รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Topics - billcudror1122

หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7
61
อื่น ๆ / สัตววัตถุ เต่ากระดองเหลือง
« เมื่อ: ธันวาคม 13, 2017, 12:43:25 PM »

กระดองเต่าเหลือง
เต่าเหลืองIndotestudo elongata (Blyth) เป็นเต่าขนาดกลาง กระดองยาวนูนสูง สีเหลือง มีลายดำ ไม่มีเดือยเสมือนเต่าบกชนิดอื่น อยู่ในที่แล้งได้ พบตามป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง และก็ป่าดงดิบแล้งทั้งประเทศ พระคัมภีร์ปฐมจิณดาร์ให้ยาขนานหนึ่งที่เข้า “กระดองเต่าเหลืง” เป็นเครื่องยาด้วย ดังนี้
สมุนไพร ยาผายพิษสรรพพิษทั้งปวง ขนานนี้ท่านให้เอารากไคร้เครือต้น ๑ รากไคร้เครือ ๑ พิศนาด ๑ ปลาไหลเผือก ๑ รากนมแมว ๑ กรักขี ๑ กระดูกงูเหลือม ๑ สังข์ ๑ มุก ๑ กำมะถันแดง ๑ ดีปลี ๑ เนรภูสี ๑ เบ็ญกานี ๑ หว้านกีบแรด ๑ หว้านร่อนทองคำ ๑ เม็ดในสะเดา ๑ รวมยา ๑๖ สิ่งนี้เอาสิ่งละ ๑ สลึง มะขามป้อม ๒ สลึง หัวมหากาฬ ๒ สลึง จันทน์ขาว ๒ สลึง กระดูกอีแร้ง ๒ สลึง เปล้าน้อย ๒ สลึง ท้อถอยม ๒ สลึง กฤษณา ๒ สลึง กะลำภัก ๒ สลึง ฟันกรามแรด ๒ สลึง กรามช้าง ๒ สลึง เขี้ยวเสือ ๒ สลึง เขี้ยวจรเข้ ๒ สลึง บัลลังก์ศิลา ๒ สลึง ผลจันทน์ ๒ สลึง กระดองเต่าเหลือง ๒ สลึง ผลสารพัดพิษ ๒ สลึง ยาดำ ๑๒ บาท ๒ สลึง รวมยา ๓๒ สิ่งนี้กระทำให้เปนจุณ บดทำแท้งไว้เท่าผลทองหลางตากให้แห้ง ใส่ขวดไว้อย่าให้ลมเข้าได้ แก้พิษฝีดาด

ฝียอดเดียวแลพิษทรางอันร้ายทั้งสิ้น ซึ่งทำให้สลบไปแต่เช้าถึงเที่ยง ละลายด้วยน้ำดอกไม้เทศให้กินเข้าไป พอเพียงยาตกถึงท้องฟื้นขึ้นมา หากจะแก้ลงละลายน้ำมะเดื่อ หากปวดมวนท้องนักแชกฝิ่นรับประทานถ้ารากพิมเสนรำฝึกดีนักแล

62
อื่น ๆ / สัตววัตถุ ชั้นสัตว์ปีก
« เมื่อ: ธันวาคม 13, 2017, 09:12:52 AM »

ชั้นสัตว์ปีก
ชั้นสัตว์ปีก (Class Aves) เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังพวกแรกที่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีขน(feather) ลักษณะเป็นแผงปกคลุมตัว มีปีกซึ่งเปลี่ยนแปลงมาจากขาหน้าของสัตว์จตุๆบาทอื่นๆปากไม่มีฟัน กระเพาะอาหารจึงควรมีลักษณะเป็นกึ๋น (gizzard) ช่วยบดของกิน ปอดมีถุงลมแทรกอยู่ในกระดูกที่เป็นโพรง ทำให้หายใจได้ดีมากว่าสัตว์อื่น ไม่มีกระเพาะปัสสาวะ ผสมพันธุ์ข้างใน ออกลูกเป็นไข่
สมุนไพร ดังเช่น ไก่ เป็ด นกต่างๆ

63
อื่น ๆ / สัตววัตถุอีเเอ่นกินรัง
« เมื่อ: ธันวาคม 05, 2017, 01:52:17 AM »

อีแอ่นรับประทานรัง
อีแอ่นรับประทานรังเป็นอีแอ่นขั้นต่ำ ๓ จำพวก
ในสกุล Collocalia
สกุล Apodidae เป็น
๑.อีแอ่นกินรัง
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Colocalia  fuciphaga  (Gmelin)
มีชื่อสามัญว่า  edible – nest  swiftlet ชนิดนี้ทำรังด้วยน้ำลายล้วนๆ
สมุนไพร
๒.อีแอ่นกินรังสะโพกขาว
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  Colocalia  germani  Oustalet
มีชื่อสามัญว่า Germain’s  swiftlet จำพวกนี้ทำรังด้วยน้ำลายล้วนๆเช่นเดียวกับประเภทแรก

๓.อีแอ่นรังดำ หรือ อีแอ่นหางสี่เหลี่ยม
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Colocalia  maxima  Hume
ชื่อสามัญว่า  black – nested  swiftlet   จำพวกนี้สร้างรังด้วยขนนกยาวราว  ๖0  มีน้ำลายเป็นตัวเชื่อมจำนวนร้อยละ  ๔0 อีแอ่นในสกุล  Colocalia   ที่เจอในประเทศไทยมี  ๕  ชนิด  เว้นแต่  ๓  จำพวกข้างต้นแล้ว   ที่เหลืออีก  ๒  ชนิดเป็น
๔.อีแอ่นท้องขาว
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  Colocalia  esculenta  (Linnaeus)
มีชื่อสามัญว่า  glossy  swiftlet   จำพวกนี้สร้างรังด้วยหญ้ารวมทั้งพืชต่างๆ  มีน้ำลายเป็นตัวเชื่อมเพียงเล็กน้อย

Tags : สมุนไพร

64
อื่น ๆ / สัตววัตถุอีเเอ่นกินรัง
« เมื่อ: ธันวาคม 04, 2017, 08:46:03 AM »

อีแอ่นรับประทานรัง
อีแอ่นรับประทานรังเป็นอีแอ่นขั้นต่ำ ๓ ชนิด
ในสกุล Collocalia
สกุล Apodidae คือ
๑.อีแอ่นรับประทานรัง
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Colocalia  fuciphaga  (Gmelin)
มีชื่อสามัญว่า  edible – nest  swiftlet ประเภทนี้ทำรังด้วยน้ำลายล้วนๆ
สมุนไพร
๒.อีแอ่นกินรังสะโพกขาว
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  Colocalia  germani  Oustalet
มีชื่อสามัญว่า Germain’s  swiftlet จำพวกนี้สร้างรังด้วยน้ำลายล้วนๆเช่นเดียวกับจำพวกแรก

๓.อีแอ่นรังดำ หรือ อีแอ่นหางสี่เหลี่ยม
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Colocalia  maxima  Hume
ชื่อสามัญว่า  black – nested  swiftlet   ประเภทนี้ทำรังด้วยขนนกยาวราว  ๖0  มีน้ำลายเป็นตัวเชื่อมร้อยละ  ๔0 อีแอ่นในสกุล  Colocalia   ที่เจอในประเทศไทยมี  ๕  ชนิด  นอกจาก  ๓  ชนิดข้างต้นแล้ว   ที่เหลืออีก  ๒  จำพวกเป็น
๔.อีแอ่นท้องขาว
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  Colocalia  esculenta  (Linnaeus)
มีชื่อสามัญว่า  glossy  swiftlet   ชนิดนี้ทำรังด้วยหญ้ารวมทั้งพืชต่างๆ  มีน้ำลายเป็นตัวเชื่อมเพียงเล็กน้อย

65
อื่น ๆ / สัตววัตถุ นกอีเเอ่น
« เมื่อ: ธันวาคม 04, 2017, 06:58:40 AM »

