องคลอด รักษาสภาวะระดูมาไม่ดีเหมือนปกติ ปวดรอบเดือน ภาวะมีบุตรยาก ตกขาว อารมณ์ทางเพศเสื่อมถอย  ภาวการณ์หมดรอบเดือน บำรุงนม บำรุงท้อง ปกป้องการแท้ง นอกนั้นยังใช้เป็นยาบำรุงกำหนัดในผู้ชายได้ด้วยครับผม  นอกเหนือจากนั้นยังมีการประยุกต์ใช้เป็นยาแก้ไอ ยาแก้โรคกระเพาะ แก้ไข้ แก้อักเสบ ได้เช่นกัน เป็นสมุนไพรที่มีการออกฤทธิ์คล้ายเอสโตรเจน 
ต้น รากสามสิบ แคปซูล หมอยาในแต่ก่อนจะเรียกกันว่า"สาวร้อยสามี" ส่วนมากใช้เป็นยาบำรุงสำหรับสตรี ทำให้มีแรง แคล่วคล่องว่องไว ไม่แก่ เหมือนๆสาวสองพันปี
ในตำราเรียนอายุรเวทใช้สมุนไพรจำพวกนี้เป็นสมุนไพรหลักสำหรับเป็นยาบำรุงในสตรี สำหรับในการทำให้หญิงกลับมาเป็นสาว (female rejuvenation) นอกนั้น ยังช่วยไขปัญหาอื่นๆของเพศหญิง ตัวอย่างเช่น ภาวะรอบเดือนไม่ปกติ ปวดระดู สภาวะมีลูกยาก ตกขาว สภาวะไม่มีอารมณ์ทางเพศ ภาวการณ์หมดระดู (menopause) บำรุงน้ำนม บำรุงท้อง คุ้มครองป้องกันการแท้ง (habitual abortion)

สมุนไพรรักษาโรค รากสามสิบ กระชับภายในสตรี ชุดกระชับแบบสาวน้อย
" รากสามสิบ " เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีการทำการศึกษาเรียนรู้กันมากพอสมควร ในด้านการศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยในห้องทดลองพบฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาเป็นต่อต้านเชื้อแบคทีเรียรวมทั้งเชื้อรา คลายกล้ามของมดลูก บำรุงหัวใจ แก้การอักเสบ แก้ปวด มีฤทธิ์ราวกับฮอร์โมนเอสโตรเจน ยั้งเบาหวาน เป็นพิษต่อเซลล์ของมะเร็ง กระตุ้นภูมิต้านทาน ต้านอาการเม็ดเลือดขาวต่ำ ลดระดับไขมันในเลือด คุ้มครองกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ลดอาการหัวใจโตที่เกิดขึ้นมาจากความดันเลือดสูง ขับนม ยั้งการเกิดแผลในกระเพาะยับยั้งพิษต่อตับ
ในหนังสือเรียนอายุรเวทใช้ รากสามสิบ เป็นสมุนไพรหลักสำหรับ บำรุงในผู้หญิง  สำหรับการ ทำให้หญิงกลับมาเป็นสาว ยิ่งไปกว่านี้ยังช่วยไขปัญหาอื่นๆของสตรีได้แก่ สภาวะระดูแตกต่างจากปกติ ปวดรอบเดือน สภาวะมีลูกยาก ตกขาว ภาวะอารมณ์ทางเพศเสื่อมถอย ภาวการณ์หมดเมนส์ สมุนไพรรักษาโรค รากสามสิบ แคปซูล กระชับช่องคลอด อาการตกขาว ปเขียน.เพิ่มอารมณ์เพศ
#รากสามสิบ นับว่าเป็นสมุนไพรที่เป็นประโยชน์มากสำหรับหญิงช่วยสำหรับการสร้างสมดุล แก่ระบบฮอร์โมนผู้หญิงจาก #รากสามสิบแคปซูล
เป็นสมุนไพรที่มีคุณลักษณะหลัก ในทางเภสัชมีการแนะนำว่าพืชที่ให้ เอสโตรเจน เกิดผลดีกว่าการใช้ตัวยาปรับสมดุลฮอร์โมน ด้วยเหตุว่าไม่เป็นผลข้างๆในทางลบ "ราชินีที่สมุนไพร"
เหตุผลที่ ผู้หญิงนิยมใช้ รากสามสิบ ง่ายๆคือ ทานแล้วได้ผล
1 ช่วยกระชับช่องคลอด  ทำให้แฟนไม่เบื่อ แทบไม่ทราบเลยว่าเราเคยมาก่อนรึเปล่า  เหมือนเป็นครั้งแรกของพวกเรา
2 ช่วยฆ่าเชื้อโรคในช่องคลอด ทำให้ช่องคลอดสะอาด ไม่เป็นทุกข์เรื่อง กลิ่นอับ อีกต่อไป
3 เป็นสมุนไพรที่ได้มาจากธรรมชาติ ไม่ใช่สารเคมี ไม่ตกค้าง ไม่มีผลกระทบในระยะยาว
4 ราคาไม่แพง เพราะเหตุว่าเป็นพืชสมุนไพรที่ปลูกได้ในประเทศไทย ความคิดไทยๆไม่เสียค่านำเข้าอะไรก็แล้วแต่
 ขนาดรับประทาน
4 ขวด เริ่มกระชับ มีความสุข
6 กระชับแบบสาวรุ่น มีความสุขแน่ๆ
12 ผลยาวนาน และ สำเร็จเกือบจะถาวร (รายบุคคล)
รากสามสิบ แคปซูล
ชุดนี้แถม ผสม ฮี่ยุ่มหรือหญ้ารีแพร์ 1 ต่อ 1 กับ รากสามสิบ
รากสามสิบ "  เป็น สมุนไพรที่คนประเทศไทยและชาวเอเชียใช้กันมาช้านานแล้ว  คนส่วนใหญ่รู้จักในชื่อ เรียกนานับประการในแต่ละภาค ชื่อในภาคกึ่งกลางหรือคนทั่วไปเรียกขานว่า "รากสามสิบ" หรือ "สามร้อยราก"นั่นเอง แพทย์ยาโบราณจำนวนมากจะทราบว่าสาวร้อยผัวเป็นยาบำรุงสำหรับสตรี ก็เลยให้ชื่อว่า "สาวร้อยสามี" ชื่อนี้หมายความว่าไม่ว่า สาวใดจะอายุเยอะแค่ไหนก็ยังสามารถมีลูกมีสามีได้(ไม่ได้หมายถึงสาวใจแตก)  ความหมายคล้ายสาวสองพันปีที่ยังสาวเสมอนั่นเอง แล้วก็เป็นที่น่าประหลาดใจว่าในประเทศอินเดียก็เรียกสมุนไพรประเภทนี้คล้ายกับเมืองไทย โดยในภาษาสันสกฤต เรียกว่า ศตวารี (Shtavari) หมายความว่า ต้นไม้ที่มีรากหนึ่งร้อยราก หรือบางหนังสือเรียนกล่าวว่าหมายคือสตรีที่มีร้อยสามี "Satavari" http://www.disthai.com/

7

กระเทียม
กระเทียม ชื่อสามัญ Garlic
กระเทียม ชื่อวิทยาศาสตร์ คือคำว่า Allium sativum L. จัดอยู่ในตระกูลพลับพลึง (AMARYLLIDACEAE) และก็อยู่ในสกุลย่อย ALLIOIDEAE (ALLIACEAE)
สำหรับในประเทศไทยนิยมปลูกมากในทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่สำหรับกระเทียมที่ขึ้นชื่อว่ามีคุณภาพดี กลิ่นแรงอาจหนีไม่พ้นจังหวัดศรีสะผม
คุณประโยชน์ของกระเทียม
ช่วยบำรุงผิวหนังให้มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงแล้วก็แข็งแรง
ช่วยเสริมสร้างการเติบโตของเนื้อเยื่อภายในร่างกาย
ช่วยคุ้มครองปกป้องการเกิดโรคมะเร็ง
ช่วยสร้างเสริมภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย
ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลแล้วก็น้ำตาลในเลือด
ช่วยทำให้สมดุลในร่างกาย
ช่วยแก้อาการตาลายหัว อาการมึน ปวดหัว หูอื้อ
ช่วยในเรื่องระบบแพร่พันธุ์และระบบฟุตบาทปัสสาวะ เนื่องจากมีสารที่ช่วยควบคุมฮอร์โมนทั้งยังหญิงและก็ชาย ช่วยให้มดลูกบีบตัว เพิ่มพละกำลังให้มีเรี่ยวแรง
ช่วยรักษาโรคความดันโลหิต
ช่วยคุ้มครองปกป้องการเกิดโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงของหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
ช่วยต้านทานเนื้องอก
ช่วยขจัดปัญหาศีรษะบาง ยาวช้า มีสีเทา
ช่วยป้องกันการเกิดแล้วก็รักษาโรคโลหิตจาง
ช่วยสำหรับเพื่อการขับพิษรวมทั้งสารพิษอันตรายที่ปนเปื้อนในเม็ดเลือด
ช่วยป้องกันฝาผนังเส้นโลหิตครึ้มรวมทั้งแข็ง
สารสกัดน้ำมันกระเทียมมีสารที่มีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการละลายลิ่มเลือด
ช่วยป้องกันการเกิดเส้นเลือดตัน
มีสารต้านทานไม่ให้เม็ดเลือดแดงแตก
ช่วยทุเลาอาการไอ น้ำมูกไหล คุ้มครองหวัด
ช่วยรักษาโรคไข้หวัดและก็ไข้หวัดใหญ่
ช่วยรักษาอาการเยื่อบุจมูกอักเสบรวมทั้งไซนัส
ช่วยรักษาโรคโรคไอกรน
ช่วยแก้อาการหอบ โรคหืด
ช่วยรักษาโรคหลอดลม
ช่วยหยุดกลิ่นปากกระเทียม
ช่วยสำหรับเพื่อการขับเหงื่อ
ช่วยในการขับเสมหะ
ช่วยควบคุมโรคกระเพาะ ด้วยสารที่ช่วยยับยั้งไม่ให้น้ำย่อยอาหารมาย่อยแผลในกระเพาะ
ช่วยในการขับลม
ช่วยรักษาอาการจุกเสียดแน่นท้อง อาการท้องอืด ท้องอืดท้องเฟ้อ
ช่วยป้องกันโรคท้องผูก
ช่วยรักษาโรคบิด
ช่วยสำหรับในการขับเยี่ยว
ช่วยสำหรับเพื่อการขับพยาธิได้หลากหลายประเภท ยกตัวอย่างเช่น พยาธิแส้ม้า พยาธิด้าย พยาธิเข็มหมุด พยาธิไส้เดือน ฯลฯ
ช่วยรักษาโรคตับอ่อนอักเสบจำพวกรุนแรงได้
ช่วยปกป้องการเกิดโรคไต
ช่วยฆ่าเชื้อรา เชื้อแบคทีเรียต่างๆรวมถึงเชื้อราตามหนังศีรษะและก็รอบๆเล็บ
ช่วยยับยั้งเชื้อต่างๆอย่างเช่น เชื้อที่ก่อให้เกิดฝีหนอง คออักเสบ เชื้อปอดอักเสบ เชื้อวัณโรค เป็นต้น
ช่วยกำจัดพิษจากสารตะกั่วกระเทียมคุณประโยชน์
ช่วยรักษากลาก เกลื้อน
ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อ บำรุงข้อต่อและกระดูกในร่างกาย
ทุเลาลักษณะของการปวดข้อและปวดเมื่อยตามร่างกาย
ช่วยแก้อาการเคล็ดลับปวดเมื่อยรวมทั้งเท้าแพลง ด้วยเหตุว่ามีสารที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดมายังบริเวณที่นวดยาเจริญมากขึ้นนั่นเอง
มีสารต้านทานอาการไขข้ออักเสบ โรคข้อรูมาว่ากล่าวสซั่ม
กระเทียมมีกลิ่นฉุนก็เลยสามารถช่วยไล่ยุงได้เป็นอย่างดี
ช่วยกระตุ้นน้ำย่อย เพิ่มความยากของกิน
คุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากกระเทียม
ผลดีสำคัญๆของกระเทียมคงจะหนีไม่พ้นการนำมาใช้เพื่อช่วยปรุงรสชาติของของกิน ไม่ว่าจะใช้ผัด แกง ทอด ยำ ต้มยำ หรือน้ำพริกต่างๆอีกสารพัด
กระเทียมเป็นเครื่องสมุนไพรที่อุดมไปด้วยวิตามินรวมทั้งธาตุหลากหลายประเภท และก็ยังเป็นพืชที่ธาตุซีลีเนียมสูงกว่าพืชชนิดอื่นๆทั้งยังยังมีสารอะดีโนซีน (Adenosine) ซึ่งเป็นกรดนิวคลีอิกที่เป็นตัวสร้าง DNA แล้วก็ RNA ของเซลล์ภายในร่างกาย
นอกจากนี้ยังมีการนำกระเทียมไปดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆอย่างหลากหลาย ดังเช่น กระเทียมเสริมอาหาร กระเทียมสกัดผง สารสกัดน้ำมันกระเทียม กระเทียมดอง ฯลฯ

คุณค่าทางโภชนาการของกระเทียมดิบ ต่อ 100 กรัม
พลังงาน 149 กิโลแคลอรี
คาร์โบไฮเดรต 33.06 กรัม
น้ำตาล 1 กรัม
ใยอาหาร 2.1 กรัม
ไขมัน 0.5 กรัม
โปรตีน 6.36 กรัม
วิตามินบี 1 0.2 มก. 17%
วิตามินบี 2 0.11 มก. 9%
วิตามินบี 3 0.7 มก. 5%
วิตามินบี 5 0.596 มิลลิกรัม 12%
วิตามินบี 6 1.235 มิลลิกรัม 95%
วิตามินบี 9 3 ไมโครกรัม 1%
วิตามินซี 31.2 มก. 38%
ธาตุแคลเซียม 181 มก. 18%
ธาตุเหล็ก 1.7 มิลลิกรัม 13%
ธาตุแมกนีเซียม 25 มิลลิกรัม 7%
ธาตุแมงกานีส 1.672 มิลลิกรัม 80%
ธาตุฟอสฟอรัส 153 มก. 22%
ธาตุโพแทสเซียม 401 มก. 9%
ธาตุสังกะสี 1.16 มิลลิกรัม 12%
ธาตุซีลีเนียม 14.2 ไมโครกรัม
% ร้อยละของปริมาณเสนอแนะที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับคนแก่ (ที่มา : USDA Nutrient database)
ข้อแนะนำรวมทั้งข้อควรปฏิบัติตามสำหรับการใช้กระเทียม
กระเทียมยิ่งสดเท่าไรก็ยิ่งมีสรรพคุณที่ดีเลิศขึ้นแค่นั้น แต่สำหรับกระเทียมที่ผ่านความร้อนด้วยวิธีการต่างๆหรือผ่านการดอง จะทำให้วิตามินและก็สารอัลลิซินที่มีอยู่ในกระเทียมนั้นสลายตัวไป
วิตามินและแร่ธาตุที่อยู่ในกระเทียมนั้น จะมีมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับดินและลักษณะอากาศที่ใช้เพื่อการเพาะปลูกอีกด้วย
สำหรับหญิงที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมลูก คนที่หรูหราน้ำตาลในเลือดปกติ หรูหราความดันโลหิตปกติ คนที่มีลักษณะอาการของเลือดหยุดไหลช้า รวมถึงผู้ที่ใช้ยาอื่นๆบ่อยๆ เป็นต้นว่า ยาปฏิชีวนะ ยาแอสไพริน ยาแก้อักเสบ ยาต่อต้านเชื้อไวรัส คุณไม่ควรรับประทานกระเทียมหรือสินค้ากระเทียมเสริมในปริมาณที่มากจนเกินไป เนื่องจากว่าอาจส่งผลให้เป็นอันตรายต่อสภาพทางด้านร่างกายได้
สำหรับผู้ที่ได้รับกลิ่นของกระเทียมเป็นประจำ อาจจะส่งผลให้เกิดอาการแพ้กระเทียมเมื่อกินได้ โดยอาจจะมีอาการอ้วก และก็มีของกินหัวใจที่เต้นแรงผิดปกติ แม้กระนั้นอาการดังกล่าวมาแล้วข้างต้นจะเบาๆหายไปเองภายในเวลา 3-4 ชั่วโมง ซึ่งกระเทียมที่ประยุกต์ใช้ในการเข้าครัวมักจะก่อเกิดอาการแพ้ได้น้อยกว่ากระเทียมแบบสดๆ
สำหรับผู้ที่อยู่ในห้องครัวหรือผู้จำต้องใช้มือสัมผัสกับกระเทียมเป็นประจำรวมทั้งเป็นระยะเวลานาน อาจก่อให้ผิวหนังเกิดการอักเสบ มีตุ่มน้ำได้ ด้วยเหตุนี้คุณควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกระเทียมโดยตรงบ่อยๆด้วยการใส่ถึงมือทุกครั้งในขณะจะใช้กระเทียม
ถึงแม้ว่ากระเทียมจะเป็นพืชที่มีสรรพคุณอยู่มาก แต่ว่าคุณก็ไม่ควรที่จะเลือกใช้กระเทียมเพื่อหวังผลสำหรับในการรักษาอาการหรือโรคใดโรคหนึ่ง ทั้งยังผลลัพธ์ที่ได้ในแต่ละบุคคลก็บางทีก็อาจจะต่างกันออกไป โดยเหตุนั้นคุณควรจะเลือกรับประทานให้นานาประการและก็ครบ 5 หมู่ จะเป็นหนทางที่ดีที่สุด เพราะว่าผักสมุนไพรทั่วๆไป ถ้าหากศึกษาเล่าเรียนกันในความเป็นจริงแล้ว มันก็มีคุณประโยชน์ไม่น้อยไปกว่ากันเลย
ตอนนี้ในบ้านพวกเรายังไม่มีการรับรองว่ากระเทียมนั้นจะสามารถรักษาโรคได้จริง อาจเป็นไปได้เพียงสมุนไพรหนทางสำหรับการรักษาแล้วก็สมุนไพรเสริมสุขภาพเท่านั้นhttp://www.disthai.com/

