รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Topics - Tawatchai1212

หน้า: 1 2 [3] 4 5 6
31

สมุนไพรยับยั้งพิษ
ยับยั้งพิษ Breynia glauca Craib
ชื่อพ้อง B. subterblanca Fischer
บางถิ่นเรียกว่า ยับยั้งพิษ ดับพิษ (จังหวัดเชียงใหม่) แรงสีเสียด (จังหวัดลำพูน) ปริก (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์).
ไม้พุ่ม สูงได้ถึง 7.5 มัธยม ไม่มีขน กิ่งอ่อนค่อนข้างจะแบน ถัดมาจะกลม. ใบ คนเดียว เรียงสลับกัน รูปไข่แกมรูปหอก โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ; ปลายใบแหลม หรือ มน ปลายสุดเป็นติ่งแข็งเล็กๆกว้าง 1.5-3.0 เซนติเมตร ยาว 2.5-7.0 ซม. เนื้อใบดกและก็แข็ง ข้างบนสีน้ำตาลเข้ม ข้างล่างสีขาวนวล เส้นใบเล็กมาก มี 5-6 คู่ เห็นไม่ชัดเจน ก้านใบยาว 2-3 มม. ดอก ออกเป็นช่อตามง่ามใบ และก็แยกเพศ. สมุนไพร ดอกเพศผู้ ก้านดอกยาวราว 4 มม. กลีบรองกลีบเชื่อมชิดกันเหมือนลูกข่าง ยาว 2 มม. เกสรผู้ 3 อัน ก้านเกสรเชื่อมชิดกัน. ดอกเพศเมีย ก้านดอกสั้น กลีบรองกลีบเชื่อมชิดกันเป็นปราศจาก ยาว 2 มม. เป็น 3 เหลี่ยม ปลายแยกเป็น 6 แฉก ท่อรังไข่ 3 อัน ตั้งชัน แต่ละอันปลายแยกเป็น 2 แฉก. ผล รูปกลม แบน กว้างราวๆ 8 มม. ยาว 5 มิลลิเมตร แก่จัดสีดำ.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นดังที่ลุ่มในป่าดงดิบ ป่าเบญจพรรณ และที่รกร้างทั่วไป.
สรรพคุณ : แก้ไข้ กระแทกพิษ (ในประมวลคุณประโยชน์ยาไทยของสัมพันธ์แพทย์แผนโบราณ มิได้บอกว่าใช้ส่วนไหนของพืช).

32

สมุนไพรทองหลางฝรั่ง
ทองหลางฝรั่ง Hura crepitans Linn.
บางถิ่นเรียก ทองหลางฝรั่ง (กรุงเทพฯ) โพทะเล โพฝรั่ง โพศรี (บุรีรัมย์) โพศรีมหาโพ (กึ่งกลาง).
ไม้พุ่ม หรือ ไม้ต้น สูงได้ถึง 13 มัธยม ใบ ผู้เดียว เรียงแบบบันไดเวียน รูปไข่ กว้าง 5-12 เซนติเมตร ยาว 5-15 เซนติเมตร ปลายใบแหลม ขอบของใบเรียบ หรือ จะตื้นๆโคนใบเว้าเป็นรูปหัวใจ มีเส้นแขนงใบจำนวนไม่ใช่น้อย สีอ่อน ข้างบนสะอาด ข้างล่างตามเส้นกึ่งกลางใบมีขนยาว ก้านใบยาว 4-20 ซม. ปลายใบมีก้านใบมีต่อม 2 ต่อม หูใบ รูปไข่ ยาว 9-15 มิลลิเมตร ดอก แยกเพศแต่ผู้อยู่บนต้นเดียวกัน. ดอกเพศผู้ ออกเป็นช่อที่ยอด ก้านช่อยาว 2.5-8 ซม. ช่อดอกยาว 2.5-6 เซนติเมตร สมุนไพร  มีดอกเยอะแยะ   กลีบรองกลีบดอก รูปถ้วย ยาว 2-3 มิลลิเมตร ขอบเรียบ หรือ หยักบางส่วน เกสรผู้ 11-30 อัน ติดกันเป็นแท่งสีแดง โดยเรียงเป็นวง 2-3 วง. ดอกเพศเมีย ออกผู้เดียวๆใกล้กับช่อดอกเพศผู้ ก้านดอกยาว 1.25-1.75 ซม. ต่อมาจะยาวได้ถึง 6 เซนติเมตร กลีบรองกลีบรูปครึ่งวงกลม ล้อมรังไข่ ยาว 4-6 มม. ขอบกลีบเรียบ รังไข่ข้างในมี 11-14 ช่อง มีไข่อ่อนช่องละ 1 หน่วย ท่อรังไข่เป็นแท่ง ปลายท่อเป็นรูปใบบัวเล็กๆหรือ รูปกรวย สีม่วงเข้ม มีหยักมนๆ11-14 หยัก กว้าง 1.5-2.5 เซนติเมตร ผล กลมแป้น แขวนลง ปลายแหลมเป็นควรอย มีสันตามทางยาว แข็ง เส้นผ่าศูนย์กลาง 8-9 เซนติเมตร ยาว 4-5 เซนติเมตร เมล็ด แบน.

นิเวศน์วิทยา
: มีถิ่นเกิดในอเมริกา ปลูกเป็นไม้ประดับ.
คุณประโยชน์ : ใบ น้ำสุกใบกินแก้ปวดเรื้อรัง เม็ด ใช้เป็นยาถ่ายและทำให้อาเจียน

33

สมุนไพรกระดอหดใบขน
กระดอหดใบขน  Croton caudatus Geisel.
กระดอหดใบขน (เมืองจันท์).
ไม้เถา ครึ่งหนึ่ง ไม้พุ่ม ตามกิ่ง ใบ และดอก มีขนรูปดาว รวมทั้งสากคาย. ใบ ผู้เดียว เรียงสลับกัน แผ่นใบมีรูปร่างและขนาดต่างๆกัน ตั้งแต่ รูปหอก รูปไข่ กระทั่งกลมปนรูปหัวใจ; มีขนาดกว้าง 2.5-10 ซม. ยาว 4-12 เซนติเมตร โคนใบมน หรือ เว้านิดหน่อยเป็นรูปหัวใจ มีต่อม 2 ต่อมที่โคนซึ่งชิดกับก้านใบ ค่อนข้างมีลักษณะคล้ายรูปกรวย มีก้านยาว 0.5-1 มม. ขอบของใบหยักไม่บ่อยนัก ปลายใบแหลมถึงเรียวแหลม มีเส้นกิ้งก้านใบออกมาจากโคนใบ 1 คู่ และก็ออกจากเส้นกลางใบ 2-3 คู่ ข้างบนเกลี้ยง หรือ สาก ด้านล่างสาก หรือ มีขนหนาแน่น ก้านใบยาว 1-4 ซม. สาก. สมุนไพร  ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ยาว 7-25 ซม. ใบเสริมแต่งรูปเรียวปลายแหลม หรือ อาจไม่มี ก้านดอกยาว 1-5 มม. มีขนเป็นรูปดาว ดอกเพศผู้ รวมทั้งดอกเพศเมียอยู่บนต้นเดียวกัน. ดอกเพศผู้ ดอกตูมมีลักษณะกลม กลีบรองกลีบ 5 กลีบ รูปไข่ปนสามเหลี่ยม ยาว 2.5 มิลลิเมตร มีขน กลีบรูปไข่กลับ ยาว 2.5 มม. เกสรผู้มี 18-40 อัน ก้านเกสรมีขนที่ฐาน อับเรณูรูปรี. ดอกเพศภรรยา มีกลีบรองกลีบ 5 กลีบ รูปไข่กลับ ยาวประมาณ 4 มม. ข้างนอกมีขนรูปดาว ด้านในเกลี้ยง กลีบดอกไม้มีขนาดเล็กมาก รูปยาวปลายแหลม ขอบมีขน ท่อรังไข่ 3 อัน แต่ละอันแยกเป็น 2 แฉก มีขนรูปดาว. ผล กลม หรือ รูปไข่ เรียบ หรือ เป็นสัน 6 สัน มีขนาดกว้างประมาณ 10-15 มิลลิเมตร เมล็ด รูปรี ยาวโดยประมาณ 8 มิลลิเมตร มีขนรูปดาว.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นกลาดเกลื่อนในป่าผลัดใบ เหนือระดับน้ำทะเลไม่เกิน 100 ม.
คุณประโยชน์ : ราก น้ำสุกราก รับประทานเป็นยาระบาย แล้วก็ลดไข้  ใบ ตำเป็นยาพอกข้างนอก ลดไข้ แก้ปวดข้อ รวมทั้งเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวกล้าม ยอดอ่อนบดรวมกับใบฝาง (Caesalpinia sappan Linn.) รับประทานแก้โรคตับอักเสบ

