รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Topics - Tawatchai1212

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6
46
อื่น ๆ / สัตววัตถุ ไก่ป่า
« เมื่อ: ธันวาคม 11, 2017, 02:50:36 AM »

ไก่ป่า
ไก่ป่าเป็นต้นเชื้อสายของไก่บ้าน
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gallus gallus (Linnaeus)
อยู่ในวงศ์ Phasianidae
มีชื่อสามัญว่า red jungle fowl
มีบ้านเกิด แถบทวีปเอเชียใต้ (ศรีลังกาแล้วก็ประเทศอินเดีย) มาทางตะวันออก จนกระทั่งหมู่เกาะมลายู
ไก่ป่าที่พบในประเทศไทยมีเพียงชนิดเดียวคือ Gallus gallus (Linnaeus) ชนิดนี้มีหน้าสีแดง ไม่มีขน หงอนสีแดง มีเหนียงสีแดงแล้วก็ติ่งหูอย่างละคู่ ขนบริเวณคอ ข้างหลัง ถึงสะโพกมีสีส้ม ขนปีกสีเขียววาวขลิบสีส้มใต้ท้องสีน้ำเงินดำ หางโค้งลาด ปลายพริ้ว สีเขียวแซมดำและก็สีน้ำเงินเข้มวาว ความยาวของตัววัดจากปลายปากถึงปลายหางราว ๖๐ เซนติเมตร ตัวผู้หนัก ๘๐๐ – ๑๓๐๐ กรัม ไก่ป่าตัวผู้มีลักษณะสำคัญที่ไม่เหมือนกับนกอื่นๆคือ
๑.มีหงอนบนหัวที่เป็นเนื้อ ไม่ใช่หงอนที่เป้นขน
๒.มีเหนียงเป็นเนื้อแขวนลงมาทั้งสองข้างของโคนปากและก็คาง
๓.มีหน้าแล้วก็คอเป็นหนังหมดจดๆ ไม่มีขน
๔.โดยทั่วไปขนเรียกตัวมีสีสวยงาม มีขนหาง ๑๔ – ๑๖ เส้นตั้งเรียงกันเป็นสันสูงตรงกลาง คู่กึ่งกลางยาวกว่าคู่ อื่น ปลายแหลมแล้วก็อ่อนโค้ง เรียก หางกะลวย
๕.แข้งมีเดือยข้างละอันเป็นอาวุธ
ไก่ป่า ตัวเมียมักมีขนาดเล็กกว่าเพศผู้ ขนไม่งดงาม สีไม่ฉูดฉาด แข้งไม่มีเดือย หงอนและเหนียงเล็กมากมาย หรือบางตัวแทบเป็บศูนย์ ไก่ป่าอาศัยตามพุ่มเล็กๆในป่าทั่วไป บินได้เร็ว แต่ในระดับต่ำๆและก็ระยะทางสั้นๆเป็นปกติอยู่เป็นฝูงใหญ่ตลอดตัวผู้รวมทั้งตัวเมียรวมกันราว ๕๐ ตัว แต่ว่าจะแยกเป็นฝูงเล็กๆในช่วงฤดูสืบพันธุ์ ซึ่งตัวผู้จำเป็นต้องต่อสู้กันเพื่อครอบครองพื้นที่รวมทั้งฉกชิงตัวเมียกันตัวละ ๓ – ๕ ตัว หลังสืบพันธุ์แล้วตัวเมียจะทำรังเป็นหลุมตื้นๆบนพื้นดินหรือบนกองใบไม้แห้งๆในที่ปลอดภัย  แล้วออกไข่คราวละ ๕ – ๖ ฟอง ไข่สีขาวหรือน้ำตาล ใช้เวลาฟักราว ๒๑ วัน ลูกไก่ป่าอายุ ๘ วันก็เริ่มบินเกาะตามก้านไม้ได้ และเมื่ออายุราวๆ ๑๐ วัน ก็เริ่มบินได้ในระยะทางสั้นๆ

ไก่ป่าที่เจอในประเทศไทยมี ๒ ประเภทย่อย เป็น
๑. ไก่ป่าติ่งหูขาว หรือ ไก่ป่าอีสาน (Cochin Chinese red jungle foml) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gallus gallus gallus (Linnaeus) มีติ่งหูสีขาว มักพบทางภาคทิศตะวันออกและก็ภาคอีสาน
๒. ไก่ป่าติ่งหูแดง หรือ ไก่ป่าชนิดประเทศพม่า (Burmese red jungle fowl) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gallus gallus  spadiceus (Bonnaterre) มีติ่งหูสีแดง มักพบทางภาคเหนือ ภาคตะวันตก และก็ภาคใต้
ประโยชน์ทางยา
[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/b][/url] โบราณไทยใช้ตับไก่เป็นทั้งของกินและก็เป็นยา  แบบเรียนสรรพคุณยาโบราณบันทึกไว้ว่า  ตับไก่ใช้แก้โรคตาฝ้าตาฟาง ปัจจุบันเพิ่งจะทราบว่าโรคนี้เกิดจากการขาดวิตามินเอ ซึ่งพบได้บ่อยในตับไก่ หมอแผนไทยรู้จักใช้เปลือกไก่ฟัก ไข่แดง ตับไก่ และก็เล็บไก่ป่า เป็นเครื่องยามาเป็นเวลายาวนานแล้ว แบบเรียนโบราณว่า ไข่แดงมีรสมัน คาว มีคุณประโยชน์ชูกำลังสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ร่างกาย ตับไก่มีรสมัน คาว มีคุณประโยชน์บำรุงโลหิต แก้โลหิตจาง บำรุงร่างกายให้แข็งแรง แก้โรคตาฝ้าตาฝ้า และเล็บไก่ป่าใช้แก้พิษไข้ ไข้รอยดำ ไข้หัวทุกชนิด นอกเหนือจากนั้นไข่ขาวยังคงใช้เป็นตัวยาปรุงแต่งทางการปรุงยาสำหรับทำยาขี้ผึ้ง ดังที่ปรากฏในยาขนานที่ ๗๙ ใน ตำราพระยารักษาโรคพระนารายณ์ ดังต่อไปนี้
ขนานหนึ่ง ให้เอาพิมเสน ๒ สลึง การบูร ๓ สลึง มาตะกี่ ๕ สลึง ชันตะคียน กำยาน สิ่งละ ๗ สลึง สีปากขาว ๑๐ ตำลึง น้ำมันที่ผลิตขึ้นมาจากมะพร้าวอันใหม่ดีนั้นครึ่งทนาน ต้มขึ้นด้วยกันให้สุกดี  แล้วกรองกากออกเสีย เอาไว้ให้เย็น ก็เลยเอาไข่ไก่ เอาแต่ไข่ขาว ๒ ลูก เอาสุรากลั่นราวๆจอกหนึ่ง กวนกับไข่ให้สบกันดี แล้วจึงแบ่งออกให้เป็น ๓ ภาคๆหนึ่งนั้น เอาน้ำทะแลงไซ้ ๓ สลึง การบูร ๓ สลึง กวนเข้าด้วยกันให้สบก็ดี เป็นสีผึ้งแดง จึงเอาสีปากขาวภาค ๑ นั้น มากวนด้วยจุที่สีพอเหมาะ เป็นสีปากเขียว ภาคหนึ่งเป็นสีผึ้งขาว ปิดแก้เพ่งพิศม์ แสบร้อนให้เย็น

47

น้ำขิง
ขิงเป็นสมุนไพร และเครื่องเทศที่ช่วยชาติไทยจีนและประเทศอินเดียรู้จักใช้มาตั้งแต่โบราณ แบบเรียนคุณประโยชน์โบราณของไทยว่าขิงสด มีรสหวานเผ็ดร้อน
มีคุณประโยชน์ แก้ปวดท้อง บำรุงธาตุ ขับลมในไส้ให้ผายรวมทั้งเรอ โดยเหตุนี้น้ำขิงนอกเหนือจากที่จะช่วยละลายยาให้กินยาง่ายแล้ว ยังช่วยแต่งรถยนต์ให้น่ารับประทานยิ่งขึ้นทั้งมีสรรพคุณทางยาซึ่งสามารถเสริมฤทธิ์ตัวยา ในยาขนานนั้นได้อีกด้วย ทิ้งที่นำมาใช้เตรียมน้ำขิง สำหรับทำเป็นกระสายยานั้น มักใช้ขิงแก่สดสูตรเอาผิวนอกออก ล้างน้ำให้สะอาดแล้วฝานเป็นชิ้นบางๆต้มกับน้ำตามอยากส่วนขิงที่นำมาใช้เป็นเครื่องเทศนิยมใช้อีกทั้งสดและแห้งทั้งยังหินอ่อนและขิงแก่โดยมักใช้ขิงที่ยังอ่อนอยู่ ปรุงอาหารที่ไม่ได้อยากต้องการรสเผ็ดมากมาย โบราณว่าขิงแห้งมีรสหวานเผ็ดร้อนมีคุณประโยชน์แก้ไข้แก้ลมแก้จุกเสียดแก้เสลดบำรุงธาตุแก้คลื่นเห*ยน อ้วก สวนหินสดมีรสหวานเผ็ดร้อนมีสรรพคุณแก้ปวดท้องบำรุงธาตุ ขับลมในลําไส้ให้ผายลมรวมทั้งเรอ
   สมุนไพร ยาเวลาที่ ๕๓ ในแบบเรียนพระยารักษาโรคพระนารายณ์ชื่อ “มหากระทัศใหญ่” ที่ใช้แก้ลมทุกหมวดหมู่นั้น ให้ใช้น้ำผึ้ง น้ำขิง น้ำส้มซ่า หรือน้ำกระเทียม เป็นน้ำกระสายยาก็ได้ สุดแต่หมอผู้วางยาจะยักกระสายให้จะต้องโรคจำต้องอาการ ดังต่อไปนี้   “มหากทัศใหญ่” ให้เอาโกฏสอเทศ เทียนทั้ง ๕ รากเจตมูลไฟ ผลกระวาน ใบกระวาน ผลอันใหญ่ สะค้าน เปลือกสมุลแว้ง ขิงแห้ง ว่านน้ำ พริกล่อน รากไคร้เครือ บอแร็ก ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ เกลือสินเธาว์ สิ่งละส่วน การะบูร กานพลู เทียนตาตั๊กแตน เทียนเกล็ดหอย สหัสคุณก็ได้ เปล้าน้อยก็ได้ สิ่งละ ๘ส่วน ดีปลี ๒๐ ส่วน กระทำเป็นผุยผง ละลายน้ำผึ้ง น้ำขิงน้ำส้มส้า น้ำกระเทียมก็ได้ กินหนักสลึงหนึ่ง แก้ลมปัตฆาฏ ลมอัมพาต ลมราทยักษ์ ถ้าเกิดลมนั้นเบากำลังยานั้นก็จะให้ร้อนถึงปลายมือปลายเท้า บรรดาลมทั้งหมดแก้ได้หายสิ้นแลฯ
  ขิงมีชื่อเรียกในภาษาสันสกฤตว่า srigavere ซึ่งแผลงเป็น zingiber เมื่อทำให้เป็นภาษาละตินเพื่อตั้งเป็นชื่อสกุลและชื่อสกุล ตามหลักสากลในการตั้งชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ ฝรั่งเรียกว่าขิง ginger ดังที่เรียกกันในภาษาแขก ผู้รอบรู้ทางภาษาคนไม่ใช่น้อยสันนิศฐานว่า คำ “ขิง” ในภาษาไทย ก็คงจะมีที่มาจากภาษาแขกนี้เอง แม้กระนั้นเรียกให้สั้นลง
ขิง เป็นเหง้าของพืชขนาดเล็กที่มี
ชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Zingiber officnale Roscoe
ในสกุล Zingoberaceae
เป็นพืชอายุหลายปี สูง ๓๐-๙๐เซนติเตียนเมตนมีเหง้าที่มีกาบใบบางๆห่อหุ้ม เปลือกนอกสีน้ำตาลปนเหลือง เนื้อเหง้ามีสีนวล มีกลิ่นเฉพาะ เป็นใบเลี้ยงคนเดียว ออกสลับกัน รูปขอบขนานแกมรูปใบหอก ปลายใบแหลม ขอบของใบเรียบ ขนาดกว้าง ๑-๓ เซนติเมตร ยาว ๑๐-๒๕เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อ ช่อดอกแทงขึ้นโดยตรงจากเหง้า ก้านช่อดอกยาว๑๐-๒๐ เซนติเมตร มีใบปนะดับ สีเขียวอ่อน ดอกย่อย ไม่มีก้าน ดอกมีสีเหลือง ปลายกลีบเป็นสีม่วงแดง ผลสำเร็จแห้ง มี๓ พู

ขิงมีองค์ประกอบเป็นชันน้ำมัน (oleoresin)อยู่ในจำนวนสูง ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ขิงมีรสเผ็ดแล้วก็ มีกลิ่นหอมยวนใจ ถ้าสกัดชันน้ำมันนี้ ด้วยตัวทำละลาย บางประเภทจะได้ชันน้ำมันที่เกือบจะบริสุทธิ์ซึ่งมีลักษณะข้นเหนียว สีน้ำตาลเข้ม มีกลิ่นฉุนรวมทั้งรสเผ็ดร้อน มีชื่อเรียกเชิงพาณิชย์ว่า “จินพบริน” (gingerin) มีสารในกรุ๊ปจินเจอรอล ( gingerol) โชโกล (shogaol) และ ชิงพบโรน (zingerone) เป็นหลัก ชันน้ำมันที่เตรัยมใหม่ๆจะมีจินเจอรอล ตัวอย่างเช่น 3-6-gingerol,8-gingerol,10-gingerol,12-gingerol เป็นหลัก แต่หากทิ้งเอาไว้นานๆจะมีโชโกลเป็นตัวหลัก อีกทั้งโชโกลแล้วก็สิงพบโรนไม่ใช่สารสินค้าธรรมชาติที่พบในขิง แม้กระนั้นเป็นสารที่มีเหตุมาจากปฏิกิริยาเคมีในระหว่างการสกัดด้วยตัวทำละลาย สารทั้งสองนี้มีรสเผ็ดร้อนกว่าจินพบรอคอยล ฉะนั้น จินเจอรินที่ดีต้องมีสารทั้งสองชนิดนี้ในจำนวนที่ต่ำที่สุด  ขิงมีน้ำมันระเหยง่ายราวจำนวนร้อยละ ๑-๓ ปริมาณนี้จะขึ้นกับแนวทางปลูกและก็ตอนที่เก็บเกี่ยว ในน้ำมันระเหยง่ายมีสารสำคัญหลายแบบ เป็นต้นว่า (-)-b-sesquiphillandrene , E,E-a-farnesene , (-)-zingiberene , (+)-ar-curcumene ซึ่งมีฤทธิ์ต้านทานเชื้อบัคเตรีที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดหนอง ขับลม กระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารรวมทั้งไส้  ปัจจุบันนี้มีการใช้สารสกัดจากขิง ซึ่งหนสารส่วนประกอบหลักเป็นอนุพันธ์ของ 4-hydroxy-3-methoxyphenyl ดังเช่นว่า ซิงพบโรน จินเจอร์ไดออล (gingerdiol) จินเจอร์ไดโอน (gingerdione) จินเจอรอล โชโกล เป็นยาที่ช่วยบรรเทาอาการอ้วกอาเจียน แล้วก็ทุเลาอาการปวดเพราะว่าข้อเสื่อม ทั้งยังอาจช่วยลดการอักเสบและก็บวมของข้อ

48
อื่น ๆ / สัตววัตถุ อีกากับนกกาเหว่า
« เมื่อ: ธันวาคม 06, 2017, 06:07:33 AM »

อีกากับนกกาเหว่า
อีกาเป็นนกที่ถูกนกกาเหว่าตกไข่และก็ให้ฟักไข่แทนสูงที่สุด นกกาเหว่าตัวเมียออกไข่ในตอนสายๆภายหลังจากกาออกจากรังไปแล้ว ก่อนออกไข่ นกกาเหว่าตัวเมียเป็นจำต้องทำลายไข่ของกาทุกหน ทีละ ๑ ฟอง แล้ววางไข่ของปัญญามธรรมดานกกาเหว่าวางไข่เพียงแค่ ๑ ครั้งต่อรังกาแต่ละรัง แม้กระนั้นอาจมีนกกาเหว่าตัวอื่นมาออกไข่ในรังอีการังเดียวกันได้ ลูกนกกาเหว่าที่อีกาฟักออกเป็นตัวแล้ว มักทำลายไข่ของกาที่เหลืออยู่หรือลูกของกาเสมอ [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/url] รังอีกาลางรังพบบ่อยกาตัวผู้และกาตัวเมียเลี้ยงลูกนกกาเหว่า ๑ ตัว นกประเภทนี้สร้างรังตามต้นไม้สูงๆโดยการเอากิ่งไม้มาขัดกันหยาบๆตกไข่ปีละครั้งละ ๓-๕ ฟอง ไข่สีฟ้าอมเขียว มีกระสีน้ำตาล ตัวเมียกกไข่ราว  ๑๘  วัน จึงฟักออกมาเป็นตัว ตัวผู้จะหาอาหารมาเลี้ยง จากนั้น  ๓-๔  อาทิตย์ ตัวอ่อนจึงเริ่มฝึกบิน กาเป็นนกที่เฉลี่ยวฉลาด สามารถเลียนเสื่อมเสียได้เหมือนกับนกแก้วหรือนกขุนทองแม้กระนั้นอาจเลียนได้ไม่มากมายคำ มีนิสัยชอบการขโมยของลูกนกหรือไข่นกอื่นเป็นของกิน