8

ขิง
ขิง ชื่อสามัญ Ginger (จิน’เจอ)
ขิง ชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber officinale Roscoe จัดอยู่ในตระกูลขิง (ZINGIBERACEAE)
ขิง จัดเป็นสมุนไพรประเภทหนึ่งที่มีคุณประโยชน์ต่อสภาพทางด้านร่างกายในหลายๆด้าน ด้วยเหตุว่าอุดมไปด้วยวิตามินรวมทั้งแร่ธาตุที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อสภาพร่างกายของพวกเรา เป็นต้นว่า วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี เบต้าแคโรทีน ธาตุเหล็ก ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส แถมยังมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และเส้นใยจำนวนไม่ใช่น้อยอีกด้วย ซึ่งคุณประโยชน์ซึ่งมาจากขิงนั้น เราสามารถนำมาใช้ได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นราก เหง้า ต้น ใบ ดอก แก่น และผลก็ได้ทั้งนั้น
คุณประโยชน์ที่ได้รับมาจากขิง
-ขิงจัดว่าเป็นยาอายุวัฒนะชั้นเยี่ยม
มีสารต้านอนุมูลอิสระเยอะมากๆ ช่วยชะลอความแก่และก็ชะลอการเกิดริ้วรอย
มีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการปกป้อง ต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง ต้านทานการเติบโตของเซลล์ของโรคมะเร็ง
ช่วยลดผลข้างเคียงจากสารเคมีที่ใช้สำหรับในการรักษามะเร็ง ด้วยเหตุผลดังกล่าวควรจะกินขิงพร้อมกันไปกับการรักษามะเร็งจะมีผลดี
ขิง มีฤทธิ์อุ่น ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น และช่วยสำหรับเพื่อการขับเหงื่อ
ช่วยแก้อาการร้อนใน ด้วยการใช้ลำต้นใหม่ๆเอามาตีให้แหลกโดยประมาณ 1 กำมือ แล้วต้มกับน้ำ
ช่วยลดหุ่น ลดระดับไขมัน คอเลสเตอรอล ด้วยการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากไส้ แล้วปล่อยให้ร่างกายกำจัดออกทางอุจจาระ
ช่วยรักษาลักษณะของการปวดศีรษะรวมทั้งไมเกรน ด้วยการกินน้ำขิงเสมอๆ
ช่วยลดความอยากของผู้ติดสิ่งเสพติดลงได้
แก้ต้นตานขโมย ด้วยการใช้ขิง ใบกะเพรา พริกไทย ไพล มาบดผสมกันแล้วเอามากิน
ช่วยรักษาโรคความดันโลหิต ด้วยการนำขิงสดมาฝานต้มกับน้ำดื่ม
ช่วยบำรุงหัวใจของคุณให้แข็งแรง
ช่วยทุเลาลักษณะของโรคประสาท ซึ่งทำให้จิตใจขุ่นมัว (ดอก)
ช่วยฟื้นฟูร่างการสำหรับคุณแม่หลังคลอดลูก ด้วยการกินไก่ผัดขิง
มีส่วนช่วยให้เจริญอาหาร (ราก, เหง้า) ด้วยการใช้เหง้าสดโดยประมาณ 1 องคุลีนำมาต้มกับน้ำ ก็จะได้เป็นยาขมเจริญอาหาร
ใช้กินเพื่อบำรุงเป็นยาธาตุ บำรุงธาตุไฟ (เหง้า, ดอก)
ใช้บำรุงน้ำนมของมารดา (ผล)
ช่วยให้นอนได้อย่างสบาย
การรับประทานขิงจะช่วยให้เลือดแข็งเป็นลิ่มเลือดได้ช้าลง
ใช้แก้ไข้ (ผล) ด้วยการนำขิงสดมาคั้นเป็นน้ำให้ได้ราวครึ่งถ้วย แล้วผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา นำมาต้มกับน้ำ 2 ถ้วย แล้วเอามาดื่มวันละ 3 ครั้ง จะช่วยทุเลาอาการได้
ช่วยแก้หวัด บรรเทาอาการไอ ทุเลาหวัดจับเสมหะ ด้วยการใช้ขิงสดฝนกับน้ำมะนาวใส่เกลือนิดนึง
ละอองน้ำหอมระเหยจากน้ำขิงช่วยทำลายไวรัสหวัดในทางเดินหายใจได้
แก้ลม (ราก)
ในคนเจ็บที่มีอาการติดยาสลบข้างหลังผ่าตัด น้ำขิงช่วยแก้เมาได้
ช่วยแก้อาการเมารถ เมาเรือได้เป็นอย่างดี ด้วยการใช้ขิงสดเอามาตำให้แหลก คั้นเอาเฉพาะน้ำ (ไม่ต้องกินน้ำตาม)
ช่วยแก้ไขปัญหาผมหล่น หัวล้าน ด้วยการนำเหง้าสดไปผิงไฟจนอุ่น แล้วเอามาตำให้แหลก นำมาพอกรอบๆที่มีผมร่วง วันละ 2 ครั้งจนอาการดีขึ้น หรืออีกวิธีก็คือคั้นเอาเฉพาะน้ำขิงมาผสมกับน้ำมันที่ทำจากมะกอกแล้วนำมาหมักผม นวดให้ทั่วศีรษะราวๆ 30 นาทีก็ช่วยลดปัญหาผมหล่นได้เหมือนกัน แถมยังช่วยทำให้ผมสวย แข็งแรง มีความนิ่มลื่น ไม่ขาดง่ายอีกด้วย
-ช่วยบำรุงรักษาสายตา รักษาโรคเกี่ยวกับตา และใช้แก้อาการตาพร่า (ผล, ใบ)
ช่วยรักษาอาการตาแฉะ (ดอก)
ช่วยแก้โรคกำเดา (ใบ)
ใช้แก้อาการคอแห้งผาก เจ็บคอ (ผล)
ใช้รักษาอาการปากคอยุ่ย ท้องผูก (เหง้า,ดอก)
ช่วยรักษาลักษณะของการปวดฟัน ด้วยการนำขิงแก่มาทุบอย่างถี่ถ้วนคั่วกับน้ำสารส้มจนไหม้เกรียม แล้วบดจนกระทั่งเป็นผุยผง จากนั้นเอามาพอกรอบๆฟันที่ปวดแก้เสมหะ เสมหะขาวเหลวปริมาณมากมีฟอง (ผล, ราก)ช่วยรักษาสภาวะน้ำลายมาก คลื่นไส้เป็นน้ำใสช่วยลดกลิ่นปาก แก้อาการปากเหม็น ด้วยการนำขิงมาคั้นผสมน้ำอุ่นและก็เกลือเล็กน้อย นำมาอมบ้วนปาก ช่วยฆ่าเชื้อโรคในปากได้อีกด้วยช่วยทำนุบำรุงฟันรวมทั้งคุ้มครองปกป้องการเกิดฟันผุ
ช่วยขจัดกลิ่นจั๊กกะแร้ ด้วยการใช้เหง้าขิงแก่นำมาทุบให้แหลก แล้วเอามาคั้นเอาน้ำมาทาจั๊กกะแร้บ่อยๆ จะช่วยกำจัดกลิ่นได้
ช่วยแก้อาการสะอึก ด้วยการใช้ขิงสดตำจนแหลก คั้นเอาเฉพาะน้ำผสมกับน้ำผึ้งบางส่วน คนจนเข้ากันแล้วเอามาดื่ม
ช่วยรักษาโรคบิด (ผล, ราก, ดอก) ด้วยการใช้ขิงสดโดยประมาณ 75 กรัม ผสมกับน้ำตาลแดง นำมาตำจนถึงถูกกัน แล้วกิน 3 มื้อต่อวัน
ช่วยแก้อาการอาเจียน (เหง้า, ผล) ด้วยการนำขิงสดประมาณ 5 กรัมหรือขนาดเท่านิ้วโป้งมือ นำมาตีให้แตกแล้วต้มกับน้ำกิน
ช่วยลดการคลื่นไส้อ้วกจากการแพ้ท้อง (สำหรับหญิงมีครรภ์ไม่สมควรรับประทานบ่อยครั้งจนถึงเกินความจำเป็น)
แก้อาการท้องอืด จุกเสียด แน่นท้อง ขับลมในไส้ (ผล, ราก, ใบ) ด้วยการนำขิงแก่มาตีเพียงพอแหลก เทน้ำเดือดลงไปครึ่งแก้ว แล้วปิดฝาตั้งทิ้งเอาไว้ราว 5 นาทีแล้วนำน้ำมาดื่มระหว่างมื้อของกิน
ช่วยรักษาอาการปวดในตอนก่อนหลังรอบเดือน ด้วยการนำขิงแก่ที่แห้งแล้วราวๆ 30 กรัมมาต้มกับน้ำเป็นประจำ
ช่วยสำหรับในการย่อยของกินได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ดอก)
ช่วยคุ้มครองการเกิดแผลในกระเพาะ ลดอาการจุกเสียด (เหง้า)
ช่วยในการขับถ่าย และช่วยในเรื่องของระบบไส้ให้ปฏิบัติงานได้อย่างเป็นปกติ
ช่วยฆ่าพยาธิ พยาธิกลมจุกไส้ (ใบ) ใช้น้ำขิงผสมกับน้ำผึ้งแล้วเอามาดื่ม
ช่วยแก้อาการขัดฉี่ (ดอก, ใบ)
ช่วยรักษาเยี่ยวรดที่นอนในผู้เจ็บป่วยที่มีสภาวะหยางพร่อง มีความเย็นภายในร่างกายเป็นเหตุ
ช่วยรักษาโรคนิ่ว (ใบ, ดอก)
ช่วยแก้อาการฟกช้ำ (ใบ)
ขิง ช่วยรักษาลักษณะของการปวดข้อตามร่างกายด้วยการรับประทานขิงสดบ่อยๆ
มีฤทธิ์ช่วยต้านทานเชื้อแบคทีเรีย
ใช้เป็นยาแก้คัน ด้วยการนำแก่นของขิงฝนทำเป็นยา (แก่น)
ไขปัญหาหนังที่มือลอกเป็นเกล็ด ด้วยการใช้เหง้าสดมาหั่นเป็นแผ่น แล้วเอามาแช่สุรา 1 ถ้วยชา ทิ้งไว้ 1 วัน แล้วนำแผ่นขิงมาเช็ดรอบๆดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้ววันละ 2 ครั้ง
ช่วยรักษาแผลเริมรอบๆหลัง ด้วยการใช้เหง้า 1 หัว เอามาเผาเปลือกนอกจนกระทั่งเป็นถ่าน รอเฉือนถ่านที่ผิวนอกออกไปเรื่อยๆแล้วนำผงที่ได้มาผสมกับน้ำดีหมูนำมาทาบริเวณที่เป็นแผลถ้าหากว่าถูกแมงมุมกัด ใช้ขิงสดฝานบางๆเอามาวางทับรอบๆที่ถูกกัดจะช่วยทุเลาอาการได้ช่วยรักษาอาการมือเท้าเย็น กลัวหนาว เย็นท้อง ฯลฯ ช่วยคุ้มครองปกป้องการแพ้อาหารทะเลจนเกิดผื่นคัน ลมพิษ หรือของกินช็อกคุณประโยชน์ที่ได้รับมาจากขิง
ช่วยรักษาแผลไฟลุกน้ำร้อนลวก ด้วยการนำขิงสดมาตำให้แหลก แล้วนำกากมาพอกรอบๆแผล เพื่อคุ้มครองปกป้องการอักเสบและก็การเกิดหนองในขิงมีสารที่สามารถใช้กันบูดกันหืนในน้ำมันได้
ในด้านการปรุงอาหารนั้น ขิงสามารถช่วยเพิ่มรสของกินได้อย่างดีเยี่ยม และสามารถช่วยกำจัดกลิ่นคาวของอาหารได้ดิบได้ดีอีกด้วย
ในด้านความสวยนั้นมีผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งหน้าที่ใช้บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของขิงอีกด้วย
ช่วยให้ผิวพรรณเรียบเนียนเพิ่มขึ้น ด้วยการนำขิงสดมาขูดเป็นฝอยแล้วเอามานวดบริเวณต้นขา ตูด หรือรอบๆที่มีเซลลูไลต์จะช่วยลดความขรุขระของผิวได้อีกด้วย
สินค้าจากขิงนั้นเอามาดัดแปลงได้หลายแบบ ดังเช่นว่า บัวลอยน้ำขิง ขิงแช่อิ่ม ขิงเชื่อม ขิงกระป๋อง ขิงแคปซูล น้ำขิงมะนาว ฯลฯ

ขั้นตอนการทำน้ำขิง
ขั้นตอนการทำน้ำขิงวิธีทำน้ำขิงขั้นแรกให้จัดเตรียมส่วนประกอบดังนี้ ขิงแก่ 1 กก. / น้ำตาลทรายแดง 1 ถ้วยตวง / น้ำสะอาด 3 ลิตร
นำขิงที่ได้ไปล้างให้สะอาด นำมาทุบให้แตก แล้วเอามาใส่ในหม้อต้ม เติมน้ำที่สะอาดลงไป ยกขึ้นตั้งไฟ
เมื่อต้มจนน้ำเดือดแล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยเบาไฟลง เคี่ยวราวๆ 20 นาทีจนน้ำขิงละลายออกมาจนหมด (น้ำจะเป็นสีเหลืองอ่อนๆ) แล้วยกลงจากเตา
เสร็จแล้วให้ตักน้ำขิงใส่แก้ว เพิ่มเติมน้ำตาลทรายแดงลงไป 1-2 ช้อนชา (ตามความต้องการ) แล้วคนจะกว่าจะเข้ากัน
เรียบร้อยและก็สามารถเอามาดื่มได้ โดยนำมาดื่มแบบร้อนๆได้เลย
หรือจะดื่มแบบเย็นๆด้วยการใส่น้ำแข็งลงไปก็ได้เหมือนกัน แม้กระนั้นควรจะเพิ่มน้ำตาลมากกว่า 2-3 เท่า (จะช่วยไม่ให้รสจืดมากเกินความจำเป็น เพราะเหตุว่ามีน้ำแข็งผสมอยู่นั่นเอง)
น้ำขิงที่คั้นมานั้นไม่ควรใช้จำนวนที่เข้มข้นจนถึงเกินความจำเป็น เพราะเหตุว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพร่างกายได้ เนื่องจากว่าจะไปหยุดการบีบตัวของลำไส้ จนกระทั่งทำให้ไส้หยุดการบีบตัว ด้วยเหตุผลดังกล่าวควรคั้นในจำนวนน้อยๆหรือดื่มจนชินก่อน
พวกเรามักจะรู้จักคุ้นเคยกับขิงว่าเป็นของกินที่นิยมประยุกต์ใช้สำหรับเพื่อการเตรียมอาหารแล้วก็ทำเครื่องดื่ม ซึ่งในความเป็นจริงแล้วขิงจัดเป็นสมุนไพรไทยที่ช่วยการบำบัดโรคต่างๆได้สารพัน นับว่าเป็นตัวช่วยสำหรับในการรักษาโรคได้อย่างยิ่งจริงๆ แม้กระนั้นดังนี้เราก็ไม่สมควรจะหวังพึ่งคุณประโยชน์ของขิงเพียงอย่างเดียวสำหรับเพื่อการเยียวยารักษาโรค ควรทำอย่างอื่นหรือดูแลสุขภาพของพวกเราร่วมด้วยจะได้ผลดีนักแล
พวกเรามักนิยมใช้ขิงแก่ เนื่องจากยิ่งแก่จะยิ่งให้ความเผ็ดร้อน ก็เลยมีคุณประโยชน์ทางยาที่มากกว่าขิงอ่อน และยังมีใยอาหารเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย แม้กระนั้นเนื่องจากขิงมีรสเผ็ด มีคุณลักษณะอุ่น ก็เลยไม่เหมาะกับคนที่มีความร้อนภายในร่างกายอยู่แล้ว อย่างเช่นผู้ที่เหงื่อออกมาก เหงื่อออกช่วงกลางคืน ตาแดง หรือมีไฟในตัวมากกว่าปกติ แม้กระนั้นถ้าเกิดจะรับประทานควรระมัดระวังเป็นพิเศษ http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรขิง

9

เห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือ ขณะนี้มีผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือขายจำนวนมากตามท้องตลาด มีในขณะที่ผลิตในไทยและก็นำเข้าจากต่างแดน หากเพื่อนฝูงๆอยากเลือกซื้อ ต้องมองให้ดี ว่าสินค้าตัวนั้นมีที่มาแล้วก็แหล่งผลิตน่าเชื่อถือหรือไม่ มีการรับประกันจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือไม่ แล้วก็สินค้าซึ่งสามารถกันความชื้นได้ดิบได้ดีหรือป่าวประกาศ
คุณประโยชน์สมุนไพร เห็ดหลินจือที่มีงานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยยืนยัน....มีอะไรบ้าง
มีความเห็นมานานแล้วว่าเห็ดหลินจือแดงสามารถทำให้หัวใจแข็งแรง เลือดลมดี ผิวพรรณสดใส ช่วยให้แก่ช้าลง ความจำ แล้วก็ช่วยอายุยืนนาน
ส่วนคุณประโยชน์ในทางการรักษาโรคถูกกล่าวไว้อย่างมากมายเช่นกัน ตัวอย่างเช่น แก้ตับแข็ง รักษามะเร็ง รักษาโรคความดัน แล้วก็ภูมิแพ้ฯลฯ
แม้กระนั้นทีเด็ดเป็น......
มีงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยเกี่ยวกับเห็ดหลินจือรักษาโรคจากคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งสำหรับในการทดสอบศึกษาเล่าเรียนทางคลีนิคแล้วก็ยืนยันว่าเห็ดหลินจือมีคุณประโยชน์ดังต่อไปนี้จริง ไม่ใช่แค่ความเชื่อถืออีกต่อไป อันอย่างเช่น
-กระตุ้นภูมิคุ้มกัน
-ต่อต้านเนื้องอกรวมทั้งมะเร็ง
-รักษาโรคฟุตบาทฉี่
-รักษาโรคหัวใจ
-ช่วยให้การนอนหลับ
-ลดไขมันในเลือด
-ต้านทานอนุมูลอิสระ
-ต่อต้านการอักเสบ
ในเห็ดหลินจือมีสารอาหารที่บางทีอาจมีผลดีต่อสุขภาพจำนวนมาก ประเภทเส้นใยต่างๆโปรตีนคาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามินและก็แร่บางประเภท เชเนแคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัสแมกนีเซียม เซเลเนียม ธาตุเหล็ก สังกะสี มองดูแดง สารโมเลกุลชีวภาพที่สำคัญ เย่างสเตียรอยด์(Steroids) เทอร์ตะกายอยด์ (Terpenoide) นิวคลีโอไทด์ (Nucleotides) ไกลวัวโปรตีน (Glycoproteins)พอลิแซ็กคาไรค์ (Polrsacchayides) และสารอนุพันธ์อื่นๆโดยเฉพาะกรดอะมิโนไลซีน (Lysine) แล้วก็ลิวซีน (Leucine)ด้วยเหตุนี้ มีบางคนหรือในบางวัฒนธรรมนำเห็ดหลินจือมาทำครัวแล้วก็ดัดแปลงเพื่อการบริโภคอย่างนานัปการ นักวิทยาศาสตร์ก็เลยสนใจรวมทั้งนำเห็ดหลินจือมาทดลองหาประสิทธิผลทางการรักษารวมทั้งการบำรุงสุขภาพ เพื่อพิสูจน์ว่าเห็ดชนิดนี้มีประโยชน์ต่อร่างกายของมนุษย์ใช่หรือไม่

เห็ดหลินมีผลดีต่อร่างกายที่บางทีอาจเป็นไปได้ใช่หรือ?
มีการค้นคว้าทดสอบมากไม่น้อยเลยทีเดียวเกี่ยวกับคุณลักษณะรวมทั้งคุณค่าที่บางทีอาจเป็นไปได้ของเห็ดหลินจือ
แต่ในขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานหรือข้อพิสูจน์ทางด้านวิทยาศาสตร์รวมทั้งการแพทย์ที่ชัดเจนถึงคุณสมบัติแล้วก็คุณค่าที่อาจเป็นไปได้ของเห็ดหลินจือแต่ ในตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานหรือสิ่งที่ใช้พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์รวมทั้งการแพทย์ที่ชัดแจ้งถึงคุณสมบัติแล้วก็ประสิทธิผลด้านอะไรก็แล้วแต่ด้วยเหตุนี้ ผู้บริโภคควรทำการศึกษาเรียนรู้และทำการค้นคว้าข้อมูลของเห็ดหลินจือ จำนวนและกรรมวิธีการบริโภคที่เหมาะสม รวมถึงข้อจำกัดต่างๆและปัจจัยทางสุขภาพของตัวเองให้ดีก่อนการบริโภค
เพิ่มความสามารถร่างกาย
สมุนไพร มีการทดสอบที่ทดสอบคุณภาพของเห็ดหลินจือในด้านการเพิ่มสรรถยนต์ภาพของร่างกาย โดยได้ ทดสอบในคนไข้โรคปวดกล้ามไฟโปรไมอัลเจีย (Fibromyalgia)ผู้หญิงปริมาณ 64 ราย ตลอดระยะเวลาการทดสอบ 6 อาทิตย์ ผู้เจ็บป่วยบริโภคเห็ดหลินจือจำนวน 6 กรัม/วัน แล้วก็เลยทดลองความสามารถร่างกายของคนเจ็บ ผลของการทดลองและก็กำหนดแผนการรักษาผู้เจ็บป่วยโรคนี้ถัดไป แม้กระนั้นยังคงขาดหลักฐานช่วยเหลือที่กระจ่างแจ้ง จำเป็นต้องมีการทำการค้นคว้าในด้าน เพื่อหาหลักฐานแล้วก็ข้อพิสูจน์ที่เด่นชัดถึงประสิทธิผลของเห็ดหลินจือต่อไป
ธรรมดาในกระแสโลหิตเราจะมีไขมันอยู่แล้วทุกคน จากมากน้อยก็ตามทีคนไป แต่ว่าถ้าหากในกระแสเลือดของเรามีปริมาณไขมันมากเกินความจำเป็นนี่มีปัญหาแน่จ้ะ เรียกภาวการณ์นี้ว่า โรคไขมันในเส้นเลือดสูง ซึ่งโรคนี้เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากหลายกรณี ทั้งยังจากของกิน สภาพจิตใจ เห็ดหลินจือสภาพแวดล้อม พันธุรวมถึงบางทีอาจกำเนิดจาผลกระทบของยาบางชนิดอีกด้วย(ไขมันที่กล่าวถึง คือ สามกลีเซอไรค์รวมทั้งคอลเรสเตอคอยล โรคไขมันในเลือดสูงสามารถกระตุ้นให้เกิดโรคภัยต่างๆตามมาอีก ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง เส้นเลือดหัวใจตีบ หัวใจขาดเลือด แล้วก็เส้นเลือดสมองตีบ ฯลฯ
เมื่อพินิจพิจารณาเทียบจากการรวบการวิจัยที่ศึกษาประสิทธิผลของ[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจือ[/url]เพื่อรักษาโรคโรคมะเร็งในมนุษย์ 373 คน แม้ว่าจะพบว่าผู้ป่วยตอบสนองต่อการดูแลและรักษาด้วยเคมีบรรเทาหรือรังสีบำบัดรักษาเจริญขึ้นเมื่อรักษาร่วมกับการใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือ แต่ว่าเมื่อตรวจสอบและลองใช้เห็ดหลินจือเพียงอย่างเดียวกลับไม่มีประสิทธิผลในสำหรับการทำให้มะเร็งลดขนาดลงประการใด
ยิ่งกว่านั้น สมุนไพร จาการทวนงานศึกษาวิจัยพบว่ามีงานวิจัย 4 ชิ้นที่ส่งผลลัพธ์ช่วยเหลือว่าเห็ดหลินจืออาจชมรมต่อการปรับแก้คุณภาพชีวิตของคนป่วยให้ แล้วก็ในขณะเดียวกัน ก็ส่งผลลัพธ์จากงานศึกษาวิจัยหนึ่งที่แสดงถึงผลข้างคียงของเห็ดหลินจือ เป็นอาการคลื่นใส้รวมทั้งนอนไม่หดังนั้นจึงควรมีการค้นคว้าทดลองถึงประสิทธิภาพของ สมุนไพร เห็ดหลินจือสำหรับเพื่อการลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆพวกนี้เพื่อปกป้องรวมทั้งการดูแลและรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจถัดไป และก็ให้ได้การแจ่มแจ้งชัดดเจนในด้านดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นมากขึ้น อันเป็นประโยชน์ต่อกรรมวิธีรักษาคุ้มครองโรคหลอดเลือดหัวใจและอาการต่างๆที่เกี่ยวต่อไปในอนาคต
ปริมาณที่เหมาะสมสำหรับในการบริโรคเห็ดหลินจืออปิ้งชัดเจน เนื่องประสิทธิผลรวมทั้งผลข้างเคียงจากการบริโภค ฉะนั้น ผู้ใช้ ควรทำการศึกษาเรียนรู้และทำการค้นคว้าเนื้อหาเกี่ยวกับเห็ดหลินจือ รวมทั้งปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการบริโรค เพราะว่าแม้เห็ดหลินจือในแต่ละแบบอย่างจะเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ แม้กระนั้นสารเคมีรวมทั้งส่วนประต่างอาจมีผลข้างๆที่เกิดอันตรายต่อสถาพทางร่างกายได้เช่นกันลับด้วย

