รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Topics - Tawatchai1212

หน้า: [1] 2 3 ... 6
1

ขายกวาวเครือเเดง ธาตุเหล็ก สารอาหารที่ช่วยปรับปรุงสมองให้ลูกน้อยธาตุเหล็ก เป็นสารอาหารที่ร่างกาgmnuyj,ยปรารถนาไม่มากมาย แต่ว่ามีความสำคัญต่อการพัฒนาสมองสูง เหล็กเป็นธาตุประเภทหนึ่งซึ่งมีmuyrmh,ความสำคัญต่อการผลิตเม็ดเลือดแดงให้กับร่างกาย rnuykพวกเราจึงพบว่า จำหน่ายกวาวเครือเเดงถ้าเgmuyกิดขาดธาตุเหล็83กแล้วตัวจะdbdytซีดเซียว h,เมื่อเรากินอาหารที่มีธาตุเหล็ก ธาตุu,oyejเหล็กก็จะกระจายไปสู่ไขกระดูก รวมทั้งเม็ดเลือ873983ดแดงที่ไหลเวียนไปทั่วร่า832งกายปฏิบัติภารกิจนำออกซิเจh,นไปสู่เซลล์ต่างๆdmuj6ทั่วร่างกายนอกจากไปแล้วหลังจากนั้น ธาตุเหล็ก ยังเป็นองค์ปtymkuyl,ระกอบสำคัญของสารสื่อประสาท ช่วยในการพัฒนาสมองของเด็ก yh,mมีหน้าที่รอดูแgm,ลความชำนาญด้านการรับรู้และการเรี39ยนจำหน่ายกวาวเครือเเดงโดยy,muy,tเหตุนี้ถ้;gmfjyาลูกน้อยขาดธาตุเหล็ก ก็จะมีปัญหาหัวข้อการคo9iyวามก้าวหน้าuy.ขายกวาวเครือเเดงจากการเรียนทราบได้เหมือนu,i;.กันค่ะio/o/uเด็กอ่อนที่คลอดธรรมดาในวัยทารก-6 เดือนจะได้รับ ธาตุเหล็ก จากแ,h,ม่ตั้งแต่ตอนอยู่ใน9;0o';ท้o/p['[อง32 เก็บสะสมไว้ใ527ช้8 และส่วนใfndtดส่วนหนึ่งได้มาจากน้ำนมของคุณแม่ด้วย ซึ่งพอเพียงอยู่y;uแล้ว  ส่วนเด็กแรกเกิดที่คลอดก่อdmk87tli;นกำหนดหรือมีน้ำหนักแรกเกิดน้อย แพทย์จะแนะนำให้กินธาตุเหล็กเสริมพร้อมกันกับนมแม่เด็กddทารกหลังจาก 6 เดือน เป็นต้นไป เด็กจะเริ่มรับประทานอาหารเสริม ทำให้ทานนมแม่ในปริมาณที่ลดลง แล้วก็นมแม่เองก็เริ่มมีธาตุเหล็กrfki8tlลดน้อยลงด้วยด้วยเหมือนกัน โดยเหตุนั้นถ้าเด็กได้รับธาตุเหล็กน้อยเกินไป จะทำให้เด็กซีดเซียว เจริญเติบโตไม่สมวัย ดังนั้นขายกวาวเครือเเดงในมื้ออาหารเสริมคุณแม่น่838าจะให้ลูกได้รับธาตุเหล็กในปริมาณที่พอเพียงด้วยเช่นกันrjtr76

Tags : จำหน่ายกวาวเครือเเดง,ขายกวาวเครือเเดง

2

พญายอ
พญายอเป็นไม้พุ่งแกมเลื้อย เถาและก็ใบมีสีเขียวใบไม้ไม่มีหนาม ใบยาวเรียวปลายแหลม ออกตรงกันข้ามเป็นคู่ ดอกออกเป็นช่อ อยู่ที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมี 3-6 ดอก กลีบเป็นดอกปลายแยกสีแดงอมส้ม
พญายอขึ้นได้สวยในดินที่สมบูรณ์ แสงอาทิตย์ปานกลาง พบได้บ่อยตามป่าในประเทศไทย หรือปลูกกันตามบ้าน ปลูกโดยใช้ลำต้นปักชำ เป็นต้นไม้ที่ปลูกได้ไม่ยาก ตัดกิ่งออกมาซัก 2-3 คืบ ปักขำให้รากออกมาดีแล้วก็ย้ายไปปลูกภายในแปลง ดูแลเหมือน พืชไม้ทั่วไป
ใบ เป็นยา ให้เก็บขนาดกึ่งกลางที่สมบูรณ์ ไม่แก่หรือเปล่าอ่อนจนเกินไป ใบของพญายอสามารถลดอาการักเสบของหูก้าวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่สกัดด้วยสารละลาย “บิวทานอล” วงศ์สถิต ฉั่วกุล และคณะได้ศึกษาพบว่าสารสำคัญตัวหนึ่งเป็น “เฟลโวนนอยต์” ส่วนด้านที่มีการต้านทานพิษงูยังไม่กระจ่าง แม้กระนั้นไม่มีอันตรายพอที่จะใช้
ใบพญายอรักษาอาการอักเสบเฉพาะที่ (ปวด, บวม, แดง ร้อนแม้กระนั้นไม่มีไข้) จากแมลงที่เป็นพิษกัดต่อย เช่น ตะขาบ แมงป่อง ผึ้ง ต่อ แตน รักษาโดยการเอาใบสดจากพญายอนี้มาสัก 10-15 ใบ (มากน้อยตามรอบๆที่เป็น) ล้างให้สะอาด ใส่ลงในครกตำยา ตำให้ละเอียด เพิ่มแอลกอฮอล์พอชุ่มยา ตั้งทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ หมั่นคนยาทุกวี่วัน กรองน้ำยา ใช้น้ำ และก็กากทาบบริเวณที่เจ็บปวดบวม หรือที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
พญายอ หรือ เสมหะพังพอน เพราะเสลดพังพอนมีหมดทั้งตัวผู้ละตัวเมีย แต่ตัวผู้ไม่นิยมนำมาใช้เนื่องมาจากมีฤทธิ์อ่อน รวมทั้งเพื่อไม่ให้งงมากจึงเรียกเสลดพังพอนตัวเมียว่า "พญายอ" โดยมากนำมาทำเป็นยาสมุนไพรไทยจัดอยู่ในกลุ่มพืชถอนพิษ  “พญายอ” เป็นพืชสมุนไพรที่ใช้เป็นยาใช้ภายนอกรักษาด้านนอก มีคุณประโยชน์ทุเลาการอักเสบของผิวหนังก้าวหน้า  มีฤทธิ์ลดการอักเสบ มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัส
คุณลักษณะของผงพญายอในการบำรุงผิวพรรณ
- ใช้แก้สิวเม็ดผดผื่นคัน ด้วยการนำมาดองกับสุรา แล้วผสมดินสอพองใช้ทาแก้สิวและเม็ดผื่นผื่นคัน
- ใช้แก้โรคผิวหนังผื่นคัน ผสมกับสุราใช้เป็นยาแก้ผื่นคัน ไฟลามทุ่ง ลมพิษ แผลไฟเผาน้ำร้อนลวก
- ใช้รักษาแผลไฟเผาน้ำร้อนลวก พญายอมีสรรพคุณช่วยดับพิษร้อนได้ดี
- อีกตำราบอกว่านอกจากจะใช้รักษาแผลไฟเผาน้ำร้อนลวกได้แล้ว ยังช่วยรักษาแผลเปื่อยเพราะเหตุว่าถูกแมงกะพรุนไฟ แผลหมากัด และแผลที่เกิดขึ้นมาจากการเช็ดกกรดได้อีกด้วย
- ใช้รักษาแผลน้ำเหลืองเสีย เอามาพอก จะรู้สึกเย็นๆซึ่งยาจะช่วยดูดน้ำเหลืองได้ดิบได้ดี ทำให้แผลแห้งไว
- ใช้แก้ฝี ด้วยการผสมกับเกลือแล้วก็สุรา ใช้พอกรอบๆที่เป็น เปลี่ยนยาทุกตอนเช้าและเย็น
- ใช้เป็นยาขับพิษ ถอนพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย เช่น งู ตะขาบ แมงป่อง มด ยุง อื่นๆอีกมากมาย
- พญายอ ใช้รักษาอาการอักเสบ รักษาแผลร้อนในปาก แก้เริม (แผลผิวหนังชนิดเริม) อีสุกอีใส แก้งูสวัด ไฟลามทุ่ง และใช้เป็นยาถอนพิษต่างๆเอาน้ำมาดื่มหรือเอาน้ำมาทาแผลแล้วก็เอากากพอกบริเวณแผล
- มีฤทธิ์แก้อาการแพ้ ลดการอักเสบ สามารถลดการอักเสบเรื้อรังได้
- มีฤทธิ์ลดความเจ็บปวด ช่วยลดลักษณะของการปวด
- มีฤทธิ์ต่อต้านไวรัสได้ดิบได้ดีและไม่เป็นพิษต่อเซลล์

วิธีการพอกขัดผิวด้วยผงพญายอ

  • ชำระล้างผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้ารวมทั้งเช็ดเครื่องแต่งหน้าให้สะอาดก่อนกรรมวิธีการขัดพอกผิว
  • ใช้ผสมกับน้ำสะอาด (หรือ ผงสมุนไพรอื่นๆน้ำผึ้ง นม หรือโยเกิร์ต เพื่อทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น)
  • สามารถใช้พอกหรือขัดได้ผิวหน้ารวมทั้งผิวกาย เสมอๆ สัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง


     - สำหรับผิวหน้า พญายอถ้าเป็นสิวอักเสบ ห้าม ขัดโดยเด็ดขาด ให้ใช้เป็นการพอกผิวแทน เพื่อไม่ให้เชื้อสิวลุกลามไปทั่วบริเวณใบหน้า และเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผิวหน้ามากจนเกินความจำเป็น พอกทิ้งไว้โดยประมาณ 15 นาที
     - ถ้าใช้ขัด (สำหรับผู้ที่ไม่เป็นสิว แล้วก็ผิวกาย) ให้ขัดให้เบาไม้เบามือที่สุด โดยประมาณแค่ลูบพยายามจะไม่ให้นิ้วโดนผิวหน้าเลย ห้ามกดแรงลงบนนิ้วขณะขัด และก็ให้ขัดเพียงแค่ 5 นาทีก็เพียงพอที่สารสำคัญจะออกฤทธิ์แล้ว เมื่อครบ 5 นาทีให้พอกทิ้งเอาไว้จนแห้ง (อาจใช้ระยะเวลาพอกทิ้งเอาไว้ราวๆ 15 นาที)

  • พญายอ ภายหลังแห้งแล้ว ให้ทำการล้างด้วยน้ำธรรมดา (ไม่สมควรใช้น้ำอุ่น) ล้างแบบเบาที่สุดหรือให้เปิดฝักบัวเบาๆแล้วหลังจากนั้นก็ปล่อยให้น้ำรดผ่านผิวไปสัก 2-3 นาที แล้วก็ใช้ฝ่ามือลูบให้ค่อยที่สุด โดยใช้แนวทางล้างเดียวกับการขัดหน้าหมายถึงมานะจะไม่ให้นิ้วโดนผิวหน้าเลย
  • ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว ซึมซับหน้าให้แห้ง


Tip  เพื่อการบำรุงที่มากขึ้น เมื่อพอกหรือขัดผิวด้วยผงสมุนไพรแล้ว ให้เอาน้ำผึ้งผสมน้ำกินปกติในอัตราส่วน 1 ช้อนชาเท่ากัน ทาให้ทั่วผิวหน้า แล้วนวดวนเบาๆทั่วใบหน้าสักน้อย ทิ้งน้ำผึ้งไว้ 10 นาที ก็ล้างออก เพื่อเป็นการคืนความชุ่มชื่นให้แก่ผิว อีกทั้งช่วยทำให้ผิวหน้าเนียนนุ่มและกระจ่างขาวสวยใส ดูอ่อนกว่าวัยยิ่งขึ้น http://www.disthai.com/

3
อื่น ๆ / ความเป็นมาของต้นราชพฤกษ์
« เมื่อ: สิงหาคม 16, 2018, 01:48:52 AM »

ราชพฤกษ์
ที่ไปที่มาของต้นราชพฤกษ์
   จากอดีตกาลที่ผ่านมากว่า 50 ปี ทางด้านราชการมีความพยายามบ่อยครั้งในการกำหนดให้มีสัญลักษณ์ประจำชาติไทย โดยยิ่งไปกว่านั้นการกำหนด ต้นไม้ และ ดอกไม้ ประจำชาติ เริ่มต้นที่กรมป่าไม้ได้เชิญให้ประชาชนพึงพอใจต้นราชพฤกษ์หรือคูณมาตั้งแต่ตอนปี พ.ศ.2494 โดยรัฐบาลมีมติให้ถือวันที่ 24 เดือนมิถุนายน เป็นวันต้นไม้ประจำปีของชาติ (arbour day) มีการชวนให้ปลูกต้นไม้ที่มีคุณประโยชน์ประเภทต่างๆจำนวนมาก ในเวลาเดียวกันก็ได้มีการเสนอว่า ต้นราชพฤกษ์ น่าจะถือเป็นต้นไม้ประจำชาติ
ราชพฤกษ์
   จนถึงในปี พ.ศ.2506 มีการประชุมเพื่อระบุเครื่องหมายต้นไม้และก็สัตว์ประจำชาติเป็นครั้งแรก โดยกรมป่าไม้ได้เสนอให้ ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูณ พืชที่มีความเป็นสิริมงคลที่มีประโยชน์และรู้จักกันอย่างแพร่หลายฯลฯไม้ประจำชาติ สำหรับสัตว์ประจำชาติก็คือ ช้างเผือก สัตว์ที่มีคุณค่าเกี่ยวกับจารีตประเพณีไทยและก็ประวัติศาสตร์ไทยมายาวนาน การเสนอตอนนั้นมิได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการ โดยเหตุนี้ตลอดระยะเวลาก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาเครื่องหมายที่บ่งบอกถึงความเป็นไทยก็เลยมีนานาประการ ตั้งแต่สถานที่สำคัญๆ สัตว์ ดอกไม้ ที่คนประเทศไทยคุ้นเคยรวมทั้งพบเจอบ่อยมาก ตัวอย่างเช่น พระปรางค์วัดย่ำรุ่งฯ เรือสุพรรณหงส์ ดอกบัว ดอกมะลิ ดอกพุทธรักษา แมวไทย เหมือนกับ ต้นราชพฤกษ์ และก็ ช้างเผือก ยังคงถูกเชิดชูให้เป็นสัญลักษณ์ประจำชาติตลอดมา
            ปี พุทธศักราช2530 มีการเกื้อหนุนให้ปลูกต้นราชพฤกษ์อีกรอบ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ โดยมีการส่งเสริมให้ปลูกต้นราชพฤกษ์ทั่วประเทศปริมาณ 99,999 ต้น ทุกๆวันนี้จึงมีต้นราชพฤกษ์อยู่จำนวนมากทั่วประเทศไทย
            ผลสรุปเรื่องเครื่องหมายประจำชาติดูเหมือนจะยังไม่กระจ่าง กระทั่งตอนปี พ.ศ.2544 คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ได้นำเรื่องดังกล่าวกลับมาเสนออีกรอบ และมีข้อสรุปเสนอให้มีการระบุเครื่องหมายประจำชาติ 3 สิ่งคือ ดอกไม้ สัตว์แล้วก็สถาปัตยกรรม รวมทั้งการพินิจพิเคราะห์ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาเสนอให้ระบุดอกไม้ประจำชาติคือ ดอกราชพฤกษ์ สัตว์ประจำชาติเป็นช้างไทย และก็สถาปัตยกรรมประจำชาติเป็น ศาลาไทย
            เหตุที่เลือก ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติเพราะเหตุว่ามีความเหมาะสมในหลายๆด้าน คือ เป็นดอกไม้จากต้นไม้ที่ถูกเสนอให้ฯลฯไม้ประจำชาติเมื่อครั้งที่กรมป่าไม้เสนอไว้ ฯลฯไม้ที่แก่ยืน ทน ปลูกขึ้นได้ดีทั่วทุกภาคของประเทศ เป็นต้นไม้ประจำถิ่นที่รู้จักแพร่หลาย มีชื่อเรียกหลายชื่อไม่เหมือนกันในแต่ละภาค เป็นต้นว่า คูน คูน อ้อดิบ ราชพฤกษ์เป็นไม้มงคลใช้ประโยชน์ในพิธีสำคัญๆตัวอย่างเช่น ลงหลักเมือง ลงเสาฤกษ์ ทำคฑาจอมพลแล้วก็ยอดธงชัยเฉลิมพลของกองทหาร ในฤดูร้อนราชพฤกษ์จะมีดอกสะพรั่งอีกทั้งต้น ช่อดอกมีรูปทรงงาม สีเหลืองงามเป็นเครื่องหมายของพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาประจำชาติ รวมทั้งเป็นสีเดียวกับวันพระราชการเกิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ยิ่งกว่านั้นความงามของช่อดอก และความหมายที่ดียังถูกจำลองแบบเสริมแต่งไว้บนอินทรธนูของข้าราชการอีกด้วย
ดอกราชพฤกษ์ ดอกไม้ประจำชาติไทย
ส่งดอกไม้ประจำชาติไทย คือ ดอกราชพฤกษ์ (Golden shower) หรือ ชื่อด้านวิทยาศาสตร์ของ ดอกราชพฤกษ์เป็นCassia fistula
           ดอกไม้สีเหลืองแพรวพราวที่พบได้บ่อยเห็นได้ทั่วๆไปตามข้างถนนสายต่างๆเป็นสีสันของ ดอกราชพฤกษ์ หรือ ดอกคูน ต้นไม้มงคลที่ได้รับการชื่นชมให้เป็น ดอกไม้ประจำชาติไทย อีกทั้งเชื่อว่าฯลฯไม้ที่ปลูกไว้แล้วจะเสริมให้คนในบ้านทรงเกียรติตำแหน่งชื่อ เสียงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วย ยิ่งใกล้ไปสู่เวลาที่การเปิดประตูต้อนรับเพื่อนบ้านอาเซียนกันแล้ว ในวันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยขอนำเนื้อหาเกี่ยวกับดอกไม้ประจำชาติไทยอย่าง ดอกราชพฤกษ์ มาให้ทำความรู้จักกันแรง
ประวัติดอกราชพฤกษ์
           ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูน เป็นต้นไม้ท้องถิ่นของเอเชียใต้ ตั้งแต่ปากีสถาน อินเดีย เมียนมาร์ และก็ศรีลังกา โดยนิยมนำมาปลูกกันมากมายในเขตร้อน สามารถเติบโตได้ดีในที่โล่ง และมีชื่อเสียงในประเทศไทยมาหลายสิบปี โดยมีการเสนอให้ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทยตั้งแต่ปี พุทธศักราช 2506 แต่ว่าก็ยังไม่ได้ผลสรุปแจ่มกระจ่าง จนถึงมีการลงนามให้เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย ตอนวันที่ 26 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2544

ดอกไม้ประจำชาติไทย
           เนื่องด้วย ต้นราชพฤกษ์ ออกดอกสีเหลืองยกช่อ ดูสง่างาม ทั้งยังมีสีตรงกับ สีทุกวันพระราชการเกิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงถูกตั้งชื่อว่าเป็น "ต้นไม้ของพระเจ้าแผ่นดิน" รวมทั้งมีการลงชื่อให้ต้นราชพฤกษ์ ยอดเยี่ยมใน 3 เครื่องหมายประจำชาติไทย โดยมี 1. ช้าง เป็นสัตว์ประจำชาติไทย 2. ศาลาไทย เป็นสถาปัตยกรรมประจำชาติไทย และ 3. ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย
เหตุผลเลือกเป็นดอกไม้ประจำชาติไทย

  • เหตุเพราะเป็นต้นไม้พื้นบ้านที่รู้จักกันอย่างล้นหลาม รวมทั้งมีอยู่ทุกภาคของประเทศไทย
  • มีประวัติเกี่ยวพันกับขนบธรรมเนียมสำคัญๆในไทยแล้วก็ฯลฯพืชที่มีความมงคลที่นิยมปลูก
  • ใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ดังเช่นว่า ใช้เป็นยารักษาโรค อีกทั้งยังคงใช้ลำต้นเป็นเสาเรือนได้ ฯลฯ
  • มีสีเหลืองงาม พุ่มไม้งามเต็มต้น เทียบเป็นสัญลักษณ์ที่พุทธศาสนา
  • แก่ยืนนาน และทน
ลักษณะทั่วไป
           ฯลฯไม้ขนาดกลาง สูงโดยประมาณ 10-20 เมตร มีดอกเป็นช่อสีเหลืองงาม แต่ละช่อยาวราว 20-40 ซม. โดยกลีบดอกไม้จะเป็นสีเหลือง 5 กลีบ มีผลยาวโดยประมาณ 30-60 เซนติเมตร มีกลิ่นแรง รวมทั้งมีเมล็ดที่เป็นพิษ
การปลูกดอกราชพฤกษ์
           นิยมปลูกด้วยเม็ด โดยจะมีการเติบโตช้าในตอน 1-3 ปีแรก แต่หลังจากนั้นจะมีการเติบโตเร็วขึ้น และก็ออกดอกตอนอายุโดยประมาณ 4-5 ปี
การรักษา
           แสง : ต้องการแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง รวมทั้งเติบโตเจริญในเป็นพิเศษ
           น้ำ : ถูกใจน้ำน้อย ควรจะรดน้ำ 7-10 วันต่อครั้ง สามารถทนกับสภาพภูมิอากาศร้อนเจริญ
           ดิน : สามารถเติบโตก้าวหน้าในดินร่วนซุย ดินร่วนซุยผสมทราย หรือดินเหนียว
           ปุ๋ย : นิยมให้ปุ๋ยหมัก หรือ ปุ๋ยคอก ในอัตรา 2-3 โลต่อต้น รวมทั้งควรจะให้ปุ๋ยปีละ 3-4 ครั้ง
การขยายพันธุ์
           วิธีขยายพันธุ์ต้น[url=http://www.disthai.com/16488365/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C]ราชพฤกษ์[/url][/url][/color]ที่นิยมเป็นการเพาะเม็ด โดยใช้เมล็ดใหม่ๆมาขลิบด้วยกรรไกรตัดเล็บ แต่จะต้องเลือกขลิบบริเวณด้านป้าน เนื่องจากด้านแหลมจะมีต้นอ่อนอยู่ แล้วต่อจากนั้นนำไปแช่น้ำสะอาดทิ้งไว้ข้ามวัน จึงค่อยเทน้ำออกให้เหลือจำนวนเพียงพอหล่อเลี้ยงเมล็ดได้ จากนั้นทิ้งไว้อีกคืนก็จะพบรากผลิออก รวมทั้งสามารถนำลงปลูกได้เลย
ความเชื่อเกี่ยวกับต้นราชพฤกษ์
           มั่นใจว่าฯลฯพืชที่มีความเป็นสิริมงคล ที่ควรจะปลูกเอาไว้ภายในทิศตะวันตกเฉียงใต้ และถ้าปลูกไว้ในบ้านจะช่วยทำให้ทรงเกียรติขั้น ศักดิ์ศรี และก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางไสยเวท โดยใช้ใบทำน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ เนื่องด้วยเป็นพืชที่มีความเป็นสิริมงคลนาม http://www.disthai.com/

4
อื่น ๆ / ตะไคร้มีสรรพคุณ-ประโยชน์อย่างไร
« เมื่อ: สิงหาคม 09, 2018, 06:45:35 AM »