อีแอ่น
อีแอ่น เป็นชื่อไทยแท้ของนก ๒ วงศ์ (เดี๋ยวนี้คนประเทศไทยมีความคิดเห็นว่าชื่อ “อีแอ่น” ไม่สุภาพหรือเปล่าเพราะว่า ก็เลยเปลี่ยนเป็นชื่อ“นางแอ่น” หรือ“นกแอ่น” เช่นเดียวกับ“กา” เป็น  “นกกา” หรือ “อีแร้ง” เป็น “นกแร้ง”) คือ ตระกูล Apodidae (ชั้น  Apodiformes) กับวงศ์ Hirundinidae (ชั้น Passeriformes)
อีแอ่นรับประทานรังเป็นนกในวงศ์ Apodidae ส่วนนกในวงศ์ Hirundinidae หลายประเภทเรียก “อีแอ่น” เช่นกัน แต่นกที่จัดอยู่ในสกุลหลังนี้ทำรังด้วยดิน ไม่มีน้ำลายเป็นตัวเชื่อมอยู่ประการใด รวมทั้งนกตาพอง (Pseudochelidon  sirintarae  Thonglongya) ที่มีผู้ตั้งชื่อให้ใหม่เป็นนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร อันเป็นนกถิ่นเดียวของไทย เจอที่บ่อน้ำบอระเพ็ด   จังหวัดนครสวรรค์ ปัจจุบันเป็นนกหายากและก็มีปริมาณน้อยหรือบางครั้งก็อาจจะสิ้นซากไปแล้งก็ได้
๕.อีแอ่นหิมาลัย   มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Colocalia  brevirostris  (Horsfield) มีชื่อสามัญว่า Himalayan  swiftlet จำพวกนี้ทำรังด้วยต้นหญ้าแล้วก็พืชประเภทต่างๆมีน้ำลายเป็นตัวเชื่อมเพียงนิดหน่อย อีแอ่น ๒ จำพวกแรกเป็นอีแอ่นกินรังกับอีแอ่นรับประทานรังสะโพกขาว สร้างรังด้วยน้ำลายล้วนๆจึงเป็นรังนกที่มีคุณภาพดียอด เป็นที่รู้จักกันมานานรวมทั้งเป็นที่เรียกร้องของตลาด ราคาแพงแพงมาก ส่วนรังของอีแอ่นประเภทอื่นในสกุลเดียวกันนี้ไม่เป็นที่นิยมของตลาด โดยเฉพาะ ๒ จำพวกข้างหลัง  คือ  อีแอ่นท้องขาวและก็อีแอ่นหิมาลัย
อีแอ่นรับประทานรังเป็นนกที่อาศัยอยู่ในถ้ำหินปูนหรือถ้ำหินทรายตามเกาะต่างๆตามทะเลหรือตามริมฝั่งต่างๆหรือบางทีอาจอาศัยอยู่ตามสิ่งปลูกสร้างต่างๆอาทิเช่น ตึก โบสถ์ และก็บินออกมาจากถิ่นในช่วงเวลาเช้ามืด ไปพบกินตามแหล่งน้ำในช่องเขาหรือตามป่า โดยบินไม่หยุดตลอดทั้งวัน ห่อนกลับมายังถิ่นที่อยู่ในช่วงเย็นหรือค่ำ นกพวกนี้สามารถบินโดยใช้เสียงสะท้อนกลับ (echolocation) ก็เลยไม่ชนกับเครื่องกีดขวางใดๆก็ตามทั้งๆที่ถิ่นที่อยู่มืดสนิท ราวร้อยละ ๘0 ของอาหารเป็นแมลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมดมีปีก ในช่วงฤดูฝนนั้น ของกินของนกเหล่านี้เป็นนกเกือบจะทั้งหมด อีแอ่นกินรังที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราชข้อมูลตั้งแต่นี้ต่อไปเป็นผลงานของการค้นคว้าวิจัยของรองศาสตราจารย์โอภาส  ขอบเขตต์   ราชบัณฑิต ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนก ซึ่งได้รายงานต่อที่ประชุมราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ แห่งราชบัณฑิตยสถาน เมื่อวันที่ ๗ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช๒๕๔๔ ในหัวข้อเรื่อง “อีแอ่นรับประทานรังในอำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช” ก่อนที่จะท่านจะถึงแก่บาปเพียง  ๕  เดือนเศษ
สมุนไพร อีแอ่นกินรังในอำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นจำพวก Colocalia  fuciphaga  (Gmelin) หรือ eible – nest swiftlet ในราว ๕0 ปีที่ล่วงเลยไป อีแอ่นกินรังได้เข้ามาอาศัยรวมทั้งสร้างรังในบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งประชาชนเรียก “บ้านร้อยปี” โดยเริ่มเข้ามาอาศัยที่ชั้น  ๓  อันเป็นชั้นบนสุด เจ้าของบ้านก็เลยย้ายมาอยู่ที่ชั้น ๒ ต่อมาจำนวนนกมีเป็นจำนวนมากกระทั่งรุกพื้นที่ชั้น ๒ เจ้าของบ้านจึงย้ายมาอยู่ที่ชั้น ๑ ซึ่งเป็นร้าน แต่ว่าเดี๋ยวนี้บ้านหลังนี้มีนกอยู่เต็มทั้งยัง  ๓  ชั้น โดยเจ้าของบ้านปิดกิจการและก็ย้ายไปอยู่ที่อื่นๆ แต่กลับมาเก็บรังนกทุกเดือน  โดยเฉลี่ยได้รังนกราวเดือนละ  ๖  โล (มูลค่าโลละ  ๕0000-๗0000 บาท) ในช่วงนั้นอีแอ่นกินรังไปอาศัยอยู่บริเวณโบสถ์ของวัดซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ โดยที่เดิมที่ทางวัดมิได้เก็บรัง แต่ว่าปัจจุบันคณะกรรมการวัดก็เก็บรังนกขายเช่นเดียวกับบ้านร้อยปี  โดยได้รังนกเฉลี่ยราวเดือนละ  ๒  กิโลกรัม

ในตอน ๕ ปีที่ล่วงเลยไป อีแอ่นกินรังรอบๆตลาดอำเภอปากพนังได้เพิ่มขึ้น  จนกระทั่งเข้าไปอยู่ในอาคารสูงๆหลายอาคารทางฝั่งด้านทิศตะวันออก(ฝั่งบ้านร้อยปี) ส่วนฝั่งทางตะวันตก(ฝั่งวัด) ก็มีบ้าง แต่ว่าน้อยกว่ามากมาย ปัจจุบันมีการก่อสร้างอาคารสูง๑๐ชั้น  มากกว่า ๑๐ตึก  แต่ละตึกใช้เงินลงทุนไม่น้อยกว่า  ๕  ล้านบาท  โดยหวังให้อีแอ่นเข้าไปอาศัยทำรัง   รวมแล้วมีตึกที่สร้างขึ้น  โดยหวังว่าอีแอ่นรับประทานรังจะเข้าไปสร้างรังไม่น้อยกว่า  ๕0   ตึก แม้กระนั้นอีแอ่นก็ไม่ได้เข้าไปอาศัยสร้างรังทุกอาคาร
เพราะเหตุใดอีแอ่นจึงเลือกตึกใดอาคารหนึ่งเพื่อทำรัง  คำตอบนี้ยังไม่หาคำตอบได้แต่ว่าจากการศึกษาเล่าเรียนพบว่า อีแอ่นจะเข้าไปทำรังในอาคารสูงตั้งแต่  ๑-๗  ชั้น อาคารจำนวนมากมักมีสีเหลืองไข่ไก่  แม้กระนั้นลางตึกที่ยังสร้างไม่เสร็จแล้ว  ยังเป็นสีอิฐ  ก็มีนกเข้าไปอาศัยแล้วก็ทำรัง ส่วนทิศทางการเข้าออกของอีแอ่นนั้น พบว่ามีแทบทุกทิศทาง ไม่แน่นอน แม้กระนั้นทางเข้าออกของนกโดยส่วนมากเป็นทิศใต้ค่อนไปทางทิศตะวันตก
อย่างไรก็ตาม  อุณหภูมิและความชุ่มชื้นภายใต้ตึกน่าจะเป็นปัจจัยหลักที่สุดที่นกเลือกอาศัยและก็สร้างรัง พบว่าอาคารที่นกอาศัยจะอยู่ระหว่าง  ๒๖-  ๒๙  องศาเซลเซียส   และความชื้นสัมพัทธ์ไม่น้อยกว่าปริมาณร้อยละ  ๗๕   (อยู่จำนวนร้อยละ  ๗๙-๘0  ) ฝาผนังอาคารต้องไม่น้อยกว่า  ๓0  เซนติเมตร ด้านในมีอ่างน้ำรอบๆหรือเกือบรอบ ไม่มีหน้าต่าง   แต่ว่ามีช่องลมให้นกเข้าออกขั้นต่ำ  ๒  ช่อง ซึ่งอุณหภูมิรวมทั้งความชื้นสัมพัทธ์ในตึกพวกนี้ใกล้เคียงกับถ้ำธรรมชาติที่นกจำพวกนี้ใช้เป็นที่อาศัยและสร้างรัง สำหรับการเก็บรังนกนั้น เจ้าของบ้านเก็บก่อนที่จะนกจะออกไข่   เป็นราว  ๓0  วัน   ภายหลังนกเริ่มทำรัง  รวมทั้งเก็บทุกๆเดือน
แต่|แต่ว่า|แม้กระนั้น}หากเป็นรังที่นกออกไข่แล้ว  ก็จะปล่อยให้นกตกไข่ถัดไปจนกระทั่งครบ  ๒  ฟอง แล้วปลดปล่อยให้ไข่ฟัก  รวมทั้งเลี้ยงลูกอ่อนจนกระทั่งลูกบินได้จึงจะเก็บรัง