10

เห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือมีผลยังไงต่อเซลล์ต่อมะเร็ง โรคหัวใจ โรคไต เบาหวาน โรคความดันสูง แล้วก็โรคอื่นๆอันแสนเพลียที่จะรักษา ติดตามผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยรับรองสรรพคุณได้ในบทความนี้ค่ะ
สมุนไพร บทความพวกนี้อ้างอิงสรรพคุณของเห็ดหลินจือจากผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยยืนยันจากที่ต่างๆเพื่อให้สหายได้พิเคราะห์ด้วยตัวเองว่ารักษาโรคก้าวหน้าแค่ไหนและน่าไว้วางใจเท่าใด ถ้าเพื่อนฝูงๆเคยอ่านบทความเกี่ยวกับสรรรพคุณหรืองานศึกษาค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับเห็ดหลินจือจากที่อื่นมาก่อน แล้วรู้สึกอ่านไม่ง่ายมากแค่ไหนไหมรู้เรื่อง บทความในเว็บไซต์แห่งนี้ผู้เขียนได้คัดเลือกแล้วก็สะสมจากหลายที่และเขียนในภาษาที่อ่านง่ายที่สุดเท่าที่จะทำเป็น
สหายๆถูกใจบทความนี้ก็จะเป็นอันมากใจให้ผู้เขียนได้บทความดีๆให้เพื่อนฝูงอ่านกันอีกต่อไปบทความเห็ดหลินจือรักษาโรคเด็ดๆที่เพื่อนพ้องๆจำเป็นต้องถูกใจ
เห็ดหลินจือยั้งมะเร็ง
ผลการวิจัยพบว่า เห็ดหลินจือ มีสารสามารถยับยั้งโรคมะเร็งไดและก็โดยไม่กระทบต่อเซลล์ธรรมดา สารดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นมีอยู่มากมายที่สปอร์ที่กะเทาะฝาผนังหุ้มสปอร์แล้วนอกนี้ผลที่เกิดจากงานวิจัยจากกรมพัฒนาการหมอแผนไทยพบว่าเห็ดหลินจือมีสารกรุ๊ป Polysaccharide ซึ่งช่วยเสริมสร้างภูเขามิคุ้ม แล้วก็สารกลุ่ม Triterpenes (พบที่สปอร์ของเห็ดหลินจือ มากที่สุด ) ซึ่งกลุ่มข้างหลังสามารถยับยั้งเซลล์ของโรคมะเร็งได้ โดยสปอร์กะเทาะผนังห่อจะได้ผลดีมากกว่าแบบไม่กะเทาะมากมาย
อย่างไรก็ตามฤทธิ์ฆ่าเซลล์ของโรคมะเร็งของมะเร็งของสารสกัดเห็ดหลินจือที่กล่าวไปนั้น ยังคงเป็นเพียงผลของการทดสอบในหลอดทดสอบแค่นั้น ตอนนี้ภาควิชาแพทย์ศาสตร์ของมหาลัยจังหวัดเชียงใหม่กำลังศึกษาค้นคว้าผลที่มีต่อคนเจ็บโรคมะเร็วจริงๆแล้วก็คาดว่าผลการศึกษาเรียนรู้นี้คงเปิดเผยให้สหายๆได้รู้กันในเร็วๆนี้จ้ะ แม้กระนั้นในเวลานี้มีรายงานการศึกษาเล่าเรียนจากจีนพบว่า เห็ดหลินจือสามารถเสริมภูมิต้านทานได้จริงในผู้เจ็บป่วยมะเล็กลำไส้ใหญ่ ปอด รวมทั้งคนเจ็บที่เป็นโรคมะเร็งขั้นแพร่กระจาย โดยไม่เป็นผลข้างเคียงแล้วก็สามารถใช้ได้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆได้อย่างปลอดภัย แต่ในประเทศไทย การใช้เห็ดหลินจือในการรักษาโรคมะเร็งนั้นยังไม่ใช่หนทางหลักในการรักษา ย้ำเรื่องเสริมภูมิคุ้มกันมากยิ่งกว่า
ช่วงนี้มีผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือขายล้นหลามตามตลาด มีทั้งๆที่ผลิตในไทยแล้วก็นำเข้าจากต่างประเทศ ถ้าหากเพื่อนพ้องๆต้องการเลือกซื้อ จำต้องดูให้ดี ว่าผลิตภัณฑ์ตัวนั้นมีที่มาและแหล่งผลิตน่าไว้ใจหรือเปล่า มีการยืนยันจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือเปล่า รวมทั้งสินค้าที่สามารถกันความชุ่มชื้นเจริญหรือป่าวประกาศ
ชาวจีนรู้จักการใช้เห็ดหลินจือรักษาโรคหัวใจมาตั้งแต่ยุคราชวงค์หมิง เดี๋ยวนี้แพทย์แผนจีนก็ยังคงใช้เห็ดหลินจือการรักษาโรคหัวใจมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าดึงดูดเพราะเหตุว่าหากไม่ดีจริงก็อาจจะเลิกใช้กันไปนานแล้วใช่ไหม จึงมีการทำการศึกษากันอย่างจริงๆจังเยอะแยะสำหรับหัวข้อนี้
ที่กรุงปักกิ่งได้มีการทดสอบจริงกับคนเจ็บที่มีอาการเจ็บอก จากเส้นโลหิตหัวใจตีบ พบว่าภายหลังจากการให้รับประทานเห็ดหลินจืออย่างตลอดเป็นเวลา 3 เดือน ผุ้เจ็บไข้ที่เข้ารับการทดสอบ 90% มีอาการที่ จากการสังเกตร่วมร่วมกับการประเมินคลื่นหัวใจ ECG
เมื่อ 50 ปีที่แล้ว มีนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งได้พบสารเคมีที่ช่วยลดระดับความดันเลือดในเห็ดหลินจือแล้วก็พบสารยั้งการจับตัวกันจนเป็นก้อนของเลือดอีกด้วย จากการทดสอบใช้เห็ดหลินจือกับคนไข้โรคหัวใจโรงหมอ พบว่าสามารถลดอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะได้จริง
นักวิทยาศาสตร์รัสเชียยืนยันอีกเสียงว่าเห็ดหลินจือช่วยเรื่องเลือดรวมทั้งหัวใจได้จริง และก็พบว่าเห็ดหลินจือเป็นสมุนไพรที่ยอดเยี่ยมสำหรับโรคหัวใจ จากกลุ่มของตัวอย่างสมุนไพร 21 ชนิด ที่กรุ๊ปศึกษาค้นคว้าได้เลือกหยิบมาศึกษาทดลอง

สมุนไพร ธรรมดาในกระแสโลหิตพวกเราจะมีไขมันอยู่แล้วทุกคน จากมากมายน้อยสุดแล้วแต่คนไป แม้กระนั้นถ้าหากในกระแสเลือดของพวกเรามีปริมาณไขมันมากจนเกินความจำเป็นนี่มีปัญหาแน่ค่ะ เรียกสภาวะนี้ว่า โรคไขมันในเส้นเลืดสูง ซึ่งโรคนี้เกิดจากหลายกรณี จากของกิน สภาพจิตใจ สิ่งแวดล้อม พันธุรวมถึงบางทีอาจกำเนิดจาผลกระทบของยาบางจำพวกอีกด้วย(ไขมันที่พูดถึง คือ ตรีกลีเซอไรค์และคอลเรสเตอรอคอยล โรคไขมันในเลือดสูงสามารถนำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคภัยต่างๆตามมาอีก อาทิเช่น โรคเบาหวาน โรคความดันเลือดสูง เส้นเลือดหัวใจตีบ หัวใจขาดเลือด และเส้นเลือดสมองตีบ ฯลฯ
นักค้นคว้าได้ค้นพบสารหลายประเภทในเห็ดหลินจือที่ช่วยลดจำนวนไขมันในเส้นเลือดเป็นGanoderic Acid แล้วก็ Lucidenic Acid ซึ่งสาร 2 ชนิดที่กล่าวมาแล้ว เว้นแต่ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้แล้ว ยังปกป้องไม่ให้ไขมันอุดตันเส้นโลหิตได้โดยตรงอีกด้วย นอกจากนั้นยังมีสารกลุ่ม Nucleotide ซึ่งสามารถช่วยลดการอุดตันของลิ่มเลือดในเส้นโลหิต และก็ช่วยลดอัตราเสี่ยงที่จะเป็นอัมพาตได้อีกด้วย
ได้มีนักวิทยาศาสตร์ที่ญี่ปุ่นทดสอบให้สารสกัดเห็ดหลินจือกับคนที่เป็นโรคไขมันเส้นเลือดสูง 70 ราย แล้วก็ทำเก็บผลการทดลองภายหลังผ่านไป 3 เดือน พบว่าโคเรสเตอรอลของผู้รับการทดลองลดน้อยลงไปถึง 74% ซึ่งก็สอดคล้องกับผลการวิจัยจากทั่วโลก และยังพบว่าเห็ดหลินจือ เว้นเสียแต่ช่วยลดการอุดตันของไขมันในเส้นเลือดแล้ว ยังเป็นเหตุให้เลือดไหลเวียนอีกด้วย
การที่[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจือ[/url]สามารถจัดแจงกับภาวะไขมันในเส้นโลหิตสูงได้นั้น ได้รับการยืนยันจากนักวิจัยอีกทั้งในประเทศญี่ปุ่น จีน รัสเชีย และก็ที่อื่นๆอีกทั้งโลกแล้วว่าเห็นผลจริงละไม่ได้เป็นเพาระความเชื่อถืออีกต่อไป สุดท้ายนี้ก็ขอฝากไว้ ภาวะไขมันในเส้นเลือดสูงเป็นภาวะที่อันตรายเพราะเหตุว่าสามารถเป็นเหตุให้เกิดโรคน่ากลัวอื่นๆตามมาได้ โดยเหตุนี้หากสหายๆตรวจเลือดแล้วเจอภาวะนี้ก็ควรรีบจัดการตั้งแต่เนิ่นๆไว้กิ่นจะดีมากยิ่งกว่า

11

ถั่งเช่า
การกินถั่งเช่าโดยสวัสดิภาพ
ถ้าเกิดรับประทานในช่วงเวลาสั้นแล้วก็ปริมาณที่เหมาะสม ถั่งเช่าออกจะมีความปลอดภัย แต่มีข้อควรระวังบางประการ ดังนี้
การเลือกรับประทานสมุนไพรถั่งเช่าเป็นอาหารเสริมควรเลือกจากแหล่งผลิตที่ไว้ใจได้แล้วก็ผ่านแนวทางการที่ถูก เนื่องจากว่ามีความน่าจะเป็นไปได้ต่อการแปดเปื้อนสารพิษแล้วก็สารเคมีที่เป็นโทษต่อสภาพทางด้านร่างกาย
ถั่งเช่าอาจจะส่งผลให้กำเนิดอาการท้องเดิน คลื่นไส้ หรือปากแห้งในบางราย
การรับประทานถั่งเช่าพร้อมกันกับยาบางประเภท ดังเช่นว่า ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยายับยั้งแนวทางการทำงานของระบบภูมิต้านทาน ยาซัยวัวลฟอสฟาไมด์ หรือคาเฟอีน อาจจะเป็นผลให้ปฏิกิริยาระหว่างยา คนที่มีโรคประจำตัวหรือใช้ยาบางตัวเวลานี้ควรปรึกษาหมอก่อนทุกหน
ก่อนที่จะมีการกินถั่งเช่าในรูปแบบธรรมดาหรืออาหารเสริม ควรจะขอคำแนะนำแพทย์หรือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับจำนวนรวมทั้งช่วงเวลาสำหรับในการกิน เพื่อลดการเสี่ยงในการเป็นผลข้างๆหรือปฏิกิริยาระหว่างยาและก็ร่างกาย
สตรีตั้งท้องหรืออยู่ในช่วงให้นมบุตรควรจะหลีกเลี่ยงที่จะรับประทาน เนื่องด้วยยังไม่มีข้อมูลรับรองความปลอดภัยสำหรับในการรับประทานมากมายพอเพียง ถ้าอยากได้รับประทานควรจะขอคำแนะนำแพทย์ทุกครั้ง
ผู้ป่วยในกลุ่มโรคภูเขามิต่อต้านตนเอง เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็งหรือโรคเอมเอส โรคลูปัส โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์  ไม่สมควรรับประทาน เนื่องมาจากถั่งเช่าอาจทำให้ระบบภูมิต้านทานร่างกายไวต่อการกระตุ้นเยอะขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งส่งผลให้ลักษณะของคนเจ็บแย่ลง
ถั่งเช่าอาจส่งผลให้เลือดแข็งตัวช้า คนเจ็บภาวการณ์เลือดออกเปลี่ยนไปจากปกติอาจมีความเสี่ยงสำหรับการเกิดเลือดออกได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น แล้วก็ผู้เข้ารับการผ่าตัดควรจะหลีกเลี่ยงที่จะรับประทานถั่งเช่าก่อนเข้ารับการผ่าตัดขั้นต่ำ 2 อาทิตย์ เพื่อลดความเสี่ยงจากการเกิดเลือดออกมากในขณะผ่าตัด
การศึกษาทาวิทยา
จากการศึกษาเล่าเรียนข้างต้นนับว่ายังไม่มีหลักฐานเพียงพอต่อการสรุปข้อมูล เพราะว่ายังเป็นการตรวจสอบและลองใช้ถั่งเช่าในแบบอย่างการดูแลรักษาเสริมควบคู่กับยาหลักที่รักษาโรค ทั้งยังระยะเวลาสำหรับเพื่อการทดลองค่อนข้างสั้น กลุ่มผู้ป่วยเป็นเด็ก และไม่มีการติดตามผลในระยะยาว ก็เลยต้องศึกษาเล่าเรียนเพิ่มอีกในอนาคตด้านอื่นๆผู้ปกครองหรือคนเจ็บควรจะหารือแพทย์ก่อนที่จะมีการใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรใดๆก็ตามแล้วก็ถั่งเช่าสำหรับเพื่อการรักษาโรค
ยืดอายุการเสียชีวิตของผู้เจ็บป่วย ถั่งเช่ายังใช้เป็นการรักษาลู่ทางจากธรรมชาติที่ช่วยต่ออายุผู้ป่วยโรคไตให้ยาวนานขึ้น โดยให้คนเจ็บโรคมะเร็งตับที่เกิดขึ้นมาจากต้นสายปลายเหตุต่างๆจำนวน 101 คน ทดลองรับประทานถั่งเช่ารวมทั้งสารจากธรรมชาติอื่น 11 จำพวก ในจำนวนที่แตกต่างกันเป็นระยะเวลาราว 13 เดือน หลังครบกำหนดก็เลยวัดผลด้วยการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ สารบ่งชี้โรคมะเร็ง และตรวจการปฏิบัติงานของตับ ผลพบว่า ผู้เจ็บป่วยที่รักษาด้วยการใช้ถั่งเช่ารวมทั้งสารจากธรรมชาติ 4 ประเภทหรือมากยิ่งกว่าขึ้นไป รอดชีวิตนานอย่างชัดเจนกว่าผู้เจ็บป่วยที่ได้รับสารจากธรรมชาติน้อยกว่า 3 จำพวก และก็ยังไม่เจอผลข้างเคียง ดังนี้ เป็นการวิจัยที่เก็บข้อมูลย้อนหลัง รวมทั้งเป็นการเล่าเรียนถั่งเช่าร่วมกับสารธรรมชาติตัวอื่น ก็เลยไม่อาจจะเอามาสรุปผลได้แจ้งชัด แต่ว่าบางทีอาจรอข้อเกื้อหนุนอื่นเพิ่ม เพื่อช่วยยืนยันสมรรถนะของถั่งเช่า
โรคไวรัสตับอักเสบ บี มีการใช้ถั่งเช่าสำหรับเพื่อการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคตับอยู่หลายโรค ซึ่งรวมทั้งโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี โดยมีการเรียนรู้สมรรถนะของการใช้ถั่งเช่าในผู้ป่วยโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี เรื้อรังปริมาณ 25 คน ในระยะเวลา 3 เดือน เพื่อเปรียบผลก่อนรวมทั้งหลังการทดสอบ จากการทดลองพบว่าระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวคราวลิมโฟไซต์ที่ชี้ระดับภูมิต้านทานของร่างกายมากขึ้น บางทีอาจมีประโยชน์ต่อการดูแลรักษาพังผืดในตับของคนป่วยโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี เรื้อรัง
ยิ่งไปกว่านี้ ยังมีการเรียนสมุนไพรผลจากการกินสารสกัดถั่งเช่าในคนเจ็บโรคไวรัสตับอักเสบ บี เรื้อรัง ปริมาณ 60 คน เป็นระยะเวลา 6 เดือน โดยแบ่งได้ 2 กรุ๊ป กรุ๊ปแรกได้รับประทานสารสกัดถั่งเช่า ครั้งละ 8 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง และก็อีกกลุ่มได้รับยาสมุนไพรชนิดอื่น ครั้งละ 5 เม็ด วันละ 3 ครั้งอย่างเดียวกัน ผลพบว่า คนเจ็บที่กินสารสกัดจากถั่งเช่ามีการอักเสบของตับน้อยลงราวๆ 81% และการเกิดพังผืดน้อยลง 52% แต่ว่ายังมีผู้เจ็บป่วยอีก 33% ที่ไม่เจอการเปลี่ยนแปลงของการเกิดพังผืดในตับ ก็เลยอาจเป็นหลักฐานที่มั่นใจว่าสมุนไพร ถั่งเช่าบางทีอาจช่วยเพิ่มหลักการทำงานของตับ ลดการอักเสบของตับลงและก็การเสี่ยงสำหรับในการเกิดพังผืดที่ตับ

ดูยังไงอันไหนถั่งเช่าเลียนแบบ
สำหรับถั่งเช่าประเทศทิเบตซึ่งเป็นถั่งเช่าที่มีราคาแพง จึงมีการทำปลอมกันมาก เอาเข้าจริงเป็นเรื่องยากมากๆที่จะรู้ว่าจะต้องมองหลายอย่าง แม้กระนั้นทางคร่าวๆก็จะเป็นไปตามนี้
1.ท่อนหัวของ ถั่งเช่านั้นควรจะเป็นแท่งทรงกลมเป็นเงาคล้ายๆทรงกระบอก
2.เนื่องมาจาก ถั่งเช่าเคยเป็นหนอนมาก่อน ของจริงต้องเป็นหยักๆเรียงกันสวยสดงดงามเสมือนตัวหนอน
3.ราคาต้องผิดกระทั่งเกินไป ถ้าเกิดมีคนไหนเสนอขาย ถั่งเช่าให้เราราคาถูกสันนิฐานไว้ก่อนเลยว่าปลอม
แต่ว่าถ้าเกิดว่าเป็นถั่งเช่าในแคปซูลพวกเราก็จำเป็นต้องมองว่าได้รับการยืนยันจากหน่วยราชการอย่างถูกต้องหรือเปล่า เพราะเหตุว่าถ้าเป็นของแท้จะมี ถ้าไม่มีแสดงว่ามีโอการเป็นของเลียนแบบสูงมากมาย หรือไม่ไม่เป็นอันตราย
แนวทางทานถั่งเช่าให้ได้ประโยชน์สูงสุด
การที่จะทานถั่งเช่าให้ได้ประโยชนสูงสุดนั้นพวกเราก็ต้องเลือกทานตามแบบของถั่งเช่าเป็นหลัก โดยที่มีสำคัญๆอยู่ 2 แบบก็คือ แบบธรรมชาติ รวมทั้งแบบ แคปซูล
1.ถั่งเช่าแบบธรรมชาติ-คนจำนวนไม่น้อยนิยมถั่งเช่าแบบธรรมชาติด้วยการเคี้ยว ซึ้งถือได้ว่าเป็นการเปลืองที่ไม่ค่อยถูกแนวทางมากแค่ไหน เนื่องจากคุณลักษณะในตัวถั่งเช่านั้น จะทำงานเจริญเมื่อถูกความร้อนฉะนั้นควรจะรับประทานแบบที่โนความร้อนดีมากยิ่งกว่าโดยวิธีที่ออกจะได้ผลดีที่สุดก็คือการนำถั่งเช่าราว 2-3 ตัว ไปแช่ลงไปภายในน้ำร้อน ทิ้งเอาไว้ซัก 5 นาทีแล้วจึงนำน้ำมาดื่มจนกระทั่งน้ำหมด ต่อจากนั้นให้เพิ่มเติมน้ำร้อน ได้อีก 2 ครั้ง ร่างกายก็จะได้สารคอร์ไดเซปินไปอย่างครบถ้วน
2.ถั่งเช่าแบบแคปซูล- ตัวถั่งเช่าแบบแคปซูลเวลาทานจะมองสิ่งที่ต้องการเป็นหลักว่า ต้องการทานเพื่อสุขภาพ หรือเจาะจงที่โรคอะไร และทานตามจำนวนที่สมควร อย่างหากพวกเราต้องการทารเพื่อสุขภาพ ให้ทาน เช้า-เย็น อย่างละ 1 แคปซูล ย้ำโรคภูมิแพ้และอื่นๆทาน ยามเช้า เย็น อย่างละ 2 แคปซูลเวลาทานจะทานต่อมาของกินหรือท้องว่างก็ได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอันตรายหรือกัดกระเพาะ

12

โรคคางทูม (Mumps)
โรคคางทูมเป็นอย่างไร  โรคคางทูม (mumps) เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการตำหนิดเชื้อไวรัสซึ่งนับได้ว่าเป็นโรคติดต่อฉับพลันทางระบบหายใจ อีกโรคหนึ่ง พบได้บ่อยในเด็กนักเรียนและก็วัยรุ่น ผู้เจ็บป่วยโดยมากมักมีลักษณะอาการบวมและกดเจ็บรอบๆต่อมน้ำลาย เหตุเพราะมีการอักเสบของต่อมน้ำลายขนาดใหญ่ซึ่งอยู่รอบๆแก้มหน้าหู เหนือขากรรไกร ที่เรียกว่า ต่อมพาโรติด (Parotid glands) ซึ่งเป็นต่อมคู่ มีทั้งข้างซ้ายแล้วก็ข้างขวา ซึ่งโรคบางทีอาจเกิดกับต่อมน้ำลายเพียงด้านเดียวหรือทั้งสองข้างได้ นอกจากนั้นอาจกำเนิดกับต่อมน้ำ ลายอื่นได้ เป็นต้นว่า ต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกร หรือต่อมน้ำลายใต้คาง ซึ่งมักจำต้องกำเนิดร่วมกับการอักเสบของต่อมพาโรติดด้วยเสมอ เป็นโรคที่มีอาการไม่ร้ายแรงรวมทั้งสามารถหายเองได้
คางทูมเป็นโรคที่พบบ่อยในเด็กอายุ 6-10 ปี พบได้ทั้งปวงศหญิงและก็ผู้ชายใกล้เคียงกัน  แม้กระนั้นในเด็กโต วัยเจริญพันธุ์และก็ผู้ใหญ่ชอบเจอความรุนแรงของโรคคางทูมมากยิ่งกว่าและก็กำเนิดอาการนอกต่อมน้ำลายมากยิ่งกว่าวัยเด็ก มักไม่ค่อยเจอในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี รวมทั้งในคนแก่ที่มีอายุมากยิ่งกว่า 40 ปี โรคนี้มีอุบัติการณ์การเกิดสูงในช่วงม.ค.ถึงเดือนเมษายน รวมทั้งในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน และก็บางทีอาจเจอการระบาดได้เป็นครั้งเป็นคราว ในอดีตจัดว่าเป็นโรคติดต่อที่พบได้มากในเด็ก แต่ว่าในตอนนี้มีลักษณะท่าทางลดน้อยลงจากการฉีดยาคุ้มครองป้องกันโรคนี้กันมากยิ่งขึ้น
เรื่องราวและภูมิหลังของโรคคางทูม ศตวรรษที่ห้าก่อนคริสต์ศักราช  Hippocrates ได้อธิบายโรคคางทูมว่าเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ ถัดมาปลายคริสต์ศักราชที่ 1700  Hamilton เน้นย้ำว่าการกำเนิดอัณฑะอักเสบเป็นอาการสำคัญของโรคคางทูม ในปี คริสต์ศักราช1934 Johnson รวมทั้ง Goodpasture สามารถทดลองเลียนแบบการเกิดโรคคางทูมในลิงได้สำเร็จ เป็นหลักฐานแสดงการเจอเชื้อไวรัสคางทูมผ่านมาสู่น้ำลายของผู้เจ็บป่วยโรคคางทูมได้ ในปี ค.ศ.1945 Habel รายงานการเพาะเลี้ยงเชื้อไวรัสคางทูมในตัวอ่อนลูกไก่ได้สำเร็จ Enders และก็แผนก ชี้แจงการทดสอบทางผิวหนังแล้วก็การวิวัฒนาการของการเสริมตรึงแอนติบอดี  (complement-fixing antibodies) ตามหลังโรคคางทูมในมนุษย์ได้สำเร็จ
                รากศัพท์คำว่า  mumps มาจากภาษาใดไม่เคยรู้แน่ชัด อาจมาจากคำนามในภาษาอังกฤษ  mump ที่หมายความว่าก้อนเนื้อ หรือมาจากคำกิริยาในภาษาอังกฤษ  to mump ที่หมายความว่า อารมณ์เสีย ซึ่งเป็นลักษณะการแสดงออกทางสีหน้า  mumps ยังมีความหมายถึงลักษณะการพูดอู้อี้ ซึ่งเจอได้ในคนป่วยโรคคางทูม ในรายงานแต่ก่อนโรคคางทูมมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า  epidemic parotitis
ต้นเหตุของโรคคางทูม ที่มาของโรคคางทูมเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า มัมส์ (mumps Virus) เป็นเชื้อไวรัสที่อยู่ในอากาศสามารถแพร่กระจายได้โดยการไอ จาม เหมือนกันกับโรคไข้หวัด ซึ่งเชื้อไวรัสชนิดนี้เป็น
ไวรัสในกรุ๊ปพาราไม่กโซเชื้อไวรัส  (paramyxovirus) (ประกอบด้วย mumps virus, New Castle disease virus, human parainfluenza virus types 2, 4a, and 4b) เชื้อไวรัสคางทูมเป็น enveloped negative singlestranded RNA มีลักษณะรูปร่างทรงกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 90-300 นาโนเมตร ขนาดเฉลี่ยประมาณ 200 นาโนเมตร nucelocapsid ถูกหุ้มห่อด้วย envelope 3 ชั้น
ลักษณะโรคคางทูม อาการของโรคคางทูม กำเนิดข้างหลังสัมผัสโรค               
ที่มา :  WIKIPEDIA
ซึ่งระยะฟักตัวทั่วๆไปประมาณ 14 - 18 วัน แต่ว่าบางทีอาจเร็วได้ถึง 7 วันหรือนานได้ถึง 25 วัน โดยจะก่อให้มีการอักเสบของต่อมน้ำลายพาโรติด อาการ ผู้เจ็บป่วยจะเริ่มมีอาการไม่สบาย หมดแรง ปวดศีรษะ เมื่อยตามตัว เบื่อข้าว  บางคนอาจมีอาการปวดในช่องหูหรือข้างหลังหูขณะเคี้ยวหรือกลืน ๑-๓ วันต่อมา พบว่าบริเวณข้าง
                      ที่มา :  Googleหรือขากรรไกร มีลักษณะอาการบวมรวมทั้งปวด  อาการปวดจะเป็นมากขึ้นเมื่อกินของเปรี้ยว น้ำส้มคั้น น้ำมะนาว คนเจ็บชอบรู้สึกปวดร้าวไปที่หู ขณะอ้าปากบดหรือกลืนของกิน บางบุคคลอาจมีอาการบวมที่ใต้คางร่วมด้วย (ถ้าเกิดมีการอักเสบของต่อมน้ำลายใต้คาง) โดยประมาณ ๒ ใน ๓ ของผู้ที่เป็นคางทูม จะเกิดอาการคางบวมทั้ง ๒ ข้าง โดยเริ่มขึ้นข้างหนึ่งก่อนแล้วอีก ๔-๕ วัน ถัดมาค่อยขึ้นตามมาอีกข้างอาการคางบวมจะเป็นมากในช่วง ๓ วันแรกแล้วจะค่อยๆยุบหายไปใน ๔-๘ วัน ในช่วงที่บวมมากมาย ผู้เจ็บป่วยจะมีอาการบอกแล้วก็กลืนตรากตรำ บางคนอาจมีอาการคางบวม โดยไม่มีอาการอื่นๆเอามาก่อน หรือมีเพียงแต่อาการไข้ โดยไม่มีอาการคางบวมให้เห็นก็ได้ นอกจากนี้ พบว่าราวจำนวนร้อยละ ๓๐ ของคนที่ติดโรคคางทูม อาจไม่มีอาการแสดงของโรคคางทูมก็ได้
ส่วนภาวะแทรกซ้อน) ของโรคคางทูม มักจะเจอได้สูงขึ้นเมื่อกำเนิดโรคในวัยรุ่น ผู้ใหญ่ หรือในคนมีภูมิต้านทานขัดขวางโรคต่ำ อาทิเช่น

  • โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ พบได้ราว 10% ของผู้เจ็บป่วย และมักมีลักษณะอาการไม่รุนแรง
  • โรคสมองอักเสบ เจอได้แต่ว่าน้อยมาก แต่ถ้าเกิดร้ายแรงอาจก่อให้เสียชีวิต ได้ พบได้ประมาณ 1% และก็พบเกิดในผู้ชายมากยิ่งกว่าผู้หญิง
  • ในเพศชาย อาจเจอการอักเสบของอัณฑะ โดยช่องทางกำเนิดสูงมากขึ้นถ้าหากคางทูมเกิดในวัยรุ่นหรือวัยผู้ ใหญ่เจอได้ 20 - 30% ของผู้เจ็บป่วย อาการอัณฑะอักเสบมักกำเนิดประมาณ 1 - 2 อาทิตย์หลังจากต่อมน้ำลายอักเสบ โดยอัณฑะจะบวม เจ็บ รวมทั้งอาจกลับมาจับไข้ได้อีก อาการต่างๆจะเป็นอยู่ราวๆ 3 - 4 วัน หรือบางทีอาจนานได้ถึง 2 - 3 อาทิตย์ อัณฑะจะยุบบวม และขนาดอัณฑะจะเล็กลง ทั่วๆไปการอักเสบมักกำเนิดกับอัณฑะฝ่ายเดียว ซ้ายหรือขวามีโอกาสเกิดใกล้เคียงกัน แต่ว่าพบกำเนิด 2 ข้างได้ 10 - 30% หลังกำเนิดอัณฑะอักเสบประมาณ 13% ของผู้มีอัณฑะอักเสบด้านเดียว แล้วก็ 30 - 87% ของผู้มีอัณฑะอักเสบ 2 ข้างจะมีลูกยาก (Impaired fertility) บางคนบางทีอาจเป็นหมันได้
  • ในสตรี อาจมีการอักเสบของรังไข่ได้ราว 5% แต่ว่ามักไม่เป็นผลให้มีลูกยาก หรือเป็นหมัน
  • อื่นๆที่อาจพบได้บ้างแต่ว่าน้อยหมายถึงข้ออักเสบ ตับอ่อนอักเสบ รวมทั้ง หูอักเสบ


กรรมวิธีรักษาโรคคางทูม แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคคางทูมได้จากประวัติอาการแล้วก็การตรวจร่างกายของผู้ป่วยดังนี้

  • ตรวจเช็คประวัติการป่วยหนักของคนป่วย
  • ตรวจการบวมของต่อมน้ำลายที่ข้างหู และต่อมทอนซิลในปาก
  • วัดอุณหภูมิของคนป่วยว่าอยู่ในระดับที่สูงผิดปกติหรือเปล่า
  • ตรวจสารก่อภูมิคุ้มกัน (Antigen) ในเลือด
  • แต่เมื่อทำสอบประวัติแล้วพบว่ามีประวัตสัมผัสกับคนเจ็บโรคคางทูมด้านใน 2-3 สัปดาห์ ร่วมกันมีอาการต่อมพาโรติดอักเสบก็สามารถวินิจฉัยโรคได้ในทันที


ส่วนการตรวจทางห้องทดลองเพื่อยืนยันการติดเชื้อไวรัสคางทูมนั้น มีความจำเป็นต่อการวิเคราะห์ในเรื่องที่ผู้เจ็บป่วยไม่มีต่อมน้ำลายพาโรติดอักเสบ ต่อมน้ำลายพาโรติดอักเสบเป็นซ้ำหลายหน หรือเพื่อรับรองการไต่สวนการระบาดของโรคคางทูม การตรวจทางห้องทดลองเพื่อรับรองการวินิจฉัยโรคคางทูม โดยการตรวจทางภูมิคุ้นกันวิทยา (serologic studies) มีหลายแนวทาง เช่น

  • ตรวจเลือดหาแทนตำหนิบอดีต่อเชื้อไวรัสคางทูม lgM โดยวิธี enzyme-linked immunosorbent assay (ELISA)
  • การตรวจหาเชื้อไวรัสคางทูมจากน้ำลาย เยี่ยว น้ำไขสันหลัง เลือด แล้วก็สมอง โดยแนวทาง Reverse transcriptase (RT)–PCR assays แล้วก็
  • แนวทางการแยกเชื้อไวรัสคางทูมในเซลล์เพาะเลี้ยง


ด้วยเหตุว่าโรคคางทูมเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส การดูแลและรักษาโรคคางทูมก็เลยยังไม่มียารักษาโดยยิ่งไปกว่านั้น แม้กระนั้นสามารถทำเป็นโดยทุเลาอาการแล้วก็ทำให้ระบบภูมิต้านทานของร่างกายแข็งแรงขึ้น โดยหมอจะรักษาตามอาการ ดังเช่นว่า เมื่อมีอาการปวดก็จะให้รับประทานพาราเซตามอลเพื่อทุเลาปวด ยิ่งกว่านั้นก็จะเสนอแนะกรรมวิธีการประพฤติตัวและให้พักฟื้นที่บ้าน
การดำเนินโรค  ดังนี้ส่วนมากโรคคางทูมจะไม่มีภาวะแทรกซ้อนและก็สามารถหายได้เองตามธรรมชาติ และก็ลักษณะของการมีไข้จะเป็นอยู่เพียงแค่ ๑-๖ วัน ส่วนอาการคางทูมจะยุบได้เองใน ๔-๘ วัน (ไม่เกิน ๑๐ วัน) รวมทั้งอาการโดยรวมจะหายสนิทด้านใน ๒ สัปดาห์
ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่ไม่รุนแรงที่เกิดกับอวัยวะต่างๆส่วนมากก็มักจะหายได้เป็นปกติส่วนน้อยมากมายที่อาจมีภาวะเป็นหมัน (จากรังไข่อักเสบแล้วก็อัณฑะอักเสบ) หูหนวก (จากประสาทหูอักเสบ)
การติดต่อของโรคคางทูม เชื้อไวรัสคางทูมสามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสโดยตรง (direct contact) กับสารคัดหลั่งของทางเดินหายใจ (droplet nuclei) หรือ fomites ผ่านทางจมูกหรือปาก เช่นการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่คนเจ็บไอหรือจามรด การสัมผัสน้ำลายของคนเจ็บ หรือโดยการสัมผัสถูกมือ สิ่งของ
เครื่องใช้ เช่น ผ้าที่เอาไว้เช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ถ้วยน้ำ จาน ชาม เป็นต้น รวมไปถึงสภาพแวดล้อมอื่นๆที่มัวหมองเชื้อ ซึ่งจะต้องใช้การสัมผัสที่สนิทสนมสำหรับในการกระจายเชื้อไวรัสคางทูมมากยิ่งกว่าเชื้อฝึกฝน หรือเชื้ออีสุกอีใส ระยะที่แพร่ระบาดได้มากที่สุดหมายถึง1-2 วันก่อนเริ่มมีลักษณะอาการต่อมน้ำลายพาโรติดบวม จนกระทั่ง 5 คราวหลังจากต่อมน้ำลายพาโรติดเริ่มบวม (แม้กระนั้นมีกล่าวว่าสามารถแยกเชื้อไวรัสคางทูมจากน้ำลายของคนป่วยตั้งแต่ 7 วันก่อนมีลักษณะจนถึง 9 วันหน้าจากเริ่มมีลักษณะอาการต่อมน้ำลายพาโรติดบวม) ส่วนระยะฟักตัวของเชื้อไวรัสคางทูมโดยมาก 16-18 วัน (วิสัย 12-25 วัน)
การแยกโรคอื่นๆที่มีลักษณะอาการคางบวมคล้ายกับโรคคางทูม การแยกโรค อาการคางบวม อาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะโรครวมทั้งต้นสายปลายเหตุอื่น ได้อีกได้แก่

  • การเจ็บ อย่างเช่น ถูกต่อย
  • ต่อมทอนซิลอักเสบ ผู้ป่วยจะเป็นไข้ เจ็บคอ ต่อมทอนซิลบวมแดง และบางทีอาจเจอมีต่อมน้ำเหลืองใต้คางบวมร่วมด้วยข้างหนึ่ง
  • เหงือกอักเสบหรือรากฟันอักเสบ ผู้เจ็บป่วยจะมีอาการปวดฟัน  หรือเหงือกบวม  รวมทั้งอาจมีอาการคางบวมร่วมด้วยข้างหนึ่ง
  • ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ คนเจ็บจะมีอาการต่อมน้ำเหลืองที่ข้างคอหรือใต้คางบวมและก็ปวด และก็อาจมีไข้ร่วมด้วย
  • เนื้องอกต่อมน้ำลายหรือท่อน้ำลายตัน (จากการตีบหรือมีก้อนนิ่วน้ำลาย) ผู้เจ็บป่วยจะมีก้อนบวมที่คางข้างหนึ่ง ซึ่งมักจะเป็นเรื้อรัง
  • ต่อมน้ำลายอักเสบเป็นหนอง จากการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรีย คนไข้มีลักษณะอาการคล้ายคางทูม แต่ว่าผิวหนังรอบๆคางทูมจะมีลักษณะแดงและก็เจ็บมาก
  • โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (บางทีอาจกำเนิดที่ต่อมน้ำเหลืองโดยตรง หรือแพร่กระจายจากกล่องเสียงหรือโพรงหลังจมูก) คนป่วยจะมีก้อนบวมที่ข้างคอ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากยิ่งกว่า ๑ เซนติเมตร และไม่มีลักษณะเจ็บปวด อาจมีอาการเสียงแหบ (ถ้าเกิดเป็นโรคมะเร็งกล่องเสียง) หรือคัดจมูกหรือเลือดกำเดาไหล (ถ้าเกิดเป็นโรคมะเร็งโพรงข้างหลังจมูก)
การกระทำตนเมื่อป่วยเป็นโรคคางทูม เมื่อป่วยด้วยโรคคางทูมแพทย์ชอบให้คำปรึกษาสำหรับในการประพฤติตัวเพื่อบรรเทาลักษณะของโรคมากยิ่งกว่าการให้ยา ซึ่งแพทย์มักจะชี้แนะดังต่อไปนี้

  • เช็ดตัวเวลามีไข้แล้วก็ให้ยาลดไข้ (พาราเซตามอล) และให้ซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมงเฉพาะเวลามีไข้สูง ห้ามใช้แอสไพริน สำหรับคนอายุต่ำกว่า 18 ปี เพราะว่าอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม (Reye’s syndrome) ซึ่งมีการอักเสบของสมองและตับอย่างรุนแรง               ทำให้เป็นอันตรายได้
  • ใช้น้ำอุ่นจัดๆประคบตรงรอบๆที่เป็นคางทูมวันละ 2 ครั้ง แต่ถ้าหากปวด ให้ใช้ความเย็น (ได้แก่ น้ำเย็น น้ำแข็ง) ประคบบรรเทาปวด
  • หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่เคี้ยวยาก ในระยะเริ่มต้นๆควรจะกินอาหารอ่อน อาทิเช่น ข้าวต้ม ซุป
  • หลีกเลี่ยงการกินของกินรสเปรี้ยว น้ำส้มคั้น น้ำมะนาวคั้น เนื่องจากว่าอาจจะเป็นผลให้ปวดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
  • ควรจะหยุดเรียนหรือหยุดงาน พักรักษาตัวที่บ้านตราบจนกระทั่งจะหาย เพื่อปกป้องการแพร่เชื้อให้คนอื่นๆ
  • พักผ่อนให้พอเพียง
  • ดื่มน้ำมากๆเมื่อไม่ได้เป็นโรคที่จะต้องจำกัดน้ำ
  • บ้วนปากด้วยน้ำเกลือเสมอๆ
  • ควรจะรีบไปพบหมอเมื่อมีลักษณะอาการดังต่อไปนี้


o             ไข้สูง ตั้งแต่ 38 องศาเซลเซียส ขึ้นไป และก็ไข้ไม่ลงข้างใน 2-3 ครั้งหน้าดูแลตัวเองในเบื้อง ต้น
o             ปวดต่อมน้ำลายมาก รวมทั้งอาการปวดไม่ดีขึ้นหลังกินยาที่ช่วยบรรเทาอาการ
o             รับประทานอาหาร และ/หรือกินน้ำได้น้อยหรือรับประทานมิได้เลย
o             ไข้สูงร่วมกับปวดหัวมาก คอแข็ง หรือปวดท้องมาก เพราะเป็นอาการกำเนิดจาผลข้างเคียง สอดแทรกดังที่กล่าวมาแล้ว
การป้องกันตนเองจากโรคคางทูม

  • วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการเกิดโรคคางทูมนั้นในชุมชนและในโรงพยาบาล ได้แก่ การส่งเสริมให้มีระดับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสคางทูมสูงโดยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคางทูม (MMR) เด็กทุกคนต้องได้รับวัคซีน 2 โด๊ส โด๊สแรกที่อายุ 9-12 เดือน และโด๊สที่สองอายุ 4-6 ปี หากไม่มีประวัติการได้รับวัคซีนมาก่อนในกลุ่มเด็กโต นักศึกษา นักท่องเที่ยว บุคลากรทางการแพทย์ ควรได้รับวัคซีน 2 โด๊ส ในผู้ใหญ่ควรได้รับวัคซีนมาก่อน ควรได้รับวัคซีน 1 โด๊ส
  • หลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่ที่มีผู้คนแออัด ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคคางทูม ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ หรือชโลมมือด้วยแอลกอฮอล์เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่อาจติดมาจากการสัมผัส และอย่าใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะจมูก
  • ไม่ใช้สิ่งของเครื่องใช้ เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ โทรศัพท์ จานชาม ของเล่น ฯลฯ ร่วมกับผู้ป่วย และควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสมือโดยตรงกับผู้ป่วยที่เป็นโรคคางทูม
  • ไม่เข้าใกล้หรือนอนรวมกับผู้ป่วยที่เป็นโรคคางทูม แต่ถ้าจำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดก็ควรสวมหน้ากากอนามัยและหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ให้สะอาดอยู่เสมอ
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน เพื่อให้มีสุขภาพแข็งแรง และเพื่อลดโอกาสติดเชื้อต่างๆ รวมทั้งเชื้อไวรัสคางทูม
สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/รักษาโรคคางทูม

  • พิษนาศน์ ชื่ออื่น  แผ่นดินเย็น นมราชสีห์ น้ำนมราชสีห์ ปันสะเมา พิษหนาด สิบสองราศี  ชื่อวิทยาศาสตร์ Sophora exigua Craib , Fabaceae  สรรพคุณ:   ตำรายาไทย ราก รสจืดเฝื่อนซ่า ต้มเอาน้ำดื่ม ขับพิษภายใน ขับน้ำ แก้คางทูม
  • ตะลิงปลิง ชื่อวิทยาศาสตร์ : Averrhoa bilimbi L. ชื่อสามัญ : Bilimbing  วงศ์ :   OXALIDACEAE สรรพคุณ : ยารักษาคางทูม วิธีและปริมาณที่ใช้ : ใช้ใบสด 1 กำมือ ตำให้ละเอียด ผสมน้ำเล็กน้อย พอกบริเวณที่บวม พอกวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เปลี่ยนยาใหม่ทุกครั้ง ชาวอินโดนีเซียนิยมใช้ยานี้มาก

    เอกสารอ้างอิง

  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.คางทูม.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 321.คอลัมน์ สารานุภาพทันโรค.มกราคม .2549
  • Enders JF, Cohen S, Kane LW. Immunity in mumps. The development of complement fixing antibody and dermal hypersensitivity in human beings following mumps. J Exp Med. 1945;81:119-35.
  • พญ.ฐิติอร ฤาชาฤทธิ์.พอ.วีระชัย วัฒนวีราเดช.วัคซีนป้องกันโรคางทุม.ตำราวัคซีน.สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศทไย.หน้า173-183
  • สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.สรุปรายงานการเฝ้าระวังโรค ปี พ.ศ.2552.นนทบุรี:สำนักฯ;
  • Kleiman MB. Mumps virus. In: Lennette EH, editor. Laboratory Diagnosis of Viral Infections, 2nd ed. New York: Marcel Dekker;1992. p. 549-66. http://www.disthai.com/
  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ “คางทูม (Mumps/Epidemic parotitis)”.หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป หน้า 407-410.
  • American Academy of Pediatrics. Mumps. In: Pickering LK, Baker CJ, Kimberlin DW, Long SS, editors. Red book.2009 Report of the Committee on Infectious Diseases. 28th ed. Elk Grove Village, IL: American Acedemy of Pediatric; 2009. p. 468-472.
  • Centers for Disease Control and Prevention(CDC). Updated recommendations for isolation of persons with mumps. MMWR Morb Mortal Wkly Rep. 2008;57:1103-5.
  • Johnson CD, Goodpasture EW. An investigation of the etiology of mumps. J Exp Med. 1934;59:1-19.
  • คางทูม-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม.(ออนไลน์)เข้าถึงได้
  • กลุ่มเฝ้าระวังสอบสวนทางระบาดวิทยา สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.สรุปสถานการณ์และองค์ความรู้จากการเฝ้าระวังและสอบสวนโรค MMR ปี พ.ศ.2552. นนทบุรี : สำนักฯ ;
  • พิษนาศน์.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
  • Habel K. Cultivation of mumps virus in the developing chick embryo and its application to the studies of immunity to mumps in man. Public Health Rep. 1945;60:201-12.
  • Baum SG, Litman N. Mumps virus. In Mandell GL. Bennett JE, Dolin R, editors. Mandell, Douglas and Bennett’s principles and practice of infectious disease. 7th ed. New York: Churchill Livingstone; 2010. p. 2201-6.
  • ตะลิงปลิง.กลุ่มยารักษาตา คางทูม แก้ปวดหู.สรรพคุณสมุนไพร200ชนิด.โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี.
  • Travis LW, Hecht DW. Acute and chronic inflammatory diseases of the salivary glands, diagnosis and management. Otolaryng Clin North Am. 1977;10:329-88.
  • Gershon, A. (2001). Mumps. In Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, D., Hausen, S., Longo, D.,andJamesson, J. Harrrison’s: Principles of internal medicine. (p 1147-1148). New York. McGraw-Hill.