34

สมุนไพรคริสต์มาส
คริสต์มาสEuphorbia pulcherrima Willd.
บางถิ่นเรียกว่า คริสต์มาส (ทั่วๆไป) บานใบ (เหนือ) โพผัน สองประจำเดือน (จังหวัดกรุงเทพ).
       ไม้พุ่ม สูง 1-3  ม.ใบ รูปไข่ปนรูปหอก กว้าง 6-9 เซนติเมตร ยาว 9-12 เซนติเมตร โคนใบเป็นครีบ ปลายใบแหลม ขอบใบมี 2-3 หยัก มีเส้นใบ 6-8 คู่ ข้างล่างมีขนสั้นๆปกคลุม; ก้านใบยาวราว 3 เซนติเมตร หูใบเป็นต่อม. ดอก ออกเป็นช่อที่ยอด มีดอกเพศผู้รวมทั้งดอกสมบูรณ์เพศในช่อเดียวกัน บริเวณช่อดอกมีใบตกแต่งสีแดงรูปหอก หรือ รูปไข่ปลายแหลม ขอบเรียบ กว้าง 1.5-6 เซนติเมตร ยาว 4-15 ซม. ก้านใบแต่งแต้มยาว 1-4 เซนติเมตร ดอกยาวราวๆ 5 มม. สีเหลืองมีเกสรผู้จำนวนหลายชิ้น สมุนไพร เกสรเมียทรงกระบอกแกมรูปไข่ มีขน. ผล ไม่เคยเห็น.

นิเวศน์วิทยา
: มีถิ่นเดิมอยู่แถบทวีปอเมริกากึ่งกลาง นิยมปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป.
สรรพคุณ : ต้น ยางเป็นพิษ ทำให้รอยแผล หรือ ตากำเนิดอาการเคืองอย่างรุนแรง ใบ ชาวชวาใช้อ่อนแต่งรสในของกิน ตำเป็นยาพอก แก้โรคผิวหนังบางประเภท ได้แก่ ไฟลามทุ่ง (Erysepalus) ดอก ชงรับประทานเป็นยาขับน้ำนม

Tags : สมุนไพร

35

สมุนไพรตาตุ่มทะเล
ตาตุ่มทะเลExcoecaria agallocha Linn.
บางถิ่นเรียก ตาตุ่มทะเล} ตาตุ่ม (กึ่งกลาง); บูตอ (มลายู-จังหวัดปัตตานี).
ไม้ต้น ขนาดกลาง สูง 8-15 มัธยม เปลือกสีเทาเป็นมัน. ใบ ลำพัง เรียงสลับกัน รูปไข่ หรือ รี กว้าง 2-5 ซม. ยาว 3-9 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบสอบ หรือ มน; ขอบใบเรียบ หรือ หยักเล็กน้อย; ก้านใบยาว 1-2 ซม. ดอก ออกเป็นช่อตามง่ามใบ ดอกเพศผู้ รวมทั้งดอกเพศภรรยาอยู่ต่างต้นกัน. ดอกเพศผู้ ออกเป็นช่อยาว 3-7 ซม.; กลีบรองกลีบดอก 3 กลีบ; เกสรผู้ 3 อัน ไม่ติดกัน อับเรณูมี 2 ช่อง กลม. สมุนไพร ดอกเพศภรรยา ออกเป็นช่อยาว 1.5-3.5 ซม. กลีบรองกลีบดอกโคนเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็น 3 แฉก; รังไข่มี 3 ช่อง แต่ละช่องมีไข่อ่อน 1 หน่วย. ผล รูปกลมแป้น มี 3 พู กว้างราว 6 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 4 มิลลิเมตร เมล็ด ออกจะกลม.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นตามป่าชายเลน.
คุณประโยชน์ : ราก ตำ หรือ ฝน ผสมกับขิง เป็นยาพอก หรือ ทา แก้อาการบวมตามมือและเท้า ต้น ยางมีฤทธิ์กัดทำลาย นำไปสู่อาการอักเสบ ถ้าหากเข้าตาจะมีผลให้ปวดอักเสบมากมาย ถึงทำให้ตาบอดได้ แก่นเรียกว่ากระลำพัก (ตาตุ่มสมุทร) เมื่อเผาไฟจะมีกลิ่นหอมาก ใช้เข้าเครื่องยา เป็นยาขับลม ฟอกโลหิต ขับระดู ระบาย รวมทั้งขับเสลด ถ้าเอาไม้จำพวกนี้ไปปักเลี้ยงหอยแมลงภู่ ผู้ที่กินหอยที่เกาะไม้นี้ จะมีผลให้ท้องร่วงได้  ควันที่เกิดขึ้นมาจากการเผาต้น ใช้รมแก้โรคเรื้อน  ยางต้นต้มรวมกับน้ำมัน ใช้ทาแก้โรคเรื้อน กัดแผลอักเสบเรื้อรัง ทาเช็ดนวดแก้ปวดตามข้อ รวมทั้งอัมพาต ถ้าหากกินยางต้นในขนาดต่ำๆเป็นยาถ่าย แม้กระนั้นหากกินมากอาจก่อให้สตรีแท้งบุตรได้ ใบ เป็นพิษ น้ำต้มเปลือก กินเป็นยาทำให้อาเจียน เป็นยาถ่าย แก้โรคลมชัก และเป็นยาฝาดสมาน