Tags : สมุนไพร

49

รังนกอีแอ่น
อีแอ่นกินรังรวมทั้งอีแอ่นก้นขาวสร้างรังด้วยน้ำลายเป็นรูปถ้วยครึ่งส่วน ปริมาณยาวตามขอบบนเฉลี่ย ๑๓.๓ ซม. ลึก ๕.๑  เซนติเมตร   มีน้ำหนัก  ๗-๑0  กรัม   โดยนกทั้งยัง  ๒  เพศช่วยกันทำรังเฉพาะช่วงกลางคืน ใช้เวลาในการสร้างรัง ๓0-๓๕  วัน  รวมทั้งจะสร้างรังชดเชย  (re-nest) ถ้ารังถูกทำลาย   โดยรังที่  ๒  ที่ทำใหม่มีขนาดเล็กลงมีน้ำหนักโดยเฉลี่ย  ๕-๗  กรัม แล้วก็ใช้เวลาสำหรับเพื่อการทำรังลดน้อยลงด้วย  หมายถึง ๒0-๒๕  วัน ถ้าเกิดรังถูกทำลายอีกก็จะทำรังที่ ๓ ซึ่งจะมีขนาดเล็กกว่ารังที่ ๒ ไม่มาก น้ำหนักใกล้เคียงกัน   และก็ใช้เวลาสำหรับเพื่อการสร้างรัง  ๑๕-๑๗ วัน เหมือนเคยนกประเภทนี้สร้างรังเพียง ๓ รัง หากรังที่ ๓ ทำลายก็จะไม่ทำรังใหม่อีก แต่ว่าจะมีลางสร้างรังที่ ๔ และที่  ๕  ได้
ตอนที่นก  ๒  จำพวก นี้สร้างรังคือตอนก.พ.ถึงมิถุนายน โดยออกไข่เพียงแต่รังละ ๒ ฟอง ระยะฟัก ๒๒-๒๔  วัน ระยะเลี้ยงลูก ๕-๖ สัปดาห์ นกทั้งคู่เพศจะช่วยเหลือกันฟักไข่และก็เลี้ยงลูกอ่อน ลูกอ่อนที่ฟักออกมามักมี  ๒  ตัว มีเพียงตัวเดียวที่เติบโตหรือรอดตายกระทั่งบินได้   โดยระหว่างที่ลูกนกอีกตัวหนึ่งมักตาย   เพราะเหตุว่าไม่ได้กินอาหาร หรืออาจถูกลูกนกอีกตัวหนึ่งซึ่งโตกว่าเบียดตกรังไป
สมุนไพร ส่วนอีแอ่นหางสี่เหลี่ยมทำรังโดยใช้ขนเป็นอุปกรณ์ ใช้น้ำลายเป็นตัวเชื่อมสิ่งของให้ชิดกัน รูปร่างของรังเป็นรูปถ้วย ขนาดโตกว่าของอีแอ่นรับประทานรังเพียงแค่เล็กๆน้อยๆน้ำหนักเฉลี่ยราว  ๓0  กรัม หรือราว ๓ เท่าของอีแอ่นกินรัง อีแอ่นหางสี่เหลี่ยมนี้มีความประพฤติวิธีการทำรังทดแทนและก็การออกไข่ตอบแทนเหมือนกันกับอีแอ่นทำรังสะโพกขาวแต่ว่าตกไข่เพียงรังละ ๑ ฟอง รวมทั้งระยะเวลาสร้างรังกับตกไข่นั้นนานกว่า
อีแอ่นทำรังทั้ง ๓ ประเภทดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้งน้ำครอบครองตามกฎหมาย อนึ่ง สำหรับการเก็บรังนกนั้น ผู้เก็บต้องได้รับสัมปทาน กฎหมายให้เก็บรังนกได้ไม่เกินปีละ  ๓  ครั้ง การเก็บแต่ละครั้งให้เก็บพร้อมเพียงกัน   ภายหลังจากเจ้าหน้าที่ตรวจการแล้ว เนื่องจากว่าการเริ่มต้นทำรังของนกแต่ละตัวไม่พร้อม   ลางรังที่เก็บจะมีไข่หรือตัวอ่อนอยู่ด้วย  ซึ่งการเก็บรังที่มีไข่หรือตัวอ่อนแล้วนั้น นกจะไม่มีการทำรังใหม่ขึ้นมาทดแทน เป็นเหตุให้ปริมาณอีแอ่นน้อยลง นอกจาก การต่ำลงของอีแอ่นกินรังเกี่ยวโยงกับสารพิษตกค้างในตัวนก และสัตว์ผู้ล่า ซึ่งจำนวนมากเป็นเหยี่ยวต่างๆงูเหลือม รวมทั้ง งูเขียว

คุณประโยชน์ของรังนก
ชาติจีนเป็นชนชาติที่นิยมบริโภครังนก ด้วยเหตุว่าเช้าใจกันว่าเป็นอาหารชั้นยอด มีคุณประโยชน์บำรุงกำลังสำหรับคนไข้เรื้อรังด้วยโรคต่างๆเป็นยาอายุวัฒนะ กระตุ้นให้เกิดกำหนัด แม้กระนั้นก็นำไปสู่เสมหะด้วย รังนกประเทศต่างๆตัวอย่างเช่น ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม รวมทั้ง ประเทศฟิลิปปินส์ จะถูกส่งไปขายในประเทศจีน รวมถึงประเทศที่มีชุมชนจีนหนาแน่น ปีละมากมายๆชาวจีนเช้าใจกันว่า รังนกจากไทยมีคุณภาพดียอด จึงมีราคาแพงกว่ารังนกประสิทธิภาพเดียวกันจากประเทศอื่น
ผลที่ได้รับจากการวิเคราะห์คุณค่าทางของกินของรังนกพบว่า มีโปรตีนอยู่จำนวนร้อยละ ๕๔  คาร์โบไฮเดรตจำนวนร้อยละ ๒๓.๓  น้ำจำนวนร้อยละ ๑๖.๘  และก็สารอื่นๆและแคลเซียม โพแทสเซียม   รวมทั้งฟอสฟอรัส อีกร้อยละ ๕.๙  นอกเหนือจากนี้ยังมีสารที่แสดงฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่เป็นคุณต่อร่างกายอีกหลายประเภท

50

สมุนไพรโกษฐ์สิงคี
ยาขนานที่ ๖๘ ใน [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/url] หนังสือเรียนพระโอสถพระนารายณ์ เข้าเครื่องยาชื่อ “โกฏสิงคี” ซึ่งมีบันทึกไว้ ดังนี้ สีผึ้งบี้พระเส้น ให้เอาชะมด ๒ ไพล พิมเสน โกฏเชียง กรุงเขมา ดีงูงูเหลือม จันทร์ทั้งยัง ๒ กฤษณา กระลำพัก สิ่งละเฟื้อง โกฏสอ โกฏเฉมา โกฏจุลาลำภา โกฏกัยี่ห้อ โกฏสิงคี โกฏหัวบัว มัชะกิยวาณี กระวาน  กานพลู ลูกจันทร์  ดอกจันทร์   เทียนดำ เทียนขาว  พริกหอม  พริกหาง พริกล่อน ดีปลี ลูกกราย ฝิ่น สีปาก สิ่งละสลึ่ง กระเทียม หอมแดง ขมิ้นอ้อย ๒ สลึง ทำเปณจุที่ละลายน้ำมะนาว  ๑0  ใบ น้ำมันงาทนาน ๑  น้ำมันหมูหลิ่ง น้ำมันเสือ หุงให้อาจแต่ว่าน้ำมัน ก็เลยเอาชันรำโรง ชันอ้อย ชันระนัง ใส่ลงพอสมควร กวนเอาก็ดีแล้วจึงเอาทาแพรทาผ้าถวาย ทรงปิดไว้ที่พระเส้นอันแข็งนั้นหย่อนยาน ข้าพระพุทธเจ้า ออกพระสิทธิสาร ประกอบทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายทรง ณ วัน  ๑ ฯ ๔  ค่ำ ปีชวด โทศกฯ เครื่องรางที่ตำราฯเรียก โกฏสิงคีในยาขนานนี้ ก็คือ เขากุย นั่นเอง

51
อื่น ๆ / สัตววัตถุ น้ำมันขนเเกะ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2017, 09:12:15 AM »

น้ำมันขนแกะ
น้ำมันขนแกะ (wool-fat  หรือ  Adeps  Lanae) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากขนแกะ ส่วนปลายฤดูใบไม้ผลิถึงต้นฤดูร้อน น้ำมันนี้มีส่วนสำคัญเป็นคอเลสเตอรอลรวมทั้งไฮโซคอเลสเตอรอล (isocholesterol) ตลอดจนเอสเตอร์ของกรดมันประเภทอื่นๆอีกหลายอย่าง ตัวอย่างเช่น กรดแลโนแพลมิติก (lanopalmitic  acid) กรดแลโนชอลิก (lanocerric  acid) กรดคาร์นิวบิก  (carnubic  acid) กรดโอลีอิก (oleic  acid) กรดไมริสติก (myristic  acid) น้ำมันขนแกะนี้ใช้เป็นส่วนประกอบเพื่อดูดน้ำในการทำยาขี้ผึ้ง (ointment)  และก็ยาครีม  (cream) รวมทั้งใช้สำหรับทากันผิวหนังแห้งแตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอากาศหนาวเมื่ออากาศแห้งมากมาย น้ำมันขนแกะที่มีน้ำผสมอยู่ด้วยจำนวนร้อยละ ๒๕-๓0 (hydrated  wool-fat) เรียก แลโนลิน  (lanolin)

ผลดีทางยา
แพทย์แผนไทยรู้จักใช้น้ำนมแกะและก็เขาแกะเป็นกระสายยารวมทั้งเครื่องยา ดังต่อไปนี้
๑. นมแกะ ได้จากแกะตัวเมียที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ พระหนังสือคุณประโยชน์ (แลมหาพิกัด) บันทึกไว้ว่า “น้ำนมแกะแก้โรคหืดไอ รวมทั้งจุกเสียด รุ่งโรจน์ไฟธาตุ” ยาขนานที่  ๖๖ ในตาราพระยารักษาโรคพระนารายณ์ เข้า”น้ำนมแกะ” เป็นเครื่องยาด้วย ดังนี้
 สมุนไพร น้ำมันมหาวิศครรภราชไตล เอาโหราทั้งสอง หนัก ๗ บาท สคัดค้าน  ชะพลู เปล้าใหญ่ เปล้าราม เปล้าน้ำเงิน เทียน ๕  เทียนเยาวภานีเป็น  ๖  โกฏทั้งยัง ๕ กานพลู ใบกระวาน ลูกเอ็น จันทน์แดง จันทน์ขาว หางไหล มหาละลาย   ลูกตลอด สิ่งละตำลึง  ๑  ตรีกระฏุก เปล้าน้อย พิมเสน รากไคร้หอม  รากแฝก ไค้เครือ เปราะหอม สิ่งละ ๒ ตำลึง รากคันทา สหัสคันทา  อัชระคันทา อบเชย รากผักแผ้วแดง รัตโชติ สิ่งละ  ๓  ตำลึง   รากเจตมูลเพลิงเเดง แก่นสน สิ่งละ  ๔  ตำลึง  กฤษณา  ใบตลอด สิ่งละ  ๕  ตำลึง  ลูกลางโพง   ๒0  ลูก  น้ำมะกรูด   น้ำมะนาวน้ำมะงั่ว น้ำส้มส้า นมวัว น้ำนมควาย  น้ำนมแกะ น้ำนมแพะ น้ำมันคูเลละ น้ำมันเชตะ น้ำมันพิมเสน  น้ำมันดิน  สิ่งละทนาน   น้ำมันงาเชย  ๗  ทนาน มะพร้าวไฟ  ๓  ลูก บิดมัวแต่น้ำกะทิ หุงให้คงแต่ว่าน้ำมัน   ทาแก้เส้นอุทธังคมาวาตา   อโธค   มาวาตา   อันปน พระเลือด แล่นในพระเส้นสบาย ให้พระเส้นตึงแลกระด่างนั้นออกเป็นประจำ เราพพุทธเจ้าออกพระสิธิสารประกอบทูลเกล้าฯ   มอบให้ทรง   ณ  วัน  ๓ ฯ ๑0  เย็น  ศักราช  ๒๒๓0   ปีขาล  อัฐศกฯ
๒.เขาแกะ   ได้จากเขาของแกะทั้งเพผู้รวมทั้งเพศภรรยา   ใช้เป็นเครื่องยาในยาไทย  ได้แก่  “ยาจักรวาลฟ้าครอบ”   ในพระหนังสือธาตุวิภังค์  ซึ่งมีบันทึกไว้ดังต่อไปนี้ยาชื่อจักรวาลฟ้าครอบ   แก้พิษไข้กาฬทั้งหมด   สารพันพิษอันใดๆก็ดีแล้ว   พิษรอยดำภายในด้านนอก   ในกังวลในใจดีแล้ว   แลพิษกาฬทั้งผอง  ๗๐๐   จำพวกที่ไม่ได้ขึ้นมาทำพิษ   คุดอยู่ในหัวใจแลตับปอดทั้งยังข้างในก็ดี   แลหลบอยู่ตามผิวหนังข้างในก็ดี   แลพิษโรคฝีดาษฝีหัวเดียว  ก็ดี   ตานทรางดีแล้ว   ท่านให้ยำยาขนานใหญ่นี้ไว้แก้   เว้นไว้แต่บุราที่กรรมแลเดี๋ยวนี้บาปนอกจากนั้นหายสิ้นแล   แพทย์ทั้งสิ้นควรเร่งทำยาขนานนี้ขึ้นไว้ให้เถอะ   ก็เลยจะสู้กันกับรอยดำ   ๗๐๐  ชนิดได้   ท่านให้เอา  เขี้ยวเสือ  ๑   เขี้ยวหมู  ๑   เขี้ยวหมี  ๑   เงี่ยงปลาฉนาก  ๑   เงี่ยงปลากระเบน  ๑   นอแรด  ๑   งา  ๑   เขากุย  ๑   เขากวาง  ๑   เขาแพะ  ๑   เขาแกะ  ๑   ทั้งนี้คั่วให้ไหม้เกรียม   หวายตะค้า  ๑   หวายตะมอย  ๑   เจ็ตต้นภังคี  ๑   สังกะระณี  ๑   ดอกสัตบุศย์  ๑   สัตตบตระหนี่ช  ๑   สัตบัน  ๑   บัวหลวง  ๑   บัวขม  ๑   บัวเผื่อน  ๑   จงมายากลนี  ๑   พิกุล  ๑   บุนนาค  ๑   สาระภี  ๑   มลิซ้อน  ๑   มลิลา  ๑   ดอกจำปา  ๑   ดอกกระดังงา  ๑   กฤษณา  ๑   กะลำภัก  ๑   ขอนดอก  ๑   ใบพิมเสน  ๑   พิมเสนเกล็ด  ๑   การะบูร  ๑   น้ำประสานทอง  ๑   โกฏ  ๕  หนึ่ง   เทียน  ๕  หนึ่ง   ลูกจันทร์  ๑   ดอกจันทร์  ๑  กระวาน ๑   กานพลู  ๑   สมุลแว้ง  ๑   เห็ดกะถินขาว  ๑   เห็ดกะถินสวรรค์  ๑   เห็ดมะพร้าว  ๑   เห็ดตาล  ๑   เห็ดงูเห่า  ๑   เห็ดมะขาม  ๑   เห็ดไม้รัง  ๑   เห็ดไม้แดง  ๑   เห็ดตับเต่า  ๑   หัวมหากาฬทั้งยัง  ๕  หนึ่ง   ยาทั้งนี้เอาส่วนเท่ากัน   สารพัด  (ดี)   เป็นน้ำกระสายบดปั้นแท่งไว้   แก้กาฬ  ๗๐๐  พวก   แก้ได้ทุกสิ่ง   น้ำกระสายยายักใช้เอาตามแต่ที่ชอบด้วยโรคนั้นเหอะ   แก้ในวสันตฤดู   คือน่าฝนแล

52
อื่น ๆ / สัตววัตถุ ปลาพะยูน
« เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2017, 11:39:27 AM »

ปลาพะยูน
ปลาพะยูนเป็นสัตว์กินนม อาศัยอยู่ในน้ำไม่ใช่ปลาจริงๆแต่ว่าด้วยเหตุว่าอยู่ในน้ำและก็มีรูปร่างคล้ายปลาชาวไทยก็เลยเรียกรวมเป็น”ปลา”
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dugong dugon(MuBer)
จัดอยู่ในวงศ์ Dugongidae
ชื่อสามัญว่า dugong sea
บางถิ่นเรียกว่า พะยูน วัวทะเลหรือหมูทะเลก็เรียก มีลำตัวเปรียว ขนาดตัววัดจากหัวถึงโคนหาง ยาว ๒.๒๐ -๓.๕๐ เมตรหางยาว ๗๕.๘๕ ซม.ตัวโตสุดกำลังหนัก ๒๘๐ ถึง ๓๘๐ กิโลรูปกระสวยหางแยกเป็น๒แฉกขนานกับพื้นในแนวระดับไม่มีครีบหลังจากอยู่ตอนล่างของส่วนแม่ริมฝีปากบนเป็นก้อนเนื้อดกลักษณะเป็นเหลี่ยมเหมือนจมูกหมูเมื่ออายุน้อยลำตัวมีสีออกขาวแต่ว่ากลายเป็นสีเทาอมน้ำตาลเมื่อโตเต็มวัย เป็นปกติถูกใจอยู่รวมกันเป็นฝูงหลายๆฝูงหากินรวมกันเป็นฝูงใหญ่กินพืชชนิด สมุนไพร ต้นหญ้าทะเลตามพื้นท้องทะเลชายฝั่งเป็นของกินโตเต็มที่พร้อมสืบพันธุ์ได้เมื่ออายุ ๑๒-๑๓ปีท้องนาน๑ปีคลอดลูก ทีละ ๑ ตัว เคยพบได้มากตามชายฝั่งทะเลของประเทศไทยแม้กระนั้นตอนนี้เป็นสัตว์หายากแล้วก็ใกล้สิ้นซากยังเจอในอ่าวไทยที่จังหวัดระยองจังหวัดชลบุรีจังหวัดตราดจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และก็ชายฝั่งทะเลอันดามันแถบจังหวัดภูเก็ต พังงากระบี่โดยเฉพาะเจอซุกซุมที่สุดบริเวณอุทยานแห่งชาติชายหาดเจ้าไหม-เกาะลิบตางจังหวัดตรังในต่างถิ่นพบได้ตั้งแต่รอบๆชายฝั่งทะเลด้านทิศตะวันออกของทวีปแอฟริกาสมุทรแดงตลอดแนวชายฝั่งของมหาสมุทรอินเดียไปจน ถึงประเทศฟิลิปปินส์เกาะไต้หวันถึงภาคเหนือของทวีปออสเตรเลีย

ประโยชน์ทางยา
หมอแผนไทยใช้เขี้ยวปลาพะยูนเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งแม้กระนั้นเพื่ออนุรักษ์สัตว์จำพวกนี้ซึ่งหายากมากแล้วจึงไม่ควรใช้ยานี้อีกต่อไป เขี้ยวปลาพะยูนเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่ง ที่ใช้ในพิกัดยาไทยที่เรียกว่า”นวขี้ยว” หรือ”เนาวเขี้ยว” อาทิเช่นเขี้ยวหมูเขี้ยวหมีเขี้ยวเสือ เขี้ยวจระเข้เขี้ยวแกงเลียงหน้าผา และงา (มองคู่มือการปรุงยาแผนไทยเล่ม ๑น้ำกระสายยา)

53
อื่น ๆ / สัตววัตถุ เม่น
« เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2017, 07:35:20 AM »