Tags : โรคคางทูม

13

น้ำมันกานพลู (Clove Oil)
น้ำมันกานพลูคืออะไร น้ำมันกานพลูเป็นน้ำมันหอมระเหยชนิดหนึ่งที่สกัดได้จากการกลั่นโดยใช้ละอองน้ำจากพืชที่เราเรียกกันว่าต้นกานพลู ซึ่งประเภทของน้ำมันมีอยู่ 3 จำพวกคือ

  • น้ำมันจากดอกได้มาจากดอกตูมของต้นกานพลู ซึ่งประกอบไปด้วย 60% eugenol, acetyl eugenol, caryophyllene และส่วนประกอบย่อยอื่นๆ
  • น้ำมันจากใบที่ได้มาจากใบของต้นกานพลู มียูจินอล 82-88% ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีอะซิเตตน้อยหรือเปล่ามีเลยและยังส่วนประกอบย่อยอื่นๆอีกด้วย
  • น้ำมันจากต้นมาจากกิ่งและเปลือกต้นของต้านทานกานพลู มียูจินอล 90 - 95% แล้วก็องค์ประกอบย่อยอื่นๆ


ส่วนรูปแบบของน้ำมันกานพลูนั้นจะเป็นของเหลว (น้ำมัน) มีกลิ่นเฉพาะบุคคลซึ่งจะฉุนบางส่วนมีสีใสถึงเหลืองอ่อน หรือสีเหลืองปนน้ำตาลอ่อน น้ำมันกานพลูชอบมีการนำไปใช้เป็นส่วนผสมของยานวด, น้ำหอม แล้วก็ผลิตภัณฑ์อื่นๆรวมถึงใช้เพื่อการแต่งรสของยาเพื่อลดความขมลง แต่ถ้าเป็นสมุนไพรจากส่วนต่างๆของกานพลูนั้น มีการใช้เป็นยาสมุนไพรกันอย่ากว้างใหญ่รวมทั้งนานาประการในด้านสรรพคุณทางยาในพืชชนิดนี้
สูตรทางเคมีแล้วก็สูตรองค์ประกอบ น้ำมันกานพลู (Clove oil) ได้จากการสกัด ดอก, ใบ เปลือกและกิ่ง ของต้นกานพลู โดยการกลั่นโดยใช้ไอน้ำมีน้ำหนักโมเลกุล 205.647 g/mal มีจุดเดือดอยู่ที่ 251 องศาเซลเซียส (Cº) มีจุดวาบไฟที่ > 250 องศาฟาเรนไฮท์ (Fº) มีความไวไฟพอควร
ที่มา/แหล่งที่เจอ น้ำมันกานพลู (Clove oil) เป็นน้ำมันหอมระเหยที่ได้จากกรรมวิธีการกลั่นโดยใช้ละอองน้ำ (Stream distillation) ต่อจากนั้นสกัดแยกน้ำมันกานพลูกับน้ำด้วย dichloromethane แล้วระเหยเอา dichloromethane ออกมา ก็จะได้น้ำมันกานพลู ส่วนรูปแบบของต้นกานพลูที่เป็นที่มาของน้ำมันกานพลูนั้นมีลักษณะดังต่อไปนี้

ชื่อสมุนไพร กานพลู
ชื่อวิทยาศาสตร์ Syzygium aromaticum (L.) Merr. & Perry     
ชื่อตระกูล                        MYRTACEAE
ชื่อพ้อง                   Eugenia caryophyllata Thunb.
                Eugenia caryophyllus (Spreng.) Bullock & Harrison,
                Eugenia aromatica Kuntze
ชื่ออังกฤษ              Clove, Clove tree
ชื่อท้องถิ่น              จันย่าง (ภาคเหนือ)
ลักษณะทั่วไป

  • ลำต้น กานพลูเป็นไม้ยืนต้น ไม่ผลัดใบ สูง 5-20 เมตร เรือนยอดทึบ เป็นรูปกรวยคว่ำ แตกกิ่งต่ำ ลำต้นตั้งชัน เปลือกเรียบมีสีน้ำตาลอ่อน มีต่อมน้ามันมาก
  • ใบ ใบกานพลู เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้าม มีก้านใบเล็กเรียว ยาว 1-3 ซม. รูปใบขอบขนานแกมรูปไข่กลับ กว้าง 3-6 เซนติเมตร ยาว 6-13 เซนติเมตร ปลายใบแหลมหรือเรียวแหลม ขอบเรียบ โคนสอบเป็นรูปลิ่ม แผ่นใบข้างบนวาว ตอนล่างของใบมีต่อมมากมาย ใบมีเส้นใบจำนวนไม่น้อย
  • ดอก ดอกกานพลูออกเป็นช่อดอกสั้นๆแทงออกบริเวณปลายยอดหรือง่ามใบรอบๆยอด ดอกแตกแขนงออกเป็นกลุ่ม 3 ช่อ มีจำนวน 6-20 ดอก ดอกมีใบแต่งแต้มรูปสามเหลี่ยม ยาว 2-3 มิลลิเมตร กลีบเลี้ยง 4 กลีบ สีเขียวอมเหลือง และก็มีสีแดงเรี่ยราย โคนชิดกันเป็นหลอดยาว 5-7 มิลลิเมตร กลีบดอก 4 กลีบ กลีบดอกมีสามเหลี่ยมปนรูปไข่ ยาว 7-8 มม. มีต่อมน้ำมันมากมาย กลีบดอกไม้มักร่วงง่าย ข้างในมีเกสรเพศผู้ ก้านยกเกสรยาว 3-7 มม. ก้านเกสรเพศเมียยาวราว 4 มิลลิเมตร ยอดเกสรตัวเมียแบ่งเป็น 2 พู มีรังไข่ 2-3 ห้อง แต่ละห้องมีไข่เยอะมาก
  • ผล ผลกานพลู ได้ผลสำเร็จคนเดียว มี 1 เมล็ด มีรูปไข่กลับแกมรูปรี ยาว 2-2.5 ซม. เมื่อแก่จะมีสีแดงเข้มออกคล้ำ


สารสำคัญที่เจอ

  • ดอก – Eugenol 72-90 % – Eugenyl acetate 2-27 % – β-caryophyllene 5-12 % – trans-β-caryophyllene 6.3-12.7 % – Vanillin
  • ใบ – Eugenol 94.4 % – β-caryophyllene 2.9 %


สารอื่นๆตัวอย่างเช่น methyl salicylate, methyl eugenol, benzaldehyde, methyl amyl ketone รวมทั้ง rhamnetin
ประโยชน์/คุณประโยชน์ น้ำมันกานพลูมีคุณประโยชน์ทางยาเป็นน้ำมันกานพลู (Clove oil) เป็นยาชาเฉพาะที่ แก้ปวดฟัน โดยใช้สำสีชุบนำมาอุดที่ฟัน ระงับการกระตุก ตะคริว ขับผายลม แก้ปวดท้อง แก้ท้องเฟ้อ ผสมยากลั้วคอ ขับลม แก้ท้องเฟ้อ ท้องเดิน แก้ไอ  ฆ่าเชื้อโรค แก้ชาปลายมือปลายเท้า ทุเลาอาการจากแมลงสัตว์กัดต่อย แก้โรคลมระงับปวด ใช้ผสมกับ เมนทอล เมทิลซาลิไซเลต เป็นยานวดแก้ปวดบวมช้ำ ส่วนคุณประโยช์จากน้ำมันกานพลูมีดังนี้   น้ำมันหอมระเหยจากดอกใช้เป็นส่วนผสมสารกำจัดแมลงไล่ยุง หรือใช้ฉีดพ่นกำจัดแมลงซึ่งตรง โดยมี สารยูจีนอล (Eugenol) เป็นตัวที่ออกฤทธิ์สำคัญสำหรับในการขัดขวางการทำงานของเอนไซม์ทำให้โปรตีนอื่นๆเสียสภาพไป น้ำมันหอมระเหยของกานพลูใช้สำหรับทำให้ปลาสลบ โดยมีสารออกฤทธิ์ที่สำคัญเป็นยูจีนอล (Eugenol) ใช้โดยการหยด  ใช้น้ำมันกานพลูใช้เป็นส่วนประกอบหรือใช้เป็นยาต้านทานเชื้อแบคทีเรียหลายประเภท น้ำมันจากก้านดอก และดอกกานพลูใช้สำหรับการจัดเตรียมสาร eugenol, isoeugenol แล้วก็vanillin รวมทั้งน้ำมันที่เหลือใช้สำหรับในการทำสบู่   น้ำมันหอมระเหยจากกานพลูใช้เป็นส่วนผสมของยาสีฟัน และก็น้ำยาบ้วนปาก น้ำมันหอมระเหยจากกานพลูใช้สำหรับแต่งกลิ่นรสของกิน และก็ใช้เป็นวัตถุกันเสีย

ส่วนคุณประโยชน์แล้วก็คุณประโยชน์ทางยาของส่วนต่างๆของต้นกานพลูนั้นมีดังนี้ 
  แบบเรียนยาไทย ดอก รสเผ็ด กระจัดกระจายเสมหะ แก้เสมหะเหนียว แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้ปวดฟัน ดับกลิ่นปาก แก้หืด เป็นยาทำให้ร้อนเมื่อถูกผิวหนังทำให้ชา เป็นยาฆ่าเชื้อ แก้ปวดฟัน แก้โรครำมะนาด แก้ปวดท้อง มวนในไส้ แก้ลม แก้เหน็บชา แก้พิษเลือด พิษน้ำเหลือง ขับน้ำคาวปลา ทำอุจจาระให้ธรรมดา แก้ธาตุทั้ง 4 พิการ แก้เจ็บท้อง แก้ท้องอืด อาหารไม่
ย่อย คลื่นไส้อาเจียน แก้จุกเสียด แก้ท้องร่วง ขับผายลม กดลมให้ลงสู่เบื้องต่ำ แก้สะอึก แก้ซางต่างๆขับเมนส์ ใน ”พิกัดตรีพิษจักร” เป็นการจำกัดปริมาณตัวยาที่มีรสซึมซาบไวดังกงจักร  3 อย่าง มี ผลผักชีล้อม ผลจันทน์เทศ รวมทั้งกานพลู สรรพคุณแก้ลม แก้พิษเลือด แก้ธาตุทุพพลภาพ บำรุงเลือด ”พิกัดตรีคันธวาต” เป็นการจำกัดจำนวนตัวยาที่มีกลิ่นหอมสดชื่นแก้ลม  3 อย่าง มี ผลเร่วใหญ่ ผลจันทน์เทศ และก็กานพลู มีคุณประโยชน์ แก้ธาตุพิการ แก้ไข้อันเกิดแต่ดี แก้จุกเสียด บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศ คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา มีการใช้กานพลู ในยารักษากรุ๊ปอาการทางระบบไหลเวียนโลหิต (แก้ลม) ปรากฏในตำรับ”ยาหอมเทพจิตร” และก็ตำรับ ”ยาหอมนวโกฐ” โดยมีส่วนประกอบของกานพลูร่วมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณสำหรับเพื่อการแก้ลมตาลาย แก้อาการหน้ามืด ตาลาย ใจสั่น คลื่นไส้ อาเจียน แก้ลมจุกแน่นในท้อง ตำรับยารักษากลุ่มอาการทางระบบของกิน มี “ยาธาตุบรรจบ” มีส่วนประกอบของกานพลูร่วมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณทุเลาอาการท้องอืดเฟ้อ และอาการท้องร่วงที่ไม่เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการต่อว่าดเชื้อ และตำรับ “ยาประสะกานพลู” มีกานพลูเป็นองค์ประกอบหลัก และก็มีสมุนไพรชนิดอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดท้อง จุกเสียด แน่นเฟ้อจากอาหารไม่ย่อย ด้วยเหตุว่าธาตุแตกต่างจากปกติ
การเรียนทางเภสัชวิทยา

  • ฤทธิ์เป็นยาชาเฉพาะที่ กานพลูมีสาร eugenol ซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาชาเฉพาะที่ มีการใช้น้ำมันกานพลูเป็นส่วนประกอบในตำรับยาเพื่อลดอาการปวด  นอกเหนือจากนี้สาร eugenol ในน้ำมันกานพลูยังออกฤทธิ์เป็นยาสลบในปลาอีกหลายอย่าง
  • สารสกัดน้ำจากดอก จากผล  และก็จากเปลือกต้น  และก็น้ำมันกานพลู มีฤทธิ์ลดการอักเสบ โดยไปยับยั้งการสังเคราะห์ prostaglandin โดยยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี cyclooxygenase-1, cyclooxygenase-2 แล้วก็เพิ่มการสังเคราะห์ nitric oxide
  • ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุอาการแน่นจุกเสียดจากท้องเดิน และก็แผลในกระเพาะอาหาร สารสกัดด้วยเอทานอล สารสกัดด้วยเอทานอล:น้ำ ในอัตราส่วน 3:1  สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ เมทานอลแล้วก็น้ำจากดอก  สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์จากดอกที่กลั่นเอาน้ำมันหอมระเหยออกแล้ว  และก็น้ำมันกานพลู มีฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของอาการแน่นจุกเสียด ตัวอย่างเช่น  Escherichia coli , Salmonella typhi , S. typhosa, S. enteritidis, S. paratyphi, Shigella, Sh. paradysenteriae, Sh. dysenteriae, Sh. flexneri, Bacillus anthracis, B. subtilis, B. mesentericus, B. cereus, Proteus vulgaris, Rabbit Cholera, Vibrio comma, V. cholerae, V. parahemolyticus, Helicobacter pyroli และ Clostridium botulinum
  • ฤทธ์ต่อต้านการเกิดแผนในกระเพาะ มีการทดลองฤทธิ์สำหรับเพื่อการกระตุ้นรูปแบบการทำงานของลำไส้ในหลอดทดสอบ โดยใช้ลำไส้กระต่าย เทียบกับ acetylcholine 5.5 x 10(-5) M ซึ่งสารสกัดกานพลูด้วยการต้ม ความเข้มข้น 200-6400 μg/ml มีฤทธิ์กระตุ้นแนวทางการทำงานของไส้ได้น้อยกว่า acetylcholine และเมื่อมีการให้สารสกัดกานพลูร่วมกับ atropine sulphate พบว่าจะมีฤทธิ์ในกระตุ้นการเคลื่อนไหวของไส้ได้ลดลง
  • ฤทธิ์ต่อต้านการบีบตัวของลำไส้ การทดสอบฤทธิ์ต้านการบีบตัวของลำไส้สัตว์ทดสอบของน้ำมันกานพลู ทำในหลอดทดสอบ ลำไส้ถูกรั้งนำให้เกิดการบีบตัวโดยใช้สารหลายอย่าง อย่างเช่น acetylcholine (ใช้ลำไส้หนูแรทส่วน duodenum), barium chloride, histamine (ใช้ลำไส้ส่วน ileum ของหนูตะเภา) และ nicotine (ใช้ไส้กระต่ายส่วน jejunum)ซึ่งสามารถยั้งการบีบตัวของสำไส้ได้  20-40%, 40-60%, >60% แล้วก็ >60% ตามลำดับ
  • ฤทธิ์คุ้มครองป้องกันเยื่อบุกระเพาะ น้ำมันกานพลู รวมทั้งสาร eugenol ในกานพลู กระตุ้นให้เยื่อบุเซลล์กระเพาะอาหารมีการหลั่งสารเมือก (mucin) ออกมาเพื่อคุ้มครองเยื่อบุกระเพาะ
  • น้ำมันสกัดจากกานพลูความเข้มข้น 30 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตรสามารถยับยั้งการก้าวหน้าของ Lactococcus garvieae ในของกินเลี้ยงเชื้อได้ เมื่อนำอาหารปลาที่ผสมน้ำมันกานพลูในอัตราส่วน 3% (w/w) มาเลี้ยงปลานิล ทำให้จำนวนการตายเนื่องด้วยการตำหนิดเชื้อ L. garvieae ในปลานิลลดน้อยลง
ในส่วนของการเรียนรู้ทางคลินิกมีดังนี้
      ฤทธิ์ทำให้ผิวหนังชา   การเรียนฤทธิ์ทำให้ผิวหนังชาของสารสกัดของกานพลูเทียบกับยาชา benzocaine ในอาสาสมัคร 73 คน โดยอาสาสมัครกรุ๊ปที่ 1ได้รับเจลที่มีส่วนผสมของสารสกัดกานพลู จำนวน 2 กรัม (40% ผงกานพลูผสมกับ 60% glycerine) กรุ๊ปที่ 2 ได้รับเจลที่มีส่วนผสมของ 20% benzocaine ปริมาณ 2 กรัม ทาบนเยื่อบุกระพุ้งแก้ม กรุ๊ปที่ 3 ได้รับยาหลอก เมื่อเวลาผ่านไป 5 นาที จึงกระทำทดสอบฤทธิ์ โดยการแทงเข็มรอบๆที่ทา แล้ววัดระดับความปวด (pain score) ผลของการเทียบระหว่างสารสกัดกานพลู แล้วก็ benzocaine พบว่าสามารถลดการปวดได้อย่างมีนัยสำคัญ (p=0.005) รวมทั้งให้ผลไม่มีความแตกต่างกัน นอกนั้น
พบว่า สารสกัดกานพลูสามารถที่จะเพิ่มความเสี่ยงสำหรับในการเกิดภาวะเลือดออกได้ ขณะใช้ร่วมกับยาต้านทานเกล็ดเลือด และก็อาจเพิ่มระดับของยากันชัก phenytoin ในเลือดได้
การเรียนรู้ทางพิษวิทยา
การทดลองพิษกระทันหันของสารสกัดดอกด้วยเอทานอล 50% โดยให้หนูกินในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก. (คิดเป็น 16,667 เท่า เปรียบเทียบกับขนาดรักษาในคน) ตรวจไม่พบอาการเป็นพิษ  แต่ว่าเมื่อให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนู พบว่าขนาดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายกึ่งหนึ่งเป็น 6.184 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
          การเรียนรู้การเกิดพิษรุนแรงของสารสกัด eugenol  จากดอกกานพลู  ศึกษาวิจัยในหนูแรท สายพันธุ์ Sprague-Dawley แบ่งตัวทดลองออกเป็น 4 กรุ๊ป  กลุ่ม 1,2,3 ได้รับสาร eugenol ความเข้มข้น 2.58, 1.37, 0.77 มก./ล. ตามลำดับ  กรุ๊ปที่ 4 เป็นกรุ๊ปควบคุม  ทำการทดสอบโดยการพ่นสารทดสอบให้ตัวทดลองดมเป็นเวลา 4 ชั่วโมง แล้วติดตามอาการของหนูเป็นเวลา 14 วัน  ผลของการทดสอบไม่พบการเสียชีวิตของหนู ส่วนอาการ และพฤติกรรม พบว่าตัวทดลองมีน้ำลายไหลระดับปานกลาง มีอาการกระวนกระวาย และหายใจลำบาก แม้กระนั้นอาการเหล่านี้หายเองได้ภายในเวลา 1 วัน  แต่เมื่อให้สารนี้ทางหลอดเลือดดำแก่หนูแรท ในขนาดเข้มข้น 6.25 โมล/ลิตร พบว่าหนูทดลองมีลักษณะหายใจล้มเหลวกระทันหัน อุทกภัยปอด และก็เลือดออกที่ปอด
การฉีด eugenol เข้าระบบไหลเวียนของเลือดโดยตรง จะก่อให้ความดันเลือดแล้วก็การเต้นของหัวใจลดน้อยลงชั่วครู่ โดยไม่ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเปลี่ยนแปลง   eugenol สามารถทำลายโปรตีนในเซลล์ของเนื้อเยื่ออ่อนในปาก การจับกุมตัวของเซลล์ลดน้อยลง บวม แล้วก็เกิดเป็นไต  ชั้นใต้ผิวหนังชั้นนอกบวมรวมทั้งกล้ามเนื้ออ่อนแอ เมื่อป้อนน้ำมันจากใบขนาด 40 มก./กิโล ให้หนูแรทเพศภรรยาที่ตั้งท้องได้ 1-10 วันพบว่ามีฤทธิ์ยั้งการฝังตัวของตัวอ่อนจำนวนร้อยละ 20
ขนาด/จำนวนที่ควรที่จะใช้ เนื่องจากน้ำมันกานพลู (Cove oil) นั้นส่วนมากแล้วนิยมใช้เป็นส่วนประกอบกับภัณฑ์อื่นด้วยเหตุผลดังกล่าวขนาดและจำนวนที่ควรใช้ของน้ำมันกานพลู (Cove oil) ดังต่อไปนี้ สำหรับการใช้ผสมยาสีฟันนั้นควรใช้ราวๆ0.1-0.5% ใช้ผสมยาดม ยาหม่อง ควรที่จะใช้ประมาณ 3-5% ส่วนในการใช้ทำยาสลบปลาควรที่จะใช้ 10-30% (กับเอทิลแอลกอฮอลส์)  ส่วนการใช้กานพลูรักษาลักษณะของการปวดฟันตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขนั้น ให้      กลั่นเอาเฉพาะส่วนน้ำมันใช้ใส่ฟัน หรือใช้ทั้งดอกบดแล้วอมไว้ตรงบริเวณฟันที่ปวด เพื่อยับยั้งอาการปวดฟัน        ตำกานพลูพอเพียงแหลก ผสมกับเหล้าขาวเพียงแค่เล็กๆน้อยๆพอเพียงเฉอะแฉะ ใช้สำลีจิ้มอุดฟันที่ปวดแล้วก็ใช้แก้โรครำมะนาด       เอาดอกกานพลูแช่สุราหยอดฟัน ส่วนการใช้น้ำมันหอมระเหย(น้ำมันกานพลู) ที่ใช้สำหรับขับลม และก็ทุเลาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ 0.05-0.2 ซีซี อนึ่ง การใช้กานพลูในปริมาณมากทำให้เลือดแข็งช้าลง จึงต้องระวังการใช้ร่วมกับยาที่มีฤทธิ์ต้านทานการแข็งตัวของเลือด ดังเช่น  warfarin,  aspirin, heparin ฯลฯ และก็ระวังการใช้ร่วมกับยาต่อต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์  (NSAIDs; ตัวอย่างเช่น ibuprofen),  รวมทั้งระวังการใช้ร่วมกับสมุนไพรหรือยาที่ทำให้เกล็ดเลือดต่ำ  แล้วก็ยาลดน้ำตาลในเลือด ดังเช่นว่า  insulin,  metformin
ข้อเสนอ/ข้อควรปฏิบัติตาม