66
อื่น ๆ / สัตววัตถุ กวาง
« เมื่อ: ธันวาคม 02, 2017, 05:53:24 AM »

กวาง
กวาง หรือ กวางป่า เป็นสัตว์กินนมขนาดใหญ่
มีชื่อสามัญว่า sambar  หรือ  sambar  deer
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cervus unicolor Kerr
จัดอยู่ในตระกูล  Cervidae  กวางม้าก็เรียก
ชีววิทยาของกวาง
กวางป่าเป็นสัตว์กีบคู่ มี ๔ กระเพาะ จัดเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้อง เพศผู้มีเขา ตัวเมียไม่มีเขา ลำตัวสูง ๑๒0-๑๕๕ เซนติเมตร น้ำหนัก ๑๘๕-๒๖0 กก. ขนยาว หยาบคาย สีน้ำตาลเข้ม รอบๆคอจะยาวแล้วก็หนาแน่นกว่าที่อื่น เห็นได้ชัดในตัวผู้ลูกกวางที่เกิดใหม่ไม่มีจุดสีขาวบนลำตัว ลางตัวบางทีอาจมองเห็นจุดสีขาวลางๆที่สะโพก หางค่อนข้างสั้น แอ่งน้ำตาที่ศีรษะตาทั้งสองข้างมีขนาดใหญ่ยื่นออกมาเห็นได้ชัดเจน ในช่วงฤดูผสมพันธุ์ แอ่งน้ำตานี้จะมีขนาดใหญ่ขึ้นอีก และก็ขับสารที่มีกลิ่นฉุนออกมา ประสาทหู ตา และจมูกไวมาก   ตัวผู้มีเขา ซึ่งแตกออกครั้งแรกเมื่ออายุ ๑.๕  ปี มีเพียงข้างและกิ่งเรียก เขาเทียน เมื่อเขาเทียนหลุด เขาจะแตกออกใหม่อีกทีเมื่ออายุได้ ๒.๕-๓  ปี มีข้างละ ๒ กิ่ง เมื่อเขา ๒ กิ่งนี้หลุดไป จะมีเขาแตกออกขึ้นใหม่อีกเมื่ออายุราว ๔  ปี  มี ๓ กิ่ง หลังจากนั้นผลัดเขาทุกปีในตอนเดือนมีนาคมถึงม.ย. แต่ว่าจะมีเพียงข้างละ  ๓  กิ่ง ไม่มากมายไปกว่านี้ เขากวางเป็นแท่งตันกวางป่ามักอยู่ตัวเดียวตามป่าทั่วๆไป และ สมุนไพร ป่าทึบ เวลากลางวันจะนอนนิ่งอยู่ในป่ารกทึบ หรือนอนเกลือกแช่ปลักโคน ว่ายเก่งและก็แคล่วคล่องว่องไว ออกหากินตอนเย็นหรือพลบค่ำถึงรุ่งสว่าง  รับประทานยอดอ่อนของพืชรวมทั้งผลไม้เป็นอาหารฤดูผสมพันธุ์อยู่ในตอนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม เพศผู้ดุร้ายแล้วก็หวงตัวภรรยามาก  มักมีการต่อสู้กันเพื่อแย่งตัวเมีย  หลังฤดูสืบพันธุ์ เพศผู้แล้วก็ตัวเมียจะแยกกันออกหากิน ตัวเมียท้องนาน ๘-๘.๕  เดือน ออกลูกทีละ  ๑  ตัว ในตอนต้นหน้าฝน ลูกกวางอย่านมเมื่ออายุ  ๗-๘  เดือน และก็เริ่มจากแม่ออกไปพบกินเองเมื่ออายุราว ๑ ปี กวางป่าผสมพันธุ์ได้เมื่ออายุ  ๑.๕-๒  ปี แล้วก็เมื่อแก่ได้ ๑๘-๒0  ปีกวางป่าพบได้ตามป่าดงดิบทั่วทุกภาคของเมืองไทย ทั้งป่าสูงและป่าต่ำ ในต่างแดนเจอที่อินเดีย เนปาล ศรีลังกา ประเทศพม่า  จีนตอนใต้  ลาว  เวียดนาม กัมพูชา  มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ จัดเป็นสัตว์ป่าป้องกันของไทย

Tags : สมุนไพร

67
อื่น ๆ / สัตววัตถุ กวาง
« เมื่อ: ธันวาคม 01, 2017, 09:57:05 AM »

เขากวางอ่อน
เมื่อกวางผลัดเขา เขากวางแยกหลุดจากตอเขา ผิวหนังบริเวณรอบๆโคนเขาจะเจริญขึ้น มาปิดแผลภายใน ๔-๕  วัน เลือดจะเริ่มเข้าไปหล่อเลี้ยง พร้อมด้วยมีสารประกอบแคลเซียมพอกสะสมขึ้น เขาใหม่จะหุ้มด้วยหนังนุ่มๆและก็ขนสั้นๆสีน้ำตาลเหมือนผ้ากำมะหยี่ เขารูปแบบนี้เรียกว่า “เขากวางอ่อน”  ซึ่งหักได้ง่าย เมื่อหักจะมีเลือดออก กวางลางตัวอาจจนตายได้ หากเลือดออกไม่หยุด ในระยะที่มีเขาอ่อน กวางจะหาเลี้ยงชีพอยู่ที่โล่งหรือที่โล่งแจ้ง โดยหลบหลีกไม่เข้าไปในป่าทึบหรือป่าหนามเขากวางอ่อนเป็นเครื่องยาที่รับรองเป็นหนังสือเรียนยาแห่งประเทศสหรัฐสามัญชนจีน   บางทีอาจได้จากเขาอ่อนกวาง  ๒  ชนิด  เป็น
๑.กวางดอกเหมย  (sika  deer)   มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  Cervus  Nippon  Temminck
๒.กวางแดง  (red  deer)   มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  Cervus  elaphus  Linnaeus
เขากวางอ่อนนี้มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า pilose  antler มีชื่อยาในภาษาละตินว่า Cornu  Cervi  Pantotrichum เป็นเขากวางอ่อนที่พึ่งจะผลิออก ภายในเขายังไม่เป็นกระดูกแข็งสำหรับเพื่อการตัดเขากวางนั้น ใช้เลื่อยตัดทิ้ง โดยเริ่มตัดเขาอ่อนเมื่อกวางแก่ตั้งแต่  ๓  ปีขึ้นไป ตัดได้ปีละ  ๑-๒  ครั้ง เมื่อตัดแล้วต้องนำไปแปลสภาพทันที เริ่มด้วยการล้างเอาสิ่งสกปรกที่ติดมากับขนบนเขากวาง แล้วบีบเลือดที่ติดมาอีกส่วนหนึ่งส่วนใดออกไป แล้วก็เลยใส่ลงในน้ำเดือด  ๓-๔  ครั้ง ทีละ  ๑๕-๒0 วินาที เพื่อขับเลือดให้หมด จากนั้นจึงเอามาตากหรืออบให้แห้ง ยิ่งไปกว่านั้นยังบางทีอาจตัดเขากวางติดกับกะโหลก แม้กระนั้นจะใช้กับกวางที่ป่วยไข้หรือแก่มากมายแล้วเท่านั้น เขากวางอ่อนที่มีคุณภาพดีควรจะเป็นเขาบริบูรณ์ (ขนละเอียด สีน้ำตาลอ่อนไม่หัก) มีน้ำหนักค่อย ข้างล่างไม่มีรอยแยก หน้าตัดมีรูพรุนแน่น สีเหลืองเปลือกข้าว ส่วนที่มีขนหยาบคายไม่สมบูรณ์ หน้าตัดมีสีเทาผสมแดง เป็นประเภทที่มีคุณภาพรองลงมา

