รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Topics - Tawatchai1212

หน้า: 1 [2] 3 4 ... 6
16

ถั่งเช่า
ทานถั่งเช่าเห็นผลด้านในกี่วัน
-ถั่งเช่า ช่วยรักษามีลักษณะจากการที่สืบไปมาจากการเป็นโรคไตได้แก่อาการ ปวดหลัง ปัสสาสะบ่อย เป็นต้น
-ช่วยเพิ่มความฟิตให้กับร่างกายของนักกีฬาได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักกีฬาจำพวกวิ่งแข็ง หรือนักกีฬาที่ใช้ภาระกำลังเป็นอันมาก
-ช่วยเพิ่มสมรรถนะเพศได้อย่างดีเยี่ยมด้วยเหตุว่า ถั่งเช่านั้นช่วยทำให้เลือดเข้าไปหล่อเลี้ยงที่ของลับได้มากขึ้น-สมุนไพร ถั่งเช่าช่วยทำให้น้ำเชื้ออสุจิแข็งแร็ง
-ถั่งเช่า ช่วยลด และต้านทานอนุมูอิสระในร่างกาย ช่วยยับยั้งรวมทั้งชะลอความแก่ได้ รวมถึงปรับปรุงแก้ไขซ่อนแซมเซลต่างๆที่เสื่อมในร่างกาย
-ช่วยเพิ่มความจำ และก็ปกป้องโรคสมองเสท่อมได้
-ช่วยลดอาการใจสั่น แล้วก็หัวใจเต้นเร็ว ที่มีต้นเหตุที่เกิดจากโรคที่มีปัญหาเกี่ยวกับความดันโลหิต
-ช่วยขยายเส้นโลหิต ช่วยเพิ่มระดับออกสิเจนในเลือด รวมถึงช่วยให้เลือดมีระบบระเบียบไหลเวียนที่ดีขึ้น
-ช่วยยั้งเชื้อร้ายอย่างแบคทีเรียภายในร่างกายได้กระทั่งเชื้อแบคทีเรียที่ร้ายแรงอย่างวัณโรคก็ตาม
-ถั่งเช่า ช่วยทำให้เลือดลมของสุขภาพสตรีเดินดียิ่งขึ้น ระดูมาธรรมดา รวมทั้งยังช่วยให้สุขภาพสตรีมีความพร้อมที่จะมีบุตรเยอะขึ้นดด้วย
-ช่วยต้านทานมะเร็ง เพราะสารคอร์ไดเซปินใน ถั่งเช่าเป็นสารต่อต้านโรคมะเร็งทำให้ยั้งการเป็นวัณโรคมะเร็งได้ รวมถึงช่วยไม่ให้คนเจ็บโรคมะเร็งที่หายแล้วกลับมาเป็นอีก
สารออกฤทธิ์ที่สำคัญของถั่งเช่า
ที่ตัวของ สมุนไพร ถั่งเช่านั้นมีสรรพคุณต่างๆมากมายก่ายกองเพราะในตัวของถั่งเช่า มีสารออกฤทธิ์สำคัญนั้นเอง ขึ้นรถออกฤทธิ์ที่สำคัญของถั่งเช่าที่ค่อนข้างเป็นอระโยชน์และได้รับการยืนยันด้านวิทยาศาสตร์แล้วมีดังนี้
1.สาร Cordycepin งานศึกษาเล่าเรียนทดสอบพบว่าสารตัวนี้สามารถ ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย บำรุงกำลัง ต่อต้านเชื้อโรคช่วยทำให้การไหลเวียนของโลหิต บำรุงเลือด บำรุงหัวใจ ต่อต้านการโตของเซลล์มะเร็ง บำรุงไต รักษาโรคไตอักเสบ บำรุงระบบขยายพันธุ์ ปรับสมดุลร่างกาย รวมทั้ง เสริมภูมิต้านทาน
2.สาร Nitric oxides สารตัวนี้เป็นสารที่ช่วยขั้นตอนการแข็งของอวัยวะสืบพันธุ์ชายให้ดำเนินงานดียิ่งขึ้น แข็งเร็ว และก็ นานขึ้น มันจะออกฤทธิ์สำหรับในการขยายเส้นเลือดให้ไปสู่องคชาติเพิ่มมากขึ้น ถั่งเช่า ให้การแข็งของอวัยวะสืบพันธุ์นานขึ้นอย่างสมบูรณ์
3.สาร Adrenaline สารตัวนี้เป็นสารที่ช่วยเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย มันจะก่อให้สุขภาพแข็งแรงขึ้น ไม่มีอาการเหน็ดเหนื่อย แล้วก็สามารถนอนได้อย่างเต็มเปี่ยมหลับเต็มที่มากขึ้น อีกทั้งยังสามารถช่วยชะลอความแก่ให้กับคนอย่างเราๆได้อีกด้วย
4.สารPolysaccharide สารตัวนี้เป็นสารที่ช่วยเสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกายของผู้คน มันจะสร้างกลไกการคุ้มครองป้องกันโรค รวมทั้งป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี
ตัวอย่างงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยนิดหน่อยที่เกี่ยวโยงกับฤทธิ์ของ ถั่งเช่าในทางเภสัชวิทยา โดยที่เป็นงานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยในตัวของคน ดังนี้
-จากการศึกษาเรียนรู้วิจัยเกี่ยวกับกรณีของฤทธิ์จาก ถั่งเช่าที่ส่งผลกระตุ้นสมรรถทางเพศของเพศชายจากจำนวนแบบอย่างทั้งมวล 22 คน ผลปรากฏว่า ฤทธิ์ของ ถั่งเช่านั้นสามารถช่วยเพิ่มสเปิร์มในเชื้อน้ำเชื้อของผู้ชายจากกลุ่มตัวอย่างได้ถึง33%แล้วก็ยังสามารถช่วยลดปริมาณสเปิร์มที่อ่อนแอ หรือไม่ปกติลงในเชื้อน้ำเชื้อของผู้ชายจากกลุ่มของตัวอย่าง29%จากการที่เพียงแค่ให้เพศชายจากกลุ่มตัวอย่างนี้รับประทาน ถั่งเช่าเพียงแค่เป็นอาหารเสริมเท่านั้น นอกนั้นยังมีอีกหนึ่งตัวอย่างแบบอย่างด้วยกันที่เป็นการวิจัยเกี่ยวกับความสามารถทางเพศ เป็นมีการให้กลุ่มทดลองทั้งปวงศ เป็นมีการให้กลุ่มตัวอย่างทั้งปวงศชาย และก็ผู้หญิงจำนวน 189 คน ที่มีภาวะอารมณ์ทางเพศต่ำลงได้ลองกิน ถั่งเช่าผลปรากฏว่า สามารถช่วยทำให้กลุ่มทดลองทั้งสิ้นศชาย แล้ผู้หญิงนั้นให้กลับมามีอารมณ์ทางเพศที่มากขึ้นได้ถึง 66%
-จากการศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยเกี่ยวกับกรณีของฤทธ์จาก สมุนไพร ถั่งเช่าที่ส่งผลช่วยลดน้ำตาลในเลือด ศึกษาและทำการค้นพบว่าถั่งเช่านั้นสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้สูงสุดถึง 95% โดยทานถั่งเช่าแค่เพียงวันละ 3 กรัมเพียงแค่นั้น โดยแตกต่างจากกรุ๊ปที่ยังคงรักษาโดยใช้ยาแผนปัจุบันโดยสิ้นเชิง เพราะเหตุว่าการควบคุมระดับน้ำตาลจากยาแผนปัจจุบันนั้นสามารถคุมระดับน้ำตาลแค่ได้เพียงแต่ 54 % แค่นั้น

ถั่งเช่าสายพันธุ์ไหนที่เยี่ยมที่สุด?[/size][/b]
ถั่งเช่ามีจำนวนมากหลายแบบ มากมายสายพันธุ์ รวมทั้งจากหลายพื้อที่ แบบเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ รวมทั้งแบบที่เกิดจากขั้นตอนการเพาะเลี้ยง ส่วนถั่งเช่าสายพันธ์ไหนที่แพงที่สุดในโลกนั้นก็คงจะต้องบอกว่าเป็นถั่งเช่าสายพันธ์ทิเบต ต้นสายปลายเหตุก็เนื่องจากหายาก แม้กระนั้นในขณะนี้ได้มีหลักฐานการตรวจสอบแล้วก็พบว่าสารออกฤทธิ์สำคัญในการรักษาโรคของเห็ดถั่งเช่าสีทองคำ(ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่เพาะเลี้ยงได้ง่าย) มีมากยิ่งกว่าถั่งเช่าประเทศทิเบตหลายเท่า นอกจากนี้การที่เห็ดถั่งเช่าสีทองคำสามารถเพาะเลี้ยงได้ทให้สามารถควบคุมสารเจือปนและก็โลหะหนักให้เป็นไปตามมาตรฐานได้ง่ายดายกว่าถั่งเช่าประเทศทิเบตที่เก็บมาจากธรรมชาติ
-เกรดของถั่งเช่า
นอกเหนือจากถั่งเช่ามีหลายสายพันธุ์แล้ว ถั่งเช่ายังมีหลายเกรดอีกด้วย โดยหลักๆที่พบในปัจจุบันและตามท้องตลาดก็จะมี 2 เกรดร่วมกันดังนี้
-เกรด AAA –ถั่งเช่าเกรด AAA คือ ถั่งเช่าที่ได้รับการคัดสรรมาอย่าดีว่าเป็น ถั่งเช่าที่มีประโยชน์ แล้วก็สารอาหารมากว่า ถั่งเช่าธรรมดา รวมถึงเป็น ถั่งเช่าที่มีขนาดมาตรฐาน และก็ถูกเก็บมาขณะที่ถูก
-เกรด A-ถั่งเช่าเกรด A คือ สมุนไพร ถั่งเช่าที่มีคุณลักษณะแทบราวกับถั่งเช่าเกรด AAA ทุกประการ เพียงแต่ว่าขนาดของมันนั้นไม่ได้มาตรฐานเท่านั้นเอง
นอกจากถั่งเช่า 2 เกรดที่ว่ามาแล้วนั้นยังมีเกรดอื่นๆแม้กระนั้นไม่เป็นที่นิยมในท้องตลาด ที่นิยมก็มีแค่ 2 เกรดหลักๆแค่นั้น เพื่อความปลอดภัยเราควรจะซื้อ ถั่งเช่าจากร้านขายยา หรือสมุนไพรจีนที่เปิดให้บริการมาอย่างช้านาน หรือร้านที่ได้รับความนิยมกับคนทั่วไป ดังนี้นั้นก็เพื่อก็เพื่อความสบายใจและจะได้ผิดหลอกให้ซื้อของปลอมนั้นเอง

17

หญ้าหนวดแมว
ชื่อสมุนไพร  ต้นหญ้าหนวดแมว
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น  พยับเมฆ (จ.กรุงเทพฯ) บางรักป่า (ประจวบคีรีขันธ์), อีตู่ดง (เพชรบุรี) หญ้าหนวดเสือ
ชื่อสามัญ Kidney tea plant, Cat’s whiskers, Java tea, Hoorah grass
ชื่อวิทยาศาสตร์ Orthosiphon aristatus (Blume) Miq.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์  Orthosiphon grandiflorus Bold. ,Orthosiphon stamineus Benth.
ตระกูล Lamiaceae หรือ Lamiaceae
บ้านเกิด  ต้นหญ้าหนวดแมวจัดเป็นพืชป่าในเขตร้อนชื้นมีบ้านเกิดเมืองนอนแถวเอเชียใต้แถบอินเดีย , บังคลาเทศ , ศรีลังการวมทั้งทางตอนใต้ของจีนแล้วมีการกระจายประเภทไปสู่ในประเทศเขตร้อนที่ใกล้เคียง (ในเอเซียอาคเนย์) ดังเช่นว่า ประเทศพม่า ไทย ลาว เขมร มาเลเซีย ฯลฯ ในประเทศไทย มีการนำต้นหญ้าหนวดแมวมาเป็นสมุนไพรรักษาโรคนิ่วและขับฉี่มานานแล้ว กระทั่งในขณะนี้มีการทำการค้นคว้าเกี่ยวกับหญ้าหนวดแมวว่าสามารถรักษาโรครวมทั้งสภาวะต่างๆได้มากมายหลายโรคก็เลยทำให้ความนิยมชมชอบในการใช้ต้นหญ้าหนวดแมวเพิ่มมากขึ้น
ลักษณะทั่วไป   หญ้าหนวดแมวมีลักษณะ ต้น เป็นไม้พุ่มล้มลุก ขนาดเล็ก เนื้ออ่อน สูง 30-60 เซนติเมตร มีอายุนับเป็นเวลาหลายปี ลำต้นรวมทั้งกิ่งค่อนข้างจะเป็นสี่เหลี่ยมเห็นได้ชัดเจน มีสีม่วงแดง และมีขนนิดหน่อย แตกกิ่งก้านสาขามากมาย โคนต้นอ่อนโค้ง ปลายตั้งชัน ตามยอดอ่อนมีขนกระจัดกระจาย ใบเป็นลำพัง ออกตรงกันข้าม สีเขียวเข้ม รูปไข่ หรือรูปสี่เหลี่ยมผ่านหลามตัด ตามเส้นใบมักมีขน กว้าง 2-5 ซม. ยาว 5-10 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลม โคนใบสอบ ขอบของใบจักเป็นฟันเลื่อยห่างๆนอกจากขอบที่โคนใบจะเรียบ มีขนตามเส้นใบอีกทั้งด้านบนและก็ด้านล่าง เนื้อใบบาง ก้านใบยาว 2-4.5 ซม. มีขน ดอก มีสีขาว หรือขาวอมม่วงอ่อน ออกเป็นช่อกระจะตั้งขึ้น ที่ปลายยอด เป็นรูปฉัตร ยาว 7-29 เซนติเมตร มีดอกย่อยประมาณ 6 ดอก ขนาดดอก 1.5 ซม. ดอกจะบานจากข้างล่างขึ้นไปข้างบน ริ้วแต่งแต้มรูปไข่ ยาว 1-2 มิลลิเมตร ไม่มีก้าน กลีบเลี้ยงเชื่อมชิดกันเป็นรูประฆัง งอบางส่วน ยาว 2.5-4.5 มิลลิเมตร เมื่อสำเร็จยาว 6.5-10 มิลลิเมตร ด้านนอกมีต่อมน้ำมันหรือเป็นปุ่มๆกลีบดอกโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดตรงเล็ก ยาว 10-20 มิลลิเมตร ปลายแยกเป็นปากสองปาก ปากบนใหญ่กว่า ปากบนมีหยักตื้นๆ4 หยัก โค้งไปทางข้างหลัง ปากล่างตรง โค้งเป็นรูปช้อน เกสรเพศผู้มี 4 อัน เรียงเป็น 2 คู่ คู่ล่างยาวกว่าคู่บนน้อย ก้านเกสรยาว หมดจด ไม่ติดกัน ยื่นยาวออกมานอกกลีบดอกเห็นได้ชัดเสมือนหนวดแมว อับเรณูเป็น 2 พู ข้างบนบรรจบกัน ก้านเกสรเพศเมียเรียวเล็ก ยาว 5-6 ซม. ปลายก้านเป็นรูปกระบอง ปลายสุดมี 2 พู ผลได้ผลแห้งไม่แตก รูปขอบขนานกว้าง แบน แข็ง สีน้ำตาลเข้ม ขนาดเล็ก ยาวราวๆ 1-2 มม. ผลจะเจริญรุ่งเรืองเป็น 4 ผลย่อยจากดอกหนึ่งดอก ตามผิวมีรอยย่น ออกดอกและก็ติดผลราวกันยายนถึงต.ค. ถูกใจขึ้นที่เปียกชื้น มีแดดรำไรในป่าริมลำน้ำ หรือน้ำตก
การขยายพันธุ์ หญ้าหนวดแมว เป็นไม้ล้มลุกที่เติบโตเจริญในดินชื้น คล้ายกับกระเพราแล้วก็โหระพา จึงทนต่อสภาพแห้งได้น้อย ดังนั้น การปลูกต้นหญ้านวดแมวควรต้องเลือกสถานที่ปลูกที่ค่อนข้างเปียกชื้นเสมอหรือมีระบบให้น้ำอย่างทั่วถึง แต่ในฤดูฝนสามารถเติบโตได้ทุกพื้นที่
                อีกทั้งต้นหญ้าหนวดแมวเป็นพืชถูกใจดินร่วน แล้วก็มีสารอินทรีย์สูง ด้วยเหตุดังกล่าว ดินหรือแปลงปลูกควรเติมอินทรียวัตถุ เป็นต้นว่า ปุ๋ยธรรมชาติ ปุ๋ยธรรมชาติ ก่อนกระพรวนผสมเข้าด้วยกันไปเรื่อยๆจนกว่าจะเข้ากันและก็กำจัดวัชพืชออกให้หมด
ส่วนการปลูกต้นหญ้าหนวดแมว ปลูกได้ด้วย 2 แนวทาง คือ

  • การปักชำกิ่ง ตัดกิ่งที่ยังไม่มีดอก ยาวราว 15-20 เซนติเมตร จากนั้น เด็ดกิ่งกิ้งก้าน แล้วก็ใบออกด้านโคนกิ่งออก ในความยาวโดยประมาณ 5 เซ็นติเมตร พร้อมกับเด็ดยอดทิ้ง ก่อนเอามาปักชำ ซึ่งบางทีอาจปักชำในกระถางหรือปักชำลงแปลงปลูก
  • การหว่านเมล็ด นำเมล็ดหว่านลงแปลงที่เตรียมไว้ โดยหว่านให้เม็ดมีระยะห่างกันราว 3-5 เซนติเมตร ก่อนให้น้ำ ใส่ปุ๋ย และก็ดูแลกระทั่งต้นกล้าอายุราวๆ 20-30 วัน หรือสูงราว 10-15 ซม. ก่อนแยกปลูกลงแปลงถัดไป


ต้นหญ้านวดแมว เป็นพืชที่ต้องการความชุ่มชื้นสูง ถ้าหากขาดน้ำนาน ลำต้นจะเหี่ยวเฉา และตายได้รวดเร็ว ดังนั้น กล้าหญ้าหนวดแมวหรือต้นที่ปลูกลงในแปลงแล้ว ควรมีการให้น้ำอย่างน้อย 2 วัน/ครั้ง
การเก็บเกี่ยว ต้นหญ้าหนวดแมว แก่เก็บเกี่ยวราว 120-140 วัน ข้างหลังปลูก บางทีอาจเก็บเกี่ยวด้วยการถอนอีกทั้งต้นหรือทยอยเด็ดเก็บกิ่งมาใช้ประโยชน์ก็ได้
ส่วนประกอบทางเคมี
ต้นหญ้าหนวดแมวมีองค์ประกอบทางด้านพฤกษเคมีที่โดดเด่นคือ สารกลุ่ม phenolic compoundsอย่างเช่น rosmarinic acid, 3’-hydroxy-5, 6,    7, 4’-tetramethoxyflavone, sinensetin รวมทั้งeupatorin รวมถึง pentacyclic triterpenoid ที่สำคัญเป็น betulinic acid2 นอกนั้นยังเจอ glucoside orthosiphonin, myoinositol, essential oil, saponin, alkaloid, phytosterol, tannin พบสารกรุ๊ปฟลาโอ้อวดน ตัวอย่างเช่น sinensetin, 3’-hydroxy-5,6,7,4’-tetramethoxy flavones Potassium Salf ในใบ และHederagenin, Beta-Sitosterol, Ursolic acid ในต้นอีกด้วย
ซึ่งสารในต้นหญ้าหนวดแมวกลุ่มนี้มีรายงานฤทธิ์ทางสรีรวิทยาและก็เภสัชวิทยามากมายก่ายกอง ยกตัวอย่างเช่น การขับฉี่ ลดระดับกรดยูริค (hypouricemic activity) ปกป้อง ตับ ไต แล้วก็กระเพาะอาหาร ลดระดับความดันโลหิต ต้านทานสารอนุมูลอิสระหรือปฏิกิริยาออกซิเดชัน ต้านทานการอักเสบ เบาหวาน และจุลชีพ ลดไขมัน (antihyper-lipidemic activity) ลดความต้องการทานอาหาร (anorexic  activity)  รวมทั้งปรับสมดุลภูมิคุ้มกันของร่างกาย (immunomodulation)
 
 
 องค์ประกอบทางเคมีของสารพฤกษเคมีในต้นหญ้าหนวดแมว (a)    rosmarinic acid, (b)  3’-hydroxy-5,6,7,4’-tetramethoxyflavone, (c) eupatorin, (d) sinensetin, (e) betulinic acid
                 
     Tannin ที่มา: Wikipedia                      Myo-inositol   ที่มา: Google
สรรพคุณ  ต้นหญ้าหนวดแมวเป็นสมุนไพรที่คนประเทศไทยได้ประยุกต์ใช้รักษาโรคมานานแล้ว โดยมีสรรพคุณตามตำราไทยเป็นใบมีรสจืด ใช้เป็นยาชงแทนใบชา กินขับเยี่ยว ขับนิ่ว แก้โรคไต แล้วก็กระเพาะปัสสาวะอักเสบ แก้ปวดเมื่อย และไขข้ออักเสบ แก้คลื่นเหียนอาเจียน แก้ถุงน้ำดีอักเสบ บรรเทาอาการไอ แก้โรคหนองใน ราก ขับเยี่ยว ขับนิ่ว ต้น แก้โรคไต ขับฉี่ รักษาโรคกระษัย รักษาโรคปวดตามสันหลัง แล้วก็บั้นท้าย รักษาโรคนิ่ว แก้โรคหนองใน รักษาโรคเยื่อจมูกอักเสบ ล้างสารพิษในไต
ส่วนในทางการแพทย์แผนปัจจุบันนั้น ส่งผลการวิจัยบอกว่า หญ้าหนวดแมวมีคุณประโยชน์

  • ความดันโลหิตสูง ต้นหญ้าหนวดแมวทำให้ความดันเลือดต่ำลง รวมทั้งยังสามารถลดภาวะเส้นเลือดหดตัวได้ด้วย ก็ยิ่งทำให้ไม่เป็นอันตรายในคนป่วยกลุ่มนี้เยอะขึ้น
  • การติดเชื้อระบบทางเท้าฉี่ โรคนี้หมอมักเสนอแนะให้คนไข้ดื่มน้ำมากมายๆโดยยิ่งไปกว่านั้นในระยะเริ่มแรกถ้าหากดื่มน้ำมากๆก็จะสามารถช่วยให้หายได้โดยไม่ต้องกินยาปฏิชีวนะ การกินน้ำมากๆราวกับเป็นการช่วยทำให้เชื้อโรคถูกขับออกไทยจากระบบทางเดินฉี่ไปเรื่อยๆยิ่งขับออกเร็วมากเท่าไรลักษณะของโรคก็จะหายเร็วมากยิ่งกว่าเดิมเท่านั้นถ้าหากเชื้อสะสมอยู่ในระบบฟุตบาทเยี่ยวก็จะเป็นตัวกระตุ้นการหลั่งสารกรุ๊ป cytokines โดยเฉพาะ interleukin 6  ที่ให้ผลทั้งเฉพาะที่ในระบบทางเท้าปัสสาวะแล้วก็กระทบไปทั่วร่างกาย (systemic effect) คือส่งผลให้เกิดการปวด อักเสบ และจับไข้ได้ ต้นหญ้าหนวดแมวก็ยังสามารถช่วยลดการอักเสบ ปวด ไข้ รวมถึงคุ้มครองปกป้องไม่ให้เชื้อติดตามเนื้อเยื่อระบบทางเดินเยี่ยว เชื้อก็จะหลุดออกไปกับน้ำเยี่ยวได้เร็วขึ้น
  • เบาหวาน หญ้าหนวดแมวทำให้น้ำตาลในกระแสโลหิตลดลงเนื่องจากยับยั้งเอนไซม์ α-glucosidase และก็  α-amylase  แล้วก็ลดพิษจากการได้รับกลูโคสปริมาณสูง จึงสามารถนำมาใช้ในคนไข้โรคเบาหวานได้อย่างปลอดภัยแล้วก็ตำรายาโบราณยังบางทีอาจใช้รักษาโรคเบาหวานได้ด้วย
  • นิ่ว ต้นหญ้าหนวดแมวเป็น hypourecimic agent คือขับกรดยูริกออกมาจากกระแสโลหิต ลดการเกิดนิ่วจากกรดยูริกได้ ทั้งยังยังลดการบิดเจ็บในไตที่เกิดขึ้นจากนิ่ว calcium oxalate ได้ด้วย
  • มะเร็ง ต้นหญ้านวดแมวเป็นพิษต่อเซลล์ของมะเร็งหลายประเภทแล้วก็ลดการสร้างเส้นโลหิตใหม่ไม่ให้แตกหน่อไปเลี้ยงก้อนเนื้อโรคมะเร็ง จึงให้ผลดีสำหรับการร่วมรักษาโรคมะเร็งได้
  • ท่อฉี่ตีบแคบ หญ้าหนวดแมวนับว่าเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์มากสำหรับในการช่วยขับเยี่ยวในคนไข้ที่มีปัญหาในเรื่องท่อฉี่ตีบแคบซึ่งเจอได้ย่อยในคุณผู้หญิงสูงวัย เพราะว่าทำให้กล้ามเรียบของท่อเยี่ยวคลายตัว
ต้นแบบ/ขนาดวิธีการใช้ ตามตำรายาไทยกำหนดได้ว่า

  • ใช้ขับปัสสาวะ
  • ใช้กิ่งกับใบต้นหญ้าหนวดแมว ขนาดกึ่งกลาง ไม่แก่หรืออ่อนกระทั่งเกินความจำเป็น ล้างสะอาด เอามาผึ่งในที่ร่มให้แห้ง เอามา 4 กรัม หรือ 4 ถือมือ ชงกับน้ำเดือด 1 ขวดน้ำปลา (750 ซีซี.) เช่นกันชงชา ดื่มต่างน้ำตลอดทั้งวัน กินนาน 1-6 เดือน
  • ใช้ต้นกับใบวันละ 1 กอบมือ (สด 90- 120 กรัม แห้ง 40- 50 กรัม ) ต้มกับน้ำรับประทาน ครั้งละ 1 ถ้วยชา (75 ซีซี.) วันละ 3 ครั้ง ก่อนรับประทานอาหาร
  • ใช้แก้นิ่ว/ขับนิ่ว ให้นำใบอ่อน (ไม่ใช่ดอก) ขอบต้นหญ้าหนวดแมว ราว 2-3 ใบ (ควรเก็บตอนที่ต้นหญ้าหนวดแมวกำลังมีดอก) มาหั่นเป็นท่อนประมาณ 2-3 ซม. ตากแดดให้แห้งแล้วนำมาชงกับน้ำร้อน (โดยประมาณ 2 กรัมต่อน้ำร้อน 1 แก้ว) ปิดฝาทิ้งเอาไว้ 5-10 นาที ใช้ดื่ม วันละ 3-4 ครั้ง
  • แก้อาการคลื่นไส้ อ้วก หนังสือเรียนยาให้ใช้ใช้อีกทั้งใบ และก็กิ่งต้มน้ำรวมกับสารส้ม ดื่มวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร


การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยาของต้นหญ้าหนวดแมวส่วนใหญ่จะมีด้านฤทธิ์การขับฉี่รวมทั้งฤทธิ์ในการรักษานิ่ว อย่างเช่น

  • มีสารฤทธิ์ขับฉี่ ทดสอบป้อนทิงเจอร์ของสารสกัดจากใบด้วยเอทานอลปริมาณร้อยละ 50 และปริมาณร้อยละ 70 ให้หนูแรทพบว่าสารสกัดด้วยเอทานอลร้อยละ 50 มีฤทธิ์ขับเยี่ยวและขับโซเดียมได้ดีมากยิ่งกว่าสารสกัดด้วยเอทานอลความเข้มข้นจำนวนร้อยละ 70 แม้กระนั้นขับโปแตสเซียมออกได้น้อยกว่า นอกเหนือจากนั้นสารสกัดด้วยเอทานอลจำนวนร้อยละ 50 ยังมีฤทธิ์ขับกรดยูริคก้าวหน้ามาก แล้วก็พบว่าสารสกัดด้วยเอทานอลร้อยละ 50 มีจำนวนสารสำคัญ เป็นต้นว่า sinesetine, eupatorine, caffeic acid รวมทั้ง cichoric acid สูงขึ้นมากยิ่งกว่าสารสกัดด้วยเอทานอลร้อยละ 70 แต่ว่ามีสาร rosemarinic acid น้อยกว่า
  • ฤทธิ์สำหรับเพื่อการรักษานิ่ว มีการศึกษาฤทธิ์ในการรักษานิ่วในทางเดินเยี่ยวส่วนบนของต้นหญ้าหนวดแมวเปรียบเทียบกับการดูแลและรักษามาตรฐานด้วยไฮโดรคลอไรไธอาไซด์ และโซเดียมไบคาร์บอเนต พบว่าผู้เจ็บป่วยที่ได้รับหญ้าหนวดแมวมีการขับเคลื่อนของนิ่วบริเวณกระดูกกระเบนเหน็บมากยิ่งกว่า และก็ช่วยลดการใช้ยารับประทานแก้ปวดได้มากกว่ากรุ๊ปที่ใช้ยามาตรฐาน แม้กระนั้นไม่ต่างกันอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ คนไข้ที่ได้รับหญ้าหนวดแมวจะมีความดันเลือดลดลงน้อย เวลาที่กรุ๊ปที่ได้ยามาตรฐานจะมีความดันโลหิตลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คนเจ็บที่ได้รับหญ้าหนวดแมวจะมีชีพจรในช่วงแรก (วันที่ 3 ของการทดลอง) เร็วขึ้น แต่ไม่เจอความเคลื่อนไหวของระดับโปแตสเซียมในเลือด กรุ๊ปที่ได้ยามาตรฐานจะมีเม็ดเลือดแดงในฉี่ในวันที่ 30 ของการทดสอบลดลง ความเคลื่อนไหวของความถ่วงจำเพาะของปัสสาวะทั้งคู่กลุ่มไม่ได้มีความแตกต่างกัน ตอนที่เจอผลกระทบในกรุ๊ปที่ใช้หญ้าหนวดแมวน้อยกว่ากลุ่มที่ใช้ยามาตรฐาน แต่ว่าไม่ต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ มีรายงานผลของการรักษานิ่วในไตในคนเจ็บที่ให้กินยาต้มที่จัดแจงจากใบต้นหญ้าหนวดแมวแห้ง ความเข้มข้นร้อยละ 0.5 ขนาด 300 มล. ครั้งเดียว ติดต่อกันเป็นเวลานาน 1-10 เดือน พบว่า 9 ราย มีการสนองตอบทางคลินิกที่ดี พบว่าเยี่ยวของคนไข้มีแนวโน้มเป็นด่างเพิ่มขึ้น ซึ่งแนะนำว่าน่าจะช่วยลดการเกิดนิ่วจากกรดยูริคได้

นอกจากนั้นยังมีการศึกษาวิจัยในต่างชาติของฤทธิ์สำหรับในการบำบัดและรักษาอาการของโรคต่างๆดังต่อไปนี้

  • การขับเยี่ยว (diuresis) ตอนนี้พบว่าเนื้อเยื่อบุผิวของกระเพาะปัสสาวะ (uroepithelial tissue) ที่มีตัวรับขอบ ที่มีตัวรับของ adenosinereceptor  A1 A2A A2B และ A3    สาระสำคัญในต้นหญ้าหนวดแมวมีกลไกการทำงานที่สำคัญเป็น กระตุ้น adenosine receptor ประเภท A1    receptor แต่ก็ให้ฤทธิ์ที่เกี่ยวเนื่องถึง adenosine receptor อีก 3 จำพวกด้วย ทำให้กล้ามเรียบของกระเพาะปัสสาวะหดตัวแม้กระนั้นกล้ามเนื้อเรียบของท่อเยี่ยว (urethra) คลายตัวซึ่งเอื้อต่อการขับฉี่ ก็เลยน่าจะเป็นกลไกที่ประยุกต์ใช้อธิบายการขับเยี่ยวได้
  • นิ่วในไต (urolithiasis) เป็นโรคที่ยังนับว่าเป็นปัญหาอยู่มากมายและก็ยังไม่รู้จักกลไกที่แจ่มชัด ยาแผนโบราณใช้หญ้าหนวดแมวสำหรับเพื่อการรักษานิ่ว Gao แล้วก็คณะชี้ให้เห็นความสามารถของต้นหญ้าหนวดแมวสำหรับในการปรับแต่งนิ่วที่เกิดขึ้นจากผลึกของ calcium oxalateในเยื่อไตของหนูทดลอง โดยการทำให้สาร biomarker กว่า 20 จำพวกที่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อไตเจ็บจากผลึกของ calcium oxalate สามารถกลับสู่สภาวะปกติได้เรื่องดำเนินการของสารในต้นหญ้าหนวดแมวคาดว่าน่าจะผ่านหลายกลไกในลักษณะ multiple metabolicpathways โดยเฉพาะเมแทบอลิซึมของพลังงานต่างๆกรดอะมิโน taurine hypotaurine purine รวมถึง citrate cycle นอกนั้นยังมีรายงานเพิ่มเติมว่าการขับฉี่บางทีอาจเป็นการช่วยละลายนิ่วแล้วก็ขับออกมากับปัสสาวะง่ายขึ้น ทั้งยังช่วยขับกรดยูริคและก็ป้องกัน  uric acid stone formation
  • การตำหนิดเชื้อของระบบทางเท้าเยี่ยว (urinary tract infection, UTI) เมื่อนำต้นหญ้าหนวดแมวมาใช้ในระบบทางเดินฉี่ ผลประโยชน์ที่น่าสนใจคือ นอกจากจะขับเยี่ยวที่ช่วยให้อาการของการตำหนิดเชื้อแล้ว ยังสามารถลดการยึดติดของเชื้อชนิด uropathognicEscherichia coli กับเซลล์กระเพาะปัสสาวะ ทำให้เชื้อถูกขับออกไปจากระบบฟุตบาทเยี่ยวได้ง่ายรวมทั้งเร็วขึ้น ยิ่งกว่านั้นคุณลักษณะสำหรับการต้านปฏิกิริยาขบวนการออกซิเดชัน ที่จะลดความเคร่งเครียดจากภาวการณ์ออกซิเดชัน (oxidative stress) ก็เลยลดการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาขบวนการออกซิเดชันสำคัญเป็น lipid peroxidation ทำให้ลดการเกิดแผลเป็น (scar formation) ได้
  • การต้านอักเสบ (anti-inflammation) สารสกัดจากใบหญ้าหนวดแมว  (chloroform extract) มีคุณสมบัติตามอักเสบได้ดิบได้ดี ก็เลยมีการนำมาใช้ใน rheumatoid arthritis gout และก็โรคอันเกิดจากการอักเสบต่างๆกลไกหนึ่งของสารสกัดต้นหญ้าหนวดแมวที่ลดการอักเสบเป็นยั้ง cytosolic phospholipaseA2a (cPLA2a) ทำให้การสลาย phospholipid ต่ำลงสาร eupatorin แล้วก็ sinensetin ยับยั้งการแสดงออกของยีน iNOS และ COX-2 ทำให้การสังเคราะห์ nitric oxide รวมทั้ง PGE2 ลดน้อยลงเป็นลำดับ เว้นแต่สารกลุ่ม phenolic compounds  คือ eupatorin และก็sinensetin แล้วสารกรุ๊ป diterpines ในต้นหญ้าหนวดแมวก็สามารถยั้งการสังเคราะห์ nitric oxide ได้เหมือนกัน นอกจากนี้ยังลดการสังเคราะห์ tumornecrosis factor a อีกด้วย คาดการณ์ว่ากลไกการต้านอักเสบผ่าน transcription factor ที่ชื่อ STAT1a
  • การลดไข้ (antipyretic activity)สารสกัดจากหญ้าหนวดแมวมีคุณลักษณะลดการเกิดไข้ได้โดยสารสำคัญที่ออกฤทธิ์เป็น rosmarinic acid,sinensetin, eupatorin รวมทั้ง tetramethoxy-flavone จุดเด่นที่นอกเหนือจากการต่อต้านอักเสบและลดไข้แล้วยังช่วยลดของกินปวดได้อีกด้วย31 ซึ่งอาการอักเสบ ไข้และปวดจะพบมากในการติดโรคของระบบทางเดินฉี่
  • สภาวะน้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycaemia) การใช้หญ้าหนวดแมวในผู้เจ็บป่วยเบาหวานคงจะมีความปลอดภัยสูงเนื่องด้วยสารสกัดต้นหญ้าหนวดแมว สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูทดลองที่เป็นเบาหวานได้ โดยยั้งเอนไซม์ a-glucosidase เพิ่มการแสดงออกของยีนอินซูลินรวมทั้งคุ้มครองปกป้องความเป็นพิษที่เกิดขึ้นมาจากการรับเดกซ์โทรสขนาดสูงๆ(high glucosetoxicity) โดยผ่านการเติมหมู่ฟอสเฟตให้กับphosphatidylino-sitol 3-kinase (PI3K)


เมื่อทำการสกัดแยกสาร sinensetin ออกมาทดลองฤทธิ์การขัดขวางเอนไซม์ a-glucosidase รวมทั้งa-amylase ก็พบว่าสมรรถนะของสารบริสุทธิ์sinensetin ในการยับยั้งเอนไซม์ a-glucosidase สูงยิ่งกว่าสารสกัดต้นหญ้าหนวดแมว (ethanolic extract) ถึง 7 เท่า ด้วยค่า IC50 พอๆกับ 0.66 และ 4.63 มก.ต่อมิลลิลิตร เป็นลำดับ ในขณะที่สมรรถนะของsinensetin สำหรับเพื่อการยับยั้งเอนไซม์ a-amylase สูงขึ้นยิ่งกว่าสารสกัดหญ้าหนวดแมวถึง 32.5 เท่า ด้วยค่า IC50 พอๆกับ 1.13 แล้วก็ 36.7 มก.ต่อมิลลิลิตรตามลำดับ จึงคาดการณ์ว่าสาร sinensetin บางทีอาจเป็นสารสำคัญในการออกฤทธิ์ของต้นหญ้าหนวดแมวในการต้านทานเบาหวานประเภทที่ไม่ขึ้นกับอินซูลิน (non-insulin-dependent diabetes) ได้

  • ความดันเลือดสูง (Hypertension) สารสกัดต้นหญ้าหนวดแมว สามารถลดสภาวะหลอดเลือดหดรัด (vasoconstriction) ด้วยการหยุดยั้งตัวรับ alpha 1 adrenergic และก็ angiotensin 1 จึงคงจะไม่มีอันตรายในผู้ป่วยความดันเลือดสูง นอกจากจะไม่เป็นอันตรายในคนป่วยความดันโลหิตสูงแล้วยังสามารถนำมาใช้ผลดีสำหรับในการรักษาความดันเลือดสูงได้ด้วย คาดว่าสารสำคัญที่ออกฤทธิ์มาจากกรุ๊ป diterpenes รวมทั้ง methylripario-chromene A
  • พิษต่อเซลล์มะเร็ง (cytotoxicity)ต้นหญ้าหนวดแมวที่สกัดด้วยวิธี supercritical carbon-dioxide ให้ผลที่น่าดึงดูด ในการยั้งการเติบโตของเซลล์ของโรคมะเร็งต่อมลูกหมากด้วยความเข้มข้นที่ยั้งการก้าวหน้าของเซลล์ (inhibitory concemtration) ได้ 50 % เป็นค่า IC50 ต่ำเพียง 28 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร เมื่อศึกษาลงไปในระดับเซลล์ก็พบว่าทำให้เซลล์ตายในลักษณะ apoptosis ที่สามารถมองเห็น nuclearcondensation รวมทั้งความไม่ปกติของเยื่อไมโตคอนเดรียได้อย่างเห็นได้ชัด เมื่อทำสกัดสาร eupatorin มาทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งหลายๆชนิดก็ให้ค่า    IC50  ในระดับตำเป็นไมโครโมล่าร์ ด้วยการหยุดยั้งวงจรการแบ่งเซลล์ ระยะ G2/M phase จุดเด่นที่เหนือยาเคมีบรรเทาในขณะนี้คือ eupatorin ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ธรรมดา
  • การต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (anti-oxidation) สารสกัดหญ้าหนวดแมวสามารถลดสารอนุมูลอิสระ เป็นต้นว่า การลดปฏิกิริยา lipid peroxidation ทำให้เยื่อเซลล์คงทนและก็แข็งแรง ก็เลยลดการเกิดรอยแผลของระบบฟุตบาทปัสสาวะได้  เว้นแต่ลดการเกิดปฏิกิริยา lipid peroxidation แล้วยังสามารถลดการเกิด hydrogen peroxide ได้อีกด้วย ทำให้เซลล์รอดพ้นจากการตายแบบ apoptosis ด้วยการเพิ่มการแสดงออกของยีน  Bcl-2  พร้อมกับลดการแสดงออกของยีน Bax42  Ho แล้วก็แผนกตรวจสอบและลองใช้เคล็ดวิธีultrasound-assisted extraction (UAE) มาช่วยในการสกัดสารจากต้นหญ้าหนวดแมวทำได้สารสกัดที่มีฤทธิ์ต่อต้านปฏิกิริยาขบวนการออกซิเดชัน โดยเจอสารrosmarinic  acid,  kaempferol-rutinoside  แล้วก็sinesetine อยู่ในสารสกัดดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้ว


การเรียนรู้ทางพิษวิทยา เมื่อฉีดสารสกัดด้วยน้ำร้อนจากใบรวมทั้งลำต้นเข้าช่องท้องหนูแรทเพศผู้และก็เพศเมีย หนูเม้าส์เพศผู้และเพศเมีย พบความเป็นพิษปานกลาง   เมื่อป้อนสารสกัดเดียวดันนี้ให้กับหนูแรททั้งสองเพศทุกวันต่อเนื่องกัน 30 วัน ไม่เจอการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัว ค่าการตรวจทางชีวเคมีในเลือด รวมทั้งพยาธิภาวะของอวัยวะสำคัญเมื่อดูด้วยตาเปล่า  และเมื่อเรียนรู้ความเป็นพิษในระยะยาวนาน 6 เดือน โดยการป้อนหนูแรทด้วยยาชงด้วยน้ำร้อน ซึ่งมีความแรงเสมอกันกับ 11.25, 112.5 รวมทั้ง 225 เท่าของขนาดที่ใช้ในคนป่วยโรคนิ่วในท่อไต ไม่เจอความแตกต่างของการเจริญเติบโต  การกินของกิน ลักษณะด้านนอกหรือความประพฤติปฏิบัติที่แตกต่างจากปกติ และค่าการตรวจทางวิชาชีวเคมีในเลือดเมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปควบคุม นอกจากปริมาณเกร็ดเลือดจะมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อใช้ยาในขนาด 18 กรัม/กิโล/วัน พบว่าระดับโซเดียมในเลือดในกลุ่มทดลองทุกกลุ่ม โปแตสเซียมในหนูเพศภรรยา และก็คอเลสเตอรอลในหนูเพศผู้ จะหรูหราต่ำกว่ากรุ๊ปควบคุม   นอกนั้น เมื่อป้อนหนูแรทด้วยสารสกัดจากหญ้าหนวดแมว ติดต่อกันนาน 6 เดือน เปรียบเทียบกลุ่มควบคุม พบว่า หนูทุกกรุ๊ปมีการเจริญเติบโตและก็ทานอาหารได้ใกล้เคียงกัน ไม่พบความไม่ปกติในระบบโลหิตวิทยารวมทั้งความแปลกของอวัยวะภายใน ส่วนการตรวจผลทางชีวเคมีพบว่าหนูที่ได้รับสารสกัดทุกขนาดมีระดับโซเดียมน้อยกว่ากลุ่มควบคุม แต่ว่าระดับโปแตสเซียมมีลักษณะท่าทางสูงมากขึ้น ในหนูเพศผู้ที่ได้รับสารสกัด 0.96 กรัม/กก./วัน จะมีน้ำหนักโดยเฉลี่ยของตับและม้ามมากยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุม อย่างไรก็ดีการตรวจทางจุลพยาธิภาวะไม่พบความแปลกที่เซลล์ตับและก็อวัยวะอื่นๆยกเว้นการโป่งพองของกรวยไตในหนูขาวที่ได้รับสารสกัด 4.8 กรัม/กก./วัน ที่มีปริมาณเพิ่มมากกว่ากรุ๊ปควบคุม  กล่าวโดยสรุปสารสกัดหญ้าหนวดแมวเป็นพิษน้อย  แม้กระนั้นจำเป็นต้องรอติดตามวัดระดับโซเดียมแล้วก็โปแตสเซียมถ้าใช้ติดต่อกันนาน
คำแนะนำ/สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวัง

  • สำหรับคนที่เป็นโรคไตหรือโรคหัวใจ ไม่ควรใช้สมุนไพรต้นหญ้าหนวดแมว เพราะว่าสมุนไพรชนิดนี้มีสารโพแทสเซียมสูงมาก ถ้าหากว่าไตเปลี่ยนไปจากปกติก็จะไม่สามารถขับโพแทสเซียมออกมาได้ ส่งผลให้เกิดโทษต่อสุขภาพร่างกายอย่างร้ายแรง แล้วก็ยังมีฤทธิ์สำหรับการขับปัสสาวะให้ออกมามากยิ่งกว่าปกติ แล้วก็เกรงว่าขนาดของโพแทสเซียมที่สูงมากมายนั้น บางครั้งก็อาจจะไปกระตุ้นหัวใจให้เต้นเร็วไม่ดีเหมือนปกติ ก็เลยอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อโรคหัวใจได้
  • การใช้ใบชองต้นหญ้าหนวดแมวไม่สมควรใช้การต้ม ให้ใช้การชง แล้วก็ควรใช้ใบอ่อน เพราะเหตุว่าใบแก่จะมีความเข้มข้นอาจทำให้มีฤทธิ์กดหัวจิตใจ
  • การเลือกต้นประยุกต์ใช้เป็นยาสมุนไพร ควรเลือกต้นที่ดูแข็งแรง แข็งรวมทั้งหนา ไม่อ่อนห้อยลงมา ลำต้นดูอ้วนเป็นเหลี่ยม ต้นมีสีม่วงแดงเข้ม แล้วก็มองได้จากใบที่มีสีเขียวเข้มเป็นมันและก็ใหญ่
  • การใช้สมุนไพรหญ้าหนวดแมวเพื่อรักษานิ่วจะได้ผลดีก็เมื่อใช้กับนิ่วก้อนเล็กๆแม้กระนั้นจะไม่ได้ผลกับก้อนนิ่วที่มีขนาดใหญ่
  • สมุนไพรหญ้าหนวดแมว ไม่สมควรใช้ร่วมกับยาแอสไพริน เนื่องจากต้นหญ้าหนวดแมวจะทำให้ยาแอสไพรินไปจับกล้ามเนื้อหัวใจเพิ่มมากขึ้น
  • ผลกระทบของหญ้าหนวดแมว ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับคนธรรมดาที่ไม่เคยเป็นโรคหัวใจมาก่อน โดยอาการที่อาจเจอได้เป็น ใจสั่น หายใจไม่สะดวก โดยเหตุนั้นการใช้สมุนไพรประเภทนี้หนแรก แม้ใช้ขั้นตอนการชงดื่มให้ใช้แนวทางจิบๆดูซิ ถ้ามีอาการแตกต่างจากปกติก็ควรจะหยุด แล้วดื่มน้ำตามให้มากมายๆครู่หนึ่งอาการก็จะหายไปเอง
เอกสารอ้างอิ