  • สาร eugenol จากน้ำมันกานพลูที่มีความเข้มข้นสูงอาจส่งผลให้เกิดการเคืองต่อผิวหนังได้ถ้าหากใช้ในจำนวนที่สูง รวมทั้งใช้ติดต่อกัน
  • การใช้น้ำมันกานพลูเพื่อรักษาอาการปวดฟันหรือใช้เพื่อหยุดกลิ่นปากโดยตรง รวมทั้งใช้ในจำนวนสูงหรือใช้ติดต่อกันบ่อยครั้ง อาจทำให้เคืองต่อเหงือก และเยื่อบุในโพรงปากได้
  • สาร eugenol สามารถออกฤทธิ์ต่อต้านลักษณะการทำงานของเกล็ดเลือดได้ จึงควรเลี่ยงการใช้ร่วมกับยาในกลุ่ม anticoagulant แล้วก็ยากลุ่ม NSADs
  • ไม่ควรใช้ดอกกานพลูในหญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมลูก  เด็ก  คนเจ็บโรคตับไต  รวมทั้งคนป่วยเบาหวาน
เอกสารอ้างอิง

  • กันยารัตน์ ศึกษากิจ,2557.ฤทธิ์ทางชีวภาพของน้ำมันและสารสกัดจากดอกกานพลูในการบรรเทาอาการปวดไมเกรนและอาการข้างเคียงในสัตว์ทดลอง.
  • การพลู,ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. 2546. ประมวลผลงานวิจัยด้านพิษวิทยา ของสถาบันวิจัยสมุนไพร เล่ม 1.โรงพิมพ์การศาสนา:กรุงเทพมหานคร. http://www.disthai.com/
  • กานพลู.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • สุนีย์ จันทร์สกาวและวรรณนรี เจริญทรัพย์,2543.การตรวจสอบคุณภาพกานพลูและผลิตภัณฑ์ยาเตรียมสมุนไพรที่มีการพลูเป็นส่วน ประกอบ.รายงานการวิจัย ปี พ.ศ.2543.
  • นพมาศ สุนทรเจริญนนท์, นงลักษณ์ เรืองวิเศษ. วิเคราะห์ วิจัย คุณภาพเครื่องยาไทย. คอนเซ็พท์  เมดิคัส จำกัด: กรุงเทพมหานคร, 2551.
  • Kamatou GP, Vermaak I, Viljoen AM. Eugenol-From the Remote Maluku Islands to the International Market Place: A Review of a Remarkable and Versatile Molecule. Molecules 2012:17;6953-6981.
  • Clove oil. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี.
  • Perry LM. Assessment report on Syzygium aromaticum (L.). European Medicines Agency;London. 2011.


14
ผักปลัง
ชื่อสมุนไพร ผักปลัง
ชื่ออื่นๆ/ ชื่อเขตแดน ผักปั๋ง (ภาคเหนือ) , ผักปลังแดง , ผักปลังขาว , ผักปลังใหญ่ (ภาคกลาง) , ลั่วขุย (จีนแมนดาริน) , เหลาะขุ้ย โปแดงฉ้าย (จีนแต้จิ๋ว) , มั้งฉ่าว (ม้ง)
ชื่อสามัญ East Indian spinach, Malabar nightshade , Ceylon spinach ,Indian spinach
ชื่อวิทยาศาสตร์                     Basella alba L. (ผักปลังขาว)
                                         Basella rubra L.(ผักปลังแดง)
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์     B. lucida L., B. cordifolia Lam., B, nigra Lour., B. japonica Burm.f.,
วงศ์  Basellaceae
บ้านเกิดเมืองนอน ผักปลัง เป็นพืชที่มีบ้านเกิดเมืองนอนในแถบแอฟริกา แล้วก็มีการกระจัดกระจายพันธุ์ในทวีปเอเชีย อย่างเช่น จีน ญี่ปุ่น ประเทศพม่า ลาว กัมพูชา เป็นต้น ในประเทศไทย เป็นพืชซึ่งพบบ่อย แทบทุกภาค ทั้งยังจำพวกที่มีลำต้นสีเขียวที่เรียกว่า ผักปลังขาว แล้วก็จำพวกลำต้นสีแดงซึ่งเรียกกันว่า ผักปลังแดง และมักพบในหมู่บ้านหรือตามนามากยิ่งกว่าในป่า พบบ่อยในภาคเหนือและก็อีสาน ส่วนภาคใต้ไม่ค่อยพบ เนื่องจากว่าไม่ได้รับความนิยมสำหรับเพื่อการรับประทานจึงไม่มีการปลูกไว้ตามบ้านที่พัก
ลักษณะทั่วไป   ไม้เถาเลื้อยล้มลุก ลำต้นอวบน้ำ เกลี้ยง กลม แตกกิ่งก้านสาขา ยาวราว 2-6 เมตร ถ้าลำต้นมีสีเขียว เรียกว่า “ผักปลังขาว” มีใบสีเขียวเข้ม ส่วนชนิดลำต้นสีม่วงแดง เรียกว่า “ผักปลังแดง” มีใบสีเขียวเข้ม ก้านใบสีม่วงแดง  ใบ เป็นใบโดดเดี่ยว ออกสลับ รูปไข่ หรือรูปหัวใจ ใบกว้าง 2-8 ซม. ยาว 2.5-12 ซม. ใบอวบน้ำ มีลักษณะเป็นเงาหนานุ่มมือ ฉีกจนขาดง่าย ข้างหลังใบและก็ท้องใบสะอาดไม่มีขน ขยี้จะเป็นมูกเหนียว ปลายใบแหลม โคนใบรูปหัวใจ ขอบของใบเรียบ ก้านใบยาว 1-3 ซม. ดอกเป็นดอกช่อเชิงลด ออกตรงซอกใบ ยาว 3-21 เซนติเมตร ดอกย่อยเยอะมากๆ ขนาดเล็ก ไม่มีก้านชูดอก แต่ละดอกมี 5 กลีบ ผักปลังขาวออกดอกสีขาว ผักปลังแดงมีดอกสีม่วงแดง ยาวราว 4 มม. มีใบประดับเล็ก 2 ใบ ติดที่โคนของกลีบรวม กลีบรวมรูประฆัง ยาว 0.1-3 มิลลิเมตร โคนเชื่อมชิดกันเป็นท่อ ปลายแยกเป็นห้าแฉกนิดหน่อย เกสรเพศผู้มีปริมาณ 5 อัน ติดที่ฐานของกลีบ อับเรณูรูปกลม ยาว 0.1-0.5 มม. ติดก้านยกเกสรที่ข้างหลัง ก้านยกเกสรเพศผู้ เป็นแท่งยาว 0.1-1 มม. เกสรเพศเมีย 1 อัน กลม ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็น 3 แฉก แต่ละแฉกเป็นรูปแท่งปลายแหลม ยาว 0.1-0.5 มิลลิเมตร รังไข่ 1 ช่อง รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ รูปค่อนข้างรี ยาว 0.1-0.5 มม. ก้านชูเกสรเพศเมีย ยาว 0.1-0.5 มม. ผลได้ผลสำเร็จสด รูปร่างกลมแป้น ฉ่ำน้ำ เส้นผ่าศูนย์กลาง 5-6 มม.  ผิวเรียบ ปลายผลมีร่องแบ่งเป็นลอน ไม่มีก้านผล ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่มีสีม่วงอมดำ เนื้อภายในนิ่ม ภายในผลมีน้ำสีม่วงดำ เม็ดเดี่ยว
การขยายพันธุ์ ผักปลังสามารถขยายได้ 2 แนวทาง คือ การเพาะเม็ดและก็ปักชำ สำหรับการเพาะเมล็ดนั้นขั้นตอนแรกต้องเตรียมหลุมก่อนแล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยหยอดเมล็ดพันธุ์ (ที่ตากแห้งแล้ว) ลงไป หลุมละ 2 -3 เม็ด โดยให้ระยะห่างระหว่างต้น 30 ซม. รวมทั้งระหว่างแถว 40 เซนติเมตร แล้วก็เมื่อต้นอายุได้ 20 – 25 วันให้ทำค้างเพื่อให้เถาเลื้อยขึ้น ส่วนการปักชำนั้น ทำเป็นโดยนำกิ่งแก่ที่มีข้อ 3 – 4 ข้อ ยาวโดยประมาณ 15 – 20 เซนติเมตร เด็ดใบออกให้หมดแล้วปักชำในดินร่วนซุยหรือดินปนทรายที่มีความชื้น แล้วก็มีแสงอาทิตย์รำไรในระยะนี้ให้หมั่นรดน้ำอย่าให้ดินแห้ง โดยประมาณ 7 วัน จะแตกรากและเริ่มผลิใบใหม่ออกมาในระยะนี้ระวังอย่างให้น้ำมากมายเนื่องจากว่ารากจะเน่าหลังจากนั้นอีก 15 – 20 วัน ให้เถาเลื้อยเกาะขึ้นไป
การดูแลและทะนุบำรุง การให้ปุ๋ย ครั้งที่ 1,2 เมื่อต้นพืชอายุได้ 20-25 วัน , 40-45 วัน, ควรจะใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยธรรมชาติที่ผ่านการดองแล้ว ส่วนการให้น้ำ ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ ให้เหมาะสมกับพืชไม่ควรให้แห้งหรือเฉอะแฉะมากจนเกินความจำเป็น ระยะเวลาสำหรับเพื่อการเก็บเกี่ยว   อายุการเก็บเกี่ยว 35-40 วัน ก็เก็บยอดได้แล้ว แล้วก็ผักปลังอายุ 90-100 วัน จะเริ่มมีดอก และถ้าเกิดมีอายุ 120 วัน ผลเริ่มแก่ (ดูผลจะเป็นสีดำ) ก็สามารถเก็บเม็ดภายในผลแก่ไว้แพร่พันธุ์ต่อไปได้
องค์ประกอบทางเคมี
ใบผักปลังมีกรดอะมิโน ที่ประกอบไปด้วย Lysine, Leucine, Isoleucine แล้วก็สารประเภท Glucan, Polysaccharide ประกอบไปด้วย D-galactose, L-arabinose, L-rhamnose, Uronic acid ทั้งต้นพบสาร Glucan, Glucolin, Saponin, โปรตีน, วิตามินเอ, วิตามินบี, วิตามินซี, แร่ธาตุ, แคลเซียม, ธาตุเหล็ก
ที่มา : wikipedia
ยิ่งกว่านั้นยังพบสารต่างๆอีกเยอะมาก ได้แก่ สารกลุ่มฟีนอลิก สารกลุ่มบีทาเลน (จากผลสุกสีม่วงดำ) อย่างเช่น บีทานิดินมอโนกลูโคไซด์, กอมเฟรนีน    สารคาโรทีนอยด์ เช่น นีออกแซนธิน, ไฟวโอลาแซนธิน, ลูเทอิน, ซีแซนธิน, แอลฟา และเบต้าแคโรทีน       สารมูก (mucilage) องค์ประกอบเป็นพอลีแซคติดอยู่ไรด์ที่ละลายน้ำ         สารกรุ๊ปซาโปนิน ดังเช่นว่า basellasaponin (เจอที่ลำต้น), betavulgaroside I, spinacoside C, momordin II B, momordin II C
ส่วนคุณประโยชน์ทางโภชนาการของผักปลังมีดังนี้   ผักปลังสด 100 กรัม ให้พลังงานแก่ร่างกาย 21 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย น้ำ 93.4 กรัม คาร์โบไฮเดรต 2.7 กรัม โปรตีน 2.0 กรัม ไขมัน 0.2 กรัม กาก(ใยอาหาร) 0.8 กรัม แคลเซียม 4 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 50 มก. เหล็ก 1.5 มก. วิตามินเอ 9,316 IU วิตามินบี 1 0.07 มก. วิตามินบี 2 0.20 มก. ไนอาสิน 1.1 มก. รวมทั้งวิตามินซี 26 มิลลิกรัม  ส่วนในใบผักปลังแห้ง 100 กรัม ให้พลังงาน 306.7 กิโลแคลอรี่ มีขี้เถ้า 15.9 กรัม โปรตีน 27.7 กรัม ไขมัน 3.1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 42.1 กรัม เส้นใย 11.3 กรัม แคลเซียม 48.7 มก. ธาตุเหล็ก 21.5 มิลลิกรัม วิตามินซี 400 มิลลิกรัม
ประโยชน์/คุณประโยชน์
ใช้เป็นอาหาร  ผัก  ยอดผักปลัง ใบอ่อน รวมทั้งดอกอ่อน ใช้กินเป็นของกิน ยกตัวอย่างเช่น ต้มหรือลวกกินกับน้ำพริก หรือใช้ดอกผักปลังปรุงเป็นแกงส้ม อาหารท้องถิ่นล้านนาใช้เป็นส่วนผสมเพื่อเพิ่มความข้นหนืดในน้ำแกง ผักปลังนอกเหนือจากการที่จะนำมาใช้เป็นของกินแล้วในตอนนี้ยังมีการนำมาทำผลิตภัณฑ์ต่างๆอีกเพียบเลย ดังเช่น น้ำสมุนไพรผักปลัง รวมถึงมีการเรียนการใช้คุณประโยชน์จากสีของผลผักปลังเช่น ใช้แต่งสีของกินและของหวานต่างๆอีกด้วย ส่วนคุณประโยชน์ทางยาของผักปลังนั้นมีดังนี้
หนังสือเรียนยาไทย ต้น รสเย็น ต้มดื่มแก้ขัดค่อย แก้ท้องผูก ลดไข้ ตำพอกแก้กลาก ผื่นคัน แก้พิษฝีดาษ แก้อักเสบ ใบ มีรสหวานเบื่อ ระบายท้อง ขับฉี่ แก้บิด แก้อักเสบ แก้โรคกระเพาะอักเสบ แก้กลาก แก้ผื่นคัน ฝี ดอก รสหวานเหม็นเบื่อ ใช้ทาแก้ขี้กลากเกลื้อน แก้โรคเรื้อน ดับพิษไข้ทรพิษ แก้เกลื้อน คั้นเอาน้ำทาแก้หัวนมแตกเจ็บ ต้น รสหวานเบื่อ แก้อึดอัดแน่นท้อง ระบายท้อง แก้พิษไข้ทรพิษ แก้พิษฝี แก้อักเสบบวม ต้มดื่มแก้ไส้ติ่งอักเสบ ราก รสหวานเหม็นเบื่อ แก้มือเท้าด่าง แก้รังแค แก้โรคผิวหนัง แก้ท้องผูก แก้พรรดึก ใช้ทาถูนวดให้ร้อนเพื่อให้เลือดมาหล่อเลี้ยงรอบๆที่ทาให้มากเพิ่มขึ้น น้ำคั้นรากเป็นยาช่วยหล่อลื่นด้านใน รวมทั้งขับดำของเดือนเยี่ยว อินเดีย ใช้ทั้งต้น แก้ผื่นคัน ผื่นคัน แผลไฟไหม้ ต้นและก็ใบ ใช้แก้มะเร็งเม็ดสีผิว มะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคมะเร็งช่องปาก  ประเทศบังคลาเทศ ต้นใช้ตำพอกหน้า คุ้มครองปกป้องสิว และกระ
ส่วนในทางการแพทย์แผนปัจจุบันนั้นมีผลการศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยกล่าวว่าสารออกฤทธิ์ในผักปลังมีสรรพคุณตามกรุ๊ปของสารต่างๆดังต่อไปนี้
สารกลุ่มบีทาเลน เป็นกรุ๊ปสารประกอบสีม่วงดำของเนื้อผลผักปลังสุก ประกอบด้วยสารบีทานิดินมอโนกลูโคไซด์เป็นส่วนใหญ่ รองลงมาคือสารอนุชนิดต่างๆของกอมเฟรนีนซึ่งละลายน้ำได้ สารกลุ่มนี้มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ และก็ใช้เป็นสารแต่งสีอาหารที่มีความปลอดภัยกว่าการใช้สีสังเคราะห์
สารกรุ๊ปแคโรทีนอยด์ เช่น นีออกแซนธิน ไฟวโอลาแซนธิน ลูเทอิน (iutein) ซีแซนธิน (Zeaxanthin) แอลฟาแคโรทีน (α-carotene) รวมทั้งอนุภาคเบตาแคโรทีน (β-carotene) เนื่องจากร่างกายใช้สารแคโรทีนอยด์สำหรับในการสังเคราะห์วิตามินเอดังนั้นการกินผักปลังเป็นประจำจะเพิ่มปริมาณวิตามินเอภายในร่างกายได้ เหมาะสมกับผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการขาดวิตามินเอ นอกนั้นแคโรทีนอยด์ยังมีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระอีกด้วย
กรุ๊ปกรดไขมัน น้ำมันจากเม็ดผักปลังมีกรดไขมันหลายประเภท เช่น กรดขว้างลมิติเตียนก รกดสเตรียริก กรดลังเลอีก แล้วก็กรดลิโนเลอิก
สารเมือก (mucilage) เจอในทุกๆส่วนของต้น สารเมือกมีส่วนประกอบของพอลีย์แซคาไรด์ที่ละลายน้ำ มีโภคทรัพย์เป็นยาระบายอ่อนๆในพืชบางชนิดพบว่าสารมูกมีฤทธิ์ immunomodulator  ฤทธิ์ปกป้องรักษาเซลล์ โดยการเคลือบเยื่อในกระเพาะรวมทั้งยั้งการหลั่งกรด ส่วนการใช้ในทางเวชสำอาง สารมูกมีคุณสมบัติช่วยลดอาการอักเสบลดการตำหนิดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวน้อยลง ช่วยสมาน รักษาไม่ถูกแห้งผื่นคัน และลดอาการเคือง
กรดอะมิโนและก็เพปไทด์ กรดอะมิโน ดังเช่นว่า อาร์จีนีน ลิวซีน (leucine) ไอโซลิวซีน ทรีโอนีน แล้วก็ทริโทแฟน ส่วนสารเพปไทด์ที่มีฤทธิ์ด้านชีววิทยา อาทิเช่น โปรตีนที่ยับยั้งหลักการทำงานของไรโบโซมในขั้นตอนการสังเคราะห์โปรตีนในเม็ดผักปลังซึ่งมีฤทธิ์ทำลายเชื้อเชื้อไวรัสประเภท  Artichoke-mottled crinkle virus (AMCV) ในต้นยาสูบโดยยั้งขั้นตอนการจำลองพันธุกรรมของไวรัส จึงอาจนำไปเป็นนวทางในการพัฒนายาต้านทานไวรัสถัดไปในอนาคต นอกจากนั้นยังมีสารแอลฟาบาสรูบริน  (α-basrubrins) และก็สารอนุภาคบีตาบาสรูบริน (β-basrubrins) ซึ่งเป็นเพปไทด์จากเมล็ดผักปลังมีฤทธิ์ต้านเชื้อราชนิด Botrytiscinerea, ชนิด Fusarium oxysporum, และก็ประเภท Mycosphaerella arachidicola โดยการหยุดยั้งขบวนการสร้างโปรตีนในเชื้อรา
สารกรุ๊ปไทรเทอร์พีนแซโพนิน อย่างเช่น สารบาเซลลาเซโพนิน (basellasaponins)  ซึ่งเจอในส่วนของก้านลำต้นของผักปลัง บีตาวุลการโรไซด์  (betavulgaroside I) มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด สไปนาวัวไซด์ซี  (spinacoside C), มอมอร์ดินทูบี (momordin IIb) และก็มอมอร์ดินทูซี (momordinIIc)
แบบอย่าง/ขนาดวิธีใช้ แก้อาการอึดอัดแน่นท้อง ด้วยการใช้ต้นสด 60 กรัม นำมาต้มกับน้ำให้ข้นแล้วกิน ช่วยแก้ท้องผูก รวมทั้งเป็นยาระบายอ่อนๆที่เหมาะสำหรับเด็กและก็สตรีตั้งท้อง โดยนำมาต้มรับประทานเป็นของกินจะช่วยแก้อาการท้องผูกได้ และก็เมือกที่อยู่ในผักปลังจะมีคุณสมบัติเป็นยาระบายอ่อนๆช่วยแก้ขัดเบา ด้วยการใช้ต้นสด 60 กรัม เอามาต้มกับน้ำกิน หรือใช้ใบสด 60 กรัมนำมาต้มกับน้ำกินแบบชาต่อหนึ่งครั้ง  หมอเมือง (ภาคเหนือ) จะใช้ใบผักปลังนำมาตำอาหารสารเจ้า ใช้เป็นยาพอกแก้โรคมะเร็งไข่ปลา  ใบรวมทั้งผลนำมาขยี้ทาบริเวณที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อยหรือแผลที่ มีลักษณะเป็นแผลไหม้ก็จะช่วยบรรเทาอาการและก็ทำให้เกิดความรู้สึกเย็นขึ้นได้ น้ำคั้นจากดอกใช้เป็นยาใช้ภายนอกแก้ขี้กลากโรคเกลื้อน แก้โรคเรื้อน แก้เกลื้อน รักษาฝี ด้วยการใช้ใบสดเอามาตำแล้วพอกบริเวณที่เป็น โดยให้แปลงยาวันละ 1-2 ครั้ง แก้อาการปวดแขนขา ด้วยการกางใบสด ยอดอ่อน 30 กรัม เอามาต้มกับน้ำดื่ม
การศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา สารสกัดผักปลังด้วยน้ำผสมกับสารสกัดจากใบของ Hi-biscus macranthus ส่งผลเพิ่มน้ำหนักตัวของหนู รวมทั้งเพิ่มน้ำหนักของถุงน้ำเชื้อสเปิร์ม  (seminal vesicle) ช่วยเพิ่มการสร้างและก็วิวัฒนาการของตัวอสุจิ และก็ทำให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ ซึ่งบางทีอาจก่อให้เกิดการพัฒนาเพื่อใช้สำหรับการรักษาผู้ป่วยในรายที่เป็นหมันเหตุเพราะการมีตัวอสุจิน้อย
                สารสกัดในผักปลังด้วยน้ำสามารถยั้งการก่อมะเร็งตับในหนูที่ถูกรั้งนำให้เกิดโรคมะเร็งด้วยสารเอ็น ไนโตรโซไดเอคราวลามีน (NDEA) และก็คาร์บอนเตตราคลอไรด์ (CCI) ได้โดยลดการทำลายของเซลล์ตับ ซึ่งวัดได้จากระดับเอนไซม์ในตับยกตัวอย่างเช่น แกมมา-กลูตามิลทรานสเปปทิเดส (GGT) ซีรัมกลูทามิกออกซาโลแอซีติเตียนกทรานสแอมิเนศ (SGOT) ซีรัมกลูทามิกไพรูวิกทรานสแอมิเนศ (SGPT) แล้วก็อัลค้างไลน์ ฟอสฟาเทส (ALP) ที่อยู่ในระดับใกล้เคียงค่าธรรมดา รวมทั้งยังส่งผลลดการเกิดปฏิกิริยาเพอคอยกสิเดชันของไขมัน (lipidperoxidation) โดยดูจากระดับของโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีซุเปอร์ออกไซด์ดิสไม่วเทส (SOD) ค้างทาเลส กลูตาไทโอน เพอร์ออกซิเดส (GPX) ในร่างกายใกล้เคียงกับค่าปรกติ
                สารสกัดจากผักปลังในอาหารเพาะเลี้ยงเซลล์ม้ามของหนูถีบจักร (primary mouse splenocyte cultures) มีผลทำให้เพิ่มการหลั่ง IL-2 ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และก็มีผลการเล่าเรียนทางเภสัชวิทยาอีกชิ้นหนึ่งบอกว่า จากการวิเคราะห์รงควัตุของสารสกัด 80% เอทานอลจากผลผักปลัง พบ gomphrerin I รงควัตถุสีแดงเป็นรงควัตถุหลัก ในผลผักปลังสด 100 กรัมพบ gomphrerin I ถึง 3.6 กรัม นอกจากนั้นยังพบรงควัตถุสีแดงอื่นๆอาทิเช่น betanidin-dihexose และก็ isobetanidin-dihexose และเมื่อทำการศึกษาเรียนรู้ฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระของ gomphrerin I ที่ความเข้มข้น 180, 23, 45 แล้วก็ 181 ไมโครโมลาร์ พบว่ามีค่าต้านอนุมูลอิสระเท่ากันกับโทรลอกซ์ ขนาด 534 ไมโครโมลาร์, butylated hydroxytoluene (BHT) 103 ไมโครโมลาร์, ascorbic acid 129 ไมโครโมลาร์รวมทั้ง BHT 68 ไมโครโมลาร์เป็นลำดับ รวมทั้งมีการเรียนฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยให้สารสกัด 80% เอทานอลขนาดความเข้มข้น 25, 50 รวมทั้ง 100 ไมโครโมลาร์แก่เซลล์ murine macrophage ที่ถูกกระตุ้นให้เกิดการอักเสบด้วย lipopolysaccharide (LPS) พบว่าสามารถยั้งการผลิต nitric oxide ซึ่งการขัดขวางนี้จะเยอะขึ้นตามขนาดความเข้มข้นของสารสกัด และสารสกัดจากผลผักปลังที่ความเข้มข้น 100 ไมโคลโมลาร์ส่งผลลดการหลั่ง prostaglandin E2 และ interleukin-1β ของเซลล์ รวมทั้งยั้บยั้งการสังเคราะห์ยีนที่เกี่ยวพันกับการเกิดการอักเสบ ตัวอย่างเช่น nitric oxide synthase, cyclooxygenase-2, interleukin-1β, tumor necrosis factor-alpha แล้วก็ interleukin-6 จากการทดสอบทั้งสิ้นนี้แสดงให้ว่า gomphrerin I รงควัตถุสีแดงที่พบในผลผักปลังมีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบที่มีความสามารถและสามารถนำผลผักปลังไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ทางโภชนาการได้
ยิ่งกว่านั้นยังมีผลการศึกษาค้นคว้าวิจัยพบว่าสารมูกมีฤทธิ์กระตุ้นภูมิต้านทาน ฤทธิ์คุ้มครองปกป้องเซลล์ โดยการเคลือบเนื้อเยื่อกระเพาะอาหาร แล้วก็ยั้งการหลั่งกรด ลดการอักเสบที่ผิว ลดการตำหนิดเชื้อแบคทีเรียที่ผิว ช่วยสมานรักษาผิวแห้ง ผื่นคัน ลดอาการระคายเคืองที่ผิวได้อีกด้วย
การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา ในการศึกษาทางพิษวิทยาของผักปลังนั้นยังมีน้อยมากที่พอจะมีข้อมูลในหัวข้อนี้อยู่บ้างก็คือ มีการทำการศึกษาเรียนรู้ของนักค้นคว้าประเทศอินเดียที่ได้พิมพ์ผลที่เกิดขึ้นจากงานวิจัยเกี่ยวกับการทดลองผลของสารสกัดจากใบผักปลังด้วยเอทานอลและน้ำในหนูถีบจักรทดสอบ ด้วยการกรอกสารสกัดน้ำของใบในขนาด 100-200 มก.ต่อโลน้ำหนักตัวให้หนูทดลองตรงเวลา 2 สัปดาห์ ผลปรากฎว่าไม่พบว่ามีความผิดปกติของค่าทางเลือดวิทยา ส่วนการทดลองในหนูขาวที่กินสารสกัดจากใบผักปลังด้วยเอทานอล ,น้ำ และเฮกเซน ติดต่อกัน 1 สัปดาห์ พบว่าหนูขาวที่ได้รับสารสกัดด้วยเอทานอลรวมทั้งเฮกเซนจากใบผักปลัง จะมีจำนวนน้ำย่อยอะไมเลสมากขึ้น ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งสำหรับการช่วยลดสภาวะเสี่ยงเป็นโรคโรคเบาหวานได้
คำแนะนำ/ข้อควรปฏิบัติตาม เนื่องจากว่าผักปลั่งเป็นผักที่เรารู้จักรวมทั้งเอามาทำเป็นอาหารกินกันอยู่เป็นประจำแล้ว สำหรับเพื่อการนำมากินเป็นอาหารนั้นอาจจะไม่เป็นผลกระทบอะไรกับสุขภาพ แต่ว่าถ้าเกิดใช้ผักปลังในรูปแบบสารสกัดหรือในรูปแบบอื่นๆนั้น เพื่อให้มีความปลอดภัยอาจต้องหารือหมอหรือผู้เชี่ยวชาญถึงขั้นรวมทั้งการใช้ก่อนใช้เสมอ
เอกสารอ้างอิง

