รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Topics - tawattt005

หน้า: 1 [2]
16
บัวบก
ชื่อสมุนไพร บัวบก
ชื่ออื่นๆ/ชื่อแคว้น ใบบัวบก (ภาคกึ่งกลาง) ผักหนอก จำปาเครือ (ภาคเหนือ) ปะหะ เอขาเด๊าะ (กะเหรี่ยง) แว่นโคก (อีสาน) ผักแว่น (ภาคใต้) เดียกำเช่า ฮมคัก (จีน)
ชื่อสามัญ Asiatic pennywort , Gotu kola , Indian pennywort , Woter pennywort
ชื่อวิทยาศาสตร์  Centella asiatica (Linn.) Urban.
ตระกูล  UMBELLIFERAE (APIACEAE)
ถิ่นกำเนิด  บัวบกหรือใบบัวบก มีถิ่นเกิดเดิมในทวีปแอฟริกา ถัดมาก็เลยถูกนำเข้ามาปลูกไว้ในทวีปเอเชียที่อินเดียและก็ประเทศในแถบอเมริกาใต้ อเมริกากึ่งกลาง รวมทั้งประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทวีปเอเชียเหนือ เดี๋ยวนี้ บัวบกได้แพร่ไปทั่วโลก ในประเทศเขตร้อน และก็เขตอบอุ่น ซึ่งพบว่ามีการแพร่ขยายในประเทศแถบอเมริกา ยุโรป แอฟริกา และก็เรื่อยมาจนกระทั่งทุกประเทศในเอเชีย ส่วนประเทศไทยพบบัวบกขึ้นในทุกภาคของประเทศ  ทั้งนี้บัวบกได้ถูกนำมาใช้เป็นสมุนไพรในวิถีชีวิตของคนประเทศไทยมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว ซึ่งมีการเล่าขานรวมทั้งบันทึกในตำราเรียนยาของไทยไว้หลายฉบับร่วมกัน ยิ่งกว่านั้นคนประเทศไทยยังมีการนำบัวบกมาใช้สำหรับในการเตรียมอาหารทั้งยังคาวและก็หวานอีกด้วย ที่สามารถสะท้องถึงความสนิทสนมของบัวบกกับวิธีชีวิตของคนประเทศไทยตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงเดี๋ยวนี้ได้อย่างดีเยี่ยม
ลักษณะทั่วไป บัวบก เป็นไม้ล้มลุกอายุนับเป็นเวลาหลายปี มีลำต้นเป็นไหล(stolen) เลื้อยไปตามพื้นดินหรืออยู่ข้างล่างหน้าผิวดิน ไหลมีลักษณะทรงกลม ไหลอ่อนมีสีขาว ไหลแก่มีสีน้ำตาล ขนาดราว 0.2-0.4 มิลลิเมตร ยาวได้มากกว่า 1 เมตร ไหลมีลักษณะเป็นข้อบ้อง บริเวณข้อเป็นจุดแทงออกของก้านใบ ส่วนข้างล่างของข้อมีรากแขนงแทงลึกลงดิน และก็แต่ละข้อแตกกิ่งแยกไหลไปเรื่อยทำให้ต้นบัวบกขึ้นปกคลุมพื้นที่รอบๆได้อย่างดกทึบ ใบบัวบกออกเป็นใบลำพัง และก็ออกเป็นกระจุกปริมาณหลายใบบริเวณข้อ แต่ละข้อมีใบ 2-10 ใบ ใบประกอบด้วยก้านใบที่แทงตั้งตรงจากข้อ ก้านใบสูงโดยประมาณ 10-15 เซนติเมตร มีลักษณะทรงกลม สีเขียวอ่อน ต่อมาเป็นแผ่นใบที่เชื่อมใกล้กับก้านใบบริเวณกึ่งกลางของใบ ฐานใบโค้งเว้าเข้าหากัน แผ่นใบมีทรงกลมหรือมีรูปร่างเหมือนไต ขอบใบหยัก เส้นผ่าศูนย์กลางราว 2-4 เซนติเมตร แผ่นใบด้านใบเรียบ สีเขียวสด แผ่นใบข้างล่างมีขนสั้นๆปกคลุม รวมทั้งมีสีเขียวจางกว่าข้างบน ขอบของใบหยักเป็นคลื่น  ดอกบัวบกออกเป็นช่อที่ซอกใบของข้อ ช่อดอกมีทรงช่อเหมือนร่ม อาจมีช่อผู้เดียวหรือมีราว 2-5 ช่อ แต่ละช่อมีโดยประมาณ 3-4 ดอก มีก้านช่อดอกยาวทรงกลม ขนาดเล็ก ประมาณ 0.5-5 เซนติเมตร ส่วนกลีบดอกมีสีขาว กึ่งกลางมีเกสรตัวผู้ขนาดสั้น  ผลมีขนาดเล็ก มีลักษณะกลมแบน ยาวโดยประมาณ 3 มม. เปลือกเม็ดแข็ง มีสีเขียวหรือม่วงน้ำตาล
การขยายพันธุ์ การปลูกบัวบกตอนแรกใช้วิธีปลูกด้วยเมล็ด โดยเอามาเพาะในกระบะ เมื่อต้นกล้าแข็งแรงก็ดี หรือมีอายุ 15-25 วัน จึงย้ายกล้าลงปลูกลงในแปลงแล้ว กระทำการรักษา ใส่ปุ๋ย ให้น้ำ ต่อมาได้พัฒนาเป็นการปลูกให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น ลำต้นของบัวบกที่แตกจากต้นแม่ ซึ่งจะกระทำการขุดไหลหรือลำต้นนั้นให้ติดดิน จากนั้นนำดินมาพอกที่รากให้เป็นก้อนแล้วเก็บพักไว้ภายในที่ร่ม แล้วพรมน้ำเล็กน้อย ก็เลยเก็บไว้อย่างน้อย 1 วัน พอวันที่ 2 สามารถจะนำแขนงนั้นไปปลูกได้เลย หรือถ้าหากไม่สะดวกที่จะเก็บพักไว้ก็สามารถจะขุดกิ่งก้านสาขามาแล้วปลูกโดยทันทีเลยก็ได้ สำหรับวิธีการปลูกนั้นมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
การเตรียมดิน ควรไถยกร่องเพื่อตากดินแล้วทิ้งเอาไว้โดยประมาณ 15 วัน โดยไถกระพรวนดินให้ร่วนซุยแล้วหลังจากนั้นจึงขุดแต่งให้เป็นรูปแปลง ยกร่องเป็นแปลงปลูกกว้าง 3 เมตร ระหว่างแปลงปลูกจัดเป็นร่องน้ำหรือทางเดินกว้าง 50 เซนติเมตร ลึก 15 เซนติเมตร เพื่อมีการระบายน้ำทิ้งก้าวหน้า เมื่อทำแปลงเสร็จให้ใส่สารอินทรีย์หว่านลงบนแปลงให้ทั่ว แล้วรดน้ำให้เปียกแฉะ
                การปลูก ขุดหลุมลึก 3-4 ซม. แล้วนำต้นกล้าบัวบก ปลูกหลุมละ 1 ต้น โดยให้ระยะห่างระหว่างต้นและระยะระหว่างแถว 15 x 15 เซนติเมตร ซึ่งก็จะได้บัวบกปริมาณต้นต่อไร่โดยประมาณ 70000-72000 ต้น เมื่อปลูกเสร็จแล้วให้กระทำรดน้ำให้ชุ่ม
                การใส่ปุ๋ย ควรจะใส่ปุ๋ยหนแรกภายหลังจากปลูก 15 – 20 วัน โดยให้ปุ๋ยสูตร 16-20-0 อัตรา 5 กิโลกรัมต่อไร่ การใส่ปุ๋ยครั้งลำดับที่สองจะห่างจากการใส่คราวแรก 15 – 20 วันโดยกลายเป็นให้ปุ๋ยสูตร 46-0-0 อัตรา 3 โลต่อไร่ การใส่ปุ๋ยครั้งที่สามจะห่างจาการใส่ครั้งสอง 15 – 20 วัน โดยกลายเป็นให้ปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 ในอัตรา 50  กก./ไร่ ทุกครั้งที่มีการใส่ปุ๋ยเสร็จแล้วจะต้องรดน้ำให้ชุ่ม
                การให้น้ำ สามารถให้น้ำได้ 2 แนวทางคือ ระบบไม่นิสปริงเกอร์ ซึ่งเปิดให้น้ำยามเช้าและก็เย็น ช่วงละ 10-15 นาที หากคือการใช้สายยางเดินฉีดน้ำให้รดตราบจนกระทั่งจะชุ่มเพราะว่าใบบัวบกจะเจริญเติบโตได้ดิบได้ดีเมื่อได้รับความชุ่มชื้นที่เหมาะสม
คุณค่าทางโภชนาการใบบัวบก (ใบสด 100 กรัม)
น้ำ                                                           86                                           กรัม
พลังงาน                                 54                                           กิโลแคลอรี่
โปรตีน                                                    1.8                                          กรัม
ไขมัน                                                       0.9                                          กรัม
คาร์โบไฮเดรต                                        9.6                                          กรัม
ใยอาหาร                                                2.6                                          กรัม
ขี้เถ้า                                                           1.7                                          กรัม
แคลเซียม                                               146                                         มก.
ธาตุฟอสฟอรัส                                              30                                           มิลลิกรัม
เหล็ก                                                       3.9                                          มิลลิกรัม
แอสคอบิด (วิตามิน C)                         15                                           มิลลิกรัม
ไทอะมีน (วิตามิน B1)                           0.24                                        มิลลิกรัม
ไรโบฟลาวิน (วิตามิน B2)    0.09                                        มก.
ไนอะซีน (วืตามิน B3)                           0.8                                          มิลลิกรัม
เบต้า แคโรทีน                                        2,428                                      ไมโครกรัม
วิตามิน A                                               405                                         ไมโครกรัม
ผลดี / สรรพคุณ ประโยช์จากบัวบกที่เราประสบพบเห็นจนกระทั่งคุ้นตาก็คือ การนำใบของบัวบกมาทำเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรหรือเอามาทำเป็นชาชงรวมไปถึง การนำใบแล้วก็เถาบัวบกมารับประทานเป็นผักสดกับน้ำพริกกะปิคั่ว หมี่กรอบ ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ลาบ ก้อย แกงเผ็ด ยำใบบัวบก ซุปหน่อไม้ ฯลฯ
แต่ว่าในขณะนี้มีการนำสิ่งใหม่ใหม่ๆมาดัดแปลงให้บัวบก เป็นผลิตภัณฑ์ในแบบต่างๆอีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น มีการทำสารสกัดจากใบบัวบกเพื่อนำมาใช้เป็นส่วนผสมสำหรับในการผลิตเครื่องสำอาง ใช้ทำเป็นสิ่งของปิดแผล รวมถึงเอามาผลิตเป็นสบู่ใบบัวบก ซึ่งผู้ผลิตบอกว่าช่วยรักษาสิว ทำให้ผิวหน้าขาวกระจ่างใส ผิวหน้าเต่งตึงได้ อีกทั้งยังมีการนำมาผลิตเป็นแคปซูลวางจำหน่าย ซึ่งระบุถึงสรรพคุณว่าสำหรับการช่วยทำนุบำรุงสมองเป็นหลัก (Brain tonic) ส่วนสรรพคุณทางยาของบัวบกนั้นมีดังนี้ สรรพคุณตามตำรายาไทยใช้บัวบกแก้ไข้ แก้ร้อนใน แก้ช้ำใน ใช้เป็นยาด้านนอกรักษาแผล ทำให้แผลหายเร็ว เป็นยาบำรุงแล้วก็ยาอายุวัฒนะ ช่วยเสริมสร้างความจำ บรรเทาอาการปวดหัว แก้อาการมึนหัว ช่วยทำนุบำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง ทุเลาอาการปวดตามข้อ ตามกล้าม แก้อาการท้องผูก กระตุ้นระบบขับถ่าย แก้อาการท้องอืด ของกินไม่ย่อย แก้โรคซาง แก้โรคดีซ่านในเด็ก ช่วยบำรุงตับ และไต แก้โรคตับอักเสบ ช่วยทำนุบำรุงสายตา แก้ตาพร่ามัว  เป็นยาขับเลือดเสีย แก้กระหายน้ำ ทุเลาอาการไอ อาการเจ็บคอ แก้อาการเจ็บคอ รักษาโรคหลอดลมอักเสบ รักษาอาการหืดหอบ แก้โรคลมชัก ช่วยบรรเทาอาการปวดฟัน  รักษาโรคปากเปื่อยยุ่ย ช่วยขับปัสสาวะ แก้โรคนิ่วในระบบทางเท้าเยี่ยว ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ช่วยขับประจำเดือน กระตุ้นประจำเดือนให้มาธรรมดา และแก้ลักษณะของการปวดระดู รักษาฝี ช่วยให้ฝียุบ  ส่วนทางด้านการแพทย์แผนปัจจุบันกล่าวว่า ข้อมูลจากการศึกษาวิจัยในคนพบว่าบัวบกมีฤทธิ์รักษาความไม่ดีเหมือนปกติของเส้นเลือดดำ ช่วยทำให้คลายความกลุ้มใจ รักษาแผลที่ผิวหนัง และรักษาแผลในทางเดินของกิน ช่วยสร้างเสริมและก็กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนรวมทั้งอีลาสติน มีสารต้านทานอนุมูลอิสระ ช่วยต้านทานการเสื่อมของเซลล์ต่างๆภายในร่างกาย ช่วยบำรุงประสาทรวมทั้งสมองราวกับใบแปะก๊วย ช่วยเสริมลักษณะการทำงานของกาบา (GABA) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ช่วยรักษาสมดุลของจิตใจ ก็เลยช่วยบรรเทาและก็ทำให้หลับง่ายดายมากยิ่งขึ้น  ช่วยกระตุ้นการผลิตเนื้อเยื่อใหม่ ใบบัวบกมีสารยั้งหรือชะลอการขยายตัวของเซลล์ของโรคมะเร็ง
ต้นแบบ/ขนาดวิธีใช้
แก้ไข้ แก้ร้อนใน บอบช้ำใน  จำพวกแคปซูล (โรงพยาบาล), ชนิดชง(โรงพยาบาล) จำพวกชง รับประทานทีละ 2 – 4 กรัม ชงน้ำร้อนประมาณ 120 – 200 มล. วันละ 3 ครั้ง หลังรับประทานอาหาร ประเภทแคปซูล  รับประทานครั้งละ 400 มก. วันละ 3 ครั้ง หลังรับประทานอาหาร ใช้บัวบกรักษาแมลงกัดต่อย และรักษาแผล ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข                  ให้ใช้ใบขยี้ทาแก้แมลงกัดต่อย หรือใช้ส่วนใบสด พอกที่แผลสด วันละ 2 ครั้ง   ยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ ครีมใบบัวบก  ชำระล้างแผลด้วยยาฆ่าเชื้อก่อนทาครีมที่มีสารสกัดจากบัวบกสดปริมาณร้อยละ 7 โดยน้ำหนัก  ทาบริเวณที่เป็นแผลวันละ 1 – 3 ครั้ง หรือตามหมอสั่ง ถ้าเกิดใช้แล้วไม่ดีขึ้นภายใน 2 สัปดาห์ ให้หยุดใช้   ควรที่จะเก็บครีมใบบัวบกในที่เย็น อุณหภูมิไม่เกิน 25 องศาเซลเซียส แก้อาการเยี่ยวขัดข้อง ด้วยการใช้ใบบัวบกประมาณ 50 กรัม เอามาตำแล้วพอกบริเวณสะดือ เมื่อฉี่คล่องแคล่วก็ดีค่อยคัดออก  ใช้เป็นยาห้ามเลือด ใส่แผลสด ด้วยการกางใบสดประมาณ 20 ใบเอามาล้างให้สะอาด ตำพอกแผลสด  แก้อาการฟกช้ำดำเขียว ด้วยการใช้ใบบัวบกมาตีให้แหลกแล้วนำมาโปะบริเวณที่บวมช้ำ หรือจะใช้ใบบัวบกประมาณ 40 กรัม ต้มกับเหล้าแดงโดยประมาณ 250 cc. โดยประมาณ 1 ชั่วโมงแล้วนำมาดื่ม
การเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย  สารสกัดเอทานอล (2-4) แล้วก็สารสกัดด้วยน้ำร้อน จากส่วนเหนือดิน มีฤทธิ์ยั้งเชื้อ Staphylococcus aureus (2-5), b-Streptococcus group A รวมทั้ง Pseudomonas aeruginosa สารสกัดเฮกเซน สารสกัดไดคลอโรมีเทน สารสกัดเอทิลอะซีเตท สารสกัดอีเทอร์ และสารสกัดเมทานอลจากใบ มีฤทธิ์ยั้งเชื้อ S. aureus แม้กระนั้นไม่เป็นผลต่อเชื้อ P. aeruginosa        สารสกัดจากส่วนราก ใบรวมทั้งส่วนเหนือดิน แล้วก็น้ำมันหอมระเหยจากบัวบก มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียหลายอย่าง อาทิเช่น Bacillus subtilis, Escherichia coli, Proteus vulgaris รวมทั้ง Pseudomonas cichorii  มีรายงานว่าอนุพันธ์บางจำพวกของ asiaticoside สามารถยับยั้งการเติบโตของเชื้อวัณโรคในหลอดทดลอง แล้วก็ลดร่องรอยโรคที่มีต้นเหตุมากจากเชื้อวัณโรคในตับ ปอด ปมประสาทของหนูตะเภาที่ทำให้เป็นวัณโรคได้           
ฤทธิ์ลดการอักเสบ สารสกัดเอทานอลจากใบมีฤทธิ์ลดการอักเสบอย่างอ่อนในหนูขาว โดยไปยับยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี cyclooxygenase-1 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์ prostraglandin สาร saponin ขนาด 1 ไมโครโมล จะลดการอักเสบแล้วก็อาการบวมในหนูถีบจักรที่ถูกเหนี่ยวนำให้กำเนิดอาการบวมที่หูด้วย croton oil ขี้ผึ้ง Madecassol ซึ่งมีสาร asiatic acid, madecassic acid แล้วก็ asiaticoside สามารถลดการอักเสบ เมื่อใช้ทาที่ผิวหนังหนูซึ่งเกิดการอักเสบจากการฉายรังสี ผงแห้งจากส่วนเหนือดินของบัวบก ให้คนรับประทาน สามารถลดอาการอักเสบได้
ฤทธิ์สมานแผลสารสกัด 95% เอทานอลจากใบ ขนาด 1 มล./กิโลกรัม พบว่าส่งผลเพิ่มการเติบโตของเซลล์เยื่อบุผิว เพิ่มการสร้างคอลลาเจน เมื่อให้ทางปากรวมทั้งทาที่แผลของหนูขาว สารสกัดจากบัวบก (titrated extract) ซึ่งมีสาร asiatic acid, made cassic acid รวมทั้ง asiaticoside มีฤทธิ์รักษาแผลในหนูขาว โดยจะรีบการผลิต connective tissue เพิ่มปริมาณคอลลาเจน แล้วก็กรด uronic เมื่อนำสารสกัดมาใช้ทาด้านนอกเพื่อรักษาแผลในหนูขาว พบว่าทำให้แผลหายเร็วขึ้น โดยการทำให้มีการกระจายตัวของโรคหนองในบาดแผล และแผลมีขนาดเล็กลง แต่ว่าหากใช้รับประทานจะไม่เป็นผล  ในเวลาที่รายงานบางฉบับพบว่า เมื่อให้หนูขาวรับประทานสารสกัดในขนาดวันละ 100 มก./กิโลกรัม มีผลสำหรับการรักษาแผลโดยทำให้การสร้างหนังกำพร้าเร็วขึ้น และก็บาดแผลมีขนาดเล็กลง ครีม ขี้ผึ้งและก็เจลที่มีสารสกัดน้ำจากบัวบก 5% เมื่อใช้ทาที่แผลของหนูขาว 3 ครั้ง/วัน นาน 24 วัน พบว่าส่งผลเพิ่มการเติบโตของเยื่อบุผิว เพิ่มการสร้างคอลลาเจนและเพิ่ม tensile strength ซึ่งสูตรที่อยู่ในรูปเจลจะสำเร็จดียิ่งกว่าขี้ผึ้งแล้วก็ครีม
          สาร asiaticoside มีฤทธิ์รักษาแผล เร่งการหายของแผลเมื่อทดลองในหนูขาว หนูถีบจักร และในคน เมื่อให้สาร asiaticoside ขนาด 1 มิลลิกรัม/โล ทางปากแก่หนูตะเภารวมทั้งใช้ทาที่ผิวหนังในหนูตะเภาปกติและก็หนูขาวที่เป็นโรคเบาหวานซึ่งแผลหายช้า ที่ความเข้มข้น 0.2% และก็ 0.4% เป็นลำดับ พบว่ามีผลเพิ่ม tensile strength เพิ่มปริมาณของคอลลาเจน รวมทั้งลดขนาดของแผล tincture ที่มี asiaticoside เป็นองค์ประกอบ 89.5% จะรีบการหายของแผล เมื่อใช้ทาที่แผลของหนูตะเภา
          ในการทดสอบในคน มีกล่าววว่าครีมที่มีสารสกัดอัลกอฮอล์จากบัวบกเป็นองค์ประกอบ 0.25-1% สามารถช่วยรักษาและก็สร้างผิวหนังในคนสูงอายุ ครีมที่มีสารสกัดจากบัวบก 1% สามารถรักษาแผลอักเสบแล้วก็แผลแยกหลังผ่าตัดในผู้บาดเจ็บปริมาณ 14 ราย ด้านใน 2-8 อาทิตย์ โดยพบว่าได้ผลลัพธ์ที่ดี 28.6% ผลปานกลาง 28.6% และก็ผลพอได้ 35.7% ไม่เป็นผล 1 ราย  แล้วก็รักษาแผลเรื้อรังที่เกิดขึ้นมาจากอุบัติเหตุ ในคนไข้จำนวน 22 ราย ภายใน 21 วัน พบว่าขนาดของแผลจะต่ำลง มีแผลหายสนิท 17 ราย ยังไม่หายสนิท 5 ราย  tincture ที่อยู่ในรูป aerosol ซึ่งมี asiaticoside 89.5% เมื่อใช้ฉีดที่แผลของคนเจ็บซึ่งเป็นแผลประเภทต่างๆจำนวน 20 ราย พบว่าสามารถรักษาแผลหายได้ 16 ราย (64%) แล้วก็ทำให้อาการดีขึ้น 4 ราย (16%) โดยมีลักษณะใกล้กันเป็น การไหม้ของผิวหนัง (burning sensation)  เมื่อให้ผู้ป่วยที่เป็น post-phlebitic syndrome รับประทานสารสกัด triterpenoid ในขนาด 90 มก./วัน นาน 3 อาทิตย์ พบว่าจะลดการเพิ่มปริมาณของ circulating endothelial cell
ฤทธิ์แก้ปวดสารสกัด 60% เอทานอลจากใบ ขนาด 20 มิลลิกรัม/โล  รวมถึงสารสกัด 95% เอทานอลจากทั้งต้น ขนาด 100 มิลลิกรัม/กก.  มีฤทธิ์แก้ปวดในหนูขาวและก็หนูถีบจักร แต่สารสกัด 50% เอทานอลจากอีกทั้งต้นในขนาด 125 มิลลิกรัม/กก. ไม่มีฤทธิ์แก้ปวด เมื่อฉีดเข้าท้องหนูถีบจักร
ฤทธิ์ลดไข้  สารสกัด 95% เอทานอลสามารถลดไข้ได้ 1.20F เมื่อฉีดเข้าทางท้องของหนูขาว แต่ว่าถ้าเกิดฉีดสารสกัด 50% เอทานอล ขนาด 125 มิลลิกรัม/โล เข้าท้องหนูถีบจักรจะไม่ได้เรื่อง  สารสกัดเมทานอลจากส่วนเหนือดินรวมถึงใบ ขนาด 2 กรัม/กก. ไม่มีฤทธิ์ลดอุณหภูมิของร่างกาย เมื่อทดสอบในหนูถีบจักร
ฤทธิ์ยับยั้งฮีสตามีนสารสกัดใบบัวบกด้วยแอลกอฮอล์ผสมน้ำในอัตราส่วน 1:1 ใช้ทาข้างนอกจะสามารถลดการแพ้ได้ แล้วก็ช่วยทุเลาลักษณะของการเจ็บปวด หรืออักเสบเหตุเพราะแมลงกัดต่อย
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อราสารสกัดเอทานอลจากต้น มีผลต้านเชื้อราที่ทำให้มีการเกิดโรคกลาก ตัวอย่างเช่น Trichophyton mentagrophytes  แล้วก็ T. rubrum ในตอนที่สารสกัดด้วยน้ำร้อน ไม่พบว่ามีผลต้านทานเชื้อราอีกทั้ง 2 จำพวกนี้    ส่วนน้ำมันหอมระเหยจะมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อรา Aspergillus niger, Rhizopus oryzae, Fusarium solani, Candida albicans รวมทั้ง Colletotrichum musae
รักษาแผลในกระเพาะจากการทดลองในหนูแรทพบว่า สารสกัดด้วยเอทานอล และก็สารสกัดด้วยน้ำจากทั้งยังต้นและจากนั้นก็จากใบ มีฤทธิ์รักษาแผลในกระเพาะในหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้กำเนิดแผลในกระเพาะด้วยความเครียดและก็กรดเกลือในเอทานอล  โดยจะลดขนาดของแผล เพิ่มของเส้นโลหิตขนาดเล็กในเยื่อ เพิ่มรวมทั้งผู้กระทำระจายของเซลล์ที่บริเวณแผล  ซึ่งสอดคล้องกับการทดลองในคนที่รับประทานสารสกัดจากบัวบก (Madecassol) พบว่าช่วยรักษาแผลในกระเพาะแล้วก็ไส้ได้
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา
การทดสอบความเป็นพิษ     ไม่เจอความเป็นพิษของสารสกัดด้วย 50% เอทานอล เมื่อฉีดเข้าทางท้องของหนูถีบจักร ขนาด 250 มิลลิกรัม/กิโลกรัม และก็ฉีดเข้าใต้ผิวหนังหรือให้ทางปากของหนูขาว ขนาด 10 กรัม/กิโลกรัม  สารสกัด 70% เอทานอลมีค่า LD50 พอๆกับ 675 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ในหนูขาวเพศผู้ (ไม่กำหนดขั้นตอนการให้) แม้กระนั้นมีรายงานการแพ้แล้วก็อักเสบต่อผิวหนังในคน เมื่อใช้ผงแห้ง  สารสกัดที่มีกลัยโคไซด์จากบัวบกจำนวนร้อยละ 2   สารสกัดด้วยน้ำ สารสกัดจากอีกทั้งต้นในความเข้มข้นจำนวนร้อยละ 2 แล้วก็สารสกัด Madecassol ที่ประกอบด้วย asiatic acid, madecassic acid และ asiaticoside ทาด้านนอก 
พิษต่อเซลล์ น้ำคั้นจากบัวบกเป็นพิษต่อเซลล์ สารสกัด 50% เอทานอลเป็นพิษต่อเซลล์ 9KB  สารสกัดเมทานอลแล้วก็สารสกัดอะซีโตน มีความเป็นพิษต่อเซลล์ CA-Ehrich, Dalton’s lymphoma และ L929 แต่ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ human lymphocyte สารไทรเทอร์ตะกายส์จากต้น มีความเป็นพิษต่อเซลล์ fibroblast ของคน
 ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์สารสกัดอัลกอฮอล์มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ในแบบที่ต้องการเอนไซม์จากตับกระตุ้นการออกฤทธิ์ต่อเชื้อ Salmonella typhimurium TA98, TA100  โดยมีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์แบบ frameshift เพียงแค่นั้น ไม่พบแบบ base-pair substitution สารสกัดน้ำจากส่วนเหนือดิน ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ต่อเชื้อ S. typhimurium TA98, TA100
พิษต่อระบบสืบพันธุ์ น้ำคั้นจากทั้งยังต้น ขนาด 0.5 มิลลิลิตร มีผลคุมกำเนิดในหนูถีบจักร 55.60% สารสกัดจากบัวบกขนาด 0.2 มิลลิลิตร ฉีดเข้าใต้ผิวหนังของหนูถีบจักร พบว่าไม่มีผลต่อการฝังตัวของตัวอ่อน  สาร saponin จากทั้งยังต้น ขนาด 2% ไม่เป็นผลทำลายเชื้อสเปิร์มของคน
ส่งผลให้เกิดอาการแพ้        สารสกัด 30% อีเทอร์ กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการระคายเคืองอย่างอ่อนต่อผิวหนังหนูตะเภา  ในคนมีรายงานการแพ้และอักเสบต่อผิวหนัง เมื่อใช้ผงแห้ง  สารสกัดกลัยวัวไซด์ 2% สารสกัดน้ำ สารสกัดจากทั้งยังต้น 2% (ไม่ระบุจำพวกสารสกัด) รวมทั้งสารสกัด Madecassol ที่มี asiatic acid, madecassic acid รวมทั้ง asiaticoside  oinment ที่มีบัวบกเป็นองค์ประกอบ 1% นำมาซึ่งการก่อให้เกิด acute erythemato-bullous การระคายเคืองต่อผิวหนังกำเนิดได้อีกทั้งการใช้พืชสดหรือแห้ง  อาการเคืองต่อผิวหนังของบัวบกส่งผลค่อนข้างต่ำ
ข้อเสนอ / สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวัง

  • บัวบกไม่เหมาะกับคนที่มีภาวการณ์เย็นพร่อง หรือขี้หนาว ท้องขึ้นบ่อยๆ
  • ไม่แนะนำให้ใช้ยาที่มีส่วนประกอบของบัวบกในคนที่สงสัยว่าจับไข้เลือดออกเหตุเพราะอาจบังอาการของไข้เลือดออกได้
  • พึงระวังการกางใบบัวบกร่วมกับยาที่มีผลต่อตับ ยาขับเยี่ยว และก็ยาที่ส่งผลใกล้กันทำให้ ง่วงหงาวหาวนอน เพราะอาจเสริมฤทธิ์กันได้
  • ควรระวังการใช้ร่วมกับยาที่มีแนวทางการเมแทบอลิซึมผ่าน Cytochrome P450 (CYP 450) เพราะว่าบัวบกมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ CYP 2C9 และ CYP 2C19
  • สำหรับในการทำเป็นสมุนไพรไม่ควรนำใบบักบกไปตากแดดเพื่อทำให้แห้ง เพราะจะมีผลให้สูญเสียตัวยาสมุนไพรซึ่งอยู่ในน้ำมันหอมระเหยได้ โดยให้ตากลมตากเอาไว้ในที่ร่มอากาศถ่ายเทสะดวก เมื่อแห้งแล้ว ให้เอามาใส่ขวดปิดฝาให้สนิทคุ้มครองปกป้องความชุ่มชื้น
  • การรับประทานบัวบกในจำนวนที่มากเกินไป จะมีผลให้ธาตุภายในร่างกายเสียสมดุลได้ ด้วยเหตุว่าเป็นยาเย็นจัด แต่หากกินในขนาดที่พอดิบพอดีแล้วจะไม่มีโทษต่อสุขภาพและก็ได้ประโยชน์สูงสุด
เอกสารอ้างอิง