18

สมุนไพรเมื่อย
ปวดเมื่อย Gnetum montanum Markgraf
บางถิ่นเรียกว่า เมื่อยล้า (จังหวัดตราด) ม่วย (จังหวัดเชียงราย จังหวัดอุบลราชธานี) มะม่วย (จังหวัดเชียงใหม่) แฮนม่วย (เลย)
ไม้เถา เนื้อแข็ง กิ่งเป็นข้อต่อกันแล้วก็ตามข้อจะบวมพอง ใบ ผู้เดียว เรียงเป็นคู่สลับตั้งฉาก ใบรูปขอบขนานแกมรูปไข่ มีขนาดไม่เหมือนกันมาก แต่กว้างไม่เกิน 12 ซม. ยาวไม่เกิน 20 เซนติเมตร ปลายใบเป็นติ่งแหลม โคนใบกลม มน หรือ แหลม ขอบของใบเรียบ เนื้อเรือใบแข็งครึ้ม หรือ ออกจะหนา เมื่อแห้งสีออกดำ เส้นใบโค้ง ก้านใบยาว 1-1.5 ซม. ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอดและก็ตามลำต้น สมุนไพร ช่อดอกแตกกิ่งก้านสาขามา แยกเป็นช่อดอกเพศผู้และก็เพศเมีย ดอกเรียงเป็นชั้นๆรอบศูนย์กลาง ช่อดอกเพศผู้ กว้างโดยประมาณ 0.4 ซม. ยาวราวๆ 3 เซนติเมตร แต่ละชั้นมีประมาณ 20 ดอก ช่อดอกเพศภรรยา แต่ละชั้นมี 5-7 ดอก ผล รูปรี กว้างโดยประมาณ 1 เซนติเมตร ยาว 1.5 ซม. เมื่อสุกสีแดง ก้านผลอ้วน ยาวราว 0.2 เซนติเมตร

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นในขั้นสูงจากน้ำทะเล 50-1,800 มัธยม เจอในทุกภาคของประเทศ ยกเว้นภาคกลาง
คุณประโยชน์ : ราก น้ำสุกรากรับประทานแก้พิษบางประเภท และก็แก้ไข้ไข้มาลาเรีย

Tags : สมุนไพร

19

โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis)
รคสะเก็ดเงิน คืออะไร โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) โรคเกล็ดเงิน หรือโรคเรื้อนกวาง เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังชนิดหนึ่งที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อและไม่ใช่โรคติดต่อ รอยโรคมีลักษณะขึ้นเป็นผื่นหรือปื้นแดง หนา เจ็บ คัน และตกสะเก็ดเป็นเกล็ดสีเงินปกคลุม จึงได้ชื่อว่าโรคสะเก็ดเงิน โดยเกิดจากการแบ่งตัวผิดปกติของเซลล์ผิวหนังอย่างรวดเร็วกว่าปกติโดยการกระตุ้นของสารเคมีจากเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เรียกว่า ลิมโฟไซต์ (Lymphocytes) ชนิดเซลล์ที (T-cell) ทำให้เกิดการอักเสบจนเกิดเป็นผื่นหรือปื้นหนาขนาดใหญ่ และโรคสะเก็ดเงินนี้สามารถเกิดกับผิวหนังได้ทุกส่วน แต่ที่พบได้บ่อยคือ ผิวหนังส่วนข้อศอก (ด้านนอก) เข่า (ด้านนอก) ผิวหนังส่วนด้านหลัง หลังมือ หลังเท้า หนังศีรษะ และใบหน้า โรคสะเก็ดเงินจัดเป็นโรคผิวหนังที่พบได้เรื่อยๆไม่ถึงกับบ่อยมาก(ประมาณ 3% ของคนทั่วไปเกิดได้ในทุกอายุตั้ง แต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ แต่พบได้บ่อยกว่าเมื่ออายุ 25 ปีขึ้นไป เพราะปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรคในเด็กยังมีไม่มาก เช่น ความเครียด การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน ส่วนโอกาสที่พบในผู้หญิงและในผู้ชายมีใกล้เคียงกัน ผู้ป่วยมักจะเริ่มมีอาการครั้งแรกในช่วงอายุ 10-40 ปี ผู้ป่วยประมาณ 30% พบว่ามีประวัติโรคนี้ในครอบครัว
ในปัจจุบัน โรคสะเก็ดเงินไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะทางผิวหนัง แต่อาจพบมีสัมพันธ์กับโรคอื่นๆได้แก่  โรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน และกลุ่ม metabolic syndrome ได้แก่   โรคอ้วน   
                     ที่มา : Wikipedia                       ภาวะไขมันในเลือดสูง และเบาหวาน เป็นต้น
สาเหตุของโรคสะเก็ดเงิน ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรคสะเก็ดเงิน แต่จากการศึกษาเชื่อว่า เกิดจากหลายปัจจัยร่วมกันเช่น อาจเกิดมาจากเซลล์เม็ดเลือดขาวในระบบภูมิคุ้มกันเกิดความผิดปกติ จึงได้ทำลายเซลล์ผิวหนังแทนสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย หรืออาจเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางพันธุกรรม คือ โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคทางพันธุกรรม ที่มีแบบแผนการถ่ายทอดทางพันธุกรรมไม่ชัดเจน โดยพบว่าถ้าบิดาและมารดาเป็นโรคนี้ บุตรที่เกิดมาจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูงถึง 65-83% ถ้าบิดาหรือมารดาคนใดคนหนึ่งเป็นโรค บุตรที่เกิดมาจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ลดลงเหลือ 28-50% หรือถ้ามีพี่น้องในครอบครัวเป็นโรคนี้โดยที่บิดาและมารดาไม่ได้เป็นโรค บุตรคนถัดไปที่เกิดมาก็มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูงถึง 24% แต่ถ้าทั้งบิดาและมารดาไม่เป็นโรคนี้เลย บุตรที่เกิดมาจะมีโอกาสเป็นโรคนี้น้อยลงไปเหลือเพียง 4%  และยังพบว่ายังเกี่ยวข้องกับความผิดปกติอื่นๆ เช่น ความผิดปกติใน metabolism ของ Arachidonic acid และความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของผิวหนัง บริเวณรอยโรคของ Psoriasis เซลล์ผิวหนังในชั้น epidermis มีการแบ่งตัวเร็วกว่าปกติหลายเท่า และเคลื่อนตัวมาที่ผิวนอกภายในเวลา 4วัน (ปกติใช้เวลา 28วัน) ทำให้ผิวหนังหนาเป็นปื้น แต่เซลล์ผิวหนังขาดแรงยึดเหนี่ยวกันตามปกติ ทำให้ keratin หลุดลอกออกเป็นแผ่นๆได้ง่าย มักพบมีอาการกำเริบเวลามีภาวะเครียดทางกาย และจิตใจที่มากเกินไป การติดเชื้อ การได้รับบาดเจ็บ การขูดข่วนผิวหนัง การแพ้แดด การแพ้ยา (เช่น Chloroquin, Beta-Blocker, Contraceptive, NSAIDs)
อาการของโรคสะเก็ดเงิน  อาการของโรคสะเก็ดเงินนี้มีหลายชนิด ซึ่งผู้ป่วยอาจเป็นชนิดเดียวหรือหลายชนิดก็ได้ โดยโรคสะเก็ดเงินจำแนกเป็นชนิดต่างๆตามลักษณะทางคลินิกดังต่อไปนี้

  • ชนิดผื่นหนา (Plaque psoriasis) เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด (ประมาณ 80%) รอยโรคเป็นผื่นแดงหนา ขอบเขตชัด ขุยหนาสีขาวหรือสีเงินจึงได้ชื่อว่า”โรคสะเก็ดเงิน” พบบ่อยบริเวณหนังศีรษะ ลำตัว แขนขา โดยเฉพาะบริเวณ ข้อศอก และหัวเข่าซึ่งเป็นบริเวณที่มีการเสียดสี
  • ชนิดผื่นขนาดเล็ก (Guttate psoriasis) พบได้ประมาณ 10% มีรอยโรคเป็นตุ่มแดงเล็กคล้ายหยดน้ำขนาดเล็กไม่เกิน 1 เซนติเมตร มีขุย ผู้ป่วยมักมีอายุน้อยกว่า 30 ปี และอาจมีประวัติการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนนำมาก่อน
  • ชนิดที่มีตุ่มหนอง (Pustular Psoriasis) เป็นชนิดที่เกิดได้มากในวัยผู้ใหญ่ บริเวณผิวหนังมีตุ่มหนองสีขาวกระจายเป็นวงกว้างและเกิดการอักเสบจนแดง มักพบมากตามแขนขา อาจเกิดการแพร่กระจายไปทั่วลำตัวได้ บางรายอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ไข้ขึ้น รู้สึกคันตามผิวหนัง ไม่อยากอาหาร
  • ชนิดผื่นแดงลอกทั่วตัว (Erythrodermic psoriasis) เป็นสะเก็ดเงินชนิดรุนแรงพบได้น้อย (ประมาณ 3%) โดนผิวหนังมีลักษณะแดงและมีขุยลอกเกือบทั่วพื้นที่ผิวทั้งหมดของร่างกาย อาจเกิดจากการขาดยาหรือมีปัจจัยกระตุ้น
  • สะเก็ดเงินบริเวณซอกพับ (Inverse psoriasis) เป็นโรคสะเก็ดเงินที่มีรอยโรคในบริเวณซอกพับของร่างกาย ได้แก่ รักแร้ ขาหนีบ และใต้ราวนม รอบอวัยวะเพศ เป็นต้น ลักษณะเป็นผื่นแดงเรื้อรังและมักไม่ค่อยมีขุย
  • สะเก็ดเงินบริเวณมือเท้า (Palmoplantar psoriasis) เป็นโรคสะเก็ดเงินบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า ลักษณะเป็นผื่นแดงขอบเขตชัดเจน ขุยลอก ผื่นอาจพบลามมาบริเวณหลังมือ หลังเท้าได้
  • เล็บสะเก็ดเงิน (Psoriatic nails) ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินมักพบมีความผิดปกติของเล็บร่วมด้วย ที่พบบ่อยได้แก่ เล็บเป็นหลุม, เล็บร่อน, เล็บหนาตัวขึ้นและเล็บผิดรูป
  • ข้ออักเสบสะเก็ดเงิน (Psoriatic arthritis) ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินอาจพบมีความผิดปกติการอักเสบของข้อร่วมด้วย ซึ่งพบได้ทั้งข้อใหญ่ ข้อเล็ก อาจเป็นข้อเดียว หรือ หลายข้อ ส่วนใหญ่การอักเสบของมือจะเกิดที่ข้อนิ้วมือซึ่งหากเป็นเรื้อรังและทำให้เกิดการผิดรูปได้

    แนวทางการรักษาโรคสะเก็ดเงิน การวินิจฉัย อาศัยประวัติและการตรวจร่างกายเป็นหลัก คือ

    ลักษณะทางคลินิก

    ซักประวัติอาการ

  • เป็นผื่นเรื้อรัง
  • มีหรือไม่มีอาการคัน
  • มีประวัติครอบครัวที่เป็นโรคสะเก็ดเงินหรือไม่
  • ผื่นกำเริบภายหลังภาวะติดเชื้อ ความเครียด หรือหลังได้รับยาบางชนิด เช่น lithium, antimalarial , beta-blocker, NSAID และ alcohol



การตรวจร่างกาย

  • ผิวหนัง มีผื่นหนาสีแดง ขอบชัดเจนคลุมด้วยขุยหนาขาวคล้ายสีเงิน ซึ่งสามารถขูดออกได้ง่าย และเมื่อขูดขุยหมาดจะมีจุดเลือดออกบนรอยผื่น (Auspitz’s sign) บนรอยแผลถลอกหรือรอยแผลผ่าตัด (Koebner phenomenon)






โดยผื่นผิวหนังพบได้หลายลักษณะ เช่น ผื่นหนาเฉพาะที่  (Chronic plaque type) ผื่นขนาดหยดน้ำ (Guttate psoriasis)  ผิวหนังแดงลอกทั่วตัว (Erythroderma) ตุ่มหนอง (Pustular psoriasis)

  • เล็บ พบมีหลุม (pitting) เล็บร่อน (onycholysis) ปลายเล็บหนามีขุยใต้เล็บ (subungual hyperkeratosis) หรือจุดสีน้ำตาลใต้เล็บ (oil spot)
  • ข้อ มีการอักเสบของข้อซึ่งอาจเป็นได้ทั้งข้อใหญ่ ข้อเล็ก เป็นข้อเดียว หรือหลายข้อ และอาจจะมีข้อพิการตามหลังการอักเสบเรื้อรัง

การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

  • การตรวจทางพยาธิ พยาธิสภาพของผื่นสะเก็ดเงินจะมีลักษณะเฉพาะ แต่ไม่จำเป็นต้องทำทุกราย อาจทำเพื่อช่วยในการวินิจฉัยแยกโรคเพื่อยืนยันการวินิจฉัยและช่วยวินิจฉัยโรคในกรณีที่มีปัญหา เช่น การตรวจ KOH เพื่อแยกโรคเชื้อรา และการทำ Patch Test เพื่อแยกโรค Contact dermatitis เป็นต้น




โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาได้หายขาด แต่การรักษาทำได้เพียงบรรเทาอาการให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้น ลดการอักเสบและผิวหนังที่ตกสะเก็ด ชะลอการเติบโตของเซลล์ผิวหนัง และขจัดผิวหนังที่เป็นแผ่นแข็ง ซึ่งการรักษาสามารถทำได้หลายวิธี
โดยแนวทางการรักษาโรคสะเก็ดเงิน ขึ้นกับความรุนแรงของโรคดังนี้
     - สะเก็ดเงินความรุนแรงน้อย หมายถึง ผื่นน้อยกว่า10% ของพื้นที่ผิวทั่วร่างกาย (ผื่นขนาดประมาณ 1 ฝ่ามือเท่ากับพื้นที่ประมาณ1%) ให้การรักษาโดยใช้ยาทาเป็นอันดับแรก
     - สะเก็ดเงินความรุนแรงมากหมายถึง ผื่นมากกว่า10% ของพื้นที่ผิวทั่วร่างกาย พิจารณาให้การรักษาโดยใช้ยารับประทานหรือฉายแสงอาทิตย์เทียม หรืออาจใช้ร่วมกันระหว่างยารับประทานหรือฉายแสงอาทิตย์เทียมและยาทารวมถึงอาจต้องพิจารณาใช้ยาฉีด
การรักษาโรคสะเก็ดเงินในปัจจุบันมีการรักษาอยู่ 4 ประเภท ได้แก่
ยาทาภายนอก ยาทารักษาโรคสะเก็ดเงิน มีหลายชนิด ได้แก่
     1.ยาทาคอติโคสเตียรอยด์ (topical corticosteroids) ส่วนใหญ่นิยมใช้เนื่องจากเป็นครีมขาวใช้ง่าย และตอบสนองต่อการรักษาดีแต่หากใช้ยาที่แรงเกินไปร่วมกับทาเป็นระยะเวลานานจะทำให้เกิดผิวหนังบางและเกิดรอยแตกของผิวหนังได้ รวมถึงอาจเกิดการดื้อยาและอาจกดการทำงานของต่อมหมวกไตได้

  • น้ำมันดิน (tar)มีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลผิวหนังที่ผิดปกติ ประสิทธิภาพดี แต่น้ำมันดินมีสีน้ำตาล กลิ่นเหม็น เวลาทาอาจทำให้เปรอะเปื้อนเสื้อผ้าอาจพบผลข้างเคียงคือเกิดรูขุมขนอักเสบ หรือระคายเคืองผิวหนังบริเวณที่ทายาได้
  • แอนทราลิน (anthralin, dithranol)มีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลผิวหนังที่ผิดปกติ แต่อาจทำให้ระคายเคืองผิวหนังรวมถึงผิวหนังบริเวณที่ทายามีสีคล้ำขึ้นได้
  • อนุพันธ์วิตามิน ดี (calipotriol)มีฤทธิ์ทำให้การแบ่งตัวของเซลผิวหนังกลับสู่ปกติข้อเสียของยานี้คือหากทาบริเวณผิวหนังที่บาง อาจมีการระคายเคืองได้ และยามีราคาแพงปัจจุบันมียาทาที่ผสมระหว่างอนุพันธ์วิตามิน ดี และยาทาคอติโคสเตียรอยด์เข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดผลข้างเคียง
  • ยาทากลุ่ม calcineurin inhibitor (tacrolimus,pimecrolimus) เป็นยากลุ่มใหม่แพทย์บางรายนำมาใช้ในการรักษาผื่นโรคสะเก็ดเงินบริเวณหน้าหรือตามซอกพับเพื่อต้องการหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงจากยาทาคอติโคสเตียรอยด์แต่ยังไม่แพร่หลายเนื่องจากยามีราคาแพง
ยารับประทานรักษาโรคสะเก็ดเงิน พิจารณาให้กรณีสะเก็ดเงินรุนแรงปานกลางถึงมาก ที่ใช้บ่อยในประเทศไทยมี 3 ชนิด

  • เมทโทเทรกเสท (methotrexate) เป็นยาที่ได้ผลดีกับสะเก็ดเงินเกือบทุกชนิด ออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลผิวหนังที่ผิดปกติ รวมถึงมีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันของร่างกาย ผลข้างเคียงของเมทโทเทรกเสทที่อาจพบ ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน หากรับประทานยาติดต่อกันนานหลายปีจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดตับแข็งได้ แพทย์จึงต้องทำการตรวจเลือดผู้ป่วยเพื่อดูการทำงานของเม็ดเลือด ตับละไตเป็นระยะ
  • อาซิเทรติน (acitretin) เป็นยารับประทานในกลุ่ม vitamin A ได้ผลดีมากสำหรับสะเก็ดเงินชนิดตุ่มหนอง ผลข้างเคียงที่อาจพบ ได้แก่ ปากแห้งลอก ผิวแห้ง มือเท้าตึงลอก รอบเล็บอักเสบ ระดับไขมันในเลือดสูง และอาจทำให้เกิดตับอักเสบได้ ข้อควรระวังสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับยานี้คือ ห้ามตั้งครรภ์เนื่องจากทารกในครรภ์อาจพิการได้ โดยต้องคุมกำเนิดขณะรับประทานและต้องคุมกำเนิดต่อไปอีกอย่างน้อย 2 ปีหลังหยุดยา
  • ไซโคลสปอริน (cyclosporin) มีฤทธิ์ลดการอักเสบและยับยั้งภูมิคุ้มกันของร่างกาย ประสิทธิภาพในการรักษาดีใช้กรณีสะเก็ดเงินรุนแรงปานกลางถึงมาก ผลข้างเคียง ได้แก่ ขนยาว เหงือกบวม เป็นพิษต่อไต และความดันโลหิตสูง ดังนั้นจึงต้องเจาะเลือดติดตามการทำงานของไตและวัดความดันโลหิตเป็นระยะ
การฉายแสงอาทิตย์เทียม (Phototherapy)
     เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลดีในการรักษาสะเก็ดเงิน โดยจะใช้รังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งปัจจุบันที่ใช้ในการรักษาโรคสะเก็ดเงินมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ รังสีอัลตราไวโอเลต A (320-400nm) และรังสีอัลตราไวโอเลต B (290-320nm) ซึ่งผู้ป่วยต้องมารับการรักษา 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 เดือนติดต่อกัน โดยจะให้ผลดีประมาณ 70 - 80% ขึ้นไป พบผลข้างเคียงน้อย  ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคันและแดงบริเวณผิวหนังที่ฉายแสงหลังทำการรักษา ข้อดีคือส่วนใหญ่การกลับเป็นซ้ำของโรคจะน้อยกว่าการรักษาโดยใช้ยาทาหรือยารับประทาน
ยาฉีดกลุ่มชีวภาพ (Biological agents)
     เป็นยาใหม่ที่มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย อยู่ในรูปยาฉีดเข้าเส้นหรือเข้าใต้ชั้นไขมัน ซึ่งยาบางชนิดฉีดสัปดาห์ละ  2 ครั้ง บางชนิดอาจฉีดห่างกันทุก 3 เดือน ซึ่งยาฉีดประเภทที่กล่าวมานี้ เช่น อะเลฟเซ็บ (Alefacept) อีทาเนอร์เซ็บ (Etanercept) อีฟาลิซูแม็บ (Efalizumab) อินฟลิกซิแมบ (Infliximab)  ข้อเสียคือ ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่เนื่องจากยาในกลุ่มนี้เป็นยาใหม่ จึงต้องติดตามผลข้างเคียงระยะยาว นอกจากการรักษาข้างต้นที่กล่าวมาแล้วนั้น การให้ความรู้ผู้ป่วยและญาติมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน การเข้าใจความจริงที่ว่าสะเก็ดเงินเป็นโรคไม่ติดต่อ ผู้ป่วยจะไม่ถูกรังเกียจจากคนรอบข้าง ญาติและคนใกล้ชิดควรเข้าใจและให้กำลังใจผู้ป่วย
ปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคสะเก็ดเงิน

  • พันธุกรรม เพราะพบโรคได้สูงในคนมีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้
  • อาจติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียบางชนิดบ่อยๆเช่น โรคต่อมทอนซิลอักเสบจากเชื้อ สเตร็ปโตคอกคัส
  • ภาวะมีความเครียด เพราะความเครียดส่งผลให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำหรือ ผิดปกติได้
  • มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคผิดปกติหรือบกพร่อง เพราะพบโรคได้สูงขึ้นในคนกลุ่มนี้เช่น ผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) หรือโรคเอดส์
  • กินยาบางชนิดเช่น ยาลดความดันโลหิตบางชนิด หรือยาทางด้านจิตเวชบางชนิด หรือ ยาที่มีผลกดภูมิคุ้มกันต้านทานโรคเช่น ยาในกลุ่มสเตียรอยด์
  • ในคนสูบบุหรี่ ซึ่งอาจจากสารพิษต่างๆในควันบุหรี่ส่งผลต่อภูมิคุ้มกันต้านทานโรค หรือ เพราะมีความเครียดจึงสูบบุหรี่
  • ในคนอ้วนหรือโรคอ้วน
การติดต่อของโรคสะเก็ดเงิน เนื่องจากโรคสะเก็ดเงินเป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่นอนแต่เชื่อกันว่าเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน เช่น พันธุกรรม ภูมิต้านทาน/ภูมิคุ้มกัน ที่ผิดปกติ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ที่ทำให้เกิดโรคสะเก็ดเงินขึ้นมาและโรคสะเก็ดเงินไม่ใช่โรคติดต่อ ดังนั้นคนที่สัมผัสคนเป็นโรคสะเก็ดเงินหรือผิวหนังส่วนเกิดโรคหรือแม้แต่สะเก็ดของผิวหนังส่วนเกิดโรคจึงไม่เกิดเป็นโรคสะเก็ดเงินแต่อย่างใด อีกทั้งยังไม่มีรายงานว่าโรคสะเก็ดเงินมีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คน
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคสะเก็ดเงิน

  • ปฏิบัติตามแพทย์/พยาบาลแนะนำ
  • ทายา กินยาตามแพทย์แนะนำอย่างถูกต้อง อย่าขาดยา
  • หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยต่อความรุนแรงของโรคดังกล่าวแล้ว โดยเฉพาะบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • อาบน้ำโดยใช้สบู่เด็กอ่อน อาจใช้สบู่สำหรับผิวแห้งมาก (สบู่ผสมน้ำมัน) ในบริเวณผิว หนังส่วนเกิดโรค
  • กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายแข็ง แรงลดโอกาสติดเชื้อ
  • ตากแดดอ่อนๆทุกวันตามแพทย์/พยาบาลแนะนำ
  • หลีกเลี่ยงภาวะที่จะทำให้เครียดเพราะความเครียดเป็นตัวเร็งให้อาการของโรคกำเริบ
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและมีสุขภาพจิตที่ดี
  • พบแพทย์ตามนัดเสมอ และรีบพบก่อนนัดเมื่ออาการต่างๆเลวลง หรือมีอาการผิดปกติไปจากเดิม หรือเมื่อกังวลกับอาการ
การป้องกันตนเองจากโรคสะเก็ดเงิน เนื่องจากโรคสะเก็ดเงินยังไม่พบสาเหตุการเกิดที่แน่ชัดดังนั้น การป้องกันโรคจึงยังไม่สามารถทำได้เต็มประสิทธิภาพ แต่ทางที่ดีที่สุดในการป้องกันโรค คือ ต้องพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นของการเกิดโรค เช่น พยายามหลีกเลี่ยงความเครียดในชีวิตประจำวันให้มากที่สุด การรับประทานยาบางชนิดควรมีการปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยา เช่น ยาลิเทียม ยาต่อต้านมาลาเรีย (Chlroquine)  ยาลดความดันโลหิต (Bota-Blocker) ยาในกลุ่มลดการอักเสบ (NSAIDs) พยายามดูแลผิวหนังไม่ให้บาดเจ็บจากสิ่งแวดล้อมภายนอก หากเกิดอาการผิดปกติบริเวณผิวหนังควรมีการพบแพทย์โดยด่วน
สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/รักษาโรคสะเก็ดเงิน
มีรายงานการศึกษาวิจัยในปัจจุบัน สมุนไพรที่ใช้รักษาโรคสะเก็ดเงินในคนยังมีการศึกษาไม่มาก สมุนไพรที่มีการวิจัยในคนของโรคสะเก็ดเงิน ได้แก่ ว่านหางจระเข้ โดยทดสอบในผู้ที่เป็นโรคเรื้อนกวาง 60 คน ใช้สารสกัดว่านหางจระเข้ (0.5%) ในรูปครีมทาบริเวณที่เป็นวันละ 3 ครั้ง นาน 16 สัปดาห์ และติดตามผลทุกเดือนอีก 12 เดือน พบว่าสารสกัดว่านหางจระเข้สามารถรักษาโรคเรื้อนกวางได้ 83.3% เมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอกที่รักษาได้เพียง 6.6% นอกจากนี้มีตำรับยาทาที่มีส่วนประกอบคือ dimethicone 6 ออนซ์ cyclomethicone 2 ออนซ์ mineral oil 7.5 ซีซี. เจลว่านหางจระเข้ 7.5 ซีซี. วิตามินอี 7.5 ซีซี. วิตามินเอ 3.75 ซีซี. สังกะสี 3.75 ซีซี. และน้ำ 0.625 ซีซี. ว่าสามารถรักษาโรคสะเก็ดเงินได้  และสารสกัดน้ำจากบัวบก สามารถต้านการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังชั้น keratin ที่ทดสอบในหลอดทดลองซึ่งในโรคเรื้อนกวางเป็นโรคที่มีการแบ่งตัวของผิวหนังชั้น keratin ที่เร็วกว่าปกติ ซึ่งผู้วิจัยคิดว่าบัวบกมีศักยภาพในการนำมาพัฒนาเป็นยาทาภายนอก
ว่านหางจระเข้ ชื่อวิทยาศาสตร์ Aloe vera (L.) Burm.f. จัดอยู่ในวงศ์ XANTHORRHOEACEAE และอยู่ในวงศ์ย่อย ASPHODELOIDEAE

สรรพคุณของว่านหางจระเข้

  • วุ้นว่านหางจระเข้มีสรรพคุณช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ช่วยป้องกันและลดการเกิดแผลในกระเพาะขณะท้องว่าง ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารต่าง ๆ
  • ใช้เป็นถ่าย ยาระบาย ที่เปลือกของว่านหางจระเข้จะมีน้ำยางสีเหลือง ในน้ำยางจะมีสารแอนทราควิโนน (Anthraquinone) ที่มีฤทธิ์เป็นยาระบาย หากนำน้ำยางไปเคี่ยวให้น้ำระเหยออกแล้วทิ้งไว้ให้เย็น ก็จะได้สารสีน้ำตาลเกือบดำ หรือเรียกว่า “ยาดำ” ซึ่งยาดำนี้เองใช้เป็นส่วนผสมในตำรับยาแผนโบราณที่ต้องการให้มีฤทธิ์เป็นยาระบายอยู่หลายตำรับ
  • ช่วยรักษาแผลสด แผลจากของมีคม แผลที่ริมฝีปาก แก้ฝี แก้ตะมอย ด้วยการใช้วุ้นจากใบนำมาแปะบริเวณแผลให้มิดชิดและใช้ผ้าปิดไว้ แล้วหยอดน้ำเมือกลงตรงแผลให้ชุ่มอยู่เสมอ หรือจะเตรียมเป็นขี้ผึ้งก็ได้
  • ช่วยรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ช่วยดับพิษร้อนบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนจากแผล ด้วยการใช้วุ้นจากใบสดที่ล้างน้ำสะอาด แล้วฝานบาง ๆ นำมาทาหรือแปะไว้บริเวณแผลตลอดเวลา จะช่วยทำให้แผลหายเร็วมากขึ้นและอาจไม่เกิดรอยแผลเป็นด้วย
  • ช่วยรักษาโรคสะเก็ดเงิน ช่วยลดการตกสะเก็ดและลดอาการคันของโรคเรื้อนกวาง ทำให้แผลดูดีขึ้น
บัวบก ชื่อสามัญ Gotu kola ชื่อวิทยาศาสตร์ Centella asiatica (L.) Urb. จัดอยู่ในวงศ์ผักชี (APIACEAE หรือ UMBELLIFERAE)
สรรพคุณของใบบัวบก

  • ช่วยรักษาอาการมีหนองออกจากปัสสาวะ
  • ช่วยแก้อาการน้ำดีในร่างกายมากเกินไป
  • ช่วยแก้อาการฟกช้ำ ด้วยการใช้ใบบัวบกมาทุบให้แหลกแล้วนำมาโปะบริเวณที่ฟกช้ำ หรือจะใช้ใบบัวบกประมาณ 40 กรัม ต้มกับเหล้าแดงประมาณ 250 ประมาณ 1 ชั่วโมงแล้วนำมาดื่ม
  • ใช้บัวบกตำนำมาพอกรักษาความร้อนบวมของโรคไฟลามทุ่ง หรือใช้รักษาอาการด้วยการใช้น้ำคั้นบัวบกนำมาผสมกับแป้งข้าวเหนียวทำเป็นแป้งเหลว พอกบริเวณที่เป็น
  • ช่วยรักษาพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย
  • ช่วยรักษาโรคผิวหนังต่าง ๆ เช่น โรคเรื้อน โรคสะเก็ดเงิน หิด หัด เป็นต้น
  • บัวบกมีการนำมาผลิตเป็นแคปซูลวางจำหน่าย มีสรรพคุณในการช่วยบำรุงสมองเป็นหลัก (Brain tonic)
  • น้ำใบบัวบกเป็นเครื่องดื่มที่เหมาะสำหรับหน้าร้อนเป็นอย่างมาก เพราะมีฤทธิ์เป็นยาเย็นดับร้อนในร่างกายได้สารพัด
เอกสารอ้างอิง

  • ผศ.พญ.ชนิษฏา วงษ์ประภารัตน์.โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) .ภาควิชาอาจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล.
  • นายแพทย์สุรเกียรติ อาชานานุภาพ. สิงหาคม 2544 . Psoriasis. ตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป. ครั้งที่ สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน กรุงเทพฯ 10400. พิมพ์ดี กรุงเทพฯ. หน้า 664-666
  • แนวทางเวชปฏิบัติโรคสะเก็ดเงิน Psoriasis . สถาบันโรคผิวหนัง.กรมการแพทย์.กระทรวงสาธารณสุข.หน้า14-26
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป “โซริอาซิส/โรคเกล็ดเงิน (Psoriasis)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 1019-1024.
  • โรคสะเก็ดเงิน-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม. http://www.disthai.com/
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  • Roger C. Cornell, M.D.,Richard B. Stoughton, M.D. Topical Corticosteroid. 1985 Hoechst Aktiengesellscsast. West Germany. Page 17,28-31
  • Luba, K., and Stulberg, D. (2006). Chronic plaque psoriasis. Am Fam Physician, 73, 636-644.
  • อภิชาติ ศิวยาธร. กรกฎาคม Psoriasis. คลินิกโรคผิวหนังต้องรู้. ครั้งที่ 4. สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน กรุงเทพฯ 10400. พิมพ์ดี กรุงเทพฯ. หน้า 102-108
  • สมุนไพรรักษาโรคสะเก็ดเงิน.หัวข้อถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัย.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก



Tags : โรคสะเก็ดเงิน

20

โรคไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism, Thyrotoxicosis)
โรคไทรอยด์เป็นพิษเป็นอย่างไร ก่อนจะทำความเข้าใจกับโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษนั้น ควรจะทำความรู้จักกับต่อมไทรอยด์กันก่อนต่อมไทรอยด์ คือต่อมที่อยู่ด้านหน้าของบริเวณลำคอใต้ลูกกระเดือก รวมทั้งชิดกับหลอดลม มีลักษณะเหมือนผีเสื้อ ลักษณะทางด้านกายภาพของต่อมแบ่งเป็นทั้งหมดทั้งปวง 2 ส่วน คือ ส่วนซ้ายและก็ส่วนขวา ซึ่งต่อมทั้งยัง 2 ซีกจะเชื่อมกันด้วยเนื้อเยื่ออิสมัส (Isthmus) โดยต่อมไทรอยด์จะปฏิบัติภารกิจสำหรับในการผลิตฮอร์โมนที่สำคัญ 3 ชนิด เป็นไทโรซีน (Thyroxine - T4) และฮอร์โมนไทรไอโอโดไทโรนีน (Triiodothyronine - T3) ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในการควบคุมการเผาผลาญของร่างกายที่เรียกว่า เมตาบอลิซึม (Metabolism)  รวมถึงฮอร์โมนแคลซิโทนิน (Calcitonin) ที่ทำหน้าที่ในการควบคุมระดับแคลเซียมแล้วก็ฟอสฟอรัสในระบบไหลเวียนของเลือด  ยิ่งไปกว่านี้ต่อมไทรอยด์ยังเป็นต่อมสถานที่สำหรับทำงานโดยอยู่ภายใต้การดูแลดูแลของต่อมใต้สมอง (Pituitary gland) รวมทั้งของสมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ซึ่งอีกทั้งต่อมใต้สมองรวมทั้งสมองไฮโปทาลามัสยังควบคุมลักษณะการทำงานของอวัยวะอื่นๆด้วย เช่น ต่อมหมวกไต อัณฑะ และรังไข่ รวมทั้งยังมีความข้องเกี่ยวกับอารมณ์และจิตใจ ด้วยเหตุผลดังกล่าว ถ้าหากการทำงานของต่อมไทรอยด์ มีภาวะไม่ปกติ จึงอาจส่งผลให้กำเนิดโรคต่างๆของอวัยวะเหล่านั้น รวมถึงสโมสรกับอารมณ์แล้วก็จิตใจด้วย  ส่วนโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ เป็นสภาวะต่อมไทรอยด์ดำเนินงานเกิน(Overactive Thyroid) เป็นสภาวะที่ต่อมไทรอยด์* มีการหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์ออกมามากเกินไป กระตุ้นให้อวัยวะทั่วร่างกายมีการเผาผลาญสูงกว่าปกติและก็ทำให้ระบบต่างๆของร่างกายเปลี่ยนไปจากปกติตามไปด้วย ซึ่งเป็นสาเหตุนำมาซึ่งลักษณะของการเจ็บเจ็บไข้ๆต่างขึ้นตามมา อาทิเช่น อ่อนล้าง่าย ใจสั่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ขี้ร้อนง่าย เหงื่อออกมาก อารมณ์เสีย นอนไม่หลับ น้ำหนักตัวลดลงอย่างเร็วแบบไม่ดีเหมือนปกติ เป็นต้น โดยโรคนี้พบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าเพศชายถึง 5-10 เท่า
ที่มาของโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ต่อมไทรอยด์เป็นพิษมีหลายสาเหตุ  แต่ว่าส่วนใหญ่มีสาเหตุจากระบบภูมิคุ้มกันยับยั้งโรคของร่างกายที่เปลี่ยนไปจากปกติกระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์ทำงานมากเหลือเกิน จนทำให้ร่างกายมีปริมาณของฮอร์โมนต่อมไทรอยด์มากยิ่งกว่าความปรารถนาของร่างกาย รวมทั้งมีสภาพการณ์เป็นพิษ กระทั่งมีผลต่อร่างกายในด้านต่างๆซึ่งเราเรียกสภาวะที่ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนมากเกินว่า สภาวะต่อมไทรอยด์                      ที่มา :  wikipedia                   ทำงานเกิน  (hyperthyroidism)  และเรียกอาการเจ็บเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นมาจากภาวะมีฮอร์โมนต่อมไทรอยด์    มากเกินนี้ว่า ภาวะพิษจากต่อมไทรอยด์ (thyrotoxicosis) โดยสาเหตุการเกิดโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษนั้นมีได้นานัปการต้นเหตุ ดังนี้

  • โรคเกรฟส์ หรือ โรคคอพอกตาโปน (Graves’ disease) เป็นสาเหตุที่พบได้มากที่สุดราว 60-80% ของคนไข้ต่อมไทรอยด์เป็นพิษทั้งผอง ซึ่งโรคนี้จะก่อให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนไทโรซีนออกมามากมายแตกต่างจากปกติจนทำให้แปลงเป็นพิษ และเป็นโรคที่พบมากในวัยรุ่นแล้วก็วัยกลางคน พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายราว 5-10 เท่า ต้นเหตุของการเกิดโรคยังไม่ทราบชัดเจนว่ามีเหตุมาจากอะไร แต่ว่าพบว่ามีความเกี่ยวเนื่องกับเพศ (พบในผู้หญิงมากยิ่งกว่าผู้ชาย) และก็กรรมพันธุ์ (พบว่าผู้เจ็บป่วยบางรายมีประวัติพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคนี้ด้วย) การสูบยาสูบจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้มากขึ้น นอกนั้นยังเจอด้วยว่า ความเคร่งเครียดก็มีส่วนกระตุ้นให้โรคกำเริบเสิบสานได้
  • เนื้องอกที่ต่อมไทรอยด์ เป็นในกรณีที่เจอได้น้อย เช่นกัน เนื้องอกที่เกิดรอบๆต่อมไทรอยด์ และเนื้องอกที่เกิดบริเวณต่อมใต้สมอง อาจก่อให้เกิดการหลั่งของฮอร์โมนต่อมไทรอยด์เยอะขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นพิษได้
  • การอักเสบของต่อมไทรอยด์ (Thyroiditis) การอักเสบที่ไม่รู้จักที่มาของต่อมไทรอยด์จะทำให้ฮอร์โมนต่อมไทรอยด์ถูกสร้างออกมาเพิ่มมากขึ้น และทำให้ฮอร์โมนรั่วไหลออกไปที่กระแสโลหิต ทั้งนี้การอักเสบของต่อมไทรอยด์จำนวนมากไม่มีลักษณะการเจ็บ เว้นเสียแต่อาการต่อมไทรอยด์อักเสบแบบครึ่งหนึ่งกระทันหันที่เกิดขึ้นได้น้อย สามารถส่งผลให้เกิดลักษณะของการเจ็บได้
  • การทานอาหาร การทานอาหารที่มีไอโอดีนมากจนเกินความจำเป็นก็สามารถนำมาซึ่งโรคไทรอยด์เป็นพิษ เนื่องจากไอโอดีนเป็นส่วนประกอบสำคัญสำหรับการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์แต่เจอได้น้อยมาก
  • การได้รับการเสริมฮอร์โมนต่อมไทรอยด์ที่มากเกินไป ยาที่มีส่วนประกอบของไอโอดีนบางจำพวก ตัวอย่างเช่น ยาอะไมโอดาโรน (Amiodarone) ที่ใช้เพื่อการรักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ จะมีผลให้เกิดการหลั่งของฮอร์โมนต่อมไทรอยด์เยอะขึ้นจนถึงกลายเป็นพิษได้
ลักษณะโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ
ไม่ว่าจะมีต้นเหตุจากเหตุผลใด มักมีอาการคล้ายกัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง คนป่วยจะรู้สึกเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ใจสั่นหวิว ใจสั่น บางบุคคลอาจมีอาการเจ็บหน้าอก ร่วมด้วย มักจะมีความรู้สึกขี้ร้อน เหงื่อออกมาก ฝ่ามือมีเหงื่อชุ่ม  ผู้ป่วยจะมีน้ำหนักตัวลดลงรวดเร็ว ถึงแม้ว่ากินได้ปกติ หรืออาจกินจุขึ้นกว่าปกติด้วย ทั้งนี้ด้วยเหตุว่าร่างกายมีการเผาผลาญมากมักมีลักษณะมือสั่น โดยเฉพาะเวลาทำงาน ละเอียด ยกตัวอย่างเช่น เขียนหนังสือ งานฝีมือ เป็นต้น อาจมีลักษณะวุ่นวาย ชอบทำโน่นทำนี่ ครั้งคราวมองเป็นคนขี้ตื่น หรืออิริยาบถลุกลน อาจมีอาการหงุดหงิด เจ้าอารมณ์ นอนไม่หลับ หรืออารมณ์เซื่องซึม บางบุคคลอาจมีอาการถ่ายเหลวบ่อยครั้งคล้ายท้องร่วง หรือมีลักษณะอาการอาเจียนอ้วก ส่วนอาการที่พบได้มากที่สุดในคนที่มีอาการไทรอยด์เป็นพิษคือ อาการคอพอก ซึ่งเป็นอาการที่ต่อมไทรอยด์โตขึ้น คนป่วยจะรู้สึกหรือมองเห็นก้อนขนาดใหญ่ที่รอบๆคอ  หญิงอาจมีรอบเดือนออกน้อย หรือมาไม่บ่อยนัก หรือขาดระดู มักตรวจเจอว่ามีต่อมไทรอยด์โต (คอพอก) ชีพจรเต้นเร็ว (มากกว่า 120 -140 ครั้งต่อนาที) และก็อาจมีอาการตาโปน (ลูกตาปูดโปนออกมามากยิ่งกว่าปกติ) และก็มองเห็นส่วนที่เป็นตาขาวด้านบนชัด (เพราะเหตุว่าหนังตาบนหดรั้ง) คล้ายทำตาเพ่งดูอะไรหรือตาดุ ผิวหนังลูบคลำมองมีลักษณะเรียบนุ่มแล้วก็มีเหงื่อเปียก
ทั้งนี้ถ้าเกิดผู้เจ็บป่วยมีภาวการณ์ไทรอยด์เป็นพิษที่ไม่ร้ายแรงมากสักเท่าไรนัก ก็บางทีอาจไม่มีอาการใดๆแสดงออกมา โดยยิ่งไปกว่านั้นผู้สูงอายุที่อาการมักไม่ค่อยแสดงออกอย่างแจ่มแจ้งมากนัก
แนวทางการรักษาโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ การวิเคราะห์โรคไทรอยด์เป็นพิษด้วยตัวเอง วิธีวินิจฉัยโรคไทรอยด์เป็นพิษด้วยตัวเองแบบง่ายๆก็คือการสังเกตความไม่ดีเหมือนปกติของร่างกาย ถ้ามีลักษณะอะไรก็แล้วแต่ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น น้ำหนักลดไม่ดีเหมือนปกติ มือสั่น อิดโรยง่าย หายใจสั้น หรือมีอาการบวมที่บริเวณคอ ควรรีบไปพบแพทย์ ส่วนการวิเคราะห์โรคไทรอยด์เป็นพิษโดยแพทย์นั้น จะวิเคราะห์เบื้องต้นจากอาการแสดงของโรค ตัวอย่างเช่น ใจสั่น อ่อนแรงง่าย น้ำหนักลด มือสั่น ชีพจรเต้นเร็ว ต่อมไทรอยด์โต และก็ตาโปน  และก็ถ้าหากพบว่ามีลักษณะอาการกลุ่มนี้ หมอจะทำการตรวจเพิ่มอีกดังต่อไปนี้

  • การวิเคราะห์เลือด เป็นการเจาะเลือดเพื่อตรวจการปฏิบัติงานของต่อมไทรอยด์รวมทั้งการเผาไหม้ ยกตัวอย่างเช่น
  • การวัดปริมาณฮอร์โมนไทรอยด์ ปริมาณของฮอร์โมนต่อมไทรอยด์ T3 และ T4 ในเลือด
  • การตรวจครั้งเอสเอช (Thyroid-stimulating hormone : TSH) เป็นการตรวจวัดระดับฮอร์โมนต่อมใต้สมองที่มีบทบาทควบคุมรูปแบบการทำงานของต่อมไทรอยด์ ซึ่งในคนป่วยไทรอยด์เป็นพิษชอบมีค่า TSH ที่ต่ำกว่าปกติ
  • การวัดระดับปริมาณแอนติบอดีของต่อมไทรอยด์ (Thyroidglobulin) เป็นการตรวจที่ช่วยวินิจฉัยโรคเกรฟส์ซึ่งเป็นต้นเหตุที่มักพบที่สุดของภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษ
  • การตรวจเอกซเรย์ เป็นการตรวจที่สามารถช่วยให้แพทย์เห็นการทำงานแล้วก็ความผิดแปลกของฮอร์โมนต่อมไทรอยด์ได้ชัดขึ้น อาทิเช่น
  • การตรวจอัลตราซาวนด์ เป็นการตรวจที่ช่วยวัดขนาดของต่อมไทรอยด์และความแปลกของต่อมไทรอยด์
  • การตรวจสแกนต่อมไทรอยด์ (Thyroid scan) เป็นการตรวจโดยใช้รังสีเพื่อเห็นลักษณะการทำงานของต่อมไทรอยด์ว่าต่อมไทรอยด์มีการงานที่มากเปลี่ยนไปจากปกติหรือไม่
  • การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบซีทีสแกน (CT scan) หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า/เอ็มอาร์ไอ (MRI) หมอมักใช้ในกรณีที่สงสัยว่าความไม่ปกติของต่อมไทรอยด์อาจมีเนื้องอกหรือมะเร็ง รวมทั้งการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองจะใช้ในกรณีที่หมอสงสัยว่าสาเหตุของต่อมไทรอยด์เป็นพิษอาจเป็นเพราะต่อมใต้สมองหลั่งฮอร์โมนไม่ปกติ

การดูแลและรักษาหลักของไทรอยด์เป็นพิษเป็นการกินยา เมื่ออาการดียิ่งขึ้น หมอจะค่อยๆลดยาลง รวมทั้ง หยุดยาได้สุดท้าย ถ้าหากรับประทานยาแล้วไม่ดีขึ้น อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการใช้การผ่าตัด หรือ การกินไอโอดีนกัมมันตรังสี ช่วงเวลาเฉลี่ยสำหรับการรักษามักจะราว 2 ปี ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้

  • การรักษาด้วยยา ผู้ป่วยที่มีอายุน้อยมีอาการไม่รุนแรงมากรวมทั้งต่อมไทรอยด์ไม่โตมากมาย หมอมักแนะ นำให้รักษาโดยใช้ยาก่อน ยาที่ใช้รักษานี้จะเป็นยาลดการสร้างฮอร์โมนต่อมไทรอยด์และก็ยาลดอาการใจสั่น คนป่วยสุดที่รักษาด้วยยานี้จะต้องสามารถรับประทานยาเสมอๆอย่างสม่ำเสมอตลอดตามแพทย์แนะนำ โดยทั่วไปหมอจะเสนอแนะให้รับประทานยาโดยประมาณ 1 ถึง 2 ปีโดยในขณะที่รักษาด้วยยาอยู่นี้หมอจะนัดตรวจติดตามดูอาการและเจาะเลือดวัดระดับฮอร์โมนไทรอยด์เป็นประจำเป็นต้นว่า ทุก 1 - 2 เดือนเพื่อมั่นใจว่าผู้ป่วยกินยาในขนาดที่สมควร ไม่มากมายหรือไม่พอ จุดด้วยของการดูแลและรักษา ด้วยยาคือ คนป่วยมักจะจำต้องกินยานานเป็นปี มีโอกาสเกิดการแพ้ยาได้


ซึ่งยาที่ใช้ในตอนนี้เป็นกรุ๊ป ยาต้านทานไทรอยด์ ตัวอย่างเช่น ยาเม็ดพีทียู (PTU) หรือเมทิมาโซล (methimazole) ยานี้มีผลข้างเคียงที่สำคัญเป็น อาจทำให้เกิดภาวะ เม็ดเลือดขาวต่ำ ซึ่งทำให้ติดโรครุนแรงได้ ซึ่งพบได้ราวๆ 1 ใน 200 คน และชอบเกิดขึ้นในระยะ 2 เดือนแรกของการใช้ยา