  • โชติอนันต์ และคณะ ,รักษาโรคด้วยสมุนไพรใกล้ตัว. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์The Knowledge Center; 2550 หน้า 215-8
  • Bolognesi A, Polito L, Olivierif F, Valbonesi P, Barbieri L, Battelli MG et al. New ribosome-inactivating proteins with polynucleotide:adenosine glycosidase and antiviral activities from Basella rubra L. and Bougainvillea spectabilis Willd. Planta 1997;203:422-9
  • สำนักงานคณะกรรมการการสาธารณสุขมูลฐาน.ผักพื้นบ้าน ความหมายและภูมิปัญญาของสามัญชนไทย.กรุงเทพฯ โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก 2538 หน้า 168-9
  • ผักปลัง ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบราชธานีAkhter S, Abdul H, Shawkat IS, Swapan KS, Mohammad SHC Sanjay SS. A review on the use of non-timber forest products in beauty-care in Bangladesh. J Forestry Res 2008;19:72-8.
  • หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ “ผักปลัง”.  (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).  หน้า 499-501.
  • หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม “ผักปลัง”.  (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์).  หน้า 179.
  • กรมส่งเสริมการเกษตร. (2550). ผักพื้นบ้าน. ค้นวันที่ 10 มิถุนายน 2550 http://www.disthai.com/
  • ชื่นนภา ชัชวาล.นาฎศรี นวลแก้ว.ผักปลัง ผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการและมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ.คอลัมน์บทปริทัศน์.วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทยืทางเลือก.ปีที่7.ฉบับที่2-3 พฤษภาคม – ธันวาคม 2552 . หน้า 197-200
  • Saikia AP, Ryakala VK Sharma P, Goswami P, Bora U. Ethnobotany of medicinal plants used by Assamese people for various skin ailments and cosmetics. J Ethnopharmacol 2006;106:149-57
  • กัญจนา ดีวิเศษและคณะ, ผู้รวบรวม. (2548). ผักพื้นบ้านภาคเหนือ. เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ บรรณาธิการ. พิมพ์ครั้งที่ 2. นนทบุรี: ศูนย์พัฒนาตำราการแพทย์แผนไทย.
  • Khare CP. Indian medicinal plants: an illustrated dictionary. New York: Springer Science Business Media; 2007. p. 84.
  • Jin YL, Ching YT. Total phenolic contents in selected fruit and vegetable juices exhibit a positive correlation with interferon-γ, interleukin-5, and interleukin-2 secretions using primary mouse splenocytes. J Food Compos Anal 2008;21:45-53.
  • Choi EM, Koo SJ, Hwang JK. Immune cell stimulating activity of mucopolysaccharide isolated from yam (Dioscorea batatas). J Ethnopharmacol 2004;91:1-6.
  • หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “ผักปลัง”.  (วิทยา บุญวรพัฒน์).  หน้า 350.
  • Maisuthisakul P, Pasuk S, Ritthiruangdej P. Relationship of antioxidant properties and chemical composition of some Thai plants. J Food Compos Anal 2008;21:229-40
  • Raju M, Varakumar S, Lakshminarayana R, Krishnakantha TP, Baskaran V. Carotenoid composition and vitamin A activity of medicinally important green leafy vegetables. Food Chem 2007;101:1598-1605
  • . Dweck AC. The internal and external use of medicinal plants. Clin Dermatol 2009;27:148-58
  • Reddy GD, Kartik R, Rao CV, Unnikrishnan MK, Pushpangadan P. Basella alba extract act as antitumour and antioxidant potential against N-nitrosodiethylamine induced hepatocellular carcinoma in rats. Int J Infectious Diseases 2008;12 Suppl 3:S68
  • Toshiyuki M, Kazuhiro H, Masayuki Y. Medicinal foodstuffs. XXIII. Structures of new oleanane-type triterpene oligoglycosides, basellasaponins A, B, C, and D, from the fresh aerial parts of Basella rubra L. Chem Pharm Bull 2001;49:776-9.
  • Jadhav RB, Sonawane DS, Surana SJ. Cytoprotective effects of crude polysaccharide fraction of Abelmoschus esculentus fruits in rats. Pharmacogn Mag 2008;4:130-2.
  • Glassgen WE, Metzger JW, Heuer S, Strack D. Betacyanins from fruits of Basella rubra. Phytochemistry 1993;33:1525-7
  • ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ผักปลัง”.  [26 เม.ย. 2014].
  • Draelos ZD. Botanicals as topical agents. Clin Dermatol 2001;19:474- 7
  • Shahid M,. Akhtar JM, Yamin M, Shafiq MM. Fatty acid composition of lipid classes of Basella rubra Linn. Pak Acad Sci 2004;41:109-12
  • Haskell MJ, Jamil KM, Hassan F, Peerson JM, Hossain MI, Fuchs GJ et al. Daily consumption of Indian spinach (Basella alba) or sweet potatoes has a positive effect on total-body vitamin A stores in Bangladeshi men. Am J Clin Nutr 2004;80:705-714
  • Moundipa FP, Kamtchouing P, Kouetan N, Tantchou J, Foyang NPR, Mbiapo FT. Effects of aqueous extracts of Hibiscus macranthus and Basella alba in mature rat testis function. J Ethnopharmacol 1999;65:133-9
  • Hexiang W, Tzi BN. Antifungal peptides, a heat shock protein-like peptide, and a serine-threonine kinase-like protein from Ceylon spinach seeds. Peptides 2004;25:1209-14
  • ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบของรงควัตถุสีแดงในผักปลัง,ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล


15
บอระเพ็ด
ชื่อสมุนไพร บอระเพ็ด
ชื่ออื่นๆ/ชื่อเขตแดน จุ้งจาลิง , จุ่งจิง , เถาวัลย์ฮอ (ภาคเหนือ) , เจตมูลหนาม (หนองคาย) , หางหนู (อุบลราชธานี) , เถาหัวขาด , ตัวเจตมูลยาน (จังหวัดสระบุรี)
ชื่อสามัญ Heart leaved moonseed
ชื่อวิทยาศาสตร์ Tinospora crispa (L.) Miers ex Hook.f. & Thomson
ชื่อพ้อง Tinospora tuberculata Miers, Tinospora rumphii Boerl.
วงศ์ Menispermaceae
ถิ่นเกิด บอระเพ็ดเป็นพืชที่มีบ้านเกิดในป่าดิบแล้งรวมทั้งป่าเบญจพรรณ ในแถบเอเซียอาคเนย์พบได้ทั่วไปในประเทศไทย เมียนมาร์ ลาว เขมร ฯลฯ รวมทั้งบางประเทศในทวีปเอเชียใต้ ดังเช่นว่า ประเทศอินเดีย รวมทั้งศรีลังกา สำหรับในประเทศไทยนั้นบอระเพ็ดนับเป็นพืชที่เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีมานานแล้ว เพราะคนไทยในแต่ก่อนได้นำบอระเพ็ดมาใช้เป็นสมุนไพรรักษาอาการป่วยต่างๆอย่างเช่น ใช้ลดไข้ บำรุงร่างกาย บำรุงธาตุ ช่วยเจริญอาหาร ฯลฯ แม้กระทั่งในขณะนี้ก็ยังนิยมใช้บอระเพ็ดเพื่อคุณประโยชน์ทางยากลุ่มนี้อยู่ ซึ่งในประเทศไทยนั้นสามารถเจอบอระเพ็ดได้ทุกภาคของประเทศแล้วก็ส่วนใหญ่พบในป่าดงดิบแล้งและก็ป่าเบญจพรรณทั่วไป
ลักษณะทั่วไป 
บอระเพ็ด จัดเป็น  ไม้เลื้อย เนื้อแข็ง ไม่มีขน ยาวถึง 15 เมตร เถากลม ตะปุ่มตะป่ำไม่เรียบ เป็นปุ่มเปลือกของเถาบางลอกออกได้ เป็นปุ่มกระจัดกระจายทั่วไป เมื่อแก่มองเห็นปุ่มปมพวกนี้หนาแน่น แล้วก็แจ้งชัดมาก เปลือกเถา คล้ายเยื่อกระดาษ มียางขาว ใส  เถามีรสขมจัด สีเทาปนเหลือง มีรากอากาศเหมือนเส้นด้ายยาว กลม ยาว สีน้ำตาลเข้ม ใบลำพัง เรียงเวียนสลับ มักเป็นรูปหัวใจ รูปไข่กว้าง หรือรูปกลม กว้าง 6-12ซม. ยาว 7-14 เซนติเมตร โคนเรียวแหลมยาว ปลายจะเป็นรูปหัวใจลึก หรือตื้น เนื้อเหมือนแผ่นกระดาษบาง มักมีต่อม ใบข้างล่างบางคราวเจอต่อมแบนตามโคนง่ามของเส้นใบ เส้นใบออกมาจากโคนใบรูปฝ่ามือมี 3-5 เส้น และก็มีเส้นกิ้งก้านใบอีก 1-3 คู่ ก้านใบยาว 5-15 เซนติเมตร บวมพอง และก็เป็นข้องอ ดอกออกเป็นช่อตามกิ่งแก่ๆที่ไม่มีใบ มักออกดอกเมื่อใบหลุดตกหมด มี 2-3 ช่อ เล็กเรียว ดอกมีขนาดเล็กสีเขียวอมเหลือง ดอกเพศผู้และเพศภรรยาแยกกันอยู่ต่างดอก ช่อดอกเพศผู้ ยาว 5-9 ซม. ดอกมี 1-3 ดอก ติดเป็นกระจุก ดอกเพศผู้ มีก้านดอกย่อยเล็กเรียว ยาว 2-4 มิลลิเมตร กลีบเลี้ยงสีเขียวอ่อน วงนอกมี 3 กลีบ รูปไข่ หนาที่โคน ยาว 1-1.5 มิลลิเมตร วงในมี 3 กลีบ รูปไข่กลับ มีก้านกลม หรือโคนแหลม ยาว 3-4 มม. กลีบมี 3 กลีบ กลีบวงนอกแค่นั้นที่รุ่งเรืองขึ้น รูปใบหอกกลับแคบ แบน ไม่มีตุ่ม ยาว 2 มิลลิเมตร ส่วนกลีบวงในลดรูป เกสรเพศผู้มี 6 อัน ยาว 2 มิลลิเมตร ช่อดอกเพศภรรยา ยาว 2-6 มิลลิเมตร ดอกโดยมากกำเนิดลำพังๆตามง่ามใบ ดอกเพศเมีย กลีบเลี้ยงแล้วก็กลีบดอกคล้ายดอกเพศผู้ เกสรเพศผู้ปลอมมี 6 อัน เป็นรูปลิ่มแคบ ยาวประมาณ 1 มม. เกสรเพศเมียมี 3 อัน ทรงรี ยาว 2 มิลลิเมตร ยอดเกสรเพศเมียเป็นพูสั้นมากมาย ผลออกเป็นช่อ มีก้านช่อยาว 1.5-2 เซนติเมตร มีก้านผลเป็นรูปครึ่งปิรามิด ยาว 2-3 มม. ใต้ลงมาเป็นกลีบเลี้ยงที่ติดแน่น รูปไข่ ยาว 2 มม. โค้งกลับ ผลสด เมื่อสุกมีสีเหลืองหรือสีส้ม ทรงรี ยาว 2 ซม. ฝาผนังผลชั้นในสีขาว ทรงรี กว้าง 7-9 มม. ยาว 11-13 มิลลิเมตร ผิวย่นย่อนิดหน่อย หรือแทบเรียบ มีสันที่ด้านบนชัด มีช่องเปิดรูปรีเล็กที่ข้างบน มีดอกปลายเดือนเดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคม ติดผลราวเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม
การขยายพันธุ์
การขยายพันธุ์บอระเพ็ดสามารถทำเป็น 2 แนวทางเป็นการเพาะเมล็ด แล้วก็การปักชำกิ่ง การเพาะเม็ดนั้นต้องใช้เมล็ดจากผลที่สุกจัด ผลมีสีเหลืองเข้ม ยิ่งเป็นผลที่หล่นแล้วยิ่งดี จากนั้น นำผลมาตากแดดให้แห้ง นาน 15-20 วัน รวมทั้งเก็บเอาไว้ภายในร่มก่อนจนถึงต้นฤดูฝนก็เลยนำออกมาเพาะในถุงเพาะชำหรือใช้หยอดปลูกตามจุดที่ต้องการ การปลูกด้วยเม็ดนี้ จะได้เครือบอระเพ็ดที่ใหญ่ยาวมากกว่าการปักชำ  การปักชำเถา เป็นวิธีหนึ่งที่สะดวกเร็ว ด้วยการตัดเถาบอระเพ็ดที่แก่จัด เถามีอายุตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป ตัดเถายาว 20-30 ซม. จากนั้น ค่อยนำลงปักชำในถุงหรือกระถาง แนวทางลักษณะนี้ จะได้ต้นที่แตกหน่อใหม่ด้านใน 15-30 วัน แม้กระนั้นลำต้นมักมีเครือไม่ยาวราวกับการเพาะเม็ด แต่ไม่แตกต่างกันมากสักเท่าไรนัก
ส่วนประกอบทางเคมี