  • อารีรัตน์ ลออปักษา สุรัตนา อำนวยผล วิเชียร จงบุญประเสริฐ. การศึกษาสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ (ตอนที่ 1).  ไทยเภสัชสาร 2531;13(1):23-35.
  • จันทรพร ทองเอกแก้ว, 2556, บัวบก : สมุนไพรมากคุณประโยชน์.
  • พิมพร ลีลาพรพิสิฐ สุมาลี พฤกษากร ไชยวัฒน์ ไชยสุต และคณะ. การพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางรักษาสิวจากน้ำหมักชีวภาพที่ได้จากพืชไทย.  การประชุมวิชาการประจำปีการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์ทางเลือกแห่งชาติ ในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 3, 30 สิงหาคม-3 กันยายน, นนทบุรี, หน้า 40.   
  • บัวบก.สมุนไพรที่มีการใช้ในสาธารณสุขมูลฐาน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • Chen YJ, Dai YS, Chen BF, et al. The effect of tetradrine and extracts of Centella asiatica on acute radiation dermatitis in rats.  Biol Pharm Bull 1999;22(7):703-6.
  • บักบก/ใบบัวบก (Gotu kola) ประโยชน์และสรรพคุณใบบัวบก.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อเกษตรกรไทย
  • วีระสิงห์ เมืองมั่น.  รายงานผลการวิจัยเรื่องการใช้ครีมบัวบกรักษาแผลอักเสบ.  การประชุมโครงการการวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาตำรับยาสมุนไพรที่ใช้ในโรงพยาบาล, กรุงเทพฯ, 30 พค. 2526.
  • กองโภชนาการ กรมอนามัย, 2544, ตารางแสดงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย. http://www.disthai.com/
  • บัวบก.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • นันทวัน บุณยะประภัศร และอรนุช โชคชัยเจริญพร,2547, สมุนไพรไม้พื้นบ้าน(2).
  • Dabral PK, Sharma RK.  Evaluation of the role of rumalaya and geriforte in chronic arthritis-a preliminary study.  Probe 1983;22(2):120-7.
  • แก้ว กังสดาลอำไพ วรรณี โรจนโพธิ์ ชนิพรรณ บุตรยี่. การประเมินฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ของสมุนไพรไทยในรูปของยาตำรับ  สามัญประจำบ้านแผนโบราณตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขและสมุนไพรบางชนิด โดยวิธีเอมส์เทสต์.  การประชุมวิชาการ  กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ครั้งที่ 3, 3-4 สิงหาคม 2533:47-9.
  • Maquart FX, Chastang F, Simeon A, Birembaut P, Gillery P, Wegrowski Y. Triterpenes from Centella asia

17

น้ำมันระกำ (Methyl Salicylate)
น้ำมันระกำเป็นอย่างไร  น้ำมันระกำ เมทิลซาลิไซเลต (Methyl salicylate หรือ Wintergreen oil หรือ Oil of wintergreen) เป็นสารอินทรีย์ในธรรมชาติเจอได้จากพืชหลายอย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งพืชในกรุ๊ปวินเทอร์กรีน (Wintergreen) รวมทั้งพืชอีกหลายประเภทที่ผลิต เมทิลซาลิไซเลต ในปริมาณน้อย อย่างเช่น

  • สปีชี่ส่วนใหญ่ของตระกูล Pyrolaceae โดยยิ่งไปกว่านั้นในสกุล Pyrola
  • บางสปีชี่ของสกุล Gaultheria ในตระกูล Ericaceae
  • บางสปีชี่ของสกุล Betula ในวงศ์ Betulaceae โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสกุลย่อย Betulenta


แต่ว่าในขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ สามารถสังเคราะห์สารเมทิลซาลิไซเลตแบบที่เจอในน้ำมันระกำได้เช่นเดียวกัน รวมทั้งถูกประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตน้ำหอม อาหาร เครื่องดื่ม และก็ยาในบ้านพวกเรา น้ำมันระกำมักถูกเอามาเป็นส่วนผสมของ ครีม ขี้ผึ้ง น้ำมันทาถูนวด สำหรับลดลักษณะของการปวดของกล้ามเนื้อและปวดข้อ ซึ่งสารเมทิลซาลิไซเลตในน้ำมันระกำมักใช้ได้ผลในด้านดีกับอาการปวดจำพวกกะทันหันไม่ร้ายแรง แต่อาการปวดจำพวกเรื้อรังจะได้ผลน้อย
สูตรเคมีและก็สูตรส่วนประกอบ น้ำมันระกำ (Methyl Salicylate) เป็นสารอินทรีย์ในสูตรโครงสร้างมีหมู่ เอสเทอร์ (Esters) วงแหวนเบนซินซึ่งสามารถกลืนรังสีอุลตร้าไวโอเลตได้ เป็นองค์ประกอบหลักแล้วก็มีชื่อทางเคมีตาม IUPACหมายถึงmetyl 2-hydroxybenzoate มีสูตรเคมี C6H4(HD)COOCH3 มีน้ำหนักโมเลกุล 152.1494g/mal มีจุดหลอมเหลวที่ -9 องศาเซลเซียส (ºC) จุดเดือดอยู่ที่ 220-224 องศาเซลเซียส  (ºC) สามารถติดไฟได้ รวมทั้งสามารถละลายได้ดีในแอลกอฮอลล์ กรดอะสิตำหนิก อีเทอร์ ส่วนในน้ำละลายได้เล็กน้อย
 
 
 
 
                สูตรองค์ประกอบทางเคมีของเมทิลซาลิไซเลท
                           ที่มา : Wikipedia                                   ที่มา : Brahmachari (2009)                                                 
 
 
แหล่งที่มา/แหล่งที่พบ น้ำมันระกำ หรือ เมทิลซาลิไซเลต ในอดีตนั้นสามารถสกัดได้จากธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่ในปัจจุบัน เมื่อแวดวงวิทยาศาสตร์เจริญขึ้น นักวิทยาศาสตร์ก็เลยสามารถสังเคราะห์ขึ้นมาได้ ซึ่งสามารถแยกที่มาของน้ำมันระกำได้คือ

  • ได้มากจากธรรมชาติ จะได้มาจากการกลั่นใบของต้นไม้ชนิดหนึ่งที่มี ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gaultheria procumbens Linn. ชื่ออังกฤษ wintergreen, Checkerberry, Teaberry Tree, อยู่ในวงศ์ ERICAEAE ลักษณะ เป็นไม้พุ่มเล็กๆแผ่ไปตามดิน ยอดจะชูขึ้นสูงโดยประมาณ10-15 ซม. มีอายุเกิน 1 ปี ใบ โดดเดี่ยวออกสลับกัน ใบสีเขียวแก่ รูปไข่ ยาว 1-2 ซม. ใบมีกลิ่นหอมสดชื่นหวานรสฝาด ดอก สีขาวเป็นรูประฆัง ยาว 5 มม. ออกที่ข้อด้านข้างใบ ผล เป็น capsule สีม่วง มีส่วนของกลีบรองกสีบดอก สีแดงสดติดอยู่ ซึ่งในใบจะมีสาร methyl Salicylate อยู่ถึง 99% เลยทีเดียว โดยพืชประเภทนี้เป็นพืชพื้นบ้านของทวีปอเมริกาเหนือและ
  • ได้มาจากการสังเคราะห์สารเคมี โดยการสร้าง น้ำมันระกำทางวิทยาศาสตร์ได้จากการสังเคราะห์สารมีชื่อทางเคมีว่า Salicylyl acetate เป็นอนุพันธ์เอสเธอร์ ของ Salicylic acid และก็ methyl salicylate โดยใช้ปฏิกิริยาคอนเดนเซซั่น ของกรดซาลิไซลิก กับ เมทานอล โดยทำให้กรดซัลฟิวริกผ่าน esterification กรด Salicylic จะละลายในเมทานอลเพิ่มกรดกำมะถันแล้วก็ความร้อน เวลาสำหรับการทำปฏิกิริยาคือ 3 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิ 90-100 ℃ เมื่อปลดปล่อยให้เย็นถึง 30 ℃ แล้วใช้น้ำมันล้างด้วยสารละลายโซเดียมคาร์บอเนตที่มีค่า pH 8 ด้านบนแล้วล้างด้วยน้ำ 1 ครั้ง น้ำ. ส่วนการกลั่นด้วยเครื่องสุญญากาศ 95-110 ℃ (1.33-2.0kPa) กลั่นให้ได้เมทิลซาลิไซเลต 80% หรือปริมาณเมทิลเซลิเซียลในอุตสาหกรรมทั่วไปเท่ากับ 99.5%
ประโยชน์รวมทั้งสรรพคุณ
ผลดีรวมทั้งสรรพคุณของน้ำมันระกำ (Methyl Salicylate) คือ ใช้เป็นยายับยั้งปวดชนิดใช้เฉพาะที่สำหรับทุเลาลักษณะของการปวดต่างๆที่ไม่ร้ายแรง เช่น ปวดข้อ ปวดกล้ามจากสภาวะตึงหรือเคล็ด ข้อต่ออักเสบ บอบช้ำ หรือปวดหลัง เป็นต้น โดยยานี้จะช่วยทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเย็นบริเวณผิวหนังในตอนแรก หลังจากนั้นจะค่อยๆอุ่นขึ้น ซึ่งช่วยเบี่ยงเบนความพึงพอใจจากการรู้สึกถึงลักษณะของการปวด ยิ่งไปกว่านี้ ยังอาจใช้รักษาโรคอื่นๆตามดุลยพินิจของแพทย์ด้วย  น้ำมันระกำมีกลไกการออกฤทธิ์ โดยตัวยาจะเป็นตัวกระตุ้นปลายประสาทที่รับความรู้สึกถึงความร้อน - อบอุ่น ทำให้ร่างกายมีการสนองตอบถึงการบรรเทาอาการปวดต่ำลง ก็เลยทำให้มีความรู้สึกถึงฤทธิ์การรักษาตามสรรพคุณ ในการศึกษาวิจัยฤทธิ์ทางเภสัชยังพบอีกว่าน้ำมันระกำสามารถปรับปรุง ต้านการปวดบวมแล้วก็อักเสบ แถมมีฤทธิ์เป็นยาชาแบบอ่อนๆรวมทั้งมี pH เป็นกรด ออกจะแรง และก็มีโมเลกุลแบบ BHA ด้วย มีฤทธิ์เป็นยาปฏิชีวนะแบบอ่อนๆทำให้ทำลายแบคทีเรียที่ผิวหน้าได้มักใช้ในอุตสาหกรรมผลิตยา แอสไพริน ซาลิโซเลต แล้วก็ยาฆ่าเชื้อ
                นอกเหนือจากนี้ยังคงใช้เมทิลซาลีไซเลตในอุตสาหกรรมอื่นๆอีกยกตัวอย่างเช่น เป็นส่วนผสมในสินค้าต่างๆดังเช่น ยาสีฟัน แป้งฝุ่น ยาหม่อง อุตสาหกรรมย้อม น้ำหอม เป็นต้น
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา รายงานทางเภสัชวิทยาของน้ำมันระกำนั้นไม่ค่อยรายงานมาก ผู้เขียนสามารถเก็บมาได้เพียงนิดหน่อยเพียงแค่นั้น เช่น กรดซาลิไซลิก มีฤทธิ์สำหรับการต้านทานเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อไวรัส ต้านสะเก็ดเงิน โดยสมุนไพรที่เจอกรดซาลิไซลิก จะพบได้ทั่วไปในพืชสกุล Salix ดังเช่นว่า สนุ่น willow ยิ่งกว่านั้นยังเจอในต้น wintergreen (Gaultheria procumbens) ที่นำมาทำน้ำมันระกำเป็นต้น แล้วก็การใช้น้ำมันระกำ(เมทิลซาลิไซเลต)ทาร่วมกับการรับประทานยาต้านทานการแข็งตัวของเลือดดังเช่นว่า Warfarin, Dicumarol สามารถทำให้เลือดออกตามร่างกายได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น โดยเหตุนี้ถ้าหากแจ้งให้หมอทราบก่อนใช้ยา หมอจะปรับขนาดรับประทานของ Warfarin และ Dicumarol ให้เหมาะสมกับผู้ป่วยเป็นกรณีๆไป

การเรียนทางพิษวิทยา
มีรายงานการเรียนความเป็นพิษเฉียบพลันในน้ำมันระกำ (Methyl Salicylate) โดยให้ทางปากแก่ตัวทดลอง พบว่าค่า LD50=1110 มก./น้ำหนักตัว (กิโล) และก็เมื่อฉีดเข้ากล้ามตัวทดลองพบว่า ค่า LD50=887 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว (โล) สารเมทิลซาลิไซเลตหรือน้ำมันระกำบริสุทธิ์จัดเป็นสารเคมีที่มีพิษ ร่างกายมนุษย์ไม่สมควรได้รับเมทิลซาลิไซเลต เกิน 101 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กก. ในปี ค.ศ. 2007 (พุทธศักราช 2550) มีรายงานของนักกีฬาที่วิ่งข้ามประเทศเสียชีวิตเหตุเพราะร่างกายของเขามีการซับเมทิลซาลิไซเลตมากเกินความจำเป็นด้วยการใช้ยาทา แก้ปวด ด้วยเหตุผลดังกล่าวควรต้องทำความเข้าใจกับคนซื้อ/คนป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ยาทาเมทิลซาลิไซเลตกับเด็กเล็กซึ่งจะมีความเสี่ยงสูงขึ้นมากยิ่งกว่าผู้ป่วยในกลุ่มอื่นๆซึ่งก่อนจะมีการเลือกใช้เภสัชภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของยานี้จำเป็นต้องขอคำแนะนำหมอหรือเภสัชกรก่อนที่จะมีการใช้ยาทุกคราว
ขนาด/จำนวนที่ควรจะใช้ น้ำมันระกำตามตลาดในบ้านเราโดยมากนั้นมักจะเห็นเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆที่มีส่วนผสมของน้ำมันระกำ หรือ เป็นส่วนผสมของยาเช็ดนวดที่ใช้ทาข้างนอกเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก็มีเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก (WHO) บอกว่าร่างกายมนุษย์ไม่สมควรได้รับเมทิลยาลิไซเลตเกิน 101 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว (โล) โดยถ้าหากใช้เป็นยาใช้ภายนอกก็บางครั้งก็อาจจะใช้ทาได้ในรอบๆที่ปวดวันละ 3-4 ครั้ง ก็คงจะพอเพียงแล้ว
ข้อเสนอ/ข้อพึงระวัง