ตะไคร้
ตะไคร้ ชื่อสามัญ Lemongrass
ตะไคร้ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cymbopogon citratus (DC.) Stapf จัดอยู่ในวงศ์ต้นหญ้า (POACEAE หรือ GRAMINEAE)
ตะไคร้จัดเป็นไม้ล้มลุกเครือญาติหญ้า ใบมีลักษณะเรียวยาว ปลายใบมีขนหนาม เป็นสมุนไพรไทยชนิดหนึ่งที่นิยมนำมาทำกับข้าว โดยตะไคร้แบ่งได้เป็น 6 ชนิด เช่น ตะไคร้หอม ตะไคร้กอ ตะไคร้ต้น ตะไคร้น้ำ ตะไคร้หางนาค รวมทั้งตะไคร้หางราชสีห์ ซึ่งเป็นสมุนไพรไทยที่นิยมนำมาปลูกทั่วๆไปในบ้านพวกเรา โดยมีถื่นกำเนิดในประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย ประเทศพม่า ศรีลังกา และก็ไทย
ตะไคร้ เป็นอีกทั้งยารักษาโรคและยังมีวิตามินแล้วก็แร่ธาตุที่มีสาระต่อสุขภาพอีกด้วย ได้แก่ วิตามินเอ ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ฯลฯ
คุณประโยชน์ของตะไคร้
มีส่วนช่วยสำหรับในการขับเหงื่อ
เป็นยาบำรุงธาตุไฟให้รุ่งโรจน์ (ต้นตะไคร้)
มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงธาตุ ช่วยสำหรับในการเจริญอาหาร
ช่วยแก้อาการเบื่อข้าว (ต้น)
สารสกัดจากตะไคร้มีส่วนช่วยสำหรับการคุ้มครองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
แก้รวมทั้งบรรเทาอาการหวัด อาการไอ
ช่วยรักษาอาการไข้ (ใบสด)
ใช้เป็นยาแก้ไข้เหนือ (ราก)
น้ำมันหอมระเหยของใบตะไคร้สามารถบรรเทาลักษณะของการปวดได้
ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ
ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง (ใบสด)
ใช้เป็นยาแก้อาเจียนหากเอาไปใช้ร่วมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆ(หัวตะไคร้)
ช่่วยแก้อาการกษัยเส้นแล้วก็แก้ลมใบ (หัวตะไคร้)
รักษาโรคโรคหอบหืดด้วยการใช้ต้นตะไคร้
ช่วยแก้อาการเสียดแน่นแสบรอบๆทรวงอก (ราก)
ใช้เป็นยาแก้ลักษณะของการปวดท้องและอาการท้องเสีย (ราก)
ช่วยแก้และก็ทุเลาลักษณะของการปวดท้อง
ช่วยรักษาอาการท้องอืดท้องอืดท้องเฟ้อ (หัวตะไคร้)
ช่วยสำหรับการขับน้ำดีมาช่วยในการย่อยอาหาร
น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้มีส่วนช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ได้
มีฤทธิ์ช่วยสำหรับการขับปัสสาวะ
ช่วยแก้อาการเยี่ยวพิการและรักษาโรคนิ่ว (หัวตะไคร้)
ช่วยแก้อาการขัดเบา (หัวตะไคร้)
ใช้เป็นยาแก้ขับลม (ต้น)
ช่วยรักษาอหิวาต์
ช่วยแก้ลมอัมพาต (หัวตะไคร้)
ใช้เป็นยารักษาโรคเกลื้อน (หัวตะไคร้)
น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ สามารถช่วยต้านเชื้อราบนผิวหนังได้อย่างดีเยี่ยม
ช่วยแก้โรคหนองใน ถ้าหากนำไปผสมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆ

คุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากตะไคร้
นำมาใช้ทำเป็นน้ำตะไคร้หอม น้ำตะไคร้ใบเตย ช่วยดับร้อนแก้หิวได้เป็นอย่างดี
ช่วยในการบำรุงแล้วก็รักษาสายตา
มีส่วนช่วยในการบำรุงกระดูกแล้วก็ฟันให้แข็งแรง
มีส่วนช่วยในการบำรุงสมองและเพิ่มสมาธิ
สามารถประยุกต์ใช้ทำเป็นยานวดได้
ช่วยแก้ปัญหาผมแตกปลาย (ต้น)
มีฤทธิ์เป็นยาช่วยสำหรับเพื่อการนอน
การปลูกตะไคร้ร่วมกับผักประเภทอื่นๆจะช่วยปกป้องแมลงได้อย่างดีเยี่ยม
นำมาใช้เป็นส่วนประกอบของสารยับยั้งกลิ่นต่างๆ
ต้นตะไคร้ช่วยดับกลิ่นคาวหรือเหม็นคาวของปลาได้เป็นอย่างดี
กลิ่นหอมยวนใจของตะไคร้สามารถช่วยไล่ยุงและกำจัดยุงได้เป็นอย่างดี
เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ชนิดยากันยุงชนิดต่างๆดังเช่น ยากันยุงตะไคร้หอม
สามารถนำไปดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายแบบ ดังเช่นว่า เครื่องปรุงอบแห้ง ตะไคร้แห้งสำหรับชงดื่ม นำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย เป็นต้น
มักนิยมนำมาใช้ในการเตรียมอาหารหลากหลายประเภท ดังเช่นว่า ต้มยำ และก็อาหารไทยอื่นๆเพื่อเพิ่มรส
วิธีทําน้ําตะไคร้หอม
คุณประโยชน์ตะไคร้จัดเตรียมวัตถุดิบดังนี้ ตะไคร้ 1 ต้น / น้ำเชื่อม 15 กรัม / น้ำดื่ม 240 กรัม
ล้างตะไคร้ให้สะอาด แล้วเอามาหั่นเป็นท่อน ทุบให้แตก
ใส่ลงหม้อต้มกับน้ำให้เดือด กระทั่งน้ำตะไคร้ออกมาปนกับน้ำจนถึงเป็นสีเขียว
คอยสักครู่แล้วยกลง จากนั้นกรองเอาตะไคร้ออกแล้วเพิ่มเติมน้ำเชื่อมให้ได้รสตามพึงพอใจ
เสร็จแล้วกระบวนการทำน้ำตะไคร้
แนวทางทําน้ําตะไคร้ใบเตย
น้ำตะไคร้ การทําน้ําตะไคร้ใบเตยนั้นสิ่งแรกให้เตรียมวัตถุดิบดังนี้ ตะไคร้ 2 ต้น / ใบเตย 3 ใบ / น้ำ 1-2 ลิตร / น้ำตาลแดง 2 ช้อนชา (จะใส่หรือไม่ก็ได้)
นำตะไคร้มาตีให้แหลกพอประมาณ แล้วก็ใช้ใบเตยมัดตะไคร้ไว้ให้เป็นก้อน
ใส่ตะไคร้และใบเตยลงไปในหม้อแล้วเพิ่มน้ำ 1 ถึง 2 ลิตร แล้วต้มให้เดือดสักราวๆ 5 นาที เป็นอันเสร็จสำหรับวิธีการทําน้ํา ตะไคร้
โดยตะไคร้รวมทั้งใบเตยชุดเดียวกัน สามารถเติมน้ำต้มใหม่ได้ 2-3 รอบ แต่รสบางทีอาจจืดชืดลงไปบ้าง เอามาดื่มแทนน้ำช่วยเพิ่มความมีชีวิตชีวา แถมช่วยบำรุงสุขภาพอีกด้วย
ค่าทางโภชนาการของตะไคร้
การเล่าเรียนของตะไคร้ขนาด 100 กรัม พบว่าให้พลังงาน 143 กิโลแคลอรี่ มีสารอาหารสำคัญมี โปรตีน 1.2 กรัม ไขมัน 2.1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 29.7 กรัม เส้นใย 4.2 กรัม แคลเซียม 35 มิลลิกรัม ธาตุฟอสฟอรัส 30 มก. เหล็ก 2.6 มิลลิกรัม วิตามินเอ 43 ไมโครกรัม ไทอามีน 0.05 มิลลิกรัม ไรโบฟลาวิน 0.02 มิลลิกรัม ไนอาซิน 2.2 มก. วิตามินซี 1 มิลลิกรัม และ เถ้า 1.4 กรัม
โทษของตะไคร้
พิษของน้ำมันตะไคร้ ปริมาณน้ำมันตะไคร้ ที่ทำให้หนูขาวตายที่ครึ่งหนึ่งของจำนวนหนูขาวทั้งหมด ด้วยการให้ทางปาก  ที่ความเข้มข้น 5,000 มิลลิกรัม/กิโล และการให้น้ำมันหอมระเหยทางกระเพาของกินแก่กระต่ายที่ทำให้กระต่ายตายที่ครึ่งเดียว พบว่า มีปริมาณความเข้มข้นเดียวกันกับการให้แก่หนูขาว พิษเฉียบพลันของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ที่ความเข้มข้น 1,500 ppm ในระยะเวลา 60 วัน กลับได้มาพบว่า หนูขาวที่ได้รับน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้มีการเติบโตเร็วกว่ากลุ่มที่ไม้ได้รับ และค่าทางเคมีของเลือดไม่มีความเคลื่อนไหวแต่อย่างใด

Tags : ประโยชน์ตะไคร้

5

บุก
บุก มีคุณประโยชน์ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นโลหิต รักษาโรคโรคเบาหวาน เป็นยาแก้ไข้จับสั่น ช่วยแก้ไอ ละลายเสลด แก้โรคท้องมาน ใช้สำหรับสตรีเมนส์มาไม่ดีเหมือนปรกติ ใช้แก้พิษงู ใช้เป็นยาแก้แผลไฟไหม้รวมทั้งน้ำร้อนลวก แก้ฝีหนองบวมอักเสบ  ใช้เป็นยาแก้ปวด แก้ฟกช้ำ ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร ช่วยขับเมนส์ของสตรี ใช้เป็นยาพอกฝี
บุก มีชื่อสามัญว่า Konjac อ่านออกเสียงว่า คอน-จัค มีชื่อด้านวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus konjac K.Koch ชื่อเรียกอื่นๆของบุก เป็นต้นว่า บุกลุกงคก เบีย เบือ มันซูรัน หัวบุก บุกคางคก บุกหนาม บุกหลวง แพทย์ ยวี จวี๋ ยั่ว หมอยื่อ ฯลฯ
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของต้นบุก
ต้นบุก นับว่าเป็น ไม้ล้มลุกชนิกหนึ่ง เป็นไม้เนื้ออ่อน ลักษณะของลำต้นอวบรวมทั้งมีสีเขียวเข้ม ใบบุกเป็นใบคนเดียว ซึ่งใบของบุกจะแตกใบที่ยอดรวมทั้งใบแผ่ขึ้นราวกับร่มกาง ดอกของบุกจะมีสีเหลือง จะบานในตอนค่ำ มีกลิ่นฉุน ลักษณะเสมือนดอกหน้าวัว
ลำต้นแทงขึ้นมาจากหัวใต้ดิน มีความสูงของต้นราวๆ 50-150 เซนติเมตร หัวที่อยู่ใต้ดินนั้นมีขนาดใหญ่ ลักษณะของหัวเป็นรูปค่อนข้างจะกลมแบนน้อย หรือกลมแป้น มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว 25 ซม. ผิวเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ลำต้นและแขนงมีลักษณะกลมใหญ่ เปลือกลำต้นเป็นสีเขียวมีลายแต้มสีขาวปะปนอยู่
ใบบุก ใบเป็นใบประกอบแบบขน มีใบย่อยเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กลมรี ปลายใบแหลม ส่วนขอบของใบเรียบ ใบมีขนาดยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร
ดอกบุก มีดอกเป็นดอกลำพัง ลักษณะของดอกเป็นรูปทรงทรงกระบอกกลมแบน มีกลิ่นเหม็น สีม่วงแดงอมเขียว มีกาบใบยาวประมาณ 30 เซนติเมตร สีม่วงอมเหลือง โผล่ขึ้นพ้นจากกลีบเลี้ยงที่มีสีม่วง
ผลบุก ลักษณะของผลเป็นรูปกลมแบน เมื่อสุกจะเป็นสีส้ม
สรรพคุณของบุก
สำหรับสรรพคุณของบุก เรานิยมใช่ประโยน์ทางยาของบุก จาก หัว รากและก็เนื้อของลำต้น รายละเอียด ดังต่อไปนี้
หัวบุก มีคุณประโยชน์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือด รักษาโรคโรคเบาหวาน เป็นยาแก้ไข้จับสั่น ช่วยแก้ไอ ละลายเสมหะ แก้โรคท้องมาน ใช้สำหรับสตรีรอบเดือนมาไม่ดีเหมือนปรกติ ใช้แก้พิษงู ใช้เป็นยาแก้แผลไฟไหม้แล้วก็น้ำร้อนลวก แก้ฝีหนองบวมอักเสบ  ใช้เป็นยาพารา แก้ฟกช้ำ
รากของบุก ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร ช่วยขับรอบเดือนของสตรี ใช้เป็นยาพอกฝี

ข้อควรระวังในการบริโภคบุก
สำหรับสิ่งที่ไม่อนุญาตสำหรับในการรับประทานบุก คือ หัวบุกจะมีรสเผ็ด เป็นยาร้อน มีพิษ ออกฤทธิ์ต่อม้าม ตับ รวมทั้งระบบทางเดินอาหาร ด้วยเหตุผลดังกล่าว ในกลุ่มคนที่ ม้าม ตับ และก็ระบบทางเดินอาหาร ไม่ดี ควรจะหลีกเลี่ยงรับประทาน และไม่กินมากเกินไป ซึงสิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวังสำหรับเพื่อการบริโภคบุก มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ในเนื้อหัวบุกป่าจะมีผลึกของแคลเซียมออกซาเลท (Calcium oxalate) เยอะๆ ที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการคัน ส่วนเหง้าและก็ก้านใบถ้าเกิดปรุงไม่ดีแล้วรับประทานเข้าไปจะก่อให้ลิ้นพองรวมทั้งคันปากได้
ก่อนเอามากินจะต้องกำจัดพิษออกก่อน และไม่รับประทานกากยาหรือยาสด
แนวทางการกำจัดพิษจากหัวบุก ให้นำหัวบุกมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆตำพอแหลก คั้นเอาน้ำออกพักไว้ นำกากที่ได้ไปต้มน้ำ แล้วคั้นมัวแต่น้ำ นำไปผสมกับน้ำที่คั้นทีแรก แล้วก็ค่อยนำไปต้มกับน้ำปูนใสเพื่อพิษหมดไป เมื่อเดือดก็พักไว้ให้เย็น จะจับกุมกันเป็นก้อน ก็เลยสามารถใช้ก้อนดังกล่าวในการประกอบอาหารหรือนำไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นยาได้ถ้าอาการเป็นพิษจากการกินบุก ให้กินน้ำส้มสายชูหรือชาแก่ แล้วตามด้วยไข่ขาวสด แล้วให้รีบไปพบแพทย์
เนื่องด้วยวุ้นบุกสามารถขยายตัวได้มาก จึงไม่ควรบริโภควุ้นบกภายหลังการกิน แม้กระนั้นให้รับประทานก่อนอาหารไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง ส่วนการบริโภคของกินที่ผลิตขึ้นจากวุ้น อาทิเช่น วุ้นก้อนรวมทั้งเส้นวุ้น สามารถบริโภคพร้อมของกินหรือหลังรับประทานอาหารได้ เพราะเหตุว่าวุ้นดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นได้ผ่านกรรมวิธีแล้วก็ได้ขยายตัวมาก่อนแล้ว และการการที่จะขยายตัวหรือขยายตัวได้อีกนั้นก็เลยเป็นได้ยาก ส่วนในเรื่องของค่าทางโภชนาการนั้นพบว่าวุ้นบุกไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เนื่องด้วยไม่มีการสลายตัวเป็นน้ำตาลในร่างกาย และไม่มีวิตามินและธาตุ หรือสารอาหารอะไรก็แล้วแต่ที่มีคุณประโยชน์ต่อสภาพทางด้านร่างกายเลยกลูโคแมนแนนส่งผลทำให้การดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันลดน้อยลง ซึ่งจะไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวมได้ แต่จะไม่เป็นผลต่อการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในน้ำ
การกินผงวุ้นบุกในจำนวนมาก อาจจะก่อให้มีอาการท้องเดินหรือท้องเฟ้อ มีลักษณะหิวน้ำมากยิ่งกว่าเดิม บางคนอาจมีอาการอ่อนเพลียเนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงได้http://www.disthai.com/

6

บุก สมุนไพรไทย เพื่อหลีกไกล เรื่องอ้วนๆ
บุก มาแล้ว ! บุกมาแล้ว !  รีบหนีเร็ว  เอ๊ะยังไงนี่ พวกเรากำลังดูหนังสงครามอยู่เหรอ เปล่าครับผม บุกในที่นี้ไม่ได้ถึงศัตรูบุก แต่หมายความว่าหัวบุก สมุนไพรไทยบ้านพวกเรา ต่างหาก และก็ที่ต้องหนี ไม่ใช่คนใดตรงไหน แต่เป็นโรคฮอตฮิตในปัจจุบันอย่างโรคอ้วน โรคเบาหวาน ต่างหากที่จำต้องหนีไป
บุก ส่วนที่เห็นเป็น หัวบุก ทีแรกเรื่องของบุกในเมืองไทย มันก็ไม่ได้แพร่หลายหรือเป็นยอดนิยมราวกับตอนนี้เพราะเหตุว่าจริงๆตอนแรกมันก็เป็นพืชพื้นบ้านอยู่ดี  คนในเขตแดนก็นำบุกมาทำกับข้าว เหมือนเผือก เสมือนมันทั่วๆไปเพียงพอเริ่มมีคนมาวิจัย   คุณประโยชน์ต่างๆของมัน เลยแปลงเป็นพืชสมุนไพรไทยที่ได้รับความนิยม มีการดัดแปลงเป็นแบบอย่างต่างๆตั้งแต่สารสกัด บุกผง วุ้นบุก แล้วก็อื่นๆอีกมากมาย วันนี้เองก็น่าจะไม่ช้าเหลือเกินที่จะนำทุกคนมารู้จะ พืชสมุนไพรไทย ที่เรียกว่าบุกกันแบบลึกซึ้งมารู้จะบุกกัน
ชื่อไทย   บุก
ชื่อสามัญ  Konjac ,  devil’s tongue  (ลิ้นผี  น่าสยองนะครับชื่อนี้ คาดว่ามาจากรูปแบบของดอกบุก )   , shade palm, umbrella arum
ชื่อวิทยาศาสตร์      Amorphophallus rivieri Durieu cv. Konjac
ชื่อวงศ์    ARACEAE
ชื่อตามเขตแดน  :  บุกลุกงคก (จังหวัดชลบุรี) เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน) มันซูรัน (ภาคดลาง)  หัวบุก (จังหวัดปัตตานี) บุกคางคก  (ภาคกึ่งกลาง, เหนือ) บุกหนาม บุกหลวง (แม่ฮ่องสอน)  กระบุก (อิสาน)
เราพบบุกถึงที่เหมาะไหน
บุกเป็นพืชป่าล้มลุกที่เจอทั่วไปทุกภาคของประเทศ โดยขึ้นอยู่ตาม ชายป่า รวมทั้งบางคราวก็พบตามพื้นที่ ปลูกข้าว อาทิเช่นที่จังหวัดปทุมธานี และนนทบุรี เป็นต้น บุกขึ้นได้ในภาวะดินทุกชนิด แต่ว่าจะเจริญวัยเจริญให้หัวขนาด ใหญ่ได้ในดินที่ร่วนซุย น้ำไม่ขังรวมทั้งดินที่มีฮิวมัส หรืออินทรียวัตถุสูง
รูปแบบของต้นบุก
ลักษณะของต้น บุก แสดงให้เห็นองค์ประกอบเป็นใบบุก แล้วก็หัวบุกลำต้นใต้ดิน  บุกมีลำต้นใต้ดินหรือที่เราเรียกแบบง่ายๆก็คือ หัวบุก  ลักษณะเดียวกันกับเรียกหัวเผือก หัวมัน ขนาดอยู่ที่ราวๆ 25 ซม. (บางพันธ์บางทีอาจเล็กมากยิ่งกว่านี้ )ทรงกลมแป้นลักษณะทรงเดียวกับลูกฟักทอง แม้กระนั้นบางสายพันธ์มีลักษณะพิเศษแตกต่างออกไป  ซึ่งส่วนนี้เอง เป็นใช้ที่สะสมของกินของบุก
 ใบบุก  ลักษณะเหมือนใบมะละกอ มีสีเขียวเข้ม บางชนิดมีก้านใย เป็นลวดลายบางจำพวกมีหนามอ่อนๆ หรือบางครั้งบางคราวบุกบางประเภทก็มีใบมีจุดแบบไข่ปลาสีขาวด้านบน  จะมีความคิดเห็นว่าใบบุกมีใบลักษณะที่มากมายมาก  แม้กระนั้นที่เด่นๆดูง่ายว่าเป็บุกเป็น จะมีก้านตรงจากกึ่งกลางของหัว เมื่อโผล่จากดินแล้วแผ่กางออก 3 ทาง มีรูปทรงแผ่กว้างแบบร่ม แม้กระนั้นบาง ประเภทจะแปลกตรงที่กลับขึ้นด้านบนเหมือนหงายร่ม ด้วยเหตุนี้ลักษณะของใบบุก มีหลายแบบขึ้นอยู่กับจำพวกของบุก
ดอกของบุกลักษณะดอกดอกเหมือนต้นหน้าวัว แต่ละประเภทมีขนาด สี และรูป ทรงแตกต่างกัน บางชนิดมีดอกใหญ่มาก โดยยิ่งไปกว่านั้นบุกคางคก ดอกบุกมีกลิ่น เหม็นราวกับเนื้อสัตว์เน่า บุกจำพวกอื่นๆมีดอกเล็กก้านดอกจะโผล่ขึ้นตรง จากกึ่งกลางหัวบุก เหมือนกันกับก้านใบ บุกมักจะมีดอกในช่วงปลายหน้าแล้ง แต่บุกสามารถมีดอกได้ในช่วง เวลาต่างๆกัน ช่วงเวลาสำหรับเพื่อการแก่สุดกำลัง ของดอกที่จะติดผลก็ไม่เหมือนกัน
 ผลบุก (อย่างวยงงกับหัวบุกนะ ) ภายหลังดอก สืบพันธุ์ก็จะเป็นผล ผลอ่อนของบุก มีสีขาวอมเหลือง พอเพียงอายุ ได้ 1-2 เดือน จะส่งผลสีเขียวเข้ม มีจุดดำที่ปลายเหมือนผลกล้วย ผล ของบุกส่วนใหญ่จะมีลักษณะคล้ายกัน แต่เมล็ดด้านในต่างกัน พบว่าส่วนใหญ่มีเม็ดเป็นรูปทรงอูมยาว  บุกบางประเภทก็มีเมล็ดในกลม   ผลแก่ของบุกจะมีสีแดงหรือแดงส้ม

บุกกับการนำมาเข้าครัว
เป็นพืชของกินพื้นเมืองซึ่งคนไทยนำเอาก้านใบมาแกงส้ม ลวกจิ้มน้ำพริก     ส่วนหัวบุกมีการนำไปดัดแปลงปรับปรุงแก้ไขตามแต่ละภูมิภาค ตัวอย่างเช่นทางภาคอีสาน มีการทำของหวานที่เรียกว่าขนมบุก แกงบรรพชามันบุก แกงอีสาน (แกงลาว)   ภาคตะวันออกจะมีการฝาน หัวบุกเป็นแผ่น บางบาง แล้วนำมานึ่งรับประทานกับข้าว ทางภาคเหนือโดยเฉพาะชาวเขา มักเอามา ปิ้งรับประทาน ภาคกึ่งกลางมักนำหัวบุกที่ฝานเป็นชิ้นบางๆมาแช่น้ำปูน แช่น้ำก่อนล้างหลายๆครั้งและหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปทำเป็นขนมหวาน
*บุกมีหลายแบบหลายพันธุ์ บางทีอาจขมและเป็นพิษ ทุกประเภทมีผลึกแคลเซียมออกซาเลต (calcium oxalate) ทั้งที่ก้านใบรวมทั้งหัว ซึ่งอาจส่งผลให้คัน ก่อนนำมาประกอบอาหารจะต้องต้มซะก่อน ไม่อย่างนั้นรับประทานเข้าไปทำให้คันปากและลิ้นพอง
ของกินที่ดัดแปลงมาจากบุก
เดี๋ยวนี้มีการนำบุกมาดัดแปลง ในรูปแบบของเส้นบุก ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ดัดแปลงจากท่อนหัวบุก มีแบบเส้นใส สามารถเอามาปรุงเป็นอาหารจานอร่อยได้ ผมว่าใครกันแน่เคยไปรับประทานเนื้อย่างอาจจะเคยเจอบ้าง นอกจากเส้นบุกแล้วมีการนำมาผสมเครื่องดื่มต่างๆเอาแบบได้รับความนิยมๆอดีต คือ เจเล่ ผสมผงบุก หากจำไม่ผิดอันนี้เขามาทำเป็นรายแรก (ผู้ครอบครองบริษัทผ่านมาอ่านขอค่าโฆษณาด้วยครับ)
คุณประโยชน์ของบุก
จากการศึกษาเล่าเรียนพบว่า  แป้งบุกเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน พวกกลูวัวแมนแนน (glucomannan) เป็นสารโมเลกุลใหญ่ (polysaccharides)ที่ประกอบด้วยน้ำตาล 2 ประเภทเป็นดี-เดกซ์โทรส (D-glucose) รวมทั้ง (D-mannose) เป็นสารที่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพในรูปของใยอาหาร (dietary fiber)  ซึ่งดูดน้ำได้มาก แม้กระนั้นร่างกายเสื่อมสภาพได้ยาก ซับได้ช้า ก็เลยให้พลังงานและก็สารอาหารน้อย เหลือกากมาก ทำให้ระบบขับถ่ายปฏิบัติงานดี ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักนิยมทานอาหารจากแป้งบุก ดังเช่นว่า วุ้นเส้นบุก เส้นหมี่แป้งหัวบุก ด้วยเหตุว่ากินอิ่มได้ ระบายท้อง แต่ว่าไม่ทำให้อ้วน
ยิ่งไปกว่านี้เองเจ้า สารกลูวัวแมนแนนนี้ สามารถลดปริมาณน้ำตาลในเลือดได้ ก็เพราะว่าความเหนี่ยว ซึ่งยับยั้งการดูดซึมของกลูโคลสจากทางเดินอาหาร ยิ่งเหนียวหนืดมาก็ยิ่งส่งผลลดการดูดซึมกลูโคลส ฉะนั้น กลูโคแมนแนนช่วยลดน้ำตาลได้ดีมากมาย ตอนนี้ก็เลยใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นอาหารสำหรับคนเจ็บเป็นโรคโรคเบาหวาน และสำหรับผู้เจ็บป่วยเป็นโรคมีไขมันในเลือดสูง
นี่แหละครับผมคือผลดีจากบุก ทดลองหามาทานกันครับ มีสาระขนาดนี้ สมัยปัจจุบันไม่หายากแล้วเดินไปห้าง ก็ได้บุกเส้นแล้ว แนะนำมามายำแบบยำวุ้นเส้นครับผม รับประกันอร่อยแท้ๆ http://www.disthai.com/