  • สารขมชื่อ picroretin, columbin, picroretroside, tinosporide, tinosporidine
  • สารกลุ่มตรีเทอตะกายอยส์ ตัวอย่างเช่น Borapetoside A, Borapetoside B, Borapetol A, Tinocrisposide, tinosporan
  • สารกลุ่มอัลคาลอยด์ ดังเช่น N-formylannonaine, N-acetylnornuciferine เป็นต้น
  • สารชนิดอามีนที่พบ ตัวอย่างเช่น N-trans-feruloyl tyramine, N-cis-feruloyl tyramine
  • สารฟีนอสิคไกลโคไซด์ อย่างเช่น tinoluberide
  • สารอื่นๆยกตัวอย่างเช่น berberine, β-sitosterol


ที่มา : wikipedia
ผลดี/คุณประโยชน์ น้ำสกัดหรือน้ำต้มจากบอระเพ็ดสามารถใช้ฉีดพ่นกำจัด แล้วก็คุ้มครองปกป้องหนอนแมลงศัตรูพืช เป็นต้นว่า หนอนใยผัก และเพลี้ยต่างๆได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนลำต้น และใบของบอระเพ็ดสามารถใช้ผสมในอาหารสัตว์หรือให้สัตว์กินโดยตรง เพื่อสัตว์มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง และรักษาโรคในสัตว์ ทั้งยังวัว กระบือ สุกร ไก่ แล้วก็อื่น ซึ่งชาวบ้านนิยมให้ไก่ชนกินในระยะก่อนออกชน ยิ่งกว่านั้นลำตัน และใบยังสามารถเอามาบด และใช้พอกศีรษะหรือสระผม สำหรับกำจัดเหาได้อีกด้วย ส่วนสรรพคุณทางยาของบอระเพ็ดนั้นมีดังนี้
ตำรายาไทย
ใช้  เถา ซึ่งมีรสขมจัดเย็น แก้ไข้ทุกชนิด แก้พิษไข้ทรพิษ เป็นยาขมเจริญอาหาร ต้มดื่มเพื่อให้เจริญอาหาร ช่วยในการย่อย บำรุงน้ำดี บำรุงไฟธาตุ แก้โรคกระเพาะอาหาร บำรุงร่างกาย แก้สะอึก แก้มาลาเรีย เป็นยาขับเหงื่อ ดับกระหาย แก้ร้อนในดีมาก แก้อหิวาต์ แก้ท้องร่วง ไข้มาลาเรีย ยับยั้งความร้อน ทำให้เนื้อเย็น แก้เลือดทุพพลภาพ ใช้ข้างนอกใช้ล้างตา ล้างแผลที่เกิดขึ้นมาจากโรคซิฟิลิส ใบ มีรสขมเมา เป็นยาพอกรอยแผล ทำให้เย็นรวมทั้งทุเลาอาการปวด ดับพิษปวดแสบปวดร้อน พอกฝี แก้ฟกช้ำ แก้คัน แก้รำมะนาด ปวดฟัน ฆ่าแมลงที่น่าฟัง ฆ่าพยาธิไส้เดือน แก้ไข้ แก้โรคผิวหนัง บำรุงน้ำดี  ราก มีรสขม เป็นยาช่วยให้เจริญอาหาร ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ รากอากาศ รสขมเย็น แก้ไข้ขึ้นสูงมีลักษณะอาการคลั่งเพ้อ ดับพิษร้อน ถอนพิษร้อน ถอนพิษไข้ เจริญอาหาร ผล รสขม แก้ไข้ แก้เสลดเป็นพิษ ทุกส่วนของพืช ใช้แก้ไข้ เป็นยาบำรุง โรคดีซ่าน ยาเจริญอาหาร แก้มาลาเรียใช้เป็นยาอายุวัฒนะ แก้ร้อนในหิวน้ำ
นอกจากนี้บอระเพ็ดยังจัดอยู่ใน “พิกัดตรีญาณรส” เป็นการจำกัดจำนวนตัวยาที่ทำให้รู้รสของกิน 3 อย่าง มี ไส้หมาก รากสะเดา เถาบอระเพ็ด มีคุณประโยชน์ แก้ไข้ ดับพิษร้อน ขับเยี่ยว ขับเสลด บำรุงไฟธาตุ ชูกำลัง “พิกัดยาแก้ไข้ 5 ชนิด” เป็นการจำกัดจำนวนตัวยาแก้ไข้ 5 อย่าง มี รากย่านาง รากคนทา รากต้นกระโรกใหญ่ ขี้เหล็กทั้ง 5 แล้วก็เถาบอระเพ็ด คุณประโยชน์แก้ไข้พิษร้อน
หนังสือเรียนอายุรเวทของประเทศอินเดีย ใช้ เถา เป็นยาแก้ไข้ เหมือนกันกับชิงช้าชาลี กล่าวไว้ว่า แก้ไข้ดีเท่ากับซิงโคนา แก้ธาตุผิดปกติ โรคที่มีปัญหาเกี่ยวกับทางเท้าปัสสาวะ แก้อาการอักเสบ แก้อาการเกร็ง
แบบอย่าง/ขนาดวิธีใช้
รักษาลักษณะของการมีไข้ ใช้เถาบอระเพ็ดที่ไม่แก่หรืออ่อนจนกระทั่งเกินไป (เถาเพสลาก) โดยประมาณ  1- 1.5  ฟุต (2.5 คืบ) หรือเถา น้ำหนัก  30-40  กรัม  โดยตำ  เพิ่มเติมน้ำบางส่วน  คั้นเอาน้ำ  หรือต้มกับน้ำ  3  ส่วน  เคี่ยวให้เหลือ  1  ส่วน  หรือบดเป็นผุยผง  ทำให้เป็นลูกกลอนรับประทานวันละ  2  ครั้ง  ก่อนกินอาหาร  รุ่งเช้า  เย็น
           รักษาอาการเบื่ออาหาร: ใช้เถาที่โตเต็มที่   ราว  1- 1.5   ฟุต  (2.5 คืบ)  น้ำหนัก หรือเถา 30-40  กรัม  โดยตำ  เพิ่มน้ำน้อย  คั้นเอาน้ำ  หรือต้มกับน้ำ  3  ส่วน  ต้มให้เหลือ  1  ส่วน  หรือบดเป็นผง  ทำให้เป็นลูกกลอนกินวันละ  2  ครั้ง  ก่อนอาหาร  ตอนเช้า  เย็น  ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ด้วยการใช้บอระเพ็ด / เมล็ดข่อย / หัวหญ้าแห้วหมู / เม็ดพริกไทย / เปลือกต้นทิ้งถ่อน / เปลือกต้นตะโกนา ในรูปทรงเสมอกันเอามาบดเป็นผุยผง ปั้นเป็นยาลูกกลอนเท่าปลายนิ้วก้อย รับประทานก่อนนอนทีละ 2-3 เม็ด หรือถ้าไม่อย่างนั้นก็อาจจะนำเถาบอระเพ็ดมาหั่นตากแห้งแล้วเอามาบดให้เป็นผุยผงปั้นเป็นลูกกลอนก็ได้  ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ด้วยการใช้เถาสดที่โตสุดกำลังตากแห้งแล้วบดเป็นผุยผง นำมาชงน้ำร้อนดื่มครั้งละ 1 ช้อน ตอนเช้าและก็เย็น แก้โรคกระเพาะอาหารด้วยการใช้บอระเพ็ด 5 ส่วน / มะขามแฉะ 7 ส่วน / เกลือ 3 ส่วน / น้ำผึ้งพอเหมาะ นำมาคลุกจนเข้ากันแล้วรับประทานก่อนกินอาหาร 3 เวลา นำทุกส่วนของบอระเพ็ด (เถา,ใบ,ราก) มาบดแล้วก็ใช้ประคบฝี เพื่อลดน้ำหนอง,ลดอาการปวดบวม หรือ แผล(สำหรับห้ามเลือด)
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ลดไข้    มีผู้ทำการศึกษาฤทธิ์ลดไข้ของบอระเพ็ด โดยทดสอบกับสัตว์ทดลองที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดไข้ด้วยสารต่างๆได้แก่ การทดสอบกรอกสารสกัดบอระเพ็ดด้วยอัลกอฮอล์แล้วก็น้ำ (1:1) ให้กระต่ายที่ถูกรั้งนำให้กำเนิดไข้ด้วยยีสต์ พบว่าสารสกัดไม่มีฤทธิ์ลดไข้ บุญเทียม และคณะ ได้ทดสอบให้สารสกัดบอระเพ็ดด้วยน้ำกับหนูเพศผู้ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดไข้ด้วยวัคซีนไทฟอยด์ในขนาด 100 มิลลิกรัม/กก. โดยการผสมกับน้ำ  พบว่าสารสกัดมีฤทธิ์ลดไข้ และก็ต่อมาได้ทำทดสอบโดยให้สารสกัดบอระเพ็ดกับกระต่ายและก็หนูขาวเพศผู้ที่รั้งนำให้เกิดไข้ด้วย LPS (Lipopolysaccharide) ในขนาด 200 มิลลิกรัม/กก. รวมทั้ง 600 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เป็นลำดับ พบว่าสารสกัดมีฤทธิ์ลดไข้ได้ด้วยเหมือนกัน จากการเรียนรู้มั่นใจว่ากลไกในการยั้งการเกิดไข้ของสารสกัดบอระเพ็ดคงจะมีต้นเหตุจากการไปยับยั้งการสร้าง interleukin-1 หรือ prostaglandins (PGs) ซึ่งกลไกนี้เป็นกลไกที่อยู่ในระบบ CNS ยิ่งกว่านั้นยังมีผู้พบว่าส่วนสกัดด้วยบิวทานอลมีฤทธิ์ลดไข้ ไม่มีการทดลองแยกสารออกฤทธิ์ลดไข้จากบอระเพ็ด แม้กระนั้นมีรายงานฤทธิ์ลดไข้ของสารที่เจอในบอระเพ็ดคือ berberine เมื่อป้อนให้หนูในขนาด 10 มก./กก. และก็ b-sitosterol ซึ่งออกฤทธิ์ในขนาด 160 มก./กก.
ฤทธิ์ต้านการอักเสบ        มีผู้ทำการศึกษาฤทธิ์ลดการอักเสบของชาชงบอระเพ็ดโดยการกรอกให้แกะเพศผู้ (ตอน) ในขนาด 8 มิลลิลิตร/ตัว พบว่าชาชงบอระเพ็ดมีฤทธิ์ต้านการอักเสบเทียบเท่ากับแอสไพริน 30 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 200 กรัม Higashino และก็ภาควิชา ได้ศึกษาฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบของสารสกัดเถาบอระเพ็ดด้วยเมทานอล (50%) กับหนูขาวที่ถูกเหนี่ยวนำให้มีการอักเสบที่อุ้งเท้าด้วย carrageenin โดยให้รับประทานสารสกัดในขนาด 10 มก./กิโลกรัม พบว่าสารสกัดมีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ โดยส่วนสกัดด้วยบิวทานอลออกฤทธิ์เจริญที่สุด ไม่ว่าจะให้โดยการกิน ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง หรือฉีดเข้าท้อง แล้วก็พบว่าส่วนสกัดในขนาด 3 มิลลิกรัม/กก. เมื่อให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังมีฤทธิ์เสมอกันกับ sulpyrine 250 มก./กิโลกรัม และ diphenhydramine 10 มก./กิโลกรัม
ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของสาร borapetosides A การเล่าเรียนฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของสาร borapetosides A สารสำคัญที่เจอในต้นบอระเพ็ด โดยการฉีด borapetosides A ให้แก่หนูเม้าส์ที่เป็นโรคโรคเบาหวาน ชนิดที่ 1 และก็ชนิดที่ 2 และหนูเม้าส์ธรรมดา วันละ 2 ครั้ง ต่อเนื่องกัน 7 วัน พบว่า borapetosides A จะช่วยเพิ่มระดับของไกลโคเจน และก็ลดน้ำตาลในเลือดได้หนูปกติ แล้วก็หนูที่เป็นเบาหวาน โดยฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของ borapetosides A เกี่ยวพันกับการเพิ่มจำนวนอินซูลินในหนูปกติและหนูที่เป็นโรคเบาหวานจำพวกที่ 2 แต่ว่าไม่เป็นผลต่อระดับอินซูลินในหนูที่เป็นเบาหวานจำพวกที่ 1 นอกเหนือจากนั้นยังพบว่าสาร borapetosides A กระตุ้นการสังเคราะห์ไกลวัวเจนในเซลล์เนื้อกล้ามเนื้อ รวมทั้งลดการแสดงออกของโปรตีน phosphoenolpyruvate carboxylase ที่มากขึ้นจากการเป็นเบาหวานได้ การศึกษาค้นคว้าวิจัยนี้ทำให้เห็นว่าสาร borapetosides A จากต้นบอระเพ็ดสามารถออกฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้จำพวกที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวเนื่องกับอินซูลิน โดยผ่านกลไกกระตุ้นการใช้กลูโคสของกล้ามเนื้อ ลดการสั่งสมน้ำตาลในเซลล์ รวมทั้งกระตุ้นการผลิตอินซูลิน
การทดสอบในสัตว์ทดสอบพบว่าบอระเพ็ดมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้ ส่วนการเรียนในผู้ป่วยเบาหวานโดยให้ทานบอระเพ็ด วันละ 250 มก. วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 2 เดือน พบว่าช่วยลดระดับน้ำตาลได้ แต่ขณะที่กำลังทำการทดลองคนเจ็บหลายรายมีอาการตับอักเสบ และก็พบว่าการใช้บอระเพ็ดในขนาดสูงรวมทั้งติดต่อกันนานจะเป็นพิษต่อตับแล้วก็ไต มีรายงานการวิจัยของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ระบุว่าเมื่อให้อาสาสมัครร่างกายแข็งแรง 12 ราย กินบอระเพ็ดขนาด 1 กรัม วันละ 3 ครั้ง นาน 8 สัปดาห์ พบว่าแนวโน้มทำให้ระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีในตับเพิ่มขึ้น หมายความว่ามีลัษณะทิศทางจะทำให้กำเนิดพิษต่อตับ
การศึกษาทางพิษวิทยา  การทดลองพิษทันควันของสารสกัดเถาด้วยเอทานอล 50% โดยให้หนูกินในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก. (คิดเป็น 1,786 เท่า เปรียบเทียบกับขนาดรักษาในคน) แล้วก็ให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนู ในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 โล ตรวจไม่เจออาการเป็นพิษ  เมื่อป้อนสารสกัดด้วยเอทานอล ให้หนูถีบจักร ขนาด 4 กรัม/กก. เสมอกันผงยาแห้ง 28.95 กรัม/กิโลกรัม ไม่ทำให้มีการเกิดอาการพิษ การเรียนรู้พิษเรื้อรัง พบว่าเมื่อป้อนสารสกัดด้วยเอทานอล ให้หนูขาวประเภทวิสตาร์ทั้ง 2 เพศ ในขนาด 0.02, 0.16 และ 1.28 กรัม/กิโลกรัม/วัน หรือเท่ากันผงแห้ง 0.145, 1.16 และ 9.26 ก./กก. ตรงเวลา 6 เดือน พบว่าหนูขาวทั้งคู่เพศที่ได้รับสารสกัดในขนาด 1.28 กรัม/กิโลกรัม มีผลทำให้น้ำหนักหนูต่ำลงยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุมรวมทั้งเกิดอาการผิดปกติของแนวทางการทำงานของตับและไตได้          มีหมอผู้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับฤทธิ์ลดโรคเบาหวานของบอระเพ็ด พบว่าผู้ป่วยมีลักษณะอาการตับอักเสบหลายราย
ข้อแนะนำ/สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวัง

  • ส่วนที่นิยมนำเถาบอระเพ็ดมาใช้ทำเป็นยาจะเป็นส่วนของ “เถาเพสลาก” เพราะว่ามีลักษณะไม่แก่หรืออ่อนเหลือเกินนัก และมีรสชาติขมจัด แต่หากเป็นเถาแก่จะแตกแห้ง รสเฝื่อน ไม่ขม หรือถ้าหากอ่อนเกินไปก็จะมีรสไม่ขมมากมาย
  • การศึกษาในอาสาสมัครสุขภาพดี 12 คนที่กินบอระเพ็ดในขนาด 1 กรัม วันละ 3 ครั้ง นาน 8 อาทิตย์ เจอแนวโน้มระดับเอนไซม์ในตับมากขึ้นมีความหมายว่าน่าจะนำไปสู่พิษต่อตับ
  • ถ้าเกิดนำบอระเพ็ดมาใช้และก็พบอาการแตกต่างจากปกติของการทำงานตับและไต ควรหยุดการใช้
  • ห้ามใช้ในคนที่มีภาวการณ์เอนไซม์ตับบกพร่อง หรือคนเจ็บที่มีประวัติเป็นโรคตับหรือโรคไต
  • สมุนไพรบอระเพ็ดสำหรับในการกินในส่วนของรากโดยตลอดเป็นเวลานานอาจมีผลต่อหัวจิตใจ ด้วยเหตุว่าเป็นยารสขม สิ่งที่ต้องระมัดระวังก็คือไม่ควรใช้ติดกันต่อเนื่องเกิน 1 เดือน ถ้าหากจำเป็นต้องใช้ในเดือนถัดไปก็ควรเว้นระยะเวลา 1-2 สัปดาห์เป็นอย่างต่ำเพื่อร่างกายสามารถปรับภาวะได้ก่อน ถ้าเกิดใช้ไปแล้วมีลักษณะอาการมือเท้าเย็น แขนขาหมดเรี่ยวแรงก็ควรจะหยุดกิน
เอกสารอ้างอิง

  • บอระเพ็ด.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • บุญเทียม คงศักดิ์ตระกูล  ยุวดี วงษ์กระจ่าง และคณะ.  รายงานฉบับสมบูรณ์ขององค์การเภสัชกรรม, 2541:18pp.
  • Higashino H, Suzuki A, Tanaka Y, Pootakham K.  Inhibitory effects of Siamese Tinospora crispa extracts on the carrageenin-induced foot pad edema in rats (the 1st report).  Nippon Yakurigaku Zasshi 1992;100(4):339-44.
  • บอระเพ็ด.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://www.disthai.com/
  • Kongsaktrakoon B, Temsiririrkkul R, Suvitayavat W, Nakornchai S, Wongkrajang Y.  The antipyretic effect of Tinospora crispa Mier ex Hook.f. & Thoms.  Mahidol Univ J Pharm Sci 1994;21(1):1-6.
  • บอระเพ็ด.ชาสมุนไพรบรรเทาอาการไข้.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.หน้า3-5
  • กัมปนาท รื่นรมย์.ประสิทธิภาพและการออกฤทธิ์ของสารสกัดจากบอระเพ็ดในการเป็นสารกำจัดแมลงต่อหนอนใยผัก(Plutella xylostella L.)
  • Sabir M, Akhter MH, Bhide NK.  Further studies on pharmacology of berberine.  Indian J Physiol Pharmacol 1978;22:9.
  • บอระเพ็ด ประโยชน์/สรรพคุณบอระเพ็ด.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อเกษตรไทยบุญส่ง คงคาทิพย์ และสมนึก วงศ์ทอง การแยกสารออกฤทธิ์ฆ่าหนอนเจาะเสมอฝ้ายจากต้นบอระเพ็ดและการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างของสารกับการออกฤทธิ์
  • บอระเพ็ด.ฐานข้อมูลเครื่องยาคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
  • ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของสาร borapetosides A จากต้นบอระเพ็ด.ข่าวความเคลื่อนไหนสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Rivai Y.  Antiinflammatory effects of Tinospora crispa (L) Miers ex Hook.f & Thoms stem infusion on rat.  MS Thesis, Dept Pharm, Fac Math & Sci, Univ Andalas, Indonesia, 1987.
  • บอระเพ็ดกับเบาหวาน.กระทู้ถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • Gupta M, Nath R, Srivastava N, Shanker K, Kishor K, Bhargava KB.  Anti-inflammatory and antipyretic activities of b-sitosterol.  Planta Med 1980;39:157-63.
  • Mokkhasmit M, Swatdimongkol K, Satrawaha P.  Study on toxicity of Thai medicinal plants.  Bull Dept Med Sci 1971;12(2/4):36-65.
  • บอระเพ็ด.ฐานข้อมูลความปลอดภัยของสมุนไพรที่มีการขึ้นทะเบียนยาแผนโบราณ.สำนังานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • Chavalittumrong P, Attawish A, Chuthaputti A, Chuntapet P.  Toxicological study of crude extract of Tinospora crispa Miers ex Hook.f. & Thoms.  Thai J Pharm Sci 1997;21(4):199-210.



Tags : บอระเพ็ด

หน้า: [1] 2