  • เหตุเพราะน้ำมันระกำมีฤทธิ์คล้ายแอสไพรินด้วยเหตุนี้จำเป็นที่จะต้องแจ้งให้แพทย์รู้ก่อนใช้ยาถ้าหากมีประวัติแพ้ยาหรือองค์ประกอบของยาประเภทนี้ แพ้ยาแอสไพรินหรือยาในกลุ่มซาลิไซเลต แล้วก็ยาจำพวกอื่น ของกิน หรือสารอะไรก็ตาม
  • คนที่อยู่ในช่วงให้นมบุตรควรจะหลบหลีกการใช้ทาบริเวณเต้านม
  • ห้ามให้เด็กอายุต่ำลงยิ่งกว่า 12 ปี ใช้โดยมิได้หารือหมอ
  • ห้ามป้ายยานี้ในบริเวณที่เป็นแผลเปิด แผลไหม้
  • ถ้าป้ายยานี้แล้วมีลักษณะอาการแสบร้อนมากขึ้นให้ล้างออกด้วยน้ำสบู่แล้วถูเบาๆเพื่อทำความสะ อาดกำจัดยาออกไป
  • ห้ามป้ายยานี้บริเวณ ตา ของลับ โพรงปาก ด้วยเหตุว่ายาจะมีผลให้เกิดอาการระคายเคืองอย่างมากต่อเนื้อเยื่อพวกนั้น
  • หลีกเลี่ยงการใช้เพื่อสูด เพราะว่าบางทีอาจก่อการระคายเยื่อเมือกบุทางเท้าหายใจได้
  • ถ้าใช้ยาประเภทครีม เจล โลชั่น ออยล์ ขี้ผึ้ง หรือสเปรย์ ให้ทาบางๆในรอบๆที่มีอาการปวด รวมทั้งนวดเบาๆให้ยาซึมเข้าสู่ผิวหนัง
  • การใช้ยาชนิดน้ำหรือแท่ง ให้ป้ายยารอบๆที่มีลักษณะปวด จากนั้นนวดช้าๆจนกระทั่งยาซึมลงผิวหนัง
  • การใช้ยาชนิดแผ่นติด ให้ลอกแผ่นฟิล์มออก ต่อจากนั้นติดบริเวณที่มีลักษณะปวดให้แนบสนิทไปกับผิวหนัง โดยใช้วันละ 1-2 ครั้ง ตามต้องการ
ส่วนผลกระทบจากการใช้น้ำมันระกำ Methyl Salicylate
อาจจะก่อให้เป็นผลใกล้กัน เช่น ผิวระคาย แสบ แดง มีลักษณะชา รู้สึกปวดเหมือนเข็มทิ่มตามผิวหนัง เกิดภาวะภูไม่ไวเกิน เป็นต้น
อย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าเกิดเจอผลกระทบร้ายแรงจากการใช้น้ำมันระกำ (Methyl Salicylate) ดังต่อไปนี้ ควรจะหยุดใช้ยาแล้วก็ไปพบหมอทันที เป็นต้นว่า

  • มีลักษณะแพ้ยา อาทิเช่น เป็นลมพิษ หายใจติดขัด หน้าบวม ริมฝีปากบวม ลิ้นบวม คอบวม เป็นต้น
  • มีลักษณะแสบอย่างหนัก เจ็บ บวม หรือพุพองในรอบๆที่ใช้ยา แม้เจออาการดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วให้รีบล้างยาออกก่อนรวมทั้งไปพบแพทย์โดยทันที
เอกสารอ้างอิง

  • สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.สอบถามเกี่ยวกับสมุนไพร.กระดานถาม-ตอบ
  • Brahmachari, G. 2009. Natural products: chemistry, biochemistry and pharmacology. Alpha Science International Ltd, Oxford. http://www.disthai.com/
  • ต้นน้ำมันระกำมีประโยชน์อย่างไร.ไทยเกษตรศาสตร์.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • Methyt Salicylate (เมทิลซาสิไซเลต)-รายละเอียดของยา.พบแพทย์ดอทคอม(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • เมทิลซาสิไซเลต.วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • Yü-Liang Chou 1952. Floral morphology of three species of Gaultheria: Contributions from the Hull Botanical Laboratory. Botanical Gazette 114:198–221 First page free
  • Gibbons, Euell. "Stalking the Healthful Herbs." New York: David McKay Company. 1966. pg. 92.



Tags : น้ำมันระกำ

18

โรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia)
โรคธาลัสซีเมีย เป็นอย่างไร โรคโลหิตจางธาลัสซีภรรยา (thalassemia) เป็นโรคโลหิตจาง จากกรรมพันธุ์สาเหตุจากความแปลกของการสร้างฮีโมโกลบิน ทําให้สร้างน้อยลง (thalassemia) แล้วก็หรือสร้างฮีโมโกลบินแตกต่างจากปกติ (hemoglobinopathy) ได้ผลสำเร็จให้เม็ดเลือดแดงมีลักษณะเปลี่ยนไปจากปกติรวมทั้งแก่สั้น (hemolytic anemia) และแตกง่าย โรคธาลัสซีเมียมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบ autosomal กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทั้งยังพ่อและก็มารดาของผู้ที่เป็นโรคธาลัสซีเมียจะมีธาลัสซีภรรยาแอบแฝง หรือเรียกว่าเป็นพาหะของธาลัสซีภรรยา (thalassemia trait, carrier, heterozygote) หรือเป็นโรคธาลัสซีเมีย ซึ่งจะส่งผลทำให้คนป่วยเกิดอาการซีดเซียวเหลืองเรื้อรังและมีภาวะแทรกซ้อนต่างๆตามมา  ทั้งนี้โรคธาลัสซีภรรยาจัดเป็นโรคโลหิตจางทางกรรมพันธุ์ที่มักพบที่สุดในโลก สามารถพบได้ทั้งโลก แม้กระนั้นพบได้สูงในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และก็คนภายในถิ่นสมุทรเมดิเตอร์เรเนียน ในประเทศไทย ในประเทศไทย เจอคนป่วยโรคนี้ปริมาณร้อยละ 1 และก็เจอผู้เป็นพาหะของโรค หรือคนที่มียีนซ่อนเร้นราวๆร้อยละ 30-40 สุดแต่ภูมิภาค ในจังหวัดพิษณุโลกพบผู้เป็นพาหะร้อยละ 30.5
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคธาลัสซีภรรยา เกิดขึ้นจากความแปลกด้านกรรมพันธุ์ ซึ่งสามารถถ่ายทอดต่อๆกันมาจากบรรพบุรุษในลักษณะยีนด้อย (autosomal recessive) พูดอีกนัยหนึ่งคนป่วย (ผู้ที่มีอาการแสดงของโรคนี้) ต้องรับคู่ยีนที่ไม่ปกติมาจากฝ่ายพ่อและแม่ทั้งสองยีน ส่วนคนที่รับยีนไม่ปกติมาจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงแค่ฝ่ายเดียว จะไม่มีอาการป่วยด้วยโรคนี้และมีสุขภาพปกติดี แต่ว่าจะมียีนเปลี่ยนไปจากปกติซ่อนเร้นอยู่ในตัวแล้วก็สามารถถ่ายทอดไปยังลูกหลานต่อไป เรียกว่า พาหะธาลัสซีภรรยา  เนื่องจากว่าความแปลกด้านกรรมพันธุ์มีได้มากมายลักษณะ โรคนี้จึงแบ่งออกเป็น 2 กรุ๊ป เป็นต้นว่า แอลฟาทาลัสซีเมีย (alpha-thalassemia) รวมทั้งเบตาทาลัสซีเมีย (beta-thalassemia) ซึ่งเกี่ยวข้องกับความไม่ปกติของยีนในการควบคุมการผลิตโปรตีนโกลบินจำพวกแอลฟาและอนุภาคเบตาเป็นลำดับทั้ง 2 กลุ่มนี้ ยังสามารถแบ่งเป็นจำพวกย่อยๆได้อีกหลายแบบ ซึ่งมีความรุนแรงมากน้อยแตกต่างกันไป ซึ่งได้ผลสำเร็จจากการจับคู่ระหว่างยีนไม่ปกติชนิดต่างๆยกตัวอย่างเช่น หากใครกันแน่รับการถ่ายทอดสารพัดธุบาปชนิด อัลฟา - ธาลัสซีภรรยา หรือ เบต้า - ธาลัสซีภรรยา มาจากบิดาหรือมารดาเพียงแต่ฝ่ายเดียว ก็ถือว่าผู้นั้นเป็นพาหะอัลฟาธาลัสซีเมีย พาหะฮีโมโกลบินคอนแสตนสปริงค์ พาหะเบต้าธาลัสซีภรรยา หรือพาหะฮีโมโกลบินอี แต่ถ้าเกิดใครกันแน่ได้รับการถ่ายทอดสารพันธุบาปชนิด อัลฟา - ธาลัสซีเมีย หรือประเภท เบต้า - ธาลัสซีภรรยา มากจากทั้งยังพ่อและคุณแม่ ก็ถือว่าผู้นั้นเป็น
โรคธาลัสซีเมีย อาทิเช่น โรคฮีโมโกลบินเฮช โรคฮีโมโกลบินบาร์ท โรคเบต้าธาลัสซีเมีย หรือ โรคเบต้าธาลัสซีภรรยาฮีโมโกลบิน ฯลฯ
                สรุปได้ว่าเพราะเหตุว่าธาลัสซีเมียเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม จึงมีความหมายว่า บิดาหรือแม่ของคนเจ็บอาจเป็นโรคธาลัสซีเมียหรือเป็นพาหะและส่งต่อกรรมพันธุ์เหล่านี้มายังลูก ผู้ที่ได้รับกรรมพันธุ์หรือยีนจากพ่อหรือแม่เพียงแต่ฝ่ายเดียวเรียกว่าธาลัสซีภรรยาซ่อนเร้น ไม่นับว่าเป็นโรค โดยคนที่เป็นธาลัสซีภรรยาแอบแฝงจะไม่เกิดอาการอะไรก็แล้วแต่แต่สามารถเป็นพาหะและส่งต่อยีนนี้ไปสู่รุ่นต่อไปได้
โอกาสเสี่ยงที่ลูกจะเป็นโรคธาลัสซีเมียจากพันธุกรรม

  • ถ้าหากบิดาหรือแม่ฝ้ายข้างใดข้างหนึ่งเป็นพาหะของโรค ส่วนอีกข้างธรรมดาบริบูรณ์ดี จังหวะที่ลูกจะเป็นพาหะเท่ากับ 50% และก็จังหวะที่บุตรจะเป็นปกติสมบูรณ์เท่ากับ 50%
  • ถ้าเกิดอีกทั้งบิดาและแม่ต่างฝ่ายต่างเป็นพาหะของโรค โอกาสที่ลูกจะเป็นพาหะเท่ากับ 50%, ช่องทางที่ลูกจะเป็นโรคธาลัสซีเมียเท่ากับ 25% และช่องทางที่ลูกจะเป็นปกติสมบูรณ์พอๆกับ 25%
  • ถ้าเกิดพ่อหรือแม่ฝ้ายข้างใดข้างหนึ่งเป็นพาหะของโรค ส่วนอีกฝ่ายเป็นโรคธาลัสซีเมีย จังหวะที่ลูกจะเป็นพาหะพอๆกับ 50% แล้วก็จังหวะที่ลูกจะเป็นโรคธาลัสซีเมียพอๆกับ 50%
  • หากบิดาและแม่ต่างฝ่ายต่างเป็นโรคธาลัสซีภรรยา ช่องทางที่ลูกจะมีอาการป่วยด้วยโรคธาลัสซีเมียเท่ากับ 100%


นอกเหนือจากนี้ธาลัสซีภรรยาแต่ละชนิดยังปรากฏลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์อีกหลายประการ ซึ่งก่อเกิดความร้ายแรงของอาการในระดับที่แตกต่างกันอีกด้วย
ลักษณะโรคธาลัสซีเมีย
โรคทาลัสซีเมียชนิดที่รุนแรงที่สุด ดังเช่นว่า โรคฮีโมโกลบินบาร์ตไฮดรอปส์ฟีทัลลิส (haemoglobin Bart’s hydrops fetalis) เป็นผลมาจากยีนที่สร้างโกลบินประเภทแอลฟาหายไปทั้งหมด ทำให้ไม่สามารถสร้างโกลบินจำพวกแอลฟา ซึ่งเป็นโกลบินที่สำคัญที่สุดได้เลย แม้กระนั้นจะสร้างเฮโมโกลบินบาร์ตแทนทั้งผอง ซึ่งจะจับออกซิเจนไว้เอง ไม่ปล่อยให้แก่เนื้อเยื่อ ทำให้คนที่เป็นโรคนี้มีความผิดปกติตั้งแต่เป็นลูกในท้องมารดา โดยเด็กแรกเกิดมีลักษณะอาการบวมน้ำจากภาวการณ์ซีดเผือดรุนแรง ส่วนใหญ่จะเสียชีวิตตั้งแต่ในท้อง ส่วนน้อยเสียชีวิตขณะคลอดหรือข้างหลังคลอด
เพียงแค่เล็กๆน้อยๆ เด็กแรกเกิดจะมีลักษณะซีด บวม ท้องป่อง ตับแล้วก็ม้ามโต มารดาที่ตั้งท้องทารกที่เป็นโรคนี้ มักจะมีภาวการณ์ครรภ์เป็นพิษแทรกซ้อน มักจะมีการคลอดแตกต่างจากปกติ และก็แท้งลูกก่อนหลังคลอด
โรคทาลัสซีเมียที่มีอาการรุนแรงปานกลางถึงร้ายแรงมาก  ส่วนใหญ่เป็นเบตาทาลัสซีเมียประเภทโฮโมไซกัส (homozygous beta-thalassemia) และเล็กน้อยของบีตาทาลัสซีเมียประเภทเฮโมโกลบินอี (beta-thalassemia/heamoglobim E) เป็นผลมาจากความเปลี่ยนไปจากปกติของยีนที่สร้างโกลบินจำพวกบีตา ผู้ป่วยกลุ่มนี้เมื่อทารกมีลักษณะปกติ ไม่ซีด จะซีดเผือดตั้งแต่อายุ 2-3 เดือน (ในกรุ๊ปอาการรุนแรงมากมาย) หรือเมื่ออายุเป็นปีไปแล้ว (ในกรุ๊ปร้ายแรงปานกลาง) อาการสำคัญคือ ซีดเซียว เหลือง ตับโต ม้ามโต ตัวเล็กแคระ น้ำหนักน้อยไม่สมอายุ เป็นหนุ่มเป็นสาวช้า บริเวณใบหน้าแปลก (ดังที่เรียกว่า หน้าทาลัสซีเมีย) กลุ่มที่มีลักษณะร้ายแรงมากมาย แม้ไม่ได้รับการดูแลและรักษาจะแก่สั้น (50%  เสียชีวิตภายในช่วงระยะเวลา 10 ปี และก็ 70% เสียชีวิตข้างใน 25 ปี)  ส่วนกรุ๊ปที่อาการร้ายแรงปานกลางอาจมีอายุยืนยาวกระทั่งเป็นผู้ใหญ่สามารถสมรสมีลูกหลานได้
โรคทาลัสซีเมียที่มีลักษณะอาการน้อย โดยมากเป็น โรคฮีโมโกลบินเอช (haemoglobin H disease ซึ่งอยู่ในกลุ่มแอลฟาทาลัสซีเมีย) และก็นิดหน่อยของบีตาทาลัสซีเมียจำพวกมีฮีโมโกลบินอี คนป่วยมีภาวการณ์ซีดเซียวนิดหน่อยเหลืองบางส่วน ม้ามไม่โตหรือโตเพียงนิดหน่อย การเจริญเติบโตออกจะปกติ ลักษณะบริเวณใบหน้าปกติ (ไม่เป็นทาลัสซีเมีย) สุขภาพออกจะแข็งแรงและก็อายุยืนยาวดังเช่นคนปกติ
โดยธรรมดามักไม่ต้องมาเจอหมอและไม่จะต้องได้รับเลือดรักษา คนไข้จำนวนมากไม่เคยรู้ว่าตนเองเป็นโรคนี้ และก็อาจได้รับการวิเคราะห์เมื่อมาเจอหมอด้วยต้นสายปลายเหตุอื่น หรือเมื่อมีภาวะแทรกซ้อน ผู้เจ็บป่วยฮีโมโกลบินเอชบางครั้งบางคราวบางทีอาจเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกเฉียบพลัน (acute hemolysis) ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อเป็นไข้จากการติดเชื้อ ผู้ป่วยจะมีอาการซีดลงอย่างเร็วและรุนแรงจนกระทั่งจำเป็นต้องได้รับเลือด
กลุ่มบุคคลที่เสี่ยงที่จะเป็นโรคธาลัสซีเมีย ประชาชนไทยเป็นพาหะสูงถึงร้อยละ 35 ถ้าเกิดมีเครือญาติเป็นธาลัสซีภรรยา อัตราเสี่ยงที่จะเป็นพาหะจะยิ่งเยอะขึ้น ผัวเมียที่เป็นพาหะทั้งคู่อาจมีบุตรเป็นโรคธาลัสซีเมียได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้โอกาสเป็นโรคธาลัสซีภรรยา หรือพาหะธาลัสซีเมียจะมีประวัติและก็อากาต่างๆดังนี้
คนที่ได้โอกาสเป็นโรคหรือพาหะเป็น