ตำราเรียน
ยาจีนว่า เขากวางอ่อนมีรสหวาน มีฤทธิ์ร้อน เป็นยาบำรุงชั้นยอด ดังคำจีนโบราณที่ว่า “ยามพอหมดเรี่ยวแรง หายาอะไรก็ตามมิได้ ถ้าเกิดได้รับประทานเขากวางอ่อนแล้ว ถึงแม้ไม่มีแรงก็ช่วยให้ฟื้นคืนได้” เขากวางอ่อนมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงเลือด ชูกำลังทำให้กระดูกและก็เอ็นแข็งแรง แก้อาการอ่อนล้า ลายตา หูตึง ตามัว เข่าเจ็บ และที่สำคัญเป็น สมุนไพร  ช่วยเสริมความสามารถทางเพศ แก้โรคน้ำอสุจิไหลเองโดยไม่รู้ตัวเป็นประจำแก้รอบเดือนมามากไม่ปรกติ บำรุงครรภ์ (ทำให้ทารกในท้องสงบ) แก้อาการท้องเสียเรื้อรัง โดยเฉพาะที่เกิดกับคนแก่ โดยทั่วไปใช้บดเป็นผุยผง รับประทานทีละ ๑-๒.๕ กรัม กับน้ำสุกจะใช้ดองสุรา หรือปั้นเป็นยาลูกกลอนก็ได้ เนื่องด้วยเขากวางอ่อนเป็นยาบำรุงที่มีฤทธิ์ร้อน จึงห้ามใช้กับผู้ป่วยที่จับไข้ ถ่ายหรืออ้วกเป็นเลือด ยิ่งกว่านั้น คนป่วยโรคความดันเลือดสูงหรือลักษณะการทำงานของตับผิดปรกติก็ไม่สมควรรับประทานมากเกินไป

68

[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพรชะมดต้น[/url][/size][/b]
ชะมดต้นเป็นพืช
อันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Abelmoschus moschatus Medik subsp moschatus
จัดอยู่ในวงศ์ Malvacaea
ประชาชนบางถิ่นเรียก ฝ้ายผีก็มี  มีชื่อสามัญว่า musk   mallow หรือ  Abel  muskพืชประเภทนี้เป็นไม้ล้มลุก อายุปีเดียว ลำต้นตั้งชัน แตกกิ่งเล็กน้อยอาจสูงได้ถึง  ๒  เมตร ใบเป็นใบผู้เดียวเรียงสลับกัน รูปหัวใจปนรูปไข่ โคนใบเว้า ขอบใบเว้าเป็น ๓-๕  แฉก ใบที่ปลายยอดจะเล็ก แฉกลึกแล้วก็แคบกว่าใบที่อยู่ใกล้โคนต้น ผิวใบมีขนรูปดาว ๒ ด้าน ก้านใบยาว ดอกมักออกผู้เดียวๆตามซอกใบ สมุนไพร ดอกใหญ่มีกลีบเลี้ยง ๕  กลีบ เชื่อมติดกันบนหลอด ปลายแยกเป็น  ๕  แฉก กลีบดอกเป็น  ๕  กลีบ เชื่อมชิดกันที่โคน สีเหลืองสด โคนกลีบสีแดงเข้ม เกสรเพศผู้มีหลายชิ้น เชื่อมชิดกันเป็นท่อยาว   รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ มี ๕ ช่อง ก้านเกสรเพศเมียยาวแทงพ่นท่อเกสรเพศผู้ ปลายแยกเป็น  ๕  แฉก ผลเป็นฝัก แตกได้ รูปรีปนรูปไข่ เป็นเฟืองตามแนวยาว ปลายเรียวแหลม ยาว  ๖.๓-๗.๕  เซนติเมตร ภายในฝักมี  ๕  ช่อง แต่ละช่องมีเมล็ดจำนวนไม่ใช่น้อย เมล็ดรูปไต มีกลิ่นฉุน แพทย์แผนไทยเรียกพืชจำพวกนี้ว่า “เทียนฉมต” หรือ“เทียนชะมด”   มีชื่อสามัญทางด้านการค้าว่า Ambrette seed หรือ Grains d’Ambrette ใช้เป็นยาแก้เสลดแล้วก็ดีพิการ แก้ลมให้คลื่นไส้ (ขับลม) เป็ยยาเย็น บำรุงธาตุ ยาบำรุง แก้อาการเกร็ง เมื่อเอามาบดกับนมใช้ทาแก้หิดหรือแก้คันได้ ถ้าเกิดเอาเม็ดมาบดจะได้กลิ่นราวกับราวกับกลิ่นชะมดเช็ด ผงเทียนชะมดใช้โรยในตู้ใส่เสื้อผ้า เพื่อกันไม่ให้แมงมากินเสิ้อผ้ารวมทั้งทำให้เสื้อผ้ามีกลิ่นหอมยวนใจ อีกทั้งใช้ผสมทำบุหงา น้ำมันที่ระเหยง่ายที่ได้จากผู้กระทำลั่นเทียนชะมดที่ใช้ปรุงน้ำหอมให้กลิ่นคงทนถาวร
 