  • การรักษาด้วยการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ สำหรับคนป่วยที่ต่อมไทรอยด์โตมากมายหรือมีลักษณะหายใจลำบากหรือกลืนลำบาก เนื่องจากว่าต่อมไทรอยด์ที่โตขึ้นกดเบียดทับหลอดลม หรือหลอดของกิน ซึ่งทั้งสองอวัยวะนี้อยู่ชิดกับต่อมไทรอยด์ แพทย์จะชี้แนะให้รักษาด้วยการใช้การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออกเล็กน้อยเพื่อต่อมไทรอยด์มีขนาดเล็กลง จะได้สร้างฮอร์โมนไทรอยด์ได้ลดน้อยลง รวมทั้งอาการหายใจลำบากหรือกลืนตรากตรำจะดีขึ้น ถึงแม้ว่าเป็นแนวทางที่ทำให้หายจากสภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษได้อย่างเร็ว แต่ว่าก็อาจเกิดผลใกล้กันจากการผ่าตัดได้เช่น เสียงแหบจากผ่าตัดโดนเส้นประสาทกล่องเสียงที่อยู่ชิดกับต่อมไทรอยด์ หรือแม้หมอตัดต่อมไทรอยด์ออกไม่เพียงพอ ข้างหลังผ่าตัดคนไข้ก็อาจจะยังมีลักษณะอาการจากภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษอยู่อาทิเช่นเดิม แต่ว่าในทางตรงกันข้าม หากตัดต่อมต่อมไทรอยด์ออกมากเหลือเกิน ข้างหลังผ่าตัดคนป่วยจะเกิดอาการจากการขาดฮอร์โมนต่อมไทรอยด์ได้ด้วยเหมือนกัน
  • การรักษาด้วยน้ำแร่รังสีไอโอดีน น้ำแร่รังสีไอโอดีนเป็นสารไอโอดีนชนิดหนึ่ง (Iodine-131) ที่ให้รังสีแกมมา (Gamma ray) และรังสีเบตา (Beta ray ) และสามารถปลดปล่อยรังสีนั้นๆออกมาทำลายเซลล์ของต่อมไทรอยด์ได้ เมื่อคนเจ็บกินน้ำแร่รังสีไอโอดีนเข้าไป ก็จะถูกดูดซับโดยต่อมไทรอยด์ทำให้ต่อมไท รอยด์ มีขนาดเล็กลงแล้วก็การสร้างฮอร์โมนก็จะลดน้อยลงไปด้วย อาการจากสภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษก็เลย น้ำแร่รังสีไอโอดีนนี้ไม่สามารถที่จะหาซื้อได้ทั่วไป จะต้องรับการดูแลและรักษาเฉพาะโรงพยาบาลบางโรง พยาบาลที่ให้การรักษาด้านนี้เพียงแค่นั้น โดยจะใช้ระยะเวลาการดูแลรักษาด้วยแนวทางลักษณะนี้ราวๆ 3-6 เดือน


การดูแลรักษาด้วยน้ำแร่รังสีไอโอดีนมีจุดแข็งคือ สามารถรักษาภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษให้หายสนิทได้สูง สะดวก ง่าย ปลอดภัย เหมาะสมกับผู้ป่วยที่อายุ 20 ปีขึ้นไปแล้วก็ต่อมไทรอยด์ไม่โตมากมาย หรือผู้ป่วยสุดที่รักษาด้วยยาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน 1 - 2 ปีแล้วยังไม่หาย หรือหายแล้วกลับมาเป็นใหม่อีก หรือผู้ป่วยที่รักษาด้วยการผ่าตัดแล้วยังมีลักษณะจากภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษอยู่ ข้อตำหนิของการรักษาด้วยน้ำแร่รังสีไอโอดีนคือ หลังการดูแลรักษาผู้ป่วยจะเกิดภาวะขาดฮอร์โมนต่อมไทรอยด์ได้บ่อย ทำให้ต้องกินยาฮอร์โมนไทรอยด์ไปตลอดชีวิต
ยิ่งไปกว่านั้น การดูแลและรักษาด้วยน้ำแร่รังสีไอโอดีนนี้ไม่อาจจะใช้ได้กับคนไข้ที่กำลังตั้ง ท้องเพราะเหตุว่ารังสีส่งผลต่อทารกในท้อง บางทีอาจก่อความพิกลพิการหรือการแท้ง หรือในคนไข้ให้นมลูกอยู่เพราะเหตุว่าน้ำแร่รังสีไอโอดีนจะคละเคล้าออกมากับนมส่งผลต่อต่อมไทรอยด์ของเด็กแรกเกิดได้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ คนไข้สภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษที่มิได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆอาจมีผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายต่างๆอาทิเช่น

  • ไทรอยด์เป็นพิษขั้นวิกฤต ถ้าเกิดมีการควบคุมระดับต่อมไทรอยด์ที่ไม่ดี อาจทำให้อาการรุนแรงขึ้น หรือทำให้เป็นอันตรายต่อชีวิต ซึ่งสัญญาณว่าไทรอยด์เป็นพิษเข้าขั้นวิกฤตเป็น หัวใจเต้นเร็วเปลี่ยนไปจากปกติ มีไข้สูงมากเกินกว่า 38 องศาเซลเซียส ท้องเสีย คลื่นไส้ ตัวเหลือง ตาเหลือง มีอาการงวยงงงุนงงอย่างหนัก และอาจถึงขั้นสลบได้ โดยต้นสายปลายเหตุที่อาจก่อให้อาการเข้าสู่สภาวะวิกฤต อาทิเช่น การติดเชื้อ การรับประทานยาไม่สม่ำเสมอ การมีท้อง แล้วก็ความเสียหายของต่อมไทรอยด์ โดยภาวะไทรอยด์เป็นพิษขั้นวิกฤติเป็นคราวฉุกเฉินที่จำต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เนื่องจากอาจมีอันตรายต่อผู้ป่วยได้
  • ปัญหาเกี่ยวกับระบบหัวใจ ภาวะแทรกซ้อนที่มักมีอันตรายต่อคนไข้โรคไทรอยด์เป็นพิษก็คือ ความไม่ดีเหมือนปกติเกี่ยวกับหัวใจ ไม่ว่าจะเป็น หัวใจเต้นเร็ว หรือโรคหัวใจเต้นแตกต่างจากปกติที่เกิดจากการเขย่าที่ศีรษะจิตใจห้องบน (Atrial Fibrillation) หรือแม้กระทั้งสภาวะหัวใจวาย ซึ่งเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากการที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้พอเพียง
  • ปัญหาสายตา โดยปัญหาสายตาที่เป็นภาวะแทรกซ้อน ดังเช่นว่า ตาแห้ง ตาไวต่อแสงสว่าง ตาแฉะ เห็นภาพซ้อน ตาแดง หรือบวม ตาโปนออกมามากมายว่าธรรมดา แล้วก็รอบๆเปลือกตาแดง บวม เปลือกตาปลิ้นออกมาผิดปกติ รวมทั้งมีนิดหน่อยที่จำเป็นต้องสูญเสียการมองเห็น โดยเหตุนั้นในการรักษาโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ผู้ป่วยอาจต้องพบหมอรักษาสายตาเพื่อรักษาพร้อมๆกันด้วย แต่ว่าปัญหาเรื่องสายตานี้เจอได้ในผู้ป่วยโรคเกรฟวส์เพียงแค่นั้น ที่มีปัญหาต่อมไทรอยด์เป็นพิษ
  • สภาวะไทรอยด์ต่ำ หลายคราวการรักษาไทรอยด์เป็นพิษก็อาจจะส่งผลให้ระดับฮอร์โมนต่อมไทรอยด์ต่ำยิ่งกว่าธรรมดาจนถึงเกิดภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ แล้วก็ก่อให้เกิดอาการต่างๆอย่างเช่น รู้สึกหนาวและก็อิดโรยง่าย น้ำหนักขึ้นไม่ดีเหมือนปกติ มีอาการท้องผูก รวมทั้งมีอาการเซื่องซึม แต่อาการจะเกิดขึ้นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว รวมทั้งมีผู้ป่วยเพียงแค่บางรายเท่านั้นที่เกิดอาการโดยถาวรและก็จะต้องใช้ยาสำหรับเพื่อการควบคุมระดับฮอร์โมนต่อมไทรอยด์ไปตลอดชาติ
  • กระดูกบอบบาง โรคไทรอยด์เป็นพิษ ถ้าเกิดมิได้รับการดูแลและรักษาสามารถทำให้เกิดผลเสียและไม่ดีต่อมวลกระดูก ทำให้กระดูกอ่อนแอ หรือเปลี่ยนเป็นโรคกระดูกพรุน เหตุเพราะการที่ร่างกายมีฮอร์โมนไทรอยด์มากมายไป ซึ่งมีผลต่อความสามารถสำหรับเพื่อการดูดซับแคลเซียมของกระดูกได้


การติดต่อของโรคไทรอยด์เป็นพิษ โรคไทรอยด์เป็นพิษมีเหตุมาจากความผิดแปลกของภูเขามิคุ้นกันต้านโรคของร่างกายเปลี่ยนไปจากปกติ ที่ไปกระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์ทำงานมากกว่าปกติ ทำให้ผลิตฮอร์โมนมากจนเกินความจำเป็น ซึ่งโรคไทรอยด์เป็นพิษนี้ไม่ได้เป็นโรคติดต่อเนื่องจากว่าไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษ  แม้ตรวจเจอว่าเป็นโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ก็ควรปฏิบัติดังนี้
เอกสารอ้างอิง

  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.คอพอกเป็นพิษ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 341.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.กันยายน 2550
  • ไทรอยด์เป็นพิษ.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • หาหมอดอทคอม.  “ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ (Thyrotoxicosis)”.  (รศ.นพ.จรูญศักดิ์ สมบูรณ์พร).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [16 ก.ค. 2017].
  • รศ.นพ.อดุลย์ รัตนวิจิตราศิลป์.ไทรอยด์เป็นพิษ ไม่ใช่มะเร็งไทรอยด์.ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล.
  • กระเทียม.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์.มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Bahn RS, Burch HB, Cooper DS, Garber JR, Greenlee MC, Klein I, et al. Hyperthyroidism and other causes of thyrotoxicosis: management guidelines of the American Thyroid Association and American Association of Clinical Endocrinologists. Thyroid 2011; 21: 593 – 646.
  • ไทรอยด์เป็นพิษ-อาการ,สาเหตุ,การรักษา,พบแพทย์ดอทคอม. http://www.disthai.com/
  • Kang NS, Moon EY, Cho CG, Pyo S.  Immunomodulating effect of garlic component, allicin, on murine peritoneal macrophages.  Nutr Res (N.Y., NY, U.S.) 2001;21(4):617-26.
  • ว่านหางจระเข้.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์.มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Lamm DL, Riggs DR.  The potential application of Allium sativum (garlic) for the treatment of bladder cancer.  The Urologic Clinics of North America 2000;27(1): 157-62.
  • Ghazanfari T, Hassan ZM, Ebrahimi M.  Immunomodulatory activity of a protein isolated from garlic extract on delayed type hypersensitivity.  Int Immunopharmacol 2002;2(11):1541-9.
  • Kuttan G.  Immunomodulatory effect of some naturally occuring sulphur-containing compounds.  J Ethnopharmacol 2000;72(1-2):93-9.
  • Abuharfeil NM, Maraqa A, Von Kleist S.  Augmentation of natural killer cell activity in vitro against tumor cells by wild plants from Jordan.  J Ethnopharmacol 2000;71 (1-2):55-63.
  • Farkas A.  Methylation of polysaccharides from aloe plants for use in treatment of wounds and burns.  Patent: U S 3,360,510, 1967:3pp.
  • Cheon J, Kim J, Lee J, Kim H, Moon D.  Use of garlic extract as both preventive and therapeutic agents for human prostate and bladder cancers.  Patent: U S US 6,465,020 ,2002:7pp.
  • Farkas A.  Topical medicament containing aloe polyuronide for treatment of burns and wounds.  Patent: U S 3,103,466, 1963:4pp.
  • Strickland FM, Pelley RP, Kripke ML.  Cytoprotective oligosaccharide from aloe preventing damage to the skin immune system by UV radiation.  Patent: PCT Int Appl WO 98 09,635, 1998:65pp.
  • ลูกซัด.ฐานข้อมูลเครื่องยา.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • ณรงค์ชัย ประสิทธิ์ภูริปรีชา นิศา อินทรโกเศส โอภา วัชรคุปต์ พิสมัย ทิพย์ธนทรัพย์.  การทดลองใช้สารสกัดว่านหางจระเข้กับแผลที่เกิดจากรังสีบำบัด.  รายงานโครงการพิเศษ คณะเภสัชศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล, 2529.


21

โรคโปลิโอ (Poliomyelitis)
โรคโปลิโอเป็นยังไง โรคโปลิโอค้นพบทีแรกเมื่อ คริสต์ศักราช 1840 โดย Jakob Heine ส่วนไวรัสโปลิโอซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคถูกพ้นเจอเมื่อ คริสต์ศักราช 1908 โดย Karl Landsteiner โรคโปลิโอ หรือ ไข้ไขสันหลังอักเสบ  เป็นโรคที่สร้างความทรมาณสาหัสแก่เด็กทั่วทั้งโลก ซึ่งมีผู้ป่วยในสมัยก่อนมากยิ่งกว่า 350,000 รายต่อปี ด้วยเหตุว่านำไปสู่ความพิการ ขา หรือ แขนลีบ รวมทั้งเสียชีวิต ซึ่งเป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการตำหนิดเชื้อไวรัสโปลิโอ โดยคนเจ็บส่วนใหญ่มักไม่มีอาการแสดงของโรค ส่วนในกลุ่มคนเจ็บที่มีลักษณะนั้นจำนวนมากจะมีอาการเพียงเล็กน้อยอย่างไม่เจาะจงและก็หายได้เองภายในระยะเวลาไม่กี่วัน แต่จะมีคนไข้เพียงแต่ส่วนน้อยที่จะมีอาการของกล้ามเนื้ออ่อนเพลียรวมทั้งเมื่อผ่านไปหลายๆปีข้างหลังการรักษา ผู้ป่วยที่เคยมีลักษณะอาการกล้ามเนื้ออ่อนเพลียนี้อาจจะมีการเกิดอาการกล้ามอ่อนแรงซ้ำขึ้นมาอีก และก็บางทีอาจเกิดกล้ามฝ่อลีบและเกิดความพิการของข้อตามมาได้ ในตอนนี้โรคนี้ยังไม่มียารักษา แต่ว่ามีวัคซีนที่ใช้คุ้มครองปกป้องโรคได้
โรคโปลิโอ นับเป็นโรคที่มีความหมายมากมายโรคหนึ่ง เพราะเชื้อ เชื้อไวรัสโปลิโอ จะก่อให้มีการอักเสบของไขสันหลังทำให้มีอัมพาตของกล้ามแขนขา ซึ่งในรายที่อาการรุนแรงจะมีผลให้มีความพิการตลอดชีวิต แล้วก็บางรายบางทีอาจถึงเสียชีวิตได้ ในปี พุทธศักราช 2531 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้ทุกประเทศร่วมมือกวาดล้างโรคโปลิ โอ ทำให้อัตราการป่วยทั่วทั้งโลกต่ำลงไปมากถึง 99% โดยลดน้อยลงจาก 350,000 ราย (จาก 125 ประเทศทั่วทั้งโลก) ในปี พุทธศักราช 2531 เหลือแค่ 820 รายใน 11 ประเทศในปี พศ. 2550 ซึ่งประ เทศที่ยังเจอโรคมากอยู่เป็น อินเดีย (400 กว่าราย) ประเทศปากีสถาน ไนจีเรีย และอัฟกานิสถาน
ส่วนในประเทศไทยไม่พบคนไข้โรคโปลิโอมาตรงเวลายาวนานหลายปีแล้ว โดยพบรายสุดท้ายในปี พุทธศักราช 2540 ที่ จังหวัด เลย แม้กระนั้นเด็กทุกคนยังคงจำต้องได้เรื่องฉีดรับวัคซีนตามมาตรกาเกลื่อนกลาดวาดล้างโรคโปลิโอร่วมกับนานาประเทศทั้งโลก เพราะว่าโปลิโอเป็นโรคร้ายแรงที่สร้างการสิ้นไปทั้งยังทางด้านร่างกายแล้วก็เศรษฐกิจ รวมทั้งเดี๋ยวนี้แม้ว่า องค์การอนามัยโลก CWHO ได้ประกาศรับรองให้เป็นประเทศที่ปราศจากโรคโปลิโอแล้วเมื่อวันที่ 27 เดือนมีนาคม พ.ศ. 2557 แต่ประเทศไทยยังที่มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคโปลิโออยู่ ด้วยเหตุว่ามีเขตแดนใกล้กับประเทศที่มีการระบาดของโรคโปลิโออย่างพม่าและลาวที่เพิ่งพบเชื้อโปลิโอสายพันธุ์วัคซีนกลายพันธ์ไปเมื่อปี พ.ศ. 2558
ที่มาของโรคโปลิโอ โรคโปลิโอเป็นผลมาจากเชื้อไวรัสโปลิโอ single-stranded RNA virus ไม่มีเปลือกหุ้มจัดอยู่ใน Family Picornaviridae, Genus Enterovirus มี 3 ทัยป์เป็นทัยป์ 1, 2 แล้วก็ 3 โดยแต่ละประเภทอาจจะเป็นผลให้กำเนิดอัมพาตได้ พบว่า type 1 นำไปสู่อัมพาตรวมทั้งเกิดการระบาดได้บ่อยครั้งกว่าทัยป์อื่นๆแล้วก็เมื่อติดเชื้อโรคประเภทหนึ่งแล้วจะมีภูมิคุ้มกันถาวรเกิดขึ้นเฉพาะต่อทัยป์นั้น ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อทัยป์อื่น ดังนั้น ตามทฤษฎีนี้แล้ว คน 1 คน อาจติดเชื้อได้ถึง 3 ครั้ง และแต่ละทัยป์ของเชื้อไวรัสโปลิโอ จะแบ่งย่อยได้อีก 2 สายพันธุ์ เป็น

  • สายพันธุ์รุนแรงก่อโรค (Wild strain) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่อยู่ระหว่างการเฝ้าระวังรวมทั้งกวาดล้าง โดยตอนนี้ยังพบสายพันธุ์ร้ายแรงนี้ใน 2 ประเทศหมายถึงอัฟกานิสถานและก็ประเทศปากีสถาน
  • สายพันธุ์วัคซีน (Vaccine strain หรือ Sabin strain) เป็นการทำให้เชื้อไวรัสโปลิโออีกทั้ง 3 จำพวกย่อยอ่อนฤทธิ์ลงจนถึงไม่สามารถที่จะนำมาซึ่งโรคได้ แล้วประยุกต์ใช้เป็นวัคซีนชนิดหยด หรือที่เรียกกันว่า OPV (Oral polio vaccine) เพื่อสร้างภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย แต่อย่างไรก็ดี เชื้อไวรัสโปลิโอสายพันธุ์วัคซีนอาจมีความเคลื่อนไหวในระดับโมเลกุลจนกระทั่งสามารถนำไปสู่สายพันธุ์วัคซีนกลายพันธุ์ และก็นำไปสู่โรคโปลิโอได้ ซึ่งการเกิดนี้มักจะเกิดในชุมชนที่หรูหราความครอบคลุมของวัคซีนโปลิโอค่อนข้างต่ำเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน


โดยเชื้อโปลิโอนี้จะอยู่ในไส้ของคนแค่นั้น ไม่มีแหล่งรังโรคอื่นๆเชื้อจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้ในไส้ของคนที่ไม่มีภูมิคุ้มกันรวมทั้งอยู่ด้านในลำไส้ 1-2 เดือน เมื่อถูกถ่ายออกมาด้านนอก จะไม่สามารถเพิ่มได้ และก็เชื้อจะอยู่ด้านนอกร่างกายในสภาพแวดล้อมไม่ได้นาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตร้อน อายุครึ่งชีวิตของเชื้อไวรัสโปลิโอ (half life) โดยประมาณ 48 ชั่วโมง
ลักษณะโรคโปลิโอ  เมื่อเชื้อโปลิโอเข้าสู่ร่างกายของผู้ที่ไม่มีภูมิต้านทาน เชื้อไวรัสจะเข้าไปเพิ่มจำนวนในรอบๆ pharynx แล้วก็ไส้ สองสามวันถัดมาก็จะกระจายไปสู่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอที่ต่อมทอนซิล และก็ที่ไส้และไปสู่กระแสโลหิตทำให้มีลักษณะไข้เกิดขึ้น ส่วนน้อยของเชื้อไวรัสจะผ่านจากกระแสโลหิตไปยังไขสันหลังแล้วก็สมองโดยตรง หรือนิดหน่อยบางทีอาจผ่านไปไขสันหลังโดยทางเส้นประสาท เมื่อไวรัสเข้าไปยังไขสันหลังแล้วชอบไปที่ส่วนของไขสันหลังหรือสมองที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ เมื่อเซลล์สมองในส่วนที่    ติดเชื้อโรคมีอาการอักเสบมากมายจนกระทั่งถูกทำลายไป กล้ามที่ควบคุมโดยเซลล์ประสาทนั้นก็จะมีอัมพาตและฝ่อไปในที่สุด
         ดังนี้สามารถแบ่งผู้ป่วยโปลิโอตามกรุ๊ปอาการได้เป็น 4 กลุ่มหมายถึง

  • กลุ่มผู้เจ็บป่วยที่ไม่มีอาการ ผู้เจ็บป่วยกลุ่มนี้มีราวๆ 90 – 95% ของผู้ติดโรคโปลิโอทั้งปวง มีความจำเป็นทางด้านระบาดวิทยา ด้วยเหตุว่าเชื้อไวรัสโปลิโอที่เข้าไปจะไปเพิ่มในลำไส้ รวมทั้งขับถ่ายออกมาตรงเวลา 1-2 เดือน นับเป็นแหล่งแพร่โรคที่สำคัญในชุมชน
  • กลุ่มคนป่วยที่มีลักษณะอาการน้อยมาก (Abortive poliomyelitis) หรือที่เรียกว่า abortive case หรือ minor illness ซึ่งจะเจอได้ราวๆ 5-10% ของผู้ติดโรคโปลิโอทั้งผอง ชอบมีอาการไข้ต่ำๆเจ็บคอ อาเจียน ปวดท้อง เบื่อข้าว แล้วก็อ่อนล้า อาการจะเป็นอยู่ 3-4 วัน ก็จะหายเป็นระเบียบโดยไม่มีอาการอัมพาต ซึ่งจะวินิจฉัยโรคแยกจากโรคติดเชื้อเชื้อไวรัสอื่นไม่ได้
  • กรุ๊ปผู้ป่วยที่มีลักษณะเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อไวรัสโปลิโอ (Nonparalytic poliomyelitis) กลุ่มนี้จะพบได้เพียง 1% ของผู้ติดโรคโปลิโอทั้งผอง จะมีลักษณะเช่นเดียวกับที่เกิดจากเชื้อไวรัสอื่นๆคนไข้จะมีลักษณะคล้าย abortive case แต่ว่าจะตรวจพบคอแข็งกระจ่าง มีอาการปวดศีรษะ ปวดตามกล้ามเนื้อ เมื่อตรวจน้ำไขสันหลังก็จะพบไม่ปกติแบบการตำหนิดเชื้อไวรัส มีเซลล์ขึ้นไม่มากส่วนมากเป็นลิมโฟซัยท์ ระดับน้ำตาลและก็โปรตีนปกติ หรือเปลี่ยนเพียงเล็กน้อย
  • กรุ๊ปผู้เจ็บป่วยที่มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนล้า (Paralytic poliomyelitis) เป็นอัมพาต กลุ่มนี้พบได้น้อยมากจะมีลักษณะอาการแบ่งได้ 2 ระยะ ระยะแรกคล้ายกับใน abortive case หรือเป็น minor illness เป็นอยู่ 3-4 วัน หายไป 3-4 วัน เริ่มมีไข้กลับมาใหม่ พร้อมด้วยมีลักษณะปวดกล้ามอาจมีการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อก่อนจะมีอัมพาตเกิดขึ้น กล้ามเนื้อจะเริ่มมีอัมพาตรวมทั้งเพิ่มกล้ามเนื้อที่มีอัมพาตอย่างรวดเร็ว ส่วนมากจะกำเนิดเต็มที่ภายใน 48 ชั่วโมง แล้วก็จะไม่ขยายมากขึ้นคราวหลัง 4 วัน เมื่อตรวจตรารีเฟลกซ์บางคราวจะพบว่าหายไปก่อนที่กล้ามจะมีอัมพาตเต็มกำลัง


          ลักษณะของอัมพาตในโรคโปลิโอมักจะเจอที่ขามากกว่าแขนรวมทั้งจะเป็นข้างเดียวมากกว่า 2 ข้าง (asymmetry) มักจะเป็นกล้ามเนื้อต้นขา หรือต้นแขนมากยิ่งกว่าส่วนปลาย เป็นแบบอ่อนเปียก (flaccid) โดยไม่มีความเคลื่อนไหวในระบบความรู้สึก (sensory) ที่พบได้มากเป็นเป็นแบบ spinal form ที่มีอัมพาตของแขน ขา หรือกล้ามลำตัว ในรายที่เป็นมากอาจมีอัมพาตของกล้ามส่วนลำตัวที่ทรวงอกและท้อง ซึ่งมีความหมายสำหรับเพื่อการหายใจ ทำให้หายใจเองมิได้ บางทีอาจจนตายได้หากช่วยไม่ทัน
ปัจจัยเสี่ยงที่จะนำมาซึ่งโรคโปลิโอ โรคโปลิโอพบได้บ่อยได้ในเด็กมากกว่าคนแก่ โดยทั้งเพศชายและก็ผู้หญิงได้โอกาสติดโรคนี้ได้เท่ากัน และก็ได้โอกาสติดเชื้อโปลิโอได้ง่าย แต่มีคนไข้น้อยมากที่จะมีลักษณะกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง เชื้อไวรัสประเภทนี้จะเจริญเติบโตอยู่ในไส้ เชื้อจึงถูกขับออกจากร่างกายมากับอุจจาระแล้วก็แพร่ไปสู่คนอื่นๆผ่านการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่แปดเปื้อนเชื้อจากอุจจาระของคนป่วย ซึ่งเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากการขับถ่ายที่ไม่ถูกความถูกอนามัยและไม่ล้างมือก่อนอาหาร โรคนี้จึงพบได้มากมากมายในประเทศที่ด้อยความเจริญและก็กำลังพัฒนาที่ขาดการดูแลเรื่องสุขอนามัยที่ดี
ทั้งยังผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนโปลิโอนั้น จะยิ่งมีความเสี่ยงต่อการต่อว่าดเชื้อยิ่งขึ้นแม้อยู่ในด้านในกลุ่มเสี่ยงดังนี้
           หญิงท้องและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อย่างเช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี แล้วก็เด็กเล็กซึ่งจะมีความไวต่อการได้รับเชื้อโปลิโอ
           เดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโปลิโอหรือเพิ่งจะเกิดการระบาดของโรคเมื่อไม่นานมานี้
           เป็นผู้ดูแลหรืออาศัยอยู่กับผู้ติดโรคโปลิโอ
           ปฏิบัติงานในห้องทดลองที่สัมผัสใกล้ชิดกับเชื้อไวรัส
           ผู้ที่ผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลออกไป
วิธีการรักษาโรคโปลิโอ หมอจะวินิจฉัยโรคโปลิโอด้วยการไต่ถามอาการจากคนไข้ว่ารู้สึกเจ็บปวดบริเวณหลังและก็คอ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการกลืนหรือหายใจหรือไม่ ตรวจสอบปฏิกิริยาสะท้อนกลับของร่างกาย รวมถึงการตรวจทางเรือเหลือง โดยเก็บตัวอย่างในช่วงระยะทันควันและก็ระยะซ่อนเร้นของโรค ตรวจสารภูมิคุ้มกัน IgM หรือ IgG นอกเหนือจากนี้เพื่อรับรองให้มั่นใจอาจมีการตรวจค้นเชื้อไวรัสโปลิโอด้วยการเก็บเนื้อเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งจากคอ อุจจาระ หรือน้ำหล่อเลี้ยงสมองรวมทั้งไขสันหลังส่งไปเพื่อทำการตรวจทางห้องทดลอง ในกรณีผู้เจ็บป่วยที่มีอาการกล้ามอัมพาตแบบอ่อนเปียก (acute flaccid paralysis : AFP) แพทย์จะดำเนินงานไต่สวนโรค พร้อมกับเก็บอุจจาระส่งตรวจเพื่อ    แยกเชื้อโปลิโอ การวินิจฉัยที่แน่ๆเป็น แยกเชื้อโปลิโอได้จากอุจจาระ รวมทั้งกระทำการตรวจว่าเป็นทัยป์ใดเป็นสายพันธุ์ wild strain หรือ vaccine strain (Sabin strain)
          การเก็บอุจจาระส่งตรวจจะเก็บ 2 ครั้ง ห่างกันอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ต้องเก็บให้เร็วด้านใน 1-2 สัปดาห์ภายหลังที่เจอมีลักษณะ AFP ซึ่งเป็นช่วงๆที่มีจำนวนเชื้อไวรัสในอุจจาระมากยิ่งกว่าระยะอื่นๆการจัดส่งอุจจาระเพื่อส่งตรวจต้องให้อยู่ในอุณหภูมิ 4-8๐ ซ ตลอดระยะเวลา มิฉะนั้นเชื้อโปลิโออาจตายได้ ตอนนี้โรคโปลิโอยังไม่มีวิธีรักษาให้หายสนิท แพทย์สามารถให้การดูแลคนไข้ตามอาการ  แล้วก็ช่วงนี้ก็ยังไม่มียารักษาโรคโปลิโอโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การดูแลและรักษาจะเป็นแบบเกื้อกูล ได้แก่ ให้ยาลดไข้ และก็ลดลักษณะของการปวดของกล้าม ในรายที่มีลักษณะอัมพาตของกล้ามแขน ขา วิธีการทำกายภาพ บรรเทาจะช่วยฟื้นฟูความสามารถของกล้ามให้ดียิ่งขึ้น
สำหรับการรักษาคนไข้กลุ่มอาการหลังกำเนิดโรคโปลิโอ (Post-polio syndrome – PPS) การดูแลและรักษาหลักจะย้ำไปที่แนวทางการทำกายภาพบำบัดมากกว่า ดังเช่นว่า การใส่อุปกรณ์ช่วยยึดลำตัว เครื่องไม้เครื่องมือช่วยสำหรับการเดิน อุปกรณ์ที่ช่วยปกป้องข้อบิดผิดรูปหรืออาจใช้การผ่าตัดช่วย การฝึกหัดพูดแล้วก็ฝึกกลืนในผู้เจ็บป่วยที่มีปัญหา การออกกำลังกายที่ย้ำการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อภายใต้คำเสนอแนะที่ถูกต้องจากแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด การใช้งานเครื่องช่วยหายใจในขณะหลับแม้คนเจ็บมีปัญหาหัวข้อการหยุดหายใจในขณะหลับ แล้วก็การดูแลทางด้านอารมณ์และจิตใจของผู้เจ็บป่วยร่วมด้วย

การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคโปลิโอ

  • ถ้าได้รับการวิเคราะห์ว่าเป็นโรคโปลิโอไม่ว่ามีอาการอยู่ในกรุ๊ปใด ถ้าเกิดแพทย์ให้กลับบ้านญาติต้องระมัดระวังการแพร่ระบาดสู่บุคคลในบ้าน ด้วยเหตุว่าคนไข้จะสามารถขับเชื้อออกมาทางอุจจาระได้นานถึงราวๆ 3 เดือนหลังติดเชื้อ รวมทั้งถ้าหากผู้เจ็บป่วยมีภาวะภูมิต้านทานต่อต้าน ทานโรคขาดตกบกพร่องด้วยแล้วจะสามารถแพร่เชื้อได้นานถึงโดยประมาณ 1 ปี โดยให้ญาติดูแลประเด็นการขับ ถ่ายของผู้เจ็บป่วยให้ถูกสุขลักษณะ การล้างมือทุกครั้งข้างหลังเข้าห้องอาบน้ำรวมทั้งก่อนจับจับของกินเข้าปาก การกินของกินปรุงสุกใหม่เสมอ การล้างผักผลไม้ให้สะอาดแล้วก็ปอกผลไม้ก่อนกิน แล้วก็ถ้าบุคคลในบ้านใครกันแน่ยังไม่เคยรับวัคซีนโปลิโอ ก็ให้หารือหมอเพื่อรับวัคซีนให้ครบ
  • ให้คนไข้กินอาหารที่มีคุณประโยชน์ครบทั้งยัง 5 กลุ่ม
  • หากผู้ป่วยมีอาการกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรงให้พี่น้องช่วยทำกายภาพบำบัดเพื่อผลักดันความสามารถการเคลื่อนไหว แล้วก็เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อตามคำแนะนำของนักกายภาพบำบัด
  • พี่น้องควรจะดูแลรวมทั้งเอาใจใส่คนไข้ รวมทั้งดูแลทางด้านสภาวะจิตใจ สถานการณ์ทางอารมณ์ของคนเจ็บแล้วก็ให้กำลังใจแก่ผู้ป่วยด้วย
  • ญาติควรพาคนไข้ไปพบแพทย์ตามนัดหมายอย่างเคร่งครัด หรือ แม้มีลักษณะไม่ปกติที่เป็นอันตราย ก็ควรพาไปพบหมอโดยด่วน
การปกป้องโรคโปลิโอ

  • โรคโปลิโอสามารถคุ้มครองปกป้องได้ด้วยวัคซีน ซึ่งวัคซีนที่มีใช้ ทั่วทั้งโลกมี 2 จำพวกเป็น
  • วัคซีนโปลิโอชนิดกิน (Oral Poliomyelitis Vaccine: OPV, Sabin) การกวาดล้าง ในประเทศไทย โรคโปลิโอ H T กรุ๊ปโรคติดต่อที่คุ้มครองป้องกันได้ด้วยวัคซีน สำนักโรคติดต่อทั่วๆไป Albert Bruce Sabin M.D. Jonas Edward Salk M.D. เป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ (attenuated live oral poliomyelitis vaccine) สายพันธุ์ Sabin คิดค้นโดย Albert Bruce Sabin ชาวอเมริกัน เมื่อปี พ.ศ. 2504 วัคซีนมีเชื้อ ไวรัสโปลิโอ 3 ทัยป์เป็นทัยป์ 1, 2 แล้วก็ 3 ให้วัคซีนโดยการกินเป็นการเลียนแบบการตำหนิดเชื้อ ตามธรรมชาติ ซึ่งสามารถกระตุ้นภูมิต้านทานที่เยื่อบุคอแล้วก็ลำไส้ของผู้รับวัคซีน และก็สามารถแพร่ระบาด วัคซีนไปกระตุ้นภูมิต้านทานให้กับผู้สัมผัสสนิทสนมได้อีกด้วย เดี๋ยวนี้วัคซีนโปลิโอประเภทรับประทานนี้ถือว่าเป็น วัสดุสำคัญสำหรับการกำจัดโรคโปลิโออย่างยิ่ง เนื่องจากว่าสามารถปกป้องรวมทั้งกำจัดเชื้อโปลิโอสายพันธุ์ ก่อโรคได้อย่างดีเยี่ยม มีราคาถูกรวมทั้งมีวิธีการให้วัคซีนง่าย แต่ว่ามีข้อเสีย คืออาจจะส่งผลให้กำเนิดอาการใกล้กัน คล้ายโรคโปลิโอ (Vaccine Associated Paralytic Polio: VAPP) ซึ่งเกิดขึ้นน้อยมาก ประมาณ 1 ใน 2.7 ล้านโด้ส หรืออาจมีการกลายพันธุ์ (Vaccine Derive Polio Virus: VDPV) จนถึงก่อ โรคได้ในพื้นที่ที่มีความครอบคลุมของการได้รับวัคซีนต่ำ
  • วัคซีนโปลิโอชนิดฉีด (Inactivated Poliomyelitis Vaccine: IPV, Salk) เป็นวัคซีนที่ทำมาจากเชื้อไวรัสโปลิโอที่ตายแล้ว (kill vaccine) คิดค้นโดย Jonas Edward Salk ชาว อเมริกัน เมื่อปี พ.ศ. 2498 วัคซีนจำพวกนี้ประกอบด้วยเชื้อโปลิโอ 3 ทัยป์ ให้วัคซีนโดยการฉีด


ในปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้วัคซีนโปลิโอในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค โดยให้วัคซีน OPV 5 ครั้ง เมื่ออายุ 2, 4, 6 เดือน 1 ปีครึ่ง รวมทั้ง 4 ปี รวมทั้งให้วัคซีน IPV 1 ครั้ง เมื่ออายุ 4 เดือน

  • คุ้มครองการตำหนิดเชื้อและการแพร่ขยายของเชื้อโปลิโอ ด้วยการกินอาหารและก็กินน้ำสะอาดถูกสุขลักษณะ รวมถึงการขี้ลงส้วมที่ถูกสุขลักษณะทุกหน
  • ตอนหลังเข้าไปคลุกคลีใกล้ชิดคนไข้โรคโปลิโอ หรอเข้าไปดูแลเปลี่ยนผ้าให้แก่คนป่วยควรล้ามือด้วยสบู่ทุกหน
  • เมื่ออยู่ในพื้นที่มีการระบาดของโรคโปลิโอ ควรจะดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงปฏิบัติตามหลักสุขบัญญัติให้เข้มงวด


สมุนไพรที่ใช้รักษา/บรรเทาโรคโปลิโอ เนื่องมาจากโรคโปลิโอเป็นโรคที่ติดต่อจากเชื้อไวรัสที่มีการติดต่อได้ง่าย รวมทั้งในคนไข้ที่มีความรุนแรงของโรคนั้นอาจก่อให้เสียชีวิตหรือทุพพลภาพได้ ซึ่งในขณะนี้นั้นยังไม่มียาที่ใช้รักษาโรคโปลิโอให้หายได้ รวมถึงยังไม่มีข้อมูลว่ามีสมุนไพรประเภทไหนที่ใช้รักษาหรือทุเลาลักษณะโรคโปลิโอได้เหมือนกัน
เอกสารอ้างอิง

  • การกวาดล้างโรคโปลิโอในประเทศไทย.กลุ่มโรคติดต่อที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีนสำนักโรคติดต่อทั่วไป.วารสาร ดร.สัมพันธ์.ปีที่ 3.ฉบับที่ 4.เมษายน-พฤษภาคม 2559.หน้า 2-3
  • โปลิโอ.อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “โปลิโอ (Poliomyelitis)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 571-572.
  • Paul JR (1971). A History of Poliomyelitis. Yale studies in the history of science and medicine. New Haven, Conn: Yale University Press. pp. 16– ISBN 0-300-01324-8. http://www.disthai.com/
  • Cohen JI (2004). "Chapter 175: Enteroviruses and Reoviruses". In Kasper DL, Braunwald E, Fauci AS, et al. (eds.). Harrison's Principles of Internal Medicine (16th ed.). McGraw-Hill Professional. p. ISBN 0-07-140235-7.
  • โรคโปลิโอ(Poliomyelitis).ความรู้เรื่องโรคติดต่อ.สำนักโรคติดต่อทั่วไป.กรมควบคุมโรค.กระทรวงสาธารณสุข
  • Ryan KJ, Ray CG (eds.) (2004). "Enteroviruses". Sherris Medical Microbiology (4th ed.). McGraw Hill. pp. 535– ISBN 0-8385-8529-9.
  • Jeffrey I. Cohen, enteroviruses and reoviruses, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 15th edition, Braunwald , Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2001
  • โรคโปลิโอ(Polio).สำนักโรคติดต่อทั่วไป.กรมควบคุมโรค.กระทรวงสาธารณสุข.


22

สมุนไพรเม้าแดง
เม้าแดง Lyonia ovalifolia (Wall.) Drude
ชื่อพ้อง pieris ovalifolia D. Don เม้าแดง (จังหวัดเชียงใหม่).
     ไม้ต้น ขนาดเล็ก สูง 4-8 มัธยม เปลือกเรียบ ลอกออกเป็นแผ่นเล็กๆกิ่งหมดจด. ใบ ผู้เดียว เรียงสลับกัน รูปไข่ ปลายแหลม โคนกลม หรือ มน ขอบใบเรียบ กว้าง 3-4 ซม. ยาว 6-8 เซนติเมตร เส้นกลางใบ และก็เส้นแขนงใบนูน เส้นกิ่งก้านสาขาใบมีข้างละ 6-8 เส้น ด้านล่างมีขน ก้านใบยาว 3-10 มม. แทบหมดจด. สมุนไพร ดอก ออกเป็นช่อตามง่ามใบ ช่อดอกยาว 5-10 ซม. มีใบตกแต่งที่โคนช่อดอก ก้านดอกยาว 3-4 มม. มีขนนิดหน่อย กลีบรองกลีบดอก 5 กลีบ เชื่อมติดกันที่โคน มีขน ปลายกลีบแหลม กลีบดอกไม้เชื่อมชิดกันเป็นกระเปาะ โคนกระเปาะกลม ปากแคบและแยกเป็นกลีบเล็กๆ5 กลีบ เชื่อมชิดกันที่โคน มีขน ปลายกลีบแหลม กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นกระเปาะ โคนกระเปาะกลม ปากแคบแล้วก็แยกเป็นกลีบเล็กๆ5 กลีบ มีขนเล็กน้อย เกสรผู้ 8-10 อัน ก้านเกสรยาว มักมีขน และมีควรอย ลักษณะที่คล้ายเขาเล็กๆ2 อัน อยู่ใกล้ปลายก้าน อับเรณูรูปไข่ หรือ รูปขอบขนาน เมื่อแก่จะมีรูปเปิดออกทางด้านบน เกสรเมียภายในมี 5 ช่อง. ผล กลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5 มิลลิเมตร แก่จัดจะแตกตามยาว มีเม็ดเยอะมาก.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นตามป่าดิบเขาทางภาคเหนือ และตะวันออกเฉียงเหนือ.
คุณประโยชน์ : ใบ รวมทั้ง ผล กินได้ บำรุงร่างกาย แม้กระนั้นทั้งยังต้นเป็นพิษ โดยยิ่งไปกว่านั้นยอดอ่อน ใช้เป็นสารกำจัดศัตรูพืช ใบแห้งทำเป็นยาผง ทาแก้โรคผิวหนังบางชนิด

23

โรคหัด (Measles)
โรคหัดคืออะไร|เป็นอย่างไร|เป็นยังไง} โรคหัด (Measles) จัดเป็นโรคไข้ออกผื่นประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นมาจากการตำหนิดเชื้อไวรัสที่พบมากในเด็กตัวเล็กๆ แม้กระนั้นก็สามารถพบได้ในทุกวัย ซึ่งโรคฝึกฝนนี้ยังนับเป็นโรคติดเชื้อโรคระบบทางเดินหายใจอีกด้วย สำหรับประวัติความเป็นมากของโรคฝึกนี้มีประวัติความเป็นมาดังนี้
         โรคหัด หรือชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่า “measles” มีรากศัพท์จากคำว่า Masel ในภาษาเนเธอแลนด์ มีความหมายว่า จุด (spots) ที่อธิบายอาการนำของโรคนี้ที่ผู้เจ็บป่วยจะมีอาการไข้แล้วก็ผื่น ยิ่งกว่านั้นอาการสำคัญอื่นๆที่เป็นคุณลักษณะเด่นของโรคฝึกฝน อย่างเช่น ไอ น้ำมูลไหล และตาแดง โรคหัดเป็นที่รู้จักมานานกว่า 2000 ปี พบหลักฐานการร่ายงานคราวแรกโดยหมอรวมทั้งนักปรัชญาชาวเปอร์เซียชื่อ Rhazed แล้วก็ใน คริสต์ศักราช1954 Panum แล้วก็ภาควิชา ได้รายงานการระบาดของโรคหัดที่หมู่เกาะฟาโรห์และให้บทสรุปของโรคนี้ว่าเป็นโรติดเชื้อโรคที่มีการติดต่อสู่บุคคลอื่นได้ง่าย มีระยะฟักตัวประมาณ 2 สัปดาห์ และก็ข้างหลังติดโรคผู้เจ็บป่วยจะมีภูมิคุ้มกันตลอดชีพ
โรคหัดถือว่าเป็นโรคที่มีความสำคัญมากมายโรคหนึ่ง เพราะว่าอาจจะเป็นผลให้กำเนิดโรคแทรกซ้อนส่งผลให้เสียชีวิตได้ แล้วก็แม้กระนั้นในตอนนี้โรคนี้มีวัคซีนป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงเกือบจะ 100% แล้ว(ในประเทศไทยเริ่มใช้วัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคฝึกหัดตั้งแต่ ปี พุทธศักราช2527) โรคฝึกหัดเป็นโรคที่พบกำเนิดได้ตลอดทั้งปี แต่มีอุบัติการณ์สูงในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือน และก็โอกาสสำหรับเพื่อการกำเนิดโรคในหญิงรวมทั้งผู้ชายมีใกล้เคียงกัน
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่ามีผู้ตายด้วยโรคฝึกจากทั้งโลก 134,200 ราย สำหรับเหตุการณ์โรคฝึกฝนในประเทศไทย ตามรายงานของสำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุขปี 2555,2556 พบว่ามีจำนวนคนป่วยโรคฝึกรวมทั้งสิ้น 5,207 คน แล้วก็ 2,646 คน ในแต่ละปีตามลำดับ โดยเด็กอายุ 9 เดือน-7 ปี จัดเป็นตอนๆอายุที่พบคนไข้โรคนี้มากที่สุด คิดเป็นจำนวนร้อยละ 37.03 และ 25.85 ของแต่ละปี
ที่มาของโรคฝึกหัด โรคหัดเกิดจากการติดเชื้อ Measles virus (หรือ Rubeola) อยู่ในGenus Morbillivirus และก็ Paramyxovirus เป็น single-stranded RNA รูปร่างกลม (spherical) ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 100-250 นาโนเมตร หุ้มล้อมโดย envelope เป็น glycol-protien ที่มีโปรตีนสำคัญ 3 ประเภท ได้แก่ H protein ปฏิบัติภารกิจให้ฝาผนังไวรัสเกาะติดกับฝาผนังเซลล์ของผู้คน F protein มีความจำเป็นสำหรับการแพร่ไวรัสจากเซลล์หนึ่งสู่เซลล์อื่นๆM protein มีความจำเป็นเกี่ยวข้องกัน viral maturation เนื่องมาจากเป็นไวรัสที่มี envelope หุ้มห่อก็เลยถูกทำลายได้ง่ายด้วยความร้อน (>37◦ซ.) แสงสว่าง สภาพการณ์ที่เป็นกรดและสารที่ละลายไขมันดังเช่นว่าอีเทอร์ คลอโรฟอร์ม โดยเชื้อกลางอากาศแล้วก็บนผิววัตถุจะมีชีวิตเพียงแต่ช่วงเวลาสั้นๆ(ไม่เกิน 2 ชั่วโมง) รวมทั้งเชื้อนี้สามารถก่อโรคได้เฉพาะในคนเท่านั้น
อาการโรคฝึกฝน  ผู้ป่วยจะเริ่มจับไข้สูง 39◦เซลเซียส-40.5◦เซลเซียส ร่วมกับมีไอ น้ำมูก รวมทั้งตาแดง เป็นอาการสำคัญบางรายบางทีอาจเจอตาไม่สู้แสงสว่าง (photophobia) เจ็บคอ ปวดหัว ต่อมน้ำเหลืองโต เบื่ออาหารและท้องเสียร่วมด้วย อาการพวกนี้จะกำเนิด 2-4 วันก่อนจะมีผื่นขึ้นและพบ Koplik spots เป็นลักษณะเจาะจงที่สำคัญ เห็นเป็นจุดขาวผสมเทาเล็กๆบนพื้นแดงของกระพุ้งแก้ ส่วนมากพบบริเวณกระพุ้งแก้มตรงข้ามกับฟันกรามข้างล่างซี่แรก (first molar) พบมาก 1 วันก่อนมีผื่นขึ้นรวมทั้งปรากฏอยู่นาน 2-3 วัน การดำเนินโรคมีลักษณะดังนี้เป็นไข้จะค่อยๆสูงมากขึ้นจนกระทั่งสูงสุดในวันที่ 3-4 ซึ่งเป็นวันที่เริ่มมีผื่นขึ้น ลักษณะผื่นเป็น maculopapular rash เริ่มที่ไรผม หน้าผาก ข้างหลังหู บริเวณใบหน้าแล้วก็ไล่ลงมาที่คอ หน้าอก แขน ท้อง จนกระทั่งมาถึงขาในเวลา 48-72 ชั่วโมง ผื่นที่ขึ้นก่อนในวันแรกๆมักกลุ่มรวมกันลักษณะเป็น confluent maculopapular rash ทำให้มองชัดกว่าผื่นบริเวณช่วงล่างของลำตัวซึ่งมีลักษณะเป็น discrete maculopapular rash มีรายงานการเจอผื่นที่ฝ่ามือหรือฝ่าตีนถึงปริมาณร้อยละ 25-50 และก็บางทีอาจสมาคมกับความรุนแรงของโรค เมื่อผื่นกำเนิดไล่มาถึงเท้าไข้จะต่ำลง อาการอื่นๆจะดียิ่งขึ้น ผื่นจะอยู่นาน 3-7 วันและหลังจากนั้นก็ค่อยๆจางลงจากหน้าลงมาเท้าและก็เปลี่ยนเป็นสีคล้ำ (hyperpigmentation) ซึ่งเป็นผลจากการมีเลือดออกในเส้นเลือดฝอยแล้วต่อจากนั้นจะหลุดลอกเป็นแผ่นบางๆจำนวนมากมักสังเกตไม่เจอเนื่องจากหลุดไปพร้อมการอาบน้ำ อาจพบการดำเนินโรคที่ป่วยแบบ biphasic คือ ไข้สูงใน 24-48 ชั่วโมงแรกต่อมาอุณหภูมิกลายเป็นปกติไม่มีไข้โดยประมาณ 24 ชั่วโมงแล้วจึงเริ่มมีไข้สูงอีกรอบแล้วก็มีผื่นเกิดขึ้นในวันที่ไข้สูงสุด ไข้จะคงอยู่อีกราวๆ 2-3 คราวหลังจากผื่นขึ้นแล้วจึงหายไป ในกรณีที่ไข้ไม่ลงหรือลงแล้วกลายเป็นซ้ำใหม่ควรตรวจหาภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นเพราะเนื่องจากการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ส่วนอาการไออาจพบนานถึง 10 วัน ส่วนภาวะแทรกซ้อนของโรคฝึกหัดที่พบได้บ่อยมีดังนี้
                ภาวะแทรกซ้อนของโรคฝึกหัด เจอได้ร้อยละ 30 ของคนไข้โรคหัด พบมากในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีรวมทั้งคนแก่ที่อายุน้อยกว่า 5 ปีรวมทั้งคนแก่ที่แก่กว่า 20 ปี เกิดได้หลายระบบของร่างกาย ปัจจัยโดยมากมีสาเหตุจากเยื่อบุ (epithelial surface) ของอวัยวะต่างๆถูกทำลายและก็ผลการกดภูมิคุ้มกันจากการตำหนิดเชื้อไวรัสของร่างกาย แยกตามอวัยวะต่างๆของร่างกายได้ดังนี้