  • ตัวซีดเผือด แล้วก็บางทีอาจตรวจพบตับม้ามโตร่วมด้วย
  • ตัวซีดเซียวลงอย่างเร็วเมื่อมีการเจ็บไข้อย่างหนัก
  • มีประวัติคนในครอบครัวตัวซีดเซียว ตับม้ามโต
  • เคยมีบุตรเป็นพาหะ หรือโรคธาลัสซีภรรยา
  • เคยมีลูกเสียชีวิตในครรภ์ด้วยเหตุว่าภาวะทารกบวมน้ำ
  • ตรวจเจอขนาดเม็ดเลือดแดงเล็กกว่าปกติ (MCV < 80 fL.)
  • ตรวจเลือด Osmotic fragility test (OF) ให้ผลบวกแล้วก็ Dichlorophenolindolphenol precipitation test (DCIP) ให้ ผลจากการบวก


           หากท่านมีข้อบ่งชี้อาการข้อใดข้อหนึ่งดังที่กล่าวมา ก็ควรตรวจวิเคราะห์ยืนยันว่าเป็นโรคหรือพาหะโรคธาลัสซีภรรยาไหม รวมถึงคู่ที่กำลังจะแต่งงาน และก็วางแผนเพื่อมีบุตรหรือกำลังมีท้องอ่อนๆก็ควรได้รับการตรวจด้วยเช่นกัน เพื่อประเมินตนเองแล้วก็โอกาสเสี่ยงต่อโรคหรือพาหะของลูกในครรภ์
กรรมวิธีการรักษาโรคธาลัสซีภรรยา การวิเคราะห์หมอจะวิเคราะห์เบื้องต้นจากเรื่องราวผู้ป่วยมีอาการซีดเผือดเหลืองมาตั้งแต่เล็ก รวมทั้งอาจพบว่ามีพ่อแม่พี่น้องประชาชนผู้ใดผู้หนึ่งเป็นโรคนี้ด้วย
นอกเหนือจากนั้น ยังจำเป็นต้องตรวจร่างกายของคนเจ็บว่าผู้ป่วยมีตับโต ม้ามโต พุงป่อง รูปร่างผอมรวมทั้งเล็กไม่สมอายุ กล้ามเนื้อลีบและก็แขนเล็ก ผิวหนังคล้ำออกเป็นสีเทาอมเขียว เค้าหน้าแปลก ดังเช่นว่า กะโหลกศีรษะนูนเป็นพู หน้าผากโหนก ตาห่าง ดั้งแบน โหนกแก้มสูง คางแล้วก็ขากรรไกรกว้าง ฟันบนยื่น ฟันไม่สบกัน ฟันเรียงหน้าผิดปกติ ดังที่เรียกว่า “หน้าทาลัสซีเมีย” ไหม อาการและก็ลักษณะทางสถานพยาบาลของผู้ป่วยเป็นข้อมูลที่สําคัญสำหรับการวินิจฉัยโรคแต่มีผู้เจ็บป่วยโรคธาลัสซีเมียบางประเภท อาการบางทีอาจไม่ร้ายแรงการตรวจทางห้องปฏิบัติการก็เลยมีความจําเป็นและก็สามารถช่วยแยกชนิดต่างๆของโรคได้ ซึ่งการตรวจทางห้องทดลอง ตัวอย่างเช่น การตรวจเลือด (complete blood count, CBC) เพื่อมองภาวการณ์ซีดค่าดัชนีเม็ดเลือดแดง (red cell indices) แล้วก็ลักษณะ เม็ดเลือดแดง (morphology) เป็นสิ่งที่ช่วยในการวินิจฉัยโรคได้เม็ดเลือดแดงบนสเมียร์เลือดของคนป่วย homozygous β-thalassemia, β-thalassemia/Hb E และ Hb H disease มีลักษณะติดสีจาง (hypochromia) ขนาดเล็ก(microcytic) รวมทั้งรูปร่างไม่ปกติ(poikilocytosis) เป็นต้น ค่าดัชนีเม็ดเลือดแดง MCV และก็ MCH มีขนาดเล็กกว่า ธรรมดาและการตรวจพบ inclusion body ในเม็ดเลือดแดง สามารถให้การวินิจฉัยโรคธาลัสซีภรรยาได้

การวิเคราะห์ธาลัสซีภรรยา (definite diagnosis) จำเป็นต้องทําโดยการตรวจพินิจพิจารณาจำพวกของฮีโมโกลบิน (Hemoglobin analysis) โดยเครื่องตรวจอัตโนมัติประเภท high performance liquid chromatography (HPLC), low -pressure liquid chromatography (LPLC), หรือ hemoglobin electrophoresis เพื่อจําแนกชนิดของโรคธาลัสซีภรรยารวมทั้งฮีโมโกลบินเปลี่ยนไปจากปกติให้แน่ๆ
การรักษาโรคโลหิตจางธาลัสซีภรรยาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค สามารถจัดตามความรุนแรงได้ดังนี้

  • โรคธาลัสซีเมียจำพวกรุนแรง (severe beta-thalassemia) คือมีระดับ baseline Hb ต่ำกว่า 7.0 g/dl


(Hct<20%) ได่แก่ β-thal/ β-thal และก็ของ β-thal/Hb E disease ส่วนน้อย มีทางเลือกในการรักษาดังนี้

  • การเปลี่ยนถ่ายไขกระดูก(stem cell transplantation)
  • การให้เลือดมากพอที่จะหยุดการสร้างเลือด (high transfusion) รวมทั้งให้ยาขับธาตุเหล็ก (iron chelation) เมื่อมีการให้เลือดหลายครั้งจนเกิดภาวะเหล็กเกิน
  • ให้เลือดแบบเกื้อกูล (low transfusion) ให้ยาขับธาตุเหล็กและก็ตัดม้ามเมื่อม้ามโตจนแทรกอวัยวะอื่นในช่องท้องหรือมีสภาวะม้ามทำงานมากเกินไป
  • โรคธาลัสซีภรรยาจำพวกรุนแรงปานกลาง (moderately severe thalassemia) เป็นมีระดับ baseline Hb ระหว่าง 7-9 g/dl (Hct 20- 27 %) ดังเช่นผู้เจ็บป่วย β-thal/ Hb E จำนวนมาก, คนไข้ β-thal/ β-thal บางราย และ Hb H diseaseบางราย มีทางเลือกสำหรับการรักษา ดังต่อไปนี้
  • ให้เลือดมากพอที่จะระงับการสร้างเลือดแล้วก็ให้ยาขับธาตุเหล็ก (high transfusion + iron chelation)
  • ใหเลือดแบบจุนเจือ (low transfusion) หรือเมื่อมี acute hemolysis รวมทั้งการตัดม้ามเมื่อมีลักษณะตามข้อ 1
  • โรคธาลัสซีภรรยาชนิดร้ายแรงน้อย (mild thalassemia) มีระดับ baseline Hb > 9 g/dl (Hct > 27 %) เป็นต้นว่า Hb H disease จำนวนมาก Hb A-E-Bart’s disease, Homozygous Hb CS,  β-thal/ Hb E ควรให้การรักษาโดยให้เลือดต่อเมื่อมีacute hemolysis อย่างเช่น ซีดเซียวมากมายเนื่องตกมีเม็ดเลือดแดงแตกเฉียบพลัน ซึ่งพบได้ทั่วไปเมื่อมีการติดเชื้อ
  • โรคธาลัสซีเมียจำพวกไม่มีอาการหรือธาลัสซีภรรยาแฝง (Asymptomatic) เป็นต้นว่า Homozygous α-thal 2, Homozygous Hb E, และธาลัสซีภรรยาซ่อนเร้น ไม่จําเป็นจะต้องตรวจรักษาเป็นพิเศษ ไม่จําเป็นจะต้องได้ทานยา ควรได้รับคําแนะนําปรึกษาด้านพันธุศาสตร์ ควรจะได้รับการตรวจสุขภาพตามระบบปกติ


การติดต่อของโรคธาลัสซีภรรยา เนื่องจากโรคธาลัสซีเมียเป็นโรคโบหิตจางที่เกิดขึ้นมาจากการถ่ายทอดทางประเภทบาปหรือกรรมพันธุ์ซึ่งไม่มีการติดต่อของโรคนี้ จากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนอะไร
การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคธาลัสซีภรรยา คนที่ตรวจเจอว่าเป็นพาหะโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย สามารถดำเนินชีวิตเหมือนคนธรรมดา ไม่มีความจำเป็นที่ต้องรับประทานยาอะไรก็ตามแต่ว่าผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีภรรยาจะมีลักษณะอาการของโรคแตกต่าง บางบุคคลตัวซีดเซียวมากมาย ตับม้ามโตมาก บางครั้งก็อาจจะจำเป็นต้องได้รับการให้เลือดรวมทั้งยาขับธาตุเหล็กส่วนเกินออกมาจากร่างกายเป็นระยะๆหรือผ่าตัดม้ามออกเพื่อลดการทำลายเม็ดเลือดแดง ส่วนบางบุคคลจะมีอาการซีดเซียวไม่มากมาย จะรักษาตามอาการ สามารถให้รับประทานกรดโฟลิก แต่ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ยาบำรุงเลือด (ธาตุเหล็ก) เนื่องมาจากมีธาตุเหล็กใน ร่างกายเกินปกติอยู่แล้ว ส่วนการปฏิบัติตนของผู้ป่วยรวมทั้งการดูแลผู้เจ็บป่วยโรคธาลัสซีภรรยาควรปฏิบัติอย่างแม่นยำ แล้วก็เหมาะสมกับภาวะลักษณะโรคดังต่อไปนี้

  • รักษาความสะอาดของร่างกาย ปาก ฟัน เพราะผู้ป่วยจะมีร่างกายอ่อนแอติดโรคได้ง่าย และควรจะไปตรวจฟันกับทันตแพทย์ ทุก 6 เดือน เพราะว่าฟันจะผุง่ายดายยิ่งกว่าคนธรรมดา
  • ไปพบหมอตามนัดหมายทุกหน ปฏิบัติตามที่แพทย์เสนอแนะ หากมีคำถามควรจะขอคำแนะนำแพทย์
  • ไม่ควรแปลงสถานที่รักษาบ่อยๆเพราะว่าจะมีผลให้การรักษาไม่ตลอด
  • เมื่อเป็นไข้ ควรจะเช็ดตัวลดไข้ รวมทั้งให้กินน้ำมากๆถ้าไข้สูงมากมายควรจะกินยาลดไข้พาราเซตามอลรวมทั้งรีบไปพบแพทย์แม้จะไม่ใช่วันนัด เพราะเหตุว่าไข้อาจเกิดจากการต่อว่าดเชื้อ ซึ่งจะทำให้ซีดเซียวลงมากหรือก่อปัญหารุนแรงได้
  • คุ้มครองอุบัติเหตุที่จะทำให้เสียเลือด หรือกระดูกหัก เพราะผู้เป็นโรคธาลัสซีเมียมีสภาวะซีดเผือดและกระดูกจะเปราะหักง่าย ควรจะบริหารร่างกายตามสมควรกับสภาพร่างกาย รวมทั้งควรจะระวังการเช็ดกกระแทกที่บริเวณท้องด้วยเหตุว่าจะเกิดอันตรายต่อตับแล้วก็ม้ามที่โตได้
  • ควรพักอย่างเพียงพอ ในภาวะป่วยไข้ควรดูแลให้ได้พักผ่อนมากกว่าเดิม
  • ไม่ควรซื้อยาบำรุงเลือดมากินเอง ด้วยเหตุว่าบางทีอาจเป็นยาที่มีธาตุเหล็กซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็ก แม้กระนั้นเป็นโทษต่อผู้ป่วยทาลัสซีเมียที่มีภาวะเหล็กเกินอยู่แล้ว
  • ไม่สมควรกินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ดังเช่น เลือดหมูเลือดไก่ เครื่องในสัตว์ตับ
  • กินยาเสริมโฟเลท วันละ 1 เม็ด เพราะโฟเลทเป็นสารที่จําเป็นสำหรับเพื่อการสร้างเม็ดเลือดแดง ด้วยเหตุว่าร่างกายมีการสร้างเม็ดเลือดแดงมากยิ่งกว่าธรรมดาเพื่อมาทดแทนเม็ดเลือดแดงที่อายุสั้นลง
  • เลี่ยงการทำงานหนัก หรือการเล่นกีฬาที่รุนแรง


o             ให้ความรักเอาใจใส่ ให้กำลังใจ เพราะเหตุว่าโรคนี้เป็นโรคเรื้อรัง ควรผลักดันให้คนป่วยได้ดำรงชีพตามธรรมดา ไม่หดหู่ต่อการเจ็บป่วย
o             กินอาหารให้ครบ ๕ กลุ่ม มีโปรตีนสูง (เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ เต้าหู้ ถั่วต่างๆ) และมีสารโฟเลตสูง (พืชผักต่างๆ) เพื่อใช้สำหรับในการสร้างเม็ดเลือดแดงโดย
อาหารที่เหมาะสมสำหรับคนป่วยโรคธาลัสซีภรรยามีลักษณะดังต่อไปนี้ คนเจ็บโรคธาลัสซีภรรยาโดยปกติมักจะมีการเติบโตของร่างกายน้อยกว่าธรรมดา มีภูมิคุ้มกันต่ำและความหนาแน่นของมวลกระดูกน้อย ด้วยเหตุนั้นอาหารที่เหมาะสมกับคนป่วยธาลัสซีเมีย เป็นของกินที่มีโปรตีนสูง ยกตัวอย่างเช่น เนื้อปลาสมุทร เนื้อไก่ ธัญพืชต่างๆเป็นต้นว่า ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ข้าวซ้อมมือ ข้าวบาเลย์ เป็นต้น อาหารทีมีกรดโฟลิก (Folic acid) สูง เพื่อช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง ดังเช่น ตำลึง กะหล่ำ มะเขือเทศ คะน้า ถั่วงอก เป็นต้น ของกินที่มีแคลเซียม แมกนีเซียม รวมทั้งวิตามินดีสูงเพื่อคุ้มครองภาวะกระดูกพรุน ได้แก่ สินค้านม ใบย่านาง ใบชะพลู ใบแค ใบยอ ผักโขม ใบสะระแหน่ ผักหวาน ฟักอ่อน ใบตำลึง ผักกวางตุ้ง ผลไม้ ได้แก่ ส้มเขียวหวาน มะขามหวาน มะม่วงแก้วสุก ยิ่งไปกว่านี้ควรกินอาหารที่มีวิตามินเอ วิตามินอีแล้วก็วิตามินซีสูง เพื่อช่วยลดภาวการณ์การเกิดอนุมูลอิสระภายในร่างกายจากการที่เม็ดเลือดแดงแตกง่าย อาทิเช่น มะละกอ ฟักทอง เสาวรส ฝรั่ง มะยม ผักหวาน เป็นต้น
การคุ้มครองตัวเองจากโรคธาลัสซีภรรยา โรคโลหิตจางธาลัสซีเมียเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม วิธีคุ้มครองปกป้องที่เหมาะสมที่สุดคือ