เม่น
เม่นเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
จัดอยู่ในตระกูล Hystricidae
เม่นที่พบในประเทศไทยมี ๒  ชนิด  ดังเช่น
๑.เม่นใหญ่แผงคอยาว
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hystrix  brachyuran  Linnaeus
ชื่อสามัญว่า  Malayan  porcupine
เม่นประเภทนี้มีขนาดวัดจากปลายจมูกถึงโคนหางยาว ๖๓ – ๗๐  เซนติเมตร หางยาว ๖ – ๑๐ เซนติเมตร น้ำหนักตัว  ๓-๗ กิโล ขนบนลำตัวเป็นขนแข็งใช้ป้องกันตัว  หัวเล็ก จมูกป้าน มีหนวดยาวสีดำ บริเวณลำตัว คอ รวมทั้งไหล่  มีขนแข็ง  สั้น  สีดำ  ขนใต้คอสีขาว ตาเล็ก ใบหูเล็ก ขนตั้งแต่ข้างหลังไหล่ไล่ลงไปแข็งยาว ด้านโคนแล้วก็ปลายสีขาว ตรงกลางสีดำ ปลายแหลม หางมีขนเหมือนหลอดสั้นๆขาสีดำเม่นชนิดนี้ถูกใจออกหากินโดยลำพังในยามค่ำคืน รักสงบ เวลาเจอศัตรูจะวิ่งหนี พอเพียงจวนตัวจะหยุดกึก [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/b][/url] แล้วพองขนขึ้น ศัตรูที่ติดตามมาอย่างรวดเร็วถ้าเกิดหยุดไม่ทันก็จะโดนขนเม่นตำ และก็ถ้าศัตรูใช้ตีนตะครุบก็จะโดนขนเม่นตำเช่นเดียวกัน  ได้รับความปวดเจ็บมาก เมื่อศัตรูผละหนีไปแล้ว  เม่นก็จะหลบเข้าโพรงไม้หรือโพรงดิน ขนเม่นที่หลุดออกไปจะมีขนใหม่แตกหน่อขึ้นมาแทนที่ เม่นชนิดนี้รับประทานผัก หญ้าสด หน่อไม้ เปลือกไม้ ผลไม้ และกระดูกสัตว์  เริ่มสืบพันธุ์ได้เมื่ออายุราว ๒ ปี มีท้องนาน  ๔  เดือน  ตกลุกครั้งละ  ๑ -๓  ตัวในโพรงที่ขุดอาศัย ลูกเม่นแรกเกิดมีขนที่อ่อน  แม้กระนั้นเมื่อถูกอากาศด้านนอกขนจะเบาๆแข็งขึ้น  อายุราว ๒๐ ปีพบทางภาคใต้ของเมืองไทย ในต่างแดนเจอที่มาเลเชียรวมทั้งอินโดนีเซีย
๒. เม่นหางพวง
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Atherurus  macroura (Linnaeus)
ชื่อสามัญว่า  bush-tailed  porcupine
เม่นจำพวกนี้มีความยาวลำตัววัดจากปลายจมูกถึงโคนหาง  ๔๐ – ๕๐  ซม. หางยาว ๑๕ – ๒๐ เซนติเมตร น้ำหนักตัว ๒.๕ – ๕  กิโลกรัม จมูกเล็ก มีหนวดยาว ใบหูเล็ก ลำตัวยาว ขาสัน มีขนแข็งปกคลุมทั่วตัว ขนบางส่วนแข็งและก็ปลายแหลมมาก  เหมือนหนาม  ขนส่วนที่ยาวที่สุดอยู่บริเวณกึ่งกลางข้างหลังขนแบน  มีร่องยาวอยู่ข้างบน ช่วงกลางหางไม่ค่อยมีขน แต่เป็นเกล็ด โคนหางมีขนสั้นๆปลายหางมีขนขึ้นดกครึ้มเป็นกระจุก มองเป็นพวง ขนดัตระหนี่ล่าวแข็งและก็คม ส่วนขนที่หัวบริเวณขาทั้ง ๔ และก็บริเวณใต้ท้อง แหลม แม้กระนั้นไม่แข็ง ขาค่อนข้างจะสั้น ใบหูกลมและเล็กมากมาย เล็บเท้าเหยียดตรง ทื่อ และแข็งแรงมากมาย เหมาะกับขุดดิน เม่นชนิดนี้ออกหากินในช่วงเวลากลางคืน  ช่วงเวลากลางวันมักแอบอยู่ในโพรงดิน  ตามโคนรากของต้นไม้ใหญ่ หรือตามซอกหิน มักออกหากินเป็นฝูง  ใช้ขนเป็นอาวุธปกป้อง กินหัวพืช หน่อไม้  เปลือกไม้  รากไม้  ผลไม้  แมลง เขาและก็กระดูกสัตว์  ตกลูกครั้งละ ๓- ๕  ตัวในโพรงที่ขุดอาศัย  ลูกเม่นทารกมีขนอ่อนนุ่ม แต่จะต่อยๆแข็งขึ้นอายุราว ๑๔ ปี เจอในทุกภาคของประเทศไทย ในต่างถิ่นพบทางภาคใต้ของจีน รวมทั้งที่ลาว เวียดนาม  เขมร มาเลเซีย  และอินโดนีเซีย

ประโยชน์ทางยา
หมอแผนไทยใช้ขนเม่นที่สุมไฟให้ไหม้แล้วปรุงเป็นยาแก้ตานซาง  แก้พิษรอยดำ  พิษไข้ เชื่อมซึม กระเพาะอาหารของเม่นใช้ปรุงเป็นยากินบำรุงน้ำดี ช่วยทำให้ลำไส้มีกำลังบีบย่อยของกิน พระหนังสือปฐมจินดาร์ให้ยาขนานหนึ่ง เข้า“ขนเม่น” เป็นยาใช้ภายนอกตัวเด็ก ดังต่อไปนี้ ภาคหนึ่งยาใช้ภายนอกตัวกุมารกันสรรพโรคทั้งผอง รวมทั้งจะเป็นไข้อภิฆาฏดีแล้ว  โอปักกะมิกาพาธก็ดีแล้ว ท่านให้เอาใบมะชน คราบเปื้อนงูเห่า หอมแดง สาบนกแร้งสาบกา ขนเม่น ไพลดำ ไพลเหลือง  บดทำแท่งไว้ ละลายน้ำนมโค ทาตัวกุมาร จ่ายตราบาปโทษทั้งสิ้นดีนัก

54
อื่น ๆ / สัตววัตถุโคโรค
« เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2017, 09:10:14 AM »

โคโรค
วัวโรคเป็นชื่อเครื่องยาอย่างหนึ่ง เครื่องยานี้ใช้ในยาจีน [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/b][/url] ประเภทที่เป็นของแท้รวมทั้งของดีราคาแพงสูงมาก แบบเรียนยาที่สาธารณรัฐประชาชนจีนได้รับรองเอาไว้ภายในชื่อเครื่องยาว่า Calculus Bovis มีชื่อสามัญว่า cow bezoar จีนเรียก หนิวหวาง(จีนสำเนียงแมนดาริน) วัวโรคเป็นก้อนนิ่วหรือก้อนหินปูนที่เกิดในถุงน้ำดีของวัวบ้าน (gallstone) อันมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bos Taurus domesticus Gmelin ในตระกูล Bovidae มี ๒ แบบ
๑. วัวโรครูปไข่ อาจมีรูปไข่ รูปกลมหรือแทบกลม หรือรูปสามเหลี่ยมขนาดวันผ่านศูนย์กลาง ๑-๓ เซนติเมตร ผิวละเอียดและก็เรียบ โดยปกติมักมีสีเหลืองทองหรือสีน้ำตาลอมเหลือง หรืออาจมีสีอ่อนหรือเข้มกว่า เป็นเงาวาวนิดหน่อย บางชิ้นบางทีอาจเคลือบด้วยเยื่อบางสีดำเข้ม บางชิ้นอาจมีผิวหยาบคายและก็มีรอยแตก มีน้ำหนักเบา เนื้อไม่แน่น แตกง่าย ลอกออกเป็นชั้นๆได้ เมื่อผ่าออกภายในจะมีสีอ่อนกว่า มีเม็ดและก็รอยพอกของหินปูนเป็นชั้นๆมีกลิ่นหอมยวนใจซีดๆรสขม แล้วหวาน เคี้ยวง่าย ไม่ติดฟัน เมื่อค้ยวให้ความรู้ความเข้าใจสึกเย็นและก็แจ่มใสในปาก
๒. โคโรครูปรีคอดกึ่งกลาง (dumb-bell) มีผิวไม่เรียบ บางชิ้นมีเส้นโค้งตามทางยาว บางชิ้นมี “เกล็ด” แต่โดยทั่วไปมักยาวราว ๓ ซม. ขนาดวัดผ่านศูนย์กลาง ๑-๑.๕ ซม. สีน้ำตาลลอมแดง มีรอยแตกแล้วก็ก้อนเล็กๆเมื่อผ่าออกจะเห็นเม็ดน้อยกว่าแบบรูปไข่ สีแก่กว่า แล้วก็ตรงกลางกลวง
ของแท้หรือของที่เป็นของปลอม
เพราะโคโรคเป็นเครื่องยาที่ราคาแพงแพง ในท้องตลาดก็เลยมีของที่ไม่ใช่ของแท้ขายมากมาย ของเก๊นั้นอาจได้จากก้อนนิ่วในถุงน้ำดีของสัตว์อื่น ตัวอย่างเช่น หมู แพะ อูฐ หรือทำขึ้นจากผงขมิ้นชัน ผงขมิ้นเครือ หรือผงโกษฐ์กะทอง ผสมกับน้ำดีของวัว กาวหนังลาชัน เป็นต้น กรรมวิธีสำรวจว่าวัวโรคเป็นของแท้หรือของที่ไม่ใช่ของแท้ บางทีอาจทำเป็นหลายวิธี ตัวอย่างเช่น
๑. วิธีการใช้เข็มแทง ทำเป็นโดยเผาเข็มจนแดง แล้วแทงลงไปในก้อนวัวโรค จะเกิดรอยแยก ชิ้นส่วนที่แยกจะเป็นชิ้นบางๆเนื้อละเอียด ติดกันและเปราะ มีกลิ่นหอมซีดๆตรงรอยเจาะเป็นจุดขาวๆปลายเข็มไม่เป็นสีเหลืองเมื่อถอนเข็มออก ต่างจากของเก๊ซึ่งไม่มีจุดขาวรวมทั้งปลายเข็มมีสีเหลืองเมื่อถอนเข็มออก ยิ่งไปกว่านั้น ของเทียมไม่มีเม็ดเมื่อผ่าออก แล้วก็มีกลิ่นแตกต่าง
๒. วิธีการใช้เล็บ พ่นน้ำหยดเล็กๆลงบนเล็บนิ้วโป้งมือ โรยผงโคโรคนิดหน่อยลงบนหยดน้ำบนเล็บนั้น หากเป็นของแท้จะก่อให้เล็บเป็นสีเหลือง วาววาวผ่องใสอยู่นาน รู้สึกเย็น ถ้าเกิดเป็นของเลียนแบบ เล็บจะเป็นสีเหลือง แต่จะเลือนรางไปอย่างรวดเร็ว เล็บเป็นเงาหม่นหมองๆไม่มีความรู้สึกเย็นที่เล็บ
๓. วิธีลอง ชิมโคโรคปริมาณน้อย หรือใช้ลิ้นเลียก้อนโคโรค หากเป็นของแท้จะทราบรสขมก่อน แล้วจึงมีรสหวานตาม ให้ความรู้ความเข้าใจสึกเย็นรวมทั้งแจ่มใสลงไปถึงคอ โดยไม่มีกลิ่นแปลกๆหรือกลิ่นแรงๆยิ่งกว่านั้น ถ้าเกิดบดวัวโรคจะไม่มีความรู้สึกเสมือนเคี้ยวทราย ไม่ติดฟัน ไม่มีกาก และทำให้ลิ้นเป็นสีเหลือง
๔. วิธีใส่ลงไปในน้ำ เอาโคโรคใส่ลงไปในน้ำ หากยังคงเป็นก้อนรูปและก็ขนาดเหมือนเดิม หมายความว่าเป็นของแท้ หากก้อนนั้นพองขึ้นรวมทั้งแตก ก็เป็นของเลียนแบบ

ผลดีทางยา
ตำราจีนว่า โคโรคมีรสขม หวาน และก็เย็น มีสรรพคุณเกี่ยวกับเส้นหัวใจและก็ตับ โดย
๑. ช่วยชีวิตและลด “เสมหะ” ใช้ในการแก้ผู้ป่วยภาวการณ์ช็อคและก็โคม่า เพ้อและไม่รู้สึกตัวเพราะไข้สูง รวมทั้งโรคลมชักในเด็ก อันมีสาเหตุจากการสั่งสม “เสลด” และก็ความร้อนในร่างกาย
๒. ช่วยสยบ “ลม” อันทำให้เกิดพยาธิสภาพภายในและหยุดการชัก ใช้แก้อาการชักเนื่องมาจากไข้สูง
๓. ขจัด “ความร้อน” และสารพิษต่างๆใช้เป็นยาแก้โรคมะเร็งเต้านม ลักษณะของการเจ็บคอ คอตีบ ปากเป็นแผลจากด้านใน ฯลฯ
ขนาดและก็วิธีการใช้
บดโคโรคให้เป็นผงละเอียด ทำเป็นยาผงหรือยาเม็ด ใช้ขนาด๐.๑๕-๐.๓๕ กรัม ผสมกับน้ำ การใช้กับสตรีในระหว่างตั้งท้อง ควรที่จะใช้ด้วยความระวัง

Tags : สมุนไพร

55
อื่น ๆ / สัตววัตถุหมูป่า
« เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2017, 10:57:23 AM »

หมูป่า
หมูป่าเป็นสัตว์กินนม กีบคู่
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sus  scrofa Linnaeus
จัดอยู่ในตระกูล  Suidae
มีชื่อสามัญว่า  common wild pig หมูไม่มีอารยธรรมก็เรียก
ชีววิทยาของหมูป่า
หมูป่ามีรูปร่างเพรียวลม ขนาดวัดจากปลายจมูกถึงโคนหางยาวราว ๑.๕๐ เมตร หางยาวราว ๒๐ ซม. น้ำหนักตัว ๗๕-๑๐๐ กิโล  ความสูงช่วงไหล่ ๖๐-๗๕ ซม. รอบๆไหล่และอกใหญ่ เรียวไปทางด้านหลังของลำตัว ขาเล็กเรียว ใช้สำหรับขุดค้นหาอาหารใต้ดิน ขนยาว หยาบคาย แข็ง สีน้ำตาลเข้มหรือสีดำปนเทา หรือสีดำแซมขาว มีขนยาวเป็นแผงบนสันคอและก็ข้างหลัง ขนบริเวณดังที่กล่าวถึงมาแล้วนี้จะตั้งชันขึ้นเมื่อสะดุ้งหรือเมื่อต่อสู้กับศัตรู เขี้ยวมีลักษณะยาว คมมากมาย โค้งงอนขึ้นไปนอกปาก   ใช้เป็นอาวุธป้องกันตัว บางตัวอาจมีเขี้ยวยาวถึง ๖ นิ้ว จมูกไว หูไว ถูกใจอาศัยตามป่าเปียกชื้น ที่ราบตามไหล่เขา หรือรอบๆหนองน้ำ อยู่เป็นฝูง ออกหากินเช้าตรู่หรือเย็น   และก็ช่วงกลางคืน ช่วงกลางวันมักหลบอยู่ตามพุ่งไม้ ตามปลักโคลน หรือลำน้ำ ถูกใจเกลือกปลักโคลนตม เพศผู้ที่อายุมากกๆจะแยกออกไปพบกินตามลำพัง เรียก หมูป่าโทน หรือ หมูโทน ตัวเมียอายุมากๆเป็นผู้นำฝูง ในช่วงฤดูสืบพันธุ์เพศผู้ต่อสู้กัน แล้วก็จะดุร้ายเมื่อบาดเจ็บ หมูป่าแม่ลูกอ่อนจะดุร้ายกว่าปรกติรวมทั้งจะหวงลูกมากมาย ถูกใจขุดคุ้ยดินหาอาหาร กินได้ทั้งยังพืชแล้วก็สัตว์ เป็นต้นว่า ผลไม้  ข้าวโพด เผือก มัน งู หนู ไส้เดือน กบ เขียด ปลา หมูป่าสืบพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี แต่ผสมพันธุ์กันถี่ที่สุดในช่วงธันวาคมถึงมกราคม เริ่มโตสืบพันธุ์ได้เมื่ออายุ ๘-๑๐ เดือน ตั้งครรภ์นาน ๑๑๕ วัน ตามปกติตกลูกครั้งละ ๔-๘ ตัว ลูกเลิกกินนมเมื่ออายุ ๓-๔ เดือน หมูป่าอายุยืนราว ๑๕ ปี

ผลดีทางยา
หมอแผนไทยรู้จักใช้หนังหมูป่า ดีหมูป่า และก็เขี้ยวหมูป่าเป็นเครื่องยา ดังนี้
๑. หนังหมูป่า ดังเช่นว่า ยาต้มแก้สันนิบาตโลหิตขนานหนึ่งใน พระคู่มือชวดาร เข้า “หนังหมุหยาบคาย” เป็นเครื่องยาด้วย ดังต่อไปนี้ ยานั้นคุลีการเปนยาดับพิษลมพิษเสมหะอันร้อนนอนมิหลับบริโภคอาหารมิได้   ให้แต่งยาต้มกินช่วงเวลาเช้า   เอาหีบลม ๑   หนังหมูดุร้าย ๑   รากเจ็ตมูลเพลิงแดง ๑   รากช้าพลู ๑   เอาสิ่งละ ๑ บาท   ข่า ๕ บาท   ดอกคำ ๑๐ สลึง   เทียนดำ ๒ บาท   ผลจู๋ม ๑   ก้านสะเดา ๑   ผลสมอเทศ ๑   ผลสมอไทย ๑   ผลสมอพิเภก ๑   ยาเช้าเย็นเหนือ ๑   เอาสิ่งละ ๑ บาท   ดอกบัวแดง ๑   ดอกบัวขาว ๑   ดอกบัวขม ๑   ดอกบัวเผื่อน ๑   ดอกพิกุล ๑   ดอกบุนนาค ๑   ดอกสารภี ๑   เอาสิ่งละ ๖ สลึง  ต้มด้วยน้ำเถาวัลเปรียงแซกดีเกลือตามกำลังวัน  กินจ่ายเม็ดยอดตกลิ้น   แล้วจึงประกอบยามหาสมไม่ใหญ่   แก้ไข้แก้ลม   ให้รับประทานเปนคู่กับยาต้ม
๒. ดีหมูป่า   ดังเช่นว่า   ยาขนานหนึ่งชื่อ “ยาประสานทองคำ”   ใน พระหนังสือปฐมจินดาร์ เข้า “ดีหมูดุร้าย” เป็นเครื่องยาด้วย   ดังต่อไปนี้
ยาชื่อผสานทองคำ   ขนานนี้ท่านให้เอา   ชะมดสด ๑   ชะมดเช็ด ๑   เอาสิ่งละ ๑ เฟื้อง   พิมเสน ๑ สลึง   กรุงเฉมา ๑   อำพัน ๑   ดอกบุนนาค ๑   น้ำประสานทอง ๑   ลิ้นสมุทรปิ้งไฟ ๑   เอาสิ่งละ ๒ สลึง   ตรีกฏุก ๑   หีบศพอีกทั้ง ๙   เทียนอีกทั้ง ๕   ผลจันทน์ ๑   ดอกจันทน์ ๑   กระวาน ๑   กานพลู ๑   จันทน์ ๒   กฤษณา ๑   กระลำภัก ๑   ชะลูด ๑   ขอนดอก ๑   เปราะหอม ๑   ผลราชดัด ๑   ผลสารพัดสารพันพิษ ๑   พญารากขาว ๑   ปลาไหลเผือก ๑   ตุๆมกาอีกทั้ง ๒   ลุก ๑   มหาสดำ ๑   มหาละลาย ๑   รากท้อม ๑   รากไคร้เครือ ๑   หว้านกีบแรด ๑   หว้านร่อนทอง ๑   หว้านน้ำ ๑   แสนประสระต้น ๑   แสนประสระเครือ ๑   สุรามฤตย์ ๑   อบเชยเทศ ๑   เอาสิ่งละ ๑ บาท   ทองคำเปลว ๒๐ แผ่น   รวมยา ๖๑ สิ่งนี้กระทำเปนจุณ   แล้วเอาดีงูเหลือม ๑   ดีจระเข้ ๑   ดีตะพาบ ๑   ดีหมูป่าไม่มีอารยธรรม ๑   ดีปลาช่อน ๑   ดีนกยูง ๑   ดีอีกทั้ง ๖ นี้แซก   เอาน้ำเปนกระสาย   บดปั้นแท่งไว้   แก้พิษทราง   แลแก้ไข้สันนิบาต   ละลายน้ำดอกไม้กิน   ถ้าแก้พิษไข้ทรพิษ   พิษฝีดวงเดียว   พิษงูร้ายละลายสุรากิน   ทุกสิ่งทุกอย่างประสิทธิ์ดีนัก
๓. เขี้ยวหมูป่า   เป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งในพิกัดไทยที่เรียก “นวเขี้ยว” หรือ “เนาวเขี้ยว”  ได้แก่ เขี้ยวหมูป่า  เขี้ยวหมี   เขี้ยวเสือ เขี้ยวแรด  เขี้ยวสุนัขป่า เขี้ยวปลาพะยูน   เขี้ยวตะไข้  เขี้ยวแกงเลียงเขาหิน  และก็งา  (ดู คู่มือการปรุงยาแผนไทย เล่ม๑ น้ำกระสายยา)

56
อื่น ๆ / สมุนไพรเครืองปรุง(คณาเภสัช)
« เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2017, 11:17:07 AM »