Tags : สมุนไพร

36

สมุนไพรผักหวานบ้าน
ผักหวานบ้าน Sauropus androgynous (Linn.) Merr.
ชื่อพ้อง albicans. Bl.
บางถิ่นเรียกว่า ผักหวานบ้าน ผักหวาน (ทั่วไป) ก้านตง จ๊าผักหวาน (เหนือ) โถหลุ่ยกะนีเด๊าะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) นานาเซียม (มลายู-สตูล) ผักหวานใต้ใบ (จังหวัดสตูล) มะยมป่า (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์).
       ไม้พุ่ม หรือ ไม้ล้มลุก ที่มีโคนต้นค่อนข้างจะแข็ง สูง 0.5-2 ม.ลำต้นอ่อน กลม หรือ เป็นเหลี่ยม หมดจด กิ่งอ่อนหักงอไปมาเป็นรูปซิกแซกน้อย. ใบ ผู้เดียว เรียงสลับกัน รูปไข่ หรือ รูปหอก กว้าง 1.3-3 เซนติเมตร ยาว 2.5-11 ซม. ปลายใบแหลม หรือ มน ขอบใบเรียบ โคนใบแหลม หรือ มน เส้นกิ้งก้านใบมีข้างละ 5-7 เส้น โค้งน้อย ใบหมดจดทั้งสองด้าน; เมื่อทำให้แห้งจะมีสีเขียวอมเหลือง; สมุนไพร ก้านใบสั้น ราว 2-4 มม. หูใบสามเหลี่ยม ยาว 1.7-3 มม. ดอก ออกเป็นช่อตามง่ามใบ ดอกเพศผู้ แล้วก็ดอกเพศเมียอยู่บนต้นเดียวกัน บางโอกาสกำเนิดบนช่อเดียวกัน. ดอกเพศผู้ ก้านดอกยาว 4-5 มม. ดอกรูปจาน กลีบรองกลีบดอกไม้สีเหลือง หรือ มีจุดๆสีแดง ดอกบนกว้างราวๆ 5-12 มิลลิเมตร ขอบกลีบเป็นคลื่นเล็กน้อย หรือ แยกเป็นกลีบ 6 กลีบ ปลายกลีบกลม หรือตัดตรง เกสรผู้มี 3 อัน ก้านเกสรเชื่อมติดกันเป็นท่อสั้นๆปลายแยกออกมาจากกัน ฐานดอกมีต่อม 6 ต่อม. ดอกเพศเมีย ก้านดอกยาวถึง 8 มิลลิเมตร กลีบรองกลีบสีเหลือง หรือ สีแดงเข้ม ยาว 5-7 มม. แยกเป็น 6 กลีบ กลีบรูปไข่ หรือ ออกจะกลม ปลายกลีบแหลมสั้นๆ; รังไข่รูปไข่ ข้างในมี 3 ช่อง มีไข่อ่อนช่องละ 2 หน่วย ท่อรังไข่ 3 อัน สั้น แต่ละอันปลายแยกเป็นสอง แล้วก็ม้วน. ผล รูปกลมแป้น สีขาวอมชมพู เส้นผ่าศูนย์กลาง 15-18 มิลลิเมตร ยาว 10-13 มม. กลีบรองกลีบดอกไม้มีขนาดโตขึ้นเมื่อได้ผลสำเร็จ. เมล็ด สามเหลี่ยม กว้างราว 5 มิลลิเมตร ยาว 8 มิลลิเมตร สีออกดำ.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นทั่วๆไปในป่าดงดิบ ป่าละเมาะ ดังที่รกร้าง แล้วก็ข้างถนน.
สรรพคุณ : ราก น้ำสุกรากรับประทานเป็นยาลดไข้ รวมทั้งเยี่ยวขัด ต้น และก็ ใบ น้ำยางต้นและก็ยางใบ ใช้หยอดตาแก้อักเสบ นำมาตำเป็นยาพอกผสมกับรากแล้วก็ cinnamon รักษาแผลในจมูก ตำผสมกับ arsenic ใช้ทาแก้โรคผิวหนังที่ติดเชื้อ spirochete ประเภทหนึ่งได้

37

สมุนไพรโลดทะนง
โลดทะนง Trigonostemon reidioides (Kurz) Craib
ชื่อพ้อง Baliospermum reedioides Kurz.
บางถิ่นเรียกว่า โลดทะนง (จังหวัดราชบุรี ปราจีนบุรี จังหวัดตราด) ข้าวเย็นเนิน (จังหวัดราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์) ดู่เบี้ย ดู่เตี้ย (เพชรบุรี) ทะนง รักทะนง (จังหวัดโคราช) ทะนงแดง (ประจวบคีรีขันธ์) นางแซง (อุบลราชธานี) โลดทะนงแดง (จังหวัดบุรีรัมย์) หนาดคำ (เหนือ) หัวยาข้าวเย็นเนิน (ราชบุรี).
  ไม้พุ่ม ขนาดเล็ก สูง 0.5-1.5 มัธยม มีขนปกคลุมดกนแน่นทั่วไป. ใบ คนเดียว เรียงสลับกน รูปขอบขนาน แคบบ้างกว้างบ้าง หรือ กว้าง 2-4 เซนติเมตร ยาว 7-12 เซนติเมตร; ปลายใบแหลม ขอบของใบเรียบ โคนใบกลม หรือ มน เส้นใบมี 5-7 คู่ ข้างล่างนูน มีขนอีกทั้ง 2 ด้าน ด้านบนค่อนข้างจะสาก ข้างล่างขนยาว นุ่มและหนาแน่นกว่าข้างบน ที่ฐานใบมีต่อมเล็กๆ2 ต่อม ก้านใบยาว 10-15 มม. มีขน. ดอก สีขาว ชมพู ม่วงเข้ม หรือ แทบดำ ออกเป็นช่อตามง่ามใบ แล้วก็ตามกิ่ง ดอกเพศผู้ แล้วก็ดอกเพศเมียเกิดบนต้นเดียวกัน. ดอกเพศผู้ ดอกตูมกลม กลีบรองกลีบดอก 5 กลีบ รูปไข่กลับ ข้างนอกมีขน กลีบ 5 กลีบ รูปไข่กลับ ไม่มีขน เกสรผู้ 3 อัน ก้านเกสรติดกัน อับเรณูรูปกลม ฐานดอกขอบเป็นคลื่น. ดอกเพศภรรยา สมุนไพร ดอกตูมรูปไข่ กลีบรองกลีบดอก 5 กลีบ รูปไข่ปลายมน กว้างราวๆ 1.5 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 3 มม. ข้างนอกมีขน กลีบดอกรูปไข่ กว้างราวๆ 2 มิลลิเมตร ยาว 3 มิลลิเมตร รังไข่รูปไข่ มีขน ท่อรังไข่สั้น มี 3 อัน ปลายท่อใหญ่ ปลายสุดหยักเว้าบางส่วน ฐานดอกขอบไม่เป็นคลื่น. ผล มี 3 พู เส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณ 12 มม. มีขนปกคลุมดกนแน่น ก้านผลยาวโดยประมาณ 15 มม. เม็ด รูปค่อนข้างกลม หรือ รูปไข่ปนสามเหลี่ยม ยาวโดยประมาณ 5-6 มม. สีออกเหลือง ผิวเรียบ.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นทั่วไปในที่ดินผสมทราย ในป่าสัก และมีเกลื่อนกลาดในป่าเบญจพรรณแล้ง เหนือระดับน้ำทะเลไม่เกิน 450 ม.
คุณประโยชน์ : ราก รสร้อน ฝนกินเพื่อทำให้อาเจียน ทำให้ท้องร่วง ใช้ถอนพิษรับประทานยาเบื่อเมา แก้โรคหืด ใช้ภายนอกฝนทาเป็นยาเกลื่อนฝี แก้บวมช้ำ เคล็ดลับบวม กินเป็นยาคุม