ผลดีทางยา
ชะมดเช็ด (civet) เป็นเครื่องยาที่มีกลิ่นหอมหวน ได้จากเมือกของไขของตัวชะมดเช็ดตลอดตัวผู้และตัวเมีย ที่ถูไว้ตามไม้ที่ปักให้หรือที่ซี่กรงที่ขังสัตว์ไว้
ตำราเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณ ชะมดเช็ด มีกลิ่นหอมยวนใจฉุน ใช้เป็นยาบำรุงจิตใจให้ชุ่มชื่น เป็นยาชูกำลัง ใช้เป็นเครื่องหอมนอกจากนั้นยังใช้เป็นตัวทำให้น้ำหอมอยู่ทนทาน (fixative) ด้วย ก่อนนำชะมดเช็ดมาใช้ หมอแผนไทยมักฆ่าฤทธิ์ก่อน โดยผสมกับหัวหอมเล็กหรือผิวมะกรูดที่หั่นให้เป็นฝอยละเอียด ใส่ลงไปในช้าพลูหรือช้อนเงิน   นำไป ลนลานไฟเทียนจนกระทั่งชะมดนั้นละลาย แล้วก็มีกลิ่นหอมสดชื่นก็ดีก็เลยกรองเอาน้ำมันชะมดไปใช้เป็นยาต่อไป ชะมดจำพวกอื่นๆที่ให้  “ชะมดเช็ด”ชะมดเช็ดที่ใช้ในยาไทยนั้น ยังบางทีอาจได้จากชะมดประเภทอื่นๆในสกุล  Viverridae   ที่พบในประเทศไทยอีก ๒ ชนิด เป็น
๑.ชะมดประเภทแผงหางบ้อง
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Viverra  zibetha Linnaeus
มีชื่อสามัญว่า large Indian civet
เป็นชะมดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ขนาดวัดจากจมูกถึงปลายหางราว ๗๕-๘๕  ซม. หางยาว ๓๕-๔๕  เซนติเมตร น้ำหนักตัว ๘-๙ โล พื้นลำตัวมีสีเทาหรือสีน้ำตาล เหลือง มีจุดดำกระจายอยู่ทั่วๆไป ข้างคอมีแถบดำ ๓ แถบ รวมทั้งแถบขาว  ๒  แถบ พิงผ่านจากไหล่ทั้ง ๒ ข้าง มีลายดำเป็นเส้นยาวไปถึงโคนหาง กึ่งกลางหลังจากหัวถึงโคนหางมีขนสีดำตั้ง หางมีลายเป็นปล้อง มีขาวสลับดำ  ๕-๗  ข้อ ปลายหางสีดำ ปลายตีนสีน้ำตาลไหม้ เล็บหดกลับได้ครึ่งหนึ่งชะมดแผงหางข้อเป็นสัตว์ที่ทำมาหากินในยามค่ำคืน รวมทั้งถูกใจอยู่ตามลำพังในป่าทึบ ขึ้นต้นไม้เก่ง แม้กระนั้นพบได้มากอยู่บนพื้นดินมากกว่าบนต้นไม้ กลางวันหลบนอนในที่ป่าทึบหรือในโพรงดิน ต่อมกลิ่นอยู่ที่บริเวณตูด ใกล้โคนหาง จะเช็ดถูของเหลวจากต่อมนี้กับต้นไม้ เพื่อแสดงอาณาเขตและก็ติดต่อสื่อสารระหว่างกัน โดยยิ่งไปกว่านั้นในช่วงฤดูผสมพันธุ์กลิ่นดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วจะแรงมาก เป็นสัตว์ออกจะประหม่า  มักวิ่งหลบซ่อนมากยิ่งกว่าจะต่อสู้กับศัตรูชะมดแผงหางบ้องโตสุดกำลังเมื่อแก่ราว  ๒  ปี ผสมพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี ตั้งท้องนาน  ๖๐-๗๒  วัน คลอดทีละ  ๒-๔  ตัว แก่ถึงราว  ๑๐  ปี กินสัตว์เล็กๆอาทิเช่น หนู งู  นก แมลงและไข่แมลง ผลไม้และก็หน่อไม้ลางจำพวกเป็นอาหารพบในประเทศอินเดีย เมียนมาร์ จีนตอนใต้ ลาว  เวียดนาม เขมร และทุกภาคของไทย โดยยิ่งไปกว่านั้นภาคใต้
๒.ชะมดแผงสันหางดำ
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  Viverra  magaspila Blyth (ชื่อพ้อง Viverra  civettina  Blyth)
มีชื่อสามัญว่า  large – spotted  civet
เป็นชะมดขนาดใหญ่   ขนาดวัดจากปลายจมูกถึงโคนหางยาว  ๗๒-๘๕ ซม. หางยาว  ๓๐-๓๗ ซม. น้ำหนักตัว  ๘-๙  โล พื้นตัวสีเนื้อปนเทา มีจุดดำขนาดใหญ่ที่ข้างลำตัว สีข้าง รวมทั้งต้นขา ขาอีกทั้งสี่ดำ มีขนเป็นสันสีดำจากคอถึงหาง ปลายหางสีดำ จากกึ่งกลางหางถึงโคนหางมีบ้องสีดำ  ๔-๕  ปล้อง หน้าค่อนข้างยาว ตีนสีน้ำตาลแก่   หางสั้น ขายาว ต่อมกลิ่นอยู่ที่รอบๆก้น ใกล้โคนหาง จะเช็ดของเหลวจากต่อมนี้ถึงต้นไม้ เพื่อแสดงขอบเขตและสื่อสารระหว่างกัน โดยเฉพาะในฤดูสืบพันธุ์ กลิ่นดังกล่าวข้างต้นจะแรงมาก ชะมดแผงสันหางดำถูกใจอาศัยอยู่บริเวณป่าทึบรกๆออกหากินตัวเดียว ชอบออกหากินเวลาค่ำคืน ช่วงเวลากลางวันนอนแอบรอบๆตามป่าทึบหรือตามทุ่งที่มีต้นไม้ขึ้นเกลื่อนกลาดๆการขยายพันธุ์และของกินทำมาหากินที่เสมือนชะมดแผงหางข้อ พบในประเทศไทย ประเทศพม่า ลาว  เวียดนาม เขมรรวมทั้งในทุกภาคของไทย

69
อื่น ๆ / สมุนไพรอำพัน หมายถึงอะไร
« เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2017, 03:38:56 AM »

สมุนไพรอำพัน
อำพันเป็นซันแข็งที่ได้จากซากดึกดำบรรพ์ของสนโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์
อันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า  Pinus  succinifera Conw.
ในตระกูลPinaceae

มีชื่อสามัญว่า  amber
มีชื่อเรียกในภาษากรีกว่า electron (เพราะว่าเมื่อเอาอำพันมาถูกับไหมจะได้ไฟฟ้าสถิต) อันเป็นที่มาของคำว่า  electricity  ในภาษาอังกฤษ ที่แปลว่ากระแสไฟฟ้า สมุนไพร หมอแผนไทยใช้อำพันปรุงเป็นยาแก้โรคนอนไม่หลับ  กระวายกระวน  ขี้ลืม ควรกลนี  ๑  พิกุล  ๑  สาระภี  ๑  มะลิ  ๑  สัตบุศย์  ๑  สัตตบตระหนี่ ๑  กรุงเฉมา  ๑  อำพัน  ๑  ชะมดเชียง  ๑  พิมเสน  ๑  ยาทั้งนี้เอาส่วนเสมอกัน  บดปั้นแท่งไว้  ละลายน้ำดอกไม้ เมื่อจะกินให้แชกน้ำตาลกรวดแก้พิษกลุ้มในอกในทรวงให้สวิงสวายให้หิวโหยหากำลังมิได้กินหายแล

70

สมุนไพรลำพันแดง
ลำพันแดงเป็นเหง้าแห้งของพืชทะเลชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นอาหารของปลาพะยูน รางถิ่นเรียบรำพัน หัวงอสมุทร ว่านน้ำทะเล เนื่องจากมีใบเหมือนต้นหัวงอหรือ ว่านน้ำ หญ้าชะเงาใบยาวหรือต้นหญ้าพะยูน มีชื่อสามัญว่า sea acorus พืชที่ให้ลําพันแดงนี้กำเนิดในสมุทรบริเวณที่น้ำไม่ลึกนักต้นสูงรอบๆน้ำยาว  ๒ เมตรมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่าEnhalus acoroides (I.f) Rovle ในสกุลHydro-Charitaceae หนอนอยู่ในประเทศไทยพบได้ทั่วไปที่สมุทรจังหวัดตรังจังหวัดระยองจันทบุรีรวมทั้งตราด พืชชนิดนี้เป็นพืชใต้น้ำอายุนับเป็นเวลาหลายปีลำต้นเป็นเหง้าใหญ่แข็งมีเศษไม้ยาว ซึ่งเป็นส่วนของเส้นกลาง สมุนไพร ใบเหลือติดอยู่เต็มไปหมดทำให้ มีลักษณะคล้ายกับขนหางหมูหนังสือเรียนรางเล่มก็เลยเรียกรำพันหางหมูมีรากใหญ่แข็งแรงยึดดินไว้แน่น ใบเป็นใบเลี้ยงผู้เดียวแทงขึ้นจากเหง้ามี ๒-๗ใบเป็นแถบยาวกว้าง ๒ ถึง ๖ ซม.ยาว ๗๐ ถึง ๑๔๐ ซม.มีกาบหุ้มห่อที่โคนใบ มีเส้นใบ ๑๓-๑๔ เส้นขนานไปตามความยาวของใบ ดอกแยกเพศและแยก ตัวอ้นกัน ดอกเพศผู้ออกเป็นช่อดอกย่อยมีขนาดเล็กมีใบเสริมแต่งใหญ่ ๒ ใบ ก้านดอกยาว ๕-๑๐ซม. มีดอกเพศผู้ที่ยังอ่อนอยู่เยอะมากๆ ติดอยู่รอบแกนกลางภายในเสริมแต่งเมื่อแก่จะหลุดไปบานที่ผิวน้ำจะบานกระดกลงด้านล่างมีกลีบเลี้ยงรวมทั้งกลีบดอกไม้อย่างละ ๑ กลีบมีเกสรเพศผู้ ๓ อัน ดอกเพศภรรยามีขนาดใหญ่ กว่าก้านดอกยาวมากส่งดอกให้มาเจริญที่ผิวน้ำมีใบตกแต่งใหญ่ ๒ใบมีกลีบเลี้ยงรวมทั้งกลีบดอกอย่างละ 3๓กลีบรังไข่มี ๑ ช่องดอกเพศภรรยาเมื่อได้รับการผสมเกสรที่ผิวน้ำแล้วก้านดอกจะหดสั้นเข้าดึงได้ผลไปรุ่งโรจน์ใต้น้ำผลมีขนาดใหญ่รูปไข่ยาวราว ๗ซม. เปลือกนอกมีขนแข็งๆสีดำหลายชิ้นภายในมีเมล็ด๘-๑๔ เม็ด