สมุนไพรเครื่องปรุง(คณาเภสัช)
ประเภทส่วนเดียวกันของพืชมากยิ่งกว่า ๑ ชนิดใช้ด้วยกัน เครื่องปรุงนี้จำนวนมากเป็น “จุลพิกัด”โบราณแบ่งจุดพิกัดออกเป็น ๕ ประเภท คือ ชนิดมีชื่อเช่นกันแต่ว่าต่างถิ่นที่เกิด ประเภทมีชื่อเหมือนกันแตกต่างกันสีกัน จำพวกมีชื่อเช่นเดียวกันแต่ต่างขนาดกัน จำพวกมีชื่อเช่นกันไม่เหมือนกันชนิดกัน และก็ประเภทมีชื่อเหมือนกันแต่ต่างรสกัน

(คณาเภสัช)
ครอบอีกทั้ง ๓ – ต้น บำรุงโลหิตและขับลม
ครอบถัง ๓ – ใบ บ่มหนองให้แตกเร็ว
รอบ ๓ – ราก แก้ลมและดี บำรุงธาตุ แก้มุตกิด แก้ไอ แก้ไข้ผอมบางเหลือง ชูกำลัง
ชบาทั้งยัง ๒ – ราก แก้ฝี แก้ฟกบวม ขับน้ำย่อยอาหาร ทำให้อาหารมีรส
ตุมกาอีกทั้ง ๒ – เถา แก้ไข้เพื่อเสมหะ บำรุงธาตุไฟ ให้ทราบรสอาหาร ขับลมผาย ทำให้อุจจาระงวด แก้ริดสีดวง
ตุมกาทั้ง ๒ – ราก แก้พิษงู ทำลายพิษงู
ตุมกา ๓ – เปลือกต้น แก้พิษงู ทำลายพิษงู
เถามวก๒ – เถา แก้ท้องเสีย แก้ลงแดง บำรุงโลหิต
มะแว้งทั้ง ๒ – ผล แก้เสลด รวมทั้งขับเสลดให้ตก แก้ไอ แก้ไข้สันนิบาต แก้น้ำลายเหนียว กัดเสลด ขับเยี่ยว
เสม็ดอีกทั้ง ๒ – ใบ แก้กลยุทธ์ยฟกบวม แก้ปวดท้อง หางกระรอกอีกทั้ง ๓ – ราก แก้พิษงูขบกัด
หางไหลอีกทั้ง๒ – เถา ถ่ายเส้น ถ่ายลม ถ่ายเสลดรวมทั้งเลือด

57

สมุนไพร(คณาเภสัช)
สำหรับในการประกอบยาหรือปรุงยานั้น แพทย์ผู้ปรุงยาจำเป็นต้องรู้จักวัตถุต่างๆที่จะเอามาปรุงเป็นยา ในด้านมุมต่างๆแล้วก็แนวทางการปรุงยา (เภสัชกรรม) เป็นปฐม โดยธรรมดาแพทย์ปรุงยาจำเป็นต้องรู้จักหลักใหญ่ๆ๔ ประการ ได้แก่ เภสัชวัตถุ รู้จักตัวยา เป็นวัตถุธาตุนานาชนิดที่จะนำมาใช้ประกอบเป็นยาสำหรับแก้โรค ทั้งพฤกษวัตถุ สัตววัตถุ แล้วก็ธาตุวัตถุสรรพคุณเภสัช รู้จักสรรพคุณรวมทั้งโทษของวัตถุธาตุที่จะนำมาใช้ปรุงเป็นยาตลอดจนเครื่องยาต่างๆที่ใช้บ่อยในยาไทย จำแนกประเภทตามรส คณาเภสัช รู้จักพิกัดยา คือ ยาหลายอย่างที่มีชื่อไม่เหมือนกัน รวมเรียกเป็นชื่อเดียวกัน การปรุงยา รู้จักกรรมวิธีการปรุงยาหรือการประกอบยาตามแบบตำราเรียนโบราณ เภสัชวัตถุ เภสัชวัตถุอันซึ่งก็คือวัตถุธาตุนานาชนิดที่จะนำมาใช้เป็นยาบำบัดโรคนั้น โบราณจำแนกตามมูลเหตุของวัตถุที่ประยุกต์ใช้เป็นยาได้ ๓ ชนิดใหญ่ๆคือ
๑.ต้นไม้วัตถุ เช่นชนิดพฤกษชาตินานาประเภท อีกทั้งจำพวกต้น ชนิดเถาหรือเครือ ชนิดหัว จำพวกผัก ประเภทต้นหญ้า ประเภทพืชพิเศษ (เห็ดแล้วก็พืชชั้นต่ำอื่นๆ)
๒.สัตววัตถุ เป็นต้นว่าสัตว์นานาประเภท ในขณะที่ตลอดตัวหรือเพียงลางส่วน นำมาใช้เป็นเครื่องยา ไม่ว่าจะเป็นสัตว์น้ำ สัตว์บก หรือสัตว์อากาศ
๓.ธาตุวัตถุ เป็นต้นว่าธาตุต่างๆที่นำมาใช้เป็นเครื่องยา ทั้งที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติหรือผสมขึ้น โบราณว่าสรรพวัตถุอันมีอยู่ในโลกนี้ล้วนมีต้นเหตุมาจากแร่ธาตุอีกทั้ง ๔ ย่อมใช้เป็นยาบำบัดโรคได้ทั้งมวล แต่ว่าจะมีคุณประโยชน์มากมายน้อยกว่ากันเช่นไร ขึ้นอยู่กับจำพวกของวัตถุนั้นๆหมอผู้ปรุงยาจำต้องรู้จักเภสัชวัตถุในรายละเอียด ๕ ประการ คือรู้จักรูปยา รู้จักสียา รู้จักกลิ่นยา รู้จักรสยา และก็รู้จักชื่อยานี้ ก็เลยจะสามารถนำเอาเครื่องยาที่ถูกต้องตามที่กำหนดเอาไว้ภายในตำรับยา มาปรุงเป็นยาซึ่งสามารถแก้โรคนั้นนั้นๆได้

คุณประโยชน์เภสัช
คุณประโยชน์เภสัช เป็นคุณประโยชน์ทางยา ของเภสัชวัตถุดังกล่าวข้างต้น แต่จำต้องรู้รสอย่างก่อนจะทราบสรรพคุณยา เพราะว่ารสยาจะแสดงคุณประโยชน์ยา เมื่อรู้จักยาแล้ว ก็เลยจะรู้จักคุณประโยชน์ยานั้นปิ้งกว้างๆได้ ในเรื่องรสยานี้โบราณแบ่งรสยาวออกเป็น ๓ รส ตั้งเป็นประธานก่อนคือ
๑.รสเย็น ประจำฤดูร้อน (คิมหันตฤดู) แก้ในกองเตโช สมุฏฐาน ดับพิษร้อนถอนพิษไข้ต่างๆด้วยเหตุว่าไข้ตัวร้อนมากกำเนิดในฤดูร้อน ได้แก่ อย่าที่ปรุงด้วยเกสรดอกไม้ (ที่ไม่ร้อน) รากไม้ต่างๆ(ที่ไม่ร้อน) เขาสัตว์ต่างๆเขี้ยวสัตว์ต่างๆรวมถึงของที่เผาหรือสุ่มให้เป็นถ่าน เป็นต้น
๒.รสร้อน ประจำหน้าฝน (วสันตฤดู) เบื่อแก้ในกองวาโยสมุฏฐาน แก้ลมต่างๆเป็นส่วนมาก ทำให้แน่นท้อง จุกเสียด และแก้ลมในกองธาตุพิการ ด้วยเหตุว่าโรคลม โดยส่วนมาก เกิดในฤดูฝน ดังเช่นว่า ยาที่ปรุงผสมด้วยห้ากุล ตรีกฏุก ฝึกฝนคุณ ขิง ข่า หัศคุณทั้งคู่ ดองดึง ใบกระเพรา เป็นต้น
๓.รสสุขุม ประจำฤดูหนาว (เหมันตฤดู) แก้ในกองอาโป สมุฏฐาน ยับยั้งเสมหะ แก้โลหิตทุพพลภาพ ตัวอย่างเช่น ยาที่ปรุงปรารถนาด้วยโกษฐ์ทั้งยัง ๕ เทียนทั้ง ๕ กฤษณา กระลำพัก ชลูด อบเชย ขอนดอก เป็นต้น เมื่อปรุงเป็นยาแล้วจะได้ยารสสุขุม อย่างเช่น ยาหอม

Tags : สมุนไพร

58

สมุนไพรพิกัดเกสร
คำว่า เกสร หรือที่โบราณใช้เป็น เกษร นั้น สื่อความหมายที่เกี่ยวกับดอกไม้ บางทีอาจหมายความว่าโครงสร้างที่ใช้ขยายพันธุ์ของพืช ๒ ส่วน ซึ่งจัดโชว์อยู่ในวงของดอก เป็นเกสรผู้แล้วก็เกสรเพศเมีย ตามลำดับจากนอกถึงในสุดทาง ต่อจากนั้นออกมาจะเป็นกลีบดอกไม้และกลีบเลี้ยงตามลำดับ แม้กระนั้นในความหมายที่เกี่ยวกับพิกัดยานั้นอาจถึงเกสรเพศผู้ (ได้แก่ เกสรบัวหลวง) หรือดอกไม้อีกทั้งดอก (รวม กลีบเลี้ยง กลีบ เกสรเพศผู้ รวมทั้งเกสรเพศเมีย) (เช่น ดอกกระดังงา ดอกมะลิ ฯลฯ) หรือบางทีอาจเป็นช่อดอกทั้งช่อ (ดังเช่นว่า ดอกลำเจียก )พิกัดเกสรที่ใช้ในยาไทยมี ๓ พิกัด คือ พิกัดเกสรอีกทั้ง ๕ พิกัดเกสรทั้ง ๗ และก็พิกัดเกสร ๙ พิกัดเกสรทั้งยัง ๕ ได้แก่ เกสรบัวหลวง เกสรบุนนาค ดอกพิกุล ดอกมะลิ และดอกสารภี มีคุณประโยชน์ชูกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ไข้เพื่อเสมหะแล้วก็เลือด แก้ไข้เพ้อกลุ้มใจ แก้ลมตาลาย แก้น้ำดี แก้ธาตุ ทำให้เจริญอาหาร บํารุงครรภ์ เครื่องยาพิกัดนี้ ใช้มากมายในยาแก้ลมหน้ามืด ยาหอมบำรุงหัวใจ พิกัดเกสร ๗ ตัวประกอบด้วยตัวยา ๕ อย่าง ในพิกัดเกสรทั้งยัง ๕  โดยมีดอกจำปา และก็ดอกกระดังงา เพิ่มเข้ามา พิกัดยานี้มีคุณประโยชน์โดยรวมชูกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ไข้เพื่อเสลดและโลหิต แก้ไข้เพพ้อกลุ้ม แก้ลมวิงเวียน แก้น้ำดี แก้ไข้เพื่อปถวีธาตุ ให้เจริญอาหาร แก้ร้อนในอยากดื่มน้ำ แก้โรคตาพิกัดเกสรทั้งยัง ๙ ประกอบด้วยตัวยา ๗ อย่างในพิกัดเกสรทั้งยัง ๗ โดยมีดอกลำเจียก และดอกลำดวนเพิ่มเข้ามา พิกัดยานี้มีสรรพคุณ โดยรวมแก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ไข้จับ แก้ไข้เพื่อลม แก้ไข้เพื่อปถวีธาตุ ให้เจริญอาหาร แก้โรคตา
                   