Tags : สมุรไพรบุก

7

บุก (Amorphophallus spp.) มีชื่อสามัญว่า Konjac (คอนจัค)12 ในไทยจะใช้บุกที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson หรือที่เราเรียกว่า “บุกคางคก” ซึ่งเป็นพืชวงศ์เดียวกันกับบุกจำพวกที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus konjac K.Koch แต่ว่าต่างจำพวกกัน ซึ่งมีคุณลักษณะและคุณประโยชน์ทางยาที่ใกล้เคียงกัน และก็สามารถนำมาใช้แทนกันได้
บุก
บุก ชื่อสามัญ Devil’s tongue, Shade palm, Umbrella arum
บุก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus konjac K.Koch (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus rivieri Durand ex Carrière) จัดอยู่ในสกุลบอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุก มีชื่อเรียกอื่นว่า หมอ ยวี จวี๋ ยั่ว (จีนแต้จิ๋ว), แพทย์ยื่อ (ภาษาจีนกลาง) ฯลฯ
ต้นบุก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกที่มีอายุหลาย ลำต้นแทงขึ้นมาจากหัวใต้ดิน มีความสูงของต้นราว 50-150 ซม. หัวที่อยู่ใต้ดินนั้นมีขนาดใหญ่ รูปแบบของหัวเป็นรูปค่อนข้างจะกลมแบนน้อย หรือกลมแป้น มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางโดยประมาณ 25 ซม. ผิวเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ลำต้นรวมทั้งแขนงมีลักษณะกลมใหญ่ เปลือกลำต้นเป็นสีเขียวมีลายทาสีขาวปะปนอยู่
หัวบุก
ใบบุก ใบเป็นใบประกอบแบบขน มีใบย่อยเรียงสลับ รูปแบบของใบเป็นรูปไข่กลมรี ปลายใบแหลม ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดยาวราวๆ 15-20 เซนติเมตร
ใบบุก
ดอกบุก ออกดอกเป็นดอกลำพัง ลักษณะของดอกเป็นทรงทรงกระบอกกลมแบน มีกลิ่นเหม็น สีม่วงแดงอมเขียว มีกาบใบยาวโดยประมาณ 30 ซม. สีม่วงอมเหลือง โผล่ขึ้นพ้นจากกลีบเลี้ยงที่มีสีม่วง
ผลบุก ลักษณะของผลเป็นรูปกลมแบน เมื่อสุกจะเป็นสีส้ม
ดอกและก็ผลบุก
บุกคางคก
บุกคางคก ชื่อสามัญ Stanley’s water-tub, Elephant yam
บุกคางคก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus campanulatus Decne.) จัดอยู่ในตระกูลบอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุกคางคก มีชื่อแคว้นอื่นๆว่า บุกหลวง บุกหนาม เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน), บักกะเดื่อ (สกลนคร), กระบุก (บุรีรัมย์), บุกคางคก บุกปะทุงคก (ชลบุรี), หัวบุก (จังหวัดปัตตานี), มันซูรัน (ภาคกึ่งกลาง), บุก (ทั่วๆไป), กระแท่ง บุกคอย หัววุ้น (ไทย), บุกอีรอกเขา ฯลฯ
ต้นบุกคางคก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกจำพวกกะแท่งหรือเท้าคุณยายม่อมหัว แก่ได้นานนับเป็นเวลาหลายปี มีความสูงของต้นโดยประมาณ 5 ฟุต มีลักษณะของลำต้นอ้วนแล้วก็อวบน้ำไม่มีแก่น ผิวขรุขระ ลำต้นกลมและมีลายเขียวๆแดงๆลักษณะก็จะคล้ายกับคนเป็นโรคผิวหนัง ต้นบุกนั้นเพาะพันธุ์ด้วยแนวทางแยกหน่อ พรรณไม้จำพวกนี้จะเจริญงอกงามในช่วงฤดูฝน รวมทั้งจะโรยราไปในช่วงต้นหน้าหนาว ในประเทศไทยมักพบขึ้นเองตามป่าราบริมฝั่งแล้วก็ที่อำเภอศรีราชา ส่วนในต่างชาติบุกคางคกนั้นเป็นพืชประจำถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เจอได้ตั้งแต่ศรีลังกาไปจนกระทั่งอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์
ต้นบุกคางคก
หัวบุกคางคก คือส่วนของหัวที่อยู่ใต้ดิน มีลักษณะออกจะกลมและมีขนาดใหญ่สีน้ำตาล ผิวตะปุ่มตะป่ำ เส้นผ่าศูนย์กลางของหัวบุกนั้นจะมีขนาดตั้งแต่ 15 ซม.ขึ้นไป เนื้อในหัวเป็นสีเหลืองอมชมพู สีชมพูสด สีขาวขุ่น สีครีม สีเหลืองอ่อน สีเหลืองอมขาวละเอียดและก็เป็นมูกลื่น มียาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวสด หากสัมผัสเข้าจะก่อให้เกิดอาการคันได้ ก่อนนำมาปรุงเป็นอาหารนั้นจึงจะต้องทำให้เป็นเมือกโดยการต้มในน้ำเดือดเสียก่อน โดยน้ำหนักของหัวนั้นมีตั้งแต่ 1 กรัม ไปจนถึง 35 กิโล
บุกคางคก
ใบบุกคางคก ใบเป็นใบโดดเดี่ยว ออกที่ปลายยอดของต้น ใบแผ่ขยายออกเหมือนกางร่มแล้วหยักเว้าเข้าพบเส้นกึ่งกลางใบ ส่วนขอบของใบจะเว้าลึก ก้านใบกลม อวบน้ำและยาวได้ราวๆ 150-180 ซม.
ใบบุกคางคก
ดอกบุกคางคก มีดอกเป็นช่อ ดอกแทงขึ้นมาจากพื้นดินบริเวณของโคนต้น เป็นแท่งมีลายสีเขียวหรือสีแดงแกมสีน้ำตาล (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์) ดอกออกเป็นช่อ แทงขึ้นมาจากหัวที่อยู่ใต้ดิน ก้านช่อดอกสั้น มีใบแต่งแต้มเป็นรูปหุ้มช่อดอก ขอบหยักเป็นคลื่นรวมทั้งบานออก ปลายช่อดอกเป็นรูปกรวยคว่ำขนาดใหญ่ ยับเป็นร่องลึก สีแดงอมน้ำตาลหรือสีม่วงเข้ม ดอกเพศผู้อยู่ตอนบน ส่วนดอกเพศเมียอยู่ตอนล่าง ดอกมีกลิ่นเหม็นคล้ายซากสัตว์เน่า
ดอกบุกคางเรือนจำ
ผลบุกคางคก ผลได้ผลสด เนื้อนุ่ม ลักษณะของผลเป็นรูปทรงรียาว ขนาดยาวราว 1.2 เซนติเมตร ผลมีมากมายติดกันเป็นช่อๆ(สิบถึงร้อยร้อยผลต่อหนึ่งช่อดอก)ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนสีเหลือง สีส้ม จนกระทั่งสีแดง ข้างในผลมีเม็ดราว 1-3 เม็ด โดยมีสันขั้วเม็ดของแม้กระนั้นเม็ดแยกออกจากกัน เม็ดมีลักษณะกลมรีหรือเป็นรูปไข่
สรรพคุณของบุก
หัวบุกมีรสเผ็ด เป็นยาร้อน มีพิษ ออกฤทธิ์ต่อม้าม ตับ และระบบทางเดินอาหาร มีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นโลหิต (หัว)
ใช้เป็นของกินสำหรับคนไข้โรคเบาหวานและผู้ป่วยโรคไขมันในเลือดสูง ด้วยการแยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วชงกับน้ำ โดยให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว เอามาชงกับน้ำดื่มก่อนที่จะกินอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ
หัวใช้เป็นยารักษาโรคมะเร็ง (หัว)
ใช้เป็นยาแก้ไข้จับสั่น (หัว)
ช่วยแก้อาการไอ (หัว)
หัวใช้เป็นยากัดเสลด ละลายเสมหะ ช่วยกระจายเสลดที่อุดตันบริเวณหลอดลม (หัว)
หัวบุกมีรสเบื่อคัน ใช้เป็นยากัดเสมหะเถาดาน รวมทั้งเลือดจับกันเป็นก้อน (หัว)
หัวนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้โรคท้องมาน (หัว)
ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร (ราก)
ช่วยแก้เมนส์ไม่มาของสตรี (หัว)6 ช่วยขับระดูของสตรี (ราก)
หัวนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้โรคตับ (หัว)
ใช้แก้พิษงู (หัว)
ใช้เป็นยาแก้แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก (หัว)
หัวใช้หุงเป็นน้ำมัน ใช้ใส่บาดแผล กัดฝ้ารวมทั้งกัดหนองก้าวหน้า (หัว)1,2,3,4 บางข้อมูลบอกว่ารากใช้เป็นยาพอกฝีได้ (ราก)
ใช้แก้ฝีหนองบวมอักเสบ (หัว)6
หัวใช้เป็นยาพาราบวม แก้ฟกช้ำ (หัว)
บุก เป็นสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์ยิ่งกว่าไวอากร้า หรือเป็นยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ โดยคุณนิล ปักษา (บ้านหนองพลวง ตำบลโคกกลาง อำเภอลำปลายกาญจน์ จังหวัดจังหวัดบุรีรัมย์) ชี้แนะให้ลองพิสูจน์ ด้วยการเอาไม้พาดปากหม้อแล้วนำสมุนไพรบุกคางคก เอาพวงเม็ดนำมาปิ้งไฟให้หอมก่อน แล้วใช้ผูกกับไม้แขวนจุ่มลงไปในหม้อต้มใส่น้ำเพียงพอท่วมเมล็ดบุก ต้มกระทั่งเม็ดบุกร่วงลงหม้อ ตัวยาก็จะไหลลงมาด้วย เมื่อเดือดแล้วหลังจากนั้นก็ให้เพิ่มน้ำตาลทรายแดงพอควรลงไปต้มให้เพียงพอหวาน หลังจากนั้นลองชิมดู ถ้าเกิดยังมีลักษณะคันคออยู่ก็ให้เติมน้ำตาลเพิ่มแล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยชิมใหม่ ถ้าหากไม่มีอาการคันคอก็แสลงว่าใช้ได้ แล้วก็ให้นำสมุนไพรโด่ไม่รู้เรื่องล้มใส่เข้าไปด้วยราวๆ 1 กำมือ แล้วต้มให้เดือด ปล่อยให้เย็นและเก็บไว้ภายในตู้เย็น ใช้ดื่ม 1 เป็ก ราว 30 นาที จะปวดท้องเยี่ยวโดยธรรมชาติ หลังจากอาวุธนั้นจะพร้อมสู้ทันที (ผล)
หมายเหตุ : สำหรับวิธีการใช้ให้แยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วเอามาชงกับน้ำดื่ม ส่วนขนาดที่ใช้นั้นให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว ชงกับน้ำกินก่อนที่จะรับประทานอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ2 ส่วนการใช้ตาม 6 ให้ใช้ครั้งละ 10-15 กรัม (เข้าใจว่าคือส่วนของหัว) นำมาต้มกับน้ำนาน 2 ชั่วโมง ก็เลยสามารถเอามารับประทานได้ ถ้าเกิดเป็นยาสดให้ใช้ตำพอกหรือนำมาฝนกับน้ำส้มสายชู หรือต้มเอาน้ำใช้ชำระล้างบริเวณที่เป็นแผล
ในเนื้อหัวบุกป่าจะมีผลึกของแคลเซียมออกซาเลท (Calcium oxalate) เป็นจำนวนมาก ที่นำไปสู่อาการคัน ส่วนเหง้ารวมทั้งก้านใบถ้าเกิดปรุงไม่ดีแล้วกินเข้าไปจะก่อให้ลิ้นพองแล้วก็คันปากได้8ก่อนเอามารับประทานจะต้องกำจัดพิษออกก่อน และไม่รับประทานกากยาหรือยาสด6
ขั้นตอนการกำจัดพิษจากหัวบุก ให้นำหัวบุกมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆตำพอแหลก คั้นเอาน้ำออกพักไว้ นำกากที่ได้ไปต้มน้ำ แล้วคั้นเอาแต่น้ำ นำไปผสมกับน้ำที่คั้นทีแรก แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปต้มกับน้ำปูนใสเพื่อพิษหมดไป เมื่อเดือดก็พักไว้ให้เย็น จะจับกุมตัวกันเป็นก้อน ก็เลยสามารถใช้ก้อนดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นในการปรุงอาหารหรือนำไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นยาได้6ถ้าหากอาการเป็นพิษจากการกินบุก ให้รับประทานน้ำส้มสายชูหรือชาแก่ แล้วตามด้วยไข่ขาวสด แล้วให้รีบไปพบหมอ
เพราะวุ้นบุกสามารถขยายตัวได้มาก (ไม่ต่ำยิ่งกว่า 20 เท่าของเนื้อวุ้นแห้ง) ก็เลยไม่สมควรบริโภควุ้นบกคราวหลังการรับประทาน แม้กระนั้นให้รับประทานก่อนรับประทานอาหารไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง ส่วนการบริโภคอาหารที่ผลิตขึ้นจากวุ้น ยกตัวอย่างเช่น วุ้นก้อนและเส้นวุ้น สามารถบริโภคพร้อมของกินหรือหลังรับประทานอาหารได้ เนื่องจากว่าวุ้นดังที่กล่าวถึงมาแล้วได้ผ่านวิธีแล้วก็ได้ขยายตัวมาก่อนแล้ว และก็การการที่จะขยายตัวหรือพองตัวได้อีกนั้นจึงเป็นไปได้ยาก ส่วนในเรื่องของค่าทางโภชนาการนั้นพบว่าวุ้นบุกไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เหตุเพราะไม่มีการเสื่อมสภาพเป็นน้ำตาลภายในร่างกาย และไม่มีวิตามินแล้วก็ธาตุ หรือสารอาหารใดๆที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายเลยกลูวัวแมนแนนมีผลทำให้การดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันน้อยลง (เช่น วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค) ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดผลเสียและไม่ดีต่อสุขภาพโดยรวมได้ แต่จะไม่เป็นผลต่อการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในน้ำ (เช่น วิตามินบีรวม วิตามินซี)
การกินผงวุ้นบุกในปริมาณมาก อาจส่งผลให้มีลักษณะอาการท้องร่วงหรือท้องเฟ้อ มีลักษณะอาการหิวน้ำมากยิ่งกว่าเดิม บางคนอาจมีอาการอ่อนเพลียเพราะว่าระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงได้

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของบุก
สารที่เจอ อย่างเช่น สาร Glucomannan, Konjacmannan, D-mannose, Takadiastase, แป้ง, โปรตีนบุก, วิตามินบี, วิตามินซี และก็ยังเจอสารที่เป็นพิษหมายถึงConiine, Cyanophoric glycoside ก้านบุกพบสาร Uniine รวมทั้งวิตามินบีที่ก้านช่อดอก6 แล้วก็หัวบุกยังมีโปรตีนอยู่ปริมาณร้อยละ 5-6 รวมทั้งมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูงปริมาณร้อยละ 672หัวบุกมีสารสำคัญหมายถึงกลูวัวแมนแนน (Glucomannan) เป็นสารชนิดคาร์โบไฮเดรต ซึ่งมีกลูโคส แมนโนส และก็ฟรุคโตส สารกลูโคแมนแนนสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ เนื่องด้วยมีความเหนียว ช่วยยั้งการดูดซึมของกลูโคสจากทางเดินอาหาร ยิ่งหนืดมากก็ยิ่งมีผลการดูดซึมเดกซ์โทรส ด้วยเหตุนี้ กลูวัวแมนแนน ซึ่งเหนียวกว่า gua gum ก็เลยสามารถลดน้ำตาลได้ดียิ่งไปกว่า จึงใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นของกินสำหรับผู้เจ็บป่วยเบาหวานแล้วก็สำหรับผู้ที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูงสารกลูโคแมนแนน (Glucomannan) จะมีจำนวนแตกต่างกันออกไปตามชนิดของบุก5
แป้งจากหัวบุกนั้นประกอบไปด้วยกลูโคนแมนแนนประมาณ 90% และก็สิ่งแปลกปลอมอื่นๆเป็นต้นว่า alkaloid, starch, สารประกอบไนโตเจนต่างๆsulfates, chloride, และก็พิษอื่น โมเลกุลของกลูโคแมนแนนนั้นหลักๆแล้วจะประกอบไปด้วยน้ำตาลสองประเภท คือ เดกซ์โทรส 2 ส่วน และแมนโนส 3 ส่วน โดยประมาณ เชื่อมต่อกันระหว่างคาร์บอนตำแหน่งที่ 1 ของน้ำตาลชนิดลำดับที่สอง กับคาร์บอนตำแหน่งที่ 4 ของน้ำตาลจำพวกแรกแบบ ?-1, 4-glucosidic linkage ซึ่งต่างจากแป้งที่เจอในพืชทั่วๆไป ก็เลยผิดย่อยโดยกรดแล้วก็น้ำย่อยในกระเพาะ เพื่อให้น้ำตาลที่ให้พลังงานได้8 นอกเหนือจากกลูวัวแมนแนนจะพบได้ในบุกแล้ว ยังเจอได้ในว่านหางจระเข้อีกด้วย9
กลูโคแมนแนน (Glucomannan) สามารถดูดน้ำรวมทั้งขยายตัวได้มากถึง 200 เท่า ของจำนวนเดิม เมื่อพวกเรารับประทานกลูโคแมนแนนก่อนอาหารครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงครั้งละ 1 กรัม กลูวัวแมนแนนจะดูดน้ำที่มีมากมายในกระเพาะของพวกเรา แล้วเกิดการขยายตัวจนกระทั่งทำให้เรารู้สึกอิ่มของกินได้เร็วและก็อิ่มได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้เรากินได้ลดน้อยลงกว่าปกติด้วย ทั้งกลูวัวแมนแนนจากบุกก็มีพลังงานต่ำมากมาย กลูวัวแมนแนนก็เลยช่วยสำหรับเพื่อการควบคุมน้ำหนักและเป็นอาหารของคนที่อยากได้ลดน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยม8
เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่รับประทานทีละ 15 กรัม ต่อ 1 กิโลกรัม ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 2-3 สัปดาห์ พบว่าระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดของหนูน้อยลงคิดเป็น 44% และก็ Triglyceride ลดลงคิดเป็น 9.5%6
สาร Glucomannan มีฤทธิ์ซับน้ำในกระเพาะและลำไส้ก้าวหน้ามากมาย และก็ยังสามารถไปกระตุ้นน้ำย่อยในไส้ให้มากขึ้น ทำให้มีการขับของที่ค้างในลำไส้ได้เร็วขึ้น6สารสกัดแอลกอฮอล์จากหัวบุก สามารถยั้งการก้าวหน้าของเชื้อวัณโรคในหลอดแก้วได้5
เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่ที่มีอาการบวมที่ขารับประทานครั้งละ 15 กรัม ต่อ 1 กก. พบว่าอาการบวมที่ขาของหนูลดลง6
คุณประโยช์จากบุกชาวไทยพวกเรานิ http://www.disthai.com/

8

น้ำมันเหลือง คืออะไร?
น้ำมันเหลือง ยาแผนโบราณจากพืชสมุนไพรประสิทธิภาพเยี่ยม ทำมาจากพืชสมุนไพรชนิดต่างๆกัน สรรพคุณที่ใช้ดม ทา นวด เพื่อบรรเทาอาการต่างๆคุณประโยชน์นี้ไม่เป็นรองยาแผนปัจจุบันเลยทีเดียว
บริการนวดน้ำมันเหลืองและก็จำนวนมากสร้างความแข็งแรง ระบบภูมิต้านทานรวมทั้งช่วยสำหรับในการย่อยอาหารดียิ่งขึ้น.
ศิลปะที่งดงามของการนวดได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นด้วยการนวดน้ำมันบางมากมาย. น้ำมันนวดแต่ละคนมีคุณสมบัติรักษาโรคต่างๆที่มีเพื่อให้บริการด้านต่างๆสำหรับเพื่อการรักษาร่างกายและจิตใจของคุณอีกด้วย. เลือกน้ำมันที่ดีที่สุดสำหรับสิ่งที่จำเป็นเฉพาะบุคคลของคุณแล้วก็บรรเทาร่างกายของคุณด้วยการนวดผ่อนคลายและฟื้นฟูอย่างสม่ำเสมอ, เพื่อรักษาความสมดุลทางจิตใจวิญญาณของคุณและก็สุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงที่สุดของร่างกายของคุณ.
คุณประโยชน์ซึ่งมาจากการนวดน้ำมัน
นวดจริงซึ่งก็คือการกระตุ้นเยื่อของร่างกายด้วยมือ, เพื่อช่วยเหลือสุขภาพและฟื้นฟูให้ร่างกายทั้งปวง. น้ำมันนวดถูกวางแบบมาเพื่อมือเลื่อนได้ง่ายขึ้นในระหว่างนวด และก็ในเวลาเดียวกันเครื่องหอมอโรมาให้รู้สึกดีและผ่อนคลายมากที่สุดสำหรับทั้งร่างกายและจิตใจ. อ่านต่อไปเพื่อหารายละเอียดอื่นๆเกี่ยวกับประโยช์จากการนวดน้ำมันเหลืองแล้วก็ผ่อนคลายร่างกายของคุณที่มีประสบการณ์นวดมีชีวิตชีวา.
การใช้นำมันนวดตามจุดต่างๆ
การนวด[url=https://www.charmingfresh.com/product/49/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3https://www.chiangdaonaturefood.com/product/45/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3]น้ำมันเหลือง[/url]เป็นแนวทางในการดูแลภาวะผิวรวมทั้งสุขภาพที่ขอเสนอแนะเป็นการนวด ที่สกัดจากสมุนไพรและก็พืชต่างๆที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพ โดนการนำสารสกัดกลิ่นแล้วก็เนื้อน้ำมันเหล่านั้นมานวดตามจุดต่างๆของร่างกายด้วยกลิ่นหอม และก็สัมผัสของของน้ำมันที่เต็มไปด้วยธรรมชาติจะเข้าไปช่วยกระตุ้นระบบต่างๆของร่างกาย ลดความเครียด ทำให้พวกเราผ่อนคลาย น้ำมันเหลือง รวมถึงช่วยในเรื่องของความชุ่มชื้นและก็ผิวพรรณให้ดูดีขึ้นด้วย วันนี้พวกเราจะพาไปดูคุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากการนวดน้ำมันว่ามีคุณประโยชน์ในด้านใดบ้าง
          ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ ผลิตจากสมุนไพรแท้ 100% ไม่มีส่วนผสมจากสเตอรอยด์หรือสารเคมีอันตรายใด  ซึ่งก็มีข้อที่ไม่อนุญาตจำกัดอยู่ด้วยเหมือนกันสำหรับการใช้ ซึ่งในกรณีที่มีการแพ้สาร Notoginsenoside, Flavonoid, การบูร
มาดูคุณประโยชน์ซึ่งมาจากน้ำมันนวดกันค่ะ

  • ปวดต้นคอ บ่า ไหล่ จากการนั่งทํางานนานๆทํางานหน้าคอมฯ Office syndrome ฯลฯ
  • คนทํางานที่จำเป็นต้องใช้กล้ามเนื้อ ตัวอย่างเช่น ชูของหนัก
  • นักกีฬา หรือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการออกกําลังกาย
  • นักเดินทาง นักท่องเที่ยว
  • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับ กระดูก ข้อต่อ เส้นเอ็น กล้าม อย่างเช่น ข้อเข่าอักเสบ, เอ็นอักเสบ, กระดูกทับ เส้นประสาท เป็นต้น


        น้ำมันเหลือง ซึ่งเรามาดูผลข้างเคียงจากการทานยาคลายกล้ามเนื้อกันนะคะ เพราะเหตุใดถึงจำเป็นต้องเลือก น้ำมันนวดเนื่องจากว่า ยาคลายกล้ามเนื้อปกติที่เราทาน ทำให้กล้ามเนื้อรู้สึกหายเป็นปกติจริง เราจะมีความรู้สึกว่ามันหายเป็นปกติ และออกกำลังกายได้ปกติไม่เจ็บ แม้กระนั้นอันที่จริงแล้วกล้ามเนื้อยังอักเสบอยู่ ถ้าหากพวกเรายังคงใช้งานกล้ามดังเดิมจะมีผลให้กล้ามเนื้ออักเสบเยอะขึ้น การที่รับประทานยาแล้วออกกำลังกายส่วนนั้นต่อเป็นเวลานานๆเข้า ก็บางทีอาจจะอัดเสบเรื้อรังได้ อันนี้เป็นข้อผลกระทบในทางร้ายทางอ้อมมาจากการทานยาคลายกล้ามเนื้อน้ำมันเหลือง ซึ่งคนโดยมากและจากนั้นก็จะใช้กล้ามหรือดำเนินการธรรมดาทุกอย่างเพราะเราไม่ทราบสึกปวดหรือเจ็บแล้ว ซึ่งมันเป็นอะไรที่ไม่ถูกเนื่องจากการทานยาคลายกล้ามเนื้อยาเมื่อพวกเราทาน
นํ้ามันนวด ตัวนี้เหมาะกับใครบ้าง?