  • หูศูนย์กลางอักเสบ (otitis media) พบราวๆจำนวนร้อยละ 10
  • ปอดบวม (pneumonia) ซึ่งกำเนิดได้ 2 ระยะ ระยะแรกที่เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัสเอง จะเป็น interstitial pneumonia ในพักหลัง ซึ่งมีสาเหตุจากการตำหนิดเชื้อแบคทีเรียเข้าแทรก จะเป็น bronchopneumonia
  • อุจจาระร่วง (diarrhea) มักกำเนิดในช่วงแรกที่มีไข้ หรือเมื่อผื่นเริ่มขึ้น
  • สมองอักเสบ (encephalitis) เจอได้ 1:1000 ถึง 1:10000 ซึ่งกำเนิดในช่วง 2-5 วัน ภายหลังผื่นออก มีลักษณะอาการไข้ คลื่นไส้ ปวดศีรษะ ซึม ซึ่งถ้ากรวดน้ำไขสันหลัง จะพบเซลล์เป็น lymphocyte โปรตีนสูง
  • Subacute sclerosing panencephalitis (SSPE) เจอได้ 1 ใน 100000 มักกำเนิดภายหลังจากเป็นหัดแล้ว 4-8 ปี อาการจะค่อยๆเป็นค่อยๆไป มีความประพฤติไม่ถูกไป เชาวน์เสื่อมลง มีอาการชัก อาการทางประสาทจะเหลวแหลกลงเรื่อยๆถึงโคมา แล้วก็เสียสุดท้าย ถ้าหากกรวดน้ำไขสันหลังพบว่ามี high titer of measles antibody ตรวจ EEG พบ burst suppression pattern with paroxysmal high-amplitude burst and background suppression
ขั้นตอนการรักษาโรคฝึก
การวินิจฉัย โรคฝึกใช้การวิเคราะห์จากการซักความเป็นมาและตรวจร่างกายเป็นหลัก โดยผู้ป่วยจะมีไข้สูง น้ำมูก ไอ  ตาแดง และพบผื่นลักษณะ maculopapular rash ในช่วงวันที่ 3-4 ของไข้ การเจอ  Koplik spots (จุดภายในปากตอนกระพุ้งแก้ม) จะเป็นสาระสำคัญที่ช่วยสำหรับเพื่อการวินิจฉัย ในเรื่องที่อาการและก็อาการแสดงไม่ชัดเจนอาจไตร่ตรองส่งตรวจทางห้องทดลองดังต่อไปนี้เพิ่มอีกเพื่อช่วยรับรองการวินิจฉัย

  • การตรวจน้ำเหลืองเพื่อหาระดับของดินแดนตำหนิบอดีต่อไวรัสหัด แนวทางที่นิยมใช้ได้แก่ enzyme immunoassay (EIA) เหตุเพราะทำง่าย ราคาไม่แพง มีความไวรวมทั้งความจำเพาะสูง โดยตรวจหาแอนติบอดีจำพวก IgM ใน acute phase serum หรือตรวจหาดินแดนติบอดีจำพวก IgG 2 ครั้งใน acute และ convalescent phase serum ห่างกัน 2 อาทิตย์ เพื่อดูการเพิ่มขึ้นของระดับแดนติเตียนบอดี  (fourfold rising of  antibody)  เพื่อรับรองการวิเคราะห์ โดยวิธีแบบนี้จะสามารถตรวจพบภายหลังจากมีผื่นแล้ว 3 วัน โดยระดับแอนติบอดีจะขึ้นสูงสุดราวๆ 14 คราวหลังผื่นและจะหายไปใน 1 เดือน ช่วงเวลาที่แนะนำให้ตรวจเป็น 7 ครั้งหน้าผื่นขึ้น ซึ่งมีวิธีดังนี้


วิธี ELISA IgM ใช้ตัวอย่างนน้ำเหลือง (serum): เจาะเลือดเพียงครั้งเดียวตอน 4-30 วันหน้าพบผื่น โดยเจาะเลือด 3-5 มิลลิลิตรทิ้งไว้ที่อุณหภูมิปกติ รอจนเลือดแข็งตัว ดูดเฉพาะ Serum (หามีอุปกรณ์พร้อมให้ ปั่นแยก Serum) เก็บใส่หลอดไร้เชื้อ ปิดจุกให้สนิทแล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปวิเคราะห์ต่อไป

  • การตรวจสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสฝึกหัด โดยแนวทาง polymerase chain reaction (PCR) ซึ่งมีวิธีการดังต่อไปนี้


ปิดฉลาก ชื่อ-สกุล และวัน-เดือน-ปี ที่เก็บ แนวทาง PDR ใช้throat/nasal swab : เก็บช่วง 1-5 วันแรกข้างหลังพบผื่น โดยใช้ SWAB ป้ายด้านในบริเวณ posterior pharynx จุ่มปลาย swab ใน viral transport media หักด้าม swab ทิ้งเพื่อปิดหลอดให้สนิทแล้วก็ค่อยนำไปวินิจฉัยต่อไป
                การดูแลรักษา เหตุเพราะการต่อว่าดเชื้อไวรัส หัดไม่มียาใช้รักษาเฉพาะ ควรต้องให้การรักษาตามอาการ ตัวอย่างเช่น เช็ดตัวลดไข้ ให้ยาลดไข้ สารน้ำในกรณีที่มีภาวะขาดน้ำหรือกินอาหารได้น้อย ให้ความชุ่มชื้นรวมทั้งออกสิเจนในกรณีที่หอบหายใจเร็ว   ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย เป็นต้นว่า ปอดอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบใคร่ครวญรักษาด้วยการใช้ยาต้านจุลชีวินที่สมควรเป็นต้น
                นอกนั้นพบว่าการให้วิตามินเอ ยังสามารถลดอัตราการตายและก็ความพิกลพิการจากภาวะแทรกซ้อนของโรคฝึกฝนได้และยังช่วยเสริมภูมิคุ้มกันโรคฝึกฝนได้อีกด้วย ด้วยเหตุผลดังกล่าวแพทย์ก็เลยมักพิเคราะห์จะให้วิตามินเอแก่ผู้เจ็บป่วยที่มีข้อบ่งชีดังนี้

  • ผู้เจ็บป่วยอาการร้ายแรงที่อาศัยอยู่ในประเทศไม่ค่อยมีการพัฒนา หรือในบริเวณที่ยากแค้นของประเทศที่กำลังปรับปรุง
  • คนไข้เด็กอายุ 6-24 เดือน รวมทั้งจะต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาลด้วยโรคฝึกหัดที่มีภาวะแทรกซ้อน
  • คนเจ็บที่มีภาวะภูมิต้านทานขัดขวางโรคขาดตกบกพร่อง
  • คนป่วยขาดสารอาหาร
  • ผู้ป่วยที่เคยมีประวัติเป็นโรคตา จากการขาดวิตามิน เอ
  • คนเจ็บที่มีปัญหาเรื่องลำไส้ซับไม่ดี (ก็เลยมักขาดวิตามิน เอ)
  • ผู้ป่วยที่พึ่งพิงย้ายมาจากพื้นที่ที่มีอัตราการตายจากโรคฝึกสูง

สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะส่งผลให้เกิดโรคหัด

  • เด็กหรือผู้ใหญ่ที่ไม่ได้รับการฉีดซีนป้องกันโรคฝึกฝนมีการเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคฝึกหัดได้
  • สถานที่ที่มีความชื้อที่แดดส่องไม่ถึง หรือมีผู้คนคับคั่งเยอะมากๆมักจะเป็นที่ที่มีการระบาดของโรคฝึกหัด ดังเช่นว่า สถานศึกษา สถานที่รับเลี้ยงเด็กฯลฯ
  • คนที่มีภาวะขาดวิตามินเอ ชอบมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัด มากกว่าคนปกติ
  • ผู้ที่มีภาวการณ์ความผิดแปลกของระบบภูมิต้านทาน
  • ผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศที่มีระบบระเบียบสาธารณสุขที่ไม่มีคุณภาพ(ประเทศกำลังพัฒนา)


การติดต่อของโรคฝึกหัด โรคฝึกฝนเป็นโรคติดต่อที่แพร่สู่บุคคลอื่นได้ง่ายผ่านทางการหายใจ (airborne transmission) เชื้อไวรัสฝึกจะอยู่ในละอองน้ำมูก น้ำลายและก็เสมหะของผู้ป่วย ติดต่อไปยังผู้อื่นโดยการไอจามรดกัน เชื้อจะติดอยู่ในละอองฝอยๆเมื่อผู้เจ็บป่วยไอหรือจาม เชื้อจะกระจัดกระจายออกไปในระยะไกลและก็แขวนลอยอยู่ในอากาศได้นาน เมื่อคนปกติมาสูดเอาอากาศที่มีฝอยละอองนี้เข้าไป หรือละอองสัมผัสกับเยื่อตาหรือเยื่อเมือกโพรงปาก (ไม่มีความจำเป็นที่ต้องไอหรือจามรดใส่กันตรงๆ) ก็สามารถทำให้ติดโรคฝึกหัดได้ หรือสัมผัสสารคัดเลือกหลังของคนเจ็บโดยตรง ซึ่งเชื้ออาจติดอยู่กับมือของคนป่วย สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆตัวอย่างเช่น ถ้วยน้ำ จาน ชาม ผ้าที่เอาไว้สำหรับเช็ดหน้า ผ้าที่มีไว้เช็ดตัว หนังสือ ของเด็กเล่น เมื่อคนธรรมดามาสัมผัสถูกมือผู้ป่วย หรือสิ่งของเครื่องใช้ ที่ด่างพร้อยเชื้อ เชื้อก็จะติดมากับมือของคนๆนั้น เมื่อใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูกเชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายได้ ระยะการติดต่อเริ่มตั้งแต่ 4  วันโดยช่วงที่เริ่มมีลักษณะอาการไอและก็มีน้ำมูกก่อนเกิดผื่นเป็นระยะที่มีปริมาณไวรัสถูกขับออกมาสูงที่สุด ซึ่งภายในช่วงเวลา 7-14 คราวหน้าสัมผัสโรค เชื้อไวรัสฝึกหัดจะกระจัดกระจายไปทั่วร่างกายนำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการของระบบทางเท้าหายใจ ไข้และก็ผื่นในคนไข้รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิวิทยาอื่นๆตามมาอีกด้วย โดย 90 เปอร์เซ็นต์ของคนที่ไม่ได้รับวัคซีนคุ้มครองโรคฝึกมีโอกาสมีอาการป่วยเป็นโรคฝึกหัดถ้าเกิดอยู่ใกล้คนที่เป็นโรค
การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคฝึกหัด

  • กินน้ำสะอาดให้มากๆขั้นต่ำวันละ 6-8 แก้ว โดยบางทีอาจเป็นน้ำหวานหรือน้ำผลไม้ก็ได้ เพื่อปกป้องการขาดน้ำ
  • พักผ่อนให้มากๆไม่ทำงานหนักหรือออกกำลังกายมากจนเกินไป
  • ของกินที่รับประทานควรเป็นอาหารอ่อนๆตัวอย่างเช่น ซุปไก่ร้อนๆโจ๊ก น้ำหวาน น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มร้อนๆดังเช่น ชาร้อน น้ำขิง
  • พากเพียรกินอาหารให้ได้ตามธรรมดา โดยควรจะเป็นอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆรสไม่จัด ที่สำคัญเป็นคนเจ็บไม่จำเป็นที่จะต้องงดของแสลง เนื่องจากว่าโรคนี้ไม่มีของแสลง โดยควรเน้นย้ำการกินอาหารชนิดโปรตีนให้มากมายๆอย่างเช่น เนื้อ นม ไข่ ถั่ว รวมทั้งของกินที่มีวิตามินเอ มากมายๆเช่น ผักบุ้ง แครอท ตำลึง ตับวัว ฟักทอง อื่นๆอีกมากมาย
  • อย่าถูกฝนหรือถูกอากาศเย็นจัด ห้ามอาบน้ำเย็น แล้วก็ควรจะใส่เสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่น
  • ใช้ผ้าชุบน้ำชุบน้ำอุ่นหรือน้ำก๊อกอุณหภูมิปกติ (อย่าใช้น้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็ง) เช็ดตัวเวลามีไข้สูง
  • งดเว้นการสูบยาสูบ เลี่ยงควันของบุหรี่ รวมทั้งงดเว้นการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
  • เลี่ยงการไปในที่สาน้ำที่ที่มีคนคับคั่ง
  • รับประทานยารวมทั้งปฏิบัติตามคำเสนอแนะของแพทย์อย่างเคร่งครัว
  • ไปพบแพทย์ตามนัด
การคุ้มครองตัวเองจากโรคหัด

  • ในตอนที่มีการระบาดของโรคฝึกหัด ควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่ที่มีผู้คนแออัด แม้กระนั้นถ้าเกิดหลบหลีกไม่ได้ ควรใส่หน้ากากอนามัย แล้วก็หมั่นล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาด หรือชโลมมือด้วยแอลกอฮอล์เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่อาจติดมาจากการสัมผัสถูกเสลดของผู้ป่วย รวมทั้งอย่าใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูกถ้าหากยังไม่ได้ล้างมือให้สะอาด
  • ไม่ใช้สิ่งของเครื่องใช้ ร่วมกับคนไข้ และก็ควรจะเลี่ยงการสัมผัสมือกับผู้เจ็บป่วยโดยตรง หากไม่ได้สวมถุงมือคุ้มครองป้องกัน
  • อย่าใกล้หรือนอนรวมกับผู้ป่วย แม้กระนั้นจำเป็นที่จะต้องดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิด ควรจะใส่หน้ากากอนามัย แล้วก็หมั่นล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดอยู่เสมอภายหลังสัมผัสกับผู้เจ็บป่วยหรือสิ่งของของผู้ป่วย


แต่ดังนี้ วิธีที่ดีที่สุดที่จะคุ้มครองโรคฝึกหัดได้หมายถึงฉีดยาคุ้มครองป้องกัน ปัจจุบันนี้กระทรวงสาธารณสุขให้ฉีดวัคซีนป้อง กันโรคฝึก 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อเด็กอายุ 9-12 เดือน รวมทั้งครั้งที่ 2 เมื่อเด็กเข้าห้องเรียนชั้นประถมศึก ษาปีที่ 1 โดยทั้งคู่ครั้งให้ในรูปของวัคซีนรวม คุ้มครองป้องกันได้สามโรคเป็นโรคหัด โรคคางทูม รวมทั้งโรคหัดเยอรมัน เรียกว่า วัคซีนเอ็มเอ็มอาร์ (MMR, M= mumps/มัมส์/โรคคางทูม M= measles/มีเซิลส์/ฝึกหัด แล้วก็ R=rubella/รูเบลลา/ โรคเหือด)
ประวัติความเป็นมาของการพัฒนะวัคซีน วัคซีนคุ้มครองโรคฝึกหัดเริ่มมีการพัฒนาตั้งแต่ปี คริสต์ศักราช1960 จนตราบเท่ามีการจดทะเบียนการใช้วัคซีนเป็นครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริการเมื่อปี ค.ศ.1963 อีกทั้งวัคซีนชนิดเชื้อตาย (killed vaccine) และวัคซีนชนิดเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์ (live attenuated vaccine) ภายหลังจากเริ่มใช้วัคซีนทั้งยัง 2 ประเภทได้เพียงแค่ 4 ปี วัคซีนคุ้มครองโรคฝึกหัดประเภทเชื้อตามก็ถูกถอนทะเบียนจากตลาดเนื่องจากพบว่ากระตุ้นให้เกิด  atypical measles ด้วยเหตุนั้นในตอนต้นวัคซีนที่ใช้ก็เลยเป็น  monovalent live attenuated measles vaccine ที่ผลิตขึ้นจากเชื้อสายประเภท Edmonston จำพวก B โดยนำเชื้อเพาะในไข่ไก่ฟักรวมทั้ง chick embryo cell แต่เจอปัญหาข้างเคียงที่ร้ายแรงเรื่องไข้ ผื่น ก็เลยมีการปรับปรุงวัคซีนจำพวกเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์จากสายพันธุ์  Edmonston จำพวกอื่นๆด้วยกระบวนการผลิตประเภทเดียวกันแต่ว่าทำให้เชื้ออ่อนฤทธิ์ลงอีก ผลข้างเคียงจึงน้อยลง ถัดมาในปี ค.ศ.1971 มีการขึ้นบัญชีวัคซีนรวมจำพวก trivalent live attenuated measles-mumps-rubella  vaccine (MMR) และก็ใช้อย่างแพร่หลายจนถึงตอนนี้สำหรับเมืองไทยเริ่มมีการบรรจุวัคซีนคุ้มครองโรคฝึกยามเช้าไปกลยุทธ์สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแห่งชาติครั้งแรกในปี พุทธศักราช2527 โดยเริ่มให้ 1 ครั้งในเด็กอายุ 9-12 เดือนรวมทั้งในปี พ.ศ. 2539 ก็เลยเพิ่มการให้เข็มที่ 2 แก่เด็กชั้นประถมศึกษาเล่าเรียนปีที่ 1 จนกว่าปี พ.ศ.2540 ได้กำหนดให้ใช้วัคซีนคุ้มครองโรคฝึกหรือวัคซีนรวมคุ้มครองป้องกันโรคฝึกฝน-คางทูม-หัดเยอรมัน  (MMR) ในเด็กอายุ 9-12 เดือนรวมทั้งเปลี่ยนวัคซีนคุ้มครองโรคหัดสำหรับเด็กอายุ 4-6 ปีหรือชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เป็นวัคซีนรวมปกป้องโรคหัด – คางทูม – โรคเหือด (MMR) ด้วยเหมือนกัน
สมุนไพรที่ใช้คุ้มครองป้องกัน/รักษา/บรรเทาลักษณะโรคฝึก ตามตำรายาไทยนั้นระบุว่าสมุนไพรที่ใช้รักษาลักษณะของโรคฝึกหัดมีดังนี้

  • สะเดา (Azadirachta indica A.Juss.) ใช้ก้านสะเดา 33 ก้าน ต้มกับน้ำ 10 ลิตร แล้วต้มจนกระทั่งเหลือน้ำ 5 ลิตร ชูลงทิ้งเอาไว้รอคอยให้เย็น ผสมกับน้ำเย็น 1 ขัน ใช้อาบให้ทั่วร่างกายวันละ 1-2 ครั้ง จวบจนกระทั่งจะหาย และก็ต้องระมัดระวังอย่าอาบช่วงที่เม็ดฝึกฝนผุดขึ้นมาใหม่ๆแม้กระนั้นให้อาบในช่วงที่เม็ดฝึกออกเต็มที่แล้ว
  • ขมิ้นอ้อย (urcuma zedoaria (Christm.) Roscoe) ใช้เป็นยาแก้ฝึกฝนหลบใน ด้วยการใช้เหง้า 5 แว่น รวมทั้งต้นต่อไส้ 1 กำมือ เอามาต้มรวมกับน้ำปูนใสพอเหมาะพอควร แล้วนำมาใช้ดื่มเป็นยาก่อนอาหารเช้าตรู่แล้วก็เย็น ครั้งละ 1 ถ้วยชา
  • ปลาไหลเผือก (Eurycoma longifolia Jack) เปลือกลำต้นเอามาต้มเอาน้ำดื่มเป็นยาแก้ไข้เหือดฝึก


 ยิ่งไปกว่านี้ในบัญชีสามัญประจำบ้านแผนโบราญ พุทธศักราช2556 ดังระบุไว้ว่ายาเขียวสามารถใช้รักษาแล้วก็บาเทาอาการของโรคฝึกได้ โดยในสมัยก่อน ที่แท้การใช้ยาเขียวในโรคไข้เป็นผื่นในแผนไทย ไม่ได้มีเป้าประสงค์ในการยั้งเชื้อไวรัส แม้กระนั้นอยากกระแทกพิษที่เกิดขึ้นให้ออกมาเยอะที่สุด คนเจ็บจะหายได้เร็วขึ้น ผื่นไม่หลบใน หมายถึงไม่เกิดผื่นด้านใน เพราะฉะนั้นก็เลยมีหลายท่านที่รับประทานยาเขียวแล้วจะมีความรู้สึกว่ามีผื่นมากยิ่งกว่าเดิมขึ้นจากเดิม แพทย์แผนไทยจึงแนะนำให้ใช้ทั้งยังวิธีกินแล้วก็ทา โดยการกินจะช่วยกระทุ้งพิษภายในให้ออกมาที่ผิวหนัง และก็การทาจะช่วยลดความร้อนที่ผิวหนัง ถ้าจะเปรียบเทียบกับวิธีการแพทย์แผนปัจจุบัน น่าจะเป็นไปพอดียาเขียวบางทีอาจออกฤทธิ์โดยลดการอักเสบ หรือ เพิ่มภูมิต้านทาน หรือต้านออกซิเดชัน มักใช้รักษาในเด็กที่ป่วยเกิดผื่น ตัวอย่างเช่น หัด อีสุกอีใส เพื่อกระทุ้งให้พิษไข้ออกมา เป็นผื่นเพิ่มขึ้น และก็หายได้เร็ว
ตำรับยาเขียว มีส่วนประกอบของพืชที่ใช้ส่วนของใบเป็นองค์ประกอบหลัก การที่ใช้ส่วนของใบทำให้ยามีสีค่อนข้างจะไปทางสีเขียว ก็เลยทำให้เรียกกันว่า ยาเขียว รวมทั้งใบไม้ที่ใช้นี้จำนวนมาก มีคุณประโยชน์ เป็นยาเย็น หอมเย็น หรือ บางจำพวกมีรสขม เมื่อประกอบเป็นตำรับแล้ว จัดเป็นยาเย็น ทำให้ตำรับยาเขียวจำนวนมากมีสรรพคุณ ดับความร้อนของเลือดที่เป็นพิษ ซึ่งตามความหมายของการแพทย์แผนไทยนั้น หมายถึงการที่เลือดเป็นพิษและความร้อนสูงมากจนถึงจำต้องระบายทางผิวหนัง สำเร็จให้ผิวหนังเป็นผื่น หรือ ตุ่ม อาทิเช่นที่เจอในไข้ออกผื่น ฝึกหัด อีสุกอีใส เป็นต้น
เอกสารอ้างอิง

  • รศ.พญ.ธันยวีร์ ภูธนกิจ.โรคหัด.(Measles).เอกสารประกอบการสอน ไข้ออกผื่น (Exanthematous Fever).ภาควิชากุมารเวชศาสตร์.คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.พฤษภาคม.2547
  • ศศิธร ลิขิตนุกูล. โรคหัดและหัดเยอรมัน (Measlesand rubella). ใน: พรรณทิพย ฉายากุล, บรรณาธิการ.ตําราโรคติดเชื้อ เลม 1 กรุงเทพฯ: สมาคมโรคติดเชื้อแหงประเทศไทย; น.523-9.
  • รศ.รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล.ยาเขียว.ยาไทยใช้ได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/
  • (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). “หัด (Measles/Rubeola)”.หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป หน้า 396-400.
  • ผศ.ดร. ดลฤดี สงวนเสริมศรี, ผศ.ดร. เดือนถนอม พรหมขัติแก้ว มหาวิทยาลัยมหาสารคาม . ฤทธิ์การต้านเชื้อไวรัส varicella zoster ของตำรับยาเขียว (Anti-varicella zoster virus of Ya-keaw remedies). โครงการวิจัยภายใต้ทุนสนับสนุนของ สกว.
  • Axton JHM. The natural history of measles. Zambezia. 1979:139-54.
  • Babbott FL, Gordon JE. Modern measles. Am J Med Sci. 1954;228:334.
  • Koplik HT. The diagnosis of the invasion of measles from study of the exanthema as it appears on the buccal mucosa. Arch pediatr. 1896;13:918-22.
  • Maldonado YA. Rubeolar virus (Measles and subacute sclerosing panencephalitis). In: Long SS, Pickering LK, Prober CG, editors. Principles and practical of pediatric infectious disease 3re ed. Churchill Livingston: Elsevier Inc; 2008. p.1120-6.
  • Suringa DW, Bank LJ, Ackerman AB. Role of measles virus in skin lesion and Koplik’s spots. N Engl J Med. 1970;283:1139-42.
  • แนวทางการเฝ้าระวังควบคุมโรคการตรวจรักษาและส่งตัวอย่างตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อกำจัดโรคหัดตามพันธะสัญญานานาชาติ (ฉบับปรับปรุงวันที่ 2 พฤษภาคม 2555) กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • Gershon AA. Measles virus. In: Mendell GL, Bennett JE, Dolin R, eds. Mendell, Douglas and Bennett’s principle and practical of infectious disease 7th Churchill Livingston : Elsevier Inc; 2010. p.2229-36.
  • Miller C. Live measles vaccine: A21-year follow up. Br Meg J. 1987;295:22.
  • Robbins FC. Measles: Clinical Feature. Am J Dis Child. 1965; 266-73.
  • Nakai M, Imagawa DT. Electron microscopy of measles virus replication. J virol 1969;3:189-97.
  • American Academy of Pediatrics. Rubella. In: Pickering LK, Baker CJ, Kimberlin DW, Long SS, eds. Red Book 2009: Report of the Committee on Infectious Diseases. 28th ed. Elk Grove Village, IL: American Academy of Pediatrics; 2009. p.579-84.
  • Measles (rubeola). In: Krugman S, Katz SL, Gershon AA, Wilfert CM, editors. Infectious disease of children. 9th ed. St. Louis: Mosby Yearbook; 1992. p. 223-45.
  • Atabani SF, Byrnes AA, Jaye A, Kidd IM, Magnusen AF, Whittle H, Natural measles causes prolonged suppression of interleukin-12 production. J Infect Dis. 2001;184:1-9.
  • Krugman S. Further-attenuated me

24

โรคออทิสติก (Autistic spectrum disorder)
โรคออทิสติกคืออะไร “ออทิสติก” (Autism Spectrum Disorder) เป็นโรคที่มีชื่อเรียกหลากหลาย รวมทั้งมีการเปลี่ยนการเรียกชื่อเป็นระยะ ยกตัวอย่างเช่น ออทิสติก (Autistic Disorder), ออทิสซึม (Autism), ออทิสติก สเปกตรัม (Autism Spectrum Disorder), พีดีดี (Pervasive Developmental Disorders; PDDs), พีดีดี เอ็นโอเอส (PDD, Not Otherwise Specified) และก็แอสเพอร์เกอร์ (Asperger’s Disorder)  จนถึงในตอนนี้ก็เลยมีการตกลงใช้คำว่า “Autism Spectrum Disorder” ตามเกณฑ์คู่มือการวิเคราะห์โรคทางจิตใจเวชฉบับปัจจุบัน DSM-5 ของชมรมจิตแพทย์อเมริกัน ซึ่งใช้อย่างเป็นทางการในระดับสากลตั้งแต่ปี พุทธศักราช2556 สำหรับในภาษาไทย ใช้ชื่อว่า “ออทิสติก” โรคออทิสติก(Autistic Disorder) หรือ ออทิสซึม(Autism) เป็นความเปลี่ยนไปจากปกติของวิวัฒนาการเด็กแบบอย่างหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัว  เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของสมอง ทำให้มีความบกพร่องของความเจริญหลายด้านเป็นกรุ๊ปอาการความไม่ปกติ 3 ด้านหลักเป็น

  • ภาษาแล้วก็การสื่อความหมาย
  • การผลิตความเกี่ยวข้องระหว่างบุคคล
  • ความประพฤติปฏิบัติรวมทั้งความพึงพอใจแบบเฉพาะเจาะจงซ้ำเดิมซึ่งชอบเกี่ยวกับกิจวัตรที่ทำเป็นประจำและการเคลื่อนไหว ซึ่งอาการพวกนี้กำเนิดในตอนต้นของชีวิต มักเริ่มมีอาการก่อนอายุ 3 ปี


คำว่า “Autism” มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก ว่า “Auto” ซึ่งมีความหมายว่า Self หมายถึง แยกตัวอยู่คนเดียวในโลกของตน เปรียบมีกำแพงใส หรือกระจกส่อง กันบุคคลกลุ่มนี้ออกมาจากสังคมรอบกาย
ประวัติความเป็นมา ปี พ.ศ.2486 มีการรายงานคนไข้เป็นครั้งแรก โดยหมอลีโอ แคนเนอร์ (Leo Kanner) จิตแพทย์ สถาบันจอห์น ฮอปกินส์ สหรัฐอเมริกา รายงานคนป่วยเด็กปริมาณ 11 คน ที่มีลักษณะแปลกๆอาทิเช่น บอกเลียนเสียง กล่าวช้า ติดต่อสื่อสารไม่รู้เรื่อง ทำใหม่ๆไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ไม่สนใจผู้อื่น เล่นไม่เป็น และก็ได้ติดตามเด็กอยู่นาน 5 ปี พบว่าเด็กพวกนี้แตกต่างจากเด็กที่ขาดตกบกพร่องทางสติปัญญา จึงเรียกชื่อเด็กที่มีอาการเช่นนี้ว่า “Early Infantile Autism”
ปี พ.ศ.2487 นายแพทย์ฮานส์ แอสเพอร์เกอร์ (Hans Asperger) กุมารแพทย์ ชาวออสเตรีย บรรยายถึงเด็กที่มีลักษณะเข้าสังคมลำบาก หมกมุ่นอยู่กับการทำอะไรบ่อยๆแปลกๆกลับพูดเก่งมาก รวมทั้งดูเหมือนจะฉลาดเฉลียวด้วย เรียกชื่อเด็กที่มีอาการเช่นนี้ว่า “Autistic Psychopathy” ปี พ.ศ.2524 Lorna Wing นำมาอ้างอิงถึง ออทิสติกในความหมายของแอสเพอร์เกอร์ คล้ายคลึงกับของแคนเนอร์มาก นักวิจัยรุ่นลูกก็เลยสรุปว่า หมอ 2 คนนี้เอ๋ยถึงเรื่องเดียวกัน แต่ในรายละเอียดที่แตกต่าง ซึ่งในตอนนี้จัดอยู่ในกรุ๊ปเดียวกันเป็น“Autism Spectrum Disorder”
                จากการศึกษาระยะแรกพบอัตราความชุกของโรคออทิสติกราวๆ 4-5 รายต่อ 10000 ราย แม้กระนั้นรายงานในช่วงหลังพบอัตราความชุกมากขึ้นเรื่อยๆในประเทศต่างๆทั่วโลก เป็น 20-60 รายต่อ 10000 ราย ความชุกที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆนี้ ส่วนหนึ่งมาจากความรู้เรื่องออทิสติกที่เยอะขึ้น การใช้งานเครื่องมือสำหรับการวินิจฉัยที่แตกต่างกัน รวมถึงปริมาณคนเจ็บที่อาจมีมากขึ้นเรื่อยๆ โรคออทิสติกเจอในเพศชายมากยิ่งกว่าผู้หญิงอัตราส่วนประมาณ 2-4:1 อัตราส่วนนี้สูงมากขึ้นในกลุ่มเด็กที่มีลักษณะน้อยและก็ในทางตรงกันข้ามอัตราส่วนผู้ชายต่อเพศหญิงลดน้อยลงในกลุ่มที่มีสภาวะปัญญาอ่อนรุนแรงร่วมด้วย
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคออทิสติก  มีความบากบั่นในการค้นคว้าถึงสาเหตุของออทิสติก แม้กระนั้นก็ยังไม่รู้จักสาเหตุของความผิดปกติที่เด่นชัดได้ ในปัจจุบันมีหลักฐานสนับสนุนกระจ่างแจ้งว่ามีต้นเหตุที่เกิดจากรูปแบบการทำงานของสมองที่เปลี่ยนไปจากปกติ มากกว่าเป็นผลจากสภาพแวดล้อม
            ในอดีตเคยมั่นใจว่าออทิสติก เกิดจากการอุปถัมภ์ในลักษณะที่เย็นชา (Refrigerator Mother) (บิดามารดาที่บรรลุผลสำเร็จในเรื่องงาน กระทั่งความเชื่อมโยงระหว่างพ่อแม่กับลูกมีความห่างเหินเย็นชา ซึ่งมีการเทียบว่า เป็นบิดามารดาตู้เย็น) แต่ว่าจากหลักฐานข้อมูลในปัจจุบันรับรองได้เด่นชัดว่า รูปแบบการอุปถัมภ์ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เป็นออทิสติก แม้กระนั้นถ้าหากเลี้ยงอย่างเหมาะควรก็สามารถที่จะช่วยให้เด็กปรับปรุงดีขึ้นได้มาก
           แม้กระนั้นในปัจจุบันนักวิจัย/นักวิทยาศาสตร์ พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับปัจจัยด้านพันธุกรรมสูงมาก มีความเชื่อมโยงกับโครโมโซมหลายตำแหน่ง อาทิเช่น ตำแหน่งที่ 15q 11-13, 7q รวมทั้ง 16p ฯลฯ แล้วก็จากการเรียนในฝาแฝด พบว่าคู่แฝดเสมือน ซึ่งมีรหัสพันธุกรรมเช่นเดียวกัน มีโอกาสเป็นออทิสติกทั้งสองสูงยิ่งกว่าฝาแฝดไม่ราวกับอย่างชัดเจน
                รวมทั้งการศึกษาทางด้านกายส่วนแล้วก็สารสื่อประสาทในสมองของผู้ป่วยออทิสติก จากทั้งยังทางรูปถ่ายรังสี สัญญาณคลื่นสมอง สารเคมีในสมองรวมทั้งชิ้นเนื้อ พบความแปลกหลายสิ่งหลายอย่างในผู้ป่วยออทิสติกแต่ว่ายังไม่พบแบบอย่างที่เฉพาะ ในทางกายส่วนพบว่าสมองของผู้เจ็บป่วยออทิสติกมีขนาดใหญ่กว่าของคนทั่วๆไป รวมทั้งนิดหน่อยของสมองมีขนาดไม่ปกติ ตำแหน่งที่มีรายงานเจอความไม่ปกติของเนื้อสมอง ตัวอย่างเช่น brain stem, cerebellum, limbic system และ บางตำแหน่งของ cerebral cortex
                นอกนั้นการตรวจคลื่นกระแสไฟฟ้าสมอง (EEG) ในผู้ป่วยออทิสติก พบความไม่ดีเหมือนปกติปริมาณร้อยละ 10-83 เป็นความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าสมองแบบไม่เฉพาะ  (non-specific abnormalities) อุบัติการณ์ของโรคลมชักในเด็กออทิสติกสูงยิ่งกว่าของคนทั่วไปเป็น พบปริมาณร้อยละ 5-38 นอกจากนี้ยังมีการเล่าเรียนเกี่ยวกับสารสื่อประสาทหลายแบบโดยยิ่งไปกว่านั้น  serotonin ที่พบว่าสูงมากขึ้นในผู้เจ็บป่วยบางราย แม้กระนั้นก็ยังมิได้ข้อสรุปที่แจ่มแจ้งถึงความเกี่ยวพันของความผิดแปลกพวกนี้กับการเกิดออทิสติก
                ในขณะนี้สรุปได้ว่า ต้นเหตุจำนวนมากของออทิสติกมีต้นเหตุจากพันธุกรรมแบบหลายต้นสายปลายเหตุ (multifactorial inheritance) ซึ่งมียีนที่เกี่ยวพันหลายตำแหน่งรวมทั้งมีภูไม่ไวรับ (susceptibility) ต่อการเกิดโรคที่มีต้นเหตุมากจากการสัมผัสสภาพแวดล้อมต่างๆ
ลักษณะของโรคออทิสติก การที่จะรู้ว่าเด็กผู้ใดกันแน่เป็นหรือเปล่าเป็นออทิสติกนั้น  เริ่มแรกจะสังเกตได้จากการกระทำในวัยเด็ก    ซึ่งมองเห็นได้ตั้งแต่ขวบปีแรก       พ่อแม่บางครั้งอาจจะสังเกตเห็นตั้งแต่ความสัมพันธ์ทางด้านสังคมกับผู้อื่น  ด้านการสื่อความหมาย    มีพฤติกรรมที่ทำอะไรซ้ำๆ    การกระทำจะเริ่มแสดงแจ่มชัดเพิ่มมากขึ้นเมื่อเด็กอายุประมาณ 2 ขวบครึ่ง หรือ 30  เดือน  โดยมีลักษณะปรากฏแจ้งชัดในเรื่องความชักช้าด้านการพูดและการใช้ภาษา      ด้านความเกี่ยวข้องกับสังคมดูได้จากการที่เด็กจะไม่จ้องตา  ไม่แสดงออกทางสีหน้าท่าทางและอาการเสมือนไม่สนใจ  จะผูกสัมพันธ์หรือเล่นกับคนใดกัน  และไม่สามารถแสดงออกทางอารมณ์ให้เหมาะสมได้เมื่ออยู่ในสังคม   สามารถแยกเป็นด้าน ตัวอย่างเช่น

  • ความผิดพลาดสำหรับเพื่อการมีความสัมพันธ์ด้านสังคม (impairment in social interaction) ความผิดพลาดสำหรับในการมีปฏิสัมพันธ์ทางด้านสังคมเป็นอาการสำคัญของออทิสติก ซึ่งมีระดับความรุนแรงที่แตกต่างกันไป ถึงแม้ว่าเด็กออทิสติกสามารถสร้างความผูกพันโดยบากบั่นที่จะอยู่ใกล้ผู้อุปการะ แต่ว่าสิ่งที่ไม่เหมือนกับเด็กทั่วไปคือ การขาดความรู้สึกรวมทั้งความพอใจร่วมกับคนอื่น  (attention-sharing behaviours) ไม่สามารถที่จะเข้าใจหรือรับทราบว่าผื่อนกำลังคิดหรือรู้สึกยังไง เป็นต้น


ถึงแม้เด็กออทิสติกที่มีระดับเชาวน์ปกติ ก็ยังมีความผิดพลาดในด้านการเข้าสังคม ได้แก่ ไม่รู้เรื่องแนวทางการเริ่มหรือจบทบพูดคุย พ่อแม่บางคนอาจมองเห็นความผิดปกติในด้านสังคมตั้งแต่ในขวบปีแรก และก็เมื่อเด็กไปสู่วัยเรียน อาการจะเห็นได้ชัดเจนขึ้น เพราะเหตุว่าสถานการณ์ทางด้านสังคมที่สลับซับซ้อนมากเพิ่มขึ้น พูดอีกนัยหนึ่ง เด็กจะไม่อาจจะเข้าใจหรือรับทราบว่าผู้อื่นกำลังคิดหรือรู้สึกอย่างไรเข้ากับเพื่อนฝูงได้ยาก มักถูกเด็กอื่นคิดว่าแปลกหรือเป็นตัวตลกโปกฮา

  • ความบกพร่องในการติดต่อ (impairment in communication) เด็กออทิสติกส่วนมากมีปัญหาบอกช้า ซึ่งเป็นอาการนำสำคัญที่ทำให้ผู้ดูแลพาเด็กมาเจอหมอ การใช้ภาษาของเด็กออทิสติกมักเป็นในรูปแบบของการท่องบ่อยๆและไม่สื่อความหมาย อาจมีการพูดซ้ำคำท้ายประโยค ใช้คำสรรพนามไม่ถูกจำเป็นต้องพูดจาวกวนอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือใช้น้ำเสียงจังหวะดนตรีการพูดที่ไม่ปกติ


เด็กออทิสติดบางคนเริ่มพูดคำแรกเมื่ออายุ 2-3 ปี การใช้ภาษาในขั้นแรกจะเป็นการพูดทวนสิ่งที่ได้ยิน ส่วนในเด็กที่มีระดับเชาวน์ธรรมดาหรือใกล้เคียงธรรมดาจะมีความเจริญทางภาษาที่ค่อนข้างจะดี รวมทั้งสามารถใช้ประโยคในการติดต่อได้เมื่ออายุราว 5 ปี เมื่อถึงวัยศึกษาความบกพร่องด้านภาษายังคงมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสวนาโต้ตอบ บางทีอาจพูดจาวนเวียน พูดเฉพาะในเรื่องที่ตนพึงพอใจ แล้วก็มีปัญหาที่ภาษาที่เป็นนามธรรม หรือพูดไม่ถูกกาลเทศะ

  • การกระทำรวมทั้งความพอใจแบบเจาะจงซ้ำเดิมเพียงไม่กี่ประเภท (restricted, repetitive and stereotypic behaviors and interests) ความประพฤติซ้ำๆเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ชัด ก็เลยช่วยสำหรับการวินิจฉัยโรคได้ดิบได้ดี การกระทำที่ได้กล่าวมาแล้วเหล่านี้บางทีอาจเป็นความประพฤติทางกายรวมทั้งการเคลื่อนไหวที่จำกัดอยู่กับความพึงพอใจในกิจกรรมหรือสิ่งของไม่กี่ชนิด อาทิเช่น การสะบัดมือ หมุนข้อเท้า โยกศีรษะ หมุนวัตถุ เปิดปิดไฟ กดชักโครก แล้วก็เมื่อมีความตื่นเต้นหรือมีภาวการณ์กดดัน การเคลื่อนไหวบ่อยๆพบได้ทั่วไปได้มากขึ้น เด็กออทิสติกบางคนพึงพอใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ผู้อื่นมองข้าม


เด็กออทิสติกแบบ  high functioning ที่เป็นเด็กโตให้ความสนใจบางเรื่องอย่างจำกัดกี่ โดยสิ่งที่พอใจนั้นบางทีอาจเป็นเรื่องที่เด็กทั่วๆไปสนใจ แม้กระนั้นเด็กกลุ่มนี้มีความหมกมุ่นกับหัวข้อนั้นอย่างมาก เช่น จดจำรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งนั้นได้ แล้วก็สนทนาเกี่ยวกับเรื่องนั้นอยู่เป็นประจำ ในเด็กกลุ่มนี้เมื่อโตขึ้นสิ่งที่สนใจอาจเป็นความรู้ด้านวิชาการบางสาขา ได้แก่ เลขคณิต คอมพิวเตอร์ แล้วก็วิทยาศาสตร์สาขาต่างๆซึ่งความรู้กลุ่มนี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าเมื่อยู่ในสถานศึกษา จึงช่วยทำให้เด็กออทิสติกเข้าร่วมสังคมในสถานที่เรียนได้ดีขึ้น
นอกจากนี้เด็กออทิสติกบางทีอาจจะดื้อรั้นมากแล้วก็มีสมาธิสั้นต่อสิ่งที่มิได้พอใจเป็นพิเศษ จนครั้งคราวได้รับการวิเคราะห์ว่าเป็นเด็กซุกซนสมาธิสั้น (Attention deficit and hyperactivity disorder หรือ ADHD) โดยยิ่งไปกว่านั้นเมื่ออาการของออทิสติกกำกวม ในเด็กที่มีพัฒนาการช้าอย่างมากอาจพบการกระทำรังแกตนเอง เช่น กระแทกศีรษะหรือกัดตนเอง ฯลฯ
ในด้านเชาวน์ เด็กออทิสติกบางคนมีความรู้ความสามารถพิเศษในด้านความจำหรือคำนวณโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม high functioning บางทีอาจสามารถจำตัวอักษรรวมทั้งนับเลขได้ตั้งแต่อายุ 2-3 ปี เด็กบางกรุ๊ปสามารถอ่อนหนังสือได้ก่อนอายุ 5 ปี (hyperlexia)
ขั้นตอนการรักษาโรคออทิสติก สำหรับการตรวจวินิจฉัยว่าเด็กเป็นออทิสติกไหม  ไม่มีเครื่องวัดที่เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์   แต่ว่าอาจมีการตรวจประกอบกิจการวิเคราะห์จากความประพฤติ
                โดยกฏเกณฑ์การวิเคราะห์โรคออทิสติกตามระบบ Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders (DSM) เริ่มมีตั้งแต่ว่า DSM-III (พุทธศักราช 2523) และได้ถูกปรับกลายเป็น DSM-IIIR (พุทธศักราช 2530) ในตอนนี้ใช้หลักเกณฑ์การวินิจฉัยตาม DSM-IV (พุทธศักราช 2537) โดยคำว่า pervasive developmental disorder (PDD) คือความแตกต่างจากปกติในด้านพัฒนาการหลายด้าน ซึ่งแบ่งการวิเคราะห์ PDD เป็น 5 จำพวก เป็นต้นว่า autistic disorder, Rett’s disorder, childhood disintegrative disorder, Asperger’s disorder และก็pervasive developmental disorder not otherwise specified (PDD-NOS ในตอนนี้ได้รวมออทิสติกเป็นกรุ๊ปโรคที่มีความมากมายหลากหลายของลักษณะทางคลินิก (autistic spectrum disorder ASD) และก็มีคำที่เรียกกรุ๊ปออทิสติกที่มีความผิดพลาดน้อยกว่า  high-functioning autism

     โดยแพทย์จะมองอาการเบื้องต้นว่ามีปัญหาด้านพัฒนาการไหม ซึ่งอาการของเด็กที่มีวิวัฒนาการช้าจะมีลักษณะดังนี้
โรคออทิสติก (Autistic disorder/Autism)  สามารถวินิจฉัยได้โดยการสังเกตการกระทำ ซึ่ง มีลักษณะอาการครบ 6 ข้อ โดยมีอาการจากข้อ (1) อย่างน้อย 2 ข้อ รวมทั้งมีลักษณะ จากข้อ (2) และข้อ (3) อย่างต่ำข้อละ 2 อาการ ดังต่อไปนี้


  • ความผิดปกติของปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างน้อย 2 ข้อ ดังต่อไปนี้
  • ไม่สามารถใช้ภาษาท่าทางสื่อสารทางสังคมกับบุคคลอื่น เช่น การสบตา การแสดงอารมณ์ความรู้สึกทางสีหน้า และภาษาท่าทางอื่นๆ เพื่อการสื่อสาร
  • ไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลให้เหมาะสมตามวัย
  • ขาดความสามารถในการแสวงหาการมีกิจกรรม ความสนใจ และความสนุก สนานร่วมกับผู้อื่น
  • ขาดทักษะการสื่อสารทางสังคมและทางอารมณ์กับบุคคลอื่น
  • ความผิดปกติด้านการสื่อสารอย่างน้อย 1 ข้อ ดังต่อไปนี้
  • มีความล่าช้าหรือไม่มีการพัฒนาในด้านภาษาพูด
  • ในรายที่สามารถพูดได้แล้วแต่ไม่สามารถที่จะเริ่มต้นบทสนทนาหรือโต้ตอบบทสนทนากับผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม
  • พูดซ้ำๆ หรือมีรูปแบบจำกัดในการใช้ภาษา เพื่อสื่อสารหรือส่งเสียงไม่เป็นภาษา (ภาษาต่างดาว) อย่างไม่เหมาะสม
  • ไม่สามารถเล่นสมมุติหรือเล่นลอกตามจินตนาการได้เหมาะสมกับระดับพัฒนา การ
  • มีพฤติกรรม ความสนใจ และกิจกรรมที่ซ้ำๆ และจำกัด อย่างน้อย 1 ข้อ ดังต่อไปนี้
  • มีความสนใจที่ซ้ำๆ อย่างผิดปกติ
  • มีกิจวัตรประจำวันหรือกฎเกณฑ์ที่ต้องทำโดยไม่สามารถยืดหยุ่นได้ ถึงแม้นว่ากิจวัตรหรือกฎเกณฑ์นั้นจะไม่มีประโยชน์
  • มีการเคลื่อนไหวร่างกายซ้ำๆ เช่น สะบัดมือ เล่นมือ หมุนตัว
  • สนใจเพียงบางส่วนของวัตถุ
  • พบความผิดปกติอย่างน้อย 1 ด้านดังต่อไปนี้ (โดยอาการเกิดก่อนอายุ 3 ขวบ)
  • ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
  • การใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมาย
  • การเล่นสมมติหรือการเล่นตามจินตนาการ
  • ความผิดปกติที่พบไม่เข้าเกณฑ์วินิจฉัยของความผิดปกติจากโรคอื่นๆ เช่น กลุ่มอาการดาวน์ (Down’s syndrome)
การรักษา แม้ว่าในปัจจุบันนี้ยังไม่มียาหรือวิธีการรักษาออทิสติกให้หายขาดได้ แต่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าการได้รับการรักษาก่อนอายุ 3 ปี  (early intervention) โดยการกระตุ้นพัฒนาการปรับพฤติกรรมฝึกพูดและให้การศึกษาที่เหมาะสม ช่วยให้เด็กมีอาการดีขึ้น แต่ไม่มีวิธีใดที่ดีที่สุดหรือเหมาะสมสำหรับเด็กทุกคนดังนั้นจึงต้องเลือดและปรับการรักษาให้เหมาะสมในแต่ละราย  และการรักษาออทิสติกให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานานเท่าไหร่ไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด เพราะการรักษาให้ประสบผลสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยที่แตกต่างกันไปของผู้ป่วย เช่น ความรุนแรงของโรค ความผิดปกติซ้ำซ้อนที่เกิดกับเด็ก อาการเจ็บป่วยทางกายของเด็ก อายุที่เด็กเริ่มเข้ารับการรักษา รูปแบบการเลี้ยงดู  หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก เป็นต้น นอกจากนี้ แพทย์ต้องเฝ้าระวังอาการของเด็กร่วมด้วย เนื่องจากเด็กอาจมีความผิดปกติด้านพฤติกรรมเพิ่มขึ้นมาระหว่างรับการรักษา แพทย์จึงต้องปรับวิธีการรักษาให้เหมาะสมตลอดช่วงอายุของเด็กอยู่เสมอ
อีกทั้งการดูแลรักษาออทิสติก จำเป็นต้องอาศัยทีมงานผู้เชี่ยวชาญจากสหวิชาชีพ (Multidisciplinary Team Approach) ซึ่งประกอบด้วย จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น (Child and Adolescent Psychiatrist) นักจิตวิทยา (Psychologist) พยาบาลจิตเวชเด็ก (Child Psychiatric Nurse) นักเวชศาสตร์การสื่อความหมาย (Speech Therapist) นักกิจกรรมบำบัด (Occupational Therapist) ครูการศึกษาพิเศษ (Special Educator) นักสังคมสงเคราะห์ (Social Worker) ฯลฯ
แต่หัวใจสำคัญของการดูแลรักษาไม่ได้อยู่ที่ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น แต่อยู่ที่ครอบครัวด้วยว่าจะสามารถนำวิธีการบำบัดรักษาต่างๆ ที่ได้รับ มาประยุกต์ใช้ที่บ้านอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องหรือไม่
โดยวิธีการรักษาที่เหมาะสมคือ บูรณาการ การรักษาด้านต่างๆเข้าด้วยกันตามความจำเป็นของเด็กแต่ละคน วิธีการรักษา ได้แก่

  • การปรับพฤติกรรมและฝึกทักษะทางสังคม เพื่อเพิ่มพฤติกรรมที่เหมาะสมและลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การลดพฤติกรรมซ้ำๆ การลดพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง ซึ่งแนวคิดพื้น ฐานของพฤติกรรมบำบัดคือ ถ้าผลที่ตามมาหลังเกิดพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ชอบก็จะทำให้พฤติกรรมเพิ่มขึ้น แต่ถ้าผลที่เกิดขึ้นหลังพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ไม่ชอบก็จะทำให้พฤติกรรมลดลง โดยมีเทคนิคการปรับพฤติกรรมที่หลากหลาย เช่น การให้รางวัลหรือคำชมเมื่อมีพฤติกรรมที่เหมาะสม การเพิกเฉยเมื่อเด็กงอแง หรือการเบี่ยงเบนความสนใจเด็กไปยังสิ่งอื่นที่เด็กชอบในขณะที่เด็กงอ แง เป็นต้น
  • การฝึกพูด เป็นการรักษาที่สำคัญโดยเฉพาะในรายที่มีพัฒนาการด้านภาษาและการสื่อความหมายล่าช้า การฝึกการสื่อสารได้เร็วเท่าไหร่จะทำให้เด็กเรียนรู้จากการใช้ภาษาได้เร็วเท่า นั้น และช่วยลดพฤติกรรมก้าวร้าวที่เกิดจากการไม่สามารถสื่อสารความต้องการได้
  • การส่งเสริมพัฒนาการ ส่งเสริมพัฒนาการด้านอื่นที่ล่าช้าควบคู่กับการพัฒนาทักษะด้านการสื่อสาร สังคม และการปรับพฤติกรรม
  • การศึกษาพิเศษ มีบทบาทสำคัญในการช่วยพัฒนาทักษะสังคม การสื่อสาร และพัฒนาการด้านอื่นๆ ควรจัดบริการการศึกษาที่มีระบบชัดเจน ไม่มีสิ่งเร้าที่มากเกินไป และมีครูการศึกษาพิเศษดูแลโดยควรวางแผนการศึกษาร่วมกันระหว่างผู้ปกครองและโรงเรียน ควรจัดกิจกรรมและการเรียนการสอนช่วงหยุดเรียนภาคฤดูร้อนเพื่อให้เด็กมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เมื่อเด็กสามารถพัฒนาความสามารถด้านการช่วยเหลือตัวเอง ภาษา สังคม และจัดการกับปัญหาพฤติกรรมที่รบกวนได้แล้ว สามารถเรียนร่วมในชั้นเรียนปกติได้เพื่อพัฒนาความ สามารถทางสังคมต่อไป โดยมีการจัดแผนการสอนเฉพาะบุคคล (Individual Educational Plan; IEP) และนำกระบวนการส่งเสริมพัฒนาการและการปรับพฤติกรรมไปประยุกต์ใช้ร่วมกับการศึกษาด้วย

    หากมีข้อจำกัดด้านพัฒนาการ หรือปัญหาพฤติกรรม ก็จำเป็นต้องเรียนในห้องเรียนพิ เศษเฉพาะเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ชั้นเรียนปกติต่อไป
    นอกจากนี้ยังมีการรักษาด้วยยา เป็นการรักษาเพื่อลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและช่วยให้ฝึกเด็กได้ง่ายขึ้นแต่ควรคำนึงเสมอว่า การรักษาด้วยยานี้ ไม่ได้เป็นการรักษาอาการหลักของโรค
    บรรดายาชนิดต่างๆ ที่ใช้เพื่อบรรเทาอาการบางอย่างของโรคออทิสติกนั้น ส่วนใหญ่เป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบสมอง เช่น ยากระตุ้นประสาทส่วนกลาง ยาต้านอาการซึมเศร้า ยาต้านลมชัก เป็นต้น ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นการสั่งจ่ายให้กับผู้ป่วยโดยที่ยังไม่ได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ให้รักษาโรคนี้ได้
    ปัจจุบันมียาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยา แห่งสหรัฐอเมริกาให้ใช้ในผู้ป่วยออทิสติกได้คือ ยา risperidone (มีชื่อทางการค้าว่า Risperdal®) ซึ่งได้รับอนุมัติให้ใช้บรรเทาอาการหงุดหงิด ฉุนเฉียว ก้าวร้าว หรือการทำร้ายตนเอง ของผู้ป่วยโรคออทิสติกที่มีอายุระหว่าง 5-16 ปี
    ยาชนิดนี้เป็นยารักษาโรคจิตเภทมา 10 กว่าปีแล้ว และพบผลข้างเคียงได้บ้าง ตัวอย่างผลข้างเคียงที่พบได้แก่ ง่วงนอน ท้องผูก อ่อนเพลีย เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เจริญอาหารและน้ำหนักเพิ่ม น้ำลายไหล ปากแห้ง มือสั่น ซึม เป็นต้น
    นอกจากนี้ บางคนอาจพบมีน้ำนมไหลออกมาจากเต้านม ขี้โมโหมากขึ้น หัวใจเต้นผิดปกติ และกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติได้ โดยเฉพาะเรื่องน้ำหนักเพิ่มนี้พบได้บ่อย ทำให้เด็กเจริญอาหาร กินเก่ง น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เด็กส่วนใหญ่เมื่อได้ใช้ยานี้แล้วมักจะช่วยให้นอนง่าย นอนเร็วขึ้น หลับตลอดทั้งคืน สมาธิและอารมณ์ดีขึ้น
    ขนาดยาที่ใช้ เด็กที่มีน้ำหนักตัว 15-19 กิโลกรัม ควรเริ่มต้นด้วยขนาดยาวันละ 0.25 มิลลิกรัม และถ้าน้ำหนักตัวตั้งแต่ 20 กิโลกรัมขึ้นไป ควรใช้ยาวันละ 0.50 มิลลิกรัม โดยให้ใช้วันละ 1 ครั้ง ตอนเย็นหรือก่อนนอน และอาจเพิ่มขนาดยานี้ได้ทุกๆ 2 สัปดาห์ครั้งละ 0.25-0.50 มิลลิกรัม จนกว่าจะได้ผลดีที่สุด ซึ่งขนาดยาที่ได้ผลดี จะอยู่ระหว่าง 0.5-3.0 มิลลิกรัม/วัน
    ประเทศไทยมีทั้งชนิดเม็ด ขนาดเม็ดละ 1 และ 2 มิลลิกรัม/เม็ด และมีชนิดน้ำ ขนาด 30 มิลลิลิตร (โดยมีความเข้มข้นของ 1 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร)
    ภาวะแทรกซ้อนของโรคออทิสติก

  • ปัญญาอ่อน เด็กกลุ่มโรคออทิสติก 70% มีภาวการณ์ปัญญาอ่อนร่วมด้วยนอกจาก โรค Asperger’s disorder จะหรูหราความเฉลียวฉลาดธรรมดา
  • ชัก เด็กกรุ๊ปโรคออทิสติก มีโอกาสชักสูงขึ้นมากยิ่งกว่าประชาชนทั่วๆไป และก็พบว่าการชักชมรมกับ IQ ต่ำ โดย 25% ของเด็กกรุ๊ปที่มี IQ ต่ำจะเจออาการชัก แต่พบอาการชักในกลุ่มมี IQ ปกติเพียงแค่ 5% ส่วนมากอาการชักมักเริ่มในวัยรุ่น โดยช่วงอายุที่มีโอกาสชักเยอะที่สุดคือ 10 -14 ปี
  • ความประพฤติปฏิบัติหยาบและความประพฤติปฏิบัติรังควานตนเอง พบได้บ่อย มีต้นเหตุมาจากการไม่สามารถที่จะติดต่อความต้องการได้ แล้วก็กิจวัตรที่ทำเป็นประจำทุกวันที่ปฏิบัติเป็นประจำไม่อาจจะทำได้ตามธรรมดา เจอปัญหานี้บ่อยครั้งขึ้นในตอนวัยรุ่น ส่วนความประพฤติปฏิบัติรังแกตัวเองพบบ่อยในโรคกลุ่มที่มี IQ ต่ำ
  • ความประพฤติแก่นแก้ว/อยู่ไม่นิ่ง/ใจร้อน/ขาดสมาธิ พบได้ทั่วไป ก่อให้เกิดผลเสียต่อปัญ หาการเรียน และกระบวนการทำกิจกรรมอื่นๆ
  • ปัญหาการนอน พบปัญหาด้านการนอนได้หลายครั้งในเด็กกรุ๊ปโรคออทิสติกโดยเฉพาะปัญหานอนยาก นอนน้อย รวมทั้งนอนไม่เป็นเวลา
  • ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการรับประทาน รับประทานยาก/เลือกกิน หรือรับประทานอาหารเพียงแต่บางประเภท หรือกินสิ่งที่ไม่ใช่อาหาร
  • เนื้องอก ทูเบอรัส สเคลอโรซิส (Tuberous Sclerosis) โรคที่เกี่ยวกับความแปลกทางพันธุกรรม นับว่าเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้น้อย โดยทูเบอรัส สเคลอโรซิสก่อให้เกิดก้อนเนื้อนุ่มๆแตกหน่อขึ้นมาที่อวัยวะรวมทั้งสมองของเด็ก แม้ว่าจะไม่มีต้นเหตุชัดเจนว่าเนื้องอกเกี่ยวกับอาการออทิสติกอย่างไร แม้กระนั้นจากศูนย์ควบคุมรวมทั้งป้องกันโรค (Centers for Disease Control and Prevention) แถลงการณ์ว่าเด็กออทิสติกมีอัตราการเป็นทูเบอรัส สเคลอโรสิสสูง


การติดต่อของโรคออทิสติก โรคออทิสติกเป็นโรคที่ยังไม่รู้จักมูลเหตุการเกิดโรคที่เด่นชัดแน่ๆแม้กระนั้นมีผลการศึกษาเรียนรู้จำนวนหลายชิ้นกล่าวว่า เกี่ยวข้องกับสาเหตุด้านกรรมพันธุ์ และก็ข้อผิดพลาดเปกติของสมอง ซึ่งโรคออทิสติกนี้ มิได้ถูกระบุว่าเป็นโรคติดต่อ เพราะเหตุว่าไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
วิธีการดูแลช่วยเหลือคนไข้ออทิสติก เนื่องมาจากโรคออทิสติกพบได้ทั่วไปมากมายในเด็ก ดังนั้นก็เลยต้ออาศั

25

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง MG (Myasthenia gravis)

  • โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เป็นอย่างไร โรคกล้ามเนื้ออ่อนกำลัง (Myasthenia gravis) โรคกล้ามอ่อนแรง (myasthenia gravis) หรือ โรคเอ็มจี เป็นชื่อภาษากรีกรวมทั้งภาษาละติน มีความหมายว่า "grave muscular weakness" เป็นโรคกล้ามอ่อนแรง ชนิดหนึ่งที่เป็นโรค ออโตอิมมูน (Autoimmune) จำพวกเรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่นำมาซึ่งการทำให้กล้ามเนื้อลาย (กล้ามเนื้อที่อยู่ในการควบคุมของสมอง ซึ่งเป็น กล้ามด้านนอกร่างกาย ที่ร่างกายใช้เพื่อการเคลื่อนไหวต่างๆเป็นต้นว่า กล้ามเนื้อ แขน ขา ดวงตา บริเวณใบหน้า โพรงปาก กล่องเสียง และกล้ามกระดูกซี่โครงที่ใช้สำหรับการหายใจ มีการเหน็ดเหนื่อยกระทั่งไม่อาจจะปฏิบัติงานหดตัวได้ตามเดิม หรืออีกนัยหนึ่งเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนล้า (Myasthenia Gravis; MG) เป็นโรคภูมิต้านทานของร่างกายดำเนินงานไม่ปกติ ซึ่งไปทำลายตัวรับสัญญาณประสาท (receptor) ที่อยู่บนกล้ามเนื้อของตัวเองก่อให้เกิดอาการกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อย เพราะว่าไม่อาจจะรับสัญญาณประสาทที่กระตุ้นให้กล้ามเนื้อหดตัวได้ โดยคนไข้จะมีอาการหนังตาตก ยิ้มได้ลดน้อยลง หายใจลำบาก มีปัญหาการพูด การบด การกลืน รวมถึงการเคลื่อนไหวของร่างกาย โรคกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรงเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยทุกเพศทุกวัย ตอนนี้ ทั้งยังการรักษาทำเป็นเพียงแต่เพื่อทุเลาอาการแค่นั้น

    ดังนี้ โรคกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง MG  ไม่ใช่โรคใหม่ แม้กระนั้นเป็นโรคที่มีการบันทึกว่าพบคนเจ็บ มาตั้งแต่ 300 ปีกลาย  รวมทั้งโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง MG เป็นโรคพบได้ไม่บ่อยนัก ประมาณ 10 ราย ต่อประชากร 100,000 คน เจอได้ในทุกอายุ ตั้งแต่ทารกจนถึงคนวัยแก่ โดยเจอในผู้หญิงมากกว่าในเพศชายราว 3:2 เท่า ทั้งนี้พบโรคนี้ในเด็กได้โดยประมาณ 10%ของผู้ที่เจ็บป่วยจากโรคชนิดนี้ทั้งหมด ในคนแก่ผู้หญิง พบได้มากโรคได้สูงในช่วงอายุ 30-40 ปี แต่ในผู้ใหญ่ผู้ชาย พบได้บ่อยโรคได้สูงในช่วงอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป

  • ที่มาของโรคกล้ามเนื้อเมื่อยล้า (MG) สำหรับในการเคลื่อนกล้ามแต่ละผูก สมองจะต้องส่งสัญญาณประสาทไปตามเส้นประสาท และจะเกิดการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาทที่บริเวณรอยต่อระหว่างเส้นประสาทแล้วก็กล้ามเนื้อสารสื่อประสาทนี้จะไปส่งสัญญาณที่ตัวรับสัญญาณรอบๆกล้ามเนื้อแต่ละผูกเพื่อกล้ามมีการหดตัว คนป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรง (MG) เมื่อปลายประสาทเกิดการหลั่งสารสื่อประสาทออกมาจะไม่สามารถส่งสัญญาณสู่ตัวรับบนกล้ามเนื้อได้ เหตุเพราะร่างกายได้สร้างแอนติบอดีมาขวางและก็ทำลายตัวรับสัญญาณบนกล้ามไป ซึ่งเมื่อการเช็ดกทำลายขึ้นแล้วนั้น ถึงแม้เซลล์ประสาทจะหลั่งสารเคมีให้กำเนิดกระแสไฟฟ้าส่งมายังเซลล์กล้ามอย่างไรก็ตาม เซลล์กล้ามก็ไม่ทำงานเพราะถูกทำลายไปแล้วโดยสิ้นเชิง


ส่วนสาเหตุของโรคกล้ามเนื้ออ่อนล้านั้น มักมีต้นเหตุมาจากปัญหาการแพ้ภูเขาไม่ตนเอง (Autoimmune Disorder) โดยมีเนื้อหาสิ่งที่ทำให้เกิดอาการกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ดังต่อไปนี้  สารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ (Antibodies) และก็การส่งสัญญาณประสาท ปกติระบบภูมิต้านทานของร่างกายจะผลิตแอนติบอดี้ออกมาเพื่อทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งปลอมปนที่เข้ามาภายในร่างกาย แต่ว่าในผู้เจ็บป่วยกล้ามเนื้ออ่อนกำลัง แอนติบอดี้จะไปทำลายหรือกีดกั้นการทำงานของสารสื่อประสาทแอซิตำหนิลโคลีน (Acetylcholine) โดยถูกส่งไปที่ตัวรับ (Receptor) ซึ่งอยู่ที่ปลายระบบประสาทบนกล้ามแต่ละมัด ทำให้กล้ามเนื้อไม่อาจจะหดตัวได้  ทั้งนี้ อวัยวะที่หมอมั่นใจว่าเป็นตัวทำให้เกิดการผลิตสารภูมิคุ้มกันแตกต่างจากปกติตัวนี้หมายถึงต่อมไทมัส (Thymus gland) ต่อมไทมัส คือต่อมที่มีหน้าที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตภูมิคุ้มกันต้นทานโรคของร่างกาย (Immune system) คือต่อมที่อยู่ในช่องอกตอนบน ต่อมอยู่ใต้กระดูกอก (Sternum) โดยวางอยู่บนด้านหน้าของหัวใจโดยต่อมไทมัสจะผลิตสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ไปกีดกันแนวทางการทำงานของสารสื่อประสาทแอซิตำหนิลโคลีน (Acetylcholine) จึงกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้ว ซึ่งธรรมดาแล้วเด็กจะมีต่อมไทมัสขนาดใหญ่รวมทั้งจะค่อยๆเล็กลงเรื่อยเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ว่าคนเจ็บกล้ามอ่อนกำลังจะมีขนาดของต่อมไทมัสที่ใหญ่ไม่ดีเหมือนปกติ หรือผู้เจ็บป่วยบางรายมีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรงที่เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากเนื้องอกของต่อมไทมัส ซึ่งพบประมาณปริมาณร้อยละ 10 ในผู้เจ็บป่วยสูงอายุ

  • ลักษณะของโรคกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย (MG) อาการสำคัญของโรคกล้ามเนื้ออ่อนกำลัง (MG) คือจะมีลักษณะอาการเหน็ดเหนื่อย เหนื่อยล้า กล้ามอ่อนแรง แล้วก็จะอ่อนแรงมากเพิ่มขึ้นเมื่อออกแรงมากยิ่งขึ้น แต่ว่าอาการจะดีขึ้นเมื่อกล้ามหยุดพักการออกแรง


ยิ่งไปกว่านั้น อาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วย โดยจะขึ้นอยู่กับว่า โรคกำเนิดกับกล้ามส่วนไหนของร่างกาย ทั้งนี้ ประมาณ 85% ของคนเจ็บจะมีลักษณะกล้ามเนื้อเมื่อยล้าในทุกผูกของกล้ามเนื้อลายส่วนอาการที่พบได้ทั่วไปที่สุดของโรคกล้ามอ่อนแรง (MG) คือ อาการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อที่ช่วยยกเปลือกตารวมทั้งกล้ามเนื้อตา กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดหนังตาตกและก็เห็นภาพซ้อน ซึ่งอาจจะมีการเกิดขึ้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือ 2 ข้างก็ได้ และก็มักพบอาการแตกต่างจากปกติอื่นๆของกล้ามส่วนอื่นๆได้อีกตัวอย่างเช่น
บริเวณใบหน้า หากกล้ามเนื้อที่เกี่ยวเนื่องกับการแสดงออกบนใบหน้าได้รับผลพวง จะมีผลให้การแสดงออกทางสีหน้าถูกจำกัด ดังเช่นว่า ยิ้มได้ลดน้อยลง หรือกลายเป็นยิ้มแยกเขี้ยวด้วยเหตุว่าไม่อาจจะควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้
การหายใจ คนไข้กล้ามอ่อนเพลียจำนวนหนึ่งมีอาการหายใจลำบาก โดยเฉพาะเมื่อนอนราบอยู่บนเตียงหรือภายหลังการออกกำลังกาย
การพูด การเคี้ยวและการกลืน มีสาเหตุจากกล้ามรอบปาก เพดานอ่อน หรือลิ้นอ่อนล้า นำไปสู่อาการไม่ดีเหมือนปกติ เช่น พูดเสียงค่อยแหบ พูดเสียงขึ้นจมูก บดไม่ได้ กลืนตรากตรำ ไอ สำลักอาหาร บางกรณีบางทีอาจเป็นสาเหตุไปสู่การต่อว่าดเชื้อที่ปอด
คอ แขนรวมทั้งขา บางทีอาจเกิดขึ้นร่วมกับอาการอ่อนแรงของกล้ามส่วนอื่นๆมักเกิดขึ้นที่แขนมากยิ่งกว่าที่ขา ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย ดังเช่น เดินกระเตาะกระแตะ เดินตัวตรงได้ยาก กล้ามเนื้อรอบๆคออ่อนล้า ทำให้ตั้งศีรษะหรือชันหัวทุกข์ยากลำบาก นำไปสู่ปัญหาในการทำกิจกรรมต่างๆ

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคกล้ามอ่อนล้า (MG) ในปัจจุบันยังไม่สามารถอธิบายสาเหตุของความผิดปกติของระบบภูมิต้านทานที่ไปทำลายตัวรับสัญญาณบนกล้ามได้อย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม พบว่าโรคกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย (MG) มักมีความเกี่ยวข้องกับโรคของต่อมไทมัส โดย ราวๆ 85%พบกำเนิดร่วมกับมีโรคเซลล์ต่อมไทมัสก้าวหน้าเกินธรรมดา (Thymus hyperplasia) และก็โดยประมาณ 10-15% เกิดร่วมกับโรคเนื้องอกต่อมไทมัส (Thymoma)


นอกจากนั้น มีกล่าวว่า พบโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เกิดร่วมกับโรคมะเร็งปอดชนิดเซลล์ตัวเล็ก แล้วก็โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์รับประทาน ทั้งผู้ป่วยบางทีอาจพบความเปลี่ยนไปจากปกติแล้วก็โรคที่มีต้นเหตุมากจากภูมิคุ้มกันตัวเองจำพวกอื่นๆร่วมด้วยได้ ดังเช่นว่า โรคตาจากต่อมไทรอยด์ (Thyroidorbitopathy) โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)จะสามารถดีขึ้นได้เองแล้วอาจกลับกลายซ้ำได้อีกคล้ายกับโรคภูมิต้านทานตนเองชนิดอื่นๆ

  • กรรมวิธีการรักษาโรคกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง (MG)

การวิเคราะห์ MG เป็นโรคที่มีลักษณะสำคัญคือ fatigue รวมทั้งfluctuation ของกล้ามเนื้อรอบๆตาแขนขาแล้วก็การพูดและกลืนของกิน ผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะเพิ่มมากขึ้นเมื่อได้ใช้งานหน้าที่นั้นๆไประยะหนึ่ง แล้วก็อาการรุนแรงในเวลาที่แตกต่างกันโดยมีลักษณะมากมายตอนเวลาบ่ายๆบางทีคนป่วยมาพบแพทย์ช่วงที่ไม่มีอาการ หมอก็ตรวจไม่พบความไม่ดีเหมือนปกติ ก็เลยไม่สามารถที่จะให้การวินิจฉัยโรคได้ และก็อาจวินิจฉัยบกพร่องว่าเป็น anxiety แต่การให้การวินิจฉัยโรคMG ทำ ได้อย่างง่ายๆในคนเจ็บส่วนใหญ่เพราะว่ามีลักษณะจำ เพาะทางคลินิกที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น การตรวจเสริมเติมเพื่อให้ได้เรื่องวิเคราะห์ที่แน่นอนและก็ในรายที่อาการไม่กระจ่างเช่น

  • การตรวจ ระบบประสาท ดังเช่นว่าการให้คนป่วยได้ทำกิจกรรมสม่ำเสมอที่ทำ     ให้ผู้ป่วยมีลักษณะอาการ


อ่อนกำลังได้เป็นต้นว่าการมองขึ้นนาน1นาทีแล้วตรวจว่าผู้ป่วยมีภาวะหนังตาตก เพิ่มขึ้นหรือไม่ โดยวัดความกว้างของ palpablefissure ที่ตาอีกทั้ง 2 ข้างการให้ผู้เจ็บป่วยเดินขึ้นบันไดหรือลุก-นั่ง สลับกันเป็นระยะเวลาหนึ่งคนเจ็บจะมีลักษณะอ่อนกำลังขึ้นอย่างชัดเจนและอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงดีขึ้นเมื่อพักสักครู่การให้คนเจ็บพูดหรืออ่านออกเสียงดังๆผู้ป่วยจะมีลักษณะเสียงแหบหรือหายไปเมื่อพักแล้วดียิ่งขึ้น

  • Ice test โดยการนำนํ้าแข็งห่อใส่สิ่งของดังเช่นว่า นิ้วของถุงมือยาง แล้วนำ ไปวางที่กลีบตาของผู้ป่วยนาน2นาทีประเมินอาการptosisว่าดียิ่งขึ้นไหมคนเจ็บ MG จะให้ผลบวก
  • Prostigmintest โดยการฉีด prostigmin ขนาด 1-1.5 มก. ฉีดเข้าทางกล้าม แล้วประเมินที่ 15, 20, 25 รวมทั้ง 30 นาทีโดยประเมินอาการสภาวะหนังตาตกอาการอ่อนแรงหรือเสียงแหบได้ผลบวกประมาณปริมาณร้อยละ90 เป็นผู้เจ็บป่วยจะมีอาการดียิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผู้ป่วยอาจเกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง หรือหัวใจเต้นช้าลงจากฤทธิ์ของยาวิธีแก้ไขเป็นฉีดยา atropine 0.6 มก.ทางหลอดเลือดดำ ซึ่งแพทย์บางท่านชี้แนะ ให้ฉีดยาatropineก่อนจะกระทำการทดลอง
  • การตรวจเลือด แพทย์จะตรวจนับปริมาณของแอนติบอดี้ ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรงนั้นจะมีปริมาณของแอนติบอดี้ที่ไปยับยั้งแนวทางการทำงานของกล้ามเนื้อมากมายแตกต่างจากปกติ โดยมากจะตรวจพบแอนติบอดี้จำพวก Anti-MuSK
  • การตรวจการโน้มน้าวประสาท (Nerve Conduction Test) ทำได้ 2 วิธีเป็นRepetitive Nerve Stimulation Test เป็นการทดสอบด้วยการกระตุ้นเส้นประสาทซ้ำๆเพื่อมองแนวทางการทำงานของมัดกล้ามเนื้อ โดยการต่อว่าดขั้วกระแสไฟฟ้าที่ผิวหนังรอบๆที่พบอาการเหน็ดเหนื่อย รวมทั้งส่งกระแสไฟจำนวนนิดหน่อยเข้าไปเพื่อตรวจตราความรู้ความเข้าใจของเส้นประสาทสำหรับการส่งสัญญาณไปที่มัดกล้ามเนื้อ แล้วก็การตรวจด้วยกระแสไฟฟ้า (Electromyography) เป็นการวัดกระแสไฟจากสมองที่ส่งไปยังกล้ามเนื้อเพื่อดูลักษณะการทำงานของเส้นใยกล้ามเนื้อเพียงเส้นเดียว (Single-fiber Electromyography หรือ EMG)


การดูแลและรักษา จุดหมายสำหรับเพื่อการรักษาผู้เจ็บป่วย MG ของหมอคือการที่คนไข้หายจากอาการโดยไม่ต้องกินยาซึ่งมีกลไกสำหรับเพื่อการรักษา 2 ประการเป็น เพิ่มวิธีการทำ งานของ neuromusculartransmissionลดผลของ autoimmunity ต่อโรค
การดูแลรักษาจะแบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่มซึ่งมีแนวทางการรักษาต่างกัน

  • คนป่วยที่มีสภาวะกล้ามเมื่อยล้าที่บริเวณกล้ามเนื้อตา ( Ocula MG ) ควรจะเริ่มด้วยยา ace-tylcholinesteraseinhibitors ดังเช่นว่า pyridostigmine (mestinon) ขนาดเม็ดละ 60 มิลลิกรัม ครึ่งถึง 1 เม็ด 3 เวลาหลังอาหาร แล้วมองการตอบสนองว่าอาการหนังตาตกลืมตาลำบากมากมายน้อยเพียงใด มีผลเข้าแทรกจากยาไหม ถ้าหากอาการยังไม่ดีขึ้นควรจะเพิ่มยา prednisoloneขนาดประมาณ 15-30มิลลิกรัมต่อวันและก็ร่วมกับการปรับปริมาณยา mestinon ตามอาการ ซึ่งโดยมากผู้เจ็บป่วยจะใช้ยาขนาดไม่สูงราวๆ 180-240มก.ต่อวัน(3-4 เม็ดต่อวัน) ส่วนมากจะสนองตอบดีต่อยา mestinonรวมทั้ง prednisoloneเมื่ออาการดียิ่งขึ้นจนกระทั่งเป็นปกติระยะเวลาหนึ่งโดยประมาณ 3-6 เดือนค่อยๆลดยา prednisoloneลงอย่างช้าๆราว 5มิลลิกรัมทุกๆเดือนจนกระทั่งหยุดยาพร้อมๆกับ mestinon การลดผลเข้าแทรกของยา prednisolone โดยการให้ยาวันเว้นวันในคนไข้ MG ได้ผลดีสิ่งเดียวกันแต่ในวันที่คนป่วยมิได้ยาprednisolone อาจมีลักษณะของโรคMG ได้ถ้าหากเกิดกรณีดังที่กล่าวมาข้างต้นอาจจะต้องให้ยาprednisolone5มก. 1 เม็ดในวันดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นผู้ป่วยบางรายอาจมีการดำเนินโรคเป็นgeneralized MG โดยมักเกิดขึ้นในปีแรกก็จะต้องให้การรักษาแบบ generalizedMG ถัดไป
  • คนไข้ที่มีภาวะกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อยบริเวณอื่นๆ(Generalized MG) การดูแลและรักษามียาmestinon,ยากดภูมิต้านทานและการผ่าตัดthymectomyมีแนวทางการกระทำดังต่อไปนี้


o  ผู้ป่วยทุกคนจำเป็นต้องได้รับยา mestinon ขนาดเริ่ม 1 เม็ด 3 เวลาหลังรับประทานอาหารแล้ววัดผลการโต้ตอบว่าดีหรือไม่ โดยการวัดตอนยาออกฤทธิ์สูงสุดชั่วโมงที่ 1 รวมทั้ง 2 หลังรับประทานยาแล้วก็ประเมินตอนก่อนกินยาเม็ดถัดไปเพื่อจะได้รับรู้ว่าขนาดของยารวมทั้งความถี่ของการกินยาเหมาะสมไหมเป็นลำดับสิ่งที่ประเมินคืออาการของคนป่วย ตัวอย่างเช่น อาการลืมตาทุกข์ยากลำบาก อาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง กล่าวแล้วเสียงแหบควรจะปรับปริมาณยาแล้วก็ความถี่ทุก2-4สัปดาห์  ปริมาณยาโดยมากโดยประมาณ 6-8 เม็ดต่อวัน ขนาดยาสูงสุดไม่ควรเกิน16 เม็ดต่อวัน
o  การผ่าตัด thymectomy ผู้ป่วยgeneralized MG ที่แก่น้อยกว่า 45ปีทุกรายควรชี้แนะ ให้ผ่าตัด thymectomy จำนวนร้อยละ 90 ของผู้ป่วยได้ประสิทธิภาพที่ดีราวๆร้อยละ 40 สามารถหยุดยา mestinon ข้างหลังผ่าตัดได้จำนวนร้อยละ 50 ลดยา mestinon ลงได้เพียงแค่จำนวนร้อยละ 10 แค่นั้นที่ไม่เป็นผล ช่วงเวลาที่ผ่าตัดควรทำ ในทีแรกๆของการดูแลรักษา
o    การให้ยากดภูมิต้านทาน ที่ใช้บ่อยครั้ง อย่างเช่น prednisolone รวมทั้ง azathioprine (immuran)การให้ยาดังที่กล่าวมาข้างต้นมีข้อบ่งชี้ในกรณี
   การผ่าตัด thymectomyแล้วไม่ได้เรื่อง ระยะเวลาที่ประเมินว่าการผ่าตัดไม่ได้ผลคือประมาณ 1 ปี
  ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการผ่าตัดโดยใช้ร่วมกับยา mestinon
   คนไข้ทีมีสภาวะการหายใจล้มเหลวจากการดำเนินโรคที่รุนแรง

  • การติดต่อของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เป็นโรคที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติจึงไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนและจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
  • การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)


  • กินยาตามแพทย์แนะนำให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่ขาดยา
  • ใช้ชีวิตประจำวันในการออกแรงให้สม่ำเสมอ เหมือนๆกันในทุกๆวันเพื่อแพทย์จะได้จัดปริมาณยา (Dose) ที่กินได้อย่างถูกต้อง
  • กินอาหารคำละน้อยๆ เป็นอาหารอ่อน เพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อช่องปาก และจะได้ไม่สำลัก ระหว่างกิน
  • มีที่ยึดจับในบ้าน เพื่อช่วยในการลุก นั่ง ยืน เดิน ร่วมกับจัดบ้านให้ปลอดภัย ง่ายแก่การใช้ชีวิตที่ไม่ต้องออกแรงมาก รวมทั้งเพื่อการใช้ชีวิตประจำวัน
  • เมื่อออกนอกบ้านต้องวางแผนล่วงหน้า ไม่รีบร้อน ไม่ออกแรงมากเกินปกติ
  • เมื่อเห็นภาพซ้อน ควรปิดตาข้างที่เกิดอาการ จะช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น
  • มีป้ายติดตัวเสมอว่าเป็นโรคอะไร กินยาอะไร รักษาโรงพยาบาลไหน เพื่อมีอาการฉุกเฉิน คนจะได้ช่วยได้ถูกต้องรวดเร็ว
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน
  • กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน ในปริมาณที่ไม่ทำให้เกิดโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน เพื่อลดการแบกน้ำหนักของกล้ามเนื้อและเพื่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
  • พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามนัดเสมอ
  • รีบไปโรงพยาบาลฉุกเฉินเมื่อมีอาการทางการหายใจ เช่น หายใจไม่ออก/หายใจลำบาก
  • การป้องกันตนเองจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงยังเป็นโรคที่ไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด และโรคที่มีความสัมพันธ์กันก็ยังเป็นโรคที่ส่วนใหญ่ไม่รู้สาเหตุเช่นกันอาทิ เช่น โรคของต่อมไทมัส และโรคของต่อมไทรอยด์ ดังนั้น ปัจจุบัน จึงยังไม่มีวิธีป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)

    ดังนั้นเมื่อมีอาการดังที่ได้กล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะเมื่อมีหนังตาตกหรือแขนขาอ่อนแรงเฉียบพลัน จึงควรรีบพบแพทย์เสมอ เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่รวดเร็วเหมาะสม ซึ่งจะส่งผลให้การรักษาโรคได้ผลดีจนสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ

  • สมุนไพรที่ช่วยป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)

    พืชสมุนไพรที่จะช่วยป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) ได้นั้นควรที่จะต้องมี “สารปรับสมดุล” (adaptogens) เพราะโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) นั้นเกิดขึ้นจากภาวะภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติดังนั้น สารปรับสมดุลจึงจำเป็นสำหรับใช้ป้องกันโรคนี้ มีผู้ให้คำจำกัดความของสารปรับสมดุลไว้หลายประการเช่น หมายถึงสารที่เพิ่มความสามารถของร่างกายในการปรับตัวให้เข้ากับความเครียด โดยการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ระบบประสาทสารสื่อประสาท และการทำงานของต่อมต่างๆภายในร่างกาย เพิ่มความทนทานของอวัยวะต่างๆต่อความเครียด พยาธิสภาพและสิ่งแวดล้อม รวมถึงรักษาการทำงานของระบบเมตาบอไลท์ของร่างกายให้ปกติและมีประสิทธิภาพ มีฤทธิ์ในการนำสมดุลกลับคืนสู่ร่างกาย (balancing) และบำรุงร่างกาย (tonic) นอกจากนี้ยังช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของคนเราโดยลดผลที่เกิดจากการถูกกระตุ้นโดยปัจจัยต่างๆโดยเฉพาะความเครียด การอักเสบ และการเกิดออกซิเดชั่น (oxidation)
    พืชสมุนไพรที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในการปรับสมดุลมีหลายชนิดโดยเฉพาะรากของพืชในวงศ์โสม (Araliaceae) ได้แก่ โสมเกาหลี (Panax ginseng) โสมอเมริกัน (Panax quinquefolius) รวมทั้งพืชสมุนไพรอื่นๆ เช่น ผลมะขามป้อม (Emblica officinalis) ต้นปัญจขันธ์ (Gynostemma pentaphyllum) เห็ดหลินจือ (Ganoderma lucidum) รากชะเอมเทศ (Glycyrrhiza glabra) ผลเก๋ากี้ (Lycium chinensis) และถั่งเช่า (Cordyceps sinensis) เป็นต้น สารสำคัญต่างๆในพืชเหล่านี้ที่แสดงฤทธิ์ปรับสมดุลที่มีรายงานนั้นมีหลายกลุ่ม ได้แก่ สารกลุ่มฟีโนลิก (phenolics) เช่น eleutheroside B ในรากของโสม และ ellagic acid ในผลมะขามป้อม สารกลุ่มเทอร์พีนอยด์ (terpenoids) เช่น zeaxanthin ในผลเก๋ากี้ และไตรเทอร์พีนอยด์ซาโปนิน (triterpenoid saponin) เช่น ginsenosides ในรากโสมเกาหลีและโสมอเมริกัน และ glycyrrhizin ในรากชะเอมเทศเป็นต้น
    เอกสารอ้างอิง

  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์
  • รศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า.Common Pittalls in Myasthenia Gravis.วารสารสมาคมประสาทวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.ปีที่6.ฉบับที่3(กรกฎาคม-กันยายน2554).159-168
  • นพ.เกษมสิน ภาวะกุล (2552). Generalized myasthenia gravis. วารสารอายุรศาสตร์อีสาน.ปีที่ 8. 84-91.
  • สมศักดิ์เทียมเก่า, ศิริพร เทียมเก่า, วีรจิตต์โชติมงคล, สุทธิพันธ์จิตพิมลมาศ.ความชุกและลักษณะทางคลินิกของผู้ป่วยmyasthenia gravis อย่างเดียว และ myasthenia gravisที่มี Srinagarind MedJ 1994;9:8-13. http://www.disthai.com/
  • Anesthesia issues in the perioperative management of myasthenia gravis.Semin Neurol 2004;24:83-94.
  • Drachman, D. (1994). Myasthenia gravis. N Engl J Med. 330,1797-1810.
  • ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอมจี (Myasthenia gravis หรือ MG).หาหมอ.
  • Hughes BW, Moro De Casillas ML,KaminskiHJ.Pathophysiology of myasthenia gravis. Semin Neurol2004;24:21-30
  • Meriggioli MN,Sanders DB. Myasthenia gravis: diagnosis. Semin Neurol 2004;24:31-9.
  • ดร.ปองทิพย์ สิทธิสาร.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน ผักแปม สมุนไพรปรับสมดุล.ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาบัยมหิดล
  • Juel VC. Myasthenia gravis: management of myasthenic crisis and perioperativeSemin Neurol 2004;24:75- 81.
  • Alsheklee, A. et al.(2009) Incidence and mortality rates of myasthenia gravis and myasthenic crisis in US hospitals.Neurology.72, 1548-1554.
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  • Saguil, A. (2005). Evaluation of the patient with muscle weakness. Am Fam Physician. 71, 1327-1336.