ตารางที่ ๑ เครื่องยาในพิกัดเกสร
เครื่องยา                ชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ของมูลเหตุ สกุล   ส่วนของพืช
เกสรบัวหลวง        Nelumbo nucifera Gaertn.           Nelumbonaceae      เกสรเพศผู้
ดอกบุนนาค           Mesua ferrea L.                Guttiferae           ทั้งดอก
ดอกพิกุล                Mimusops elengi L.         Sapotaceae        ทั้งยังดอก
ดอกมะลิ                Jasminum sambac Ait.   Oleaceae             ทั้งยังดอก
ดอกสารภี              Mamea siamensis (T.and) Kosterm.        Guttiferae           อีกทั้งดอก
ดอกจำปา              Macnolia Champaca (L.) Baill. Ex Pierre var. champaca (ชื่อพ้อง Michelia champaca L.)        Magnoliaceae       ทั้งยังดอก
ดอกกระดังงา        Cananga  odorata Hook.f. & Th. Annonaceae      ดอก
ดอกลำเจียก          Pandanus odoratissimus L.f         Pandanaceae     ช่อดอกทั้งยังช่อ
ดอกลำดวน           Melodorum fruiticosum Lour.    Annonaceae      ดอก
เกสรบัวหลวง
เกสรบัวหลวงเป็นเกสรเพศผู้ของดอกบัวหลวงชนิดดอกตูมทรงฉลวย กลีบไม่ซ้อน สีขาว (เรียกบุณฑริก) หรือสีชมพูเรียก (ปัทม์ โกกนุท บัวหลวง ฯลฯ) บัวหลวงเป็นบัวน้ำจำพวกก้านแข็ง (ปทุมชาติ) มีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Nelumbo nucifera Gaertn.ในตระกูล Nelumbonaceae ใต้มีชื่อสามัญว่า sacred lotus เครื่องยาที่เรียก เกสรบัวหลวง ได้จากเกสรเพศผู้ของดอกบัวหลวง ตำราเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า มีกลิ่นหอม รสฝาด ใช้แก้ไข้ แก้ธาตุทุพพลภาพ บำรุงหัวใจ เกสรบัวหลวงเข้าเครื่องยาไทยในพิกัดเกสร ๕ เกสรอีกทั้งเจ็ดรวมทั้งเกสรทั้งยัง ๙
ดอกบุนนาค
ดอกบุนนาค ได้จากต้นบุนนาคอายมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Mesua ferrea L.ในวงศ์ Guttiferae พืชจำพวกนี้มีชื่อสามัญว่า indian rose chestnut tree ต้นบุนนาคเป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๕ – ๒๕ เมตร ทรงพุ่มเป็นรูปเจดีย์ต่ำๆโคนต้นมีพูพอนนิดหน่อย ลำต้นเปลา เปลือกเรียบ สีน้ำตาลผสมเทารวมทั้งคละเคล้าแดง มีรอยแตกตื้นๆภายในเปลือกมียางขาว ใบเป็นใบลำพัง เรียงตรงกันข้าม รูปใบหอกหรือรูปขอบขนานแกมใบหอก กว้าง ๑.๕-๓.๕ เซนติเมตร ยาว ๔-๑๕ ซม. โคนใบสอบ ปลายใบเรียวแหลม ขอบของใบเรียบ ด้านบนสีเขียวเข้ม ข้างล่างมีรอยเปื้อนสีขาวนวล เส้นใบถี่ เนื้อใบครึ้ม ก้านใบสั้นยาว ๔-๗ มม. ใบอ่อนสีชมพูอมเหลืองแขวนเป็นพู่ ดอกออกลำพังๆหรือออกเป็นกระจุก กลุ่มละ ๒-๓ ดอก ตามง่ามใบ ดอกสีขาวหรือสีนวล มีกลิ่นหอมสดชื่น เมื่อบานเต็มกำลังมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว ๕-๑๐ เซนติเมตร กลีบเลี้ยงมี ๔ กลีบ รูปช้อน งอเป็นกระพุ้ง มี ๒ ชั้น ชั้นละ ๒ กลีบ กลีบดอกมี ๔ กลีบ รูปไข่กลับ ปลายบานรวมทั้งเว้า โคนสอบ เกสรเพศผู้มีเยอะมากๆ ผลรูปไข่ แข็ง สีน้ำตาลเข้ม กว้าง ๒ ซม. ยาว ๔๐ เซนติเมตร ปลายโค้งแหลม กลีบเลี้ยงขยายโตเป็นกาบหุ้มผล ๔ กาบ มีเม็ด ๑-๒ เม็ด พืชนี้มีเนื้อไม้สีแดงคล้ำ เป็นมันเลื่อม เศษไม้ค่อนข้างจะตรง เนื้อค่อนข้างจะหยาบแข็ง และก็ทนดีเลิศ เลื่อยผ่าตกแต่งยาก ขัดชักเงาเจริญ ฝรั่งเรียกไม้นี้ว่า ironwood หรือ Ceylon ironwood ใช้ทำหมอนรองรางรถไฟ ใช้ก่อสร้างบ้านเรือน ทำเสา สะพาน ด้ามวัสดุ ใช้สร้างเรือ ทำกระดูกงูเรือ กงเสากระโดงเรือ ใช้ทำทุกส่วนของเกวียน ทำด้ามหอก ด้ามร่ม ทำพานท้ายหรือและก็รางปืน น้ำมันที่บีบจากเมล็ดทำเครื่องแต่งตัว ตำราคุณประโยชน์ยาโบราณว่า ดอกบุนนาคมีกลิ่นหอมยวนใจ เย็น รสขมนิดหน่อย ช่วยบำรุงใจให้ช่ำชื่น ใช้แก้ไข้รอยแดง แก้ร้อนในดับกระหาย บำรุงเลือด บำรุงหัวใจ แก้ลมกองละเอียด เวียนหัว หน้ามืด ลายตา แล้วก็ว่าแก้กลิ่นสาบสางในกายได้ ดอกบุนนาคเข้าเครื่องยาไทยพิกัดเกสรทั้ง ๕ และเกสรทั้งยัง ๗ และเกสรทั้งยัง ๙ ยิ่งกว่านั้นส่วนอื่นของต้นบุนนาคยังคงใช้ประโยชน์ทางยาได้ เป็นต้นว่า รากใช้แก้ลมในลำไส้ เปลือกต้นมีคุณประโยชน์กระจายหนอง และกระพี้แก้เสลดในลำคอ เนื้อไม้ใช้แก้ลักปิดลักเปิด
ดอกพิกุล
ดอกพิกุล เป็นดอกของต้นพิกุลอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Mimusops elengi L.ในสกุล Sapotaceae พืชประเภทนี้ ลางถิ่นเรียก กุน (ภาคใต้) แก้ว (ภาคเหนือ) ซางป่า (จังหวัดลำพูน) ก็มีต้นพิกุลเป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๐-๒๕ เมตร เรือนยอดรูปเจดีย์หรือกลมทึบ ใบเป็นใบผู้เดียว เรียงสลับกันห่างๆรูปไข่ รูปรี หรือรูปขอบขนาน กว้าง ๒-๖.๕ เซนติเมตร ยาว ๕-๑๕ ซม. วัวนมน ปลายแหลม เป็นติ่งสั้นๆขอบใบเป็นคลื่น ดอกเป็นดอกคนเดียว หรือออกเป็นกลุ่ม ๒-๖ ดอก ตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงมี ๘ กลีบ เรียง ๒ ชั้น ชั้นละ ๔ กลีบ กลีบดอกมี ๒๔ กลีบ เรียง ๒ ชั้น ชั้นนอกมี ๘ กลีบ ชั้นในมี ๑๖ กลีบ โคนเชื่อมกันบางส่วน ตกง่าย มีสีนวล กลิ่นหอมสดชื่นเย็น กลิ่นยังคงอยู่แม้ตากแห้งแล้ว เกสรเพศผู้บริบูรณ์มี ๘ อัน และเกสรเพศผู้เป็นหมัน คล้ายกลีบดอกไม้มี ๘ อัน ผลเป็นแบบมีเนื้อ รูปไข่ กว้างราว ๑.๕ ซม. เมื่ออ่อนสีเขียว รวมทั้งสุกมีสีแดงแสด มีรสหวานเล็กน้อย เมื่อต้นพิกุลมีอายุมากมายๆเนื้อไม้จะผุหรือรากจะผุ ทำให้ข้นหรือลงได้ง่าย ก็เลยไม่นิยมปลูกไว้ในบริเวณบ้าน ต้นแก่ๆมักมีเชื้อราจะเดินเข้าไปในแก่นไม้ ทำให้แก่นไม้มีกลิ่นหอมหวน โบราณเรียก “ขอนดอก” ซึ่งมีขายทำร้านค้ายาสมุนไพรเป็นแก่นไม้ที่มีสีน้ำตาลเข้มประขาว มีกลิ่นหอมหวนฝรั่งเรียก “bullet wood” เพราะเหตุว่าแก่นไม้มีประด่างเป็นจุดขาวๆราวกับรอยกระสุน
ขอนดอก
เป็นเครื่องยาไทย บางทีอาจได้จากต้นพิกุล หรือต้นตะหาม(Lagerstroemia calyculata Kurz. วงศ์ Lythraceae) แก่ๆมีเชื้อราเจริญรุ่งเรืองเข้าไปในเนื้อไม้ แต่โบราณว่าขอนดอกที่ได้จากต้นตะแบกจะมีคุณภาพด้อยกว่า หนังสือเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า ขอนดอกมีกลิ่นหอมสดชื่น รสจืด มีสรรพคุณบำรุงตับ ปอด และหัวใจ บำรุงทารกในท้อง (ครรภรักษา) ทำให้หัวใจสดชื่น ดอกพิกุลมีกลิ่นหอมเย็น เข้ายาหอม ยานัตถุ์ ยาแก้ไข้ แก้ปวดศีรษะ แก้เจ็บคอและแก้ร้อนใน ตำราสรรพคุณยาโบราณจัดเข้าเครื่องยาพิกัดเกสร ๕ เกสรอีกทั้ง ๗ แล้วก็เกสรทั้งยัง ๙ หรือใช้ผสมกับดอกไม้อื่นๆที่มีกลิ่นหอมสดชื่นเพื่อทำบุหงา เว้นเสียแต่น้ำส่วนอื่นๆของต้นพิกุลยังใช้ผลดีทางยาได้หนังสือเรียนว่ารากพิกุลมีรส ขมเฝื่อน เข้ายาบำรุงเลือด แก้เสลด แก้ลม แก่นพิกุลมีรสขมฝาด เข้ายาบำรุงโลหิต ยาแก้ไข้ เปลือกต้นที่คุณมีรสฝาด ใช้ปรุงเป็นยาแก้เหงือกอักเสบ ใบพิกุลรสเบื่อฝาด เข้ายาแก้หืด แก้กามโรค
ดอกมะลิ
ดอกมะลิเป็นดอกของพืชอันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Jasminum sambac Ait.ในวงศ์ Oleaceae  หากมีกลีบดอกชั้นเดี่ยวเรียก มะลิลา ถ้าเกิดมีกลีบดอกทับกันหลายชั้นเรียก มะลิซ้อน แต่ว่าดอกมะลิที่ระบุในตำราเรียนยามักนิยมใช้ดอกมะลิลา ฝรั่งเรียกดอกมะลิ jasmine หรือArabain jasmine ต้นมะลิเป็นไม้พุ่มรอคอยเลื้อยสูง ๑-๒ เมตร ใบเรียงตรงกันข้าม รูปไข่ ขนาดกว้าง ๓.๕-๔.๕ ซม.ยาว ๕-๗ เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบมน ก้านใบสั้น ถ้าเกิดเป็นพันธุ์ดอกซ้อนมักออก ๓ ใบใน ๑ ข้อ รวมทั้งสีใบจะเข้มกว่า ดอกมีสีขาว กลิ่นหอมยวนใจแรง ดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อที่ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงเป็นเส้น ๘-๑๐ เส้น กลีบเป็นหลอดยาว ๑-๒ เซนติเมตร ปลายแยกเป็น ๕-๘ กลีบ เมื่อบานเต็มกำลังจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒-๓ เซนติเมตร เกสรเพศผู้มี ๒ อัน ดอกออกตลอดทั้งปี แม้กระนั้นจะ ดกในฤดูร้อนแล้วก็ฤดูฝน ตำราคุณประโยชน์ยาโบราณว่า ดอกมะลิมีกลิ่นหอมยวนใจเย็น รสขม ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ดับพิษร้อน ทำให้จิตใจชุ่มชื่นกระชุ่มกระชวย บำรุงท้อง แก้ร้อนในกระหายน้ำ โบราณจัดเข้าเครื่องยาพิกัดเกสรทั้งยัง ๕ เกสรทั้งยัง ๗ และเกสรทั้งยัง ๙ หรือใช้อบในน้ำหอม ทำน้ำดอกไม้ไทย หรือใช้ผสมกับดอกไม้ประเภทอื่นๆที่มีกลิ่นหอมยวนใจ สำหรับทำบุหงา นอกเหนือจากนี้ตำราเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า ใบมะลิสดมีรสฝาด แพทย์ตามชนบทใช้ใบสดตำกับกากมะพร้าวตูดกะลาพอกหรือทาแก้แผลพุพอง แก้แผลเรื้อรัง แล้วก็ ยังว่าใช้ยอด ๓ ยอด ตำพอกหรือทาเพื่อลบรอยแผลเป็น รากมะลิมีรสเย็นเมา ฝนหรือต้มน้ำ แก้ปวดปวดศรีษะ แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้หลอดลมอักเสบ ใช้มาก (ราว ๑-๒ ข้อมือ) ทำให้สลบ ตำพอกหรือแก้เคล็ดลับปวดเมื่อยจากการกระทบกระแทก
ดอกสารภี
ดอกสารภีได้จากต้นสารภีอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Mammea siamensis (T. And) Kosterm. ในวงศ์ Guttiferae ลางถิ่นเรียก ไม่สำนึกในบุญคุณ (เมืองจันท์) สร้อยพี (ภาคใต้) ก็มี ต้นสารภีเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางสูง ๑๐-๑๕ เมตร เรือนยอดเป็นไม้พุ่มทึบ เปลือกต้นสีเทาดำ แตกล่อนเป็นสะเก็ด มียางขาวรวมทั้งจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน กิ่งอ่อนเป็นสารสี่เหลี่ยม ใบเป็นใบโดดเดี่ยว เรียงตรงกันข้ามเป็นคู่ๆแต่ละคู่สลับทิศทางกัน รูปไข่แกมรูปขอบขนาน กว้าง ๔-๖.๕ เซนติเมตรยาว ๑๕-๒๐ เซนติเมตร โคนใบสอบแคบ ปลายใบมนหรือสอบทื่อๆอาจมีติ่งสั้นๆหรือหยักเว้าตื้นๆเนื้อใบดก ดอกออกเป็นช่อ ช่อเดียวหรือหลายช่อตามกิ่ง ดอกสีขาวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเมื่อจะโรย มีกลิ่นหอมยวนใจมาก กลีบเลี้ยงมี ๒ กลีบ โคนเชื่อมชิดกัน ติดทนรวมทั้งขยายโตตามผล กลีบดอกมี ๔ กลีบ โค้งเป็นกระพุ้ง เมื่อบานมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว ๑.๕ เซนติเมตร เกสรเพศผู้มีมากไม่น้อยเลยทีเดียว ผลรูปกระสวย ยาวราว ๒.๕ ซม. เมื่อสุกสีเหลือง เนื้อสีเหลืองหรือสีแสดหุ้มเมล็ด
สารภีแนน
สารภีแนน เป็นชื่อถิ่นทางพายัพของพืชที่มีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Calophyllum inophyllum L. ในสกุล Guttiferae รู้จักกันในชื่ออีกหลายชื่อ เป็นต้นว่า สารภีทะเล (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) กากะทิง (ภาคกลาง) ทิง (กระบี่) เนาวกาน (น่าน) เป็นพืชที่ขึ้นริมหาด หรือปลูกเป็นไม้ประดับทั่วๆไป พืชชนิดนี้เป็นไม้ยืนต้นสูง ๘-๑๐ เมตร เรือนยอดที่กว้างเป็นพุ่มไม้กลม ทึบ เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลคละเคล้าเทา ภายในมีน้ำยางสีเหลืองใส ใบเป็นใบผู้เดียว เรียงตรงกันข้าม รูปรีถึงรูปไข่กลับ กว้าง ๔.๕-๘ ซม. ยาว ๘-๑๕ ซม. โคนใบสอบ ปลายใบมน กว้างหรือเว้ากึ่งกลางน้อย ขอบของใบเรียบ เนื้อใบหนา เส้นใบถี่รวมทั้งขนานกัน ดอกสีขาว มีกลิ่นหอมสดชื่น ดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่งหรือตามซอกใบที่ปลายกิ่ง กลีบดอกมี ๕-๖ กลีบ เมื่อบานมีสัตว์เส้นผ่าศูนย์กลาง ๒-๒.๕ เซนติเมตร เกสรเพศผู้มีสีเหลือง มีจำนวนไม่ใช่น้อย ผลรูปกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒.๕-๓ เซนติเมตร ปลายกิ่งเป็นติ่งแหลม สีเขียว เมื่อแก่สีน้ำตาล แห้งผิวย่นย่อ เปลือกค่อนข้างครึ้ม แพทย์แผนไทยลางถิ่นใช้ดอกสารภีแนนแทนดอกสารภี ปรุงเป็นยาหอม บำรุงหัวใจ น้ำมันระเหยยากคีมจับได้จากเมล็ดใช้ทาแก้ปวดข้อ และก็ใช้เป็นยาพื้นสำหรับทำเครื่องแต่งตัวแบบเรียนสรรพคุณยาโบราณว่าดอกสารภีมีกลิ่นหอมหวน รสขมเย็น แก้โลหิตพิการ แก้ไข้ที่มีพิษร้อน เป็นยาเจริญอาหาร ยาบำรุงหัวใจ และก็ยาชูกำลัง โบราณจัดดอกสารภีไว้ภายในพิกัดเกสรอีกทั้ง ๕ เกสรทั้ง ๗ และก็เกสรอีกทั้ง ๙
ดอกจำปา
ดอกจำปา ได้จากดอกของต้นจำปาอันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่าmagnolia champaca (L.) Bail.ex Pierre var. Champaca ในสกุล Magnoliaceae พืชประเภทนี้เป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๕-๓๐ เมตร ยอดอ่อนและใบอ่อนมีขน ใบแก่หมดจด ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงอุตสาหะสลับกัน รูปรี รูปไข่ หรือรูปไข่แคบ กว้าง ๔-๑๐ ซม. ยาว ๑๐-๒๕ เซนติเมตร ปลายแหลมหรือเป็นติ่งแหลม โคนกลมมนหรือแหลม ดอกเป็นดอกเดี่ยว ออกตามซอกใบ สีเหลืองอมส้ม มีกลิ่นหอมยวนใจแรง กลีบ
จำปาดอกขาว
เนื่องจากต้นจำปามีเขตการกระจายพันธุ์กว้าง คือตั้งแต่อินเดีย พม่า ไทย ไปถึงจนถึงเวียดนาม จึงอาจมีการคลายภายในโดยธรรมชาติกลายพันธุ์โดยธรรมชาติจนขนาดและสีของดอกแตกต่างกันออกไปบ้าง ที่วัดกลาง ตำบลนครไทย อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก มีต้นจำปาอายุมากต้นหนึ่ง ดอกเมื่อแรกแย้มมีสีนวล (ไม่ขาวเหมือนดอกจำปีทั่วไป) แต่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองส้มเมื่อใกล้โรย (เหมือนดอกจำปาทั่วไป) ชาวบ้านเรียกต้นจำปานี้ว่า ต้นจำปาขาว เมื่อผ่านไปทางอำเภอนครชัยจะเห็นป้าย ต้นจำปาขาว ๗๐๐ ปี ต้นจำปาขาวที่ว่านี้ก็คือต้นจำปาอายุมากต้นนี้เอง ส่วนวลี ประวัติศาสตร์ ๗๐๐ปี ต้องการจะสื่อว่าบริเวณตำบลนครไทยนั้นเดิมเป็นเมืองโบราณชื่อเมืองบางยาง เป็นเมืองที่พ่อขุนบางกลางหาว ผู้เสพผู้สืบเชื้อสายจากพระชัยศิริ ราชวงศ์เชียงราย อพยพมาตั้งถิ่นฐานต้องสูงพระไพร่พลอยู่ในราว พ. ศ. ๑๗๗๘ ก่อนร่วมกับพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด ยกพลตีสุโขทัยอันเป็นเมืองหน้าด่านของขอมและรับชัยชนะในราวพ. ศ. ๑๘๐๐ สถาปนาพระองค์เป็นปฐมกษัตริย์ทรงพระนามว่าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ แห่งกรุงสุโขทัย
จำปาของลาว
จำปา เป็นชื่อที่ชาวไทยอีสานและชาวลาวเรียกพืชอีกชนิดหนึ่งอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Plumeria obtusa L.ในวงศ์ Apocynaceae คนไทยภาคกลางเรียก ลั่นทม ลางถิ่นอาจเรียก จำปาขาว จำปาขอม จำปาลาว หรือลั่นทมดอกขาว มีชื่อสามัญว่า pagoda tree หรือ temple tree หรือ graveyard flower (เรียกดอก) พืชชนิดนี้เป็นไม้พุ่มสูง ๓-๖ เมตร แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มกว้าง ทุกส่วนมียางสีขาว ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับที่บริเวณปลายกิ่ง รูปใบพายแกมรูปขอบขนาน กว้าง ๕-๘ เซนติเมตร ยาว ๒๐-๓๒ เซนติเมตร ปลายและโคนมน ด้านบนสีเขียวเข้ม เป็นมัน ด้านล่างมีขนนุ่ม ดอกสีขาว กลางดอกสีเหลือง มีกลิ่นหอมโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น ๕ กลีบ ซ้อนเหลื่อมกัน กลีบรูปไข่กลับปลายมน งอลงเล็กน้อย เมื่อบานมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๘-๑๐ เซนติเมตรเกสรเพศผู้มี ๕ อัน ก้านเกสรสั้นมาก ผลเป็นฝักคู่ รูปยาวรี เมื่อแก่แตกเป็น ๒ ซีก เมล็ดมีจำนวนมาก แบน มีปีก ดวงจําปานี้เป็นดอกไม้ประจำชาติของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว นิยมปลูกตามวัดเพื่อเป็นพุทธบูชา จัดเป็นไม้มงคลผู้ไม่รู้ลางท่านเห็นว่าชื่อ ลั่นทม ออกเสียงคล้ายกับ ระทม อันหมายความว่าไม่เป็นมงคลจึงเปลี่ยนชื่อให้พืชชนิดนี้ใหม่ว่า “ลีลาวดี” ซึ่งเป็นการไม่สมควรต้นจำปาชนิดนี้เป็นพืชสมุนไพรที่เกิดทุกส่วนของต้นใช้เป็นยาได้ ตำราสรรพคุณยาโบราณว่า กลีบดอกจำปามีกลิ่นหอม มีรสขม ช่วยทำให้เลือดเย็น กระจายโลหิต อันร้อน ขับปัสสาวะ ขับลม แก้อ่อนเพลีย วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย บำรุงหัวใจ แก้เส้นกระตุก บำรุงน้ำดี บำรุงโลหิต ดอกจำปาเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งในพิกัดเกสร ทั้ง ๗ และเกสรทั้ง ๙ ลางตำราว่าดอกใช้ผสมกับใบพลูกินแก้หอบหืด และเมล็ดรสขมเป็นยาขับน้ำเหลือง นอกจากนั้นเปลือกต้นจำปามีรสเฝื่อนขม แก้คอแห้ง แก้ไข้ บำรุงหัวใจ ขับเสมหะ ใช้เป็นยาถ่ายอย่างแรง ต้มน้ำดื่มแก้โรคหนองใน ขับระดู ใบมีรสเฝื่อนขม แก้ไข้อภิญญาณ แก้โรคประสาท แก้เส้นประสาทพิการ แก้ป่วง ใช้ลนไฟพอกแก้ปวดบวม ชงน้ำร้อนดื่มแก้หืด กระพี้มีรสเฝื่อนขม ใช้ถอนพิษผิดสำแดง แก่นมีรสเฝื่อนขม เมา แก้กุฏฐัง รากมีรสเฝื่อนขม ใช้ขับเลือดเน่า เป็นยาถ่าย
ต้นจำปา ที่ซับจำปา
บริเวณที่ปัจจุบันเป็นบ้านซับจำปาตำบลซับจำปาอำเภอท่าหลวงจังหวัดลพบุรีนั้นเดิมเป็นป่าพรุน้ำจืดที่กว้างใหญ่ไพศาลอุดมด้วยพันธุ์ไม้และสัตว์ป่านานาชนิดซึ่งยังมีผู้เฒ่าผู้แก่เล่าขานถึงแต่ในปัจจุบันถูกชาวบ้านแผ้วถางเป็นพื้นที่ทำกินโดยเฉพาะเป็นไร่มันสำปะหลังสุดลูกหูลูกตา คงเหลือแต่ป่าต้นน้ำราว ๙๖ ไร่ ที่ชาวบ้านเรียกกันสืบมาว่าประจําปลาในป่านี้มีไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งขึ้นอยู่มากชาวบ้านเรียกพืชนั้นว่าต้องจับปลาและเรียกพื้นที่ป่าซับน้ำบริเวณนั้นว่าซับจําปาอันเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้านชื่อวัดและชื่อตำบลตามลำดับเมื่อเร็วๆนี้นักศึกษาที่จะศึกษาจำปาต้นนี้ ในเชิงอนุกรมวิธานพบว่าเป็นพืชในวงศ์ Magnoliaceae ชนิดใหม่ของโลกซึ่งไม่เคยมีรายงานว่าพบที่ใดมาก่อน จึงได้กำหนดชื่อพฤกษศาสตร์โดยได้รับพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระนามาภิไธย สิรินธร ตั้งเป็นชื่อบกชนิดว่า Magnolia sirindhorniar Noot.& Chalermgrin เพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และเพื่ออนุรักษ์พืชชนิดนี้ไว้ให้แหล่งพันธุกรรมและระบบนิเวศของพืชชนิดนี้ถูกทำลายไป โดย ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานชื่อไทยให้พืชชนิดนี้ให้พืชนี้ใหม่ว่า จำปีสิรินธร
ดอกกระดัง
ดอกกระดังงา เป็นดอกของพืชอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Cananga odorata Hook.f. &Th.ในวงศ์ Annonaceae ลางถิ่นเรียกกระดังงาไทย (ภาคกลาง) กระดังงาใหญ่ กระดังงาใบใหญ่ สบันงาต้น สบันงา (ภาคเหนือ) มีชื่อสามัญว่า ylang-ylang (เป็นภาษาตากาล็อก อ่านว่า อิลาง – อิลาง) ต้นกระดังงาเป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๕-๒๐ เมตร ลำต้นตั้งตรง เปลือกสีเทาเกลี้ยงหรือสีเงิน กิ่งก้านแผ่ออกจากต้น มักลู่ลง ส่วนที่ยังอ่อนอยู่มีขนปกคลุม ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับกัน ห้อยลง รูปขอบขนาน กว้าง ๔ – ๙ เซนติเมตร ยาว ๗-๑๒ เซนติเมตร ปลายใบแหลม หรือเป็นติ่งแหลม โคนใบค่อนข้างกลมมน หรือเบี้ยว ขอบใบเป็นคลื่น ใบบาง ค่อนข้างนิ่ม สีเขียวอ่อน ดอกสีเหลืองอมเขียว มีกลิ่นหอม ออกรวมกันเป็นกลุ่ม ๔-๖ ดอก ก้านดอกยาว ๒-๔ เซนติเมตร กลีบเลี้ยงมี ๓ กลีบ รูปสามเหลี่ยม ยาวราว ๐.๕ เซนติเมตร มีขนปกคลุม กลีบดอกห้อยลง มี ๖ กลีบ แบ่งเป็น ๒ ชั้น ชั้นละ ๓ กลีบ ชั้นนอกรูปแคบยาว ปลายเรียวแหลม ขอบกลีบมักจะม้วนหรืออยากเป็นคลื่น ยาว ๕-๘.๕ เซนติเมตร กลีบชั้นในสั้นกว่าเล็กน้อย เกสรเพศผู้และรังไข่มีจำนวนมาก ผลเป็นผลกลุ่มมี ๔-๑๒ ผลย่อย ผลย่อยรูปยาวรี กว้างราว ๑ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร มีก้านยาว ๑.๓-๒ เซนติเมตร มีสีเขียวเข้มเมื่อแก่เป็นสีดำ เมื่อกลั่นกลีบดอกแรกแย้มด้วยไอน้ำจะได้น้ำมันระเหยระเหยง่าย เรียก น้ำมันดอกกระดังงา (ylang-ylang oil) กลีบดอกลนไฟใช้อบน้ำให้หอม (น้ำดอกไม้) สำหรับใช้เป็นน้ำกระสายยา ดอกแห้งผสมกับดอกไม้หอมอื่นๆสำหรับทำบุหงา ดอกกระดังงามีกลิ่นหอมเย็น ใช้ปรุงยาแก้ลมวิงเวียน ชูกำลัง ทำให้หัวใจชุ่มชื่น แก้อ่อนเพลีย กระหายน้ำ แพทย์แผนไทยจัดเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งในพิกัดเกสรทั้ง๗ และเกสรทั้ง ๙ ตำราสรรพคุณยาโบราณว่า เปลือกต้นมีรสฝาด เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ แก้ท้องเสีย นอกจากนั้นเนื้อไม้มีรสขมฝาด ใช้เป็นยาขับปัสสาวะและแก้ปัสสาวะพิการเช่นกัน
กระดังงาสงขลา
กระดังงาสงขลา หรือ กระดังงาเบา มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Canaaga odorata Hook.f.&Th var. fruticosa (Craib) J.Sincl. ในวงศ์ Annonaceae
 เป็นไม้พุ่มสูง ๑-๓ เมตร แตกกิ่งเป็นพุ่มกลม ใบและดอกคล้ายต้นกระดังงามาก ต่างกันที่กระดังงาสงขลาเป็นไม้พุ่ม ใบสั้นกว่า ดอกออกเดี่ยวๆ บนกิ่งด้านตรงข้ามกับใบ กลีบเลี้ยงรูปไข่ ปลายแหลม กลีบดอกมี ๑๕-๒๔ กลีบ ยาว เรียว บิด และเป็นคลื่นมากกว่าดอกกระดังงา กลีบชั้นนอกยาวและใหญ่กว่ากลีบชั้นใน พืชชนิดนี้เป็นพืชถิ่นเดียวและพืชหายาก (ในธรรมชาติ) ของประเทศไทย พบครั้งแรกที่บ้านจะโหนง อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เป็นพืชที่ขยายพันธุ์ง่ายออกดอกได้เกือบตลอดปี นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ
ดอกลำเจียก
ดอกลำเจียกเป็นช่อของดอกลำเจียก (Screw pine) อันมีชื่อพฤษศาสตร์ว่า Pandanus odoratissimus L.f. ในวงศ์ Pandanaceae พืชชนิดพืชนี้ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียอยู่ต่างต้นกัน ต้นที่มีดอกเพศผู้เรียก ลำเจียก ส่วนต้นที่มีดอกเพศเมีย เรียก เตย หรือเตยทะเล มีผู้ตั้งชื่อต้นที่มีดอกตัวเมียเป็นพืชชนิดหนึ่งโดยให้ชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Pandanus tectorius Sol. ex Parkinson พืชชนิดนี้เป็นไม้พุ่ม สูง ๕-๖ เมตร ลำต้นสีนวลหรือสีน้ำตาลอ่อน มีหนามแหลมสั้นๆ กระจายอยู่ทั่วไป โคนต้นมีรากค้ำจำนวนมาก ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับเป็น ๓ เกลียวที่ปลายกิ่ง ใบรูปขอบขนาน กว้าง ๕-๘ เซนติเมตร ยาว ราว ๒ เมตร ขอบใ