  • หารือหมอเพื่อตรวจเลือดก่อนสมรส หรืออย่างช้าก่อนมีบุตร ว่าตนเป็นพาหะหรือเปล่า
  • สำหรับคนที่เป็นพาหะที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการมีบุตรเป็นโรคทาลัสซีเมียร้ายแรง ควรชี้แนะทางเลือกในการปกป้องไม่ให้มีบุตรเป็นโรคนี้ ดังนี้ ผู้ที่ยังไม่ได้แต่งงาน ช่องทางคือ เลือกคู่แต่งงานที่ไม่เป็นพาหะมีโอกาสเสี่ยงต่อการมีบุตรเป็นโรคนี้ ถ้าเกิดคู่ครองเป็นพาหะร่วมกันและเสี่ยงต่อการมีลูกเป็นโรคนี้ ลู่ทางคือ การคุมกำเนิดไม่ให้มีลูก การรับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยง ใช้การผสมเทียม หรือเทคโนโลยีการเจริญวัยอื่นๆ
  • ฝากครรภ์ทันทีที่ทราบดีว่าตั้งครรภ์ เพื่อหมอจะได้ตรวจวิเคราะห์ลูกในท้องว่าธรรมดาหรือเปล่า
  • ควรจะแนะนำให้พี่น้อง ลูกพี่ลูกน้อง ไปตรวจเลือด โดยวิธีพิเศษว่าเป็นพาหะไหม รวมทั้งขอคำแนะนำแพทย์ก่อนแต่งงาน เพื่อวางแผนครอบครัวอย่างเหมาะสมต่อไป
  • รณรงค์ให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องทาลัสซีเมียแก่ประชากร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชายหญิงวัยเจริญพันธุ์


สมุนไพรที่สามารถรักษา/ทุเลาอาการของโรคธาลัสซีเมีย โรคธาลัสซีเมียเป็นโรคที่มีภาวะเลือดจากเรื้อรังจากความไม่ปกติทางกรรมพันธุ์ ซึ่ง ณ.ตอนนี้ไม่มีรายงานว่ามีสมุนไพรชนิดใดที่ใช้รักษาโรคธาลัสซีภรรยาที่เห็นผลอย่างเป็นจริงเป็นจัง แต่ว่ามีรายงานการค้นคว้าวิจัยแล้วก็ทดลองที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ขมิ้นชัน กับโรคธาลัสซีเมีย ดังนี้
ในการทดสอบทางสถานพยาบาลของขมิ้นชัน ในคนเจ็บธาลัสซีภรรยา เริ่มจาก จากคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ได้ทดสอบให้ผู้เจ็บป่วยเบต้าธาลัสซีภรรยา/ ฮีโมโกลบินอีรับประทานแคปซูลสารสกัดขมิ้นชัน วันละ 2 แคปซูล ติดต่อกัน นาน 3 เดือน พบว่าช่วยลดภาวะที่มีอนุมูลอิสระสูง(oxidative stress) ลงได้แล้วก็มีอีกการทดสอบสำนักงานทดสอบจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงแขนณ์มหาวิทยาลัย พบว่าเมื่อให้แคปซูลสารสกัดขมิ้นชันวันละ 2 แคปซูลแก่คนป่วยธาลัสซีเมียเด็กจำพวกเบต้าธาลัสซีเมีย/ฮีโมโกลบินอี พบว่าคนไข้ 5 คนใน 8 คน มีอายุของเม็ดเลือดแดงนานขึ้น ซึ่งสำหรับในการทดลองทั้งสองครั้งไม่พบอาการใกล้กันใดๆก็ตามที่เกิดขึ้นจากแคปซูลสารสกัดขมิ้นชัน นอกเหนือจากนี้ผลวิจัยในหลอดทดลองของแผนกแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แสดงให้เห็นว่าเคอร์คูไม่นอยด์สามารถลดระดับของเหล็กรูปที่ไม่ได้จับกับทรานสิเฟอร์ริน (non-transferrin bound iron, NTBI) ในพลาสม่าของผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียประเภทเบต้าธาลัสซีเมีย แล้วก็ยังเสริมฤทธิ์ของยาขับเหล็กในการลดเหล็กรูป NTBI ได้อีกด้วยและก็ตอนนี้ยังมีการทำการศึกษาเรียนรู้ทางคลินิกประเด็นการใช้แคปซูลสารสกัดขมิ้นชันในผู้เจ็บป่วยธาลัสซีเมีย อีกหลายโรงพยาบาล  ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสมุนไพรนี้ จะได้รับการศึกษาค้นคว้าวิจัยต่อยอดให้เป็นสมุนไพรที่ใช้ป้องกัน/รักษาโรคธาลัสซีเมียได้อย่างมีประสิทธิภาพถัดไป
เอกสารอ้างอิง

  • แนวทางการวินิจฉัยและการรักษาโรคโลหิตจากธาลัสซีเมีย พ.ศ.2549.มูลนิธิโรคโลหิตจากธาลัสซีเมียแห่งประเทศไทย.แก้ไขครั้งที่2/7 กันยายน 2548.หน้า1-16
  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.ทาลัสซีเมีย.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่397.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.พฤษภาคม.2555
  • ผศ.นพ.อนุวัฒน์ สุตัณฑวิบูลย์.เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับโรคธาลัสซีเมีย.ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา.คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Fung EB, Xu Y, Trachtenberg F, Odame I, Kwiatkowski JL, Neufeld EJ, et al. Inadequate dietary intake in patients with thalassemia. Journal of the Academy of Nutrition and Dietetics. 2012;112(7):980-90.
  • Fung EB, Xu Y, Trachtenberg F, Odame I, Kwiatkowski JL, Neufeld EJ, et al. Inadequate dietary intake in patients with thalassemia. Journal of the Academy of Nutrition and Dietetics. 2012;112(7):980-90.
  • Fung EB, Xu Y, Trachtenberg F, Odame I, Kwiatkowski JL, Neufeld EJ, et al. Inadequate dietary intake in patients with thalassemia. Journal of the Academy of Nutrition and Dietetics. 2012;112(7):980-90.
  • Fung EB, Xu Y, Trachtenberg F, Odame I, Kwiatkowski JL, Neufeld EJ, et al. Inadequate dietary intake in patients with thalassemia. Journal of the Academy of Nutrition and Dietetics. 2012;112(7):980-90.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป “ทาลัสซีเมีย (Thalassemia)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 728-734.
  • พีระพล วอง.ความรู้เกี่ยวกับโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย:ข้อแตกต่างระหว่าคนที่เป็นพาหนะและคนที่เป็นโรค.กรกฎาคม.2548
  • ธาลัสซีเมีย-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://www.disthai.com/
  • ศ.เกียรติคุณ พญ.วรวรรณ ตันไพจิตร.โรคธาลัสซีเมีย.สาขาวิชาโลหิตวิทยา ภาควิชา กุมารเวชศาสตร์.คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป “ทาลัสซีเมีย (Thalassemia)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 728-734.
  • พีระพล วอง, พิริยา ถนอมรัตน์, สุชิลา ศรีทิพยวรรณ, ประวิทย์เตติวัฒน, แน่งน้อย เจิมนิ่ม, หนึ่งฤทัย นิ่มนุช, สุขุมาล นิยมธรรม, ต่อพงศ์สงวนเสริมศรี. ความชุกของธาลัสซีเมียเทรตจากการตรวจคัดกรองใน หญิงตั้งครรภ์ของจังหวัดพิษณุโลก. วารสารโลหิตวิทยาและเวชศาสตร์บริการโลหิต 2547; 14 (3): 181-6.
  • Fung EB. Nutritional deficiencies in patients with thalassemia. Annals of the New York Academy of Sciences. 2010;1202:188-96.


ดร.ชฎก พิศาลพงศ์.แคปซูลสารสกัดขมิ้นชัน.มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแห่งประเทศไทย.

19

สมุนไพรฟันปลา
ฟันปลา Litsea umbellate Merr.
บางถิ่นเรียกว่า ฟันปลา เสียใจ (ปราจีนบุรี) เมนตรือ (เขมร-จันทบุรี) สะเตื้อ (จังหวัดตราด)
       ต้นไม้ ขนาดเล็ก หรือไม้พุ่ม สูง 3-10 มัธยม ตามกิ่งมีขนสีน้ำตาล ใบ เดี่ยวออกเรียงสลับ หรือเรียงเวียนห่างๆรูปรี หรือ มีขนาดค่อนข้างจะเล็ก กว้าง 4-10 ซม. ยาว 7.5-23 เซนติเมตร ปลายใบแหลม หรือมน โคนใบแหลมขอบใบเรียบ หรือเป็นคลื่นเล็กน้อย ข้างบนสีเขียวเข้มเป็นมัน มีขนเฉพาะตามเส้นกลางใบและก็เส้นกิ้งก้านใบ ข้างล่างเป็นรอยเปื้อนขาว มีขน เส้นใบมี 6-10 คู่ ข้างล่างแลเห็นชัดกว่าด้านบน ก้านใบยาว 6-12 มิลลิเมตร มี ดอก ออกเป็นช่อ เป็นกระจุกตามง่ามใบ ก้านช่อยาว 2-5 มิลลิเมตร ช่อดอกมีขนปกคลุมหนาแน่น [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/url] กลีบรวมเชื่อมชิดกันเป็นรูปถ้วย ปลายแยกเป็น 4-6 กลีบ ทั้งถ้วยแล้วก็กลีบติดทนจนกระทั่งได้ผล ผล รูปไข่หรือค่อนข้างกลม ปลายมีติ่งแหลม โคนมีชั้นของกลีบรวมรองรับอยู่ ขอบกลีบรวมมีขน

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นในป่าดิบ พบทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ และก็ทางภาคใต้ของไทย
คุณประโยชน์ : ต้น เปลือกต้นพบ alkaloid ใบ ตำเป็นยาพอกฝี

20

โรคมือเท้าปาก  (Hand Foot and Mouth  disease – HFMD)
โรคมือเท้าปาก เป็นยังไง โรคมือ-เท้า-ปาก ไม่สบายเป็นผื่นที่ต่อเนื่องกันง่าย แต่มักไม่รุนแรงแล้วก็หายได้เองเป็นส่วนใหญ่ ส่วนน้อยที่อาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ซึ่งโรค มือเท้าปาก เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในเด็กเล็ก โดยเฉพาะตอนหน้าฝน มักเกิดจากไวรัสกรุ๊ป Enterovirus  แม้กระนั้นในแถบร้อนชื้น พบได้มากได้ตลอดปีโดยส่วนมากแล้ว มักพบในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีแต่ว่าอาจเจอในเด็กอายุมากกว่านี้ก็ได้ และก็แม้มีการกำเนิดโรคในสถานเลี้ยงเด็กหรือในโรงเรียนสำหรับสอนเด็กอนุบาล ก็จะพบผู้เจ็บป่วยเยอะมากๆขึ้นเพราะว่าโรคนี้ระบาดได้ง่าย
                อนึ่งโรคนี้เป็นโรคคนละชนิดกับโรคปากยุ่ยเท้ายุ่ยที่เจอได้ในสัตว์กีบคู่ ซึ่งโดยทั่วไปจะไม่ติดต่อมาสู่คน นอกจากในกรณีที่คนไปสัมผัสคลุกคลีอยู่กับสัตว์ที่ป่วยหรือผู้ที่ปฏิบัติงานในห้องทดลองเกี่ยวกับโรคในสัตว์กลุ่มนี้ ที่อาจมีรายงานการติดเชื้อได้บ้าง
                ในความเป็นจริงแล้ว โรคมือ เท้า ปาก ว่าไม่ใช่โรคใหม่ แต่รู้จักกันมานานมากกว่า 50 ปีแล้ว  โดยมีประวัติภูมิหลังของโรค ดังนี้

  • พ.ศ. 2500 มีรายงานการระบาดของกรุ๊ปลักษณะของการมีไข้ซึ่งพบร่วมกับตุ่มน้ำใสในโพรงปาก มือแล้วก็เท้าในคนเจ็บเด็กที่เมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา โดยพบสาเหตุจากเชื้อ Coxsackie virus A16(Cox A16)1
  • พุทธศักราช 2502 พบการระบาดของกรุ๊ปอาการด้วยเหมือนกันในเมือง Bermingham ประเทศอังกฤษ แล้วก็ได้มีการเรียกกรุ๊ปอาการนี้ว่า Hand-Foot-and Mouth Disease (HFMD)


ต่อจากนั้นก็มีรายงานการระบาดจากประเทศต่างๆทั่วโลก ซึ่งเชื้อไวรัสที่นำไปสู่กรุ๊ปอาการมือ เท้า ปาก มิได้เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากไวรัสชนิดเดียวแต่มีมากกว่า 10 สายพันธุ์
สำหรับเพื่อการระบาดใหญ่ของกลุ่มอาการของโรคมือ เท้า ปาก พบว่ามีรายงานตั้งแต่ พ.ศ.2540-2555 มีดังนี้