  • ผู้ได้รับบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา
  • คนที่ปวดเมื่อยจากการทำงานหนัก
  • ปวดมือและก็คอจากการเล่นมือถือ
  • ปวดหลังจาก Office syndrome
  • ปวดข้อจากโรคเกาท์
  • ผู้ที่ปวดเข่าจากโรคข้อต่ออักเสบ
  • ผู้ที่ปวดขาจากการเดิน Shopping
  • เจ็บจากการเล่นกีฬา
  • ตีดอท จนกระทั่งปวดมือ
  • ปวดคอจากการเล่นมือถือ
  • เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวจากการทำงานหนัก
  • ช๊อปจัดหนัก จนถึงปวดขา


          สำหรับคนไหนที่  มีติดบ้านกันไว้ก็ดีนะคะ เนื้อหานี้เป็นเพียงรีวิวการใช้สินค้า ซึ่งเป็นความความเห็นส่วนตัวแค่นั้นนะคะมิได้ขายคอแต่อย่างใด พวกเราใช้แล้วเห็นผลจริงจึงมาบอกต่อซึ่ง เนื้อหานี้พวกเราได้หาข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บต่างๆนะคะ น้ำมันเหลืองเพื่อมาประกอบสำหรับในการรีวิว ซึ่งถ้าเกิดมีจุดบกพร่องประการใด สามารถวิจารณ์และก็แนะนำกันเข้ามาได้ และสามารถติดตามบทความรีวิว ของพวกเราได้เรื่อยๆเลย และก็เราจะมีผลิตภัณฑ์ดีๆตัวไหนมาเสนอแนะอีกห้ามพลาดเป็นอันขาดนะคะ เจอกันในบทความหน้า
การเลือกน้ำมันนวด
การเลือกน้ำมันเหลืองนวดขึ้นอยู่กับการใช้งาน และก็สรรพคุณต่างๆของน้ำมันนวดแต่ละชนิด โดยส่วนใหญ่น้ำมันเบื้องต้นที่นิยมเอามาผสมทำน้ำมันนวด อย่างเช่น น้ำมันที่ผลิตขึ้นมาจากเมล็ดทานตะวัน เป็นต้น ซึ่งมีวิตามินอี สูงขึ้นมากยิ่งกว่าน้ำมันที่ทำขึ้นมาจากถั่วเหลือง รวมทั้งน้ำมันเมล็ดข้าวโพดถึง 3 เท่า วิตามินอี ปฏิบัติภารกิจเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ดักจับ และก็ทำลายของเสียที่รังแกเซลล์ต่างๆของร่างกาย ช่วยทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ลกไขมันในเส้นเลือด ปกป้องการเกิดมะเร็ง น้ำมันเหลือง ยิ่งไปกว่านี้น้ำมันเม็ดดอกทานตะวันยังมีกรดไขมันไม่อิ่ม กรดไลโนเลอิกสูง ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นจะต้องต่อสภาพทางด้านร่างกาย อีกทั้งยังช่วยทำให้ผิวพรรณนุ่มสดชื่น

Tags : น้ำมันเหลือง

9

น้ำมันเหลือง
ประโยชน์จากการนวดน้ำมันเหลือง
น้ำมันเหลิองเป็นการกระตุ้นเยื่อของร่างกายด้วยมือ, เพื่อผลักดันสุขภาพและฟื้นฟูให้ร่างกายทั้งสิ้น. น้ำมันนวดถูกดีไซน์มาเพื่อมือเลื่อนได้ง่ายยิ่งกว่าเดิมในระหว่างนวด แล้วก็ในขณะเดียวกันเครื่องหอมอโรมาให้มีความผ่อนคลายเยอะที่สุดสำหรับทั้งร่างกายและจิตใจ. อ่านถัดไปเพื่อหาน้ำมันเหลืองข้อมูลเพิ่มเติมนอกเหนือจากนี้เกี่ยวกับคุณค่าจากการนวดน้ำมันรวมทั้งทุเลาร่างกายของคุณที่มีประสบการณ์นวดแจ่มใส.
เมื่อมาถึงการนวดน้ำมัน, มีหลายร้อยปิดตัวเลือกที่ไม่เหมือนกันให้เลือก. คุณได้อย่างอิสระสามารถเลือกจากเยอะมากๆน้ำหอมรวมถึงสีที่แตกต่างกันเพื่อบริการ. น้ำมันนวดทุเลา, น้ำมันร้อน, น้ำมันเหลืองกระตุ้นความรู้สึก, น้ำมันหอม
น้ำมันเหลืองจะสามารถพบได้ในตลาดท้องน้ำมันนวดเพื่อคุณสามารถเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับความอยากและความมุ่งมาดปรารถนาของคุณ.
สัมผัสของคนเราสามารถมีการรักษาและพลังความร่าเริงสำหรับผิวรวมทั้งนวดน้ำมันออกจากผิวนุ่มแล้วก็เรียบ. เว้นแต่ความรู้สึกสบาย thei พวกเขาถ่ายทอด, น้ำมันนวดนอกจากนั้นยังมีทางที่น่าประหลาดที่ช่วยทำนุบำรุงผิวของคุณแล้วหลังจากนั้นก็กำจัดจุดแห้งบนผิวของคุณ. ถึงแม้, ข้างหลังการนวด, จะชี้นำให้ใช้เวลาอาบน้ำที่บรรเทาเพื่อล้างน้ำมันออกมาจากร่างกายของคุณ. น้ำ จะยังช่วยผิวรูขุมขนจะเปิดก็เลยช่วยเหลือการดูดซึมของน้ำมันนวดไปสู่ผิวของคุณ. ทดลองมองกันคุณประโยชน์ต่อร่างกายที่สำคัญของการนวดน้ำมันบรรเทา.
ลักษณะของการปวดหายได้อย่างไร เมื่อใช้น้ำมันนวด
ซึ่ง การใช้น้ำมันตัวนี้นะคะ พวกเราเพียงแค่ทาลงไปในส่วนที่พวกเราปวดนะคะ หรือมีการอักเสบของกล้าม เท่านี้จ้ะตัวยาจะซึมเข้าไปทำให้ลักษณะของการปวดปวดเมื่อยน้อยลง อีกอย่างที่สำคัญนะคะ
นํ้ามันเหลือง ตัวนี้เหมาะกับคนไหนกันบ้าง?

  • น้ำมันเหลืองคนได้รับบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา
  • คนที่เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวจากการทำงานหนัก
  • คนที่ปวดมือแล้วก็คอจากการเล่นโทรศัพท์เคลื่อนที่
  • ปวดหลังจาก Office syndrome
  • คนที่ปวดข้อจากโรคเกาท์
  • ผู้ที่ปวดเข่าจากโรคข้อต่ออักเสบ
  • ผู้ที่ปวดขาจากการเดิน Shopping
  • บาดเจ็บจากการเล่นกีฬา
  • ตีดอท จนถึงปวดมือ
  • ปวดคอจากการเล่นโทรศัพท์เคลื่อนที่


นวดน้ำมันเหลืองที่เลิศของคุณบรรเทาร่างกายแล้วก็ส่งเสริมการนอนที่ดีกว่าสำหรับวัน.
หลายๆคนเจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัสจากความไม่ปกติของการนอนหลับต่างๆได้มองเห็นการปรับปรุงแก้ไขในนิสัยการนอนของพวกเขาข้างหลังการรักษาด้วยการนวดน้ำมันเหลืองผ่อนคลาย. น้ำมันนวดกระตุ้นจิตใจและจิตวิญญาณ การบำบัด, น้ำมันเหลืองด้วยเหตุนี้คนส่วนมากมีประสบการณ์การนอนหลับลึกรวมทั้งพักผ่อนเพิ่มมากขึ้น.

Tags : น้ำมันเหลือง

10
อื่น ๆ / การใช้น้ำมันนวดอย่างไรให้ตรงจุด
« เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2018, 03:51:23 AM »

การใช้น้ำมันนวดให้ถูกจุด
นวดศีรษะ


ลดอาการปวดหัวไมเกรน


          น้ำมันนวดสามารถใช้สำหรับผู้ที่เคยทรมาทรกรรมจากลักษณะของการปวดหัวไมเกรนอยู่บ่อย แพทย์ก็ได้เสนอแนะให้ลองไปนวดบรรเทาสุขภาพดูบ้าง เนื่องจากว่าจากผลวิจัยของมหาวิทยาลัยโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ พบว่า คนที่มีลักษณะอาการปวดหัวไมเกรนที่ได้รับบริการนวดตัวต่อเนื่องกัน 2-3 อาทิตย์ จะสามารถทุเลาอาการใกล้กันของโรคไมเกรน รวมทั้งนอนหลับได้อย่างสนิทขึ้นด้วยค่ะ


บรรเทาอาการกล้ามเนื้ออักเสบจากการบริหารร่างกาย


          ในขณะที่ออกกำลังกายอย่างมาก ร่างกายจะได้รับผลกระทบเป็นอาการปวดเมื่อย หรือกล้ามอักเสบเป็นของแถม ซึ่งการเล่าเรียนของ Buck Institute for Research on Aging and McMaster University in Ontario, Canada ก็ได้เปิดเผยวิธีบรรเทาอาการว่า ให้ทดลองไปเอนกายรับบริการนวดตัวดูบ้าง เนื่องจากว่าการนวดจะช่วยคลายกล้ามที่ตึงเครียดจากการออกกำลังกายได้ดิบได้ดีพอๆกับการกินยาคลายกล้ามเนื้ออย่างไรยังงั้นเลยล่ะ


ดูเด็กขึ้น


          ต่อแต่นี้ไปไม่ต้องตรากตรำแอ๊บแบ๊วดึงวัยอีกต่อไป เพราะเหตุว่าเพียงแค่ไปสปาให้เขานวดๆบีบๆร่างกายอยู่เป็นประจำก็สามารถทำให้เราดูเด็กขึ้นได้แล้ว โดยผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังก็ได้ชี้แจงเพิ่มว่า การขัดหน้าหรือนวดหน้า รวมไปถึงนวดตัว เป็นการกระตุ้นให้เลือดภายในร่างกายไหลเวียนดีขึ้น ซึ่งก็ทำให้สุขภาพผิวดีขึ้นด้วย ทั้งการนวดยังช่วยกระตุ้นหลักการทำงานของต่อมท่อน้ำเหลือง ให้กำจัดพิษที่อยู่ใต้ผิวหนังให้หมดไป ทำให้สารอาหารและวิตามินต่างๆซึมไปสู่เซลล์ผิวก้าวหน้าขึ้น ช่วยให้ผิวดูกระปรี้กระเปร่าเต่งตึงได้อีกที รวมไปถึงกำจัดริ้วรอยเหี่ยวย่นรอบๆผิวหน้าได้อีกด้วยนะ


ปกป้องอาการ PMS


          สาวๆทุกคนอาจรู้ว่าอาการ PMS ก่อนมีรอบเดือนนั้นสร้างความทรมานให้กับเราได้มากมายขนาดไหน แต่วันนี้เราไม่จำเป็นต้องกลุ้มใจกับอาการกลุ่มนี้อีกต่อไป ด้วยเหตุว่าผลการศึกษาวิจัยของ Touch Research Institute and University of Miami Medical School พบว่า การนวดตัวสามารถคุ้มครองอาการข้างๆทุกชนิดเวลาที่ผู้หญิงมีเมนส์ได้อยู่มือ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของการปวดน้ำมันนวดหลัง เจ็บท้อง ตัวบวม น้ำหนักขึ้น หรืออาการอารมณ์เสียฉุนเฉียว แม้กระนั้นแนวทางนวดบางทีก็อาจจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกับผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 19-45 ปี แค่นั้นนะคะ


ลดอาการใกล้กันของโรคมะเร็ง


          ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยบอสตันเผยว่า ผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะแพร่ขยายที่ได้รับการนวดตัว จะสามารถนอนหลับก้าวหน้าขึ้น บรรเทาลักษณะของการเจ็บปวด รวมทั้งมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย ซึ่งสอดคล้องกับผลงานวิจัยของ Memorial Sloan-Kettering Cancer Center in New York City ในปี 2004 ที่เผยว่า คนไข้โรคมะเร็งระยะแพร่ จะทรมาทรกรรมจากลักษณะของการเจ็บปวดลดลง คลื่นไส้น้อยครั้ง หรือเปล่าอาเจียนเลย รู้สึกสดชื่นขึ้น ความดันดียิ่งกว่าเดิม รวมทั้งเครียดจากลักษณะการป่วยลดน้อยลง ภายหลังได้รับการบำบัดด้วยแนวทางนวด


บรรเทาอาการปวดเรื้อรัง


          ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางกายภาพบรรเทาได้บอกถึงประสบการณ์ของตนให้ฟังว่า ผู้ที่มีลักษณะอาการปวดเรื้อรัง ตัวอย่างเช่น ปวดตามข้อ โรคข้ออักเสบ แล้วก็อาการปวดเมื่อยล้าเรื้อรังอื่นๆจะคลายอาการเจ็บปวดพวกนี้ลงไปได้มาก ภายหลังได้รับบริการนวดอย่างแม่นยำต่อเนื่องกันเพียงแค่ 2-3 ครั้งเท่านั้นเอง ด้วยเหตุว่าการนวดได้อย่างถูกจุด จะช่วยทุเลาอาการเกร็งของกล้ามในส่วนนั้นๆได้อย่างรวดเร็ว ก็เลยสามารถบรรเทาลักษณะของการเจ็บปวดของกล้ามบริเวณนั้นได้อย่างทันใจนั่นเองจ้ะ
การเลือกน้ำมันนวด
การเลือกน้ำมันนวดขึ้นอยู่กับการใช้งาน และสรรพคุณต่างๆของน้ำมันนวดแต่ละจำพวก โดยส่วนใหญ่น้ำมันรากฐานที่นิยมนำมาผสมทำน้ำมัน  ฯลฯ ซึ่งมีวิตามินอี สูงขึ้นยิ่งกว่าน้ำมันถั่วเหลือง และก็น้ำมันเมล็ดข้าวโพดถึง 3 เท่า วิตามินอี ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ดักจับ และทำลายของเสียที่รังแกเซลล์ต่างๆของร่างกาย ช่วยให้ผิวพรรณเต่งตึง ลกไขมันในเส้นโลหิต คุ้มครองการเกิดมะเร็ง นอกจากนี้น้ำมันเม็ดดอกทานตะวันยังมีกรดไขมันไม่อิ่ม กรดไลโนเลอิกสูง ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อสุขภาพ ทั้งยังยังช่วยให้ผิวพรรณนุ่มสดชื่น
โดยทั้งนี้น้ำมันแต่ละประเภทจะมีคุณลักษณะ แล้วก็คุณค่าที่ต่างๆนาๆ ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้ให้สมควรตามการใช้งาน
น้ำมันนวด ที่ยอดเยี่ยมของคุณบรรเทาร่างกายรวมทั้งเกื้อหนุนการนอนหลับที่ดียิ่งกว่าสำหรับวัน.
ผู้คนจำนวนมากเจ็บปวดรวดร้าวทุกข์ทรมานสาหัสจากความเปลี่ยนไปจากปกติของการนอนต่างๆได้มองเห็นการปรับแต่งในนิสัยการนอนของพวกเขาหลังการดูแลและรักษาด้วยการนวดผ่อนคลาย. น้ำมันนวดกระตุ้นจิตใจและจิตวิญญาณ การบำบัด, ด้วยเหตุนั้นคนเป็นจำนวนมากมายมีประสบการณ์การนอนหลับลึกและก็พักผ่อนมากยิ่งขึ้น.
ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น
นวดน้ำมันเพิ่มขึ้นและรักษาความยืดหยุ่นของข้อต่อของคุณ. นวดตัวที่มีประสิทธิภาพรูปแบบการทำงานของกล้ามเนื้อทั้งหมดทั้งปวง, เนื้อเยื่อแล้วก็ข้อต่อจึงปรับปรุงการแสดงกีฬารวมทั้งการให้ความสะดวกสำหรับเพื่อการเคลื่อนร่างกายของคุณง่ายดายมากยิ่งขึ้น. เว้นแต่สิ่งเหล่านี้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย, นวดยังช่วยคุ้มครองปกป้องการบาดเจ็บแล้วก็เพิ่มความเร็วสำหรับเพื่อการหาย. นวดแผนโบราณยังเป็นวิธีที่ดีสำหรับเพื่อการบรรเทาความเคร่งเครียดของกล้ามเนื้อรวมทั้งทะนุบำรุงร่างกายของคุณ พอดี และมีความยืดหยุ่นเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน.น้ำมันนวด
กำจัดสารพิษ
สิ่งที่ได้เปรียบที่สำคัญอีกประการหนึ่งของการนวดน้ำมันซึ่งมันช่วยให้ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพกำจัดพิษจากสิ่งมีชีวิตโดยเหตุนั้นการผลักดันและสนับสนุนร่างกายที่แข็งแรงขึ้น.
ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน
บริการนวดน้ำมันรวมทั้งโดยมากสร้างความแข็งแกร่ง ระบบภูมิคุ้มกันแล้วก็ช่วยสำหรับการย่อยของกินดีขึ้น.
ศิลปะที่สวยงามของการนวดได้ทวีความร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆด้วยการนวดน้ำมันบางมาก. น้ำมันนวดแต่ละคนมีคุณลักษณะรักษาโรคต่างๆที่มีเพื่อให้บริการด้านต่างๆสำหรับในการรักษาร่างกายและจิตใจของคุณอีกด้วย. เลือกน้ำมันที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสิ่งที่ต้องการส่วนบุคคลของคุณและบรรเทาร่างกายของคุณด้วยการนวดบรรเทาแล้วก็ฟื้นฟูอย่างสม่ำเสมอ, เพื่อรักษาความสมดุลด้านจิตวิญญาณของคุณแล้วก็สุขภาพที่ดีที่สุดของร่างกายของคุณ.น้ำมันนวด
โรคนี้จะไม่สามารถหายไปได้เอง!
น้ำมันนวด โรคต่างๆเกี่ยวกับข้อจะไม่อาจจะหายขาดได้เอง ถึงแม้อาการที่แสดงออกมาจะร้ายแรงลดน้อยลงก็ตาม แล้วก็ท้ายที่สุดก็จะแปลงเป็นโรคเรื้อรังและก็นำไปสู่ความยากลำบากสำหรับในการดำรงชีพเพิ่มมากขึ้น