ตำราเรียนคุณประโยชน์
ยาโบราณว่าลำพันแดงมีรสเค็มเฝื่อนฝาดมีคุณสมบัติเป็นยาขับและก็ถ่ายน้ำเหลืองเสียขับลมในไส้ ลำพันแดงเป็นเหง้าแห้งของพืชสมุทรประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นอาหารของปลาพะยูน รางถิ่นเรียบรำพัน หัวงอทะเล ว่านน้ำทะเล เพราะว่ามีใบเสมือนต้นหัวงอหรือ ว่านน้ำ ต้นหญ้าชะเงาใบยาวหรือหญ้าพะยูน มีชื่อสามัญว่า sea acorus พืชที่ให้ลําพันแดงนี้กำเนิดในสมุทรรอบๆที่น้ำไม่ลึกนักต้นสูงบริเวณน้ำยาว  ๒ เมตรมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่าEnhalus acoroides (I.f) Rovle ในวงศ์Hydro Charitaceae หนอนอยู่ในประเทศไทยพบได้บ่อยที่ทะเลจังหวัดตรังจังหวัดระยองจันทบุรีแล้วก็ตราด พืชประเภทนี้เป็นพืชใต้น้ำอายุนับเป็นเวลาหลายปีลำต้นเป็นเหง้าใหญ่แข็งมีเสี้ยนยาว ซึ่งเป็นส่วนของเส้นกลางใบเหลือติดอยู่เยอะไปหมดทำให้ มีลักษณะคล้ายกับขนหางหมูหนังสือเรียนรางเล่มก็เลยเรียกรำพันหางหมูมีรากใหญ่แข็งแรงยึดดินไว้แน่น ใบเป็นใบเลี้ยงผู้เดียวแทงขึ้นจากเหง้ามี ๒-๗ใบเป็นแถบยาวกว้าง ๒ ถึง ๖ ซม.ยาว ๗๐ ถึง ๑๔๐ ซม.มีกาบห่อที่โคนใบ มีเส้นใบ ๑๓-๑๔ เส้นขนานไปตามความยาวของใบ ดอกแยกเพศแล้วก็แยก ตัวอ้นกัน ดอกเพศผู้ออกเป็นช่อดอกย่อยมีขนาดเล็กมีใบเสริมแต่งใหญ่ ๒ ใบ ก้านดอกยาว ๕-๑๐เซนติเมตร มีดอกเพศผู้ที่ยังอ่อนอยู่เป็นจำนวนมาก ติดอยู่รอบศูนย์กลางด้านในตกแต่งเมื่อแก่จะหลุดไปบานที่ผิวน้ำจะบานกระดกลงด้านล่างมีกลีบเลี้ยงและกลีบดอกไม้อย่างละ ๑ กลีบมีเกสรเพศผู้ ๓ อัน ดอกเพศเมียมีขนาดใหญ่ กว่าก้านดอกยาวมากส่งดอกให้มาเจริญก้าวหน้าที่ผิวน้ำมีใบตกแต่งใหญ่ ๒ใบมีกลีบเลี้ยงและก็กลีบดอกอย่างละ 3๓กลีบรังไข่มี ๑ ช่องดอกเพศภรรยาเมื่อได้รับการผสมเกสรที่ผิวน้ำแล้วก้านดอกจะหดสั้นเข้าดึงได้ผลไปเจริญใต้น้ำผลมีขนาดใหญ่รูปไข่ยาวราว ๗เซนติเมตร เปลือกนอกมีขนแข็งสีดำเยอะมากๆด้านในมีเม็ด๘-๑๔ เมล็ดแบบเรียนสรรพคุณยาโบราณว่าลำพันแดงมีรสเค็มฝาดมีคุณลักษณะเป็นยาขับรวมทั้งถ่ายน้ำเหลืองเสียขับลมในลำไส้

71
อื่น ๆ / สัตววัตถุวัว
« เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2017, 04:08:17 AM »

วัว
คำ “โค” เป็นคำที่แผลงมาจากคำไทยว่า “งัว” ส่วนคำ “วัว” เป็นคำเรียกสัตว์ประเภทนี้ในภาษาบาลี (คำ“โค” นี้บางทีอาจหมายคือดวงอาทิตย์  ยกตัวอย่างเช่นในคำ“โคจร” ซึ่งมีความหมายว่า ฟุตบาทของดวงตะวัน )
ชีววิทยาของวัว
โคเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้อง รับประทานต้นหญ้า มี ๔ เท้า แล้วก็กีบเป็นคู่ เขากลวง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bos  Taurus (Linnaeus) จัดอยู่ในตระกูล Bovidae
โคบ้านมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  bos  Taurus  domesticus  Gmelin  วัวบ้านของไทยมีวิวัฒนาการมาจากโคป่าหรือวัวออรอคอยกส์  (Aurochs)  ซึ่งตอนนี้สิ้นซากไปหมดแล้ว  โคป่าที่ยังคงพบในบ้านเราเป็นวัวแดง ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bos  javanicus  (D’Alton)  เข้าใจว่าวัวแดงนี้คงจะสืบสกุลมาจากสชโคออรอคอยกส์ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์  ถัดมาวัวแดงนี้ก็เลยสืบทอดมาเป็นวัวบ้านของประเทศไทย ทำให้รูปร่างรวมทั้งสีสันของโคบ้านเหมือนวัวแดงมาก แม้กระนั้นรูปร่างใหญ่มากยิ่งกว่าและก็สูงขึ้นยิ่งกว่า โคแดงมีความสูงที่ไหล่ราว ๑.๗๐ เมตร หรือกว่านั้น มีเขายาวราว ๗๐ เซนติเมตร วัวแดงมีสีน้ำตาลแกมแดงเสมือนวัวบ้าน เพศผู้เมื่อแก่มากมายๆสีอาจเปลี่ยนไป วัวแดงเป็นสัตว์ที่ชอบอยู่เป็นฝูง ฝูงหนึ่งมีราว ๒๐-๓๕ ตัว มักมีตัวภรรยาแก่ๆเป็นจ่าฝูง แต่ละฝูงมักมีตัวผู้เพียงแค่ตัวเดียว รอปฏิบัติหน้าที่สืบพันธุ์เมื่อตัวเมียเป็นสัด