  • พ.ศ.2540 มาเลเซีย (เสียชีวิต 31 ราย) พ.ศ.2541 ไต้หวัน (ผู้เจ็บป่วย 1.5 ล้านราย เสียชีวิต 78 ราย)
  • พ.ศ.2550 ประเทศอินเดีย (คนป่วย 38 ราย) และก็ พ.ศ.2551 อินเดีย (คนเจ็บ 25,000 ราย เสียชีวิต 42 ราย) สิงคโปร์ (คนไข้มากกว่า 2,600 ราย) เวียดนาม (คนป่วย 2,300 ราย เสียชีวิต 11 ราย) ดูโกเลีย (คนเจ็บ 2,600 ราย) แล้วก็บรูไน (คนป่วย 1,053 ราย)
  • พ.ศ.2552 จีน (คนป่วย 115,000 ราย เสียชีวิต 85 ราย) แล้วก็ พ.ศ.2553 จีน (ผู้ป่วย 1.6 ล้านราย เสียชีวิต 537 ราย)
  • พ.ศ.2554 เวียดนาม (คนป่วย 42,000 ราย เสียชีวิต 98 ราย) รวมทั้งจีน (ผู้ป่วย 1.3 ล้านราย เสียชีวิต 437 ราย)
  • พุทธศักราช2555 เขมร (เสียชีวิต 52 ราย) จีน (คนเจ็บ 460,000 ราย เสียชีวิต 112 ราย) ไทย (คนเจ็บ 168,60 ราย เสียชีวิต 1 ราย)


สำหรับเหตุการณ์โรคมือเท้าปากในประเทศไทย อ้างอิงข้อมูลจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ในปี 2558 มีคนเจ็บทั้งปวง 40,417 ราย คิดเป็นอัตราส่วน 62.21 ต่อพลเมือง 1 แสนคน และก็มีคนป่วยเสียชีวิต 3 ราย ส่วนในปี 2559 ข้อมูลปัจจุบัน ณ วันที่ 28 เดือนมีนาคม 2559 มีผู้ป่วย 8,973 ราย คิดเป็นอัตราส่วน 13.78 ต่อประชากร 1 แสนคน และยังไม่มีคนเสียชีวิต
ตั้งแต่เริ่มมีการตรวจเจอเชื้อ EV71 ในผู้ป่วยโรค HFMD ในปี2541 ในประเทศไทยก็เริ่มมีการเฝ้าระวังรายงานแล้วก็สืบสวนคนป่วยสงสัยติดโรค EV71 รวมทั้งคุ้มครองปกป้องควบคุมโรคจากนั้นเป็นต้นมา พบว่าผู้ป่วยส่วนมากเป็นเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปีรวมทั้งราวกึ่งหนึ่งติดโรค EV71 ที่มีลักษณะอาการไม่ร้ายแรง
ส่วนในด้านรายงานการแพร่ระบาดของโรคมือเท้าปากจากสำนักระบาดวิทยา พบว่า ตั้งแต่วันที่ 1 เดือนมกราคม ถึง 1 เมษายน 2559 มีการระบาดเป็นกลุ่มก้อนทั้งยังตามสถานที่เรียนแล้วก็ในชุมชน 8 เรื่อง จากปริมาณคนเจ็บ 22 ราย ดังนี้ ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ชี้แนะให้โรงเรียนทำตามมาตรการที่กรมควบคุมโรคระบุ เพื่อปกป้องการเกิดโรครวมทั้งการแพร่ระบาดของโรค
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคมือเท้าปาก โรคมือเท้าปากมีเหตุมาจากการติดเชื้อกรุ๊ปไวรัสเอนเทอโร (Enterovirus) ซึ่งมีอยู่ด้วยกันมากมายสาย เป็นต้นว่า ค็อกแซคกีเอและบี (Coxsackie A, B), เชื้อไวรัสเอนเทอโรชนิด 71 (Enterovirus 71 – EV71) ต้นสายปลายเหตุที่พบได้ทั่วไปที่สุดก็คือการระบาดจากการติดเชื้อไวรัสค็อกแซคกีเอชนิด 16 (Coxsackievirus A 16) ซึ่งอาการชอบไม่รุนแรง และก็คนเจ็บชอบหายได้เองเป็นส่วนใหญ่ ส่วนสาเหตุที่พบได้น้อยและมีลักษณะอาการรุนแรง คือ การติดเชื้อไวรัสเอนเทอโรจำพวก 71 ซึ่งอาจจะทำให้คนป่วยเกิดภาวะแทรกร้ายแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ นอกเหนือจากนั้นโรคมือเท้าปากยังอาจกำเนิดได้จากเชื้อไวรัสค็อกแซคกีเอชนิด 5, 7, 9, 10 และเชื้อไวรัสค็อกแซคกีบีประเภท 2 และ 5 ได้บ้าง
                ซึ่งโรคนี้โดยมากชอบต่อเนื่องกันที่เกิดขึ้นจากด้านการกินอาหาร น้ำกิน การดูดเลียนิ้วมือ หรือของเล่นเด็กที่ปนเปื้อนเชื้อที่ออกมากับอุจจาระ น้ำเหลืองจากตุ่มน้ำที่ผิวหนัง หรือละอองน้ำมูก น้ำลายของคนเจ็บ ส่วนน้อยที่ติดต่อโดยการดมเอาฝอยละอองน้ำมูก น้ำลายที่คนเจ็บไอหรือจามรด  ซึ่งเมื่อเชื้อไปสู่ร่างกายแล้ว ประมาณ 3-6 วัน ผู้ป่วยจึงจะมีอาการ
ลักษณะของโรคมือเท้าปาก  ภายหลังจากติดเชื้อ 3-7 วัน ผู้เจ็บป่วยจะเริ่มแสดงอาการเริ่ม คือ เป็นไข้ตํ่าๆโดยประมาณ 38-39o C และก็มีลักษณะอาการปวดเหมื่อยตามตัวเวลานี้จะมีช่วงเวลา ราวๆ 1-2 วัน แล้วต่อจากนั้นจะเริ่มมีลักษณะอาการเจ็บปาก ตรวจร่างกายจะเจอมีรอยโรคในรอบๆปาก มือและเท้าได้ดังนี้

  • รอยโรครอบๆปาก พบในคนไข้ปริมาณร้อยละ 100 มีรอยโรคจํานวน 5-10 แห้ง เจอได้ทุกรอบๆในปากแต่ที่พบบ่อยหมายถึงเพดานปาก ลิ้น รวมทั้งเยื่อบุกระพุ้งแก้ม รอยโรคระยะเริ่มต้น ลักษณะเป็นรอยสีแดงบางทีอาจนูนเล็กน้อยขนาด 2-8 มม.แล้วต่อจากนั้นจะเปลี่ยนเป็นตุ่มนํ้าสีเทาขนาดเล็กขอบแดงตอนที่รอยโรคเป็นตุ่มนํ้าจะสั้น ก็เลยมักตรวจไม่เจอ  รอยโรคในเวลานี้แต่ก็พบบ่อยลักษณะเป็นแผลตื้นๆสีเหลืองถึงเทาของแดงซึ่งบางครั้งอาจจะมารวมกันเป็นรอยโรคใหญ่ได้


ปริมาณร้อยละ 80 ของคนป่วยลักษณะของการเจ็บปากจะไม่รุนแรงและก็หายได้เองโดยไม่ต้องรักษาข้างใน 5-10 วัน

  • รอยโรคที่ผิวหนัง


อาจเกิดขึ้นพร้อมรอยโรคที่ปาก หรือหลังจากนั้นนิดหน่อยจํานวนตั้งแต่ 2-3 แห้งไปจนกระทั่ง 100 แห่ง เจอ ที่มือหลายครั้งกว่าเท่า ลักษณะเป็นรอยแดงๆบางทีอาจนูนน้อยขนาด 2-10 มิลลิเมตร กึ่งกลางสีเทา บางรอยโรคมี ลักษณะเป็นตุ่มนํ้าใสขอบแดง มีกระจายขนานไปกับแนวของผิวหนังอาจเจ็บหรือไม่ก็ได้หลังจากนั้น 2-3 วัน จะ เริ่มตกสะเก็ด แล้วก็ค่อยๆหายไปด้านใน 7-10 วัน โดยไม่มีรอยแผลเป็นหลงเหลือ
บริเวณอื่นๆที่บางทีอาจพบรอยโรคได้เหมือนกันเป็นก้น แขน ขา และก็อวัยวะสืบพันธุ์ในเด็กแรกเกิดบางทีอาจเจอ กระจายทั่วตัวได้
โดยปกติโรคมือเท้า ปากตลาดว่ามีลักษณะน้อยส่วนมากมักมีเพียงแต่ไข้ครั่นเนื้อครั่นตัวและเจ็บปาก แต่ว่า ในคนไข้บางรายอาจพบภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการตำหนิดเชื้อ enterovirus 71 ปัจจัยเสี่ยงต่อ การพบภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เป็น

  • อายุในกรุ๊ปคนไข้อายุน้อยจะเจออาการแทรกซ้อนร้ายแรงแล้วก็เสียชีวิตมากยิ่งกว่าในกลุ่มผู้เจ็บป่วยที่แก่ ตัวอย่างเช่นการระบาดในปีพุทธศักราช2541 ที่ประเทศไต้หวัน พบว่าอัตราการเสียชีวิตโดยรวมเป็น44.4/100,000 รายแต่กลุ่มที่อัตราการตายสูงสุดเป็น6-11 เดือนเท่ากับ 96.96/100,000 ราย
  • เป็นไข้สูงมากเกินกว่า 39o C รวมทั้งนานเกิน 3 วัน
  • มีลักษณะอาการอาเจียนมากมายรับประทานอาหารไม่ได้


ซึ่งปัจจัยเสี่ยงในข้อ 2 และก็ 3 จากการศึกษาวิจัยที่โรงพยาบาลเด็ก Chang Gung ประเทศไต้หวัน พบว่า ชมรมกับการตำหนิดเชื้อ EV มากยิ่งกว่า Cox A  โดยมักจะทำให้เกิดภาวะแทรก/ทางระบบประสาท ระบบหัวใจ และปอดได้สูง ทำให้คนเจ็บเสียชีวิตอย่างรวดเร็วจากภาวการณ์ปอดบวมน้ำ เลือดออกในปอด รวมทั้งภาวการณ์ช็อก
แต่เชื้อคอกแซคก็เชื้อไวรัส เอ 16 ก็อาจจะเป็นผลให้เกิดภาวะเข้าแทรกเป็น กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เยื่อหุ้มห่อหัวใจอักเสบ และก็ภาวการณ์ช็อกได้ แม้กระนั้นพบได้น้อยกว่าจากเชื้อ เอนเทอโรไวรัส 71 มากมาย
ปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคมือเท้าปาก

  • เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี เป็นกลุ่มอายุที่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคมากที่สุด เพราะมักพบการติดเชื้อและการระบาดของโรคใน สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือศูนย์เด็กเล็กเป็นส่วนใหญ่
  • การที่ผู้ดูแลเด็กไม่ได้ให้เด็กล้างมือบ่อยๆ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการติดเชื้อของโรคมือเท้าปาก
  • สภาพที่อยู่อาศัย หรือโรงเรียน/ศูนย์เด็กเล็กไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น มีลักษณะอับ ทึบ แสงแดดส่องไม่ถึง
  • การใช้ข้าวของเครื่องใช้ เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ ช้อน ร่วมกัน
  • การไอ จาม รดกัน หรือการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว
แนวทางการรักษาโรคมือ เท้าปาก การวินิจฉัยโรคมือเท้าปากโดยทั่วไปใช่อาการและอาการแสดงเป็นสําคัญ (clinical diagnosis) โดยแพทย์จะตรวจร่างกายหารอยโรคจําเพาะที่บริเวณมือเท้า ปากร่วมกับมีไข้ ได้แก่  ผู้ป่วยมีไข้ 38 – 39 องศาเซลเซียส  พบจุดนูนแดง ตุ่มน้ำใส หรือ แผลที่เยื่อบุปาก ลิ้น และเหงือก พบจุดแดงราบ ตุ่มนูน หรือตุ่มน้ำที่มือ เท้า ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และแก้มก้น
การตรวจรอยโรคที่ผิวหนัง (cutaneous lesion) ทางพยาธิวิทยา(histology) จะพบเม็ดเลือดขาวชนิด neutrophil และ lymphocyte เพิ่มขึ้น แต่จะไม้พบmultinucleated giant cell หรือ inclusion body 11 สําหรับในกรณีที่ต้องการทราบชนิดของเชื้อไวรัสที่ก้อโรค สามารถทําได้โดยการแยกเชื้อไวรัส หรือตรวจ ร่องรอยการติดเชื้อจากนํ้าเหลือง สําหรับประเทศไทยใช้วิธี micro-neutralization หากพบผู้ป่วยในข่ายสงสัยให้ เก็บตัวอย่างดังนี้

  • อุจจาระภายใน 14 วันของการป่วยโดยเก็บประมาณ 8 กรัม ใส่กล่องพลาสติกสะอาด
  • สวอบลําคอ (throat swab) โดยจุ่มปลายสวอบลงใน viral transport media ให้จมปลาย ตัวอย่างในข้อ 1 และ 2 ให้เก็บส่งโดยแช่เย็นในกระติกนํ้าแข็งอุณหภูมิ 4-8o C และส่งห้องปฏิบัติ การโดยเร็วที่สุด
  • เก็บเลือด 2 ครั้งประมาณ 3-5 มล.ต่อครั้ง ครั้งแรกที่สุดภายใน 3-5 วันหลังป่วยและครั้งที่ 2 หลัง จากครั้งแรก 14วัน โดยใส่ในหลอดแก้วปราศจากเชื้อพันพลาสเตอร์ให้แน่น เก็บตัวอย่างในตู้เย็น เพื่อรอส่งตรวจพร้อมกัน