Tags : น้ำมันนวดสมุนไพร

11

ย่านาง
ชื่อสมุนไพร ย่านาง
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น จอยนาง , จ้อยนาง (ภาคเหนือ) , เถาย่านาง , เถาวัลย์เขียว , หญ้าน้องสาว (ภาคกึ่งกลาง) , บริเวณนาง , นางวันยอ , ขันยอยาด (ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์   Tiliacora triandra (Colebr.) Diels,
สกุล  Menispermaceae
ถิ่นกำเนิด ย่านางมีถิ่นเกิดในใจกลางของเอเซียอาคเนย์ ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศ พม่า , ไทย , ลาว , เขมร  เรื่องจริงแล้วพืชวงศ์ย่านางนี้มีราว 70  ตระกูล แต่ว่าส่วนมากเป็นไม้เลื้อยในป่าเขตร้อนและในป่าไม้ผลัดใบในทวีปเอเชียและก็อเมริกาเหนือ ส่วนย่านางของเรานั้นพบขึ้นตามป่าผลัดใบ ป่าดงดิบ และป่าโปร่ง ในทุกภาคของประเทศไทย แต่ว่าในปัจจุบันได้มีการนำมาปลูกใบรอบๆบ้าน เพื่อใช้บริโภคและก็ใช้เป็นยาสมุนไพรกันอย่างมากมาย
ลักษณะทั่วไป
       ย่านางเป็นไม้เถาเลื้อย เถากลมขนาดเล็ก มีเนื้อไม้ เลื้อยพันเนตรมต้นไม้ หรือก้านไม้ เถามีสีเขียว ยาว 10-15 เมตร เถาอ่อนสีเขียว เมื่อเถาแก่จะมีสีคล้ำ แตกเป็นแนวถี่ เถาอ่อนมีขนนุ่มสีเทา มีเหง้าใต้ดิน แขนงมีรอยแผลเป็นรูปจานที่ก้านใบหลุดไป มีขนห่างๆ หรือเกลี้ยง ใบเดี่ยว ดก สีเขียวเข้มวาว เรียงแบบสลับ รูปไข่ ยาวประมาณ 6-12 ซม. กว้างโดยประมาณ 4-6 ซม. ขอบใบเรียบ ปลายใบแหลม ฐานใบมน ผิวใบเป็นคลื่นน้อย ก้านใบยาวราว 1.5 ซม. ผิวใบเรียบมัน ไม่มีหูใบ เนื้อใบคล้ายกระดาษ แม้กระนั้นแข็ง เหนียว มีเส้นใบครึ่งออกมาจากโคนใบรูปฝ่ามือ 3-5 เส้น และก็มีเส้นแขนงใบ 2-6 คู่ เส้นพวกนี้จะไปเชื่อมกันที่ขอบของใบ เส้นกึ่งกลางใบด้านล่างจะย่นละเอียดใกล้ๆโคน ขนหมดจด ก้านใบผิวย่นย่อละเอียด ดอกออกเป็นช่อเล็กๆแบบแยกกิ่งก้านสาขาตามข้อแล้วก็ซอกใบ มีดอก 1-3 ดอก สีเหลือง ก้านช่อดอกยาวโดยประมาณ 0.5 ซม. แยกเป็นช่อดอกเพศผู้และก็ช่อดอกเพศภรรยา ดอกเพศผู้สีเหลือง กลีบเลี้ยงมี 6-12 กลีบ กลีบวงนอกสุดมีขนาดเล็กที่สุด กลีบวงในมีขนาดใหญ่กว่ารวมทั้งเรียงซ้อนกัน รูปรีกว้าง ยาว 2 มิลลิเมตร ออกจะหมดจด กลีบดอกไม้มี 3 หรือ 6 กลีบ สอบแคบ ปลายเว้าตื้น ยาว 1 มิลลิเมตร หมดจด เกสรเพศผู้มี 3 อัน เป็นรูปกระบอง ยาว 1.5-2 มิลลิเมตร ดอกเพศภรรยา กลีบเลี้ยงวงในรูปกลม ยาว 2 มม. ด้านนอกมีขนเรี่ยราย กลีบมี 6 กลีบ รูปรีแกมขอบขนาน ยาว 1 มิลลิเมตร เกสรเพศเมียมี 8-9 อัน แต่ละอันยาวไม่ถึง 1 มม. ติดอยู่บนก้านยกสั้นๆยอดเกสรเพศเมียไม่มีก้าน ผลได้ผลกรุ๊ป ผลกลมรูปไข่กลับ กว้าง 6-7 มม. ยาว 7-10 มม. ผิวเกลี้ยง มีเมล็ดแข็ง ผลสีเขียว ชุ่มฉ่ำน้ำ ออกเป็นพวง ตามข้อรวมทั้งซอกใบ ติดบนก้านยาว 3-4 มม. เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีส้มรวมทั้งสีแดงสด เมล็ดรูปเกือกม้า ฝาผนังผลชั้นในมีสันไร้ระเบียบ มีดอกตอนมีนาคมถึงม.ย.
การขยายพันธุ์
       ย่านางเป็นพืชที่รุ่งเรืองได้ ในดินแทบทุกจำพวก ถูกใจดินร่วนผสมทรายจะเจริญก้าวหน้าได้ดี การปลูกในหน้าฝน จะเจริญวัยได้ดีมากยิ่งกว่า จะงอกงามเร็วกว่าปลูกภายในตอนอื่น ย่านางที่ปลูกได้ไม่ยากขึ้นง่าย รักษาง่าย ไม่ต้องดูแลมากมาย ทนความแห้งแล้งก้าวหน้า
ส่วนการขยายพันธุ์สามารถเพาะพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเม็ด หรือการแยกเหง้าปลูก แต่วิธีที่ได้รับความนิยมในขณะนี้เป็นการเพาะเม็ด เมล็ดย่านางจะมีอัตราการงอกของเมล็ดสูง แม้กระนั้นจะต้องใช้เมล็ดที่แก่เต็มที่ที่มีลักษณะสีดำ ซึ่งควรนำมาตากแห้ง 5-7 วัน ก่อนปลูก การปลูกด้วยการหยอดเมล็ดต้องระวังอย่าขุดหลุมลึก เพราะเหตุว่าจะก่อให้เมล็ดเน่าได้ง่าย
ส่วนการดูแลรักษาย่านางไม่มียุ่งยากมากมาย เพราะว่าย่านางจะเติบโตได้ดิบได้ดี ในดินมีความชื้นเพียงพอ และก็สามารถเติบโตได้ถึงแม้จะมีวัชพืชขึ้นครึ้ม เพราะเหตุว่าต้นย่านางจะสร้างเถาเลื้อยอยู่ข้างบนพืชประเภทอื่น
สำหรับประเด็นการใส่ปุ๋ยย่านางนั้นไม่มีความสำคัญ ถ้าเกิดดินมีสภาพอินทรีย์วัตถุที่เพียงพอ เราสามารถใช้เพียงปุ๋ยธรรมชาติจากมูลสัตว์ 1 ถัง/ต้น ก็พอเพียง แต่ว่าหากต้องการให้ใบเขียวเข้มมากขึ้น บางทีอาจต้องใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 16-8-8 หรือปุ๋ยยูเรียเพิ่มในอัตรา 50-100 กรัม/ต้น หรือประมาณ 1 กำมือ สำหรับต้นที่แตกเถายาว ส่วนต้นขนาดเล็กจะต้องปรับจำนวนลดลง แล้วนำต้นกล้าที่ได้มาปลูกเอาไว้ภายในแปลงดิน ให้มีระยะห่างระหว่างต้นราวๆ 1×1 เมตร รวมทั้งเมื่อต้นเริ่มเลื้อยเลื้อย ให้ทำหลักปักไว้ ทำค้างให้เถาเลื้อยขึ้น
การเก็บผลผลิตย่านาง  จะเริ่มเก็บผลิตผลใบย่านาง ใช้เวลาโดยประมาณ 2-3 เดือน ข้างหลังปลูกในแปลง ใบมีขนาดโตสุดกำลังมีสีเขียว จะสามารถเก็บเกี่ยวใบย่านางได้ รวมทั้งจะเก็บได้ตลอดไปเรื่อย
ส่วนประกอบทางเคมี
                สาระสำคัญที่เจอในใบย่านางส่วนใหญ่จะเป็นสารกรุ๊ปฟินอลิก (phenolic compound) เป็นต้นว่า มิเนวัวไซด์ (Minecoside), กรดพาราไฮดรอกซีเบนโซอิก (p-hydroxy benzoic acid) และสารในกรุ๊ปฟลาโวนไกลโคไซด์ อย่างเช่น สารโมโนอีพอกซีเบตาแคโรทีน (moonoepoxy-betacarotene) แล้วก็อนุพันธ์ของกรดซินนามิก (flavones glycosidf cinnamic acid derivative) ส่วนสารอัลาลอยด์ (alkaloid) ยกตัวอย่างเช่น ทิเรียวัวรีน
(tiliacorine) , ทิเรียวัวลินิน (Tiliacorinine) , นอร์ทิเรียโครินิน (nor-tiliacorinine) , tiliacorinin 2,-N-oxide Tiliandrine , Tetraandrine และ D-isochondendrine เจอได้ทั้งในราก รวมทั้งใบย่านาง  แล้วก็การศึกษาเล่าเรียนส่วนประกอบหลักที่มีฤทธิ์ต้านมาลาเรียจากรากย่านาง โดยสกัดรากด้วยตัวทำละลาย  chloroform:methanol:ammonium hydroxide ในอัตราส่วน (50:50:1) ใช้แนวทางแยกสารด้วย column chromatography  รวมทั้งการตกผลึก พบว่าได้สารประกอบ alkaloid  2 ประเภทหมายถึงtiliacorinine (I) แล้วก็ tiliacorine (II) จำนวน  0.0082% และ 0.0029% เป็นลำดับ  ส่วนคุณประโยชน์ทางโภชนาการของย่านางนั้นมีดังนี้
-               พลังงาน 95 กิโลแคลอรี
-               เส้นใย 7.9 กรัม
-               แคลเซียม 155.0 กรัม
-               ธาตุฟอสฟอรัส 11.0 มก.
-               เหล็ก 7.0 มิลลิกรัม
-               วิตามินเอ 30625 (IU)
-               วิตามินบีหนึ่ง 0.03 มิลลิกรัม                              Minecoside
-               วิตามินบีสอง 0.36 มก.
-               ไนอาสิน 1.4 มิลลิกรัม
-               วิตามินซี 141.0 มก.
-               เถ้า 8.46%
-               ไขมัน 1.26%
-               โปรตีน 15%                                          Tiliacorine
-               น้ำตาลทั้งหมดทั้งปวง 59.47%
-               แคลเซียม 1.42%
-               ฟอสฟอรัส 0.24%
-               โพแทสเซียม 1.29%
-               กรดยูเรนิค 10.12%
-               โมโนแซคติดอยู่ไรด์
-               แรมโนส 0.50%
-               อะราบิโนส 7.70% หน่วยเปอร์เซ็นต์ (ใบย่านาง 100 กรัม/น้ำหนักแห้ง)       tiliacorinine
-               กาแลคโตส 8.36%
-               เดกซ์โทรส 11.04%
-               ไซโลส 72.90%
คุณประโยชน์/สรรพคุณ ใบย่านางเป็นสมุนไพรเย็น มีคลอโรฟิลล์สดจากธรรมชาติ และก็ยังมีวิตามินที่จำเป็นต้องต่อร่างกายอีกเยอะมาก เป็นต้นว่า วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เบต้าแคโรทีนในปริมาณค่อนข้างสูง โดยเป็นสมุนไพรที่ใครหลายๆคนต่างก็รู้จักกันดี เพราะว่านิยมเอามาเป็นเครื่องปรุงรสช่วยเพิ่มความกลมกล่อมของของกิน ตัวอย่างเช่น แกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้ แกงเลียง แกงหวาน
ประโยชน์ย่านางที่ใช้เป็นอาหารมีดังนี้
ใบย่านาง เก็บบริโภคได้ตลอดปี ยอดอ่อนแตกใบมากมายในช่วงฤดูฝน ยอดอ่อนของเถาย่านางใช้กินแกล้มแนมกับอาหารเผ็ด ชาวไทยอีสานและชาวลาวใช้ใบย่านางคั้นเอาน้ำทำอาหารต่างๆทำให้น้ำซุปข้นขึ้น ดังเช่น แกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้ ย่านางสามารถลดฤทธิ์กรดยูริกในหน่อไม้ได้ ลดความขมของหน่อไม้ แล้วก็เพิ่มคลอโรฟิลล์แล้วก็บีตาแคโรทีนให้กับของกินดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
นอกเหนือจากนั้นยังใส่น้ำคั้นใบย่านางในแกงเห็ด ต้มเลอะ แกงขี้เหล็ก แกงขนุน แกงผักอีลอก แกงยอดหวาย แกงอีลอก นำไปอ่อมแล้วก็หมก
ชาวใต้ใช้ยอด ใบเพสลาด (เป็นใบที่ไม่อ่อน ไม่แก่เกินไป) นำไปแกงเลียง แกงหวาน แกงขี้เหล็ก น้ำคั้นจากใบช่วยลดความขมของใบขี้เหล็กได้ นอกจากนั้นยังนำไปผัด แกงน้ำกะทิ และก็หั่นซอกซอยกินอาหารยำได้อีก ผลสุกใช้กินเล่น ส่วนคนเหนือใช้ยอดย่านางอ่อนเอามาลวกเป็นผักจิ้มน้ำพริก ใบแก่คั้นน้ำนำมาใส่แกงพื้นบ้าน เช่น แกงหน่อไม้ แกงแค
ส่วนสรรพคุณทางยาของย่านางเป็น หนังสือเรียนยาไทย  ใช้ ราก รสจืด รสจืดขม ใช้ในตำรับยาแก้ไข้ห้าโลกสายฟ้า (ประกอบด้วยรากย่านาง รวมกับรากเท้าคุณยายม่อม รากมะเดื่อชุมพร รากคนทา รากแส้ม้าทลาย อย่างละเท่าๆกัน) แก้ไข้ (ใช้รากแห้งทีละ 1 กำมือ หรือราว 15 กรัม ต้มกับน้ำก่อนรับประทานอาหารเช้าตรู่ กลางวัน เย็น) แก้พิษเมาเบื่อ กระทุ้งพิษไข้ แก้เมาสุรา ถอนพิษผิดสำแดง เอามาต้มรับประทานเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น แก้ไข้ ขับพิษต่างๆแก้ท้องผูก ปรุงยาแก้ไข้รากสาด ไข้กลับ ไข้หัว ไข้พิษ ไข้สันนิบาต ไข้มาลาเรียเรื้องรัง ไข้ทับประจำเดือน บำรุงหัวใจ บำรุงธาตุ แก้พิษภายในให้ตกสิ้น แก้โรคหัวใจบวม แก้กำเดา แก้ลม แก้ไข้จับสั่น แก้เมาสุรา รากผสมกับรากสุนัขน้อย ต้มรับประทานแก้ไข้ไข้จับสั่น ลำต้น รสจืดขม ทำลายพิษผิดสำแดง รักษาพิษไข้ แก้ไข้ตัวร้อน แก้ไข้พิษ แก้ไข้รากสาด ไข้ดำแดง ไข้ฝีดาษ ไข้เซื่องซึม ไข้กลับไข้ซ้ำ แก้ลิ้นเป็นฝ้าขาว แก้ลิ้นแข็งกระด้าง รักษาโรคปวดข้อ ก้านที่มีใบผสมกับพืชอื่นใช้เป็นยาแก้ท้องเดิน ใบ รสจืดขม กินทำลายพิษ แก้ไข้ แก้ไข้รากสาด ไข้พิษ ไข้เซื่องซึม ไข้หัว ไข้พิษ ปวดศรีษะตัวร้อน อีสุกอีใส ฝึก ลิ้นแข็งกระด้างคางแข็ง เป็นยากวาดคอ แก้ไข้ฝีดาษ ไข้ดำแดง
ส่วนอีกแบบเรียนหนึ่งระบุว่า ราก นำรากมาต้มดื่มแก้ร้อนใน แก้ดับหิว ทุเลาลักษณะของการมีไข้ ไข้รากสาด อีสุกอีใส ไข้ทรพิษ ถอนพิษแฮงค์ เมาสุรา ทุเลาอาการท้องผูก ท้องร่วง บำรุงหัวใจ ทำลายพิษ และก็ลดพิษจากพืช สัตว์ และสารเคมีในร่างกาย  ลำต้น ลำต้นเอามาต้มหรือบดคั้นน้ำดื่ม บรรเทาอาการไข้จำพวกต่างๆลดพิษร้อน พิษจากพืช เห็ด รวมทั้งลดสารพิษยาฆ่าแมลงในร่างกาย  ใบ  นำใบมาบดคั้นน้ำสด หรือนำมาต้มน้ำ รวมทั้งใบตากแห้งอัดใส่แคปซูลรับประทาน มีฤทธิ์ในทางยาหลายด้าน ได้แก่ ทุเลาอาการร้อนใน บรรเทาอาการไม่สบาย ตัวร้อน ทุเลาไข้รากสาด ไข้ฝีดาษลดพิษยาฆ่าแมลงภายในร่างกาย และก็ถอนพิษอื่นๆ
ภาคอีสานใช้รากต้มเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น และใช้รากยานางผสมรากสุนัขน้อย ต้มแก้ไข้ไข้มาลาเรีย บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้เริ่มแรก ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ระบุการใช้ย่านางในตำรับ “ยาห้าราก” มีส่วนประกอบของรากย่านางร่วมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณทุเลาอาการไข้ ส่วนทางด้านการแพทย์แผนปัจจุบันกล่าวว่า ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของย่านาง โดยพบว่าย่านางมีฤทธิ์ลดไข้ ยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไข้จับสั่น Plasmodium falciparum แก้ปวด ลดความดันเลือด ต้านทานเชื้อจุลชีพ ต้านทานการแพ้ ลดการหดเกร็งของลำไส้ ต่อต้านการเจริญก้าวหน้าของเซลล์มะเร็ง ยั้งเอนไซม์ acetylcholinesterase และก็มีฤทธิ์อย่างอ่อนๆในการต้านอนุมูลอิสระ  และก็ยังมีคุณลักษณะกระตุ้นการเพิ่มปริมาณของเซลล์เม็ดเลือดขาวหน-ลิมโฟซัยท์ (T-lymphocyte) ต้านทานจุลชีวัน Staphylococcus aureus, Bacillus cereus, Escherichia coli แล้วก็ Salmonellaspp. และก็ยังมีคุณลักษณะกระตุ้นการเพิ่มปริมาณของเซลล์เม็ดเลือดขาวครั้ง-ลิมโฟซัยท์ (T-lymphocyte)  ต้านจุลชีวัน Staphylococcus  aureus,  Bacillus  cereus,  Escherichia  coli และ Salmonella spp. ต้านทานไข้ และก็ต้านทานอนุมูลอิสระ ใบย่านางไม่มีอันตรกิริยา (interaction) กับยารักษาโรคเรื้อรังอย่างเช่น โรคหัวใจแล้วก็เส้นโลหิต โรคกระดูกและก็ข้อเบาหวาน โรคระบบทางเดินหายใจ
รูปแบบ/ขนาดวิธีการใช้ แก้ไข้ ใช้รากย่านางแห้ง 1 กำมือ ประมาณ 15 กรัม ต้มกับน้ำ 2 แก้วครึ่ง ต้มให้เหลือ 2 แก้ว ให้ดื่มครั้ง1-2 แก้ว ก่อนอาหาร 3 เวลา   แก้ป่วง (ปวดท้องด้วยเหตุว่ากินอาหารผิดสำแดง)ใช้รากย่านางแดงและรากมะปรางหวาน ฝนกับน้ำอุ่น แต่ไม่ถึงกับข้น ดื่มครั้งละ 1-2  แก้วต่อครั้ง วันละ 3-4 ครั้ง หรือทุกๆ2 ชั่วโมง ถ้าหากไม่มีรากมะปรางหวาน ก็ใช้รากย่านางแดงอย่างเดียวก็ได้ หรือหากให้ดียิ่งขึ้น ใช้รากมะขามฝนรวมด้วย   ทำลายพิษเบื่อเมาในของกิน อย่างเช่น เห็ด กลอย ใช้รากย่านางต้นและใบ 1 กำมือ  ตำผสมอาหารสารเจ้า 1 ถือมือ เพิ่มเติมน้ำคั้นให้ได้ 1 แก้ว กรองด้วยผ้าขาวบาง ใส่เกลือและน้ำตาลน้อยเพียงพอดื่มง่ายให้หมดทั้งแก้ว ทำให้อ้วกออกมา จะช่วยทำให้ดีขึ้น   ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ใช้หัวย่านางต้มกับน้ำ 3 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วนดื่มทีละ 1-2 แก้ว  การใช้เป็นยาประจำถิ่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ   ใช้ราก ต้มเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น   ใช้รากย่านางผสมรากหมาน้อย ต้มแก้ไข้ไข้มาลาเรีย   ใช้ราก ต้มขับพิษต่างๆ น้ำย่านางเมื่อเอามาผสมกับดินสอพองหรือปูนบดหมากผสมจนเหลว สามารถนำมาทา สิว ฝ้า ตุ่มคัน ตุ่มใส ผื่นคัน พอกฝีหนองได้อีกด้วย

การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไข้จับสั่น        ศึกษาฤทธิ์ต่อต้านเชื้อมาลาเรีย Plasmodium falciparum ของสารสกัดรากย่านางด้วยเมทานอล ซึ่งสารสกัดมีสาร alkaloid เป็นส่วนประกอบ 2 ส่วนสกัด คือส่วนที่ละลายน้ำ แล้วก็ส่วนที่ไม่ละลายน้ำ พบว่าเฉพาะสาร alkaloid ที่ไม่ละลายน้ำ (water-insoluble alkaloid) มีฤทธิ์เพิ่มการหยุดยั้งเชื้อไข้มาลาเรีย จากส่วนประกอบทางเคมีที่แยกได้ พบสาร alkaloid ที่แตกต่างกัน 5 จำพวก ในกรุ๊ป bisbenzyl isoquinoline อาทิเช่น tiliacorine, tiliacorinine, nor-tiliacorinine A, และสาร alkaloid ที่ไม่สามารถที่จะกำหนดองค์ประกอบได้ คือ G และ H ซึ่งพบว่าสาร alkaloid G มีฤทธิ์สูงสุดสำหรับเพื่อการกำจัดเชื้อไข้มาลาเรียระยะ schizont (เป็นระยะที่เชื้อมาลาเรียไปสู่เซลล์ตับ แล้วเปลี่ยนรูปร่างเป็นกลมรี แล้วก็มีขนาดใหญ่ขึ้น มีการแบ่งนิวเคลียสเป็นหลายๆก้อน) โดยมีค่า ID50 เท่ากับ 344 ng/mL ตามด้วย nor-tiliacorinine A รวมทั้ง tiliacorine ตามลำดับ (ID50s เท่ากับ 558 และ 675 mg/mL เป็นลำดับ)
ฤทธิ์ยั้งเชื้อวัณโรค   สาร bisbenzylisoquinoline alkaloids 3 จำพวก เป็นต้นว่า tiliacorinine, 20-nortiliacorinine รวมทั้ง tiliacorine ที่แยกได้จากรากย่านาง รวมทั้งอนุพันธ์สังเคราะห์ 1 จำพวก คือ 13҆-bromo-tiliacorinine   สารทั้ง 4 ชนิดนี้ ได้เอามาทดสอบฤทธิ์ต้านทานเชื้อวัณโรคสายพันธุ์ดื้อยา multidrug-resistant Mycobacterium tuberculosis (MDR-MTB)  ผลการทดลองพบว่า สารทั้ง 4 ชนิด มีค่า MIC อยุ่ระหว่าง 0.7 - 6.2 μg/ml แต่ที่ค่า MIC พอๆกับ 3.1 μg/ml เป็นค่าซึ่งสามารถยับยั้ง  MDR-MTB ได้มากมายที่สุด
ฤทธิ์ต่อต้านโรคมะเร็ง     การเรียนฤทธิ์ยั้งเซลล์ของโรคมะเร็งท่อน้ำดี ในหลอดทดสอบ รวมทั้งในสัตว์ทดลอง โดยศึกษาเล่าเรียนผลของสาร tiliacorinine ซึ่งเป็นสาร กลุ่ม alkaloid ที่เจอในย่านาง  สำหรับการทดลอง in vivo ทำในหนูถีบจักร เพื่อมองผลลดการเจริญของก้อน   เนื้องอกในหนูที่ได้รับเซลล์มะเร็งท่อน้ำดี รวมทั้งสาร tiliacorinine  ผลการทดลองพบว่า  tiliacorinine  มีความนัยสำคัญในการยั้งการเพิ่มปริมาณของเซลล์ของโรคมะเร็งท่อน้ำดีในหลอดทดลอง โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 4.5-7 µM โดยกลไกการกระตุ้นขั้นตอนการ apoptosis ซึ่งเป็นขั้นตอนสำหรับในการกำจัดเซลล์แตกต่างจากปกติ รวมทั้งเซลล์ของมะเร็งภายในร่างกาย รวมทั้งการทดสอบในหนูพบว่าสามารถลดการเจริญของก้อนเนื้องอกในหนูได้
การทดลองฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระของผักประจำถิ่นไทย ปริมาณ 6 ประเภท อย่างเช่น ผักเราด ผักติ้ว ผักปลังขาว ย่านาง ผักเหมียง รวมทั้งผักหวานบ้าน โดยการสกัดสารสำคัญด้วยแอลกอฮอล์จากผักแต่ละประเภท ทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากผักอีกทั้ง 6 ชนิดเปรียบเทียบกับตัวควบคุม วิตามินซี แล้วก็วิตามินอี สารสกัดจากย่านางส่วนที่ละลายน้ำรวมทั้งส่วนที่ไม่ละลายน้ำให้ค่า IC50 499.24 รวมทั้ง 772.63 ไมโครกรัม/มล. เป็นลำดับ เมื่อเทียบกับค่าที่ได้จากวิตามินซี แล้วก็วิตามินอีที่ IC50 9.34 รวมทั้ง 15.91 ไมโครกรัม/มล. ตามลำดับ
งานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยอีกชิ้นหนึ่งในประเทศไทยสำรวจฤทธิ์ยับยั้งปวดและก็ฤทธิ์ต้านการอักเสบของพืชผักประจำถิ่นอีสาน 10 จำพวก การตรวจค้นฤทธิ์หยุดปวดโดยใช้ writhing test และก็ tail flick test สำหรับการตรวจฤทธิ์ต้านทานอักเสบ ใช้ rat hind paw edema model
ผลของการทดสอบใช้สารสกัดผักประจำถิ่นด้วยน้ำ ขนาด 1 กรัมต่อน้ำหนักตัวของหนูเพศผู้ 1 กก. พบว่าสารสกัดจาก ใบตำลึง ใบย่านาง ผักติ้วแดง ผักกาดฮีน มะระขี้นก ผักชะพลู และผักชีลาว ส่งผลลดการเกิด writhing ในหนูร้อยละ 35-64 (p<0.05)
การทดลองฤทธิ์ยับยั้งปวดด้วย tail flick test พบว่าสารสกัดจากใบตำลึงและใบย่านางมีฤทธิ์ระงับปวด แล้วหลังจากนั้นเลือกสารสกัดที่มีฤทธิ์มากที่สุด 4 ประเภท ตัวอย่างเช่น ใบตำลึง ใบย่านาง ผักติ้วแดง และผักกาดฮีนมาทำการทดลองฤทธิ์ต้านทานการอักเสบโดยใช้คาราจีแนนเป็นสารระตุ้น  พบว่าสารสกัด 4 จำพวกไม่มีฤทธิ์ต้านอักเสบในสัตว์ทดสอบ ผู้ทำการวิจัยเชื่อว่าสารสกัดจากใบตำลึงและใบย่านางบางครั้งอาจจะออกฤทธิ์ยับยั้งปวดต่อระบบประสาท
ส่วนงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดลในห้องทดลองเบื้องต้นพบว่า สารสกัดใบย่านางมีฤทธิ์กระตุ้นแนวทางการทำงานของรีเซ็ปเตอร์ที่ขนคอเลสเตอรอลเข้าสู่ตับ แต่ว่าไม่รู้จักว่าจะมีผลลดคอเลสเตอรอลในเลือดของระบบร่างกายหรือเปล่า การศึกษาค้นพบนี้บางทีอาจเกี่ยวโยงกับคุณสมบัติของย่านางที่ใช้รักษาโรคหัวใจมาแต่โบราณได้ หากแต่ว่าควรจะมีการเล่าเรียนเพิ่มอีกถัดไป
จากการทดลองฤทธิ์ลดไข้ของสารสกัด 50% เอทานอลจากรากย่านาง เมื่อนำไปวิเคราะห์ฤทธิ์สำหรับการลดไข้ พบว่าไม่มีคุณลักษณะสำหรับการลดไข้แต่เป็นพิษต่อสัตว์ทดลอง การศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยทางเคมีได้แยกอัลคาลอยด์ ออกมาสองประเภทเป็นอัลคาลอยด์ที่ไม่ละลายน้ำ(water-insoluble alkaloids) รวมทั้งอัลติดอยู่ลอด์ที่ละลายน้ำ (water-soluble quarternary base) เมื่อพิจารณาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของอัลคาลอยด์ที่แยกได้ พบว่าการเกิดพิษต่อสัตว์ทดลองมีเหตุที่เกิดจาก water-soluble quarternary base ซึ่งมีฤทธิ์เหมือน curare จากการตรวจหาสูตรองค์ประกอบสรุปได้ว่า water-soluble quarternary base นี้บางทีอาจอยู่ในจำพวก aporphine alkaloids
การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา พิษฉับพลัน รวมทั้งครึ่งหนึ่งเรื้อรังของย่านาง 
          เล่าเรียนพิษฉับพลันของสารสกัดน้ำจากทุกส่วนของย่านาง โดยการป้อนสารสกัด ในหนูเพศผู้ รวมทั้งเพศภรรยา จำพวกละ 5 ตัว ในขนาด  5,000 mg/kg เพียงแต่ครั้งเดียว พบว่าไม่มีอาการแสดงของภาวะเป็นพิษเกิดขึ้น และ  ไม่มีการแสดงพฤติกรรมที่ไม่ดีเหมือนปกติ รวมถึงไม่มีการถึงแก่กรรม หรือการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อด้านใน สารสกัดใบย่านางด้วยแอลกอฮอล์จำนวนร้อยละ 50 ฉีดเข้าไปใต้ผิวหนังของหนู จำนวน 10 กรัม ต่อน้ำหนักตัวของหนู 1 กิโลกรัม (คิดเป็นจำนวน 6,250 เท่าของจำนวนที่คนได้รับ) ไม่แสดงความเป็นพิษ   การเรียนพิษเรื้องรัง ทดลองโดยป้อนสารสกัดแก่หนูทดลอง เพศผู้ แล้วก็เพศเมีย ชนิดละ 10 ตัว ทุกวี่วัน ในขนาดความเข้มข้น 300, 600 และก็ 1,200 mg/kg ติดต่อกันนาน 90 วัน   ไม่พบความไม่ดีเหมือนปกติทางด้านความประพฤติปฏิบัติ รวมทั้งสุขภาพ หนูในกลุ่มทดลอง และก็กรุ๊ปควบคุม จะมีการทดสอบในวันที่ 90 และก็ 118 โดยตรวจร่างกาย รวมทั้งมีกลุ่มที่ติดตามผลต่อไปอีก 118 วัน ผลของการทสอบพบว่า น้ำหนักของอวัยวะ ค่าชีวเคมีในเลือด รวมทั้งเยื่ออวัยวะภายใน ไม่พบการเกิดพิษ  ผลการค้นคว้าชี้ให้เห็นว่า สารสกัดย่านางด้วยน้ำ ไม่ทำให้เกิดพิษกระทันหัน แล้วก็พิษครึ่งเรื้อรังในหนูทดลอง ทั้งยังในหนูเพศผู้ และก็เพศเมีย
คำแนะนำ/ข้อควรตรึกตรอง