59
อื่น ๆ / สมุนไพรพิกัดโกษฐ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2017, 02:51:11 AM »

สมุนไพรพิกัดโกษฐ์
โกรธเป็นพิกัดเครื่องยาหมู่หนึ่งที่ใช้มากมายในไทย ตำราโบราณเขียนชื่อพิกัดยาเหล่านี้ไม่เหมือนกันออกไปหลายแบบ ในศิลาจารึกตำราเรียนที่วัดราชบุตรชายสาราม ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (แต่ว่าครั้งท่านยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์) ขอความกรุณาเกล้าให้จารึกไว้เป็นวิทยาทาน เมื่อทรงซ่อมแซมวัดนี้ใน พ.ศ. ๒๓๖๔ มอบเป็นพระราชบุญกุศลแก่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ปรากฏชื่อพิกัดเครื่องยาไทยเดี๋ยวนี้เป็น โกด ทั้งหมดทั้งปวง ตัวอย่างเช่น (พิมพ์ตาตัวอักษรที่ปรากฏในแผ่นจารึก) หากบุทคลคนใดกันแน่เจ็บป่วยเพื่อเสลด ปิตะ วาตะ สมุถานก็ดีแล้ว ทำให้หิวโหยหาแรงมิได้ ให้ระลอตเตอรี่ไป ให้ใจขุ่นหมองไม่ได้ชื่น ให้สวิงสวายหากำลังไม่ได้  ถ้าจะเอายานี้แก้ ยาชื่อมหาสมมิตร เอาโกดทั้งยังห้า เทียรอีกทั้งห้า ตรีผลา จันทังสอง ลูกจัน ดอกจัน มือวาน กานพูล ขิงแห้ง ดีปลี แห้วหมู ไคร้เครือ เกษรบัวหลวง เกษรสารภี เกษรบัวเผื่อน เกษรบัวขม ดอกคำ ดอกผักตบ ดอกพิกุน เกสรบุนนาค ดอกสลิด สักขีพยาน ชลูด อบเชย ชะเอม ปัญหา ชะมดเชียง พิมเสน เอาเท่าเทียมกันทำเป็นจุณ เอาดีงูงูเหลือม เช่น้ำดอกไม้ประสาย บดทำแท่งไว้ละลายน้ำดอกไม้ก็ได้ น้ำตาลก็ได้ น้ำค้างคืนก็ได้ รับประทานแก้รส่ำรสายแลดับพิษไข้ทั้งหมด ทำให้คลั่งให้เพ้อให้เชื่อมให้มัว แก้ลิ้นแข็งกระด้างคางแข็ง แลชูกำลังยิ่งนักฯ
ส่วนศิลาจารึกตำราเรียนที่วัดพระเชตุๆพนบริสุทธิ์มังคลาราม(วัดโพธิ์) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้จารึกไว้เพื่อเป็นวิทยาทาน คราวที่ทรงซ่อมซ่อมแซมใหญ่เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๕ แล้วก็คณะอาจารย์สถานที่เรียนหมอแผนโบราณได้รวบรวมพิมพ์เป็นเล่มเมื่อ พุทธศักราช ๒๕๐๕  ในแบบเรียนยาฯนี้บันทึกชื่อเครื่องยาในหมู่นี้เป็น โกฐ ทั้งหมดทั้งปวง ยกตัวอย่างเช่นแผ่นจารึกที่ศาลา ๗ เสา ๖  แผ่น ๔ ดังต่อไปนี้
ปุนะจะปะรัง ลำดับนี้จะกล่าวด้วยนัยหนึ่งใหม่ เกี่ยวกับลักษณะสันนิบาตอันบังเกิดเพื่อดีรั่วนั้นเป็นคำรบ ๔  เมื่อจะเกิดขึ้นแก่บุคคลใดดีแล้ว ก็ทำให้ลงดุจกินยารุ มูลนั้นเหลืองดังน้ำขมิ้นสด ให้เคลิ้มไปพบสติไม่ได้ แลให้หิวโหยนัก บริโภคอาหารไม่อยู่ท้อง ให้สวิงสวาย ให้แน่นหน้าอกเป็นกำลัง ให้อุทธรลั่นอยู่เป็นนิจมิได้ขาด ถ้าเกิดเเลลักษณะเป็นดังกล่าวมาแล้วข้างต้นมานี้ ฯ ถ้าหากจะแก้เอาสมออีกทั้ง ๓ มะขามป้อม ผลจู๋ม จันทน์อีกทั้ง ๒ โกญสอ โกฐเฉมา โกฐก้านพร้าว โกฐพุงปลา โกฐน้ำเต้า กฤษณา กระลำพัก แก่นสน กรักขี แก่นประดู่ รากขี้กาทั้งยัง ๒ ใบสันมีดพร้ามอน ใบคนทีสอ รากกระทกรก รากทิ้งถ่อน รากผักหวาน ว่านน้ำ ไคร้หอม เสมอภาคต้มตามแนวทางให้กิน แก้สันนิบาตอันเกิดขึ้นเพื่อปิตตะสมุฏฐานโรค กล่าวคือดีรั่วนั้นหายดีเลิศนักฯสำหรับ ตำราหมอแผนไทยแผนโบราณ ซึ่งรวบรวมโดยขุนโสภิตบรรณรักษา (อำพัน คำเล่าลือฟุ้งกระจาย) เขียนชื่อเดี๋ยวนี้เป็น โกฏ ทั้งหมดทั้งปวง ดังเช่นยาแก้คอแห้งผากในคัมภีร์เล่ม ๓ ขณะที่ว่าด้วยเสลดทุพพลภาพและก็ยาแก้ ดังต่อไปนี้ ยาแก้คอแห้ง แก้เสลดเหนียว แก้อ้วก เอาโกฏ ๕ เทียนทั้งยัง ๕ ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ ลูกกระวาน กานพลู ว่านน้ำ ประพรมมิ ดอกบุนนาค เกสรบัวหลวง ลูกราชดัด ขิง พริกไทย บดละลายน้ำท่าแทรกเกลือกิน แก้อ้วกละลายน้ำลูกยอต้มกิน
                     