38

สมุนไพรกระเบาใหญ่
กระเบาใหญ่ Hydnocarpus anthelminthica Pierre
บางถิ่เรียก กระเบาใหญ่ กระเบาน้ำ กระเบาแข็ง กาหลง (ภาคกึ่งกลาง) กระเบา (ทั่วไป) กระเบาตึก (เขมร-ตะวันอก) ตัวโฮ่งจี๊ (จีน) เบา (จังหวัดสุราษฎร์ธานี)
  ไม้ต้น ขนาดกึ่งกลาง สูง 15-20 มัธยม ลำต้นตรง. ใบ ผู้เดียว ออกเวียนสลับ รูปขอบขนานแกมรูปหอก กว้าง 4-6 เซนติเมตร ยาว 15-20 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมนเบี้ยว ขอบใบเรียบ เนื้อใบดก หมดจด เส้นใบมี 8-10 คู่ เส้นใบย่อยสานกันเป็นร่างแหเห็นชัด ใบแห้งสีน้ำตาลแดง สมุนไพร ดอก ออกตามง่ามใบ เป็นดอกแยกเพศ กลีบเลี้ยงและก็กลีบมีอย่างละ 5 กลีบ ดอกเพศผู้ สีชมพู มีกลิ่นหอมหวน ออกโดดเดี่ยวๆก้านดอกยาว เกสรเพศผู้มี 5 อัน ดอกเพศเมีย ออกเป็นช่อสั้นๆผล กลมใหญ่ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 8-10 เซนติเมตร สีขาว ผิวเรียบ มีขน หรือ เกล็ดสีน้ำตาลแดงคลุม

นิเววิทยาศน์
: ขึ้นตามป่าดิบใกล้ชายน้ำ ทางภาคใต้และภาคอีสาน ระดับความสูงจากน้ำทะเล 50-200 มัธยม
สรรพคุณ : ต้น น้ำต้มเปลือก กินเป็นยาขับฉี่ เมล็ด เป็นยาขับพยาธิ เมื่อกระทำการบีบเม็ดจะได้นำมันกระค่อย ใช้ทาแก้โรคเรื้อน หรือ โรคชันนะตุ ใช้ทาถูนวดแก้เจ็บท้อง รูมาว่ากล่าวซึม และโรคเก๊าท์

39

[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/i]แขม[/url][/b]
แขม Saccharum arundinaceum Retz.
บางถิ่นเรียก แขม (ทั่วไป) ตะโป (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) แตร๊ง (เขมร-สุรินทร์) ปง (ภาคเหนือ)
ไม้ล้มลุก จำพวกหญ้า ขึ้นเป็นกอขนาดใหญ่ ลำต้นสูงได้ถึง 3 มัธยม กว่า เส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณ 2.5 ซม. ใบ รูปยาว ปลายเรียว กว้าง 2.5-5 เซนติเมตร ยาวโดยประมาณ 1.5 ม. ขอบใบหยาบ เส้นกลางใบสีขาว กาบใบยาวถึง 40 เซนติเมตร ผิวเรียบ หมดจด ลิ้นใบขอบเป็นเยื่อตื้นๆขอบเป็นขนแข็ง หมดจด ดอก ออกเป็นช่อใหญ่ ยาว 0.3-1 ม. แตกกิ่งก้านสาขามากมาย ไม่มีขน หรือตามกิ่งเล็กๆอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีขนเป็นมันเหมือนเส้นไหม ช่อดอกย่อย (spikelet) มีขนยาวสีขาวเป็นมันปกคลุมช่อดอกย่อยออกเป็นคู่ ช่อหนึ่งมีก้าน อีกช่อหนึ่งไม่มีก้าน กาบช่อดอกย่อยยาวเท่ากับช่อดอกย่อย กาบดอกสั้นกว่า บาง สมุนไพร เกสรเพศผู้มี 3 อัน รังไข่สะอาด ก้านเกสรเพศเมียมี 2 เส้น ยอดเกสรเพศเมียเป็นขน โผล่ข้างๆ สีม่วงแดง

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นตามริมฝั่งน้ำทั่วๆไป
คุณประโยชน์ : ราก น้ำต้มกินเป็นยาเย็น ขับเยี่ยว แล้วก็แก้โรคผิวหนังบางชนิด ต้น ต้มน้ำกินแกฝี หนอง

Tags : สมุนไพร

40

สมุนไพรเลี่ยน
ชื่อพื้นบ้านอื่น เกรียน เฮี่ยน (ภาคเหนือ) เคี่ยน เลี่ยน เลีี่ยนใบใหญ่ (ภาคกลาง)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Melia azedarach L.
ชื่อพ้อง Melia dubia Cav.. Melia toosendan Siebola & Zucc..
ชื่อตระกูล  MELIACEAE
ชื่อสามัญ Bead tree, Bastard cedar , Perisian lilac , White cedar.
ลักษณะทั่วไปทางวิชาพฤกษศาสตร์
ไม้ใหญ่ (T/ST) ขนาดกึ่งกลาง สูง 10-20 เมตร ผลัดใบ เรือนยอดรูปกรวยหรือทรงกระบอก ออกจะโปร่ง เปลือกต้นสีน้ำตาลแตกเป็นร่อง โตเร็ว เจริญเติบโตได้ดีในดินที่ร่วนซุย แสงแดดจัด
ใบ ใบประกอบแบบขนสองชั้น ปลายคี่ เรียงสลลับที่ปลายกิ่ง แกนกลางใบประกอบยาว 30-60 ซม. ใบย่อยจำนวนไม่น้อย รูปรีปนรูปขอบขนาน เรียงตรงข้าม กว้าง 1.5-2.5 ซม. ยาว 3-6 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลม โคนใบแหลมหรือสอบรวมทั้งมักเบี้ยว ขอบใบจักฟันเลื่อยห่างๆ
สมุนไพร ดอก มีดอกเป็นช่อที่ซอกบริเวณปลายกิ่ง กลีบดอก 5-6 กลีบ สีชมพูหรือขาวอมม่วงอ่อนๆเส้นผ่านศูนย์กลางดอกโดยประมาณ 2 ซม. เกสรเพศผู้ 10 อัน สีม่วง อยู่ติดกันเป็นหลอด ดอกมีกลิ่นหอมสดชื่น มีดอก ธันวาคม-มีนาคม
ผล รูปกลมหรือรี กว้างประมาณ 1 เซนติเมตร ยาว 2.5 ซม. เมื่อแก่เป็นสีเหลือง เม็ดต่อเมล็ด

นิเวศวิทยา
มีบ้านเกิดในเอเชียเขตร้อน จีน ทางภาคเหนือของอินเดียรวมทั้งประเทศออสเตรเลีย เจอตามป่าเขาดิบและป่าเบญจพรรณทั่วภาคทุกภาคไทย
การปลูกแล้วก็ขยายพันธุ์
เป็นไม่ที่ปลูกได้ไม่ยาก เจริญเติบโตก้าวหน้าในดินปกติ ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเม็ดหรือปักขำราก
ส่วนที่ใช้ รส และสรรพคุณ
ทั้งต้น รสขม แก้โรคผิวหนัง แก้โรคเรื้อน เป็นยาอายุวัฒนะ
เม็ด ให้น้ำมัน ใช้ทาแก้ปวดข้อ
ใบ ให้สีเขียวใช้ย้อมผ้า
วิธีการใช้รวมทั้งปริมาณที่ใช้

  • แก้โรคผิวหนัง แก้โรคเรื้อน โดยใช้ต้นสด 10-20 กรัม หรือยาวราวๆ 1 ฝ่ามือ สับเป็นชิ้น ต้มในน้ำสะอาด 1 ลิตร ต้มให้เหลือ 3 ใน 4 ส่วน กรองเอาน้ำกิน วันละ 2-3 เวลา