  • เมื่อทำน้ำย่านางเสร็จแล้วควรจะดื่มโดยทันที ด้วยเหตุว่าหากทิ้งไว้นานเหลือเกินจะเกิดกลิ่นเหม็นเปรี้ยวหรือเกิดการบูดขึ้นได้ แต่ว่าสามารถเอามาแช่ตู้เย็นได้ แล้วก็ควรดื่มให้หมดภายใน 3 วัน
  • ในการกินน้ำย่านาง ควรดื่มก่อนรับประทานอาหารหรือตอนท้องว่างราวครึ่งแก้ว 3 ครั้งต่อวัน
  • บางบุคคลที่รู้สึกว่าน้ำย่านาง เหม็นเขียว กินยากสามารถนำน้ำย่านางไปต้มให้เดือดแล้วเอามาดื่มหรือจะผสมกับน้ำสมุนไพรชนิดอื่นๆก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น ขิง ตะไคร้ ขมิ้น หรือจะผสมกับน้ำมะพร้าว น้ำมะนาว น้ำตาล หรือแม้กระทั้งน้ำหวานก็ได้เหมือนกัน
  • ควรจะดื่มจำนวนแต่ว่าพอดี แม้ดื่มแล้วรู้สึกแพ้ คลื่นเหียน ก็ควรลดความเข้มข้นของสมุนไพรที่ใส่ลงไปให้น้อยลง
เอกสารอ้างอิง

  • Dechatiwongse T, Kanchanapee P, Nishimoto K. Isolation of active principle from Ya-nang (Tiliacora triandra Diels). Bull Dept Med Sci. 1974;16(2):75-81.
  • อัจฉราภรณ์  ดวงใจ , นันทีทิพ ลิ้มเพียรชอบ, ขนิษฐพร  ไตรศรัทธ์ .คุณสมบัติคลอเรสเตอรอลของสารสกัดใบย่านางในเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่เลี้ยงต่อเนื่อง Caco-2.คอลัมน์บทความวิจัย.วารสารนเรศวรพะเยา.ปีที่8.ฉบับที่2.พฤษภาคม-สิงหาคม 2558.หน้า87-92
  • รศ.ดร.กรณ์กาญจน์ ภมรประวัติธนะ.มหัศจรรย์ย่านาง จากซุปหน่อไม้ถึงเครื่องดื่มสุขภาพ.คอลัมน์บทความพิเศษ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่370.กุมภาพันธ์.2553
  • Sireeratawong S, Lertprasertsuke N, Srisawat U, Thuppia A, Ngamjariyawat A, Suwanlikhid N, et al. Acute and subchronic toxicity study of the water extract from Tiliacora triandra (Colebr.) Diels in rats. Sonklanakarin J Sci and Technol. 2008;30(5):611-619.
  • ย่านาง...อาหารที่เป็นยา.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Pavanand K, Webster HK, Yongvanitchit K, Dechatiwongse T. Antimalarial activity of Tiliacora triandra Diels against Plasmodium falciparum in vitro. Phytotherapy Research. 1989;3(5):215-217.
  • ย่านาง.ฐานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์.มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
  • ชุตินันท์ ประสิทธิ์ภูริปรีชา.เอกชัย ดำเกลี้ยง,พยุงศักดิ์ สุรินต๊ะ , วสันต์ ดีล้ำ, ฤทธิ์ปรับ ภูมิคึ้มกัน ต้านออกซิเดชั่น และต้านจุลชีพของสารสกัดผักพื้นบ้านและสมุนไพรอีสาน,

12

ยอ
ชื่อสมุนไพร  ยอ
ชื่ออื่น/ขื่อเขตแดน  ยอบ้าน (ภาคกลาง) , มะตาเสื่อ (ภาคเหนือ) , แยใหญ่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) , Noni (ฮาวาย) , Meng kudu (มาเลเซีย) , Ach (ฮินดู)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Morinda citrifolia
ชื่อสามัญ  Indian mulberry
สกุล  Rubiaceae
บ้านเกิดเมืองนอน   ลูกยอ Morinda citrifolia เป็นผลไม้เขตร้อนพบได้บ่อยบันทึกว่ามีการกินลูกยอเป็นอาหารมานานกว่า 2000 ปี แล้ว โดยยอเป็นพืชพื้นเมืองในแถบโพลีนีเซียตอนใต้ (Polynesia) และได้แพร่ไปไปต่างประเทศโดยมีตำนานว่า คนในสมัยโบราณ (ที่ปัจจุบันนี้เรียกกันว่าขาว เฟร้นซ์ โพลินีเซีย (French Polynesia) ซึ่งอยู่ในแถบตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก พวกเขาได้เดินทางจากเกาะหนึ่งไปยังอีกเกาะหนึ่งโดยเรือแคนูรวมทั้งได้นำพืชศักดิ์สิทธิ์จากหมู่เกาะเดิมของพวกเขามาด้วย พืชนั้นเป็นอาหารขึ้นฐานรากที่เสริมสร้างส่วนต่างๆของร่างกายและก็เพื่อเป็นยารักษาโรค ซึ่งใช้ตกทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ คนสมัยก่อนรุ่นแล้วรุ่นเล่า ได้ช่วยเหลือกันบันทึกรวมทั้งจดจำต่อมายังลูกหลานว่าผลของต้นโนนิช่วยบำบัดลักษณะของการป่วยเบื้องต้นได้ โดยชาวโพลิเนเซียน ชาวจีน คนประเทศอินเดีย รู้จักใช้ประโยชน์จากลูกยอมานานแล้ว ส่วนการแพร่ไปชนิดของยอนั้นเป็นผลมาจากถูกนำประจำตัวเข้าไปยังหมู่เกาะแปซิฟิกตอนใต้ โดยบรรดาผู้หลบภัย และมันสามารถเจริญงอกงามเจริญในดินภูเขาไฟที่ไร้มลภาวะ รวมทั้งมีการแพรกระจายประเภทไปยังดินแดนใกล้เคียง
แม้กระนั้นอีกตำราหนึ่งบอกว่าเป็นไม้ประจำถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้กระนั้นมีผู้น าไปแพร่พันธุ์จนกระทั่งกระจัดกระจายไปทั่วอินเดีย และก็ตามหมู่เกาะต่างๆในห้วงสมุทรแปซิฟิครวมทั้งหมู่เกาะอินดัสตะวันตก ต้นยอขึ้นได้ในป่าทึบหรือตามชายฝั่งทะเลที่เป็นโขดเขาหรือพื้นทราย ต้นโตเต็มที่เมื่ออายุครบ 18 เดือน แล้วก็จะให้ผล
ซึ่งในขณะนี้พืชชนิดนี้เป็นที่รู้จักกันทั่วทั้งโลก ในประเทศไทยรู้จักกันในชื่อ “ยอ” ในประเทศมาเลเซียรู้จักกันในชื่อ “เมอกาดู” (Mergadu) ในเอเชียได้เรียกว่า “นเฮา” (Nhau) แถบหมู่เกาะตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิกเรียกกันว่า “โนนู” รวมทั้งในเกาะซามัว ทองกา ราราทองกา ตาฮิติ เรียกกันว่า “โนโน” หรือว่า “โนนิ”
ลักษณะทั่วไป
ลำต้น ยอเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีความสูงราว 2-6 เมตร ลำต้นมีขนาดเล็ก ขนาดโตเต็มกำลัง 5-10 เซนติเมตร ขึ้นกับอายุ แล้วก็ความอุดมสมบูรณ์ของดิน เปลือกลำต้นบางติดกับเนื้อไม้ ผิวเปลือกออกสีเหลืองนวลแกมขาว หยาบคายสากน้อย แตกกิ่งน้อย 3-5 กิ่ง ทำให้ดูไม่เป็นทรงพุ่ม
ใบ ใบเป็นใบผู้เดียว (simple leaf) แทงออกตรงกันข้ามกันซ้ายขวา มีทรงรี หรือขอบขนาน ใบกว้างโดยประมาณ 10-20 ซม. ยาวราวๆ 15-30 ซม. ใบอ่อนสีเขียวสด เมื่ออายุใบมากมายจะมีสีเขียวเข้ม ก้านใบยาวราว 1 เซนติเมตร โคนใบ รวมทั้งปลายใบมีลักษณะแหลม ขอบของใบ และผิวใบเป็นคลื่น ผิวใบมันเกลี้ยงทั้งคู่ด้าน ข้างบนใบพบมากเป็นตุ่มที่เกิดขึ้นจากแบคทีเรีย
ดอก  ดอกออกเป็นช่อกลมคนเดียวๆสีขาว รูปทรงราวกับหลอด ดอกแทงออกตามง่ามใบ ก้านช่อดอกยาวราว 3-4 ซม. ไม่มีก้านดอกย่อย จัดเป็นดอกบริบูรณ์เพศที่มีเกสรตัวผู้ และก็เกสรตัวเมีย กลีบรองดอก และก็โคนกลีบเชื่อมติดกัน กลีบดอกมีสีขาว เป็นรูปท่อ ยาวประมาณ 8-12 มม. ผิวดอกข้างนอกเรียบ ภายในมีขน ดอกส่วนครึ่งปลายบนแยกเป็น 4-5 แฉก ยาวราว 4-5 มม. เกสรตัวผู้ รวมทั้งเกสรตัวเมีย ยาวประมาณ 15 มิลลิเมตร แยกเป็น 2 แฉก อับเรณูยาวประมาณ 3 มม.
ผล  ผลเป็นประเภทผลบวก (multiple fruit) เช่นเดียวกับน้อยหน่า แล้วก็ขนุน เชื่อมติดกันสำเร็จใหญ่ดังที่พวกเราเรียกผลหรือหมาก ขนาดผลกว้างราว 3-5 เซนติเมตร ยาว 3-10 ซม. ผิวเรียบเป็นตุ่มพอง ผลอ่อนจะมีสีเขียวสด เมื่อแก่จะมีสีเหลืองอมเขียว และก็เมื่อสุกจะมีสีเหลือง แล้วก็เปลี่ยนเป็นสีขาวจนถึงเน่าตามอายุผล เม็ดในผลมีจำนวนไม่ใช่น้อย เม็ดมีลักษณะแบน ข้างในเมล็ดเป็นถุงอากาศทำให้ลอยน้ำได้ ผิวเมล็ดมีสีนํ้าตาลเข้ม
                ยิ่งกว่านั้นยังสามารถแบ่งสายพันธุ์ของยอได้อีกดังต่อไปนี้

  • M. citrifolia var. citrifolia เป็นสายพันธุ์ที่มีผลหลายขนาด เจอได้บริเวณหมู่เกาะในห้วงสมุทรแปซิฟิก ดังเช่นว่า ฮาวาย ตาฮิติ เป็นต้น
  • M. citrifolia var. bracteata เป็นสายพันธุ์ที่มีผลเล็ก พบมากในทวีปเอเชีย อย่างเช่น ไทย เมียนมาร์ ลาว จีนตอนใต้ เวียดนาม มาเลียเชีย อินโดนีเซีย อินเดีย รวมทั้งหมู่เกาะในห้วงสมุทรแปซิฟิก
  • M. citrifolia cultivar potteri เป็นสายพันธุ์ที่ใบมีทั้งยังสีเขียว และก็สีขาว เจอทั่วไปรอบๆหมู่เกาะในห้วงสมุทรแปซิฟิค
การขยายพันธุ์การปลูก
ยอนิยมปลูกด้วยการเพาะเม็ด แต่สามารถขายพันธุ์ด้วยวิธีอื่นได้เช่นกัน อย่างเช่น การปักชำ การตอน แต่ว่าการเพาะเม็ดจะได้ผลที่ดีมากกว่ารวมทั้งอัตราการรอดจะสูงกว่าแนวทางอื่น โดยการเพาะเม็ดจะใช้วิธีการบีบแยกเมล็ดออกมาจากผลสุก แล้วล้างด้วยน้ำ แล้วก็กรองเมล็ดออก ผลที่ใช้ควรจะเป็นผลสุกจัดที่หล่นจากต้นที่มีสีขาว เนื้อผลอ่อนนิ่ม ซึ่งจะได้เมล็ดที่มีสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม  เม็ดที่ได้จำเป็นต้องนำไปตากแห้ง 3-5 วันก่อน  แล้วก็นำมาเพาะในถุงเพาะชำให้มีต้นสูงราวๆ 30 เซนติเมตร ก่อนนำลงปลูก
ต้นยอเป็นพันธุ์พืชที่ดูแลไม่ยากไม่ค่อยมีแมลงศัตรูพืช หรือโรคพืชมากมาย แล้วก็ยังเป็นพืชที่ทนต่อภาวะดินเค็มและก็สภาวะแห้งอีกด้วย ก็เลยทำให้มีการแพร่กระจายประเภทอย่างรวดเร็วองค์ประกอบทางเคมี สาระสำคัญที่เป็นองค์ประกอบในยอ ในส่วนของ  ผล ใบ แล้วก็ราก มีหลากหลายประเภท ยกตัวอย่างเช่น scopoletin , octoanoic acid , potassium , vitamin C , terpenoids , Asperuloside , Proxyronine สารในกรุ๊ป anthraquinones ตัวอย่างเช่น anthraquinone glycoside , morindone รวมทั้ง rubiadin รวมทั้ง      flavonoids, triterpenoids, triterpenes, saponins, carotenoids, vitamin E                                    นอกจากนี้ยังมี  vitamin A , amino acid , ursolic acid , carotene และ  linoleic acid ซึ่งสารเหล่านี้สารประเภทได้มีการทดสอบคุณลักษณะของสารแล้วว่ามีผลที่สามารถประยุกต์ใช้ทางด้านการแพทย์ได้ ยิ่งไปกว่านี้ยังพบสารจำพวกใหม่ที่ชื่อว่า flavone glycoside แล้วก็ iridoid glycoside ในใบยอขึ้นรถทั้งคู่ส่งผลยังยั้ง cell transformation ของ mouse epidermal JB6 cell line
คุณประโยชน์/คุณประโยชน์
ประโยชน์ซึ่งมาจากยอนั้นมีในด้านการนำไป บริโภคเป็นของกินและการนำมาใช้เป็นยาสมุนไพร ในร้านของ        Asperulosideการนำมาบริโภคนั้น   มีเยอะมากหลายแบบอย่างดังต่อไปนี้ มีการ
 บริโภคผลยอกันมาก ทั้งดิบๆหรือแต่ง ได้แก่ บางหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิค กินผลยอเป็นอาหารหลัก ส่วนชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งคนท้องถิ้นประเทศออสเตรเลียรับประทานผลยอดิบจิ้มเกลือ หรือปรุงกับผงกะหรี่ และใช้เมล็ดของยอคั่วกินได้
ส่วนในประเทศไทยนั้นบริโภคยอโดย ลูกยอสุก  นำมาจิ้มรับประทานกับเกลือหรือกะปิ ลูกห่ามใช้ทำส้มตำ ใบอ่อน นำมาลวกรับประทานกับน้ำพริก ใช้ทำแกงจืด แกงอ่อม ผัดไฟแดง หรือนำมาใช้รองกระทงห่อหมก แล้วก็ในขณะนี้มีการนำลูกไปแปรรูปโดยคั้นเป็น น้ำลูกยอ โดยเชื้อกันว่ามีคุณประโยชน์ ทางด้านค่าของอาหารที่มี วิตามินซี วิตามินเอ และธาตุโปแตสเซียมสูง ยิ่งไปกว่านั้นจะมีลักษณะเหมือนผักผลไม้เยอะมากๆเนื่องจากว่ามีสารแอนติออกซิแดนท์หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งนับว่าช่วยชะลอการแก่ของเซลล์ และก็ต้านทานโรคมะเร็ง  ได้
                ส่วนในด้านการนำมาใช้เป็นสมุนไพรนั้น ยอได้ถูกบอกว่ามีคุณประโยชน์ทางยา ดังต่อไปนี้  แบบเรียนยาไทย: ผลมีรสเผ็ดร้อน ช่วยขับลมในลำไส้ ขับผายลม บำรุงธาตุ ทำให้เจริญอาหาร ผสมในยาแก้สะอึก อมแก้เหงือกยุ่ย เหงือกบวม ขับรอบเดือนเสีย ขับเลือดลม ฟอกโลหิต ขับน้ำคร่ำ แก้เสียงแหบ แก้ตัวเย็น แก้ร้อนในอก แก้กษัย แก้อาเจียน  โดยเอามาหมกไฟหรือต้มกับน้ำกิน หรือเอามาจิ้มกับน้ำผึ้งทาน หนังสือเรียนสรรพคุณยาไทยกล่าวว่าผลอ่อนกินเป็นยาแก้คลื่นเหียนอาเจียน ผลสุกงอมเป็นยาขับประจำเดือนสตรี ผลดิบเผาเป็นถ่านผสมเกลือเล็กน้อย อมแก้เหงือกเปื่อยเป็นขุมบวม หั่นปิ้งไฟเพียงพอเหลืองทำกระสายยา เมล็ดเป็นยาระบาย
           ตำรายาไทยมีการใช้ ผลยอ ใน”พิกัดตรีผลสมุฎฐาน” เป็นการจำกัดปริมาณตัวยาที่ส่งผลเป็นที่ตั้ง 3 อย่าง ส่งผลมะตูม ผลยอ ผลผักชีลา คุณประโยชน์แก้สมุฎฐานแห่งตรีทูต ขับลมต่างๆแก้โรคไตพิการ ส่วนอีกตำราหนึ่งระบุว่าคุณประโยชน์ของส่วนต่างๆของยอไว้ดังต่อไปนี้
                ราก คุณประโยชน์เป็นยาระบาย แก้ท้องผูก ใบยอ รสขมขื่น สรรพคุณบำรุงธาตุ แก้ไข้ ฆ่าเหา ปวดข้อ คั้นน้ำทา แก้โรคเกาต์ แก้ท้องร่วงในเด็ก แก้เหงือกบวม คั้นน้ำทาแก้แผลเรื้อรัง แก้กษัย ผสมยาอื่นแก้วัณโรค ผลดิบหรือแก่ รสเผ็ด คุณประโยชน์ขับลม บำรุงธาตุ เจริญอาหาร ขับเลือด เมนส์ของสตรี ฟอกโลหิต แก้คลื่นเหียนอาเจียน ผสมยาแก้สะอึก อมแก้เหงือกยุ่ย แก้เสียงแหบ แก้ร้อนในอก ผลสุก ของยาม้าน มีกลิ่นแรง คุณประโยชน์ผายลมในลำไส้ ต้น ใช้เป็นส่วนผสมกับสมุนไพรอื่นเป็นยารักษาวัณโรค ดอก เป็นส่วนประกอบของสมุนไพรตัวอื่นเป็นยารักษาวัณโรค
แบบอย่าง/ขนาดวิธีการใช้
แก้อาเจียนที่เกิดจากธาตุไม่ปกติ           ใช้ผลดิบหรือห่าม(ยังไม่สุก) ฝานเป็นชิ้นบางๆย่าง  หรือคั่วไฟอ่อนๆให้เหลือง  ใช้ทีละ  2  กำมือ  น้ำหนักประมาณ  10-15  กรัม  ต้มหรือชงน้ำจิบแต่ว่าน้ำเสมอๆระหว่างที่มีลักษณะ  ถ้าเกิดดื่มทีละมากมายๆจะมีผลให้อาเจียน
ใบสดใช้ต้มน้ำหรือนำมาบดตากแห้งชงเป็นชาดื่ม รวมทั้งใส่แคปซูลรับประทาน ช่วยแก้กระษัย  แก้ปวดเมื่อยตามข้อมือข้อเท้า แก้ท้องเสีย ลดไข้ แก้ไอ ขับเสมหะ แก้จุกเสียดแน่นท้อง แก้โรคเบาหวาน คุ้มครองป้องกันโรคในระบบหัวใจ และเส้นโลหิต แก้โรคมะเร็ง
ดอกใช้ต้มน้ำหรือนำมาตากแห้งชงเป็นชาดื่ม แก้วัณโรค โรคเบาหวาน คุ้มครองปกป้องโรคหัวใจ แล้วก็หลอดเลือด ต้านทานโรคมะเร็ง
เนื้อผลมีรสเผ็ดร้อน มีสารออกฤทธิ์เป็น asperuloside ใช้แก้คลื่นไส้ ช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร และก็ไส้ ช่วยขับเมนส์ แก้รอบเดือนมาเปลี่ยนไปจากปกติ ช่วยลดไข้ แก้ไอ ขับเสลด
รากเอามาต้มหรือดองเหล้ารับประทานเป็นยาระบาย แก้กษัย ช่วยเจริญอาหาร ปกป้องโรคมะเร็ง โรคในระบบหัวใจ รวมทั้งเส้นโลหิต
ไอระเหยจากลูกยอ ใช้รักษากุ้งยิง ลูกยอดิบ ใช้รักษาอาการเจ็บ หรือแผลตกสะเก็ดรอบปากหรือด้านในปาก ลูกยอสุก ใช้กิน ลูกยอบดละเอียดใช้บ้วนปากแก้คอเจ็บ ใช้ทาเท้าแก้เท้าแตก ใช้ทาผิวฆ่าเชื้อโรค หรือกินเพื่อฆ่าพยาธิภายในร่างกาย
ช่วยรักษาโรคกรดไหลย้อน ด้วยการทำเป็นเครื่องดื่ม ใช้คู่กับหัวหญ้าแห้วหมู สิ่งแรกให้เลือกลูกยอห่าม เอามาหั่นเป็นแว่นๆไม่บางหรือหนาจนถึงเกินไป แล้วก็ค่อยนำไปย่างไฟอ่อนๆโดยย่างให้เหลืองกรอบ สำหรับหญ้าแห้วหมูให้เอาท่อนหัวใต้ดินที่เราเรียกว่าหัวหญ้าแห้วหมู นำไปคั่วให้เหลืองและมีกลิ่นหอมยวนใจ เมื่อเสร็จแล้วให้ตั้งไฟต้มน้ำจนกระทั่งเดือดแล้วเอาตัวยาทั้งสองประเภทลงไปต้มพร้อม ใส่น้ำตาลกรวดพอเพียงหวาน ทิ้งเอาไว้สักพักแล้วยกลงจากเตา รอคอยกระทั่งอุ่นแล้วนำมากิน ที่เหลือให้กรองเอาแต่น้ำแช่เอาไว้ภายในตู้แช่เย็นและหลังจากนั้นก็ค่อยอุ่นรับประทาน ให้ดื่มต่อเนื่องกัน 1 อาทิตย์ช่วยแก้อาการเจ็บคอ ด้วยการใช้ลูกยอดิบนำไปเผาไฟให้สุกรวมทั้งแช่ในน้ำต้มสุก แล้วรินเอาแต่น้ำกินเพื่อบรรเทาอาการ
วิธีการใช้ยอรักษาอาการอ้วก   ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขพื้นฐาน)                 นำผลยอดิบที่โตเต็มที่แล้วมาฝานเป็นแผ่นบางๆหลังจากนั้นเอามาตากแห้ง แล้วคั่วในกระทะบนไฟอบอวลๆให้แห้งเกรียม นำมาบดเป็นผง แล้วก็ใช้ผงมาราว 20 กรัม ชงกับน้ำเดือดใหม่ๆ1 ลิตร แช่ทิ้งเอาไว้ราวๆ 15 นาที กรองมัวแต่น้ำใส่กระติกที่มีไว้ใส่น้ำร้อนไว้ จิบน้ำยาประมาณ 30 มิลลิลิตร ทุก 2 ชั่วโมง เวลาอาเจียน อ้วก
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่เกี่ยวกับแก้อ้วก อาเจียน การศึกษาเล่าเรียนการใช้น้ำผลยอสำหรับการระงับคลื่นไส้ โดยเปรียบเทียบกับยา metoclopramide ซึ่งเป็นยาแก้อ้วก แล้วก็น้ำชาซึ่งใช้ในกรุ๊ปควบคุม ในคนไข้มาลาเรีย 92 ราย ที่มีลักษณะอาการอาเจียนคลื่นไส้ ชาย 68 ราย หญิง 24 ราย อายุระหว่าง 15 -55 ปี แบ่งเป็นกลุ่มใช้น้ำผลยอ 30 มล. กินทุก 2 ชั่วโมง กรุ๊ปที่ 2 กินชา 30 มิลลิลิตร ทุก 2 ชั่วโมง รวมทั้งกลุ่มที่ 3 ใช้ยา metoclopramide 1 เม็ด (5 มก.) เวลามีลักษณะคลื่นไส้อาเจียนทุก 4 ชั่วโมง จดบันทึกปริมาณครั้งการอาเจียนก่อนและก็หลังการให้ยาทุกราย จากการศึกษาเล่าเรียนพบว่าค่าเฉลี่ยจำนวนครั้งการอ้วกก่อนให้ยาทั้ง 3 กรุ๊ป มีค่าไม่ได้ต่างอะไรกัน แต่ว่าจำนวนการอ้วกกลุ่มที่ใช้ยา metoclopramide มีน้อยที่สุดรองลงมาคือยอ และชามีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด หมายความว่ายอลดอาการคลื่นไส้ได้มากกว่าน้ำชา
เมื่อเรียนรู้กลไกการออกฤทธิ์พบว่าผลยอมีฤทธิ์ต้านทาน dopamine อย่างอ่อน  สารสกัดน้ำของผลยอสามารถรีบการบีบตัวของลำไส้เล็กในหนูเม้าส์ที่ได้ถูกกระตุ้นให้อาเจียนด้วย  apomorphine แต่ไม่อาจจะต้านฤทธิ์ของ apomorphine สำหรับในการลดการบีบตัวของกระเพาะได้
ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย (Antibacterial activity) มีรายงานว่าสาร acubin L-asperuloside และก็ alizarin ในผลลูกยอเป็น antibacterial agent สามารถปกป้องการตำหนิดเชื้อแบคทีเรียต่างๆได้ เป็นต้นว่า Pseudomonas aeruginosa Proteus morgaii S Staphylococcus aureus Bacillus subtilis Escherichia coil Salmonella และก็ Shigella
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อไวรัส (Antitviral activity) มีรายงานการค้นพบสารประเภทหนึ่งจากรากของต้นยอชื่อว่า 1-methoxy-2-formyl-3-hydroxy anthraquinone ซึ่งมีฤทธิ์ในการยังยั้งการเกิด cytopathic effect ของเชื้อ HIV ต่อการ infect MT4 cell โดยไม่มีการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อวัณโรค (Antitubercular effects) มีการรายงานพบว่าลูกยอสามารถกำจัดการต่อว่าดเชื้อวัณโรคได้ถึง 97% เปรียบเทียบกับยา antibiotic ได้แก่ Rifampcin
ฤทธิ์ยับยั้งความปวด (Analgesic activity) มีแถลงการณ์ว่าสารสกัดจากรากยอมีฤทธิ์ยับยั้งปวดในสัตว์ทดสอบ และผลที่เกิดจากการวิจัย โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.ทัศนีย์ ปัญจานนท์ พบว่าสารสกัดจากผลยอไทยมีฤทธิ์ระงับปวดในสัตว์ทดสอบ