สรรพคุณทางยา
แพทย์แผนไทยรู้จักใช้นมโค (นมวัว) ขี้วัว (ขี้วัว) และก็น้ำมูตรโค (น้ำมูตรวัว) น้ำมันไขข้อวัว เป็นยา
๑. น้ำนมวัว ได้จากเต้านมของโคเพศภรรยาที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ แบบเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า น้ำนมวัวหรือน้ำนมโคมีรสหวาน มัน เย็น มีสรรพคุณปิดธาตุ แก้โรคในอก ชูกำลังและเลือดเนื้อ เจริญรุ่งเรืองไฟธาตุ หมอแผนไทยมักใช้นมวัวเป็นน้ำกระสายยา อาทิเช่น “ยาแก้ลมโกฏฐาสยาวาตา” ใน พระหนังสือโรคนิทาน ใช้ “นมโค” เป็นน้ำกระสายยา ดังนี้ลมโกฏฐาสยาวาตาแตกนั้น มักให้กลิ่นคาวคอ ให้อ้วก ให้จุกเสียด ให้ยัดในอกถ้าเกิดจะแก้ ให้เอาใบสลอดต้มกับเกลือให้สุกแล้วตากแดดให้แห้ง ๑   ชะเอมเทศ ๑  รากเจตมูลเพลิงเเดง ๑  ราก{ตอ|โคนงแตก ๑  รากจิงจ้อใหญ่ ๑  ลำพัน ๑  พริกล่อน ๑  ดีปลี ๑  ใบหนาด ๑  การะบูร ๑  เอาเท่าเทียม ทำเปนจุณ ละลาย น้ำนมโค ก็ได้ น้ำผึ้งก็ได้ น้ำร้อนก็ได้ รับประทานหายแล
๒. ขี้วัว หนังสือเรียนยามักเรียก น้ำมูลโค หมอแผนไทยใช้ขี้วัวปรุงเป็นยาบำบัดโรคอีกทั้งด้านในแล้วก็ข้างนอกหลายขนาน โดยมากใช้ขี้วัวดำ หนังสือเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า ขี้วัวดำมีรสขม เย็น มีคุณประโยชน์ดับพิษร้อน พิษไข้ พิษรอยแดง ลางตำราว่าขี้วัวสดแล้วก็แห้งผสมกับใบน้ำเต้าสดและก็สุรา ตำคั้นเอาน้ำ ทาแก้เริม ไฟลามทุ่ง งูสวัด ผื่นคัน   แล้วก็แก้พุพอง ฟกบวม ถอนพิษ
๓. น้ำมูตรโค แบบเรียนยามักเรียกว่า น้ำมูตรโค  รวมทั้งมักใช้น้ำมูตรวัวดำเป็นน้ำกระสายยา อย่างเช่น ยาสตรีขนานหนึ่งใน พระคัมภีร์มหาโชตรัต ใช้ “มูตรโคดำ” เป็นกระสาย   ดังนี้ ถ้าหญิงเลือดตกทางทวารหนักทวารเบา ไม่ออกสะดวก ให้เอาขมิ้นอ้อย ๑ ไพล ๑ ผลผักชีล้อม ๑ บดละลายด้วย มูตรวัวดำ กินหายแล
๔. น้ำมันไขข้อวัว พระคัมภีร์มุจฉาปักขันทิกา ให้ยาน้ำมันทาแก้ไส้ขาดไส้ลุกลามและแผลฝีเน่าขนานหนึ่ง เข้า “น้ำมันไขข้อโค”   เป็นเครื่องยาด้วย ดังต่อไปนี้
ถ้าหากมิฟัง   พิษนั้นกล้านักมักเผาเอาเนื้อนั้นสุก รุ่นเข้าไปแต่ปลายองคชาตวันแล้ววันเล่าๆดีแล้ว   ท่านให้หุงน้ำมันนี้ใส่   ดับพิษรักษาเนื้อไว้   มิให้รุ่นเข้าไปได้ ท่านให้เอามะพร้าวผลิออกบนต้นเขี้ยวน้ำมันให้ได้ถ้วย ๑  จึงเอาใบกระเม็ง ๑ ใบยาดูดใหม่ๆ๑  เปลือกโพกพาย ๑  เปลือกจิก ๑  เปลือกกรด ๑  เบญจลำโพง ๑  ใบเทียน ๑  ใบทับทิม ๑   ใบขมิ้นอ้อย ๑ ใบมัน ๑  ยาทั้งนี้เอาสิ่งละถ้วย ใส่ลงกับน้ำมันที่ทำจากมะพร้าวหุงให้คงแต่ว่าน้ำมัน แล้วเอาน้ำมันแมวดำชาตรีจอก ๑ น้ำมันขัดไก่จอก ๑   น้ำมันไขข้อวัวจอก  ๑   ปรุงใส่ลงเถอะยอดเยี่ยมนัก  น้ำมันนี้ท่านตีค่าไว้ตำลึงทองหนึ่งใช้ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แลตานทรางสรรพพิษฝียุ่ยรุ่น   ทั้งแก้มิให้เป็นด่างเป็นแผลให้คงคืนดีคนเก่า แลแก้ไส้กุดไส้ลาม  ดังที่ได้กล่าวมาแล้วมาแต่ว่าคราวหลังหายสิ้นอย่าสงสัยเลย  ได้ทำมามากมายแล้ว  แบบเรียนนี้ฝรั่งเอามาแต่ว่าเมืองยักกัตราแล

72
อื่น ๆ / สัตววัตถุหมูหริ่ง
« เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2017, 02:51:09 AM »

หมูหริ่ง
หมูหริ่งเป็นสัตว์เลือดอุ่นที่รับประทานพืชและเนื้อ
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Arctonyx collaris  F. Cuvier
จัดอยู่ในตระกูล Mustelidae
มีชื่อสามัญ hog badger
ชีววิทยาของหมูหริ่ง
ลำตัวและก็จมูกคล้ายหมู ขนาดวัดจากปลายจมูกถึงโคนหางยาว ๖๕-๑๐๔ เซนติเมตร หางยาว ๑๒-๑๗ ซม. หูยาว ๓.๕-๔ ซม. น้ำหนักตัว ๗-๑๔ กิโลกรัม   ขนหยาบ หางสั้น คอสีขาว เล็บยาวโค้งแหลม อุ้งเท้าใหญ่ เหมาะสำหรับการขุดค้นดิน ขนตามลำตัวสีออกเหลือง เทา และก็ดำ จะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล โดยมีแถบสีดำดาดลงมาจากส่วนหู ผ่านตาทั้งยัง ๒ ข้างลงมาถึงจมูก มีแถบสีขาวจากหน้าผากลงมาถึงขอบปากบน และมีแถบสีขาวอีกจุดหนึ่งตรงแก้ม คอและก็ขนที่ขอบหูสีขาว เป็นสัตว์ที่มีกลิ่นเต่าแรงมาก จมูกไว กระฉับกระเฉง เป็นประจำถูกใจออกหากินกลางคืน ศูนย์กลางวันซ่อนตัวตามโพรงดินหรือโพรงไม้ ชอบตะกุยดินหาอาหารด้วยจมูกและเล็บเท้า   หมูหริ่งเป็นสัตว์ดุร้าย ฤดูผสมพันธุ์อยู่ในฤดูหนาวถึงหน้าร้อน ตั้งท้องนานราว ๑๘๐ วัน คลอดลูกครั้งละ ๒-๔ ตัว ระยะแรกๆลูกๆจะอยู่ในโพรงดิน จนกระทั่งจะแข็งแรงพอจึงจะออกมาหากินพร้อมทั้งแม่  อายุยืน ๖-๗ ปี  ของกินเป็นพวกผลไม้ หน่อไม้ หนู กิ้งก่า แมลง แล้วก็ไส้เดือน ในประเทศไทยพบได้มากทางภาคเหนือและก็ภาคใต้ ในต่างแดนเจอที่ประเทศอินเดีย จีน เมียนมาร์ ลาว เวียดนาม กัมพูชา มาเลเชีย รวมทั้งอินโดนีเชีย

คุณประโยชน์ทางยา
หมอแผนไทยรู้จักใช้ “น้ำมันหมูหริ่ง” อันเป็นน้ำมันที่ได้จากการต้มมันเปลวหมูหริ่ง เป็นยาพื้นสำหรับในการตระเตรียมยาน้ำมันหรือยาขี้ผึ้ง เป็นต้นว่าในตำรับยาขนานที่ ๖๙ สีปากบี้พระเส้น

73
อื่น ๆ / สมุนไพรผลิตภัณฑ์จากพืช
« เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2017, 03:31:50 AM »

[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพรจำพวกผลิตภัณฑ์จากพืช[/url][/size][/b]
กระทิง -น้ำมันจากเม็ด แก้ปวดตามกรรมข้อรวมทั้งกระดูก
กะถุงลาย -น้ำมันจากเม็ด แก้เหน็บชา ขับเหงื่อ
กำยาน -ขับเยี่ยว บำรุงหัวใจ แก้โรคปอดแล้วก็หลอดลมอักเสบ รักษาแผล
 คนทีเขมา – ยาง ขับเลือดแล้วก็ลงให้กระจัดกระจาย
 
คำฝอย – น้ำมันจากเม็ด แก้อัมพาต
 
งิ้ว – ยาง แก้ท้องเสีย แก้ประจำเดือนตกหนัก บำรุงโลหิต
 
จาก -น้ำตาล สมานหัวริดสีดวงทวารหนัก
 
จำปา -ยาง แก้ริดสีดวงพลวก
 
ตาตุ่ม – ยาง แก้หนองและลม ถ่ายพรรดึก กัดทำลาย
 
ตีนเป็ดน้ำ – น้ำมันเม็ดใน แก้หวัด หิดเหา
 
ทองคำกวาว – ยาง แก้ท้องเสีย
 
นุ่น -น้ำมันจากเมล็ด ขับปัสสาวะ ระบายอ่อนอ่อนๆ
 

มะม่วงหิมพานต์ – ยาง ทำลายตาปลาหรือเป็นปุ่มโต แก้รัตตะปิตตะโรค
 
ว่านหางจระเข้ – ยาง ถ่าย ขับฉี่ ขับเมนส์แก้รัตตะปิดตาโรค
 
สบู่ขาว – ยาง แก้ปากเปื่อยยุ่ยพุพอง ลิ้นเป็นฝ้าเป็นละออง
 
หมีเหม็น – ยาง แก้รอยแผล แก้ช้ำ

Tags : สมุนไพร

74
อื่น ๆ / สมุนไพรผลิตภัณฑ์จากพืช
« เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2017, 02:08:00 AM »