Tags : สมุนไพร

41

เจตมูลเพลิงขาว
ชื่อท้องถิ่นอื่น  ปิดปิวขาว (ภาคเหนือ) ตั้งชู้รักอ้วย , โคนชุวา (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) เจตมูลเพลิงขาว (ภาคกลาง)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Plumbaga zeylanica L.
ชื่อตระกูล  PLUMBAGINACEAE
ชื่อสามัญ White leadwort.
ลักษณะทั่วไปทางวิชาพฤกษศาสตร์
ไม้พุ่มขนาดเล็ก (US) สูงประมาณ 1-1.5 เมตร กิ่งอ่อนเป็นรองและก็เป็นเหลี่ยมสีเขียว แตกกิ่งก้านสาขารอบๆต้นมาก
ใบ เป็นใบคนเดียว ออกตรงข้ามกัน ลักษณะใบรูปไข่หรือรูปขอบขนานปนรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบของใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย ใบมีสีเขียวเข้ม ลักษณะที่คล้ายกับใบมะลิแต่จะใหญ่กว่า
ดอก ออกดอกเป็นช่อที่ส่วนยอดของต้น ดอกมีสีขาว โคนหลอดจะเป็นหลอดเล็กๆแต่ส่วนปลายจะบานคล้ายจานมีอยู่ 5 กลีบ กลีบดอกจะบางมาก กลีบเลี้ยงเป็นสีเขียว รวมทั้งมีขนปกคลุมอยู่ ซึ่งขนนี้จะมีต่อมเหนียวๆติดมือ
ผล ได้ผลแห้ง ลักษณะรูปรี ยาว กลม สีเขียวและก็มีขนเหนียวรอบผล แตกออกได้
นิเวศวิทยา
มีถิ่นเกิดในอินเดีย แล้วก็เขตร้อนทั่วไป กำเนิดตามขว้างสดงดิบและก็ป่าเบญจพรรณทั่วๆไป เป็นไม้ที่ชอบอยู่ร่มรำไร
การปลูกแล้วก็เพาะพันธุ์
เจริญเติบโตได้ดีในที่ที่มีอากาศร้อนชื้น รวมทั้งสภาพดินธรรมดา  เพาะพันธุ์ด้วยการเพาะเม็ด หรือการปักชำกิ่ง

ส่วนที่ใช้ รส และสรรพคคุณ   
สมุนไพร ราก รสร้อน ใช้เป็นยาขับรอบเดือน แก้ปวดข้อ ขับพยาธิ ใช้ทาแก้กลากเกลื้อน ระงับอาการปวดฟัน รวมทั้งแก้ท้องเสีย ขับลมในกระเพาะและก็ลำไส้ ขับโลหิตประจำเดือน แก้ริดสีดวงทวาร ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
ต้น  รสร้อน แก้เลือดอันเกิดแต่ว่ากองกำเดา
ใบ รสร้อน แก้อาการน้ำดีนอกฝัก หรือแก้อพัทธปิตตะสมุฏฐาน
ดอก รสร้อน แก้อาการน้ำดีนอกฝัก หรือแก้อพัทธปิตตะสมุฏฐาน
วิธีการใช้แล้วก็ปริมาณที่ใช้

  • ขับประจำเดือนหรืบขับโลหิตเมนส์ โดยใช้รากสด 5-10 กรัม หรือแห้งประมาณ 3-5 กรัม ล้างน้ำให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นต้มในน้ำที่สะอาด 500 ซีซี นานโดยประมาณ 10 นาที แล้วกรองเอาน้ำ ดื่มวันละ 2 เวลา รุ่งเช้า-เย็น
ข้อควรจะรู้
รากมีสาร plumbagin ลำต้นมีแบบเดียวกัน แต่น้อยกว่าราก
ต้องการให้เป็นยาช่วยสำหรับการย่อยหรือเจริญอาหาร ให้นำผงของรากเจตมูลไฟแดงมาผสมกับลูกสมอพิเภก ผงดีปลี แล้วก็เกลือ อย่างละเท่าๆกัน รับประทานครั้งละ 2.5 กรัม
สตรีที่มีครรภ์ห้ามกินรากของต้นนี้ ด้วยเหตุว่ารากจะมีสารบางอย่างที่ทำให้แท้งบุตรได้

42
อื่น ๆ / สัตววัตถุ ปูทะเล
« เมื่อ: มกราคม 04, 2018, 03:37:32 AM »

ปูทะเล
ปูทะเลเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในชั้นครัสเตเชีย ที่เจอในประเทศมีขั้นต่ำ ๓ ประเภท ทุกประเภทจัดอยู่ในวงศ์  Portunidae คือ
๑.ปูดำ หรือ ปูแดง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scylla serrata (forsskal) จำพวกนี้พบตามป่าชายเลนทั่วไป
๒.ปูขาว หรือ ปูทองหลาง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scylla oceanic dana จำพวกนี้พบตามพื้นทะเลทั่วไป
๓.ปูเขียว หรือ ปูทองคำโหลง หรือ ปูลาย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scylla transquebarica Fabricius
ประเภทนี้พบตามพื้นทะเลทั่วๆไปอีกทั้ง ๓ ชนิดมีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่ต่างกันด้านสีรวมทั้งหนามที่ขอบกระดองแล้วก็สภาพถิ่นอาศัย จนนักวิชาการลางสำนักจัดเป็นชนิดเดียวกันหมดเป็นScylla serrata  (Forsskal)
ชีววิทยาของปูทะเล
ปูทะเลอาจมีกระดองขนาดกว้างได้ถึง ๒๐ ซม. มีลำตัวที่แบ่งออกเป็น ๒ ส่วนหมายถึงท่อนหัวที่เชื่อมรวมกับอกมีกระดองเป็นเปลือกปกคลุมอยู่ด้านบน  กับส่วนท้องที่พับแนบติดกับลำตัวทางข้างล่าง ชาวบ้านเรียกส่วนนี้ว่า ตะปิ้ง ซึ่งในตัวผู้จะเป็นสามเหลี่ยมแคบ ส่วนในตัวเมียจะแผ่กว้างออกเป็นรูปโค้งกลม มีขา ๕ คู่ คู่แรกแปรไปเป็นก้ามใหญ่ ใช้จับเหยื่อแล้วก็ป้องกันตัว รวมทั้งเพศผู้ใช้จับกุมตัวภรรยาเวลาผสมพันธุ์ ขาคู่ที่ ๒-๕ มักมีปลายแหลม ใช้สำหรับคลานหรือเดิน ส่วนขาสุดท้ายของปูทะเลจะแบนเป็นกรรเชียง ช่วยสำหรับในการว่ายน้ำ ปูทะเลหายใจโดยเหงือกซึ่งมีลักษณะคล้ายฟองน้ำ  ประชาชนเรียก  นมปู  มองเห็นได้เมื่อเปิดกระดองออก  ปูทะเลบางทีอาจสลัดก้ามทิ้งได้  โดยสร้างก้ามใหม่ขึ้นมาเมื่อลอกคราบครั้งต่อมา  เหมือนปกติหลังจากการลอกคราบเปื้อนเพียงแต่ ๒ รั้ง ก้ามปูอาจมีขนาดใหญ่เหมือนเดิมได้  การลอกคราบเปื้อนของปูเป็นวิธีการช่วยเพิ่มขนาด  ภายหลังปูทานอาหารและก็สะสมไว้พอเพียงแล้ว  ก็จะสลัดเปลือกเดิมทั้งสิ้นทิ้งไป  แล้วสร้างเปลือกใหม่ขึ้นมาแทน  ปูที่แก่น้อยนั้นลอกคราบบ่อย  แต่จะค่อยๆห่างขึ้นเมื่อปูโตเต็มกำลังแล้ว ฤดูผสมพันธุ์ของปูทะเลอยู่ในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม ในตอนนี้ปูทะเลมีไข่มาก ก่อนที่จะมีการสืบพันธุ์นั้น ตัวผู้อุ้มตัวเมียไว้เพื่อรอจนถึงตัวเมียลอกคราบ ภายหลังจากสืบพันธุ์แล้ว ตัวเมียจะปลดปล่อยไข่ออกมาไว้ตับปิ้ง ใช้รยางค์ของส่วนท้องโอบไข่เอาไว้ ไข่ในระยะเริ่มต้นมีสีเหลืองอ่อนๆแต่จะเปลี่ยนเป็นสีแก่ขึ้น จนกระทั่งเป็นสีส้มและก็สีน้ำตาล เป็นลำดับ หลังจากนั้นไข่ก็เลยฟักเป็นตัวอ่อน ดำเนินชีวิตเป็นพลิกก์ตอนลอยไปกับน้ำทะเล แล้วลอกคราบเปลี่ยนแปลงรูปร่างเป็นตัวอ่อนอีกระยะหนึ่ง จึงจะจมลงสู่พื้นทะเลเปลี่ยนแปลงรูปร่างเป็นปูขนาดเล็กถัดไป