การเรียนทางพิษวิทยา
การทดสอบความเป็นพิษ  สารสกัดเอทานอลกับน้ำ (1:1) จากส่วนเหนือดินฉีดเข้าทางช่องท้องหนูพบว่า ค่า LD50 พอๆกับ 0.75 กรัม/กก. สารสกัดเมทานอลกับน้ำจากผลฉีดเข้าทางท้องหนูเพศผู้พบว่า ค่า LD50 มีค่ามากยิ่งกว่า 1 กรัม/กก.น้ำหนักตัว ส่วนอีกการทดลองพบว่า สารสกัดเอทานอลกับน้ำ (1:1) จากส่วนเหนือดินขนาด 10 ก./กิโลกรัม ให้ทางสายยางสู่กระเพาะหนูหรือฉีดเข้าใต้ผิวหนังไม่แสดงความเป็นพิษ
การทดลองพิษกึ่งเรื้อรังในหนูแรทโดยป้อนสารสกัดจากผลยอ ไม่พบความผิดแปลกอะไรก็ตามในค่าตรวจทางชีวเคมีในเลือด แล้วก็ค่าตรวจทางเลือดวิทยา นอกจากนี้การทดสอบความเป็นพิษโดยใช้สารสกัดด้วยน้ำจากผลยอแห้ง ก็ไม่เจอความเป็นพิษทั้งยังแบบทันควันรวมทั้งแบบเรื้อรัง
พิษต่อเซลล์  น้ำคั้นจากผลขนาด 6.25 มก./มล.ทดลองในเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่ามีความเป็นพิษต่อเซลส์ CAa-IIC ขณะที่สารสกัดเม-ทานอลจากใบ ทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยง ไม่เจอความเป็นพิษต่อเซลล์ CFI IS-RA II สารสกัดคลอโรฟอร์มแล้วก็น้ำจากรากทดลองในเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่ามีผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเซลล์ ในตอนที่สารสกัดเฮกเซนและเมทานอลจากรากไม่มีผลต่อความเคลื่อนไหวรูปร่างของเซลล์
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์จากผลไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ เมื่อทดลองใน Bacillus subtilis
ข้อเสนอแนะ/ข้อพึงระวัง

  • สารโพรซีโรนินที่พบในน้ำลูกยอ อยากน้ำย่อยเปปสิน (Pepsin) และก็ภาวะความเป็นกรดในกระเพาะ เพื่อเปลี่ยนเป็นซีโรนิน โดยเหตุนี้ ถ้าเกิดกินน้ำลูกยอในช่วงเวลาที่ท้องอิ่มแล้วจะมีผลให้มีผลทาเภสัชของสารซีโรนินลดลง
  • คุณประโยชน์ และก็คุณประโยชน์น้ำลูกยอจะลดลงเมื่อรับประทานร่วมกับแอลกอฮอล์
  • การบดหรือการสกัดน้ำลูกยอไม่สมควรกระทำให้เมล็ดยอแตก เพราะเหตุว่าสารในเม็ดยอมีฤทธิ์เป็นยาระบายอาจส่งผลให้ถ่ายหลายครั้งได้
  • ผู้เจ็บป่วยโรคไตไม่ควรดื่มน้ำลูกยอ ด้วยเหตุว่ามีเกลือโปแตสเซียมสูง อาจจะทำให้เกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้
  • สตรีตั้งครรภ์ไม่ควรบริโภคลูกยอ เพราะผลยอมีฤทธิ์ขับเลือด อาจจะเป็นผลให้แท้งลูกได้
เอกสารอ้างอิง

  • มากคุณค่าน้ำลูกยอ.สภาภรณ์ ปิติพร.2545.
  • อัญชลี จูฑะพุทธิ  ปุณฑริกา ณ พัทลุง  อุไรวรรณ เพิ่มพิพัฒน์  เย็นจิตร เตชะดำรงสิน.  การศึกษาฤทธิ์ต้านอาเจียนของผลยอ. ไทยเภสัชสาร 2539;20(3):195-202.
  • ผลของใบยอและฟ้าทะลายโจรต่อการเปลี่ยนแปลงสีและอัตราการจับกินเชื้อโรคของเม็ดเลือดขาวในปลาทอง (Carasius auratus.) ชฎาธาร โทนเดียว,2527.
  • วิชัย เอกพลากร  สำรวย ทรัพย์เจริญ ประทุมวรรณ์  แก้วโกมล และคณะ.  การศึกษาทางคลินิกของผลยอในการระงับอาการอาเจียน.  รายงานการวิจัยโครงการสมุนไพรกับการสาธารณสุขมูลฐาน สำนักงานคณะกรรมการการสาธารณสุขมูลฐาน  กระทรวงสาธารณสุข.
  • ยอ.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คระเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ลูกยอ/ใบยอ น้ำลูกยอและสรรพคุณยอ.พืชเกษตรดอทคอม
  • ยอ.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี http://www.disthai.com/
  • ยอ.สมุนไพรไทยสรรพคุณสารพัดที่หลายคนมองข้าม.ศูนย์ปฏิบัติการช่างเกษตร สำนักงานเกษตรจังหวัดนราธิวาส
  • ยอ.สมุนไพรที่มีการใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • สุทธิพันธ์ สาระสมบัติ. การพัฒนายาเพิ่มภูมิคุ้มกันจากสมุนไพร: ยอบ้าน (Morinda citrifolia L.). รายงานการวิจัยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, 2546.
  • Khurana H, Junkrut M, Punjanon T. Analgesic activity and genotoxicity of Morinda citrifolia.  Thai J Pharmacol 2003;25(1):86.
  • Mokkhasmit M, Swatdimongkol K, Satrawaha P.  Study on toxicity of Thai medicinal plants.  Bull Dept Med Sci 1971;122/4:36-65.
  • Charoenpiriya A, Phivthong-ngam L, Srichairat S, Chaichantipyuth C, Niwattisaiwong N, Lawanprasert S. Subacute effects of Morinda citrifolia fruit extract on hepatic cytochrome P450 and clinical blood chemistry in rats.  Thai J Pharm Sci 2003;27(suppl):69.
  • Hiramatsu T,Imoto M,Koyano T, Umezawa K.  Induction of normal phenotypes in ras-  transformed cell by damnacanthal from Morinda citrifolia.  Cancer Lett 1993;73(2/3):161-6.
  • Dhawan BN,Patnalk GK, Rastogi RP, et al.  Screening of Indian plant for biological activity. VI.  Indian J Exp Biol 1977;15:208-19.
  • Hirazumi A, Furusawa E.  An immunomodulatory polysacharide-rich substance from the fruit juice of Morinda citrifolia (Noni) with antitomour activity.  Phytother Res 1999;135:380-7.
  • Nakahishi K, Sasaki SI, Kiang AK, et al.  Phytochemical survey of Malaysian plant preliminary chemical and phramacological screening.  Chem Pharm Bull 1965;137:882-90.
  • Murakami A, Kondo A, Nahamura Y, Ohigashi H, Koshimizu K.  Possible anti-tumor promoting properties of edible plants from Thailand and identification of an active constituent, cardamomin, of Boesenbergia pandurata.  Biosci Biotech Biochem 1993;57(11):1971-3.



Tags :

13

เห็ดหลินจือ
สมุนไพร เพื่อนๆบางคนอาจสงสัยว่าโรคตับที่เห็ดหลินจือรักษาได้นี่หมายถึงโรคอะไรกันแน่ใช่ไหม โรคตับเป็นทองคำกว้างๆที่รวมโรคหลายอย่างเกี่ยวกับตับ เช่นตับแข็ง มะเร็งในตับ และไวรัสตับเป็นทองคำกวางๆที่รวมหลายอย่างเกี่ยวกับตับ เช่น ตับแข็ง มะเร็งในตับ และไวรัสตับอักเสบบี ก็ล้วนโรคตับทั้งสิ้น
ผลการวิจัยพบว่า เห็ดหลินจือ มีสารสามารถยับยั้งมะเร็งไดและโดยไม่กระทบต่อเซลล์ปกติ สารดังกล่าวมีอยู่มากที่สปอร์ที่กะเทาะผนังหุ้มสปอร์แล้วนอกนี้ผลงานวิจัยจากกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยพบว่าเห็ดหลินจือมีสารกลุ่ม Polysaccharide ซึ่งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้ม และสารกลุ่ม Triterpenes (พบที่สปอร์ของเห็ดหลินจือ มากที่สุด ) ซึ่งกลุ่มหลังสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งได้ โดยสปอร์กะเทาะผนังหุ้มจะให้ผลดีกว่าแบบไม่กะเทาะมาก
อย่างไรก็ตามฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งของมะเร็งของสารสกัดเห็ดหลินจือที่กล่าวไปนั้น ยังคงเป็นเพียงผลการทดลองในหลอดทดลองเท่านั้น ขณะนี้คณะแพทย์ศาสตร์ของมหาลัยเชียงใหม่กำลังวิจัยผลที่มีต่อผู้ป่วยโรคมะเร็วจริงๆและคาดว่าผลการศึกษานี้คงจะตีแผ่ให้เพื่อนๆได้ทราบกันในเร็วๆนี้ค่ะ แต่ตอนนี้มีรายงานการศึกษาจากประเทศจีนพบว่า เห็ดหลินจือสามารถเสริมภูมิคุ้มกันได้จริงในผู้ป่วยมะเล็กลำไส้ใหญ่ ปอด และผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งขั้นลุกลาม โดยไม่มีผลข้างเคียงและสามารถใช้ได้ติดต่อกันเป็นเวลานานได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตามในประเทศไทย การใช้สมุนไพร เห็ดหลินจือในการรักษาโรคมะเร็งนั้นยังไม่ใช่ช่องทางหลักในการรักษา เน้นเรื่องเสริมภูมิต้านทานมากกว่า
ตอนนี้มีผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือขายมากมายตามท้องตลาด มีทั้งที่ผลิตในไทยและนำเข้าจากต่างประเทศ ถ้าเพื่อนๆอยากเลือกซื้อ ต้องดูให้ดี ว่าผลิตภัณฑ์ตัวนั้นมีที่มาและแหล่งผลิตน่าเชื่อถือหรือเปล่า มีการรับรองจาก อย. หรือไม่ และผลิตภัณฑ์ที่สามารถกันความชื้นได้ดีหรือป่าว
เห็ดหลินจือเป็นสมุนไพรที่มีสาระสำคัญหลายกลุ่มที่มีฤทธิ์รักษาหรือบรรเทาโรคตับได้ครอบคลุมหลายตับ กลุ่ม Triterpenoid สารกลุ่มนี้มีสารออกฤทธิ์หลักๆคือ Ganoderic acid ซึ่งช่วยเสริมการทำงานของเม็ดเลือดขาว ต้านสารพิษ และช่วยหยุดการเติบโตของมะเร็งตับ โปรตีน Lz-8 ช่วยรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบีและกลุ่ม Germanium ซึ่งเป็นอีกตัวที่ช่วยรักษามะเร็งตับ
มีงานวิจัยหลายชิ้นที่รายงานว่าเห็ดหลินจือสามารถรักษาโรคตับได้ และยังมีการจดสิทธิบัตรยาบำรุงตับตัวหนึ่งที่เกาหลีใต้ ซึ่งยาดังกล่าวมีส่วนประกอบของสารกาโนโดสเทอโรนในเห็ดหลินจืออีกด้วย
ถ้าไม่ได้เป็นโรคอะไรเกี่ยวกับตับแล้วจะยังทานเห็ดหลินจือได้หรือป่าว
คำตอบคือได้ เห็ดหลินไม่ได้รักษาโรคตับได้อย่างเดียว แต่ยังช่วยเสริมภูมิคุ้มกันลดน้ำตาลในเลือด ป้องกันโรคหัวใจ ได้อีกมามายตามที่เขียนไว้ในบทความเห็ดหลินจือรักษาโรคในเว็บไซต์นี้ หรือจะทานแบบถือคติ กันไว้ดีกว่าแก้ ก็ไม่ผิด
สมุนไพร โรคภูมิแพ้คือโรคที่ร่างกายแพ้สารบางอย่างที่คนทั่วไปไม่แสดงอาการแพ้ เป็นหนึ่งในโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดสนิทได้ ภูมิแพ้ไม่ใช่โรคติดต่อ แต่ถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรมในเด็กอายุ 5-15 จะพบโรคนี้ได้มากที่สุดเมื่อร่างกายแสดงอาการแพ้ เช่น การเกิดผื่นคันหรือตุ่มตามตัว เพราะฉะนั้นถ้าเรายับยั้งการกล

เมื่อร่างกายได้รับสารที่ทำให้เกิดการแพ้สักอย่างหนึ่ง ร่างกายจะหลั่งสาร Histamine ออก ซึ้งสารตัวนี้จะไปทำให้ร่างกายแสดงอาการแพ้ เช่น การเกิดผื่นคันหรือตุ่มตามตัว เพราะฉะนั้นถ้าเรายับยั้งการหลั่งสาร Histamine นี้ ก็จะทำให้ร่างกายไม่แสดงอาการแพ้ออกมา
ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ เพื่อนๆที่กำลังอ่านอยู่คงเข้าใจและเห็นด้วยกันทุกคนใช่ไหม แต่เพื่อนอาจกำลังสงสัยกันอยู่ว่า แล้วจะต้องทำยังไงไม่ให้ป่วยละ
คำตอบคือ เห็ดหลินจือทำให้ตัวเพื่อนเองมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงไง ซึ่งก็จะเป็นผลพวงจาการดูแลสุขภาพ แล้วเห็ดหลินจือจะมีผลยังเดี๋ยววันนี้จะค่อยไขความกระจ่าง
สมุนไพร ระบบภูมิคุ้มกันคือกลไกการกำจัดเชื้อโรค สารเคมีแปลกปลอม เซลล์มะเร็ง และสิ่งแปลกปลอมอื่ๆที่จะเข้ามาทำอัตรายต่อร่างกายเรานั้นเอง ดังนั้นถ้าเพื่อนๆมีระบบภูมิคุ้มกันดีก็จะไม่ป่วยง่าย หรือถ้าป่วยก็จะฟื้นเร็ว แต่ถ้าระบบภูมิคุ้มกันไม่ดีก็จะป่วยบ่อยและเป็นหนักกว่าคนที่มีระบบูมิคุ้มกันแข็งแรง มาถึวตรงนี้แล้วเพื่อนๆคงเห็นความสำคัญของการมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงกันแล้ว
คนจีนโบราณใช้เห็ดหลินจือมานานกว่า 2000 ปีแล้ว แต่ในสมัยนั้นยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าทำไมคนที่ทานเห็ดหลินจือถึงมีอายุยืนและแข็งแรงไม่ค่อยเป็นโรค ตอนนี้เราสมารถพิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าสารกลุ่ม Polysacchayide ในเห็ดหลินจือนั้นสามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเราได้จริง สารกลุ่มดังกล่าวสามารถกระตุ้นการสร้าง Interleukin และ Immuoglodulin ซึ่งส่งผลให้ระบบภูมคุ้มกันดีและแข็งแรงขึ้น
ระบบภูมิคุ้มกันที่ถูกเสริมด้วยสาร Polysaccharide ในเห็ดหลินจือจะสามารถต้านวรัส เซลล์มะเร็ง และจำกัดสารอนุมูลอิสระได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้คนที่ถูกผลข้างเคียงที่โดนยาต้านมะเร็งบางตัวและการทำคีโมกดภูมิคุ้มกันให้มีระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้นอีก และเห็ดหลินจือยังมีสารออกฤทธิ์ต้านการแบ่งตัวของเชื้อ HIV อีกด้วย ซึ่ง กลุ่มดังกล่าวคือกลุ่ม Bitter Triterpenoids