[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพรจำพวกผลิตผลจากพืช[/url][/size][/b]
วัวกระทิง -น้ำมันจากเม็ด แก้ปวดตามกรรมข้อและกระดูก
กะถุงลาย -น้ำมันจากเมล็ด แก้เหน็บชา ขับเหงื่อ
กำยาน -ขับปัสสาวะ บำรุงหัวใจ แก้โรคปอดรวมทั้งหลอดลมอักเสบ รักษาแผล
 คนทีเขมา – ยาง ขับเลือดรวมทั้งลงให้กระจัดกระจาย
 
คำฝอย – น้ำมันจากเมล็ด แก้อัมพาต
 
งิ้ว – ยาง แก้ท้องเดิน แก้รอบเดือนตกหนัก บำรุงเลือด
 
จาก -น้ำตาล สมานหัวริดสีดวงทวารหนัก
 
จำปา -ยาง แก้ริดสีดวงพลวก
 
ตาตุ่ม – ยาง แก้หนองและก็ลม ถ่ายพรรดึก กัดทำลาย
 
ตีนเป็ดน้ำ – น้ำมันเมล็ดใน แก้หวัด หิดเหา
 
ทองคำกวาว – ยาง แก้ท้องเสีย
 
นุ่น -น้ำมันจากเม็ด ขับปัสสาวะ ระบายอ่อนอ่อนๆ
 

มะม่วงหิมพานต์ – ยาง ทำลายตาปลาหรือเป็นปุ่มโต แก้รัตตะปิตตะโรค
 
ว่านหางจระเข้ – ยาง ถ่าย ขับฉี่ ขับประจำเดือนแก้รัตตะปิดตาโรค
 
สบู่ขาว – ยาง แก้ปากเปื่อยยุ่ยพุพอง ลิ้นเป็นฝ้าเป็นละออง
 
หมีเหม็น – ยาง แก้รอยแผล แก้บอบช้ำ

75
อื่น ๆ / ชื่อพฤกษศาสตร์ หมายถึงอะไร
« เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2017, 07:36:24 AM »

สมุนไพรชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ของต้นพืชเป็นอย่างไร?
ชื่อวิทยาศาสตร์ของพืช หรือชื่อพฤกษศาสตร์ เป็นชื่อสากลของพืชที่ตั้งขึ้นมาตั้งตามข้อตกลงนานาชาติ โดยกำหนดให้ใช้ชื่อเป็นภาษาละติน เนื่องจากว่าเป็นภาษาที่ตายแล้ว ก็เลยมีการเปลี่ยนน้อยมาก หรือเรียกได้ว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย
คาร์โลลัส ลินเนียส เป็นหัวหน้าระบบการเรียกชื่อแบบนี้มาใช้เป็นครั้งแรกในปี คศ ๑๗๕๓ เรียกกันว่า “ระบบเรียกชื่อคู่” (binomial nomenclature) ระบบนี้เรียกชื่อดังการเรียกชื่อของคนจีน คือเรียกชื่อสกุล (แซ่) ก่อน แล้วจึงตามด้วยชื่อจริง อย่างเช่น เหมาเจ๋อตง เหมาเป็นชื่อสกุลเงินหรือแซ่ ส่วนเจ๋อตง เป็นชื่อตัว ซึ่งก็คือ (นาย) เจ๋อตง (แซ่) เหมา ในการเรียกชื่อแบบไทยนั่นเอง การเรียกชื่ออย่างนี้ ชื่อที่ตามหลังนามสกุลจะเป็นชื่อจริง (ถ้าเป็นพืชก็จะเป็นชื่อจำพวก) การตั้งชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ของพืชมีกฎที่ต้องปฏิบัติตามต่างๆและก็หลักเกณฑ์ที่จะต้องปฏิบัติเยอะแยะ และการกำหนด “ตัวอย่างต้นแบบ” (type specimen) สำหรับใช้ทำคำบรรยายลักษณะของพืชจำพวกนั้นๆอย่างไรก็แล้วแต่ ชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ ของพืชมักนิยมเขียนเป็น ๓ ชื่อ โดยชื่อท้ายที่สุดนั้น มากมายใส่ไว้เพื่อเป็นเกียรติแก่นักวิชาพฤกษศาสตร์ผู้ตั้งชื่อนั้น อาทิเช่น ต้นโมกสิริกิตอันเป็นพืชถิ่นเดียวของประเทศไทย ที่พึ่งจะค้นพบใหม่ทางวิชาพฤกษศาสตร์(รายงานเมื่อปีพ.ศ ๒๕๔๔ ) ได้ชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Wrightia sirikitiae D.J.Middleton & Santisuk ชื่อสกุลก็คือ Wrightia อันเป็นสกุลโมกมัน ชื่อชนิด sirikitiae ได้รับพระราชทานพระราชานุญาตจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ให้อัญเชิญพระนาม “สิริกิต์” มาตั้งเป็นชื่อจำพวกเพื่อเฉลิมพระเกียรติ ชื่อD.J.Middleton & Santisukเป็นชื่อผู้ตั้งชื่อชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ชนิดนี้ ชื่อ Santisuk เป็นสกุลของ ศาสตราจารย์ดร. เครื่องหมายชัย ความสงบสุขราชบัณฑิต พืชประเภทนี้จัดเป็นพืชหายากรวมทั้งใกล้สิ้นพันธุ์ รวมทั้งเจอบริเวณเขาหินปูนรอบๆรอยเท้า จังหวัดสระบุรี

ดอกเข้าพรรษา
อันเป็นพืชถิ่นเดียวของประเทศไทย พึ่งได้รับการค้นพบใหม่ทางพฤกษศาสตร์ด้วยเหมือนกัน (รายงานเมื่อปี  พ.ศ ๒๕๔๔) ว่า Smithatris supraneanae W.J.Kress & K.Larsen ชื่อสกุลเป็น Smithatris เป็นชื่อสกุลใหม่ของสกุลขิง ชื่อชนิดเป็น supraneanae ตั้งให้เป็นชายแดนของไทย ชื่อสุปราณี อาจพิชญานนท์ ส่วนชื่อ W.J.Kress & เป็นนักพฤกษศาสตร์ผู้ร่วมก่อตั้งชื่อประเภทนี้ดอกต้นดอกเข้าพรรษาพบในธรรมชาติที่จังหวัดสระบุรีและจังหวัดลพบุรีดอกจะบานตอนวันเข้าพรรษา เพราะเหตุว่าช่อดอกประกอบด้วยใบเสริมแต่งสีขาวและมีดอกสีเหลืองอยู่ด้านในประชาชนก็เลยนำไปตักบาตรดอกไม้ในวันเข้าพรรษาที่สัดรอยเท้า จังหวัดสระบุรี
นามนั้นสำคัญไฉน?
พรรณพฤกษชาติแต่ละชนิดมีชื่อเรียกต่างๆกันไปตามท้องถิ่น และตามภาษาของเผ่าพันธุ์ ได้แก่ ต้นลั่นทม ของทางภาคกึ่งกลางนั้น ลาวเรียก จำปา หรือดอกพิกุลของทางภาคกึ่งกลางนั้น ล้านนาเรียก ดอกแก้ว ซึ่งดอกแก้วทางภาคกึ่งกลาง หมายความว่าต้นไม้อื่นอีกหลายแบบ การใช้ชื่อวิชาพฤกษศาสตร์จึงช่วยให้ชาติต่างๆทั้งไทยแล้วก็เทศสามารถติดต่อสื่อสารถึง พืชชนิดเดียวกันได้ตรงกัน

Tags : สมุนไพร

หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7