ผลดีทางยา
[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/url] แพทย์แผนไทยใช้ “ก้ามปูทะเลเผา” เป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งในการประกอบยาหลายขนาน เช่น ยาใช้ภายนอกแก้แผลอันมีสาเหตุมาจากไส้ด้วนไส้ลุกลาม กระตุ้นให้เกิดลักษณะของการปวดแสบปวดร้อนยิ่งนัก ซึ่งบึนทึกเอาไว้ภายใน พระหนังสือมุจฉาปักขันทิกา ดังต่อไปนี้ ถ้ามิหาย  ให้ร้อนหนัก ท่านให้เอา ก้ามปูสมุทรเผา ๑ เปลือกหอยโข่งเผา ๑ รากลำโพงแดง  ๑  รากขัดมอน  ๑  ฝางเสน  ๑  ดินประสิว ๑ เปลือกจิกนา ๑ ผลจิกท้องนา  ๑  เอาเสมอ  บดด้วยน้ำลายจรเข้เป็นกระสาย  หายแล ยาแก้กระหายน้ำแก้ร้อนภายในอันทำให้หอบขนานหนึ่ง  ซึ่งบันทึกไว้ภายในพระคู่มือธาตุวิภังค์ เข้าเครื่องยาที่เรียก “ก้ามปูทะเลเผาไฟ” ด้วย  ยาขนานนี้แบบเรียนว่าใช้ “รับประทานทั้งพ่น”  ดังต่อไปนี้ ขนานหนึ่งแก้ระหายน้ำให้ร้อนด้านในแลให้หอบ  ท่านให้เอาสังข์หนามเผาไฟ ๑  รากบัวหลวง ๑  ฝุ่นผงจีน  ๑  รังสุนัขร่าเผาไฟ  ๑  ชาดก้อน  ๑ ดอกพิกุล ๑  ดอกสาระภี  ๑  ดอกบุนนาค  ๑  เกสรบัวหลวง ๑ การบูร ๑ รากสลอดน้ำ ๑ รากคันทรง ๑ ก้ามปูสมุทรเผาไฟ ๑ โปตัสเซี่ยมไนเตรดขาว ๑ ยาทั้งนี้เอาส่วนเท่ากัน บดเปนแท่ง ละลายน้ำดอกไม้สด ทั้งรับประทานอีกทั้งพ่น แก้ร้อนแก้ระหายน้ำ ไคลตกก็หายแล

Tags : สมุนไพร

43
อื่น ๆ / สัตววัตถุ เเมงมุม
« เมื่อ: ธันวาคม 26, 2017, 07:44:28 AM »