26

โรคของกินเป็นพิษ (Food poisoning)

  • โรคอาหารเป็นพิษ เป็นยังไง โรคของกินเป็นพิษเป็นคำกว้างๆที่ใช้ชี้แจงถึงลักษณะของการป่วยที่เกิดจากการทานอาหาร หรือน้ำที่มีการปนเปื้อน ต้นสายปลายเหตุอาจเกิดขึ้นเนื่องจากการแปดเปื้อนเชื้อโรคสารเคมี หรือโลหะหนัก อาทิเช่น ตะกั่ว เป็นต้น   ทำให้เกิดอาการอ้วก คลื่นไส้ ท้องเสีย เจ็บท้อง ซึ่งอาการโดยมากมักไม่ร้ายแรง แต่หากเกิดอาการร้ายแรงขึ้นอาจจะทำให้ร่างกายเกิดภาวะเสียน้ำและก็เกลือแร่จนเป็นอันตรายได้ อาหารเป็นพิษเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สามารถเกิดขึ้นกับทุกเพศ ทุกวัย ตั้งแต่เด็กจนถึงคนชรา โดยยิ่งไปกว่านั้นในประเทศเขตร้อน  โรคอาหารเป็นพิษ เป็นโรคที่พบบ่อยในประเทศที่กำลังปรับปรุง แต่พบได้กระจายในประเทศที่ปรับปรุงแล้ว จังหวะการเกิดโรคในสตรีแล้วก็เพศชายเท่ากัน แม้กระนั้นบางทีอาจเจอในเด็กได้สูงขึ้นมากยิ่งกว่าวัยอื่นๆเนื่องจากว่าแหล่งอาหารเป็นพิษที่สำคัญ คือ อาหารในโรงเรียน ทั้งนี้ในประเทศที่กำลังปรับปรุงบางประเทศ มีรายงานเด็กกำเนิดอาหารเป็นพิษได้สูงถึงประมาณ 5 ครั้งต่อปีเลยที่เดียว
  • สิ่งที่ทำให้เกิดโรคของกินเป็นพิษ โรคของกินเป็นพิษโดยมากมีเหตุมาจากทานอาหาร และก็/หรือ กินน้ำ/เครื่องดื่มที่ปนเปื้อน แบคทีเรีย รองลงไปเป็นเชื้อไวรัส นอกจากนั้นที่พบได้บ้างเป็นการปนเปื้อนปรสิต (Parasite) ยกตัวอย่างเช่น บิดมีตัว(Amoeba) ส่วนการแปดเปื้อนของพิษ ที่พบมากหมายถึงจากเห็ดพิษ สารพิษปนเปื้อนในอาหารทะเล สารหนู รวมทั้งสารโลหะหนัก มีเชื้อโรคหลายอย่างซึ่งสามารถปล่อยสารพิษ (toxin) ออกมาปนเปื้อนในของกินต่างๆอย่างเช่น น้ำกิน เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ไข่ นม อาหารทะเล แล้วก็สินค้าจากนม เนยแข็ง ข้าว ขนมปัง สลัด ผัก ผลไม้ ฯลฯ  เมื่อมนุษย์เราทานอาหารที่แปดเปื้อนพิษดังกล่าว ก็จะก่อให้เกิดลักษณะของการปวดท้อง คลื่นไส้ ท้องร่วง  พิษหลากหลายประเภททนต่อความร้อน ถึงแม้ว่าจะทำอาหารให้สุกแล้ว พิษก็ยังคงอยู่และก็ส่งผลให้เกิดโรคได้  ระยะฟักตัวขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อโรค บางชนิดมีระยะฟักตัว 1-8 ชั่วโมง บางประเภท 8-16 ชั่วโมง บางชนิด 8-48 ชั่วโมง  โดยเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของโรคอาหารเป็นพิษที่มักพบในอาหาร คือ
Clostridium botulinum เป็นแบคทีเรีย anaerobic ที่เป็น gram positive ที่พบได้ในดินและก็น้ำในสิ่งแวดล้อมทั่วไป ประเภทซึ่งสามารถก่อโรคในคนแบ่งได้เป็น

  • Proteolytic strain ประกอบด้วย type A ทั้งผอง แล้วก็บางส่วนของ type B แล้วก็ F แบคทีเรียกลุ่มนี้ย่อยของกินได้ และทำให้ของกินมีลักษณะถูกปนเปื้อน
  • Non-proteolytic strain ประกอบด้วย type E ทั้งปวง และก็บางส่วนของ type B และ F แบคทีเรียกลุ่มนี้ไม่ทำให้ของกินมีลักษณะเปลี่ยนแปลง


เชื้อนี้เจริญเติบโตได้ดิบได้ดีในสภาพการณ์ห้อมล้อมที่มีออกสิเจนน้อย จึงพบได้ทั่วไปในอาหารบรรจุในภาชนะที่ปิดสนิท โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าบรรจุกระป๋องที่ผ่านกรรมวิธีการผลิตไม่ถูกสุขลักษณะ ตัวอย่างเช่น หน่อไม้ปีบ หน่อไม้ดอง ผักกาดดอง และก็สินค้าเนื้อสัตว์ดัดแปลง พิษที่สร้างขึ้นมาจากเชื้อชนิดนี้ส่งผลให้เกิดอาการอาเจียน ถ่ายท้อง ตามัวมัว เห็นภาพซ้อน กล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อย และบางเวลารุนแรงกระทั่งอาจเกิดภาวะหายใจล้มเหลวและก็เสียชีวิตได้
Vibrio parahaemolyticus ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ถูกใจเกลือเข้มข้นสูงสำหรับเพื่อการเจริญเติบโต (halophilic vibrio) มีแอนติเจนโอ ("O" antigen) ต่างกัน 12 ชนิด แล้วก็มีแอนติเจนเค ("K" antigen) ที่ตรวจได้แล้วในตอนนี้มี 60 จำพวก พบมากในอาหารทะเลที่ดิบหรือปรุงไม่สุกเพียงพอ
Bacillus cereus เป็นเชื้อที่ไม่ต้องการออกซิเจน สร้างสปอร์ได้ มีสารพิษ 2 จำพวกคือ ประเภทที่ทนต่อความร้อนได้ นำไปสู่คลื่นไส้ รวมทั้งประเภทที่ทนไฟมิได้ทำให้มีการเกิดอาการ อุจจาระหล่นส่วนใหญ่เจอเกี่ยวอาหาร (ดังเช่นว่า ข้าวผัดในร้านค้าแบบบริการตนเอง) ผักรวมทั้งอาหารและเนื้อที่เก็บรักษาผิดจำต้อง ณ.อุณหภูมิปกติภายหลังปรุงแล้ว
S.aureus หลายชนิดที่สร้างพิษ (enterotoxin) ซึ่งคงทนถาวรต่ออุณหภูมิที่จุดเดือด เชื้อชอบแบ่งตัวเพิ่มในอาหารและก็สร้าง toxin ขึ้น ของกินที่มี enterotoxin โดยมากเป็นอาหารที่ปรุงแล้วก็สัมผัสกับมือของผู้ปรุงอาหาร และไม่ได้กระทำการอุ่นอาหารด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสมก่อนที่จะรับประทานอาหาร หรือแช่ตู้เย็น ยกตัวอย่างเช่น ขนมจีน ของหวานเอ แคลร์ เนื้อ เมื่ออาหารพวกนี้ถูกทิ้งในอุณหภูมิปกติหลายชั่วโมงติดต่อกันก่อนนำไปบริโภค ทำให้เชื้อสามารถแบ่งตัวและสร้างพิษที่ทนต่อความร้อนออกมา
ซาลโมเนลลา (Salmonella) พบได้ทั่วไปในเนื้อสัตว์ดิบ ไข่ดิบ นม และสินค้าที่ทำจากนม นำมาซึ่งอาการท้องเดิน ถ่ายมีมูก อาเจียน อาเจียน จับไข้ ข้างใน 4-7 วัน
เอสเชอริเชีย วัวไล (Escherichia coli) หรือเรียกสั้นๆว่า อีโคไล (E. coli) อี.โคไลเป็นแบคทีเรียรูปแท่งย้อมติดสีกรัมลบ มันมีพิษกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการท้องเดิน  อี.โคไลมีพิษ 2 ชนิด ชนิดหนึ่งเป็นสารที่มีโมเลกุลใหญ่แล้วก็ถูกทำลายให้หมดไปด้วยกระบวนการทำให้อาหารสุก แต่อีกที่มันผลิตออกมาพร้อมเพียงกันนั้น มีโมเลกุลที่เล็กมากยิ่งกว่า และก็เป็นสารทนไฟที่ไม่สามารถที่จะทำลายได้ด้วยความร้อน สารพิษทั้งสองชนิดส่งผลทำให้ท้องเสียด้วยเหมือนกัน ด้วยเหตุผลดังกล่าวถ้าเกิดอาหารแปดเปื้อนสารพิษนี้แล้วไม่ว่าจะมีผลให้สุกก่อนไหม ก็จะเป็นไปไม่ได้ทำลายสารพิษของมันให้หมดไปได้ มีทางเดียวที่จะคุ้มครองป้องกันได้ก็คือทิ้งของกินนั้นไปเสีย
ชิเกลล่า (Shigella) พบการแปดเปื้อนทั้งยังในผลิตภัณฑ์อาหารสดแล้วก็น้ำกินที่ไม่สะอาด รวมไปถึงอาหารสดที่สัมผัสกับบุคคลที่มีเชื้อโดยตรง เพราะเชื้อชนิดนี้สามารถกระจายจากบุคคลหนึ่งไปสู่บุคคลหนึ่งได้ กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดมวนท้อง วันหลังการรับประทานอาหารด้านใน 7 วัน
ไวรัสก่อโรคผ่านทางเดินอาหาร (Enteric Viruses) ประกอบด้วยเชื้อไวรัสหลายประเภท ยกตัวอย่างเช่น ไวรัสโนโร (Norovirus) ที่มักจะปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์อาหารสด สัตว์น้ำจำพวกมีเปลือก และก็น้ำที่ไม่สะอาด ออกอาการภายใน 1-2 วัน หรือเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ (Hepatitis A) ที่สามารถติดต่อด้วยการได้รับเชื้อจากอาหารสดที่สัมผัสกับบุคคลที่มีเชื้อโดยตรง ภายใน 2-3 อาทิตย์

  • อาการของโรคของกินเป็นพิษ อาหารเป็นพิษจากเชื้อโรคต่างๆจะมีลักษณะคล้ายกันหมายถึงปวดท้องในลักษณะปวดบิดเป็นตอนๆอาเจียน (ซึ่งมักมีเศษอาหารที่เป็นสาเหตุออกมาด้วย) รวมทั้งถ่ายเป็นน้ำหลายครั้ง บางรายอาจมีไข้รวมทั้งหมดแรงร่วมด้วย โดยปกติ 80 – 90 % ของโรคของกินเป็นพิษชอบไม่ร้ายแรง อาการต่างๆมักจะหายได้เองภายใน ๒๔-๔๘ ชั่วโมง บางชนิดอาจนานถึงอาทิตย์ ในรายที่เป็นร้ายแรง บางทีอาจอาเจียนและก็ท้องร่วงรุนแรง จนร่างกายขาดน้ำแล้วก็เกลือแร่อย่างหนักได้  บางทีอาจพบว่า คนที่ทานอาหารด้วยกันกับผู้ป่วย (ตัวอย่างเช่น งานสังสรรค์ คนภายในบ้านที่ทานอาหารชุดเดียวกัน) ก็มีอาการแบบเดียวกับผู้ป่วยในเวลาไล่เลี่ยกัน

ซึ่งเมื่อเชื้อโรค หรือ พิษเข้าสู่ร่างกาย จะก่ออาการ เร็ว หรือ ช้า  ขึ้นอยู่กับชนิด และก็จำนวนของเชื้อ หรือ ของสารพิษ ซึ่งเจอเกิดอาการได้ตั้งแต่ 2-6 ชั่วโมงหลังกินอาหาร/ดื่มน้ำ ไปจนเป็นวัน หรือ สัปดาห์ หรือ เป็นเดือน (เช่น ในไวรัสตับอักเสบ เอ) แม้กระนั้นโดยธรรมดา พบได้บ่อยเกิดอาการด้านใน 2-6 ชั่วโมง หรือ 2-3วัน  อาการโดยธรรมดาที่พบมาก จากโรคอาหารเป็นพิษ ยกตัวอย่างเช่น ท้องร่วง อาจเป็นน้ำ มูก หรือ มูกเลือด ปวดท้อง อาจมาก หรือ น้อย สังกัดความร้ายแรงของโรค มักเป็นการปวดบิด เนื่องจากการบีบตัวของลำไส้ คลื่นไส้ อ้วก ในบางรายอาจมีอ้วกเป็นเลือดได้  เป็นไข้สูง อาจหนาวสั่น แต่ว่าบางครั้งมีไข้ต่ำได้  ปวดหัว เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวเนื้อตัว บางทีอาจปวดข้อ ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อหรือ พิษดังที่กล่าวถึงมาแล้วแล้ว  อาจมีผื่นขึ้นตามเนื้อตัว  อาจมีกล้ามเมื่อยล้า ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นแล้วด้วยเหมือนกัน  มีลักษณะของการสูญเสียน้ำในร่างกาย  อาทิเช่น หมดแรง  เหนื่อยง่าย  ปากแห้ง ตาโบ๋  ปัสสาวะบ่อยครั้ง

  • ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคของกินเป็นพิษ
  • มีความประพฤติปฏิบัติการรักษาสุขลักษณะผิดจะต้อง เช่น ก่อนอาหารให้ล้างมือให้สะอาด
  • การบริโภคของกินที่ผิดถูกหลักอนามัย อาทิเช่น บริโภคอาหารครึ่งดิบครึ่งสุกบริโภคของกินที่ไม่มีการปิดบังจากแมลงต่างๆให้มิดชิดการรับประทานอาหารที่ค้างคืนและไม่มีการอุ่นโดยผ่านความร้อนที่สมควร
  • การจัดเก็บและเตรียมอาหารเพื่อปรุงไม่สะอาด ดังเช่นว่าการเก็บเนื้อสัตว์แล้วก็ผักไว้ในที่เดียวกันโดยไม่แยกเก็บ ล้างทำความสะอาดผักไม่สะอาดทำให้มีสารเคมีหรือยากำจัดแมลงเหลืออยู่ที่ผัก
  • การรักษาอาหารที่บูดเสียง่ายไม่ดีพอ อย่างเช่น อาหารประเภทแกงกะทิ อาหารทะเล  อาหารสด  ควรเก็บรักษาไว้ในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิที่เหมาะสม มีความเย็นทั่วถึงเป็นต้น
  • การเลือดซื้ออาหารบรรจุกระป๋องที่ไม่ได้มาตรฐาน ดังเช่นว่า อาหารบรรจุกระป๋องที่มีรอยบุ๋ม รอยบุบ  อาหารกระป๋องที่มีรอยเปื้อนสนิมรอบๆฝาเปิดหรือขอบกระป๋อง เป็นต้น
  • ขั้นตอนการรักษาโรคอาหารเป็นพิษ หมอจะวิเคราะห์จากอาการแสดงของคนเจ็บเป็นหลัก ดังเช่น ลักษณะของการปวดท้อง อาเจียน ถ่ายเป็นน้ำ ซึ่งเกิดขึ้นฉับพลัน อาจมีประวัติความเป็นมาว่าคนที่ทานอาหารด้วยกันบางคนหรือหลายท่าน (ตัวอย่างเช่น งานกินเลี้ยง คนในบ้าน) มีอาการท้องเดินในเวลาไล่เลี่ยกัน  ในรายที่มีลักษณะร้ายแรง มีไข้สูง หรือสงสัยว่าเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากต้นสายปลายเหตุอื่น หมออาจกระทำการตรวจพิเศษเพิ่มดังเช่น  การวิเคราะห์เลือด ใช้ในกรณีที่คนเจ็บมีอาการรุนแรงมากยิ่งกว่าอาการอาเจียนรวมทั้งท้องเสีย หรือมีภาวการณ์การขาดน้ำและก็เกลือแร่ เพื่อตรวจค้นจำนวนเกลือแร่ (หรืออิเล็กโทรไลต์) ในเลือดและก็หลักการทำงานของไต หรือในกรณีมีความเสี่ยงต่อการติดต่อของไวรัสตับอักเสบ อาจมีการตรวจการทำงานของตับเพิ่ม  การตรวจอุจจาระเพื่อค้นหาประเภทของเชื้อโรคด้วยการส่องกล้องกล้องจุลทรรศน์เมื่อผู้เจ็บป่วยมีการติดโรคในระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ แบคทีเรีย เชื้อไวรัส เชื้อรา หรือเชื้อปรสิตที่ก่อกำเนิดอาการถ่ายเป็นเลือด


ทั้งนี้การตรวจในห้องทดลองเพื่อค้นหาสิ่งที่ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษยังทำได้ด้วยแนวทางการตรวจปริมาณแอนติบอดีในเลือด (Immunological tests) หรือวิธีอื่นๆได้อีก ซึ่งขึ้นกับอาการของคนป่วยและดุลยพินิจของหมอ เพื่อจัดการรักษาอย่างแม่นยำในลำดับต่อไป   
กรรมวิธีการรักษาโรคของกินเป็นพิษ ที่สำคัญที่สุดเป็นรักษาประคับ ประคับประคองตามอาการ ยกตัวอย่างเช่น ปกป้องสภาวะขาดน้ำและขาดสมดุลของเกลือแร่ซึ่งการรักษาโดยให้น้ำเกลือทางเส้นโลหิตเมื่อท้องเสียมากมาย ยาพารา ยาที่ช่วยบรรเทาอาการอ้วก อ้วก และก็ยาลดไข้ นอกเหนือจากนี้ คือ การรักษาตามปัจจัย เช่นพิจารณาให้ยายาปฏิชีวนะ เมื่อเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากติดเชื้อแบคทีเรีย หรือ ให้ยาต้านพิษถ้าเป็นประเภทมียาต้านทาน แม้กระนั้นคนป่วยโดยมากมักมีลักษณะอาการที่ได้ด้วยการดูแลตัวเองที่บ้าน สิ่งสำคัญที่สุดหมายถึงจะต้องบากบั่นอย่าให้ร่างกายขาดน้ำ ควรกินน้ำไม่มากๆหรือจิบน้ำเสมอๆเพื่อทดแทนการสูญเสียน้ำจากอาการท้องร่วงรวมทั้งคลื่นไส้มากเกินความจำเป็น

  • การติดต่อของโรคอาหารเป็นพิษ โรคของกินเป็นพิษ เป็นโรคที่มีการรับเชื่อมาจากการทานอาหารที่มีการปนเปื้อนของเชื้อโรคหรือ สารเคมี หรือโลหะหนัก ซึ่งอาจจะมีเชื้อไวรัสบางจำพวกแค่นั้น ซึ่งสามารถเป็นสาเหตุของการติดต่อของโรคอาหารเป็นพิษได้ ยกตัวอย่างเช่น ไวรัสตับอักเสบ A (Hepatitis A)  ที่สามารถติดต่อด้วยการได้รับเชื้อจากอาหารสดที่มีการสัมผัสโดยตรงกับบุคคลที่มีเชื้อ ซึ่งมีระยะฟักตัว ราวๆ 2 – 3 สัปดาห์ แล้วอาการโรคจะปรากฏขึ้น
  • การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคของกินเป็นพิษในคนแก่และก็เด็กโต
  • ถ้าเกิดปวดท้องร้ายแรง ถ่ายท้องร้ายแรง (อุจจาระเป็นน้ำครั้งละมากๆ) อ้วกร้ายแรง (กระทั่งดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่หรือน้ำข้าวต้มไม่ได้) เมื่อลุกขึ้นนั่งมีลักษณะหน้ามืดเป็นลมเป็นแล้ง หรือมีสภาวะขาดน้ำร้ายแรง (ปากแห้ง คอแห้งผาก ตาโบ๋ ฉี่ออกน้อย ชีพจรเต้นเร็ว) จำต้องไปพบแพทย์อย่างเร็วที่สุด
  • ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ อาจใช้ผงน้ำตาลเกลือแร่ จำพวกสำเร็จรูปที่มีขายในตลาด หรือบางทีอาจผสมเองโดยใช้น้ำสุก 1 ขวดกลมใหญ่ (750 มล.) ใส่น้ำตาล 30 มล. (พอๆกับช้อนยาเด็ก 6 ช้อน หรือช้อนกินข้าวจำพวกสั้น 3 ช้อน) และเกลือป่น 2.5 มิลลิลิตร (พอๆกับช้อนยาครึ่งช้อน หรือช้อนยาวที่ใช้คู่กับซ่อมแซมครึ่งช้อน)พากเพียรดื่มเสมอๆทีละ 1 ใน 3 หรือครึ่งแก้ว (อย่าดื่มมากจนคลื่นไส้) ให้ได้มากเท่ากับที่ถ่ายออกไป โดยสังเกตปัสสาวะให้ออกมากและใส
  • ถ้าเป็นไข้ ให้ยาลดไข้-พาราเซตามอล
  • ให้ทานอาหารอ่อน เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก งดเว้นของกินรสเผ็ดรวมทั้งย่อยยาก งดเว้นผักแล้วก็ผลไม้ จนกว่าอาการจะหายก็ดี
  • ห้ามกินยาเพื่อให้หยุดถ่ายอุจจาระ ด้วยเหตุว่าอาการท้องเดินจะช่วยขับเชื้อหรือสารพิษออกจากร่างกาย


ในขณะเจ็บท้อง หรือ คลื่นไส้อ้วก ไม่สมควรกินอาหาร หรือ กินน้ำเนื่องจากว่าอาการจะรุนแรงขึ้น   ดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละมากๆขั้นต่ำ 8-10 แก้ว เมื่อแพทย์ไม่สั่งให้ จำกัดน้ำ  พักผ่อนให้มากๆรักษาสุขลักษณะรากฐาน เพื่อคุ้มครองการแพร่ระบาดเชื้อสู่ผู้อื่น ที่สำคัญเป็นการล้างมือให้สะอาดเสมอ โดยยิ่งไปกว่านั้นข้างหลังการขับ ถ่าย และก็ก่อนที่จะกินอาหาร

  • ควรรีบไปหาแพทย์ ถ้าหากมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งต่อแต่นี้ไป                อาเจียนมากมาย ถ่ายท้องมาก รับประทานมิได้ หรือดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ไม่ได้ หรือได้น้อย จนถึงมีภาวการณ์ขาดน้ำค่อนข้างจะร้ายแรง                มีลักษณะถ่ายเป็นมูก หรือมูกคละเคล้าเลือดตามมา             มีลักษณะอาการหนังตาตก ชารอบปาก แขนขาเมื่อยล้า หรือหายใจติดขัด          อาการไม่ทุเลาด้านใน ๔๘ ชั่วโมง   มีลักษณะอาการเรื้อรัง หรือน้ำหนักลดฮวบฮาบ                สงสัยมีเหตุมาจากพิษ ตัวอย่างเช่น สารเคมี พืชพิษ สัตว์พิษ        สงสัยเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากอหิวาตกโรค ดังเช่นว่า สัมผัสผู้ที่เป็นอหิวาตกโรค หรืออยู่ในถิ่นที่กำลังมีการระบาดของโรคนี้ ในเด็กเล็ก (อายุต่ำยิ่งกว่า ๕ ขวบ)
  • ถ้าหากดื่มนมแม่อยู่ ให้ดื่มนมแม่ถัดไป (ถ้าเกิดดื่มนมผสมอยู่ ให้ชงเจือจางเท่าตัวและก็ดื่มต่อไป) รวมทั้งดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ หรือน้ำข้าวต้มใส่เกลือเพิ่ม เมื่อมีลักษณะดีขึ้น ให้กินอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย (อาทิเช่น ข่าวต้ม) ไม่ต้องให้ยาที่ใช้แก้ท้องเสียจำพวกใดทั้งหมดทั้งปวง
  • หากถ่ายท้องร้ายแรง อ้วกร้ายแรง ดื่มนมหรือน้ำไม่ได้ ซึม กระสับกระส่าย ตาโบ๋ กระหม่อมบุบมากมาย (ในเด็กเล็ก) หายใจหอบแรง หรืออาการเกิดขึ้นอีกใน ๒๔ ชั่วโมง ต้องไปหาแพทย์อย่างรวดเร็ว
  • การคุ้มครองป้องกันตนเองจากโรคอาการเป็นพิษ วิธีการป้องกัน การปกป้องและควบคุมโรคอาหารเป็นพิษทุกต้นสายปลายเหตุมีมาตรการป้องกันโดยใช้กฎหลัก 10 ประการสำหรับเพื่อการเตรียมอาหารที่ปลอดภัย ดังนี้
  • เลือกอาหารที่ผ่านการเตรียมอย่างดีเยี่ยม
  • ทำอาหารที่สุก
  • ควรทานอาหารที่สุกใหม่ๆ
  • รอบคอบของกินที่ปรุงสุกแล้วอย่าให้มีการปนเปื้อน
  • ของกินที่ค้างมื้อจะต้องทำให้สุกใหม่ก่อนรับประทาน
  • แยกอาหารดิบและก็อาหารสุก ให้ระมัดระวังการปนเปื้อน
  • ล้างมือก่อนสัมผัสของกินเข้าสู่ปาก
  • ให้พิถีพิถันเรื่องความสะอาดของห้องครัว
  • เก็บอาหารให้ไม่มีอันตรายแล้วยังปลอดภัยจากแมลง หนู หรือสัตว์อื่นๆ
  • ใช้น้ำที่สะอาด
  • ไม่กินกึ่งสุกกึ่งดิบระวังการกินเห็ดต่างๆโดยยิ่งไปกว่านั้นชนิดที่ไม่รู้ ระมัดระวังการกินอาหารทะเลเสมอ ระวังความสะอาดของน้ำแข็ง
  • เมื่อทานอาหารนอกบ้าน เลือกร้านค้าที่สะอาด ไว้ใจได้
  • เนื้อสัตว์ ปลาสด ในตู้เย็น จะต้องเก็บแยกจากของกินอื่นๆทุกชนิด รวมทั้งจำต้องอยู่ในภาชนะปิดมิดชิด เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียส่วนมาก จะอยู่ในอาหารสดพวกนี้
  • ไม่ละลายอาหารสดแช่แข็งด้วยการตั้งทิ้งไว้ หรือ แช่น้ำ ด้วยเหตุว่าเป็นการเพิ่มปริมาณเชื้อโรคจากอุณหภูมิที่สมควรต่อการเติบโตของเชื้อโรค ควรจะละลายด้วยไมโครเวฟ
  • รักษาความสะอาดของผักสด ดังเช่น ถั่วงอก สลัด รวมทั้งอาหารสำเร็จรูปต่างๆ
  • การถนอมอาหารอย่างถูกต้อง ทำให้ของกินเป็นกรดที่มี pH < 4.5 หรือให้ความร้อนสูงและก็นานเพียงพอเพื่อทำลาย toxin รวมทั้งการแช่แข็งเพื่อถนอมอาหารเป็นระยะเวลานาน
  • ถ้าหากอาหารมีลักษณะไม่ดีเหมือนปกติเป็นต้นว่า กระป๋องโป่ง หรือเสียหาย หรือมีรสไม่ดีเหมือนปกติ อาจมี fermentation เป็นความมีความเสี่ยงต่อการนำโรค
  • บริโภคอาหารบรรจุกระป๋องที่ผ่านความร้อนเพียงพอที่จะทำลาย toxin ทุกครั้ง
  • สมุนไพรที่ช่วยปกป้อง/บรรเทาอาการของโรคอาหารเป็นพิษ
ขิง  ในขิงนั้นจะมีสาระสำคัญที่ออกฤทธิ์ ชื่อ “Gingerol” (จิงเจอรอล) มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง ท้องเฟ้อ ท้องอืดท้องเฟ้อ สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยในแม่ที่ให้นมลูกได้ดีแล้วก็ไม่เป็นอันตรายกว่ายาขับลมอื่นๆอีก    ยิ่งไปกว่านั้นในกรณีที่ท้องเดิน การดื่มน้ำขิงจะช่วยให้การอักเสบที่เกิดจากพิษของเชื้อโรคลดลง รวมทั้งยังช่วยขับเชื้อโรคอีกด้วย แต่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าว่าอาการท้องเสียมีความรุนแรงก็ควรรีบไปพบแพทย์
กระชาย  สรรพคุณ  เหง้าใต้ดิน – มีรสเผ็ดร้อนขม แก้ปวดท้อง  เหง้าและราก – แก้บิดมูกเลือด เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ฉี่พิการ
มังคุด  คุณประโยชน์  รักษาโรคท้องร่วงเรื้อรัง และก็โรคไส้  ยาแก้ท้องเดิน ท้องเดินยาแก้บิด (ปวดเบ่งและมีมูก รวมทั้งอาจมีเลือดด้วย) เป็นยาคุมกำเนิดธาตุ  ยาแก้อาการท้องร่วง ท้องร่วง  ใช้เปลือกผลมังคุดตากแห้งต้มกับน้ำปูนใส หรือฝนกับน้ำกิน ใช้เปลือกต้มน้ำให้เด็กรับประทานทีละ 1-2 ช้อนชา ทุก 4 ชั่วโมง คนแก่ทีละ 1 ช้อนโต๊ะ ทุก 4 ชั่วโมง  ยาแก้บิด (ปวดเบ่งแล้วก็มีมูกแล้วก็อาจมีเลือดด้วย)
ใช้เปลือกผลแห้งประมาณ ½ ผล (4 กรัม) ย่างไฟให้เกรียม ฝนกับน้ำปูนใสประมาณครึ่งแก้ว หรือบดเป็นผง ละลายน้ำสุก รับประทานทุก 2 ชั่วโมง
เอกสารอ้างอิง

  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.อาหารเป็นพิษ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 390.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.ตุลาคม.2554
  • สุวรรณา เทพสุนทร.ความรู้เรื่องโรคอาหารเป็นพิษ.กลุ่มระบาดวิทยาโรคติดต่อ.สำนักระบาดวิทยา.กรมควบคุมโรค.กระทรวงสาธารณสุข
  • อาหารเป็นพิษ,อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์.Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  • Goldfrank LR, Flomenbaum NE, Weisman RS. Botulism. In: Goldfrank LR, Flomenbaum NE, Lewin NA, et al (eds). Goldfrank’s Toxicologic Emergencies. 5th ed. Connecticut: Appleton&Lasge, 1994:937-948.
  • พญ.สลิล ธีระศิริ.อาหารเป็นพิษ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่85.คอลัมน์กลไกการเกิดโรค.พฤษภาคม.2529
  • Lond BM. Food-borne illness. Lancet 1990;336:982-6. http://www.disthai.com/
  • Critchley ER, Michel JD. Human botulism. Br J Hosp Med 1990;93:290-2.
  • ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.อาหารเป็นพิษ (Food poisoning).หาหมอ.
  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.อาหารเป็นพิษ(Food poisoning).หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.หน้า490-492



Tags : โรคอาหารเป็นพิษ

27

โรคเชื้อไวรัสตับอักเสบ (Viral hepatitis)

  • โรคไวรัสตับอักเสบคืออะไร ตับนับเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมีน้ำหนักราวๆ 1.5 กิโล อยู่หลังเครื่องบังลมรวมทั้งมีบทบาทที่สำคัญต่างๆดังต่อไปนี้ เป็นคลังสะสมของกิน ตัวอย่างเช่น แป้ง ไขมัน โปรตีน เอาไว้ใช้ แล้วก็ปล่อยเมื่อร่างกายอยาก สังเคราะห์สารต่างๆได้แก่ น้ำดี สารควบคุมการแข็งตัวของเลือด ฮอร์โมน กำจัดสารพิษ รวมทั้งสิ่งแปลกปลอม ได้แก่เชื้อโรค หรือยา แต่ว่าในปัจจุบันชาวไทยมีอัตราการตายด้วยโรคที่เกี่ยวกับตับสูงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคโรคตับแข็ง โรคมะเร็งตับ สภาวะไขมันสะสมในตับ รวมทั้งโรคตับอักเสบ ผู้ที่เจ็บป่วยจากโรคตับอักเสบเจอได้ทุกวัย ทั้งชายรวมทั้งหญิง ส่วนมากเป็นโรคตับอักเสบฉับพลัน ส่วนน้อยเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังรวมทั้งอาจมีภาวะแทรกซ้อนของโรคตับแข็ง ตับวาย มะเร็งตับ

    ตับอักเสบ เป็นภาวการณ์ทางด้านการแพทย์ที่มีการอักเสบของตับแล้วก็มีการทำลายของเซลล์ตับ ทำให้กระบวนการทำหน้าที่ต่างๆของตับไม่ดีเหมือนปกติ ร่างกายอาจแสดงอาการป่วยหนักนิดหน่อยหรือไม่แสดงอาการเลยแต่ชอบทำให้เกิดอาการโรคดีซ่าน อาการไม่อยากอาหาร และก็อาการไข้ 
    สิ่งที่ทำให้เกิดโรคตับอักเสบ ที่พบบ่อยที่สุดเป็น การตำหนิซนไวรัส รองลงมาเกิดขึ้นได้เนื่องมาจาก พิษสุรา เชื้อแบคทีเรีย เชื้อโปรโตซัวเลปโตสไปโสสิส พยาธิ ยาบางประเภท สารเคมี โดยส่วนมากจะมีเหตุที่เกิดจากการต่อว่าดเชื้อไวรัสชนิดต่างๆซึ่งมีอยู่หลายแบบร่วมกันหมายถึงเชื้อไวรัสตับอักเสบจำพวก อี ซึ่งแต่ละประเภทมีความแตกต่างกันในเนื้อหาโดยธรรมดาเมื่อร่างกายได้รับเชื้อไวรัสตับอับเสบ ระบบภูมิคุ้มกันจะสามารถกำจัดเชื้อแล้วก็จะหายเองได้ แม้กระนั้นมีบางรายร่างกายไม่อาจจะกำจัดเชื้อได้หมด แปลงเป็นตับอักเสบเรื้อรัง รวมทั้งส่งผลให้เกิดภาวะตับแข็งรวมทั้งมะเร็งตับถัดไป
    ยิ่งไปกว่านี้โรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัส (Viral Hepatitis) เป็นโรคติดโรคที่มีความรุ่นแรงสูงและก็คือปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญปัญหาหนึ่ง หน่วยงานอนามันโลก หรือ WHO จัดว่าโรคนี้เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของโลกทีเดียว เพื่อให้ประชาชนโลกตระหนักถึงภัยจากโรคตับอักเสบ องค์การอนามัยโลกจึงประกาศให้วัน ที่ 28 เดือนกรกฎาคมของทุกปีเป็น “วันโรคตับอักเสบโลก (World hepatitis day)”

  • สาเหตุของโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบ โรคเชื้อไวรัสตับอักเสบนั้นนับยอดเยี่ยมในกลุ่มโรคตับอักเสบ ที่มีมูลเหตุมมาจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งมีเหตุที่เกิดจากเชื้อไวรัส 5 ชนิดเป็นHepatitis A virus (HAV), Hepatitis B virus (HBV), Hepatitis C virus (HCV), Hepatitis D virus (HDV) Hepatitis E virus (HEV) นอกจากนี้อาจเป็นเพราะเนื่องจากปัจจัยอื่นหรือไวรัสตัวอื่นอีก ซึ่งยังไม่สามารถตรวจพบได้ เชื้อไวรัสตับอักเสบ ดังที่กล่าวมาแล้วสามารถแบ่งได้ 2 กรุ๊ป เป็น
  • กรุ๊ปที่ติดต่อทางการกิน ตัวอย่างเช่น HAV รวมทั้ง HEV โดยธรรมดาอาการไม่รุนแรงเท่าไรนัก และไม่ส่งผลข้างเคียงตามมา คนเจ็บที่หายจากการติดเชื้อกลุ่มนี้ในระยะกะทันหันแล้วจะไม่มีอาการตับอักเสบเรื้อรัง โรคตับแข็ง รวมทั้งโรคมะเร็ง
  • กลุ่มที่ติดต่อทางเลือด และเซ็กซ์ ดังเช่น HBV และ HCV ไวรัสกลุ่มนี้มีลักษณะอาการแทรกตามมาได้สูง เหตุเพราะคนป่วยจำนวนมากมีอาการติดเชื้อโรคเรื้อรัง และก็บางทีอาจเปลี่ยนเป็นโรคตับแข็ง หรือ โรคมะเร็งตับได้
  • ลักษณะโรคไวรัสตับอักเสบ อาการ ที่แจ้งชัด คือ เมื่อยล้า ดีซ่าน (ตาเหลือง ตัวเหลือง ปัสสาวะเหลืองเหมือนขมิ้น) โดยมักไม่มีลักษณะของการมีไข้ (ตัวร้อน) ร่วมด้วย บางคนอาจมีอาการปวดเสียด หรือจุกแน่น แถวลิ้นปี่ หรือชายโครงขวา (ซึ่งเป็นตำแหน่งของตับ) ในบางบุคคลอาจดูได้ว่า ก่อนมีลักษณะโรคดีซ่าน จะมีลักษณะอาการดีซ่าน จะมีลักษณะไม่สบาย อ่อนแรง เบื่ออาหาร คล้ายไข้หวัดใหญ่ อาจมีอาการอ้วก อาเจียน ถ่าย เหลว หรือท้องเดินร่วมด้วย เมื่อไข้ลด (อาจมีไข้อยู่ 4-5วัน) ก็สังเกตเห็นปัสสาวะเป็นสีเหลืองเข้ม แล้วมองเห็นอาการตาเหลือง ตัวเหลืองตามมา


นอกเหนือจากนี้ ถ้าเกิดคนป่วยได้รับการเจาะเลือดตรวจจะพบว่า ระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีทรานซามิเนส ดังเช่น เอสจีโอที (SGOT) และเอสจีพีที (SGPT) ขึ้นสูงกว่าคนธรรมดา ทำให้วินิจฉัยได้แน่ๆว่า อาการโรคดีซ่านที่เกิดจากโรคตับนั้น เป็นโรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัส คนไข้จะรู้สึกสบายขึ้น หายเหน็ดเหนื่อย หายเบื่อข้าว คนที่เป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง จะมีลักษณะอาการอ่อนแรง เหนื่อยง่าย บางครั้งบางคราวมีลักษณะอาการตาเหลืองเล็กน้อย นานเป็นปีฯ ถึงสิบๆปี ก่อนที่จะเกิดภาวะเข้าแทรกอื่นๆตามมา ส่วนผู้ที่เป็นพาหะของไวรัสตับอับเสบบีหรือซี จะไม่มีอาการผิดปกติอะไรก็ตามให้เห็นจะทราบต่อเมื่อตรวจเลือดเจอเชื้อแค่นั้น ซึ่งถ้าจะแยกอาการตามจำพวกของไวรัสที่ทำให้มีการเกิดโรคตับอักเสบนั้นสามารถแยกได้ดังนี้
ไวรัสตับอักเสบเอ จะเกิดอาการตับอักเสบทันควันเป็น อ่อนแรง เบื่อข้าว โรคดีซ่าน โดยในผู้ใหญ่จะมีอาการมากยิ่งกว่าในเด็ก ไวรัสตับอักเสบเอเป็นเชื้อไวรัสที่เป็นรุนแรง หายแล้วหายขาดในมีภูมิต้านทานแล้วจะไม่เป็นซ้ำอีก
เชื้อไวรัสตับอักเสบบี การตำหนิดเชื้อจากไวรัสประเภทนี้มักจะทำให้เกิดการแอบเป็นไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง โดยผลที่เกิดในระยะยาวของการติดเชื้อไวรัสบีนั้นคือ ผู้เจ็บป่วยมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะโรคตับแข็ง แล้วก็โรคมะเร็งตับได้ในระยะยาว ถ้าหากมิได้รับการตำหนิดตามรักษาที่สมควร
ไวรัสตับอักเสบ ซี ไวรัสจำพวกนี้มักไม่ทำให้เกิดอาการไม่ดีเหมือนปกติอะไรก็ตามจากภาวการณ์ตับอักเสบเฉียบพลัน แต่จะทำให้มีการอักเสบเรื้อรังของตับ เมื่อมีการอักเสบไปนานๆก็จะกำเนิดพังผืดสะสมในตับจนถึงแปลงเป็นตับแข็งสุดท้าย
เชื้อไวรัสตับอักเสบ ดี อาการของเชื้อไวรัสจำพวกนี้จะก่อให้กำเนิดตับอักเสบซ้ำซ้อนขึ้นมา เหมือนกันกับคนป่วยเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
ไวรัสตับอักเสบ อี การเกิดโรคของเชื้อไวรัสประเภทนี้จะทำให้กำเนิดตับอักเสบกะทันหัน ตัวเหลืองตาเหลือง คนไข้หลายๆรายอาจมีอาการเหลืองนานเป็นต้นตย์ หรือ สองสามเดือนได้

  • กรุ๊ปบุคคลที่เสี่ยงจะเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ


เชื้อไวรัสตับอักเสบประเภทเอ กลุ่มชนที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอสูงคือ กรุ๊ปที่มีสุขอนามัยหรือการสุขาภิบาลไม่ดี ได้แก่ รับประทานอาหารดิบๆสุกๆกินอาการหรือน้ำกินที่ไม่สะอาดและคนที่อยู่ในสถานที่คับแคบ
ไวรัสตับอักเสบชนิดบี เพราะว่า เชื้อไวรัสชนิดนี้พบมากในสารคัดหลั่งของคนเรา ดังเช่นว่า เลือด น้ำนม อสุจิ น้ำลาย ดังนั้นกลุ่มเสี่ยงสำหรับเพื่อการติดเชื้อโรคไวรัสจำพวกนี้ ก็เลยได้แก้ผู้ที่จำเป็นต้องสัมผัสกับสารคัดหลั่งพวกนี้ นอกจากนี้ยังสามารถติดเชื้อจากแม่สู่ลูกได้อีกด้วย
เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดซี กรุ๊ปบุคคลที่มีการเสี่ยงสำหรับการติดเชื้อโรค เป็นต้นว่า บุคคลที่ใช้เข็มหรือของมีคมร่วมกัน เช่น ผู้ติดเฮโรอีน กรุ๊ปผู้ที่ชอบสักตามร่างกาย เป็นต้น
ไวรัสตับอักเสบชนิดดี ไวรัสชนิดนี้เป็นเชื้อไวรัสที่ชอบพบว่าเกิดขึ้นพร้อมกับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ฉะนั้นกลุ่มเสี่ยงที่จะติดเชื้อเชื้อไวรัสตับอักเสบดีจึงเป็นกลุ่มที่มีความประพฤติเสี่ยง เช่นเดียวกับคนที่เสี่ยงจะติดเชื้อโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
ไวรัสตับอักเสบประเภทอี เชื้อไวรัสจำพวกนี้สามารถพบได้ในคนและสัตว์ ดังเช่น หมูรวมทั้งสัตว์อื่นๆและกรุ๊ปบุคคลที่เสี่ยงจุติดเชื้อไวรัสจำพวกนี้ดังเช่นว่าบุคคลที่กินอาหารสุบๆดิบๆหรือคนที่สีสุขภาวะไม่สะอาดฯลฯ

  • กรรมวิธีการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบ แพทย์วินิจฉัยโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบได้จาก ประวัติลักษณะของคนป่วย เรื่องราวสัมผัสโรค (อาทิเช่น การกินอาหาร การได้รับเลือด การระบาดของโรคในสถานที่สำหรับทำงาน การมีเซ็กส์สำส่อน หรือการใช้สิ่งเสพติด) การตรวจร่างกาย ถ้าเกิดมีลักษณะอาการแจ่มแจ้ง คือ มีลักษณะเมื่อยล้า ดีซ่าน โดยมีอาการเหมือนไข้หวัดใหญ่นำมาก่อน ไม่มีเรื่องราวดื่มสุราจัด น้ำหนักลดบางส่วน (เพียงแต่ 1-2 กิโลกรัม) ยังรับประทานอาหารได้ กินน้ำได้ ไม่อาเจียน หมอจะวินิจฉัยโดยการตรวจร่างกายเพิ่มอีก ดังเช่นว่า ตรวจพบตับโตบางส่วน ลักษณะนุ่ม ไม่เจ็บมากมาย โดยไม่เจอสิ่งผิดปกติอื่นๆรวมทั้งไม่เจอลักษณะของการมีไข้ (ตัวร้อน) ก็บางทีอาจวินิจฉัยว่าเป็นโรคตับอักเสบจากไวรัส และก็ให้การดูแลขั้นต้นได้ แม้กระนั้นถ้าหากมีอาการไม่ชัดแจ้ง หรือเป็นเรื้อรัง หรือสงสัยมีสาเหตุมาจากต้นสายปลายเหตุอื่น แพทย์จะกระทำการตรวจการดำเนินการของตับ โดยการหาระดับ SGOTAST,SGPT ALTค่าธรรมดาน้อยกว่า 40 IU/L ถ้าเกิดค่ามากยิ่งกว่า 1.5-2 เท่าให้สงสัยว่าตับอักเสบ แม้พบว่าผิดปกติหมอจะขอตรวจเดือนละครั้งต่อเนื่องกันอย่างน้อย 3 เดือน การตรวจหาตัวเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ ตรวจค้น Ig M Anti HAV เชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ตรวจหา HBsAg ถ้าบวกมีความหมายว่ามีเชื้ออยู่   Anti HBs ถ้าหากบวกแปลว่ามีภูมิต่อเชื้อ  HBeAg หากบวกมีความหมายว่าเชื้อมีการแบ่งตัว HBV-DNA เป็นการตรวจเพื่อหาจำนวนเชื้อ เชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี Anti-HCV เป็นการพูดว่ามีภูเขาไม่ต่อเชื้อ  HCV-RNA มองจำนวนของเชื้อ การตรวจสอบส่วนประกอบของตับ ดังเช่นการตรวจคลื่นเสียงเพื่อดูว่ามีตับแข็งหรือมะเร็งตับไหม การตรวจชิ้นเนื้อตับ แพทย์ผู้ที่มีความชำนาญจะนำชิ้นเนื้อตับเพื่อวิเคราะห์ความรุนแรงของโรค    เมื่อตรวจเจอว่าเป็นโรคตับอักเสบจากไวรัส แพทย์จะเสนอแนะการปฏิบัติตัวต่างๆถ้าเกิดว่าไม่มีอาการอะไรมากมายก่ายกองก็จะไม่ให้ยา เนื่องเพราะโรคนี้ไม่มียารักษาเจาะจง รวมทั้งนัดหมายคนไข้มาตรวจตราอาการทุก 1-2สัปดาห์ ตราบจนกระทั่งจะแน่ใจว่าหายดี  คนเจ็บโรคตับอักเสบไวรัสส่วนใหญ่มักมีลักษณะอาการไม่รุนแรง หากแม้ไม่ได้รับการดูแลและรักษาเป็นพิเศษก็หายได้เอง ผู้ป่วยที่ควรต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ คือ คนที่มีลักษณะหมดแรงมากมาย รับประทานอาหารไม่ได้ คลื่นไส้คลื่นไส้มาก เจ็บท้องมากมาย ตัวเหลืองจัด ปวดมึนศีรษะรุนแรง พูดไม่เข้าใจ หรือไม่รู้สึกตัว รวมทั้งหญิงตั้งครรภ์และก็คนป่วยที่เป็นโรคอื่นอยู่เดิม  บางคราวอาจให้ยาทุเลาตามอาการ ตัวอย่างเช่น ยาแก้อ้วก วิตามินบำรุง (ถ้าหากเบื่ออาหารมากมาย) ฉีดเดกซ์โทรสหรือให้น้ำเกลือ (ถ้ากินได้น้อย หรือคลื่นไส้มากมาย) เป็นต้น ถ้าตรวจเจอว่าเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง (ซึ่ง มักมีสาเหตุจากเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี) ซึ่งจะมีลักษณะอักเสบนานเกิน 6 เดือน แพทย์อาจจำเป็นต้องกระทำตรวจพิเศษ ดังเช่น เจาะเนื้อตับออกมาพิสูจน์ ตรวจเลือดเพื่อดูสาเหตุของความร้ายแรงแล้วก็ภาวะแทรกซ้อนเป็นระยะการดูแลและรักษาบางทีอาจฉีดยาอินเตอร์เฟียรอน (interferon) สัปดาห์ละ 3 ครั้ง นาน 4-6 เดือน ยานี้จะช่วยลดปริมาณเชื้อไวรัส และก็ลดการอักเสบของตับ ส่วนคนที่ตรวจเจอว่าเป็นพาหะ ของไวรัสตับอักเสบบีหรือซี หมอจะแนะนำการกระทำตัว แล้วก็นัดหมายตรวจทุก 3-6 เดือน ไปเรื่อยเพื่อสอดส่องอาการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด
  • การติดต่อของโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบ
  • เชื้อไวรัสตับอักเสบเอ (hepatitis A virus ย่อว่า HAV) สามารถติดต่อทางระบบทางเดินอาหาร โดยการกินของกิน ดื่มนมหรือน้ำที่แปดเปื้อนอุจจาระของผู้ที่มีเชื้อโรคนี้ (เหมือนกันกับโรคบิด อหิวาตกโรค ไข้รากสาดน้อย) เพราะฉะนั้นจึงสามารถแพร่ไปได้ง่าย บางครั้งบางคราวอาจเจอการระบาดในค่ายทหาร สถานที่เรียน หรือ หมู่บ้าน

ระยะฟักตัวของโรคตับอักเสบจากไวรัสเอ 15-45 วัน (เฉลี่ย 30 วัน)

  • เชื้อไวรัสตับอักเสบบี (hepatitis B virus ย่อว่า HBV) เชื้อนี้จะมีอยู่ในเลือด และยังบางทีอาจเจอมีอยู่ในน้ำลาย น้ำตา นม ปัสสาวะ น้ำอสุจิ น้ำเมือกในช่องคลอด เชื้อสามารถไปสู่ร่างกายโดยทางเพศสมาคม หรือถ่ายทอดจากแม่ที่มีเชื้อนี้ไปยังทารกขณะคลอด นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อโดยทางเลือด ยกตัวอย่างเช่น การให้เลือด การฉีดยา การฝังเข็ม การสักตามร่างกาย วิธีการทำฟัน การใช้งานเครื่องมือหมอที่ปนเปื้อนเลือดของผู้ที่มีเชื้อโรคจำพวกนี้ ฯลฯ
ระยะฟักตัวของโรคตับอักเสบจำพวกบี 30-180 วัน (เฉลี่ย 60-90 วัน)