14

เห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือ รักษาโรคมะเร็ง
สมุนไพร เห็ดหลินจืออีกหนึ่งงานวิจัยที่ศึกษาเล่าเรียนเกี่ยวกับประสิทธิผลของสารโพลีแซ็คคาไรค์ในเห็ดหลินจือของผู้ในคนป่วยมะเร็งปอด จากการวิเคาะห์พบว่า สารดังที่กล่าวถึงแล้วมีส่วนในการยัยยั้งรูปแบบการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว
จากการศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยมาโกถึงประสิทธิผลทางการรักษาโรคมะเร็งของเห็ดหลินจืออาจส่งผลต่อการต้านการอักเสบในคนป่วยมะเร็งปอดบางราย แต่ว่ายังคงไม่มีหลักฐานทางด้านวิทยาศาสตร์หรือการทดสอบด้านการแพทย์ที่ให้ข้อมูลพอเพียงที่ส่งเสริมให้ใช้เห็ดหลินจือในการรักษาโรคมะเร็งอย่างเป็นทางการ
เมื่อพินิจพิจารณาเปรียบเทียบจากการรวบงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยที่เรียนรู้ประสิทธิผลของเพื่อรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ 373 คน แม้จะพบว่าคนเจ็บสนองตอบต่อการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัดรักษาเจริญขึ้นเมื่อรักษาร่วมกับการใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือ แต่เมื่อทดลองใช้เห็ดหลินจือเพียงอย่างเดียวกลับไม่มีประสิทธิผลในสำหรับเพื่อการทำให้มะเร็งลดขนาดลงประการใด
สมุนไพร นอกเหนือจากนี้ จาการทบทวนงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยพบว่ามีงานศึกษาค้นคว้าวิจัย 4 ชิ้นที่มีผลลัพธ์สนับสนุนว่าเห็ดหลินจืออาจสมาคมต่อการปรับแก้คุณภาพชีวิตของผู้เจ็บป่วยให้ดียิ่งขึ้น และก็ในขณะเดียวกัน ก็ส่งผลลัพธ์จากงานศึกษาวิจัยหนึ่งที่แสดงถึงผลข้างคียงของเห็ดหลินจือ เป็นอาการคลื่นใส้แล้วก็นอนไม่หลับด้วย
ด้วยเหตุนั้น ก็เลยอาจจะกล่าวว่า เครื่องพิสูจน์ทางคุณลักษณะและประโยชน์ซึ่งมาจากเห็ดหลินจือยังคงมีจำกัด บาง งานศึกษาเรียนรู้เป็นการทดสอบขนาดเล็ก หลักฐานที่ได้ยังไม่มีประสิทธิภาพพอเพียง หรือเป็นเพียงแต่การทดลองในคนไข้บางกลุ่มแค่นั้น ประสิทธิผลของเห็ดหลินจือต่อโรคมะเร็ง จึงยังคงเป็นเรื่องการค้นคว้าที่ควรจะดำเนินงานทดลองต่อไป เพื่อให้ได้สำเร็จลัพ์ที่ชัดแจ้ง รวมทั้งเป็นประโยชน์ในวงกว้างต่อการดูแลรักษาคนไข้มะเร็งได้ในอนาคต
ภาวการณ์ต่อมลูกหมากโต แล้วก็การเจ็บป่วยในระบบฟุตบาทฉี่
มีวิธีการทดสอบหนึ่งที่ใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือทดสอบในคนป่วยเพศ 88 รายซึ่งมีอายุเกินกว่า 49 ปีขึ้นไป ที่มีลักษณะอาการฉี่ขัดข้อง ข้างหลังการทดสอบกว่า 12 สัปดาห์ คำตอบที่ได้เป็น ผู้เจ็บป่วยต่างหรูหราคะแนน IPSS ที่ ( TNE lnternational Prostate Symptom Score )ซึ่งเป็นค่าคะแนนสากลสำหรับในการวัดปัญหาในระบบทางเท้าปัสวะของผู้เจ็บป่วยจากการตอบปัญหา กลับไม่ปรากฏผลในเชิงการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิต การขับถ่ายปัสวะ หรือขนาดของต่อมลูกหมากแต่อย่างใด
สมุนไพร เพราะฉะนั้น การทดสอบดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นก็เลยยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาสตร์ที่กระจ่างพอเพียง จำเป็นต้องมีการค้นคว้าทดลองในด้านนี้ถัดไปในอนาคต เพื่อค้นหาข้างหลังฐานที่เด่นชัดสำหรับการสรุปเกี่ยวกับประสิทธิของเห็ดหลินจือต่อการดูแลรักษาภาวะต่อมลูกหมากโตหรือปัญหาสุขภาพใดๆก็ตามที่เกี่ยวข้อง
ลดปัจจัยเสี่ยงของโรคเส้นเลือดหัวใจ
จากการวิเคราะห์ผลของการทดลองทางการแพทย์ 5 ราการ ซึ่งมีคนเจ็บโรคเบาหวานประเภท 2 เข้าร่วมทดลองกว่า 398 รายพบว่า เห็ดหลินจือไม่เป็นผลทางการรักษาในเชิงการลดระดับน้ำตาลในเลือดไม่มีหลักฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพเพียงพอจะส่งเสริมผลทางการรักษาเหล่านั้น และไม่มีข้อมูลที่เพียงพอสำหรับในการรับรองด้านความปลอดภัยจากการบริโภคเห็ดหลินจือเช่นกัน โดยหนึ่งในงานศึกษาวิจัยเหล่านั้น ได้แสดงถึงผลกระทบจากการบริโภคเห็ดหลินจือในคนป่วยบางราย เป็นอาการคลื่นใส้ ท้องร่วง หรือท้องผูก
โดยเหตุนี้จะต้องมีการค้นคว้าทดสอบถึงประสิทธิภาพของเห็ดหลินจือสำหรับในการลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆกลุ่มนี้เพื่อคุ้มครองป้องกันและการดูแลรักษาโรคเส้นโลหิตหัวใจถัดไป รวมถึงให้ได้เรื่องกระจ่างแจ้งชัดดเจนในด้านดังที่กล่าวผ่านมาแล้วเยอะขึ้นเรื่อยๆ อันเป็นผลดีต่อกรรมวิธีรักษาคุ้มครองป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจและก็อาการต่างๆที่เกี่ยวต่อไปในอนาคต
ปริมาณที่เหมาะสมในการบริโรคเห็ดหลินจืออปิ้งแจ่มแจ้ง เนื่องประสิทธิผลและก็ผลข้างคียงจากการบริโภค โดยเหตุนั้น ผู้ใช้ ควรทำการศึกษาเรียนรู้และทำการค้นคว้าเนื้อหาสาระเกี่ยวกับเห็ดหลินจือ และขอความเห็นหมอหรือเภสัชกรก่อนที่จะมีการบริโรค เนื่องจากเห็ดหลินจือในแต่ละต้นแบบจะเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ แม้กระนั้นสารเคมีและส่วนประต่างบางทีอาจส่งผลข้างๆที่เป็นอันตรายต่อสภาพร่างกายได้ด้วยเหมือนกัน
โดยธรรมดา ปริมาณการบริโภคเห็ดหลินจือ/วันดังเช่น
-เห็ดหลินจืออบแห้ง ไม่สมควรบริโภคเกิน 1.5-9 กรัม/วัน
-ผงสารสกัดเห็ดหลินจือ ไม่ควรบริโภคเกิน 1-1.5 กรัม
-สารละลายเห็ดหลินจือ ไม่สมควรบริโภคเกิน 1 มล./วัน
ความปลอดภัยในการบริโภคเห็ดหลินจือ
แม้จะมีการพิสูจน์ถึงคุณประโยชน์ในบางด้านที่บางทีอาจเกิดขึ้นได้จากการบริโภคเห็ดหลินจือ แม้กระนั้นผู้ซื้อก็ควรทำการศึกษาเรียนรู้และทำการค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับเห็ดหลินจือ และหารือหมอหรือเภสัชกรก่อนที่จะมีการบริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรรอบคอบในด้านจำนวนและแบบเห็ดหลินจือที่บริโภค เพราะบางทีอาจเป็นผลข้างเคียงต่อสุขภาพได้ในภายหลัง
โดยสิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวังสำหรับการบริโภคเห็ดหลินจืออย่างเช่น

ผู้บริโภคทั่วๆไป.......
-ควรจะบริโภคเห็ดหลินจือในจำนวนที่พอดี
-การบริโภคสารสกัดจากเห็ดหลินจือติดต่อกันนานเกินกว่า 1 ปี อาจจะก่อให้มีอันตรายต่อร่างกายได้
-การบริโภคสารสกัดจากเห็ดหลินจือติดต่อกันนานเกินกว่า 1 ปี อาจทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้
-การบริโภคสารสกัดเห็ดหลินจืออาจก่อเกิดผลข้างเคียงได้ ดังเช่นว่า ปากแห้ง คอแห้งผาก คันจมูก เลือดกำเดาไหล ท้องไส้ป่วนปั่น ถ่ายเป็นเลือด
-การดื่มเหล้าองุ่นเห็ดหลินจืออาจนำไปสู่ผลข้างเคียงเป็นอาการผื่นคัน
-การดมหายใจเอาเซลล์แพร่พันธุ์ หรือ สปอร์ (Spores) ของเห็ดหลินจือเข้าไปอาจจะเป็นผลให้เกิดอาการแพ้
คนที่ควรระวังสำหรับเพื่อการบริโภคเป็นพิษ
ผู้ที่ท้อง หรือกำลังให้นมบุตร แม้ยังไม่มีการยืนยันผลกระทบที่บางทีอาจเกิดขึ้นได้ในกรุ๊ปลูกค้านี้แต่คนที่มีครรภ์และคนที่กำลังให้นมลูกควรจะหลบหลีกการบริโภคเห็ดหลินจือ เพื่อให้มีความปลอดภัยต่อร่างกายของตนและก็ลูกน้อย
คนที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด การบริโภคเห็ดหลินจือในจำนวนมาก อาจเพิ่มการเสี่ยงสำหรับการเกิดภาวะมีเลือดออกในผู้ป่วยบางรายที่จำต้องเข้ารับการผ่าตัด ด้วยเหตุนี้ เพื่อลดความเสี่ยง คนไข้ควรจะหยุดบริโภคเห็ดหลินจือ ขั้นต่ำ 2 สัปดาห์ก่อนวันผ่าตัด
คนที่มีปัญหาสุขภาพ
สมุนไพร  ความดันโลหิตต่ำ เห็ดหลินจืออาจทำให้ความดันโลหิตต่ำลง ด้วยเหตุนั้น คนป่วยภาวะความดันเลือดต่ำจำเป็นจะต้องเลี่ยงการบริโภคเห็ดหลินจือ
ภาวการณ์เกล็ดเลือดต่ำ การบริโภคเห็ดหลินจือในจำนวนมาก บางทีอาจเพิ่มการเสี่ยงสำหรับเพื่อการเกิดภาวะมีเลือดออกในผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ ดังนั้น คนไข้ภาวการณ์เกล็ดเลือดต่ำก็เลยไม่สมควรบริโภคเห็ดหลินจือ
ภาวะมีเลือดออกผิดปกติ การบริโภคเห็ดหลินจือในจำนวนมาก บางทีอาจเพิ่มความเสี่ยงสำหรับเพื่อการเกิดภาวะมีเลือดออกในคนป่วยบางราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่มีภาวการณ์เลือกออกเปลี่ยนไปจากปกติอยู่แล้ว

15

ถั่งเช่า
สมุนไพร ถั่งเช่า ประเภทนี้เกิดขึ้นมาจากสปอร์เห็ดราที่ไปเติบโตบนตัวอ่อนหนอนผีเสื้อ (Cordyceps Sinensis) ซึ่งจำศีลอยู่ใต้ดินในฤดูหนาว แต่เมื่อเข้าสู่หน้าร้อนจึงทำให้สปอร์เห็ดเติบโตขึ้นโดยดูดสารอาหารจากตัวอ่อนหนอนและก็ผลิออกขึ้นรอบๆส่วนหัวของตัวหนอน จึงพบว่าถั่งเช่าจะประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนที่เป็นตัวอ่อนของผีเสื้อแล้วก็อีกส่วนเป็นสปอร์เห็ด
การกินถั่งเช่าเพื่อประโยชน์ด้านการแพทย์มีมานานตั้งแต่สมัยก่อน เนื่องมาจากอุดมไปด้วยสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพซึ่งเกิดผลดีต่อร่างกาย โดยเชื่อกันว่าช่วยสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นสำหรับการออกกำลังกาย รักษาโรคไตรวมทั้งตับ เสริมสมรรถภาพของผู้ชาย ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ช่วยเพิ่มรูปแบบการทำงานของตับในผู้เจ็บป่วยโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี รักษาความแปลกในระบบทางเท้าหายใจ เพิ่มกำลังและก็ความแข็งแรงของร่างกาย นอกจากนั้น ยังช่วยทุเลาอาการไอ บรรเทาลักษณะของคนป่วยที่ติดยาเสพติดในกรุ๊ปสารแอลคาลอยด์ เวียนศีรษะ เป็นต้น ด้วยคุณประโยชน์นานัปการของถั่งเช่า จึงทำให้ได้รับสมญานามว่าเป็นยอดสมุนไพรจีนที่หลายๆคนคัดสรรมาบำรุงร่างกาย รวมทั้งยังมีราคาสูง แต่ ก่อนการเลือกกินหรือใช้ถั่งเช่าเพื่อรักษาโรคใดๆตามคำกล่าวอ้าง ควรศึกษาข้อมูลด้านการแพทย์ที่เสนอแนะการใช้โดยสวัสดิภาพซะก่อน สำหรับงานศึกษาเรียนรู้วิจัยแล้วก็ค้นคว้าเกี่ยวกับคุณสมบัติของถั่งเช่าสำหรับการรักษาโรคมีล้นหลามหลายด้าน ดังนี้
คุณประโยชน์ทางด้านการแพทย์ของถั่งเช่า
จากฐานข้อมูลที่ครอบคลุมเกี่ยวกับการแพทย์ทางธรรมชาติ (Natural Medicines Comprehensive Database) ได้แบ่งระดับความน่าไว้ใจของการใช้ถั่งเช่าเป็นการรักษาโอกาสจากธรรมชาติส่วนมากอยู่ในระดับที่ยังมีหลักฐานน้อยเกินไปต่อการบ่งบอกความสามารถ (Insufficient Evidence to Rate) และก็ในด้านเสริมสมรรถนะสำหรับการออกกำลังกายถูกจัดให้อยู่ในระดับที่บางทีอาจไม่ได้ผล (Possibly Ineffective)
การรักษาที่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอต่อการระบุประสิทธิภาพ
โรคหอบหืด ถั่งเช่าเป็นยาแผนโบราณของจีนที่ได้เอ่ยถึงคุณสมบัติต่อต้านการอักเสบ โดยมีการศึกษาประสิทธิภาพของถั่งเช่าในคนไข้โรคหอบหืดที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรง 120 คน เพื่อมองผลของถั่งเช่าต่อคุณภาพชีวิตคนไข้ เป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยให้กลุ่มแรกกินถั่งเช่ารวมทั้งอีกกลุ่มมิได้กิน เวลาเดียวกัน 2 กรุ๊ปยังได้รับยาแบบสูดดมคอร์ติวัวสเตียรอยด์และก็สารกรุ๊ปเบต้าอะโกนิสท์ (β-agonists) ซึ่งเป็นตัวยาสำคัญที่ช่วยบรรเทาโรคหอบหืด สำหรับเพื่อการประเมินผลมองจากการกำเริบของโรค การทดสอบสมรรถนะของปอด และการประมาณค่าการอักเสบในเลือด ผลจากการเล่าเรียนพบว่าถั่งเช่าช่วยให้ผู้เจ็บป่วยโรคหอบหืดในระดับปานกลางถึงร้ายแรงมีความก้าวหน้าดียิ่งขึ้นในด้านอาการโรค หลักการทำงานของปอด สภาวะอาการอักเสบของ แล้วก็คุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังมีการทดลองที่ได้ผลในทางตรงกันข้าม จากการทดลองให้คนป่วยโรคหืดหอบ อายุ 7-15 ปี รับประทานยาสมุนไพรที่มีส่วนผสมของถั่งเช่ากับสมุนไพรจำพวกอื่นอีก 4 ชนิดพร้อมกันกับยาคอร์ติวัวสเตียรอยด์แบบสูดกลิ่นเป็นระยะเวลา 6 เดือน เพื่อเปรียบเทียบกับยาหลอก ผลที่ได้พบว่า ไม่ได้แตกต่างระหว่างกลุ่มที่รับประทานยาสมุนไพรและก็ยาหลอกอย่างเห็นได้ชัดในด้านต่างๆของกลุ่มคนป่วยเด็กที่เป็นโรคโรคหอบหืด
การศึกษาทางวิทยา
จากการเล่าเรียนข้างต้นนับว่ายังไม่มีหลักฐานพอเพียงต่อการสรุปข้อมูล เนื่องด้วยยังเป็นการทดสอบการใช้ถั่งเช่าในแบบอย่างการดูแลรักษาเสริมควบคู่กับยาหลักที่รักษาโรค อีกทั้งช่วงเวลาสำหรับการทดลองค่อนข้างจะสั้น กลุ่มคนไข้เป็นเด็ก และไม่มีการติดตามผลในระยะยาว จึงจะต้องเล่าเรียนเสริมเติมในอนาคตด้านอื่นๆผู้ดูแลหรือคนป่วยควรจะขอความเห็นแพทย์ก่อนที่จะมีการใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรใดๆและก็ถั่งเช่าสำหรับเพื่อการรักษาโรค
ต่ออายุการเสียชีวิตของผู้ป่วย ถั่งเช่ายังใช้เป็นการรักษาหนทางจากธรรมชาติที่ช่วยยืดอายุคนป่วยโรคไตให้ยาวนานขึ้น โดยให้คนป่วยโรคมะเร็งตับที่เกิดจากปัจจัยต่างๆจำนวน 101 คน ทดสอบรับประทานถั่งเช่าแล้วก็สารจากธรรมชาติอื่น 11 ประเภท ในปริมาณที่ต่างกันเป็นระยะเวลาราว 13 เดือน หลังครบกำหนดจึงวัดผลด้วยการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ สารชี้โรคมะเร็ง และตรวจการทำงานของตับ ผลพบว่า ผู้ป่วยหวานใจษาด้วยการใช้ถั่งเช่าแล้วก็สารจากธรรมชาติ 4 จำพวกหรือมากกว่าขึ้นไป รอดตายนานอย่างชัดเจนกว่าคนไข้ที่ได้รับสารจากธรรมชาติน้อยกว่า 3 ชนิด แล้วก็ยังไม่พบผลข้างเคียง ทั้งนี้ เป็นการศึกษาค้นคว้าที่เก็บข้อมูลย้อนไป รวมทั้งเป็นการเรียนถั่งเช่าร่วมกับสารธรรมชาติตัวอื่น ก็เลยไม่สามารถเอามาสรุปผลได้แจ่มกระจ่าง แต่อาจรอข้อช่วยเหลืออื่นเพิ่ม เพื่อช่วยรับรองความสามารถของถั่งเช่า
โรคเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี มีการใช้ถั่งเช่าสำหรับในการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคตับอยู่หลายโรค ซึ่งรวมทั้งโรคไวรัสตับอักเสบ บี โดยมีการเรียนความสามารถของการใช้ถั่งเช่าในคนไข้โรคไวรัสตับอักเสบ บี เรื้อรังจำนวน 25 คน ในระยะเวลา 3 เดือน เพื่อเทียบผลก่อนและก็หลังการทดลอง จากการทดลองพบว่าระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวครั้งลิมโฟไซต์ที่ชี้ระดับภูมิคุ้มกันของร่างกายมากขึ้น บางทีอาจมีคุณประโยชน์ต่อการรักษาพังผืดในตับของคนป่วยโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี เรื้อรัง
ยิ่งกว่านั้น ยังมีการเรียนผลจากการรับประทานสารสกัดถั่งเช่าในผู้เจ็บป่วยโรคไวรัสตับอักเสบ บี เรื้อรัง ปริมาณ 60 คน เป็นระยะเวลา 6 เดือน โดยแบ่งได้ 2 กรุ๊ป กลุ่มแรกได้รับประทานสารสกัดถั่งเช่า ครั้งละ 8 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง แล้วก็อีกกรุ๊ปได้รับยาสมุนไพรชนิดอื่น ทีละ 5 เม็ด วันละ 3 ครั้งเช่นกัน ผลพบว่า คนไข้ที่รับประทานสารสกัดจากถั่งเช่ามีการอักเสบของตับต่ำลงประมาณ 81% แล้วก็การเกิดพังผืดลดลง 52% แม้กระนั้นยังมีผู้ป่วยอีก 33% ที่ไม่พบความเคลื่อนไหวของการเกิดพังผืดในตับ จึงอาจเป็นหลักฐานที่มั่นใจว่าถั่งเช่าอาจช่วยเพิ่มรูปแบบการทำงานของตับ ลดการอักเสบของตับลงและการเสี่ยงในการเกิดพังผืดที่ตับ

ลดผลกระทบของการเปลี่ยนถ่ายไต การดูแลและรักษาด้วยากดภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยปลูกถ่ายไตอาจจะส่งผลให้เป็นผลข้างๆได้สูง ด้วยคุณลักษณะของถั่งเช่าที่เชื่อกันว่าช่วยรักษาโรคไตได้อย่างมีคุณภาพ จึงมีการศึกษาผลการกินถั่งเช่าในผู้ป่วยเปลี่ยนถ่ายไต ปริมาณ 180 คน โดยแบ่งได้กลุ่มที่กินสารสกัดจากถั่งเช่าแล้วก็กรุ๊ปที่มิได้รับประทาน เพื่อเทียบการเกิดปฏิกิริยาต่อต้านไตของร่างกาย การต่อว่าดเชื้อ แล้วก็อัตราการรอดชีวิตข้างหลังการเปลี่ยนถ่ายไต โดยมีการติดตามผลในช่วง 1-5 ปี ผลพบว่า กลุ่มที่กินสารสกัดจากถั่งเช่ามีอัตราการต่อว่าดเชื้อ ค่าลักษณะการทำงานของตับรวมทั้งค่าเอนไซม์ต่างๆน้อยลงกว่ากรุ๊ปที่ไม่ได้รับประทานในช่วง 3-5 ปี นอกจากนี้ อัตราการรอคอยดชีวิตและก็ผลปลูกถ่ายไตได้เสร็จของผู้ป่วยในกรุ๊ปที่กินสารสกัดจากถั่งเช่าสูงขึ้นมากยิ่งกว่ากลุ่มมิได้กิน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากถั่งเช่าอาจลดอัตราการปฏิเสธการปลูกถ่ายไตของร่างกาย ช่วยรูปแบบการทำงานของตับและก็ไต กระตุ้นการผลิตเม็ดเลือด และลดการติดเชื้อในผู้เจ็บไข้ที่เข้ารับการเปลี่ยนถ่ายไต
ยิ่งกว่านั้น อีกงานศึกษาวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าถั่งเช่าอาจมีประโยชน์ต่อผู้เจ็บป่วยที่เปลี่ยนถ่ายไต โดยใช้เป็นการรักษาเสริมพร้อมกันกับยากดภูมิต้านทาน จากการทดสอบให้คนป่วยปลูกถ่ายไต 202 คน กลุ่มหนึ่งรับประทานถั่งเช่าในปริมาณ 1 กรัม วันละ 3 ครั้ง ควบคู่กับยากดภูมิต้านทาน รวมทั้งอีกกลุ่มรับประทานเฉพาะยากดภูมิคุ้มกันเพียงอย่างเดียว ผลปรากฏว่า คนเจ็บไม่เจอผลกระทบจากการใช้ถั่งเช่า รวมถึงยังลดอัตราการรั่วของโปรตีนในเยี่ยวและก็ความเสี่ยงต่อภาวะไตเปลี่ยนถ่ายเสื่อมเรื้อรังให้ช้าลง
ผลการศึกษาเรียนรู้ในข้างต้นก็เลยทำให้เห็นว่าถั่งเช่าบางทีอาจเป็นประโยชน์ต่อการรักษาคนป่วยเปลี่ยนถ่ายไต โดยช่วยลดจำนวนการใช้ยาให้ลดลง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลต่อการอยู่รอดของผู้ป่วยที่ได้รับการเปลี่ยนถ่ายไตในระยะยาว
โรคหรือภาวการณ์อื่นๆยกตัวอย่างเช่น ปรับแก้คุณภาพชีวิตของคนเจ็บโรคมะเร็งหลังแนวทางการทำเคมีบำบัด (คีโม) เพิ่มความปรารถนาทางเพศ ทุเลาอาการเหนื่อยง่าย แก้ไอ รักษาโรคหลอดลมอักเสบ ความไม่ดีเหมือนปกติของการหายใจ ภาวการณ์องคชาติไม่แข็ง โรคโลหิตจาง สภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ คอเลสเตอรอลสูง ความเปลี่ยนไปจากปกติของตับ มึนหัว ฯลฯ ซึ่งยังขาดหลักฐานที่ดีเพียงพอสำหรับเพื่อการรับรองคุณประโยชน์พวกนี้
การดูแลรักษาที่อาจไม่ได้ผล
เสริมสมรรถนะสำหรับในการบริหารร่างกาย เป็นสมุนไพรที่ใช้ในยาแผนโบราณของจีน เพื่อรักษาลักษณะของการป่วยหลายประเภทและก็ยังช่วยทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นของร่างกาย ก็เลยมักนิยมรับประทานเป็นยาบำรุงกำลัง จากการทดสอบเปรียบผลของการรับประทานรวมทั้งสมุนไพรจำพวกอื่นกับยาหลอกในนักปั่นจักรยานชาย 8 คน เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของระบบไหลเวียนโลหิตภายในร่างกาย โดยประเมินผลก่อนรวมทั้งข้างหลังของอีกทั้ง 2 กรุ๊ป กลับไม่เจอไม่เหมือนกันอย่างชัดเจนต่อค่าที่วัดได้ แปลว่าการรับประทานไม่มีผลต่อคุณภาพของการออกกำลังในนักกีฬา
ยิ่งไปกว่านี้ ยังมีงานเรียนรู้อื่นที่ชี้ว่าการรับประทานไม่ช่วยเพิ่มความทนทานต่อการออกกำลังกายในกลุ่มนักกีฬา โดยทดลองให้นักปั่นจักรยาน 22 คน ทานอาหารเสริมจากถั่งเช่า 3 กรัมต่อวัน เปรียบเทียบกับยาหลอกติดต่อกัน 5 อาทิตย์ แล้วต่อจากนั้นประเมินผลทุกๆสัปดาห์ ทำให้ทราบว่าอาหารเสริมจาก[url=http://www.disthai.com/16484912/%E0%B8%96%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%B2]ถั่งเช่า[/url][/url][/color]และยาหลอกไม่ส่งผลอะไรก็แล้วแต่ต่อความทนทานสำหรับการบริหารร่างกายที่มากขึ้น ในเวลาเดียวกัน การทดสอบวัดสมรรถนะของนักปั่นจะยานมือสมัครเล่น 17 คน ข้างหลังกินผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีส่วนประกอบหลักจากถั่งเช่า 1,000 มิลลิกรัม รวมทั้งสมุนไพรจำพวกอื่นในจำนวนที่แตกต่างกันเปรียบเทียบกับยาหลอก โดยครั้งที่ 1 แล้วก็ครั้งที่ 2 ห่างกัน 14 วัน เมื่อผ่านไป 2 อาทิตย์ก็ไม่เจอความเคลื่อนไหวในทิศทางที่ แม้ว่าความศรัทธาและการเรียนรู้ก่อนหน้าที่แสดงว่าถั่งเช่าอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของนักกีฬา ผลการศึกษาวิจัยในตอนนี้ไม่พบไม่เหมือนกันอย่างแจ่มแจ้งของการกินถั่งเช่าต่อสถาพทางร่างกายแต่อย่างใด

Tags : สมุนไพรถั่งเช่า

หน้า: [1] 2 3 ... 6