แมงมุม
แมงมุมเป็นชื่อเรียกสัตว์จำพวกแมงหลายประเภทในวงศ์ ทุกชนิดจัดอยู่ในชั้น  Araneae  มีชื่อสามัญว่า spider กินสัตว์เป็นของกิน มีขนาดนาๆประการตามแต่ชนิด  พวกที่คราวขนาดเล็กอาจมีลำตัวยาวเพียงแต่ ๐.๗  ซม. ส่วนพวกที่มีขนาดใหญ่อาจมีลำตัวยาวถึง ๙ ซม. พวกที่พบตามอาคารบ้านเรือนและก็ก่อความเปรอะเปื้อนรุงรังมักเป็นแมงมุมที่อยู่สกุล Pholcus หลายชนิด (วงศ์  pholcidae )
แมงกับแมลง
ในทางวิชากีฏวิทยา คำ “แมง” กับ “แมลง” สื่อความหมายต่างกัน และมักเรียกงงงวยกัน คำ “แมง”ใช้เรียกชื่อสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังหลายชนิด ซึ่งเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว  ลำตัวแบ่งออกได้เป็น ๒ ส่วนเป็นท่อนหัวกับอกรวมเป็นส่วนเดียวกันส่วนหนึ่งส่วนใด กับส่วนท้องอีกส่วนหนึ่ง มีขา ๘  หรือ ๑๐ ขา ไม่มีหนวด ไม่มีปีก ได้แก่ แมงมุม  แมงป่อง แมงดาทะเล ส่วนคำ “แมลง” ใช้เรียกชื่อสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังหลากหลายประเภท ซึ่งเมื่อเจริญเติบโตสุดกำลังแล้ว  ลำตัวแบ่งออกได้เป็น ๓ ส่วนอย่างแจ่มแจ้งหมายถึงท่อนหัว ส่วนอก และก็ส่วนท้อง  มีขา ๖ ขา เป็นสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังเพียงแต่พวกเดียวที่มีปีก อาจมีปีก ๑ หรือ ๒ คู่  หรือไม่มีปีกเลยก็ได้ เป็นสัตว์ที่มีมากมายชนิดที่สุดในโลก ยกตัวอย่างเช่น แมลงสาบ แมลงวัน
ชีววิทยาของแมงมุม
แมงมุมมีลำตัวแบ่งได้เป็น  ๒  ส่วน  ส่วนหัวกับส่วนอกชิดกันเป็นส่วนเดียวปกคลุมด้วยแผ่นแข็งทั้งยังด้านหลังและข้างล่าง มีตาเล็กๆข้างละหลายตา ลางชนิดอาจมีได้ถึง  ๘  ตา อยู่ใกล้ๆกัน  (เว้นเสียแต่แมงมุมลางประเภทที่ไม่มีตา ซึ่งมักเป็นแมงมุมที่อาศัยอยู่ในที่มืด อาทิเช่นในถ้ำ)  ที่ปากมีเขี้ยวเป็นอวัยวะคู่  มีรูปร่างเหมือนปากคีบหรือคีมคีบใช้คีบ  จับ  หรือยึดเหยื่อเป็นของกินได้  มีบ้องฐานข้อเดียว ส่วนปลายอาจมีรูปล่อยพิษซึ่งเชื่อมต่อถึงต่อมพิษที่ฐานปาก  ยิ่งไปกว่านั้นที่ปากยังมีอวัยวะคู่รูปทรงคล้ายขา แต่สั้นกว่าและมักแบนกว่า (มักก้าวหน้าดีแล้วก็เห็นได้ชัดในตัวผู้ที่ยังไม่โตเต็มกำลังรวมทั้งในตัวเมีย) แมงมุมไม่มีหนวด  มีขา ๔ คู่  ที่ขามักมีองค์ประกอบพิเศษให้ใช้ถักใยได้ ดังเช่น มีแผ่นแบนอยู่ระหว่างง่ามเล็บ ส่วนท้องอาจกลมหรือยาวสุดแต่ชนิดของแมงมุมที่ปลายมีท่อเป็นรูเปิดสำหรับปล่อยใยได้  บริเวณด้านล่างของส่วนท้องบ้องที่  ๒  รวมทั้ง ๓ มีอวัยวะปฏิบัติหน้าที่เป็นจมูกสำหรับหายใจ ซึ่งมักเป็นช่อง ภายในมีแผ่นบางๆเรียงทับกันคล้ายกระดาษหนังสือ แมงมุมส่วนมากที่คนไทยเห็นนั้น  มักเป็นจำพวกถักใยขวางทางผ่านของสัตว์เพื่อจับกินเป็นอาหาร เมื่อมีสัตว์มาติดใยแล้วก็ดิ้นรน  แรงสั่นสะเทือนจะไปถึงตัวแมงมุมเจ้าของรัง แมงมุมซึ่งมีสายตาไม่ดีก็จะติดตามทิศทางของแรงสะเทือนนั้นเข้าพบเหยื่อ กัดเหยื่อ รวมทั้งปล่อยน้ำพิษทำให้เหยื่อสลบ  ก่อนจะกินเป็นของกิน
แมงมุมในประเทศไทย
แมงมุมที่พบในประเทศไทยมีมาก  จัดอยู่ในหลายสกุล  แต่ว่าทุกวงศ์จัดอยู่ในชั้นเดียวกัน เป็น Araneae  จำพวกที่เจอในประเทศไทยนั้น  ส่วนใหญ่ไม่มีพิษร้ายถึงกับกัดคนให้เจ็บหรือตายได้  อย่างเช่น
๑.แมงใย หรือ ตัวใยแมงมุม  เป็นแมงมุมที่เจอตามบ้านที่พักรวมทั้งถักใยจนกระทั่งดูสกปรกรวมทั้งรกรุงรัง  มักเป็นพวกที่จัดอยู่ในสกุล  Pholcus หลายแบบ (วงศ์ Pholcidae )  แมงมุมพวกนี้มักมีลำตัวสีน้ำตาลหรือสีเทาทึบ หลังท้องสีมักเข้ม ลางชนิดมีลาย ส่วนใหญ่มีลำตัวยาว ๔-๕  มิลลิเมตร ขายาวกว่าลำตัวมากมาย เป็นยาวราว ๕-๖ เซนติเมตร  ทำให้ดูโย่งเย่งรวมทั้งบอบบาง  จึงมีชื่อสามัญว่า  daddy  long-leg  spider  คนไทยลางถิ่น เรียก แมงมุมเถ้าถ่าน เพราะว่าถักใยทำให้รกแล้วก็มีฝุ่นผงหรือเถ้ามาติด ใยแมงมุมที่แมงมุมพวกนี้ถักทอไว้ในบ้าน  โดยยิ่งไปกว่านั้นในห้องครัว  หรือที่อยู่ใกล้เตาไฟ ซึ่งมีเขม่าไฟหรือเถ้าติดอยู่ด้วยกัน หมอโบราณใช้เป็นเครื่องยา เรียก หญ้ายองไฟ
๒.แมงมุมทำหลาว เป็นแมงมุม พวกที่ถักใยนอกบ้าน  พบบ่อยตามแปลงพืชหรือตามเรือกสวนไร่  เป็นแมงมุมที่จัดอยู่ในสกุล  Tetragnatha  หลากหลายประเภท  (ตระกูล Tetragnathidae ) ซึ่งราษฎรเรียก แมงมุมทำหลาว  เนื่องจากว่าเมื่อตกใจ  แมงมุมเหล่านี้จะวิ่งไปหลบอยู่หลังใบไม้  ยื่นขา ๒ คู่แรกไปข้างหน้า ขาคู่ที่ ๔ ยื่นไปด้านหลังอยู่ในระดับเดียวกับลำตัว ขาคู่ที่ ๓ ใช้ยึดเกาะยืนตั้งฉากกับลำตัว ดูเหมือนคนที่จัดแจงพุ่งแหลนลงน้ำ แมงมุมเหล่านี้ดักจับเพลี้ยจักจั่นกินเป็นของกิน จัดเป็นสัตว์ที่มีประโยชน์ต่อเกษตรกร
๓.แมงมุมก๋า หรือ ตัวก๋า มีชื่อวิทยาศาสตร์  Heteropodae  venatoria  (Linnaeus ) จัดอยู่ในตระกูล Sparassidae  มีชื่อสามัญว่า  banana  spider ( เพราะว่ามักพบแมงมุมก๋านี้ในโกดังเก็บกล้วย ) เป็นแมงมุมขาดกึ่งกลาง ตัวผู้ลำตัวยาว ๑.๕-๒  ซม.  ตัวเมียมีลำตัวยาว  ๒.๕-๓ เซนติเมตร ขายาว ๕-๖ ซม. หัว อก ขา และก็ท้องสีน้ำตาล  ตาสีคล้ำ  ที่ข้างหลังอกมีแถบสีดำดกพิงตามขวางด้านหน้า รวมทั้งแถบเป็นง่ามเหมือนรูปตัววี (V) ด้านปลายอีก ๑ แถบที่สันหลังท้องมีเส้นสีน้ำตาลแก่พาดมาถึงกึ่งกลาง  อาจพบจุดสีน้ำตาลแก่เป็นลายข้างๆ ข้างละ ๔-๕ จุด  มีขนสีน้ำตาลอ่อนรอบๆหน้าแล้วก็ขา  ทำให้ดูน่าสะพรึงกลัว แมงมุมชนิดนี้ไม่ถักใย  ออกหากินโดยการจับเหยื่อโดยตรง  เจออาศัยอยู่ตามบ้านช่องหรือตามโกดังเก็บของ เป็นแมงมุมที่มีประโยชน์  เพราะถูกใจกินแมลงสาบ
๔.แมงมุมมดแดง  มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  Myrmarachne  formicaria  Linnaeus  จัดอยู่ในวงศ์  Salticidae เป็นแมงมุมประเภทที่มีรูปร่างเอาอย่างสัตว์อื่น  มักพบและก็มีชุกตามจังหวัดหาดทราย  ยกตัวอย่างเช่น  ชลบุรีหรือจังหวัดระยอง มีรูปร่าง   ขนาด  และสีสันใกล้เคียงกับมดแดง  และชอบอาศัยปะปนอยู่กับมดแดง แต่แตกต่างตรงที่เมื่อแมงมุมพวกนี้กระโจน  จะถักใยทิ้งตัวเพื่อโยกย้ายได้  เมื่อสังเกตอย่างประณีตขมักเขม้น จะพบว่าปริมาณขาและก็ลักษณะอื่นๆไม่เหมือนกับมดแดง