  • เชื้อไวรัสตับอักเสบซี (hepatitis C virus ย่อว่า HCV) เชื้อนี้สามารถติดต่อลักษณะเดียวกันกับเชื้อไวรัสตับอักเสบบีทุกประการ รวมทั้งมีการดำเนินของโรคแบบเดียวกับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี กล่าวอีกนัยหนึ่ง อาจทำให้เป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง หรือคนที่ติดเชื้อบางทีอาจไม่มีอาการไม่ปกติ แต่ว่ามีเชื้ออยู่ภายในร่างกายสามารถแพร่โรคให้บุคคลอื่นได้ เรียกว่าเป็นพาหะของโรค (carrier) ในที่สุดบางทีอาจเกิดโรคแทรกซ้อนรุนแรง คือ โรคตับแข็งกับโรคมะเร็งตับ ลักษณะของการเกิดอาการกลุ่มนี้ชอบไม่พบในผู้ที่ติดเชื้อโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ
  • ไวรัสตับอักเสบ ดี เป็นไวรัสที่แอบแฝงมากับเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี พบมากในกลุ่มประเทศยุโรป โดยเชื้อไวรัสตัวนี้ ต้องอาศัยองค์ประกอบของไวรัสตับอักเสบบี สำหรับในการแบ่งตัว ด้วยเหตุนั้นการตำหนิดเชื้อจะเกิดขึ้นพร้อมด้วยไวรัสตับอักเสบบีหรือกำเนิดในคนไข้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีแอบแฝงอยู่ ภายในร่างกาย ด้วยเหตุดังกล่าวการติดต่อจึงมีลักษณะราวกับไวรัสตับอักเสบชนิดบี
  • เชื้อไวรัสตับอักเสบอี การเกิดโรคในคนนั้นคนป่วยหลายๆรายมีประวัติสัมผัสหรือรับประทานอาหารดิบๆสุกๆซึ่งเป็นเหตุของการต่อว่าดเชื้อได้ ด้วยเหตุดังกล่าวการติดต่อของไวรัสชนิดนี้ก็เลยมีลักษณะเหมือนกับไวรัสตับอักเสบประเภทเอ
  • การกระทำตนเมื่อป่วยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ
  • ปฏิบัติตามหมอแล้วก็พยาบาลที่ดูแลชี้แนะ
  • พักเต็มที่ ควรหยุดงาน หยุดโรงเรียนตามหมอเสนอแนะ
  • ดื่มน้ำสะอาดให้มากๆอย่างน้อยวันละ 8 - 10 แก้วเมื่อไม่มีโรคจำต้องจำกัดน้ำดื่ม
  • รับประทานอาหารมีคุณประโยชน์ 5 หมู่ แต่ควรเป็นของกินอ่อนย่อยง่าย เพิ่มผัก ผลไม้ให้มากมายๆ
  • รับประทานยาบรรเทาอาการต่างๆตามแพทย์เสนอแนะ
  • ไม่ซื้อยารับประทานเองเนื่องจากอาจจะก่อให้ตับอักเสบเพิ่มขึ้น หรืออาจมีผลข้างเคียงจากยามากขึ้น เพราะว่าตับไม่สามารถกำจัดยาส่วนเกินออกจากร่างกายได้ตามเดิม
  • งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกประเภทเพราะจะเพิ่มการทำลายเซลล์ตับ
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขข้อบังคับแห่งชาติ) เพื่อให้มีสุขภาพแข็งแรง ลดความรุนแรงของโรค และลดการแพร่ระบาดสู่คนอื่น
  • ล้างมือให้สะอาดบ่อยๆโดยยิ่งไปกว่านั้นก่อนที่จะกินอาหารและก็หลังการขับถ่าย
  • แยกของใช้ ของใช้ส่วนตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้วยน้ำแล้วก็ช้อน
  • พบหมอตามนัดเสมอ แล้วก็รีบเจอแพทย์ก่อนนัดหมายเมื่อมีอาการเปลี่ยนไปจากปกติไปจากเดิม และ/หรือ เมื่ออาการต่างๆหยาบช้าลง แล้วก็/หรือเมื่อตื่นตระหนกในอาการ
  • ควรรีบเจอแพทย์ก่อนนัดหรือเป็นการฉุกเฉินเมื่อรับประทาน/ดื่มมิได้ หรือเกิดอาการงงงัน และ/หรือซึมลง เนื่องจากบางทีอาจเป็นอาการของตับวาย
  • การปกป้องตัวเองจากโรคไวรัสตับอักเสบ
  • รักษาสุขอนามัยรากฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อลดโอกาสติดโรคต่างๆ
  • ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่เสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนกินอาหารและก็หลังการขับถ่าย
  • กินแม้กระนั้นของกินที่ปรุงสุกอย่างทั่วถึง สะอาด ดื่มแม้กระนั้นน้ำที่สะอาด ระวังการกินน้ำแข็ง และอาหารสุกๆดิบๆ
  • รักษาความสะอาดแก้วน้ำแล้วก็ช้อนเสมอ
  • ระมัดระวังการสัมผัสเลือดและสารคัดเลือกหลั่งของบุคคลอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เครื่องมือบาง อย่างร่วมกันยกตัวอย่างเช่น เข็มฉีดยา เครื่องไม้เครื่องมือสักตามร่างกาย และกรรไกรตัดเล็บ
  • ใช้ถุงยางชายเสมอเมื่อมีเพศสัมพันธ์
  • ฉีดยาปกป้องโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบจำพวกมีวัคซีน
  • การฉีดวัคซีนคุ้มครองป้องกัน เชื้อไวรัสตับอักเสบบเอ


o          ทารกแรกคลอดทุกราย โดยเฉพาะถ้าหากคุณแม่เป็นพาหะของเชื้อ
o          เด็กทั่วไป เพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน
o          เด็กโต วัยรุ่น คนแก่ อาจเคยติดเชื้อเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ แล้ว
o         ผู้ที่จะเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงที่จะทำให้เป็นโรค

  • การฉีดวัคซีนปกป้อง ไวรัสตับอักเสบบี


o       ทารกแรกคลอดทุกราย โดยเฉพาะถ้าเกิดแม่เป็นพาหะของเชื้อ
o         เด็กทั่วไป เพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน
o         เด็กโต วัยรุ่น ผู้ใหญ่ บางทีอาจเคยติดโรคไวรัสตับอักเสบ บี แล้ว ให้ตรวจเลือดก่อนตรึกตรองฉีด วัคซีน

  • สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/รักษาโรคไวรัสตับอักเสบ[/url]

    ลูกใต้ใบ หรือ จูเกี๋ยเช่า เป็นหนึ่งสมุนไพรบำบัดตับ ต้นของลูกใต้ใบสามารถแก้ตับอักเสบ ต้นลูกใต้ใบประกอบด้วย สารไกลโคไซด์( Glycosides) ซาโพนิน (Saponin) แทนนิน (tannins) สารฟลาโวนอยด์ (flavonoid) ซึ่งเป็นกลุ่มสารพฤกษเคมี เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพืชนั้น ลูกใต้ใบช่วยบำรุงตับ ลดอาการตับอักเสบ มีผลการวิจัยในสัตว์พบว่า สามารถป้องกันความเป็นพิษของยาพาราเซตตามอลต่อตับได้ และยังมีผลการวิจัยพบสารสกัดจากลูกใต้ใบสามารถป้องกันไม่ให้ตับถูกทำลายจากสารพิษ อย่าง เหล้า ช่วยรักษาการอักเสบของตับทั้งแบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง เช่น โรคไวรัสตับอักเสบบี และยังพบว่าทำให้การตับฟื้นตัวและยับยั้งเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ( HBV) ได้อีกด้วย
    โดยมีการทดลองและศึกษาวิจัยระหว่างคณะแพทย์จากสถาบันวิจัยมะเร็งแห่งฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา และคณะแพทย์อินเดียแห่งเมืองมีคราสได้ศึกษาวิจัยพืชสมุนไพรชนิดต่างๆ ที่มีการใช้รักษาอาการดีซ่านมาตั้งแต่โบราณ โดยได้นำพืชสมุนไพรกว่า 1,000 ชนิดที่ใช้กันทั่วโลกมาทดสอบ
    จากการทดลองพบว่า พืชสมุนไพรหลายชนิดมีฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์ดีเอ็นเอของไวรัสชนิดนี้ และสารสกัดของ ลูกใต้ใบ มีฤทธิ์สูงสุด การทดลองทางคลินิกในเมืองมีคราสทำโดยให้แคปซูลยาสมุนไพร 200 มิลลิกรัมน้ำหนักแห้งแก่ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ บี 37 คน วันละครั้ง 30 วันติดต่อกันพร้อมกับให้ยาหลอกซึ่งภายในแคปซูลบรรจุน้ำตาลแล็กโทสแทน 23 คน หลังจากนั้นเจาะเลือดผู้ป่วยมาตรวจหาเชื้อไวรัส พบว่าผู้ป่วย 22 คน (ร้อยละ 59) ไม่มีเชื้อไวรัสในกระแสเลือด ในขณะที่ผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอกเพียง 1 คนที่ไม่พบเชื้อไวรัสในกระแสเลือด และภายหลังการติดตามผลการรักษาต่อไปอีก 9 เดือน พบว่า ผู้ป่วยทั้ง 22 คน ยังคงตรวจไม่พบเชื้อไวรัสในกระแสเลือดต่อไป
    เห็ดหลินจือ มีสารโพลีแซกคาไรด์ (polysaccharides) ออกฤทธิ์ยับยั้งสารพิษต่อตับ ไม่ให้ทำลายเซลล์ตับ เช่นสาร คาร์บอนเตตราคลอไรด์ ปรับปรุงการทำงานของตับ และยังช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีสารกลุ่มไตรเทอร์ปินนอยด์ (triterpenoids) ซึ่งมีสรรพคุณยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งตับ และสารเยอร์มาเนียม(germanium )ที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายและยังมีกรดกาโนเดอลิก (ganoderic acid) กรดลูซิเดนิก (luci denic acid) เป็นสารต่อต้านสารพิษที่มีต่อตับ ยังช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ผิดปกติในตับ
    เอกสารอ้างอิง

  • โรคตับอักเสบ สรุปรายงานการเฝ้าระวังโรคประจำปี 2555.สำนักระบาดวิทยา.กรมควบคุมโรค.กระทรวงสาธารณสุข.
  • ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.ไวรัสตับอักเสบ(Viral hepatitis) .หาหมอดอทคอม.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • รศ.พญ.จันทพงษ์ วะสี. โรคตับอักเสบ จากเชื้อไวรัส.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่81.คอลัมน์โรคน่ารู้.มกราคม.2529
  • มารู้จักไวรัสตับอักเสบกันเถอะ.โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน.คณะเวชศาสตร์เขตร้อน.มหาวิทยาลัยมหิดล.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • รศ.นพ.สุรเกียรต์ อาชานานุภาพ.ตับอักเสบจากไวรัส.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่291.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.กรกฏาคม.2546
  • รศ.จันทร์เพ็ญ วิวัฒน์.การทดลองใช้ยาสมุนไพรรักษาไวรัสตับอักเสบ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่121.คอลัมน์โลกกว้างและการแพทย์.พฤษภาคม.2541 http://www.disthai.com/
  • ศูนย์ข้อมูลโรคติดเชื้อและพาหนะนำโรค กรมวิทยาศาสตร์ การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
  • Dienstag,J., and Isselbacher, K. (2001). Acute viral hepatitis. In Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, D., Hausen, S., Longo, D., and Jamesson, J. Harrrison’s: Principles of internal medicine. (p1721-1737). New York. McGraw-Hill.
  • สมพนธ์ บุณยคุปต์.(2538).ตับอักเสบ. งานการพยาบาลป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ ภาควิชาพยาบาลศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี.แผ่นพับ.
  • ทวีศักดิ์ แทนวันดี.(ม.ป.ป.).โรคตับอักเสบจากไวรัสซี. เชอริง-พราว จำกัด.
  • ชมรมตับอักเสบแห่งประเทศไทย (ม.ป.ป.).ไวรัสตับอักเสบมฤตยูเงียบ.เชอริง-พราว จำกัด.
  • ยง ภู่วรรณ.(2539).ไวรัสตับอักเสบและการป้องกัน. กรุงเทพฯ : ชัยเจริญ.



Tags : โรคไวรัสตับอักเสบ

28

โรคไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever)

  • โรคไข้เลือดออกคืออะไร โรคไข้เลือดออกหมายถึงโรคติดเชื้อซึ่งมีต้นเหตุที่เกิดจาก ไวรัสเดงกี่ (Dengue virus) โดยมียุงลายเป็นยานพาหนะนำโรคอาการของโรคนี้มีความคล้ายกับโรคไข้หวัดในตอนแรก (แต่จะไม่มีอาการน้ำมูลไหล คัดจมูก หรือไอ) ก็เลยทำให้คนไข้รู้เรื่องคลาดเคลื่อนได้ว่าตนเป็นเพียงโรคไข้หวัด รวมทั้งทำให้มิได้รับการดูแลรักษาที่ถูกในทันทีทันใด โรคไข้เลือดออกมีอาการแล้วก็ความรุนแรงของโรคหลายระดับตั้งแต่ไม่มีอาการหรือมีอาการบางส่วนไปจนกระทั่งเกิดภาวะช็อกซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้เจ็บป่วยเสียชีวิต สถิติในปี พ.ศ. 2554 รายงานโดย กรุ๊ปโรคไข้เลือดออก สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า มีอัตราเจ็บป่วย 107.02 แล้วก็อัตราป่วยไข้ตาย 0.10 ซึ่งมีความหมายว่า ในประชากรทุก 100,000 คน จะมีบุคคลที่ป่วยเป็นไข้เลือดออกได้ถึง 107.02 คน และก็มีผู้ตายจากโรคนี้ 0.1 คน อย่างยิ่งจริงๆ ดังนี้โรคไข้เลือดออกยังเป็นโรคระบาดที่มักพบแถบบ้านพวกเรารวมทั้งประเทศใกล้เคียง มีการระบาดเป็นระยะๆทั่วในจังหวัดกรุงเทพมหานคร และก็ชนบท พบมากการระบาดในฤดูฝนซึ่งเป็นช่วงๆที่มียุงลายชุม จากสถิติในปี พุทธศักราช 2556 ของสำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่ามีคนไข้จำนวน 154,444 ราย (คิดเป็นอัตราป่วยไข้ 241.03 ต่อประชาชน 100,000 ราย) และมีปริมาณคนป่วยเสียชีวิตจำนวน 136 ราย (คิดเป็นอัตราเสียชีวิต 0.21 ต่อพลเมือง 100,000 ราย)
  • ต้นเหตุของโรคไข้เลือดออก โรคไข้เลือดออกเกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่าเชื้อไวรัสเดงกี Dengue 4 ประเภทคือ Dengue 1, 2, 3 และ 4 โดยปกติไข้เลือดออกที่เจอกันทั่วๆไปทุกปีมักจะมีต้นเหตุมาจากเชื้อไวรัสDengue ชนิดที่ 3 หรือ 4 แต่ที่มีข่าวสารมาในเวลานี้จะเป็นการติดเชื้อโรคในสายพันธ์2เป็นสายพันธ์ที่เจอได้เรี่ยรายแต่อาการชอบรุนแรงกว่าสายพันธ์ที่ 3, 4 และก็ควรเป็นการติดเชื้อซ้ำครั้งที่ 2 (Secondaryinfection) เชื้อไวรัสเดงกี่ เป็น single strandcd RNA เชื้อไวรัส อยู่ใน familyflavivirida มี4 serotypes (DEN1, DEN2, DEN3, DEN4) ซึ่งมีantigen ของกลุ่มบางชนิดร่วมกัน จึงทำให้มีcross reaction พูดอีกนัยหนึ่ง เมื่อมีการติดโรคชนิดใดแล้ว จะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสชนิดนั้นอย่างถาวรชั่วชีวิต รวมทั้งจะมีภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสเดงกี่อีก 3 ชนิด ในตอนระยะสั้นๆโดยประมาณ 6 - 12 เดือน (หรืออาจสั้นกว่านี้) เพราะฉะนั้นคนที่อยู่ภายในเขตพื้นที่ที่มีเชื้อไวรัสเดงกี่ชุมอาจมีการต่อว่าดเชื้อ 3หรือ 4 ครั้งได้  การตำหนิดเชื้อไวรัสเดงกีมีลักษณะแสดงได้ 3 แบบหมายถึงไข้เดงกี (Denque Fever – DF),ชอบเกิดกับเด็กโตหรือคนแก่อาจจะมีอาการไม่ร้ายแรงและไม่สามารถจะวินัจฉัยได้การอาการทางสถานพยาบาลได้แน่นอนจะต้องอาศัยการตรวจทางทะเลเหลืองแล้วก็แยกเชื้อไวรัส ไข้เลือดออก หรือ ไข้เลือดออกเดงกี (Dengue hemorrhagic fever – DHF) รวมทั้งไข้เลือดออกเดงกีที่ช็อก (Denque Shock Syndrome – DSS) เป็นกรุ๊ปอาการที่เกิดขึ้นต่อจากระยะ DHF เป็นมีการรั่วของพลาสมาออกไปๆมาๆกทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะช็อก แล้วก็สามารถตรวจเจอรระดับอีมาโตคริต    (Hct)  สูงมากขึ้นรวมทั้งมีน้ำในเยื่อหุ้มช่วงปอดและท้องอีกด้วย
  • ลักษณะของโรคไข้เลือดออก ระยะที่ 1 (ระยะไข้สูง) ผู้เจ็บป่วยจะจับไข้สูงลอย (กินยาลดไข้ไข้ก็จะไม่ลด) ไข้39 - 41 องศาเซลเซียส ประมาณ 2 - 7 วัน ทุกรายจะมีไข้สูงเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน ส่วนมากไข้จะสูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส ไข้บางทีอาจสูงถึง 40 - 41 องศาเซลเซียสได้ซึ่งบางรายอาจมี อาการชักเกิดขึ้น คนเจ็บชอบมีหน้าแดง (Flushed face) อาจตรวจ เจอคอแดง (Injected pharynx) ได้แต่ว่าส่วนใหญ่คนเจ็บจะไม่มีอาการ น้ำมูกไหล หรืออาการไอ ซึ่งช่วยสำหรับการวิเคราะห์แยกโรคจากหัดใน ช่วงแรก และก็โรคระบบทางเดินหายใจได้ เด็กโตบางทีอาจบ่นปวดหัว ปวดรอบกระบอกตา ในระยะไข้นี้อาการทางระบบทางเดินอาหารที่พบได้มากเป็นไม่อยากอาหาร อ้วก บางรายอาจมีลักษณะของการปวดท้องร่วมด้วย ซึ่งใน ระยะเริ่มต้นจะปวดโดยธรรมดา และบางทีอาจปวดที่ชายโครงขวาในระยะ ที่มีตับโต ปวดศีรษะ เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวเรียกตัว อยากดื่มน้ำ ซึม ในบางรายอาจมีอาการปวดท้องในบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงทางด้านขวา หรืออาจมีอาการท้องผูกหรือถ่ายเหลว ส่วนในเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี อาจเจออาการไข้สูงร่วมกับอาการชักได้ ระยะที่ 2 (ระยะช็อกรวมทั้งมีเลือดออก หรือ ระยะวิกฤติ) มักจะเจอในไข้เลือดออกที่เกิดจากเชื้อเดงกีที่มีความร้ายแรงขั้นที่ 3 และ 4 อาการจะเกิดขึ้นในตอนระหว่างวันที่ 3-7 ของโรค ซึ่งนับได้ว่าเป็นช่วงที่วิกฤติของโรค โดยลักษณะของการมีไข้จะเริ่มต่ำลง แม้กระนั้นคนป่วยกลับมีลักษณะอาการทรุดหนัก มีลักษณะเลือดออก : อาการเลือดออกที่พบได้มากที่สุดที่ผิวหนัง โดยจะตรวจเจอว่าเส้นโลหิตเปราะ แตกง่าย กระบวนการทำ torniquet test ได้ผลบวกได้ตั้งแต่ 2 - 3 วันแรกของโรค ร่วมกับมีจุดเลือดออกเล็กๆกระจัดกระจายอยู่ตามแขน ขาลำตัว จั๊กกะแร้อาจมีเลือดกำเดา หรือเลือดออก ตามไรฟัน ในรายที่ร้ายแรงอาจมีอ้วก เจ็บท้อง และขี้เป็นเลือด ซึ่งชอบเป็นสีดำ (Malena) อาการเลือดออกในทางเดินของกิน มีความผิดปกติของระบบไหลเวียนเลือด หรือช็อก:ชอบกำเนิด ตอนไข้จะลดเป็นระยะที่มีการรั่วของพลาสมาซึ่งจะพบทุกรายในคนไข้ ไข้เลือดออกเดงกี่ โดยระยะรั่วจะมีโดยประมาณ 24 - 28 ชั่วโมง ราวๆ 1 ใน 3 ของคนป่วยจะมีอาการร้ายแรงมีสภาวะการไหล เวียนล้มเหลวเกิดขึ้น เนื่องด้วยมีการรั่วของพลาสมาออกไปยังช่องปอด/ ท้องมาก กำเนิด hypovolemic shock ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการ เร่าร้อนใจ มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นค่อยเร็ว(อาจมากกว่า 120 ครั้ง/นาที) ปัสสาวะน้อย ความดันเลือดเปลี่ยน ตรวจเจอ pulse pressure แคบ พอๆกับหรือน้อยกว่า 20 มม.ปรอท (ค่าปกติ30-40มม.ปรอท) ภาวการณ์ช็อกที่เกิดขึ้นนี้จะมีการเปลี่ยนแปลง อย่างเร็วหากไม่ได้รับการดูแลและรักษาคนไข้จะมีลักษณะชั่วลงรอบปากเขียว ผิวสีม่วงๆตัวเย็นชืด เช็คชีพจรแล้วก็/หรือวัดความดันมิได้ (Profound shock) สภาวะทราบสติแปรไป และจะเสียชีวิตข้างใน 12-24ชั่วโมงข้างหลังเริ่มมีสภาวะช็อกแม้ว่าคนเจ็บได้รับการดูแลและรักษาอาการช็อก อย่างทันเวลาและก็ถูกก่อนที่จะเข้าสู่ระยะ profound shock โดยมากก็จะฟื้นได้อย่างเร็ว ระยะที่ 3 (ระยะฟื้นตัว) ในรายที่มีภาวการณ์ช็อกไม่รุนแรง เมื่อผ่านวิกฤติตอนระยะที่ 2 ไปแล้ว อาการก็จะดีขึ้นอย่างเร็ว หรือแม้กระทั้งคนไข้ที่มีสภาวะช็อกรุนแรง เมื่อได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้องแล้วก็ทันทีทันควันก็จะฟื้นไปสู่สภาพปกติ โดยอาการที่หมายความว่าดียิ่งขึ้นนั้นหมายถึงผู้เจ็บป่วยจะเริ่มต้องการทานอาหาร แล้วอาการต่างๆก็จะกลับคืนสู่สภาพธรรมดา ชีพจรเต้นช้าลง ความดันเลือดกลับมาสู่ปกติ ฉี่ออกมากขึ้น
  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคไข้เลือดออก เนื่องแต่โรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่มียุงลายเป็นยานพาหนะนำโรคโดยเหตุนั้น สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะทำให้มีการเกิดโรคไข้เลือดออกนั้น บางครั้งก็อาจจะแบ่งได้เป็น 2 กรณี 1.การเช็ดกยุงลายกัด ด้วยความที่พวกเราไม่สามารถที่จะทราบได้เลยว่ายุงตัวไหนมีเชื้อไหมมีเชื้อด้วยเหตุผลดังกล่าว เมื่อถูกยุงลายกัด จึงมีความเป็นไปได้เสมอว่าพวกเราบางครั้งก็อาจจะได้รับเชื้อไวรัสเดงกีที่ส่งผลให้เกิดโรคไข้เลือดออก โดยเฉพาะเมื่อเราถูกยุงลายกัดในพื้นที่ที่การระบายของโรคไข้เลือดออก หรือ อยู่ภายในเขตพื้นที่ที่มีความมากมายของยุงลายสูง 2.แหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลาย ในเมื่อยุงลายเป็นยานพาหนะนำโรคไข้เลือดออกแล้วนั้น จึงพอๆกับว่าถ้าเกิดยุงลายมีเยอะแยะก็จะก่อให้กำเนิดการเสี่ยงสำหรับการกำเนิดโรคไข้เลือดออกมากมายตามมา รวมทั้งถ้าหากยุงลายมีจำนวนน้องลง การเสี่ยงที่จะกำเนิดโรคไข้เลือดออกก็น่าจะน้อยลงตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้การควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ก็เลยน่าจะเป็นการลดการเสี่ยงสำหรับในการกำเนิดโรคไข้เลือดออกได้ และก็หากชุมชนสามารถช่วยกันกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายได้ก็จะมีผลให้ชุมดูนั้น ปราศจากจากโรคไข้เลือดออกได้
  • แนวทางการรักษาโรคไข้เลือดออก การวิเคราะห์โรคไข้เลือดออก แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกได้จากอาการทางคลินิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการไข้สูง 39-41 องศาเซลเซียส หน้าแดง เปลือกตาแดง อาจคลำได้ตับโต กดเจ็บ มีผื่นแดง หรือจุดแดงจ้ำเขียว โดยไม่มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ หรือเจ็บคอ ร่วมกับการมีประวัติโรคไข้เลือดออกของผู้ที่อาศัยอยู่บริเวณเดียวกัน หรือมีการระบาดของโรคในตอนนั้นๆแล้วก็การทดลองทูร์นิเคต์ได้ผลบวก ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการวิเคราะห์โรคนี้ได้ นอกจากนั้น การส่งไปตรวจเลือด ซีบีซี (CBC) จะตรวจเจอเกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวค่อนข้างต่ำรวมทั้งความเข้มข้นของเลือดสูง เพียงเท่านี้ก็สามารถวินิจฉัยโรคได้เป็นส่วนมากแล้ว แม้กระนั้นในบางราย แม้อาการ ผลของการตรวจร่างกาย แล้วก็ผลเลือดในเบื้องต้นยังไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ ในตอนนี้ก็มีวิธีการส่งเลือดไปตรวจหาภูมิต้านทานขัดขวางต่อเชื้อไวรัสเดงกี ซึ่งจะช่วยทำให้การวิเคราะห์โรคนี้ได้อย่างแม่นยำเยอะขึ้น

เนื่องจากว่ายังไม่มีการพัฒนายาฆ่าเชื้อเชื้อไวรัสเดงกี่การดูแลและรักษาโรคนี้ ก็เลยเป็นการรักษาตามอาการเป็นหลัก กล่าวคือ มีการใช้ยาลดไข้ เช็ดตัว แล้วก็การปกป้องคุ้มครองสภาวะช็อก ยาลดไข้ที่ใช้มีเพียงแค่ประเภทเดียว คือ ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ขนาดยาที่ใช้ในคนแก่คือ พาราเซตามอลแบบเป็นเม็ดละ500มิลลิกรัมรับประทานครั้งละ1-2เม็ด ทุก 4 - 6 ชั่วโมง โดยไม่ควรกินเกินวันละ 8 เม็ด (4 กรัม) ส่วนปริมาณยาที่ใช้ในเด็กคือ พาราเซตามอลแบบเป็นน้ำ 10-15มิลลิกรัมต่อ น้ำหนักตัว 1 โลต่อครั้ง ทุก 4 - 6 ชั่วโมง โดยไม่สมควรรับประทาน เกินวันละ5ครั้ง หรือ2.6กรัม สินค้าพาราเซตามอลชนิดน้ำสำหรับเด็กมีจำหน่ายในหลายความแรงเช่น 120 มิลลิกรัมต่อ 1 ช้อนชา (1 ช้อนชา พอๆกับ 5 มล.), 250 มก.ต่อ 1 ช้อนชา, และ 60 มิลลิกรัมต่อ 0.6 มิลลิลิตร ส่วนใหญ่เป็นยาน้ำเชื่อมที่จำต้องรินใส่ช้อนเพื่อป้อนเด็ก ในกรณีเด็กทารก การป้อนยาทำเป็นค่อนข้างยากก็เลยมีผลิตภัณฑ์ยาที่ทำขายโดยบรรจุในขวดพร้อมหลอดหยด เวลาใช้ก็เพียงใช้หลอดหยดดูดยาออกจากขวดแล้วก็นำไปป้อนเด็กได้เลย ด้วยสาเหตุอันเกิดจากที่สินค้าพาราเซตามอลรูปแบบน้ำสำหรับเด็กมีหลายความแรง จำเป็นจะต้องอ่านฉลากแล้วก็การใช้ให้ดีก่อนนำไปป้อนเด็ก กล่าวคือ ถ้าเด็กหนัก 10 โล รวมทั้งมียาน้ำความแรง 120 มก.ต่อ 1 ช้อนชา ก็ควรจะป้อนยาเด็กครั้งละ 1 ช้อนชาหรือ 5 มิลลิลิตร และป้อนซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมงแม้กระนั้นไม่สมควรป้อนยาเกินวันละ 5 ครั้ง ถ้าหากว่าไม่มีไข้ก็สามารถหยุดยาได้ทันที ยาพาราเซตามอลนี้เป็นยารับประทาน ตามอาการ ด้วยเหตุนี้ถ้าเกิดว่าไม่มีไข้ก็สามารถหยุดยาได้ในทันทีส่วนยา แอสไพรินแล้วก็ไอบูโปรเฟนเป็นยาลดไข้ด้วยเหมือนกัน แต่ยาทั้งสองแบบนี้ ห้ามนำมาใช้ในโรคไข้เลือดออก เนื่องจากว่าจะยิ่งผลักดันการเกิดภาวะ เลือดออกเปลี่ยนไปจากปกติกระทั่งอาจเกิดอันตรายต่อคนป่วยได้ ในส่วนการปกป้องภาวะช็อกนั้น กระทำได้โดยการทดแทนน้ำ ให้ร่างกายเพื่อไม่ให้ปริมาตรเลือดลดลดลงกระทั่งทำให้ความดันโลหิตตก แพทย์จะใคร่ครวญให้สารน้ำตามความร้ายแรงของอาการ โดยอาจให้ คนเจ็บดื่มเพียงแค่สารละลายเกลือแร่ โออาร์เอส หรือคนไข้บางราย บางทีอาจได้รับน้ำเกลือเข้าทางหลอดเลือดดำ  ในกรณีที่คนเจ็บเกิดภาวะเลือด ออกผิดปกติกระทั่งเกิดภาวะเสียเลือดอาจจำต้องได้รับเลือดเพิ่มเติมอีก แม้กระนั้น จะต้องเฝ้าระวังสภาวะช็อกตามที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น เนื่องจากว่าภาวการณ์นี้มีความอันตรายต่อชีวิตของคนไข้อย่างยิ่ง

  • การติดต่อของโรคไข้เลือดออก การติดต่อของโรคไข้เลือดออก โรคไข้เลือดออก มักติดต่อจากคนไปสู่คน ซึ่งมียุงลายตัวเมีย (Aedes aegypt)  เป็นตัวพาหะที่สำคัญ โดยยุงตัวเมียจะกัดและดูดเลือดของผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสเดงกี แล้วต่อจากนั้นเชื้อจะเข้าไปฟักตัวและก็เพิ่มในตัวยุงลาย ทำให้มีเชื้อไวรัสอยู่ในตัวของยุงตลอดระยะเวลาอายุขัยของมันโดยประมาณ 1 - 2 เดือน แล้วถ่ายทอดเชื้อไปสู่คนที่ถูกกัดได้ในรัศมี 100 เมตร ยุงลายเป็นยุงที่อาศัยอยู่ในรอบๆบ้าน มักออกกัดกลางวัน มีแหล่งเพาะพันธุ์เป็นน้ำนิ่งที่ขังอยู่ในภาชนะเก็บน้ำต่างๆอาทิเช่น ตุ่ม แจกันดอกไม้ ถ้วยรองขาตู้ จาน จานชาม กระป๋อง หม้อ ยางรถยนต์ หรือกระถาง เป็นต้น  โรคไข้เลือดออก พบส่วนมากในช่วงฤดูฝน เนื่องจากว่าในฤดูนี้เด็กๆชอบอยู่กับบ้านมากยิ่งกว่าฤดูอื่นๆทั้งยุงลายยังมีการขยายพันธุ์มากมายในช่วงฤดูฝน ซึ่งในเมืองใหญ่ๆที่มีประชากรหนาแน่น รวมทั้งมีปัญหาทางด้านกายภาพเกี่ยวกับขยะ อย่าง กรุงเทพฯ อาจเจอโรคไข้เลือดออกนี้ได้ตลอดทั้งปี


ทราบได้เช่นไรว่าพวกเราจับไข้เลือดออก ข้อคิดเห็นบางประการที่บางครั้งอาจจะช่วยให้สงสัยว่าอาจจะจับไข้เลือดออก เป็นต้นว่า  เป็นไข้สูง เหน็ดเหนื่อยเป็นเกิน 2 วัน  ถ้ามีปวดหัวมากมายหรือคลื่นไส้มากร่วมด้วย  หลังเป็นไข้ 2 ถึง 7 วัน แล้วไข้ต่ำลงเอง เมื่อไข้ลดแล้วมีลักษณะอาการเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งบางครั้งก็อาจจะเจ็บป่วยเลือดออกได้ ปวดศีรษะมากมาย อ่อนล้ามาก คลื่นไส้มากมาย รับประทานอาหารไม่ได้ ปวดท้อง มีจ้ำเลือดเล็กๆบริเวณแขน ขา หรือลำตัว มีเลือดออกตามอวัยวะได้แก่ เลือดกำเดา ถ่ายเป็นเลือด เมนส์มาก่อนกำทีด ฯลฯ

  • การกระทำตนเมื่อเป็นไข้เลือดออก ในระยะ 2 - 3 วันแรกของการจับไข้หากยังทานอาหารแล้วก็ดื่มน้ำได้ ไม่คลื่นไส้ ไม่เจ็บท้อง ไม่มีจ้ำเลือดขึ้นและก็ยังไม่มีอาการเลือดออกหรือสภาวะช็อกเกิดขึ้น ควรปฏิบัติดังนี้ ให้คนไข้พักมากๆหากเป็นไข้สูงให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเป็นประจำและก็ให้ยาลดไข้พาราเซตามอล ผู้ใหญ่รับประทาน 1-2 เม็ด เด็กโต ½ - 1 เม็ด เด็กตัวเล็กๆใช้รูปแบบน้ำเชื่อม 1- 2 ช้อนชา ถ้าหากยังมีไข้รับประทานซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมง ห้ามให้ยาแอสไพริน โดยเด็ดขาด เพราะเหตุว่าอาจจะเป็นผลให้มีเลือดออกได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น ถ้าหากเป็นผู้เจ็บป่วยเด็กรวมทั้งเคยชัก ควรให้รับประทานยากันชักไว้ก่อน รับประทานอาหารอ่อนๆเช่น ข้าวต้ม โจ๊ก และดื่มน้ำมากๆเฝ้าดูอาการคนเจ็บอย่างใกล้ชิด หมั่นกินน้ำ หรือเกลือแร โออาร์เอส ให้มากมายๆเพื่อคุ้มครองการช็อกจากการขาดน้ำ และถ้าหากมีลักษณะดังนี้ควรจะไปพบแพทย์โดยด่วน  ซึมลงอย่างเร็ว เมื่อยล้าอย่างมาก มีจ้ำเลือดตามร่างกายมากมาย อาเจียนมากมาย รับประทานอาหารและก็กินน้ำมิได้ มีเลือดออกตามร่างกายตัวอย่างเช่น เลือดกำเดา อาเจียนเป็นเลือดถ่ายอุจจาระเป็นเลือด หรือเลือดออก ช่องคลอด เจ็บท้องมาก
  • การปกป้องตัวเองจากโรคไข้เลือดออก แม้ว่าในขณะนี้เริ่มจะมีการพัฒนาวัคซีนคุ้มครองการต่อว่าดเชื้อไวรัสเดงกี่ แต่ก็ยังไม่มียาซึ่งสามารถฆ่าเชื้อเชื้อไวรัสเดงกี่ได้ โดยเหตุนี้คำตอบที่ดีเยี่ยมที่สุดของโรคไข้เลือดออกในขณะนี้ คือ การปกป้องคุ้มครองไม่ให้เป็นโรคโดยการควบคุมยุงลายให้มีจำนวนน้อยลงซึ่งทำเป็นโดยการควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายและการกำจัดยุงลายลูกน้ำรวมทั้งตัวสมบูรณ์เต็มวัย และก็คุ้มครองไม่ให้ยุงลายกัด ทั้งนี้การปกป้องทำเป็น 3 ลักษณะ คือ


การคุ้มครองป้องกันทางกายภาพ อย่างเช่น ปิดภาชนะเก็บน้ำด้วยฝาปิด อาทิเช่น มีผาปิดปากตุ่ม ตุ่มน้ำ ถังเก็บน้ำ หรือถ้าเกิดไม่มีฝาปิด ก็วางคว่ำลงแม้ยังไม่ต้องการที่จะอยากใช้ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้กลายเป็นที่ออกไข่ของยุงลาย เปลี่ยนน้ำในแจกันดอกไม้สดเป็นประจำอย่างน้อยทุกๆ7 วัน ปล่อยปลารับประทานลูกน้ำลงในภาชนะเก็บน้ำ ยกตัวอย่างเช่น โอ่ง ตุ่ม ภาชนะละ 2-4 ตัว รวมทั้งอ่างบัวแล้วก็ตู้สำหรับเลี้ยงปลาก็ควรมีปลารับประทานลูกน้ำเพื่อรอควบคุมปริมาณลูกน้ำยุงลายเช่นกัน ใส่เกลือลงน้ำในจานสำหรับเพื่อรองขาตู้อาหาร เพื่อควบคุมรวมทั้งกำจัดลูกน้ำยุงลาย โดยใส่เกลือ 2 ช้อนชา ต่อความจุ 250 มิลลิลิตร พบว่าสามารถควบคุมลูกน้ำได้นานกว่า 7 วัน
การปกป้องทางเคมี เป็นต้นว่า เพิ่มเติมทรายทีมีฟอส ซึ่งเป็นสารเคมีที่องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ใช้และรับรองความปลอดภัย เหมาะสมกับภาชนะที่ไม่สามารถที่จะใส่ปลารับประทานลูกน้ำได้  การพ่นสารเคมีหรือยากันยุงเพื่อกำจัดยุงตัวเต็มวัย มีจุดแข็งก็คือ ประสิทธิภาพสูง แต่ว่าจุดอ่อนคือ ราคาแพงแพง และเป็นพิษต่อคนและก็สัตว์เลี้ยง จึงจะต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญสำหรับการฉีดพ่นและก็ฉีดเฉพาะเมื่อจำเป็นจะต้องเท่านั้น เพื่อคุ้มครองปกป้องความเป็นพิษต่อคนและก็สัตว์เลี้ยง ควรจะเลือกฉีดในตอนที่มีคนอยู่น้อยที่สุดและฉีดพ่นลงในแหล่งที่คาดว่าเป็นแหล่งเกาะพักของ อย่างเช่น ท่อสำหรับเพื่อระบายน้ำ ฯลฯ การใช้สารเคมีเพื่อกำจัดยุงในบ้านเรือน ที่ใช้กันมี 2 จำพวก คือ ยาจุดกันยุง แล้วก็สเปรย์ฉีดไล่ยุง ขึ้นรถออกฤทธิ์อาจเป็นยาในกรุ๊ปไพรีทรอยด์ (Pyrethroids), ดีท (DEET, diethyltoluamide) เป็นต้น ครั้งก่อนมียาฆ่ายุงด้วย มีชื่อว่า สารฆ่าแมลงดีดีที แต่สารนี้ถูกยกเลิกการใช้ไปแล้วด้วยเหตุว่าเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิตและหลงเหลือในสภาพแวดล้อมเป็นเวลานานมากมาย แต่ สารเคมีไม่ว่าจากยาจุดกันยุงหรือสเปรย์ฉีดไล่ยุง ก็มีความเป็นพิษต่อคนแล้วก็สัตว์ ด้วยเหตุนั้นเพื่อลดความเป็นพิษดังที่กล่าวมาข้างต้นควรจุดยากันยุงในรอบๆที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ล้างมือทุกครั้งภายหลังสัมผัส ส่วนยาฉีดไล่ยุงจะมีความเป็นพิษมากกว่า โดยเหตุนี้ห้ามฉีดลงบนผิวหนัง แล้วก็ควรปฏิบัติตามวิธีการใช้ที่กำหนดข้างกระป๋องอย่างเคร่งครัด
การกระทำตัว เช่น นอนในมุ้ง หรือนอนในห้องที่มีมุ้งลวดเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด โดยต้องปฏิบัติแบบเดียวกันตอนกลางวันแล้วก็ตอนกลางคืน ถ้าเกิดไม่อาจจะนอนในมุ้งหรือนอนในห้องที่มีมุ้งลวดได้ ควรที่จะใช้ยากันยุงจำพวกทาผิวซึ่งมีสารสำคัญที่สกัดจากธรรมชาติ ยกตัวอย่างเช่น น้ำมันตะไคร้หอม (oil of citronella), น้ำมันยูคาลิปตัส (oil of eucalyptus) ซึ่งมีความปลอดภัยสูงขึ้นยิ่งกว่ามาทาหรือหยดใส่ผิวหนังใช้เป็นยากันยุง แต่ว่าคุณภาพจะต่ำลงยิ่งกว่า DEET

  • สมุนไพรชนิดไหนที่ช่วยรักษาป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ โดยจากการศึกษาเล่าเรียนข้อมูล พบว่า สามารำใช้ใบมะละกอสดมาคันน้ำกินควบคู่กับการดูแลและรักษาแผนปัจจุบัน จะทำให้เกล็ดเลือดของผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกมากขึ้นได้ภายใน 24 – 48 ชม. ช่วยลดอัตราการตายลงได้ มีงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยรอบรับในหลายประเทศ มีการทดลองในคนใช้แล้วเห็นผล ตัวอย่างเช่น อินเดีย ประเทศปากีสถาน มาเลเซีย นอกนั้นยังมีการจดสิทธิบัตรน้ำใบมะละกอในต่างแดนด้วย ไม่ได้ใช้เฉพาะผู้เจ็บป่วยเกล็ดเลือดต่ำจากไข้เลือดออกเพียงอย่างเดียว แต่ว่าใช้ในกรณีอื่นด้วย กรรมวิธีการรักษาโรคไข้เลือดออกด้วยใบมะละกอสด คือ ใช้ใบมะละกอสดจำพวกใดก็ได้ราว 50 กรัม จากต้นมะละกอ แล้วล้างให้สะอาด รวมทั้งทำบทให้ละเอียด ไม่ต้องเพิ่มน้ำ กรองเอากากออก กินน้ำใบมะละกอสดแยกกาก วันละ ครั้งแก้ว หรือ 30 ซีซี ต่อเนื่องกัน 3 วัน โดยวิธีนี้มีการวิจัยมาแล้วว่าปลอดภัย


สมุนไพรซึ่งสามารถไล่ยุงได้ ตะไคร้หอม ช่วยสำหรับในการไล่ยุงเพราะเหตุว่ากลิ่นฉุนๆของมันไม่เป็นมิตรกับยุงร้าย ในตอนนี้มีการทำออกมาในรูปของสารสกัดชนิดต่างๆไว้สำหรับคุ้มครองป้องกันยุงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง แต่ถ้าอยากให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีสุดๆควรใช้ตะไคร้หอมไล่ยุงชนิดที่สกัดน้ำมันเพียวๆจากต้นตะไคร้หอมจะเยี่ยมที่สุด เว้นเสียแต่กลิ่นจะช่วยขับไสยุงแล้ว ยังช่วยไล่แมลงอื่นๆได้อีกด้วยล่ะ เปลือกส้ม ยังมีคุณประโยชน์เป็นสมุนไพรไล่ยุงได้อีกด้วย กรรมวิธีการไล่ยุงด้วยเปลือกส้มนั้น เพียงแต่ใช้เปลือกส้มที่แกะออกจากผลส้มแล้วมาผึ่งจนแห้ง ต่อจากนั้นนำมาเผาไฟ ควันที่เกิดขึ้นและน้ำมันหอมระเหยที่อยู่ในเปลือกส้มมีสรรพคุณเป็นอย่างดีสำหรับเพื่อการไล่ยุง  มะกรูด นับได้ว่าเป็นสมุนไพรที่มากมายไปด้วยผลดี และก็ยังสามารถเอามาเป็นสมุนไพรไล่ยุงได้อย่างดีเยี่ยม แนวทางการคือ นำผิวมะกรูดสดมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆมาตำกับน้ำเท่าตัวจนแหลกละเอียด หลังจากนั้นให้กรองเอาเฉพาะน้ำ สามารถเอามาทาผิวหรือใส่กระบอกสำหรับฉีดเพื่อฉีดตามจุดต่างๆของบ้านได้ โหระพา กลิ่นหอมแรงของโหระพายังเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัวที่ช่วยสำหรับในการไล่ยุงและแมลง ทำให้มันไม่สามารถที่จะคงทนกับกลิ่นแรงของโหระพาได้ สะระแหน่ นับว่าเป็นอีกหนึ่งสมุนไพรที่ให้กลิ่นหอมหวน แต่กลิ่นหอมสดชื่นๆของมันไม่ค่อยถูกกันกับยุงนัก กรรมวิธีไล่ยุงแค่เพียงนำใบสะระแหน่มาบดขยี้ให้กลิ่นออกมา ต่อจากนั้นนำไปวางตามจุดต่างๆที่มียุงจำนวนมากหรือสามารถนำใบสะระแหน่มาบดแล้วทาลงบนผิวหนังจะก่อให้ผิวหนังกระชุ่มกระชวยและยังช่วยกันยุงได้อีกด้วย
เอกสารอ้างอิง

  • กลุ่มโรคไข้เลือดออก สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. คู่มือการประเมินผลตามตัวชิ้วัดงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกระดับจังหวัด ปี 2553. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร: 2543.1-12.
  • (ภกญ.วิภารักษ์ บุญมาก).”โรคไข้เลือดออก”ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • สิวิกา แสงธาราทิพย์ ศิริชัย พรรณธนะ(2543).โรคไข้เลือดออก.(พิมพ์ครั้งที่2).พิมพ์ที่บริษัท เรดิเอชั่น จำกัด สำนักงานควบคุมโรคไข้เลือดออก กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข http://www.disthai.com/
  • สำนักพัฒนาวิชาการแพทย์ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการวินิจฉัยและรักษาไข้เลือดออกในระดับโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด; 2548.8-33.
  • แนวทางการวินิจฉัยและรักษาโรคไข้เลือดออกเดงกี กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวจสาธารณสุข.(2544).กระทรวจสาธารณสุข
  • Sunthornsaj N, Fun LW, Evangelista LF, et al. MIMS Thailand. 105th ed. Bangkok: TIMS Thailand Ltd; 2006.118-33.
  • นพ.สมชาญ เจียรนัยศิลป์.ไข้เลือดออก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่267.คอลัมน์โรคน่ารู้.กรกฎาคม.2544
  • คู่มือวิชาการโรคติดเชื้อเดงกีและโรคไข้เลือดออกเดงกีด้านการแพทย์และสาธารณสุข.สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลงกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข.2558
  • กันยา ห่านณรงค์.โรคไข้เลือดออก.จดหมายข่าว R&D NEWSLETTER.ปีที่23.ฉบับที่1 ประจำเดือนมกราคม-มีนาคม2559.หน้า 14-16
  • รักษา”ไข้เลือดออก”แนวใหม่ใช้ใบมะละกอคั้นน้ำกินเพิ่มเกล็ดเลือด.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://www.dailinews.co.th*politics/232509
  • World Health Organization Regional Office for South-East Asia. Guidelines for treatment of Dengue Fever/Dengue Hemorrhagic Fever in Small Hospitals,1999:28. Available from: http://www.searo.who.int/linkfiles/dengue_guideline-dengue.pdf Accessed May 10, 2012.
  • (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.”ไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever/DHF)” หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.
  • สถานการณ์โรคไข้เลือดออก พ.ศ.2554.กลุ่มโรคไข้เลือดออก สำนักงานโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทร

29

โรคปอดอักเสบ / ปอดบวม (Pneumonia)