โรคมือเท้าปากไม่มีวัคซีนหรือยาสำหรับรักษาโรคโดยตรง การรักษาจะเป็นการรักษาตามอาการ เช่นการให้ยาลดไข้ paracetamol หรือให้ยาบ้วนปากเพื่อช่วยลดอาการเจ็บของแผลในช่องปาก ถ้าตุ่มกลายเป็นหนองหรือพุพองก็จะให้ยาปฏิชีวนะ เช่น เพนิซิลลินวี อะม็อกซีซิลลิน อีริโทรไมซิน เป็นต้น ถ้ามีภาวะขาดน้ำเนื่องจากกินและดื่มไม่ได้ ก็จะให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ก็จำเป็นต้องรับเด็กไว้รักษาในโรงพยาบาลหรือส่งต่อให้ผู้เชี่ยวชาญดูแลต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ.2539 มีการศึกษาที่ Medical College of Ohio ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีการทดลองใช้ acyclovir ในการรักษาผู้ป่วยโรคมือเท้า ปาก 13 รายซึ่ง 12 รายเป็นเด็กอายุ 1-5 ปีและอีก 1 รายเป็นผู้ใหญ่ โดยเริ่มใช้ยา acyclovir ภายใน 1-2 วัน หลังเริ่มมีรอยโรคพบว่าอาการของผู้ป่วยดีขึ้น และรอยโรคเปลี่ยนแปลงดี ขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงหลังเริ่มรักษา ได้ให้ acyclovir ต่ออีก 5 วันจนรอยโรคหายไปหมด ผู้ศึกษาเชื่อว่า acyclovir อาจไปยับยั้งเอนไซม์ thymidine kinase ของ Cox A16แต่ก็อาจมีประโยชน์ ด้านอื่นด้วยเช่น อาจทําให้ผู้ป่วยสร้าง interferon เพื่อยับยั้งไวรัสมากขึ้น15 อย่างไรก็ดียังไม่มีการศึกษาเกี่ยวกับการใช้ acyclovir ในการ ลดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
และหลังจากการติดเชื้อผู้ป่วยจะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสที่ก่อโรค แต่อาจเกิดโรคมือเท้า ปากซํ้าได้จาก enterovirus ตัวอื่นๆ
การติดต่อของโรค มือ เท้า ปาก  โรคมือเท้าปากสามารถติดต่อได้จากการสัมผัสสารคัดหลั่งจากตุ่มน้ำใส หรือสารคัดหลั่งจากจมูกและปากอันได้แก่ น้ำมูก เสมหะ หรือน้ำลาย นอกจากนี้แล้วไวรัสยังสามารถพบได้ในอุจจาระ โดยไวรัสสามารถแพร่กระจายได้ตั้งแต่ในระยะแรกที่แสดงอาการโดยช่วงที่มีการแพร่กระจายมากที่สุด คือ สัปดาห์แรกที่ผู้ป่วยมีอาการและอาจจะยังพบได้อีกหลายสัปดาห์ในอุจจาระของผู้ป่วยที่หายจากอาการของโรคแล้ว นอกจากนี้แล้วในผู้ใหญ่อาจจะสามารถแพร่กระจายเชื้อไวรัสได้โดยไม่แสดงอาการใดๆ ซึ่งการได้รับไวรัสอาจเป็นการได้รับโดยตรงเช่นจากการไอหรือจาม หรืออาจจะได้รับไวรัสโดยอ้อมโดยการสัมผัสกับพื้นผิวหรือสิ่งของที่มีเชื้อไวรัสอยู่ เช่นในสถานรับเลี้ยงเด็กซึ่งอาจมีของเล่นหรือของใช้เด็กที่ปนเปื้อนน้ำลายเนื่องจากเด็กเล็กมักชอบนำสิ่งของเข้าปาก  ดูดเลียนิ้วมือ รวมถึงจากการรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อ มือของผู้เลี้ยงดูเด็กที่ไม่สะอาด เป็นต้น  เนื่องจากโรคมือเท้าปากมักพบในเด็กเล็ก ดังนั้นการระบาดมักพบในสถานรับเลี้ยงเด็กหรือตามโรงเรียนอนุบาล  เชื้อเอนเทอโรไวรัสสามารถทนสภาวะกรดในทางเดินอาหารมนุษย์ได้ และมีชีวิตอยู่ในอุณหภูมิห้องได้ 2-3วัน
โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างเย็นหรือชื้นแฉะเชื้ออาจอยู่ได้เป็นเดือน  นอกจากนี้ การทำลายเชื้อต้องใช้น้ำยาฆ่าเชื้อที่เหมาะสม น้ำยาฆ่าเชื้อทั่วๆ ไปบางชนิด เช่น แอลกอฮอล์ ๗๐ เปอร์เซ็นต์และแอลกอฮอล์เจลใช้ป้องกันไวรัสไข้หวัดได้ แต่สำหรับเชื้อไวรัสเอนเทอโร แอลกอฮอล์ไม่มีผลโดยตรง
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคมือ เท้า ปาก เนื่องจากโรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส ไม่จำเป็นต้องให้ยารักษาจำเพาะ เพียงแต่ให้การดูแลตามอาการ และเฝ้าติดตามอาการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด โดยมีวิธีปฏิบัติ ดังนี้

  • ทานยาลดไข้ พาราเซตามอล เป็นครั้งคราวเวลา มีไข้สูง
  • ดื่มน้ำมากๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ โดยสังเกตดูว่ามีปัสสาวะออกมากและใส จึงนับว่าได้น้ำพอเพียง
  • ในช่วงที่มีอาการเจ็บแผลในปาก ให้กินอาหารเหลวหรือของน้ำๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก แกงจืด นม น้ำเต้าหู้ น้ำหวาน เพื่อบรรเทาอาการเจ็บในปาก อาจใช้วิธีอมน้ำแข็งก้อนเล็กๆ ดื่มน้ำหรือนมเย็นๆ กินไอศกรีม หรือบ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ (ผสมเกลือป่นครึ่งช้อนชาในน้ำอุ่น ๑ แก้ว) วันละหลายๆ ครั้ง เพื่อบรรเทาอาการเจ็บแผลในปาก
  • แยกของใช้ไม่ใช้ร่วมกับคนอื่น เช่น แก้วน้ำ หลอดดูด ช้อน-ส้อม ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดมือ ขับถ่ายอุจจาระลงในในโถส้วม
  • ควรทำความสะอาดพื้นห้องและพื้นผิวอื่นๆ ที่สัมผัสบ่อยๆ รวมถึงห้องสุขาและห้องน้ำ โดยล้างด้วยน้ำและผงซักฟอก แล้วตามด้วยน้ำยาทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของคลอรีน เช่น ไฮเตอร์ ไฮยีน คลอร็อกซ์ โดยผสมตามฉลากปิดข้างขวด ทิ้งไว้ ๑๐ นาที ก่อนล้างออกด้วยน้ำให้สะอาดเพื่อป้องกันสารเคมีตกค้าง
  • แยกเด็กที่ป่วยไม่ให้คลุกคลีกับเด็กคนอื่นๆ ทั้งเพื่อนบ้าน และพี่น้องที่อยู่ในบ้านเดียวกัน เช่น การกอดรัด การเล่นของเล่นที่เปื้อนน้ำลายหรือน้ำมูกของผู้ป่วย โดยเฉพาะในกรณีที่มีน้องเล็กๆ อายุ ๑-๒ ปีหรือน้อยกว่า เนื่องจากเป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดอาการรุนแรง ไม่นำเด็กไปในที่ที่มีคนอยู่จำนวนมาก เช่น ห้างสรรพสินค้า ตลาด สระว่ายน้ำ ควรให้เด็กอยู่ในที่ที่มีการระบายอากาศที่ดี
  • ขอให้เด็กหยุดเรียนเป็นเวลา ๗ วันนับจากวันเริ่มมีอาการ (ถึงแม้ว่าเด็กอาจมีอาการดีขึ้นก่อนครบ ๗ วัน) หากเด็กมีอาการป่วยรุนแรงขึ้น เช่น ไข้สูง อาเจียน หอบเหนื่อย ซึม ชัก หรืออาการแย่ลง ต้องรีบพาไปรักษาที่โรงพยาบาลใกล้บ้านทันที ในกรณีผู้ป่วยเป็นผู้ใหญ่ให้หยุดงานเป็นเวลา 7 วันเช่นกัน
  • ควรปรึกษาแพทย์ เมื่อมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
  • ตุ่มน้ำ กลายเป็นตุ่มหนองหรือพุพองจากการเกาให้แพทย์พิจารณาใช้ยาปฏิชีวนะรักษา
  • มีอาการเจ็บแผลในปาก จนกินอาหารและดื่มน้ำไม่ได้ มีภาวะขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง ปัสสาวะออกน้อย
  • มีอาการปวดศีรษะมาก อาเจียนรุนแรง ไม่ค่อยรู้ตัว ชัก แขนขาอ่อนแรง หรือหายใจหอบเหนื่อย ควรส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
  • อาการไม่ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์

การป้องกันตนเองจากโรคมือเท้าปาก

  • สำหรับเด็ก ให้ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ทุกหนข้างหลังการขับถ่าย ก่อนที่จะรับประทานอาหาร หรือเมื่อสัมผัสกับน้ำมูก น้ำลาย
  • สำหรับผู้ที่คอยดูแลเด็ก ให้ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ทุกคราวก่อนการเตรียมอาหาร ก่อนกินอาหาร และข้างหลังการขับถ่าย และข้างหลังเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็ก หลังการช่วยล้างตูดให้แก่เด็กเล็กที่พึ่งขับถ่าย หรือสัมผัสกับสิ่งคัดหลั่งของเด็ก ได้แก่ น้ำมูก น้ำลาย
  • ให้ลูกหลานหลีกเลี่ยงการเล่น หรือคลุกคลีกับเด็กที่ป่วยเป็นโรคมือ เท้า ปาก
  • ไม่นำเด็กตัวเล็กๆไปในที่ที่มีคนอยู่จำนวนหลายชิ้น ดังเช่น ห้างสรรพสินค้า ตลาด สระว่ายน้ำ และก็ควรจะให้อยู่ในที่ที่มีการระบายอากาศที่ดี ในช่วงที่มีการระบาดของโรคมือเท้าปากในพื้นที่
  • หลีกเลี่ยงการใช้ข้าวของ เช่น ถ้วยน้ำ หลอดดูด ขวดนม ช้อนชาม เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ของเล่นเด็ก ฯลฯ  ร่วมกับคนอื่นโดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดของโรคนี้
  • ฝึกหัดเด็กให้มีสุขนิสัยที่ดี รวมทั้งหลีกเลี่ยงการใส่นิ้วมือหรือของเล่นเข้าปาก
  • ทําความสะอาดพื้น เครื่องใช้เสื้อผ้าที่อาจปนเปื้อนเชื้อ ด้วยนํ้ายาฆ่าเชื้อที่ใช้ทั่วไปด้านในภาย
  • พ่อแม่ผู้ดูแลช่วยตรวจดูลักษณะของบุตรหลานทุกเมื่อเชื่อวัน ถ้ามีแผลในปากหลายแผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากเจ็บมากมายจนกระทั่งทำให้ไม่ค่อยทานอาหาร ให้ช่วยแจ้งแก่โรงเรียนเพื่อมีการปฏิบัติงานควบคุมโรคที่สมควร
  • สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองที่จะพาบุตรหลานที่เป็นเด็กเล็กไปที่ต่างประเทศที่มีการระบาด สามารถเดินทางได้ตามเดิม โดยให้กระทำตัวตามความถูกอนามัยที่ดี หลบหลีกพาลูกหลานไปสถานที่แออัดคับแคบ และก็ถ้าเกิดลูกหลานมีอาการเจ็บไข้ที่สงสัยโรคมือ เท้า ปาก ให้พาไปพบแพทย์


สมุนไพรที่ใช้รักษา/ทุเลาลักษณะโรคมือเท้าปาก สมุนไพรที่สามารถประยุกต์ใช้ทุเลาลักษณะโรคมือเท้าปากนั้นมีดังนี้ แม้มีแผลในปากก็สามารถใช้กลีเซอรีนพญายอหยอดบริเวณแผลได้ เพราะเหตุว่าในใบพญายอมีสารฟลาโวนอยด์ มีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ ทำให้แผลหายเร็วขึ้นรวมทั้งไม่มีอันตราย ไม่เป็นผลใกล้กัน
            สมุนไพรในโรค มือ-เท้า-ปาก คือ ฟ้าทลายมิจฉาชีพ (Andrographis paniculata (Burm.F.) Nees.) เป็นงานศึกษาวิจัยที่ทำในประเทศจีน โดยนักวิจัยได้สกัดสารสำคัญของฟ้าทลายขโมยและก็ทำให้อยู่ในรูปแบบของยาฉีดเป็นAndrographolide Sulfonate injection
งานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยนี้ทำในเด็กที่เป็นโรค มือ-เท้า-ปาก อายุ 1-13 ปี จำนวน 230 คน โดยแบ่งเป็น 2 กรุ๊ป กรุ๊ปแรกจะได้รับการดูแลและรักษาแบบแผนเดิมร่วมกับ สารสกัดฟ้าทะลายโจรในต้นแบบบาฉีด (Andrographolide Sulfonate injection) อีกกลุ่มจะได้รับการดูแลและรักษาแบบแผนเดิม โดยติดตามผล 7-10 วัน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มแรกจะเจออาการเข้าแทรกแบบร้ายแรงน้อยกว่ากรุ๊ปที่สองอย่างเป็นจริงเป็นจัง นอกจากนั้นยังทำให้ไข้ต่ำลงได้เร็วขึ้น ทำให้แผลที่ผิวหนังและแผลในปากหายมากยิ่งกว่ากรุ๊ปหวานใจษาแบบแผนเดิม และไม่เจอการเสียชีวิตและก็ผลกระทบที่ร้ายแรงในกลุ่มทดลองอีกด้วย
เอกสารอ้างอิง

  • ดร.ภก.ปิยทิพย์ ขันตยาภรณ์.โรคมือเท้าปากในเด็ก.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาจุลชีววิทยาคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Chang L, Lin T, Huang Y, et al. Comparison of enterovirus 71 and coxsackie-virus A16 clinical illnesses during the Taiwan enterovirus epidemic, 1998. Pediatr Infect Dis J 1999;18(12): 1092-6.
  • Abzug MJ. Hand-Foot-and-Mouth Disease. Kliegman: Nelson Textbook of Pediatrics, 19th ed.
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.โรคมือ-เท้า-ปาก.นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 326.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.มิถุนายน.2549
  • โรคมือ-เท้า-ปาก (Hand-Food-and-Mouth Disease; HEMD) และโรคจากเชื้อ Enterovirus 71 (EV-71) .หน่วยโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป “โรคมือ-เท้า-ปาก (Hand-foot-and-mouth-disease)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 1121-1123. http://www.disthai.com/
  • Alsop J. Hand-foot-and-mouth disease in Birmingham in 1959. Br Med J 1960;2:1708.
  • Shelley WB, Hashin M, Shelley ED. Acyclovir in the treatment of hand-foot-and-mouth disease.Cutis 1996;57:232-4.
  • โรคมือ เท้า ปาก พ.ศ.2555. หมอชาวบ้าน(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • Ho M, Chen E, Hsu K, et al. An epidemic of enterovirus 71 infection in Taiwan. N Engl J Med 1999; 341(13): 929-35.
  • Jennifer CH, Antoinette FH. Hand-food-and-mouth disease. In: Freedberg IM, Eisen AZ, editors. Fitzpatrick’s Dermatology in General Medicine. 5th ed. New York: McGraw-Hill; 1999. p. 2403-7.
  • สมุนไพรที่เคยมีการทำวิจัยในโรคมือเท้าปาก.อภัยภูเบศสาร.ปีที่ 12 .ฉบับที่133.กรกฎาคม.2557
  • Luan YC, Tzou YL, Yhu CH, Kou CT, Shin RS, Ming LK, et al. Comparison of enterovirus 71 and coxsackie virus A16 clinical illnesses during the Taiwan enterovirus epidemic, 1998.Pediatr Infect Dis J 1999;18:1092-6.
  • Robinson CR. Report on an outbreak of febrile illness with pharyngeal lesions and examthem. Toronto, Summer 1957-isolation group A Coxsackie virus. Can Med Assoc J 1958;79:615.
  • Theokiss Z, Joel DK. Enterovirus infection. Pediatrics in Review 1998;19:183-91.
  • พญ.ชนิกานต์ คีรีวิเชียร,พญ.ธันยวีร์ ภูธนกิจ.โรคมือเท้าปาก (Hand-Food-and-Mouth-Disease).คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.กันยายน 2545.หน้า 1- 9
  • โรคมือเท้าปาก-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก

หน้า: 1 [2]