คุณประโยชน์ทางยา
แพทย์แผนไทยรู้จักใช้ “ต้นหญ้ายองไฟ”รวมทั้ง “แมงมุมตายซาก” เป็นเครื่องยาด้วย  ดังต่อไปนี้
๑.ต้นหญ้ายองไฟ  หมอแผนไทยรู้จักใช้หยากไย่แมงมุมเหนือเตาไฟในห้องครัวของบ้านไทยในชนบทอดีต (เตาไฟใช้ฟืนใช้ถ่าน)  หยากไย่แมงมุมที่มีเขม่าควัน ขี้เถ้า  และฝุ่นเกาะอยู่ด้วยนี้ แพทย์โบราณเรียก  ต้นหญ้ายองไฟ  ลางตำราเรียนเรียกเป็น  ใยแมงมุมไฟ  หรือ  หยากไย่ไฟ  ก็มี  ใช้เป็นเครื่องยาอย่างหนึ่ง
สมุนไพร ตำราสรรพคุณยาโบราณว่า  ต้นหญ้ายองไฟมีรสเค็ม  ฝาด  มีคุณประโยชน์แก้โลหิต  ฟอกเลือด  กระจัดกระจายเลือดอันเป็นลิ่มเป็นก้อน  ขับโลหิตระดู
ตำราเรียนยาไทยหลายขนานเข้า “ต้นหญ้ายองไฟ”  เป็นเครื่องยาอย่างหนึ่ง  ในที่นี้ขอยกตัวอย่างยา  ๒  ขนาน ขนานแรกเป็นยาแก้กษัยอันเกิดเพื่อโชธาตุชื่อ “สันตัปปัคคี” ซึ่งบันทึกเอาไว้ภายในพระตำราไกษย  ดังนี้ ขนานหนึ่งเล่า  ถ้าหากมันให้จุกเสียดปวดขบเปนกำลัง  ให้เอาพริกเทศ  ๑๐๘  เม็ด  พริกล่อน  ๑๐๘  เม็ด  ผักกะดูดซับเอาอีกทั้งต้นรากใบลูกเอาสิ่งละ ๑ บาท  หญ้าไซย้อย  ๑  หญ้าไซแห้ง ๑ เอาสิ่งละ ๑ บาท  หญ้ายองไฟ  ๑  บาท  ไพลแห้ง  ๑  บาท  ตำเปนผง  ละลายน้ำเหล้าน้ำส้มซ่าน้ำขิงน้ำมะนาวน้ำกระเทียมก็ได้  ยักกระสายให้ชอบโรคนั้นเหอะ อีกขนานหนึ่งเป็นยาขับเลือดของสตรีซึ่งมีบันทึกเอาไว้ใน  พระคู่มือมหาโชตรัต ดังนี้ อนึ่งเอาสหัศคุณเทศ ๑   แก่นแสมทเล  ๑  ต้นหญ้ายองไฟ  ๑  ขมิ้นอ้อย  ๑  บดละลายเหล้ากิน  ใหขับโลหิตดีนักแล ตำรับยาลางขนาน  เจ้าของตำรับอาจเขียนตัวยาไว้เป็นปัญหาให้ตีความหมายกันเอาเอง  ยกตัวอย่างเช่น  ยาแก้บิดขนานหนึ่ง  เจ้าของยาให้ตำรับยาไว้ว่า “ลุกใต้ดิน  กินตีนท่า  อยู่หลังคา  ขี้ค้างรู  คู่อ้ายบ้า”  ซึ่งก็คือ “รากเจตมูลเพลิงเเดง  ๑  ผักเป็ด ๑  หญ้ายองไฟ ๑  ขี้ยาฝิ่น  ๑  สุราเป็นน้ำกระสาย”
๒. แมงมุมตายซาก  แพทย์แผนไทยใช้แมงมุมที่ตายแล้วซากแห้งสนิท  ไม่เหม็นและไม่ขึ้นรา  เป็นเครื่องยาในยาไทยโบราณหลายขนาน  ดังเช่น  “ยานากพด”  ซึ่งมีบันทึกเอาไว้ในพระหนังสือปฐมจินดาร์  ดังนี้ ยาชื่อนากพด  ท่านให้เอาใบหนาด  ๑  พริกไท  ๑  เบี้ยจั่นเผา  ๑  ขิง ๑  รังสุนัขร่าเผา  ๑  แมงมุมตายซาก  ๑  ลำพัน  ๑  รวมยา  ๗  สิ่งนี้เอาเท่าเทียมกัน  บดทำแท่งไว้  แก้ทรางทั้งปวง  แก้ละอองพระบาท  แก้ตะพั้น  ทั้งรับประทานทั้งชะโลมดีนัก

Tags : สมุนไพร

44
อื่น ๆ / สัตววัตถุ เต่านา
« เมื่อ: ธันวาคม 15, 2017, 01:41:47 AM »

เต่านา
เต่าท้องทุ่ง (Asian snail – eating turyle) เป็นเต่าน้ำจืด
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Malayemys subtrijuga(Gray)
จัดอยู่ในเชื้อสาย Emydidae
เป็นเต่าขนาดกลาง ตัวโตเต็มกำลังมีกระดองยาวราว ๒๑ เซนติเมตร กว้างราว ๑๕ ซม. รวมทั้งสูงราว ๑๐ ซม. หัวค่อนข้างจะโตมากมายก่ายกองจนกระทั่งดูไม่สมตัว หัวมีลายขาวยาวๆตลอดกาลจวบจนกระทั่งข้างคอ กระดองบนมีสันตามแนวยาว ๓ สัน สีบนข้างหลังเป็นสีน้ำตาลดำ ขอบกระดองมีเกล็ด ช่วงท้ายกลมมน ไม่หยักแหลม ตัวอ่อนมีลายเกล็ดบนกระดองใต้ท้อวเป็นแถบดำคละเคล้าแดงแถบใหญ่ หากแม้เมื่อโตขึ้นจะจางหาย [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/b][/url]  แปรไปที่ขอบกระดองสีขาวๆระหว่างนิ้วมีพังผืดกางเต็ม เพศผู้อกตันคล้ายตัวเมีย แต่มีหางยาว ใหญ่กว่า เต่าชนิดนี้รับประทานลูกกุ้ง ปลา แมลง โดยเฉพาะหอย เจอได้ชุมตามทุ่งนาสระหนองทั่วๆไปในทุกภาคของประเทศ

หนังสือเรียนสรรพคุณ
ยาโบราณว่า หัวเต่ามีรสจืดชืด คาว มีคุณประโยชน์แก้ตับทรุด แก้ม้ามย้อยม้ามโต แล้วก็แก้เยี่ยวทุพพลภาพ

45
อื่น ๆ / สัตววัตถุ ไก่บ้าน
« เมื่อ: ธันวาคม 11, 2017, 07:40:38 AM »

ไก่บ้าน
ไก่บ้าน หรือไก่เลี้ยง เป็นสัตว์ ๒ ขา มีขนปกคลุมตัว แล้วก็มีปีก เป็นสัตว์เลี้ยงที่อยู่คู่กับมนุษย์มาแต่ว่าสมัยก่อน ปัจจุบันมีการพัมนาสายพันธุ์ต่างๆล้นหลาม มีทั้งๆที่เลี้ยงเพื่อรับประทานเนื้อ เรียกไก่ เนื้อ และก็ชนิดที่เลี้ยงเพื่อกินไข่ เรียกไก่ไข่
ไก่บ้าน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gallus gallus (Linnaeus)

อยู่ในตระกูล Phasianidae มีชื่อสามัญว่า domestic fowl
สมุนไพร เป็นไก่ที่มีสายพันธุ์มาจากไก่ป่า (junglefowl) ก็เลยมีลักษณะทั่วไปคล้ายไก่ป่า ข้อแตกต่างที่สังเกตได้ง่ายระหว่างไก่บ้านกับไก่ป่าก็คือ แข้งของไก่บ้านมีสีได้หลายสี ตัวอย่างเช่น สีขาว สีเหลือง แต่ว่าของไก่ป่ามีเพียงแค่สีเดียวเป็นสีเทาเข้ม

หน้า: 1 2 [3] 4 5 6