ส่วนในหนังสือศาสตร์วัณ์ณนา – ตำราเรียนแพทย์แบบเก่า
ซึ่งเรียบเรียงโดยนายสุ่ม วรกิจไพศาล ตามตำราของพระยาเป็นเยี่ยมศาสตร์ดำรง(หนู) ผู้เป็นพ่อ บันทึกชื่อเครื่องยาหมู่นี้เป็น โกฏฐ์ ทั้งผอง ได้แก่ ยาเทพนิมิตรในเล่ม ๔ ดังนี้ ถ้าหากจะเอายาชื่อเทวดานิมิตต์ขนานนี้ ท่านให้เอาโกฏฐ์สอ ๑ โกฏฐ์เชียง ๑ โกฏฐ์เขมา ๑ โกฏฐ์น้ำเต้า ๑ สมุลแว้ง ๑ อบเชย ๑ ขมิ้นเครือ ๑ แก่นสน ๑ พยาน ๑ กระวาน ๑ กานพลู ๑ สิ่งละ ๒ ส่วน ดอกลำดวน ๑ กระดังงา ๑ ดอกจำปา ๑ สิ่งละ ๓ ส่วน จันทน์ ๒ กฤษณา ๑ กระลำพัก ๑ ขอนดอก ๑ แก่นประพรม ๑ ชะเอมเทศ ๑ หวายตะค้า ๑ ดอกคำฝอย ๑ เลือดแรด ๑ สารส้ม ๑ สิ่งละ ๔ ส่วน การบูร ๑ พริกไทย ๑ สิ่งละ ๕ ส่วน แก่นแสมทะเล ๑๖ ส่วน เบ็ญจกูล ตามพิกัด ทำเป็นผงแล้วเอาแห้วหมูเป็นน้ำกระสาย บดทำแท่งไว้ละลายน้ำแก่นไม้ต้มแทรกพิมเสนให้รับประทาน แก้โลหิตปกติโทษอันบังเกิดแต่ว่ากระดูกนั้นหายยอดเยี่ยมนักแล
จึงมองเห็นได้ว่าแบบเรียนยาโบราณของไทยใช้ชื่อเครื่องในหมูนี้เป็น โกด โกฐ โกฏ หรือ โกฏฐ์ แตกต่างกันไปตามแต่จะเขียน เรื่องยาพิกัดนี้ทุกประเภทเป็นของที่มีเกิดในต่างแดน และก็มีพ่อค้าต่างประเทศนำเข้ามาขายในประเทศไทยนานแล้ว อย่างต่ำก็ก่อนสมัยสมเด็จพระทุ่งนารายณ์มหาราช (พุทธศักราช ๒๑๗๕ – ๒๒๓๑) เนื่องจากว่าในแบบเรียนแพทย์แผนไทยซึ่ง หนังสือเรียนพระยาพระนารายณ์ได้อ้างถึง ๒ เล่ม เป็นตำราโรคนิทาน และก็หนังสือมหาโชตรัต มียาที่เข้าเข้าพิกัดนี้มากมายหลายขนาน รวมถึงใหหลายขนานในหนังสือเรียนพระโอสถพระนารายณ์เอง แต่ชื่อเครื่องยาหมู่นี้ควรจะเขียนเป็นอย่างไร มีที่มาแล้วก็ความหมายเช่นไร นอกเหนือจากนี้เครื่องยาหมู่นี้บางชนิดเป็นอย่างไร มีที่มาที่ไปยังไงอย่างเป็นข้อโต้เถียงที่ยังหาผลสรุปมิได้
ที่มาของคำ โกษฐ์
โกษฐ์ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ . ๒๕๔๒ เลือกเก็บคำ โกฐ ไว้โดยนิยามดังนี้ โกฐ (โกด) น. ชื่อยาสมุนไพรจำพวกหนึ่ง ได้จากส่วนต่างๆของพืช มีหลายชนิด แบบเรียนยาแผนโบราณเขียนเป็น โกฎ โกฏ โกฏฐ์ โกด หรือ โกษฐ์ ก็มี (เปรียญโกฏฐ) คำ โกฐ ที่ราชบัณฑิตยสถาน (โดยนักปราชญ์ทางบาลี-สันสกฤต) เลือกเก็บไว้นั้น มีในภาษาสันสกฤตจริง แม้กระนั้นเป็นชื่อที่ใช้เรียกสมุนไพรซึ่งหมอแผนไทยเรียกโกฐกระดูก (kut หรือ kuth ) ก็เลยน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการเลือกเก็บคำ โกฐ ของราชบัณฑิตยสถาน แต่ คำ โกฐ นี้มีความหมายว่าโรคเรื้อน ส่วนคำ โกฏฐ ในภาษาบาลีแปลว่า ไส้ ท้อง คำทั้งยัง ๒ คำนี้ ไม่น่าจะเป็นชื่อพิกัดเครื่องยาสมุนไพร นอกเหนือจากนั้น คำที่อ่านออกเสียงว่า โกด เขียนได้อีกหลายแบบ แต่ว่าก็ให้คำจำกัดความที่แตกต่าง ตัวอย่างเช่น
โกส แปลว่า ผอบ; หมายความว่าผอมมาตราวัดความยาวพอๆกับ ๕๐๐ ชั่ว
โกฏิ มีความหมายว่า ๑๐ ล้าน
โกษ หมายความว่า อัณฑะ
หีบศพแปลว่า ที่ใส่ศพนั่ง , ที่ใส่กระดูกผี ฝัก , กระพุ้ง, คลัง คำที่ออกเสียง โกด ที่ใช้เรียกชื่อรวมทั้งพิกัดเครื่องยาสมุนไพรควรเขียนยังไงนั้น คงจะสืบสาวราวเรื่องหาสาเหตุของคำนี้ แล้วเขียนให้ถูกต้อง ให้ตรงหรือใกล้เคียงกับคำในภาษาเดิมให้สูงที่สุด เพื่ออาจจะความหมายเดิมให้สูงที่สุด น่าสังเกตว่า เรื่องยาสมุนไพรพิกัดมีทั้งหมดเป็นเครื่องยาเทศหรือเครื่องยาจีน เป็นสมุนไพรที่รู้จักกันว่าเป็นของดีและใช้กันมาในประเทศถิ่นเกิดรวมทั้งประเทศใกล้เคียง และก็คำที่ออกเสียงเช่นนี้ในภาษาไทยไม่มีคำไหนที่มีความหมายเกี่ยวกับยาหรือการบำบัดรักษาเลย คำนี้จึงน่าจะเป็นคำในภาษาอื่น อาจเป็นภาษาจีนหรือภาษาแขก เพราะว่าอายุรเวทซึ่งปรับปรุงขึ้นในชมพูทวีปและการแพทย์แผนจีนมีอิทธิพลอย่างยิ่งในการพัฒนาการแพทย์ทางด้านการแพทย์และเภสัชกรรมแผนแพทย์แผนไทยมาแต่โบราณ แต่ว่าคำที่ออกเสียงตัวสะกดแม่กดนั้นไม่มีใช้ในภาษาจีน ด้วยเหตุดังกล่าว คำที่ออกเสียง โกด ก็เลยน่าจะมีที่มาจากภาษาพื้นเมืองใดในประเทศอินเดียหรือเปอร์เซียในตำราอายุรเวทของอินเดีย มีคำ kuth หรือ kuth root เป็นชื่อเครื่องยาในภาษาถิ่นของแคว้นกัษมิระ แล้วก็ตำราเรียนฯว่ามีรากศัพท์มาจากคำ kusta ในภาษาอิหร่านหรืออิหร่าน ส่วนภาษาสันสกฤตเป็น kushta ภาษาฮินดีและเบงกาลีเป็น kut ภาษาร้ายกาจเป็น kostum หรือ goshtam ตำรายาไทยเรียกเครื่องยาจำพวกนี้ว่า โกษฐ์กระดูก (costus) ก็เลยได้ข้อสรุปในในขั้นต้นว่าคำ โกษฐ์ นี้คงจะมาจากภาษาอิหร่าน และคำนี้สื่อความหมายเช่นไร
ความหมายของคำ โกษฐ์
เมื่อคำ โกษฐ์ เป็นคำในภาษาเปอร์เซีย ก็เลยจะต้องค้นหาความหมายของคำในภาษาอิหร่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำในภาษาดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นที่ใช้กับยาบำบัดโรคในคู่มืออูนานิ (Unani) แพทย์โอนาไม่หลังจากที่ได้พากเพียรค้นหาความหมายของคำนี้มาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานหลายสิบปี เมื่อไม่นานนี้เองก็เลยได้พบคำนี้ในหนังสือเก่าชื่อ หนังสือเรียนยาที่การแพทย์ตะวันออกของแฮมดาร์ด (Hamdard Pharmacopoeia of Eastern Medicine) เรียบเรียงคำแนะนำของที่ประชุมที่ปรึกษาทางเภสัชศาสตร์แห่งหมูแฮมดาร์ด (The Pharmaceutical Advisory Council of Hamdard) มีนาย ฮะกิม อับดุล ฮาเมด (Hakim Abdul Hamed) เป็นประธาน และนายฮากิม โมฮัมเมด ซาเหนื่อย (Hakim Mohammed Said) เป็นบรรณาธิการ (หนังสือไม่ได้เจาะจงปีที่พิมพ์รวมทั้งสถานที่พิมพ์) ในแบบเรียนดังที่กล่าวมาแล้ว ๒๒๒ มียาหมวดหนึ่งเรียก kushta เขียนไว้ดังนี้
kushta is the past participle of kushtan (Persian for to kill) kushta therefore means killed or conquered In the Tibbi terminology kushta is employed for a medicine that used in small quantities and one that is immediately effective A kushta is a blend of metallic oxides , non-metals and their compounds, or minerals The ingredients are oxidized through the action of heat-a process that is rather specialized.The preparation of kushta results in the efficacy of a medicine and, after effecting its entry into the body the kushta discharges its curative role promptly and effectively.
จึงสรุปได้ว่า คำนี้เป็นคำในภาษาอิหร่าน มีความหมายว่า ฆ่า ปราบ กำจัด ทําให้หายไป เทียบเสียงเป็น kushta และควรจะเทียบเคียงเป็นภาษาไทยว่า โกษฐ์ ก็เลยจะตรงกับคำในภาษาเดิมเยอะที่สุด และก็ให้ความหมายที่ไม่อาจเป็นอันอื่นได้ คำ โกษฐ์ นี้คงเข้ามาสู่อาณาจักรไทยพร้อมๆกับวัฒนธรรมอื่นๆของอิหร่าน รวมทั้งการแพทย์โบราณแห่งสยามประเทศคงยืมคำนี้มาใช้เรียกเครื่องยาหลายอย่าง ซึ่งแม้จะใช้เพลงปริมาณน้อย แต่ก็ทรงพลังสำหรับการบรรเทาโรคในช่วงช่วงเวลาสั้นๆ
โกษฐ์ที่ใช้ในยาไทย
หมอแผนไทยรู้จักในเครื่องยาจีนแล้วก็เครื่องยาเทศหลายประเภทในยาไทย การแสดงให้เห็นภูมิปัญญาอันเฉียบแหลมปราดเปรื่องของบรรพบุรุษไทยที่รู้จักใช้ของดีๆของต่างชาติในยาไทย เครื่องยาเหล่านี้หลายชนิดเรียก โกษฐ์ โดยจัดเป็นพิกัดตัวยาเป็น โกษฐ์ ๕ โกษฐ์ อีกทั้ง ๗ โกษฐ์  ๙ และโกษฐ์พิเศษ นอกจากนี้ยังมีกดอีกหลายอย่างที่ไม่ได้จะเข้าเอาไว้ในพิกัดตัวยาเรียกโกษฐ์นอกพิกัด
ตารางที่๒ เครื่องยาในพิกัดโกษฐ์
เครื่องยา                ชื่อพฤษศาสตร์ของแหล่งที่มา สกุล             ส่วนของพืช
โกษฐ์เชียง              Angelica sinensis (Oliv.) Diels      Umbelliferae     รากแห้ง
โกษฐ์สอ Angelica dahurica (Fisch. Ex Hoffm.)
Benth. Hook.f. ex France&Sav.  Umbelliferae     รากแห้ง
โกษฐ์หัวบัว            Ligusticum sinense Oliv. cv. Chuanxiong                Umbelliferae     เหง้าแห้ง
โกษฐ์เขมา    Atractylodes lancea (Thunb.) DC.              Compositae        เหง้าแห้ง
โกษฐ์จุฬาลัมพา    Artemisia annua L.           Compositae        ใบและก็เรือนยอดที่-มีดอก
โกษฐ์ก้านพร้าว     Picrorhiza kurrooa Royle ex Benh.            Scrophulariaceae             เหง้าแห้ง
โกษฐ์กระดูก          Saussurea lappa Clarke  Compositae        เหง้าแห้ง
โกษฐ์พุงปลา         Terminalia chebula Retz.               Combretaceae  ปุ่มหูดที่กิ่งอ่อนและก็ใบ
โกษฐ์ชฎามังษี       Nardistachys grandiflora DC.       Valerianaceae   รากและเหง้าแห้ง
โกษฐ์กะเกลือก        Strychnos nux-vomica L.               Loganiaceae       เม็ดแก่จัดเหง้าแห้ง
โกษฐ์กรักกรา        Pistacia chinensis Bunge spp. Integerrima (Stew. Ex Brandis) Rech.f.        Anacardiaceae  ปุ่มหูดที่กิ่งอ่อน
โกษฐ์น้ำเต้า           Rheum officinale Baill. หรือ R.palmatum L. หรือ R. tanguticum (Maxim.) Maxim. Ex Regel  Polyganaceae    รากและก็เหง้าแห้ง
โกฐทั้งยัง  ๕ (ห้าโกษฐ์)  เป็นพิกัดเครื่องยาไทยอย่างเช่น โกษฐ์เชียง โกษฐ์สอ โกษฐ์หัวบัว โกษฐ์เขมา แล้วก็โกษฐ์จุฬาลัมพา หนังสือเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่ายาหมู่นี้มีสรรพคุณโดยรวมแก้ไข้ แก้ไข้เพื่อเสมหะ แก้หืดไอ แก้โรคปอด แก้โรคในปาก ชูกำลัง บำรุงโลหิต และก็แก้ลมในกองธาตุ โกษฐ์ทั้งยัง ๕ นี้เป็นเครื่องยาจีนที่มีขายในประเทศไทยมาแม้กระนั้นโบราณ ยิ่งกว่านั้นยังเป็นเครื่องยาที่ใช้มากในสมัยก่อนรวมทั้งยาไทย
โกษฐ์ ทั้งยัง  ๗ (สัตตโกษฐ์)  เป็นพิกัดตัวยา ประกอบด้วยเรื่องยา ๗ ชนิด คือโกษฐ์อีกทั้ง (โกษฐ์เชียง โกษฐ์สอ โกษฐ์หัวบัว โกษฐ์เฉมา และโกษฐ์จุฬาลัมพา ) โกษฐ์ก้านพร้าว และก็ โกษฐ์กระดูกอีก ๒ จำพวก แบบเรียนโมสรรพคุณยาโบราณว่ายาพักนี้มีสรรพคุณโดยรวมแก้ไข้ แก้ไข้เพื่อเสมหะ แก้โรคหืดไอ แก้โรคปอด แก้โรคในปาก ชูกำลัง บำรุงโลหิต แก้ลมในกองธาตุ แก้ไข้เรื้อรัง แก้หอบสะอึก และบำรุงกระดูก
โกษฐ์อีกทั้ง  ๙ (เนาวโกษฐ์)
เป็นพิกัดตัวยา มีโกษฐ์ทั้งยัง๗ (โกษฐ์เชียง โกษฐ์สอ โกษฐ์หัวบัว โกษฐ์เฉมา และโกษฐ์จุฬาลัมพา โกษฐ์ก้านพร้าว โกษฐ์กระดูก) กับ โกษฐ์ชฎามังษีและโกษฐ์พุง
โกษฐ์พิเศษ
มีเครื่องยา ๓ ชนิด ดังเช่นว่า โกษฐ์กะเกลือก โกษฐ์กักกรา และโกษฐ์น้ำเต้า พิกัดโกษฐ์นี้มีคุณประโยชน์โดยรวมแก้โรคในปากในคอ ขับพยาธิ แก้พิษสัตว์กัดต่อย แก้ในกองอตำหนิสาร แก้ริดสีดวงทวาร ขับลมในไส้ แก้หนองใน ขับเมนส์ร้าย เพื่อช่วยให้เด็กนักเรียนวิชาเภสัชกรรมแผนไทยจำชื่อโกษฐ์ทั้งปวงได้ มหากัน สิกขรชาติ ได้เขียนกลอนช่วยกันจำเกี่ยวกับโกษฐ์ประเภทต่างๆในพิกัดยาไทยเรียงตามลำดับดังนี้
เชียงสอขอหัวบัว เฉมาชั่วลักจุฬา
ก้านพร้าวเผากระดูก พุงปลาปลูกเอาไว้ในชฎา
กะกลิ้งและกรักกรา โกษฐ์น้ําเต้าตามเค้ามูล
โกษฐ์เชียง
โกษฐ์เชียงเป็นรากแห้งของพืชอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Angelica sinensis (Oliv.) Diels วงศ์ Umbelliferae คำว่า เชียง แปลได้หลายชนิด เป็นต้นว่า แสดงว่ามาจากเมือง หรือเมือง (ที่อยู่ชายน้ำ) ก็ได้ แต่ว่าในที่นี้หมายความว่า (มาจาก) ที่สูง มีชื่อพ้อง Angelica polymorpha Maxim. var. sinensis Oliv.จีนเรียกเครื่องยานี้ว่า ตังกุย มีชื่อสามัญว่า Chinese angelica พืชที่ให้โกษฐ์เชียงเป็นไม้ล้มลุกอายุยาวนานหลายปีสูง ๔๐-๑๐๐ ซม. ร่างเจ้าเนื้อหนา ทรงกระบอก แยกเป็นรากแขนงหลายราก มีกลิ่นหอมแรงเฉพาะ ลำต้นตั้งชัน สีเขียวอมม่วง ใบหยักลึกแบบขนนกสามชั้น รูปไข่ (ตามแนวเส้นรอบนอก) ขนาดกว้าง ๒๕ เซนติเมตร ยาว ๓๐ เซนติเมตร แฉกใบมีก้านเห็นได้ชัดเจน
รูปไข่ถึงรูปใบหอก แกมรูปไข่ กว้าง ๐.๘-๒.๕ ซม. ยาว ๒-๒.๓ เซนติเมตร ขอบหยักฟันเลื่อยแบบไม่บ่อยนัก มักแยกเป็นแฉกย่อย ๒-๓ แฉก แผ่นใบเรียบ (เว้นเสียแต่บริเวณเส้นใบ) ก้านใบยาว ๕-๒๐ ซม. โคนแผ่นเป็นกาบแคบๆสีอมม่วง ดอกออกเป็นช่อซี่ร่ม ออกตามปลายกิ่งหรือออกข้างๆตามซอกใบ ก้านช่อยาว ๘-๑๐ เซนติเมตร ใบประดับมี ๐-๒ ใบ รูปแถบ มีช่อซี่ร่มย่อยขนาดไม่เท่ากัน ๑๐-๓๐ ช่อ ใบตกแต่งย่อยมี ๒-๔ ใบ รูปแถบ ยาวได้ถึง ๕ มิลลิเมตร ช่อซี่ร่มมีดอกย่อยสีขาว (ครั้งคราวสีแดงอมม่วง) ๑๓-๓๕ ดอก กลีบเลี้ยงฝ่อ รูปไข่กลับ ปลายเว้าตื้น ฐานก้านเกสรเพศเมียกลมแบน ขอบรอยแผลปีกยื่นออก ผลเป็นผลแบบผักชี ด้านล่างแบนข้าง รูปขอบขนานปนรูปรีถึงรูปไข่กลับ กว้าง ๓-๔ ไม่ลลิเมคร ยาว ๔-๖ มิลลิเมตร สันด้านล่างครึ้มแคบ ด้านข้างมีปีกบาง กว้างราวความกว้างของผล มีท่อน้ำมัน ๑ ท่อต่อ ๑ ร่อง แต่มี ๒ ท่อตรงแนวเชื่อม พืชจำพวกนี้มีเขตการกระจายชนิดในป่าดิบ ตามภูเขาสูงทางภาคกึ่งกลางของประเทศจีน เป็นบริเวณเขตกานซู หูเปย์ ซานซี ซื่อเชื้อเชิญ (เสฉวน) รวมทั้งหยุนดกน (ยูนนาน) พบขึ้นในที่สูงจากระดับน้ำทะเล ๒๕๐๐-๓๐๐๐ เมตร มีดอกในมิถานายนถึงเดือนกรกฎาคม ได้ผลในก.ค.ถึงกันคุณยายน พืชชนิดนี้ถูกพัฒนาสายพันธุ์เป็นพืชพืชปลูกเอาไว้ในเมืองจีนมานานนับพันปีแล้ว เดี๋ยวนี้ปลูกเป็นพืชอาสินในประเทศจีน ประเทศญี่ปุ่น ประเทศเกาหลี แล้วก็เวียดนาม
โกษฐ์เชียงเป็นรากแห้ง แบบทรงกระบอก ปลายแยกเป็นแขนง ๓-๕ แขนง หรือมากกว่า ยาว ๑๕-๒๕ ซม. เปลือกนอกสีน้ำตาลอมเหลืองถึงสีน้ำตาล มีรอยย่นตามแนวยาว รอยช่องอากาศตามแนวขวาง ผิวไม่เรียบ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๑.๕-๔ เซนติเมตร มีแอนนูลัส ปลายมนรวมทั้งกลม มีร่องรอยส่วนโคนต้นรวมทั้งจากใบสีม่วงหรือสีเขียวอมเหลือง รากกิ้งก้าน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสูงสุด ๐.๓-๑ ซม. ตอนบนดกตอนล่างเรียวเล็ก โดยมากบิด มีแผลที่เกิดขึ้นจากรากฝอย เนื้อเหนียว รอยหักสีขาวหรือสีน้ำตาลอมเหลือง เปลือกรากหนา มีร่องแลกเปลี่ยนจุดหลายชิ้น ส่วนเนื้อรากสีจางกว่า มีวงแคมเบียมสีน้ำตาลอมเหลือง มีกลิ่นหอมยวนใจแรง รสหวาน ฉุน แล้วก็ขมนิดหน่อย
คนจีนนิยมใช้ โกษฐ์เชียง เป็นเครื่องยาในยาขนาดต่างๆเยอะมาก ด้อยกว่าก็แต่ชะเอม (licorice) แค่นั้น จีนใช้ขวดเชียงแตกต่างกันเป็น รากหลักที่จีนเรียก (ตัง) กุยเท้า (สำเนียงแต้จิ๋ว) ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง ส่วนรากแขนงน้ำจีนเรียก (ตัง) กุยบ๊วย (สำเนียงแต้จิ๋ว) ใช้เป็นยาขับรอบเดือน หมอแผนจีนใช้เครื่องยาประเภทนี้ในยาเกี่ยวกับโรคเฉพาะสตรี เช่น ยาขับเมนส์ ยาโรคตีขึ้น แก้ไข้บนกระดานไฟ เกี่ยวกับอาการเลือดออกทุกชนิด แก้หวัด แก้ท้องขึ้น ท้องอืด ตกมูกเลือด ขนาดที่ใช้คือ ๓-๙ กรัม สตรีจีนนิยมใช้โกษฐ์เชียงเป็นยากระตุ้น อวัยวะสืบพันธุ์ เพื่อให้ปฏิบัติผัวเจริญแล้วก็เมื่อมีให้มีลูกดก โกษฐ์เชียงที่ขายตามร้านขายยาเครื่องยาสมุนไพรมักเป็น(ตัง) กุยบ๊วย หนังสือเรียนบริบูรณ์ยาโบราณว่าโกษฐ์เชียงมีกลิ่นหอมยวนใจ รสหวานขม แก้ไข้ แก้สะอึก แก้เสียดแทงสองราวข้าง โกษฐ์นี้เป็นโกษฐ์ประเภทหนึ่งในพิกัดโกษฐ์อีกทั้ง ๕ โกษฐ์อีกทั้ง ๗ และโกษฐ์ทั้งยัง ๙ โกษฐ์เชียงน้ำมันระเหยง่ายอยู่ราวจำนวนร้อยละ ๐.๑-๐.๓ ในน้ำมันระเหยง่ายมีสารเชฟโรล (safrole) สารไอโซเซฟโรล (isosafrole) สารคาร์วาคคอยล (carvacrol) ฯลฯ เว้นแต่น้ำมันระเหยง่ายแล้วยังมีสารอื่นๆอีกหลายอย่าง ดังเช่น สาร ไลกัสติไลค์ (ligustilide) กรดเฟรูลิก (ferulic acid) กรด เอ็น-วาเลอโรฟีโนน-โอ-คาร์บอกซิลิก(n-valerophenone-O-carboxylic acid)
โกษฐ์สอ
เป็นรากแห้งของพืชอันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Angelica dahurica (Fisch ex Hoffm.) Benth & Hook.f. ex Franch , Sav. ในวงศ์ Umbelliferaeมีชื่อพ้องหลายชื่อ ยกตัวอย่างเช่น Callisace dahurica Franch & Sav., Angelica macrocarpa H.Wolff, Angelica porphyrocaulis Nakai &Kitag.,Angelica tschiliensis H.Wolff คำ สอ เป็นภาษาเขมรแปลว่าขาว ตำราเรียนโบราณลางเล่มเรียกเครื่องยานี้ว่า โกษฐ์สอจีน จีนเรียก พ่อยจื่อ (สำเนียงแมนดาริน) เปะจี๋ (สำเนียงแต้จิ๋ว) มีชื่อสามัญว่า Dahurain angelica พืชที่ให้โกษฐ์สอเป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี สูง ๑.-๒.๕๐ เมตร รากเจ้าเนื้อใหญ่ เนื้อแข็ง รูปกรวยยาว ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓-๕ ซม. อาจยาวได้ถึง ๓๐ ซม. หรือมากยิ่งกว่า อาจแยกแขนงตรงปลาย มีกลิ่นหอมแรงเฉพาะ ลำต้นตั้งชัน เจ้าเนื้อสั้น โคนต้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒-๕ เซนติเมตร (หรือมากกว่า) มีสีม่วงแต้มนิดหน่อย ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก หรือหยักลึกแบบขนนก ๓ ชั้น แผ่นใบรูปไข่ปนรูปสามเหลี่ยม (ตามแนวเส้นรอบนอก) กว้างถึง ๔๐ เซนติเมตร ยาวถึง ๕๐ ซม. แฉกใบไม่มีก้าน รูปรีแคบถึงรูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน กว้าง ๑-๔ เซนติเมตร ยาว ๔-๑๐ ซม. ปลายแหลม โคนเป็นครีบน้อย ขอบหยักฟันเลื่อยห่างๆก้านใบยาว โคนแผ่เป็นปีก ใบด้านบนรถยนต์รูปเหลือเพียงแค่กาบที่เกือบไม่มีแผ่นใบ ดอกเป็นดอกช่อซี่ร่มย่อยขนาดใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลาง ๑๐-๓๐ ซม. สีขาว ใบตกแต่งมี ๐-๒ ใบ เหมือนกาบ ป่องออกหุ้มช่อดอกเมื่อยังอ่อนอยู่ มีซี่ร่มย่อย ๑๘-๔๐ (หรือบางคราวถึง ๗๐) มีขนสั้นๆใบประดับย่อยมี ๑๔- ๑๖ ใบ รูปใบหอกแกมรูปแถบ ยาวแทบเท่าดอกย่อย กลีบเลี้ยงฝ่อ กลีบดอกมี ๕ กลีบ รูปไข่กลั

60
อื่น ๆ / กวาวเครือแดงมีสรรพคุณดีๆ
« เมื่อ: ตุลาคม 31, 2017, 09:54:21 AM »

ขายกวาวเครือแดง: ระบุว่าใช้เป็นยาอายุวัฒนะเช่นเดียวกับกวาวเครือขาวแต่มีฤทธิ์แรงกว่า
ขายส่งกวาวเครือแดง ปัจจุบันนี้ได้มีการขายกวาวเครือแดงลักษณะที่รับประทานได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเป็นตำรับยาแผนโบราณ แล้วก็ยาแผนโบราณสามัญประจำบ้าน ถือว่ามีความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รับอนุญาตจากอย. รับผลิตกวาวเครือแดงให้ขึ้นทะเบียนเป็นยาสามัญประจำบ้านด้วยแล้ว เป็นการแสดงว่า เป็นยาที่สามารถรับประทานเองได้โดยไม่จำเป็นควรมีใบสั่งจากหมอ และขายกวาวเครือแดงร่วมกับสมุนไพร เป็นต้นว่า ตรีผลาหมายถึงมะขามป้อม สมอไทย สมอพิเภก ก็มีในตำรับโบราณ ดังนี้ ตรีผลา ก็มีความเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยทำให้สมดุลของร่างกาย การทานร่วมกับขายกวาวเครือแดง จึงช่วยทำให้มีสมดุลที่ดี

  • ขายหัวกวาวเครือแดง มีรสเย็นเบื่อเมา สรรพคุณประโยชน์ ช่วยทำนุบำรุงสุขภาพที่เกี่ยวข้องทางร่างกาย และก็ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ
  • ขายกวาวเครือแดง เป็นสมุนไพรที่ช่วยทำให้เซลล์ต่างๆภายในร่างกายมีอายุยืนยาวขึ้น ช่วยทำให้ร่างกายรวมทั้งเนื้อเยื่อเสื่อมช้าลง
  • คุณประโยชน์ช่วยรุ่งเรืองธาตุไฟในร่างกาย
  • ขายกวาวเครือแดงช่วยทำนุบำรุงผิวพรรณ บำรุงสุขภาพเนื้อหนังให้เต่งตึง
  • แคปซูลกวาวเครือแดงช่วยเพิ่มกล้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแถบทรวงอกช่วยให้อกโต
  • ขายส่งกวาวเครือแดงช่วยทำนุบำรุงกำหนัด หรือเพิ่มสิ่งที่จำเป็นทางเพศ ช่วยเพิ่มปริมาณของสเปิร์ม มีฤทธิ์เพิ่มความแข็งตัวของอวัยวะสืบพันธุ์ เช่นเดียวกับฤทธิ์ของซิลเดนาฟิล สิเตรต (Sidenal Citrate) ของยาไวอากร้า (Viagra)
  • ขายกวาวเครือแดง สรรพคุณช่วยบำรุงหลอดเลือด ทำให้เลือดหมุนเวียน
  • ใบ และรากกวาวเครือแดง สรรพคุณช่วยให้นอน
  • ราก และก็ต้นกวาวเครือแดง คุณประโยชน์ช่วยแก้เลือด
  • ราก แล้วก็ต้นกวาวเครือแดง คุณประโยชน์ช่วยแก้ลมอัมพาต
  • เปลือกกวาวเครือแดงช่วยแก้ลักษณะของการปวดฟัน
  • ขายกวาวเครือแดงมีฤทธิ์ช่วยแก้ไข้
  • ช่วยแก้อาการร้อนใน อยากดื่มน้ำ
  • ช่วยขับเสลด
  • แก้อาการจุกเสียด แก้อาการลงท้อง แก้สะพั้น
  • หัวกวาวเครือแดงช่วยแก้อาการปวดเมื่อยล้าตามร่างกาย
  • เปลือกเถากวาวเครือแดง มีรสเย็นเบื่อเมา มีคุณประโยชน์ช่วยแก้พิษงู
  • แคปซูลกวาวเครือแดงจัดอยู่ในตำรับยาสมุนไพร “พิกัดเนาโลหะ” ซึ่งประกอบไปด้วย รากกวาวเครือแดง รากขันทองอาฆาต รากทองกวาวรากทองพันชั่ง รากทองโหลง รากทองหลางหนาม รากทองหลางใบมน รากใบทองรับผลิตกวาวเครือแดง และรากจำปาทอง โดยเป็นตำรับยาที่มีคุณประโยชน์ช่วยแก้เสลด แก้ลม ลมที่เป็นพิษ ดับพิษ ช่วยชำระล้างลำไส้ สมานไส้ แก้โรคดี แก้โรคตับ แก้ริดสีดวงทวาร และก็ขับรอบเดือนร้าย

    ขายกวาวเครือแดง ขายส่งกวาวเครือแดง จำหน่ายกวาวเครือแดง
    แคปซูลกวาวเครือแดง รับผลิตกวาวเครือแดง

    สมุนไพรอื่นๆ
    ประโยชน์/คุณประโยชน์ของลูทีน
    ลูทีน รวมทั้งซีแซนทินเป็นแคโรทีนอยด์ที่สะสมอยู่รอบๆเรตินาของดวงตา ซึ่งเม็ดสีนี้จะทำหน้าที่ปกป้องรักษาเรตินารวมทั้งหน้าจอประสาทตาจากขั้นตอน OxidativeStress ซึ่งนั่นหมายความว่าจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ รวมทั้งลูทีน (lutein) แล้วก็ซีแซนทีน (zeaxanthin) ทำหน้าที่เป็นสารต้านทานขบวนการออกซิเดชันเพื่อป้องกันเซลล์รับแสง (photoreceptor cells) จากอันตรายจากอนุมูลอิสระที่เซลล์ผลิตขึ้นเพราะว่ามีปริมาณออกซิเจนสูง (oxygen tension) และจากการเช็ดกแสง นอกนั้นยังมั่นใจว่าสารประกอบทั้งคู่นี้มีบทบาทสำหรับเพื่อการกรองแสงสีฟ้าที่เป็นคลื่นแสงสว่างที่มีพลังงานสูง คร่าวๆว่าจะสามารถกรองแสงสีฟ้าลงได้ถึง 40 % ก่อนที่จะแสงจะตกถึงแมคูลา ด้วยเหตุนี้จะสามารถลดสภาพการณ์ความเครียดขบวนการออกซิเดชันต่อหน้าจอประสาทตาได้อย่างมีนัยสำคัญนอกจากนั้นลูทีนยังปฏิบัติหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในดวงตาของมนุษย์อีกด้วย เนื่องจากว่าดวงตาของพวกเราจะมีสารอนุมูลอิสระอยู่เยอะมากๆ ซึ่งจะเป็นตัวทำลายเซลล์รับภาพแล้วก็นำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคที่เกิดขึ้นและมีปัญหาเกี่ยวกับหน้าจอประสาทตาทั้งยังในเด็กและคนแก่ได้ ลูทีนถือเป็นสารอาหารที่มีความ สำคัญในการคุ้มครองปกป้องจอประสาทตา โดยลูทีนจะทำงานร่วมกันกับกรดไขมันดีเอชเอแล้วก็เอเอซึ่งมีส่วนช่วยสำหรับการสร้างเสริมความก้าวหน้าด้านการมองมองเห็นของเด็ก โดยดีเอชเอรวมทั้งเอเอ จะปฏิบัติหน้าที่เสมือนเป็นหลอดไฟ ส่วนลูทีนจะปฏิบัติภารกิจเสมือนเป็นสารฉาบหลอดไฟฟ้าไม่ให้เสื่อมเร็ว แล้วก็เว้นแต่ลูทีนจะพบมากในดวงตาของมนุษย์แล้ว ยังเจอได้ในสมองในส่วนที่เกี่ยวกับการมองมองเห็นถึงจำนวนร้อยละ 66 จึงเชื่อว่าลูทีนมีส่วนช่วยสำหรับการรับภาพรวมทั้งส่งต่อไปยังสมองเจริญขึ้นอีกด้วยจากการเรียนทางระบาดวิทยา พบหลักฐานว่า ลูทีนรวมทั้งซีแซนทีนช่วยลดโรคหน้าจอประสาทตาเสื่อม (Age-related macular degeneration: AMD) ที่ทำการ อาหารและยาอเมริกา ให้การรับประกันสินค้าเสริมอาหารลูทีนและซีแซนทีน สำหรับการลดความเสี่ยงของการเกิดความเสื่อมโทรมของตา อันเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากอายุที่เพิ่มขึ้น เว้นแต่ ลูทีนและซีแซนทีน จะมีคุณลักษณะสำหรับการช่วยชะลอความเสื่อมโทรมของเรตินา และก็เลนส์ตาแล้ว ยังส่งผลให้ผิวหนังเปียกชื้น ช่วยต้านทานอนุมูลอิสระ คุ้มครองปกป้องโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก รวมทั้งคุ้มครองการเกิดโรคหัวใจ
    สรรพคุณถั่งเช่า
    ถั่งเช่า สรรพคุณถั่งเช่าช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศ มีฤทธิ์บำรุงกำลังทางเพศ ช่วยทำให้น้ำอสุจิแข็งแรก เพราะการกินถั่งเช่าจะนำมาซึ่งการทำให้มีเลือดไปเลี้ยงของลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถั่งเช่าสามารถช่วยเพิ่มปริมาณของสเปิร์มในอสุจิได้ โดยจากการเรียนในเพศชาย 22 คนพบว่าเมื่อใช้ถั่งเช่าเป็นอาหารเสริมแล้ว จำนวนของสเปิร์มในอสุจิมากขึ้น 33% อีกทั้งยังลดจำนวนสเปิร์มที่มีความผิดปกติลงได้ถึง 29% และเมื่อเรียนเพิ่มเติมอีกก็พบว่าถั่งเช่าสามารถช่วยเพิ่มความอยากทางเพศได้ 66 – 86% อีกทั้งยังมีคุณลักษณะในการป้องกันรวมทั้งเสริมสร้างหลักการทำงานของต่อมหมวกไต แล้วก็เพิ่มช่องทางที่สเปิร์มจะถือกำเนิดได้ช่วยปรับให้หลักการทำงานของหัวใจ  ถั่งเช่า มีสรรพคุณช่วยปรับให้อัตราการเต้นของหัวใจให้ปกติได้ อีกทั้งยังช่วยบรรเทาอาการหัวใจขาดออกซิเจน แล้วก็เพิ่มออกซิเจนให้หัวใจได้เสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิต้านทาน ถั่งเช่ามีสรรพคุณช่วยปรับให้ปรุงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้เป็นปกติ  ช่วยทำให้ร่างกายสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆต้านทานโรคมะเร็ง ถั่งเช่าก็ยังมีฤทธิ์ในการต้านมะเร็ง ขึ้นรถคอร์ไดเซปิน (Codycepin) ที่อยู่ในถั่งเช่าถือเป็นสารที่มีความจำเป็นสำหรับในการต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง คุ้มครองป้องกันการเกิดและการแพร่กระจายของเนื้อร้ายลดไขมันในเลือด ถั่งเช่ามีคุณประโยชน์ควบคุมระดับไขมันในเลือด ลดคอเลสเตอรอล และก็ไตรกลีเซอร์ไรด์ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคภัยอื่นๆฟื้นฟูแนวทางการทำงานของไต สำหรับคนไข้โรคไตเรื้อรัง การกินถั่งเช่าจะช่วยทุเลาอาการลง และก็ทำให้สุขภาพไตดีขึ้น ทั้งยังยังลดความเสื่อมโทรมของไตที่เกิดจากสารพิษตกค้างได้สร้างเสริมแนวทางการทำงานของตับ การกินถั่งเช่าเป็นอาหารเสริมจะช่วยลดผลพวงจากพิษ และป้องกันการเกิดพังพืดในตับ สารต้านอนุมูลอิสระก็ยังเข้าไปเพิ่มประสิทธิภาพแนวทางการทำงานของระบบภูมิต้านทาน ลดความเลี่ยงสำหรับในการกำเนิดโรคไวรัสตับอักเสบได้ด้วยบำรุงโลหิต สารที่อยู่ในถั่งเช่าก็ยังช่วยสร้างเสริมแนวทางการทำงานของระบบเลือด ทำให้ร่างกายสร้างไขกระดูกมากเพิ่มขึ้นซึ่งทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงรวมทั้งเซลล์เม็ดเลือดขาวถูกสร้างในจำนวนที่เพียงพอต่อสุขภาพลดระดับน้ำตาลในเลือด ถั่งเช่าถือเป็นสมุนไพรอีกจำพวกที่ช่วยลดน้ำตาลได้ โดยมีการศึกษาเล่าเรียนพบว่าการกินถั่งเช่าวันละ 3 กรัม จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ถึง 95%
    คุณประโยชน์ว่านชักมดลูก
    ยาสมุนไพรว่านชักมดลูก พื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานี ใช้ เหง้า ฝนทาแผล แก้พิษสุนัขกัด ตำราไทย เหง้า รักษาเลือดออกมาจากมดลูกหลังคลอด รักษามดลูกอักเสบ แก้ตับอักเสบ แก้ปวดท้อง ขับน้ำดี รักษาอาการประจำเดือนมาผิดปกติ , เจ็บท้องระหว่างมีรอบเดือน ตกขาว ขับน้ำคาวปลา แก้ธาตุทุพพลภาพอาหารไม่ย่อย แก้ริดสีดวงทวาร หัวตำดองดัวยเหล้า กินครั้งละไม่เกิน 2 ช้อนโต๊ะ สำหรับคนคลอดลูกใหม่ๆแก้เจ็บมดลูก ทำให้มดลูกเข้าอู่หรือเข้าที่เข้าทาง ไม่อักเสบ นิยมนำหัวของว่านชักมดลูกที่เป็นหัวกลมสั้นมาฝานต้มน้ำสำหรับอาบ แล้วก็ดื่ม เพื่อสภาพร่างกาย และก็มดลูกฟื้นได้เร็วขึ้น ส่วนหญิงบางคนในสมัยใหม่ไม่ค่อยพบการอยู่ไฟแล้ว แต่ว่าก็ยังนิยมใช้ว่านชักมดลูก/ว่านทรหดมาต้มน้ำอาบ แล้วก็ดื่มเป็นประจำตลอดระยะเวลา 3 เดือน หรือมากกว่า ว่านชักมดลูกยังช่วยกระตุ้นการย่อยอาหาร แก้ริดสีดวง แก้ไส้เลื่อน รักษาแผลในกระเพาะอาหาร คุ้มครองโรคมะเร็งชนิดต่างๆลดลักษณะของการปวดบวมของแผล แล้วก็ต้านการอักเสบของแผล ถ้าเกิดเป็นแผลข้างในจะใช้การต้มน้ำกิน หากเป็นแผลภายนอกบางทีอาจใช้การต้มน้ำกิน ใช้บดทาแผล หรือน้ำสุกล้างทาแผล ช่วยกระตุ้นขั้นตอนสร้างเซลล์ใหม่ และก็การซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรือเซลล์บาดแผล ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวแลดูแจ่มใส ช่วยลดคอเลสเตอรอล ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก กระตุ้นการหลั่งน้ำถุง และก็ช่วยกระตุ้นกระบวนมือย่อยอาหาร แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ
    คุณประโยชน์พลูคาว
    พลูคาวเป็นสมุนไพรที่ให้ รสเผ็ด มีกลิ่นเหมือนคาวปลา เป็นยาเย็น แก้กามโรค เข้าข้อ แก้น้ำเหลืองเสีย ทำให้แผลแห้ง ออกฤทธิ์ต่อปอดและตับ ใช้เป็นยาดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้พิษ ขับเยี่ยว แก้บวมน้ำ รักษาปอดอักเสบเป็นหนอง หลอดลมอักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ แก้ไอ รักษาติดเชื้อโรคฟุตบาทเยี่ยว ไตอักเสบบวมน้ำ ลำไส้อักเสบ เต้านมอักเสบ หูชั้นกึ่งกลางอักเสบ แก้บิด แก้ริดสีดวงทวาร ด้านนอกใช้แก้พิษงู แมลงกัดต่อย แก้โรคผิวหนังกลากโรคเกลื้อน ฝีอักเสบ ทาภายนอกให้เลือดมาเลี้ยงผิวหนังในรอบๆนั้นมากมาย ปอดบวม มาลาเรีย แก้โรคผิวหนังผื่นคัน  ฝีฝักบัว  ฝีแผลเปื่อยยุ่ย และก็พอกในรายกระดูกหัก และก็หนองใน มีฤทธิ์สำหรับในการช่วยต้านมะเร็ง ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ของโรคมะเร็ง  มีฤทธิ์ในการช่วยบำบัดรักษาฟื้นฟูโรคความดันโลหิตสูง  ช่วยสร้างเสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ขัดขวางโรค ช่วยยืดอายุผู้ป่วยให้อยู่สู้โรคได้ยาวนานมากขึ้น  ช่วยยับยั้งโรคเบาหวาน รักษาความสมดุลของร่างกาย   ใช้เป็นส่วนประกอบในตำรับยาที่เป็นน้ำยาข้น ใช้ทารักษาและก็ช่วยต้านเชื้อโรคหวัด ไข้หวัดใหญ่   ใช้เป็นส่วนประกอบในตำรับยา ช่วยรักษาอาการติดเชื้อกระทันหัน ติดโรคฟุตบาทหายใจ   ใช้เป็นส่วนประกอบในตำรับยาที่เป็นน้ำยาข้น ใช้ทารักษาคางทูม ต่อมทอนซิลอักเสบ และก็ปอดอักเสบในเด็ก   กระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์เม็ดเลือดขาวช่วยรักษาภาวะภูมิแพ้ หอบหืด ใช้เป็นยาระบาย อาหารไม่ย่อย  ช่วยขับพยาธิ  รักษาโรคตับอักเสบชนิดโรคดีซ่าน  รักษาแผลอักเสบรอบๆคอมดลูก รักษาการอักเสบบริเวณกระดูกเชิงกราน   มีฤทธิ์ช่วยต้านเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส ช่วยยับยั้งการเติบโตของเชื้อไวรัสชนิดต่างๆดังเช่นว่า ฝีดาษ ฝึก งูสวัด เริม เอดส์ (HIV)  เหมาะสมกับผู้เจ็บป่วยและผู้ที่ต้องการบำรุงร่างกาย ผู้ป่วยในระยะพักฟื้นช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น ทำให้โรคต่างๆมีลักษณะอาการ  ใช้ควบคู่กับการดูแลรักษาด้วยเคมีบำบัดรักษาหรือการฉายรังสี จะช่วยทำให้ผู้ป่วยมีลักษณะอาการแพ้ลดลง
    เมืองจีน ประเทศเกาหลี ประเทศญี่ปุ่น ใช้ทั้งยังต้นเป็นยาลดไข้ ขจัดสารพิษ รักษาแผลในกระเพาะรวมทั้งลดการอักเสบ ประเทศเกาหลีใช้พลูคาวเป็นยาลดระดับความดันโลหิตสูง ภาวะเส้นโลหิตแข็งตัวเนื่องด้วยมีการสะสมของไขมัน (atherosclersis) และโรคมะเร็ง ส่วนเนปาลใช้ลำต้นใต้ดินในตำรับยาที่เกี่ยวกับโรคของสตรี ขับระดู ใช้ต้นเป็นยาย่อยอาหาร ทุเลาอาการอักเสบ ใบใช้สำหรับการรักษาโรคผิวหนัง แก้บิดและก็ริดสีดวงทวาร
    สรรพคุณ ดอกดาวเรือง
    ดอกดาวเรือง รสขม ฉุนบางส่วน ใช้ละลายเสมหะ, แก้วิงเวียน, ตาแดง, ลดไข้, บำรุงตับ, แก้ร้อนใน,ไอหวัด,โรคไอกรน, เต้านมอักเสบ, เป็นแผลมีหนอง, บำรุงสายตาใบ รสเปียกเย็นมีกลิ่นแรง ใช้แก้ฝีหนอง อาการบวมโดยไม่เคยรู้ต้นสายปลายเหตุ,ลดการต่อว่าเชื้อ น้ำมันหอมระเหย มีสรรพคุณแก้วิงเวียนหัว หน้ามืด เป็นลมเป็นแล้ง สามารถคุ้มครองปกป้องผิวแห้ง ผิวแตกลาย บำรุงผิว บำรุงเส้นผม
    รากดอกดาวเรือง มีรสขมเผ็ดน้อย มีฤทธิ์เป็นยาเย็น ออกฤทธิ์ต่อปอดและตับ ใช้เป็นยาระบายน้ำคั้นจากใบใช้แก้อาการหูเจ็บ ปวดหู ช่วยแก้อาการปวดฟัน ช่วยรักษาปากเปื่อยยุ่ย แผลเน่า ช่วยแก้ลักษณะของการปวดท้อง ใช้เป็นยาขับพยาธิเภสัชตำรับของประเทศเม็กซิโก เคยใช้ดอกและก็ใบต้มน้ำดื่มใช้ขับลมและขับฉี่  ในอินเดีย น้ำคั้นจากดอกใช้ฟอกเลือดแล้วก็แก้ริดสีดวงทวาร ในบราซิล ใช้ดอกชงน้ำหรือต้นน้ำกิน แก้อาการปวดตามข้อ
    คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ขายส่งกวาวเครือเเดง

    Tags : ขายกวาวเครือเเดง,ขายส่งกวาวเครือเเดง,รับผลิตกวาวเครือเเดง

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6