  • โรคปอดอักเสบ / ปอดอักเสบ เป็นยังไง ปอด (Lung) เป็นอวัยวะในระบบการหายใจที่อยู่ด้านในหน้าอกทั้ง 2 ข้าง มีลักษณะเป็นเนื้อหยุ่นๆมีสีออกชมพูมีบทบาทเปลี่ยนก๊าสจากอากาศที่เราหายใจเข้าไป คือ ในตอนที่เราหายใจเข้าปอดจะปฏิบัติภารกิจนำแก๊สออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงร่างกายและก็ในขณะเดียวกันปอดก็จะขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ออกมากับลมหายใจ ธรรมดาเนื้อปอดนี้จะเป็นอวัยวะที่ปราศจากเชื้อโรค เมื่อมีเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมอื่นๆเข้าไปถึงเนื้อปอด จะนำมาซึ่งการทำให้การอักเสบแล้วก็มีการบวมเกิดขึ้น ซึ่งโรคปอดอักเสบ (Pneumonitis – นิวโมนิว่ากล่าวส) เป็นคำทั่วไปจุดหมายถึงการอักเสบของเนื้อเยื่อปอด ในระหว่างที่ปอดอักเสบ (Pneumonia – นิวโมเนีย) เป็นจำพวกของการต่อว่าดเชื้อที่ทำให้มีการเกิดการอักเสบของปอด โรคปอดอักเสบรวมทั้งปอดอักเสบก็เลยสื่อความหมายคล้ายกันมากกระทั่งใช้เรียกแทนกันได้ แต่ในตอนนี้นิยมเรียกโรคปอดอักเสบมากกว่าเนื่องจากว่ามีความหมายตรงกว่า โรคปอดอักเสบ (Pneumonia) เป็นโรคติดเชื้อโรคในระบบทางเท้าหายใจ ซึ่งระยะฟักตัวขึ้นกับเชื้อที่ก่อโรคโดยบางทีอาจใช้เวลาฟักตัว 1-3 วัน หรือบางครั้งอาจจะนาน 1-4 อาทิตย์ เลยทีเดียว ซึ่งจะทำให้กำเนิด การอักเสบของเนื้อปอด*ซึ่งประกอบไปด้วยถุงลมปอดรวมทั้งเยื่อรอบๆทำให้ปอดปฏิบัติหน้าที่ได้น้อยลง และก็เกิดอาการหายใจหอบเมื่อยล้า หายใจลำบาก ซึ่งจัดเป็นภาวะรุนแรงทำให้ผู้ป่วยอาจมีอาการร้ายแรงจนกระทั่งขั้นเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็กตัวเล็กๆ คนชรา ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่อต้านโรคต่ำ เป็นต้น
  • ที่มาของโรคปอดอักเสบ/ปอดบวม ปอดอักเสบมีต้นเหตุมาจากหลายสาเหตุ แต่ที่มักพบหมายถึงการตำหนิดเชื้อ ยกตัวอย่างเช่น เชื้อไวรัส แบคทีเรีย โปโตซัว หรือ เชื้อวัณโรค อย่างเช่น การต่อว่าดเชื้อแบคทีเรีย ชนิดหนึ่งที่เป็นต้นเหตุของปอดอักเสบที่พบมากที่สุดในคนทุกวัย ดังเช่นว่า เชื้อปอดอักเสบ ที่มีชื่อว่า “สเตรปโตค็อกคัส นิวโมเนียอี (Streptococcus pheumoniae) หรือมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า “นิวโมค็อกคัส” (Pneumococcus) ซึ่งเป็นเชื้อที่นำมาซึ่งอาการปอดอักเสบรุนแรงและก็ร้ายแรง โดยแต่ละคนมีการ ติดเชื้อโรคยากง่ายต่างกัน ถ้าหาก เป็นคนที่มีภูมิคุ้มกันร่างกายบกพร่อง ติดเชื้อโรคภูมิคุมกันบกพร่อง ได้ยากดภูมิคุ้มกันก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการต่อว่าดเชื้อได้ง่ายยิ่งกว่าคนธรรมดาทั่วไป เช่นเดียวกับผู้สูงวัยสุขภาพไม่ดีเสมือนวัยรุ่น ถ้าติดเชื้อตัวเดียวกัน คนชราอาจมีอาการร้ายแรงกว่า นอกจากนั้นคนวัยชราอาจเป็นโรคอันอื่นร่วมด้วย ได้แก่ เบาหวาน ความดันเลือดสูง โรคหัวใจ หากมีภาวการณ์เหล่านี้ เพียงพอมีปอดอักเสบร่างกายก็จะทรุดเร็วภาวะแทรกซ้อนก็เกิดได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ขาดออกซิเจนได้ง่ายขึ้น
  • อาการของโรคปอดอักเสบ/ปอดอักเสบ ลักษณะโรคปอดอักเสบ/ปอดอักเสบ ผู้ป่วยจะมีลักษณะอาการไอ มักมีเสมหะ มีไข้ เจ็บอก อ่อนล้าง่าย อาการไข้ มักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน หรือมีไข้ตัวร้อนตลอดเวลา อาการไอ ในระยะแรกอาจมีอาการไอแห้งๆไม่มีเสมหะ แล้วถัดมาจะมีเสมหะขาวหรือขุ่นข้นออกเป็นสีเหลือง สีเขียว หรือบางรายอาจะเป็นสีสนิมเหล็กหรือมีเลือดคละเคล้า ลักษณะของการเจ็บทรวงอก บางรายอาจมีลักษณะการเจ็บอก แบบเจ็บแปลบเวลาหายใจเข้าหรือตอนที่ไอแรงๆตรงจุดที่มีการอักเสบของปอด ซึ่งบางโอกาสอาจเจ็บปวดรวดร้าวไปที่ศีรษะไหล่ สีข้าง หรือท้อง แล้วต่อมาจะมีอาการหายใจหอบเร็ว อาการหอบเมื่อยล้าคนไข้มักมีลักษณะหอบเหน็ดเหนื่อย หายใจเร็ว หากเป็นมากอาจมีอาการปากเขียว ตัวเขียว ส่วนในรายที่เป็นไม่มากอาจไม่มีอาการหอบอ่อนเพลียชัดเจน อาการพวกนี้อาจมีไม่ครบทุกๆอย่าง โดยเฉพาะในผู้ป่วยเด็กตัวเล็กๆๆผู้สูงอายุ คนเจ็บพิกลพิการทุพพลภาพที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองแล้วก็ติดต่อสื่อสารได้จำกัด ควรสนใจและสงสัยมากยิ่งกว่าธรรมดา เพราะว่าอาการบางทีอาจคลุมเครือ อาทิเช่น ในคนวัยแก่ อาจจะมีเพียงแค่จับไข้ หรือตัวอุ่นๆและก็ซึมลงเท่า นั้น บางทีก็อาจจะไอเพียงนิดหน่อย หรือบางทีก็อาจจะไม่ไอให้มองเห็นก็ได้ เนื่องมาจากมีความจำกัดสำหรับการเขยื้อน ไหว รวมทั้ง/หรือกล้ามไม่มีแรงพอที่จะไอได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนอาการแทรกฝึกที่อาจเกิดขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่น กำเนิดฝีในปอด หรือเกิดโรคหนองในเยื่อหุ้มห่อปอด โดยแม้เป็นไม่มากมายก็ใช้วิธีใส่ท่อระบายหนองออก หากเป็นมากอาจถึงขั้นต้องผ่าตัดเพื่อเอาหนองออก เจาะเยื่อหุ้มปอดออก เวลาที่ผู้เจ็บป่วยบางรายอาจมีอาการไอเป็นเลือด ถุงลมรั่ว แต่ว่าพบได้น้อย
  • ปัจจัยเสี่ยงที่จะกำเนิดโรคปอดอักเสบ/ปอดบวม อาทิเช่น
  • อายุ ในเด็กตัวเล็กๆๆและก็ในผู้สูงอายุ เพราะร่างกายมีความบกพร่องในการคุ้มครองป้องกันและกำจัดเชื้อโรค
  • การดื่มสุรา ดูดบุหรี่ รวมทั้ง/หรือรับประทานยาบางจำพวก ยกตัวอย่างเช่น ยากดภูมิต้านทาน ยารักษาโรคมะ เร็ง (ยาเคมีบำบัดรักษา) ซึ่งจะมีผลเสียต่อระบบภูมิคุ้มกันต่อต้านโรค แล้วก็การกำจัดเชื้อโรค
  • การมีโรคประจำตัวบางสิ่งยกตัวอย่างเช่น โรคถุงลมโป่งพอง โรคมะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ  โรคไตเรื้อรัง ฯลฯ
  • การไม่รักษาสุขภาพรวมทั้งอนามัย ตัวอย่างเช่น การได้รับอาหารน้อย สุขภาพเสื่อมโทรม พักอาศัยในสถานที่ที่ไม่มีการถ่ายเทอากาศที่ดีพอเพียง ในที่ที่มีมลภาวะที่ต้องหายใจแล้วก็สูดมลพิษเข้าไปในปอด
  • กรรมวิธีการรักษาโรคปอดอักเสบ/ปวดบวม การตรวจหาเชื้อสิ่งที่ทำให้เกิดโรคปอดอักเสบจำเป็นต้องใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการแล้วก็จำต้องใช้เวลาสำหรับเพื่อการตรวจทางห้องทดลอง ซึ่งประกอบด้วย
  • การตรวจ เพื่อวินิจฉัยโรคปอดบวม
  • การตรวจเพื่อประเมิน site of care,
  • การตรวจเพื่อหาเชื้อมูลเหตุ,
  • การตรวจเพื่อ ประเมินโรคประจำตัวของคนไข้, รวมทั้ง
  • การตรวจเพื่อหา ภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น

ส่วนในด้านการลดอัตราการเสียชีวิต ของผู้ป่วยโรคปอดอักเสบ สิ่งที่จำเป็นที่สุดหมายถึงการให้ยา ยาปฏิชีวนะที่สมควรรวมทั้งให้อย่างรวดเร็วข้างใน 4 ถึง 6 ชั่วโมง ภายหลังจากให้การวินิจฉัยแล้วก็ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งขั้นตอนการเลือกใช้ยาปฏิชีวนะ จะตรึกตรองตาม site of care เพราะว่ามีข้อมูลทางระบาดวิทยาว่า เจอเชื้อสาเหตุอะไรได้บ่อยในคนป่วยแต่ละกลุ่ม ซึ่งข้อมูลเชื้อก่อโรคในประเทศไทย จะดังทางประเทศอเมริกา ซึ่งกรรมวิธีรักษาปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย ประกอบด้วย การให้ยาปฏิชีวนะชนิดกิน อย่างเช่น เพนิซิลลินวี (Penicillin V.) อะม็อกซีซิลลิน (Amoxicillin) หรืออิริโทรมัยซิน (Erythromycin) เป็นต้น (สำหรับกลุ่มวัยรุ่นแล้วก็วัยเอ๊าะๆ ควรที่จะใช้ยาอิริดทรมัยซิน เพื่อครอบคลุมเชื้อไมโคพลาสมานิวโมเนียอี และก็เชื้อคลามัยเดีย นิวโมเนียอี) หรืออาจให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดแบบผู้ป่วยใน การดูแลรักษาทะนุถนอมตามอาการปกติยกตัวอย่างเช่น การให้ยาลดไข้ การให้สารน้ำทางหลอดเลือด การให้ออกสิเจน การให้อาการเหลวทางสายให้อาหารลงกระเพาะอาหารในรายที่รับประทานอาหารเองน้อยเกินไป อื่นๆอีกมากมาย

  • การติดต่อของโรคปอดอักเสบ/ปอดบวม ระยะติดต่อ สามารถกระจายเชื้อได้ตลอดระยะเวลาที่เป็นโรคตราบจนกระทั่งเสลดจากปากและก็จมูกจะมีเชื้อไม่รุนแรงแล้วก็มีจำนวนไม่มากพอ ส่วนเด็กที่เป็นพาหะของเชื้อโดยไม่ออกอาการซึ่งพบได้ในสถานที่เลี้ยงเด็กก่อนวัยศึกษาก็สามารถแพร่ระบาดได้เหมือนกัน  โดยเชื้อโรคและก็สารก่อโรคสามารถไปสู่ปอดได้โดยทางใดทางหนึ่ง ดังต่อไปนี้  การหายใจนำเชื้อไปสู่ปอดโดยตรง โดยการดมเอาเชื้อโรคที่แพร่ขยายอยู่ในอากาศในรูปละออกฝอยขนาดเล็ก (จาการไอหรือจามใส่) หรือเชื้อที่อยู่ปกติวิสัย (Normal flora) ในโพรงปากและก็คอหอยลงไปในปอด ดังเช่นว่า สเตรปโตค็อกคัส นิวโมเนียอี (Streptococcus pneumonia)  ฮีสูดดมฟิลัส อินฟลูเอนเซ (Haemophilus influenzae) กลุ่มแบคทีเรียที่ไม่พึ่งออกสิเจน – แอนแอโรบส์ (Anaerobes) การสำลัก เป็นกรณีครั้งมีเหตุมาจากการสำลักเอาน้ำรวมทั้งสิ่งปนเปื้อน (ในผู้ป่วยจมน้ำ) น้ำย่อยในผู้เจ็บป่วยโรคกรดไหลย้อน สารเคมี (ตัวอย่างเช่น น้ำมันก๊าด เบนซิน) หรือเศษอาหารเข้าไปในปอด ซึ่งพบบ่อยได้ในเด็กเล็ก คนชรา คนป่วยอัมพาต ลมชัก หมดสติ หรือผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์จัด ก็เลยทำให้ปอดอักเสบจากการระคายเคืองของสารเคมีหรือการติดเชื้อ เรียกว่า “ปอดอักเสบจากการสำลัก” (Aspiration Pneumonia) ซึ่งการอักเสบนอกจากจะเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากสารระคายเคืองแล้ว ยงอาจมีสาเหตุมาจากเชื้อโรคที่มีอยู่ในโพรงปากรวมทั้งคอหอยที่ถูกสำลักลงไปในปอดด้วย (ปอดอักเสบที่เกิดขึ้นจากการสำลักมักเป็นที่ปอดข้างขวามากยิ่งกว่าข้างซ้ายเพราะว่าหลอดลมข้างขวาหักมุมน้อยกว่าข้างซ้าย)


ในปี พ.ศ.2558 (ค.ศ.2015) สำนักระบาดวิทยา ได้รับรายงานคนเจ็บโรคปอดอักเสบ 215,951ราย อัตราเจ็บไข้ 330.06 ต่อมวลชนแสนคน เสียชีวิต 486 ราย อัตราตาย 0.74 ต่อพลเมืองแสนคน และก็อัตราป่วยตายร้อยละ 0.23 จากข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 – 2558 (คริสต์ศักราช2006 – 2015) อัตราเจ็บไข้ มีลัษณะทิศทางสูงขึ้นโดยตลอด แต่อัตราเจ็บไข้ตายมีทิศทางลดน้อยลง โดยคนป่วยเป็นเพศชาย 117,531 ราย ผู้หญิง 98,420 ราย อัตราส่วนเพศหญิงต่อเพศชาย เท่ากับ 1 : 1.2 และก็กลุ่มอายุ 0 – 4 ปี มีอัตราเจ็บป่วยสูงสุด รองลงมา คือ กลุ่มวัย 65 ปีขึ้นไป ภาคตะวันออกเฉียงเหนืออัตราป่วยสูงสุด รองลงมา ได้แก่ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคกึ่งกลาง

  • การกระทำตนเมื่อเป็นโรคปอดอักเสบ/ปอดบวม วิธีดูกล้วยๆว่าตนเองเป็นโรคปอดอักเสบ/ปอดอักเสบหรือเปล่าเป็นเมื่อใดที่เกิดอาการอ่อนล้า รู้สึกเริ่มหายใจขัด ไม่ทั่วท้อง จะต้องฉุกคิดแล้ว หรือถ้ามีลักษณะอาการไข้ ไอ มีเสมหะ เหมือนเป็นหวัด เกิน 3 วันไปแล้วไข้ยังสูงอยู่ เพราะเหตุว่าโดยปกติคนเป็นหวัดธรรมดาไม่เกิน 3 วันไข้ก็ลดแล้ว แต่ว่าถ้าหากเกิน 3 วันไข้ยังสูง คิดว่าไม่ดีขึ้น แล้วก็มีลักษณะอาการอ่อนเพลียร่วมด้วย อยู่ในข่ายต้องสงสัยเป็นปอดอักเสบ ควรจะไปพบแพทย์เพื่อตรวจวิเคราะห์ อีกอาการหนึ่งที่ทำให้สงสัยว่ามีลักษณะอาการปอดอักเสบ คือ มีอาการเจ็บหน้าอกร่วมด้วย ซึ่งเรียกว่าเจ็บแบบเยื่อห่อหุ้มปอดอักเสบ คือ เจ็บตอนหายใจเข้าลึกๆแล้วก็เมื่อไปพบแพทย์แล้ว ปรากฏว่าแพทย์วิเคราะห์ว่ามีลักษณะอาการ ปอดบวมนิดหน่อย ที่แพทย์ตรึกตรองให้รักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ หรือกรณีที่เป็นปอดอักเสบเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแล้ว และแพทย์ใคร่ครวญให้กลับบ้านเพื่อรักษา และก็พักฟื้นต่อที่บ้าน ควรปฏิบัติตนดังนี้ ควรกินยาต่อตามแพทย์สั่งอย่างถูกต้อง ครบถ้วน โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะ ซึ่งไม่สมควรหยุดยาเอง กินอาหารให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ด้วยเหตุว่าเป็นช่วงที่ร่างกายอยากพลังงานสำหรับเพื่อการต่อสู้กับโรค รวมทั้งซ่อมร่างกายให้ฟื้น ควรที่จะเอาใจใส่สังเกตอาการแทรกซ้อนที่อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีเกิดขึ้น
  • การป้องดันตนเองจากโรคปอดอักเสบ/ปอดอักเสบ รักษาสุขภาพและก็อนามัยให้แข็งแรงบริบูรณ์อยู่เสมอยกตัวอย่างเช่น การทานอาหาร พักผ่อน ออกกำลังกาย ให้เหมาะสมกับภาวะรวมทั้งวัยของท่าน หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆอย่างเช่น การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา การใช้ยาเสพติด สภาวะทุพโภชนา ควันไฟ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ หรืออากาศที่หนาวเย็นการงดแล้วก็เลิก บุหรี่ เหล้า แล้วก็สารเสพติด การคุ้มครองการรับเชื้อโดยการปิดปากรวมทั้งจมูกเมื่อจำต้องสัมผัสคนไข้ที่ไอหรือจาม  และคนป่วยที่มีอาการไอหรือจาม ควรจะปกป้องการแพร่ขยายฝอยละอองไปยังคนอื่นๆ ด้วยการปิดปากและจมูกด้วยกระดาษหรือผ้าที่เอาไว้เช็ดหน้าหรือหน้ากากอนามัย คนที่มีสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง ได้แก่ คนชรา ผู้มีโรคประจำตัว ตัวอย่างเช่น โรคถุงลมโป่งพอง เบาหวาน โรคหัวใจ  ผู้ได้ยากดภูมิต้านทานต้านทานโรค ยกตัวอย่างเช่น ยารักษาโรคโรคมะเร็ง/ยาเคมีบำบัด


ฯลฯ ควรจะพินิจฉีดยาคุ้มครองโรคไข้หวัดใหญ่ หากมีโรคประจำตัว หรือเมื่อเป็นโรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ ฝึกฝน อีสุกอีใส เป็นต้น ควรรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ

  • สมุนไพรประเภทไหนซึ่งสามารถช่วยทุเลา/รักษาโรคปอดอักเสบ/ปอดอักเสบได้ ฟ้าทะลายโจร  รสขม เป็นยาครอบจักรวาล คุณประโยชน์รับประทานแก้อาการอักเสบต่างๆแก้ไข้ แก้หวัด แก้ปอดอักเสบ แก้ไอ แก้เจ็บคอ ไม่สมควรกินติดต่อนานเกินเจ็ดวัน ทำให้ตับเย็น  กระเทียม  เป็นยาบำรุงร่างกาย กินเป็นยาแก้อักเสบในอก ในปอด แก้เสมหะ กระเทียมเจ็ดกลีบตำอย่างรอบคอบ ลายน้ำผึ้งกินติดต่อกันเจ็ดวัน เพื่อขับเสมหะในระบบทางเท้าหายใจ แก้หืดหอบ แก้ไอให้เสลดแห้ง บำรุงปอด แก้ปอดพิการ แก้ปอดบวม แก้วัณโรคปอด แก้เสลด แก้น้ำลาบเหนียว แก้ริดสีดวงแตกหน่อ เหง้าขิง  รสเผ็ดมีนำมันหอมระเหยที่มีคุณประโยชน์ต่อหัวหัวใจ ปอด ไล่เสมหะ ไล่ลม ให้ความอบอุ่นยามที่หนาวชื้น กลิ่นหอมสดชื่นทำให้หายใจสบาย ดื่มน้ำขิงอุ่นๆผสมนมร้อนบำรุงร่างกายบำรุงปอด  ขมิ้น  เป็นสมุนไพรเบื้องต้นที่ใช้รักษาอาการอักเสบกับอวัยวะต่างๆมาหลายร้อยพันปี เป็นยาบำรุงปอด รักษาแผลอักเสบในปอด
เอกสารอ้างอิง

  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ “ปอดอักเสบ/ปอดบวม (Pneumonia)” หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป หน้า 441-445
  • “ปอดอักเสบ”เป็นไข้ ไอ มีเสมหะ เหนื่อยเจ็บหน้าอก.สถานีรามาแชนแนล ขับเคลื่อนสังคมไทยให้สุขภาพดี (ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://wed.mahidol.ac.th/ramanel/old/index.php/kniwforhealth-20140910-31
  • นพ.สุรเกียรติ อาชานุภาพ “โรคปอดอักเสบ ในโรคระบบการหายใจ” http://www.disthai.com/
  • การรักษาโรคปอดบวม.บทความฟื้นฟูวิชาการ.วารสารอายุรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.ปีที่ 1.ฉบับที่ 4.ตุลาคม-ธันวาคม 2558.หน้า 17-29
  • Mandell LA, Wunderink RG, Anzueto A, et al. Infectious Diseases Society of America/American Thoracic Society consensus guidelines on the management of community-acquired pneumonia in adults. Clin Infect Dis 2007; 44 Suppl 2: S27-72.
  • Watkins RR, Lemonovich TL. Diagnosis and management of community-acquired pneumonia in adults. Am Fam Physician 2011; 83: 1299-306.
  • Liapikou A, Torres A. Current treatment of community-acquired pneumonia. Expert Opin Pharmacother 2013; 14: 1319-32.
  • (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ) “ปอดอักเสบ” นิตยสารหมอชาวบ้าน คอลัมน์:สารานุกรมทันโรค เล่มที่306
  • Lim WS, Baudouin SV, George RC, et al. British Thoracic Society guidelines for the management of community acquired pneumonia in adults: update 2009. Thorax 2009; 64 (Suppl 3): iii1-55.
  • Managing CAP: An evidence – based algorithm. The Journal of Family Practice. 2007;56:722-726.
  • Reechaipichitkul W, Lulitanond V, Tantiwong P, Saelee R, Pisprasert V. Etiologies and treatment outcomes in patients hospitalized with community-acquired pneumonia (CAP) at Srinagarind Hospital, Khon Kaen, Thailand. Southeast Asian J Trop Med Public Health 2005; 36: 156-61.
  • Reechaipichitkul W, Lulitanond V, Sawanyawisuth, Lulitanond A, Limpawattana P. Etiologies and treatment outcomes for out-patients with community-acquired pneumonia (CAP) at Srinagarind Hospital, Khon Kaen, Thailand. Southeast Asian J Trop Med Public Health 2005; 36: 1261-7.
  • . Wattanathum A, Chaoprasong C, Nunthapisud P, et al. Community-acquired pneumonia in Southeast-Asia: the microbial different between ambulatory and hospitalized patients. Chest 2003; 123: 1512-9.
  • โรคปอดอักเสบ.สรุปรายงานการเฝ้าระวังโรคประจำปี 2558.สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวจสาธารณสุข.หน้า 101-103
  • สมุนไพรบำรุงปอด.สยามรัฐ.



Tags : โรคปอดอักเสบ

30

โรความดันเลือดสูง (Hypertension)

  • โรคความคันโลหิตสูง เป็นยังไง ความดันเลือดสูง ความดันโลหิตเป็นแรงดันเลือด ที่เกิดขึ้นจากหัวใจ สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย การวัดความดันเลือดสามารถทำโดยใช้อุปกรณ์หลายอย่าง แต่ว่าจำพวกที่นิยมใช้กันอยู่ทั่วๆไป อาทิเช่น เครื่องวัดความดันเลือดมาตรฐานชนิดปรอท เครื่องวัดความดันเลือดดิจิตอลประเภทอัตโนมัติ ค่าของความดันเลือดมีหน่วยเป็น มิลลิเมตรปรอท จะมี ๒ ค่า ๑ ความดันตัวบน (ซีสโตลิก) เป็นแรงดันเลือด ขณะหัวใจห้องล่างซ้ายบีบตัว  ๒ ความดันตัวล่าง (ไดแอสโตลิก) เป็นแรงกดดันเลือดขณะหัวใจห้องล่างซ้ายคลายตัว  ระดับความดันเลือดที่นับว่าสูงนั้น จะมีค่าความดันเลือดตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอท

    ด้วยเหตุนี้โรคความดันโลหิตสูง ก็เลยคือโรคหรือสภาวะที่แรงดันเลือดในเส้นโลหิตแดงมีค่าสูงขึ้นมากยิ่งกว่าค่ามาตรฐานขึ้นอยู่กับขั้นตอนการวัด โดยถ้าเกิดวัดที่สถานพยาบาล ค่าความดันโลหิตตัวบนสูงยิ่งกว่าหรือเท่ากับ 140 มิลลิเมตร ปรอท(มม.ปรอท, MMhg) และก็/หรือความดันโลหิตตัวด้านล่างสูงยิ่งกว่าหรือเท่ากับ 90 มม.ปรอท อย่างต่ำ 2 ครั้ง แม้กระนั้นถ้าเกิดเป็นการวัดความดันเองที่บ้านค่าความดันเลือดตัวบนสูงขึ้นยิ่งกว่าหรือเท่ากับ 135 มม.ปรอทและ/หรือความดันเลือดตัวล่างสูงยิ่งกว่าหรือพอๆกับ 85 มม.ปรอทฯลฯ ดังตารางที่ 1




     


    SBP


    DBP




    Office or clinic
    24-hour
    Day
    Night
    Home


    140
    125-130
    130-135
    120
    130-135


    90
    80
    85
    70
    85




    หมายเหตุ SBP=systolic blood pressure, DBP=diastolic blood pressure
    ปี 2556คนประเทศไทยป่วยด้วยโรคความดันโลหิตแทบ 11 ล้านคน เสียชีวิต 5,165 คน และเจอป่วยไข้ราย ใหม่เพิ่มเกือบจะ 1 แสนคน จำนวนร้อยละ 50 ไม่รู้ตัวเพราะว่าไม่เคยตรวจสุขภาพ ในกรุ๊ปที่เจ็บไข้แล้วพบว่ามีเพียง 1 ใน 4 ที่ควบคุมความดันได้ ที่เหลือยังมีความประพฤติปฏิบัติน่าห่วงองค์การอนามัยโลกกล่าวว่า โรคความดันโลหิตสูงเป็น 1 ในต้นสายปลายเหตุสำคัญ ที่ทำให้ประชากรอายุสั้น ทั่วโลกมีคนที่เป็นโรคความดันเลือดสูงถึง 1,000 ล้านคน เสียชีวิตปี ละเกือบ 8 ล้านคน เฉลี่ยราวๆนาทีละ 15 คน โดย 1 ใน 3 พบในวัย คนแก่แล้วก็คาดว่า ในปีพ.ศ.2568 ประชากรวัยผู้ใหญ่ทั่วโลกจะมีอาการป่วยเป็นโรคนี้เพิ่ม 1,560 ล้านคน

  • ที่มาของโรคความดันโลหิตสูง ความดันเลือดสูงแบ่งประเภทและชนิดตามต้นเหตุการเกิด แบ่งได้เป็น 2 จำพวก คือ
  • ความดันเลือดสูงชนิดไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ (primary or essential hypertension) เจอได้ราวๆร้อยละ95 ของปริมาณคนแก่โรคความดันโลหิตสูงทั้งสิ้นโดยมากพบในผู้ที่แก่ 60 ปีขึ้นไปและเจอในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ปัจจุบันยังไม่รู้จักสาเหตุที่กระจ่างแจ้งแม้กระนั้นยังไง ตามคณะกรรมการร่วมแห่งชาติด้านการคาดคะเนและก็รักษาโรคความดันเลือดสูง ของอเมริกา พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่เกี่ยวรวมทั้งช่วยเหลือให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง เป็นต้นว่า กรรมพันธุ์ความอ้วน การมีไขมันในเลือดสูงการกินอาหารที่มีรสเค็มจัดการไม่ออกกำลังกาย การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์การสูบบุหรี่ความเครียดอายุแล้วก็มีประวัติครอบครัวเสี่ยงที่จะทำให้เป็นโรคหัวใจรวมทั้งหลอดเลือดซึ่งความดันเลือดสูงชนิดไม่เคยรู้มูลเหตุนี้เป็นปัญหาสำคัญที่จำเป็นต้องให้การวิเคราะห์รักษาและก็ควบคุมโรคให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ความดันโลหิตสูงจำพวกรู้มูลเหตุ(secondary hypertension) ได้น้อยโดยประมาณปริมาณร้อยละ5-10 ส่วนใหญ่มีมูลเหตุเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากการมีพยาธิภาวะของอวัยวะต่างๆภายในร่างกายโดยจะมีผลนำมาซึ่งการก่อให้เกิดแรงกดดันเลือดสูงจำนวนมาก บางทีอาจกำเนิดพยาธิสภาพที่ไตต่อมหมวกไตโรคหรือความเปลี่ยนไปจากปกติของระบบประสาทความแปลกของฮอร์โมนโรคของต่อมไร้ท่อร่วมโรคครรภ์เป็นพิษการเจ็บของหัวยา แล้วก็สารเคมีเป็นต้น เพราะฉะนั้นเมื่อได้รับการดูแลรักษาที่ปัจจัยระดับความดันเลือดจะต่ำลงเป็นปกติรวมทั้งสามารถรักษาให้หายได้


ฉะนั้นก็เลยสรุปได้ว่า โรคความดันเลือดสูงส่วนมากจะไม่มีมูลเหตุ การควบคุมระดับความดันเลือดเจริญ จะสามารถช่วยลดภาวะแทรกซ้อน และการเสียชีวิตจากโรคระบบหัวใจ รวมทั้งเส้นเลือดลงได้

  • อาการของโรคความดันเลือดสูง ความสำคัญของโรคความดันเลือดสูงเป็น เป็นโรคที่มักไม่มีอาการ แล้วก็ที่เป็นโรคเรื้อรังที่รุนแรง (ถ้าหากไม่อาจจะควบคุมโรคได้) แต่มักไม่มีอาการ หมอบางท่านก็เลยเรียกโรคความดันโลหิตสูงว่า “เพชฌฆาตเงียบ (Silent killer)” ดังนี้ส่วนมากของอาการจากโรคความดันโลหิตสูง เป็นอาการจากผลกระทบ ดังเช่นว่า จากโรคหัวใจ แล้วก็จากโรคหลอดเลือดในสมอง หรือ เป็นอาการจากโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ อาการจากเบาหวาน หรือ จากโรคอ้วน หรือเป็นอาการจากโรคที่เป็นสาเหตุ ยกตัวอย่างเช่น โรคเนื้องอกต่อมใต้สมอง


อาการและอาการแสดงที่พบมาก คนเจ็บที่มีความดันเลือดสูงเล็กน้อยหรือปานกลางไม่เจออาการแสดงเฉพาะเจาะจงที่บ่งบอกว่ามีสภาวะความดันเลือดสูงโดยมาก การวิเคราะห์พบได้มากได้จากการที่คนเจ็บมาตรวจตามนัดหรือพบได้บ่อยร่วมกับต้นเหตุของอาการอื่นซึ่งไม่ใช่ความดันเลือดสูง สำหรับคนป่วยที่มีระดับความดันโลหิตสูงมากมายหรือสูงในระดับร้ายแรงและเป็นมานานโดยเฉพาะในรายที่ยังไม่เคยได้รับการดูแลรักษาหรือรักษาแต่ไม่สม่ำเสมอหรือเปล่าได้รับการรักษาที่ถูกเหมาะสมมักพบมีอาการ ดังต่อไปนี้

  • ปวดศีรษะมักพบในผู้ป่วยที่มีระดับความดันโลหิตสูงร้ายแรง โดยลักษณะของการเกิดอาการปวดหัวมักปวด ที่บริเวณท้ายทอยโดยยิ่งไปกว่านั้นขณะที่ตื่นนอนในตอนเช้าถัดมาอาการจะค่อยๆจนถึงหายไปเองภายในช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงแล้วก็อาจเจอมีอาการคลื่นไส้อ้วกตาพร่ามัวด้วยโดยพบว่าอาการปวดหัวเกิด จากมีการเพิ่มแรงกดดันในกะโหลกศีรษะมากมายในช่วงระยะเวลาหลังจากที่ตื่นนอนขึ้นมาแล้วเนื่องมาจากในช่วงเวลาค่ำคืนขณะกำลังนอนหลับศูนย์ควบคุมการหายใจในสมองจะลดการกระตุ้น จึงทำให้มีการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ส่งผลทำให้เส้นเลือดทั่ว ร่างกายโดยเฉพาะในสมองขยายขนาดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจึงเพิ่มแรงดันในกะโหลกศีรษะ
  • เวียนศีรษะ (dizziness) พบกำเนิดร่วมกับอาการปวดศีรษะ
  • เลือดกา ทายใจไหล(epistaxis)
  • เหนื่อยขณะทา งานหรืออาการหอบนอนราบไม่ได้แสดงถึงการมีสภาวะหัวใจห้องข้างล่างซ้ายล้มเหลว
  • อาการอื่นๆที่บางทีอาจเจอร่วมเป็นต้นว่าลักษณะของการเจ็บหน้าอกสัมพันธ์กับภาวการณ์กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จากการมีเส้นเลือดหัวใจตีบหรือจากการมีกล้ามเนื้อหัวใจหนามากจากสภาวะความดันเลือดสูงที่เป็นมานานๆ


ด้วยเหตุนี้ถ้ามีภาวการณ์ความดันเลือดสูงอยู่เป็นระยะเวลานานๆจึงอาจมีผลต่ออวัยวะที่สำคัญต่างๆของร่างกายกระตุ้นให้เกิดความเสื่อมถอยสภาพถูกทำลายรวมทั้งอาจเกิดภาวะแทรกตามมาได้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคความดันเลือดสูง ในคนเจ็บโรคความดันเลือดสูงบางรายบางทีอาจไม่พบมีอาการหรืออาการแสดงใดๆก็ตามและบางรายอาจ เจออาการแสดงจากภาวะแทรกซ้อนของโรคความดันโลหิตสูงต่ออวัยวะต่างๆได้ดังต่อไปนี้

  • สมองความดัน เลือดสูงจะทา ให้ผนังเส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงสมองมีลักษณะหนาตัวและแข็งตัวด้านในหลอดเลือดตีบแคบรูของเส้นเลือดแดงแคบลงทา ให้การไหลเวียนของโลหิตไปเลี้ยงสมองลดลงและก็ขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นเหตุให้เกิดภาวการณ์สมองขาดเลือดไปเลี้ยงชั่วครั้งชั่วคราวคนป่วยที่มีสภาวะความดันเลือดสูงจึงมีโอกาสเกิดโรคเส้นโลหิตสมอง (stroke) ได้มากกว่า บุคคลปกติ


นอกเหนือจากนั้นยังส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงที่ฝาผนังเซลล์สมองทา ให้เซลล์สมองบวมผู้ป่วยจะมีอาการผิดปกติของระบบประสาทการรับรู้ความจำน้อยลงและอาจรุนแรงเสียชีวิตได้ ซึ่งเป็นสาเหตุการตายถึงจำนวนร้อยละ50 และก็ส่งผลทำให้คนที่รอดชีวิตเกิดความพิกลพิการตามมา

  • หัวใจ ระดับความดันเลือดสูงเรื้อรังจะส่งผลทา ให้ผนังเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงหัวใจดกตัวขึ้นปริมาณเลือดเลี้ยงหัวใจต่ำลงหัวใจห้องข้างล่างซ้ายทำงานมากมาขึ้น จำเป็นต้องบีบตัวมากขึ้นเพื่อต้านแรงดันเลือดในเส้นเลือดแดงที่เพิ่มขึ้นเพราะฉะนั้น ในระยะต้นกล้ามเนื้อหัวใจจะปรับตัวจากภาวะความดันเลือดสูงโดยหัวใจบีบตัวเพิ่มขึ้น เพื่อสามารถต่อต้านกับความต้านทานที่เยอะขึ้นรวมทั้งมีการขยายตัวทำให้เพิ่มความดกของผนังหัวใจห้องล่างซ้ายทำให้เกิดสภาวะหัวใจห้องด้านล่างซ้ายโต (left ventricular hypertrophy) ถ้าเกิดยังมิได้รับการดูแลรักษาและก็เมื่อกล้ามเนื้อหัวใจไม่สามารถที่จะขยายตัวได้อีก จะก่อให้หลักการทำงานของหัวใจไม่มี
ความสามารถเกิดภาวะหัวใจวายกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวรวมทั้งเสียชีวิตได้

  • ไต ระดับความดันโลหิตเรื้อรังมีผลกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการเปลี่ยนแปลงของเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงไตหนาตัวแล้วก็แข็งตัวขึ้น หลอดเลือดตีบแคบลงนำมาซึ่งการทำให้เส้นเลือดแดงเสื่อมจากการไหลเวียนของจำนวนเลือดไปเลี้ยงไตลดน้อยลงประสิทธิภาพการกรองของเสียน้อยลงและก็ทา ให้มีการคั่งของเสียไตสลายตัว แล้วก็อับอายที่เกิดภาวการณ์ไตวายและก็ได้โอกาสเสียชีวิตได้ มีการศึกษาเล่าเรียนพบว่าคนไข้โรคความดันเลือดสูงราวๆร้อยละ10 มักเสียชีวิตด้วยภาวการณ์ไตวาย
  • ตา คนไข้ที่มีภาวะความดันเลือดสูงร้ายแรงและเรื้อรังจะมีผลให้ส่งผลต่อความเคลื่อนไหวของผนังเส้นเลือดที่ตาดกตัวขึ้นมีแรงดัน ในหลอดเลือดสูงมากขึ้นมีการเปลี่ยนของเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงตาตีบลงหลอดเลือดฝอยตีบแคบอย่างรวดเร็วมีการหดเกร็งเฉพาะที่อาจมีเลือดออกที่เรตินาทำให้มีการบวมของจอภาพนัตย์ตา หรือจอประสาทตาบวม (papilledema) ทำให้การมองมองเห็นลดลงมีจุดบอดบางจุดที่ลานสายตา (scotomata) ตามัวรวมทั้งมีโอกาสตาบอดได้
  • หลอดเลือดในร่างกาย ความดันเลือดสูงจากแรงต่อต้านหลอดเลือดส่วนปลายเพิ่มขึ้นฝาผนังเส้นโลหิตดกตัวจากเซลล์กล้ามเนื้อเรียบถูกกระตุ้น ให้รุ่งโรจน์มากขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากมีไขมัน ไปเกาะฝาผนังเส้นเลือดทำให้หลอดเลือดแดงแข็ง (artherosclerosis) มีการเปลี่ยนแปลงของฝาผนังหลอดเลือดหนาและตีบแคบการไหลเวียนของโลหิตไป เลี้ยงสมองหัวใจไตแล้วก็ตาลดลงทา ให้เกิดภาวะสอดแทรกของอวัยวะดังกล่าวตามมาไดแก้โรคหัวใจรวมทั้ง
หลอดเลือดโรคเส้นเลือดสมองและก็ไตวายเป็นต้น

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะนำมาซึ่งโรคความดันเลือด สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคความดันเลือดสูง ได้แก่ พันธุกรรม ช่องทางมีความดันเลือดสูง จะสูงขึ้นเมื่อมีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ โรคเบาหวาน ด้วยเหตุว่าก่อเกิดการอักเสบ ตีบแคบของเส้นเลือดต่างๆแล้วก็หลอดเลือดไต โรคอ้วน และน้ำหนักตัวเกิน เนื่องจากว่าเป็นต้นเหตุสำคัญของเบาหวาน รวมทั้งโรคเส้นโลหิตต่างๆตีบจากภาวะไขมันเกาะฝาผนังหลอดเลือด โรคไตเรื้อรัง เนื่องจากจะมีผลถึงการผลิตเอ็นไซม์และก็ฮอร์โมนที่ควบคุมความดันเลือดดังที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว โรคนอนหลับแล้วหยุดหายใจ (Sleep apnea) สูบบุหรี่ เพราะพิษในควันของบุหรี่ทำให้เกิดการอักเสบ ตีบตันของหลอดเลือดต่าง รวมถึงเส้นเลือดไต และก็หลอดเลือดหัวใจ การติดสุรา ซึ่งยังไม่รู้จักชัดเจนถึงกลไกว่าเพราะเหตุไรดื่มสุราแล้วจึงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดความดันเลือดสูง แต่การเล่าเรียนต่างๆให้ผลตรงกันว่า ติดสุรา จะนำมาซึ่งการทำให้หัวใจเต้นแรงกว่าธรรมดา แล้วก็ได้โอกาสเป็นโรคความดันโลหิตสูง ถึงประมาณ 50%ของผู้ติดสุราทั้งปวง ทานอาหารเค็มเป็นประจำ ต่อเนื่อง ดังเหตุผลดังได้กล่าวแล้ว ขาดการออกกำลังกาย เนื่องจากเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคอ้วนรวมทั้งโรคเบาหวาน ผลกระทบจากยาบางประเภท ดังเช่นว่า ยาในกลุ่มสเตียรอยด์
  • วิธีการรักษาโรคความดันเลือดสูง การวิเคราะห์โรคความดันโลหิตสูง โรคความดันเลือดสูงวิเคราะห์จากการที่มีความดันโลหิตสูงตลอดเวลา ซึ่งตรวจเจอต่อเนื่องกัน 3 ครั้ง โดยแต่ละครั้งควรจะห่างกัน 1 เดือน อย่างไรก็ตามถ้าหากตรวจเจอว่าความดันเลือดสูงมาก (ความดันตัวบนสูงขึ้นยิ่งกว่า 180 mmHg หรือ ความดันตัวล่างสูงยิ่งกว่า 110 mmHg) หรือมีความผิดปกติของลักษณะการทำงานของอวัยวะจากผลของ   ความดันเลือดสูงร่วมด้วย ก็ถือว่าวิเคราะห์เป็นโรคความดันโลหิตสูง และจำเป็นต้องรีบได้รับการดูแลและรักษา แพทย์วินิจฉัยโรค   ความดันโลหิตสูงได้จาก ความเป็นมาอาการ ประวัติความเป็นมาป่วยอีกทั้งในอดีตกาลและก็เดี๋ยวนี้ ประวัติการกิน/ใช้ยา การตรวจวัดความดันโลหิต (ควรจะวัดที่บ้านร่วมด้วยถ้าหากมีเครื่องมือ เนื่องจากครั้งคราวค่าที่วัดได้ที่โรงหมอสูงขึ้นมากยิ่งกว่าค่าที่วัดถึงที่เหมาะบ้าน) เมื่อวินิจฉัยว่าเป็นความดันโลหิตสูง ควรตรวจร่างกาย และก็ส่งไปทำการตรวจอื่นๆเพิ่มอีกเพื่อหาสาเหตุ หรือสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง นอกจากนั้น จำเป็นที่จะต้องตรวจหาผลกระทบของความดันเลือดสูงต่ออวัยวะต่างๆเช่น หัวใจ ตา และไต อย่างเช่น ตรวจเลือดดูค่าน้ำตาลและก็ไขมันในเลือด ดูหลักการทำงานของไต และก็ค่าเกลือแร่ภายในร่างกาย ตรวจคลื่นกระแสไฟฟ้าหัวใจมองลักษณะการทำงานของหัวใจ แล้วก็เอกซเรย์ปอด ดังนี้การตรวจเสริมเติมต่างๆจะขึ้นกับอาการคนไข้ และก็ดุลยพินิจของแพทย์เพียงแค่นั้น
สมาคมความดันเลือดสูงที่เมืองไทย ได้แบ่งระดับความรุนแรงของความดันเลือดสูง ดังต่อไปนี้




ระดับความรุนแรง


ความดันโลหิตตัวบน


ความดันโลหิตตัวล่าง




ความดันโลหิตปกติ
ระยะก่อนความดันโลหิต
ความดันโลหิตสูงระยะที่ 1
ความดันโลหิตสูงระยะที่ 2


น้อยกว่า 120 และ
120 – 139/หรือ
140 – 159/หรือ
มากกว่า 160/หรือ


น้อยกว่า 80
80 – 89
90 – 99
มากกว่า 100




หมายเหตุ : หน่วยวัดความดันโลหิตเป็น มิลลิเมตรปรอท
ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรควบคุมระดับความดันโลหิตให้ต่ำลงยิ่งกว่า 140/90 มม.ปรอทและก็ใน ผู้ที่มีภาวะเสี่ยงควรควบคุมระดับความดันโลหิตให้ต่ำกว่า 130/80 มิลลิเมตรปรอท และก็ลดสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงสำหรับการกำเนิดโรคหัวใจรวมทั้งหลอดเลือดคุ้มครองป้องกันความพิการรวมทั้งลดการเกิดสภาวะแทรกฝึกซ้อมต่ออวัยวะแผนการที่สำคัญของร่างกายดังเช่นสมองหัวใจไตและตารวมถึงอวัยวะสำคัญอื่นๆซึ่งสำหรับการรักษาและก็ควบคุมระดับความดันเลือดให้เข้าขั้นปกติประกอบด้วย 2 แนวทางเป็นการดูแลรักษาใช้ยารวมทั้งการรักษาโดยไม่ใช้ยาหรือกระบวนการเปลี่ยนแปลงแบบแผนการดำรงชีวิต
การดูแลและรักษาโดยวิธีการใช้ยา  (pharmacologic treatment) เป้าหมายสำหรับเพื่อการลดความดันโลหิตโดยการใช้ยาคือการควบคุมระดับความดันเลือดให้ลดต่ำลงมากยิ่งกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท โดยลดแรงต้านทานของหลอดเลือดส่วนปลายและก็เพิ่มปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจการเลือกใช้ยา ในผู้ป่วยโรคความดันเลือดสูงก็เลยขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละรายรวมทั้งควรไตร่ตรองต้นเหตุต่างๆได้แก่ความร้ายแรงของระดับความดันโลหิตปัจจัยเสี่ยงต่ออวัยวะสำคัญ โรคที่มีอยู่เดิมสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงอื่นๆซึ่งยาที่ใช้เพื่อการรักษาภาวะความดันเลือดสูงสามารถแบ่งได้ 7 กลุ่มดังต่อไปนี้
ยาขับฉี่  (diuretics) เป็นกลุ่มยาที่นิยมใช้ในคนป่วยที่มีการปฏิบัติงานของไตและหัวใจเปลี่ยนไปจากปกติ ยากลุ่มนี้ดังเช่นว่า ฟูโรซีมายด์ (furosemide) สไปโรโนแลคโตน(spironolactone) มันข้นลาโซน (metolazone)
ยาต้านเบต้า (beta adrenergic receptor blockers) ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์โดยรวมกับเบต้าอดรีเนอร์จิกรีเซฟเตอร์  (beta adrenergic receptors) อยู่ที่ศีรษะดวงใจแล้วก็เส้นโลหิตแดงเพื่อยั้งการโต้ตอบต่อประสาทซิมพาธิว่ากล่าวกลดอัตราการเต้นของหัวใจทำให้หัวใจเต้นช้าลงและความดันเลือดต่ำลง ยาในกลุ่มนี้ ดังเช่นว่า โพรพาโนลอล (propanolol)หรืออะหนโนลอล (atenolol)
ยาที่ออกฤทธิ์ขัดขวางตัวรับแองจิโอเทนซินทู (angiotensin II receptorblockersARBs) ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ขยายเส้นเลือดโดยไม่ทำให้ระดับของเบรดดีไคนินเพิ่มขึ้นยากลุ่มนี้ เป็นต้นว่า แคนเดซาแทน  (candesartan), โลซาแทน (losartan) ฯลฯ
ยาต้านทานแคลเซียม (calcium antagonists) ยากลุ่มนี้ยั้งการเขยื้อนเข้าของประจุแคลเซียมในเซลล์ทำให้กล้ามฝาผนังเส้นโลหิตคลายตัวอาจก่อให้อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง ดังเช่น ยาเวอราปาไม่วล์   (verapamil) หรือเนฟเฟดิตะกาย (nifedipine)
ยาต้านอัลฟาวันอดรีเนอร์จิก (alpha I-adrenergic blockers) ยามีฤทธิ์ต่อต้านโพสไซแนปติกอัลฟาวันรีเซฟเตอร์ (postsynaptic alpha 1-receptors) และก็ออกฤทธิ์ขยายหลอดเลือดส่วนปลายทำให้เส้นโลหิตขยายตัว ยาในกลุ่มนี้เช่น พราโซซีน prazosin) หรือดอกซาโซซีน (doxazosin)
ยาที่ยั้งไม่ให้มีการสร้างแองจิโอเทนซินทู (angiotensin II convertingenzyme ACE inhibitors)ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์โดยการยังยั้งแองจิโอเทนสินสำหรับการแปลงแองจิโอเทนซินวันเป็นแองจิโอเทนซินทูซึ่งเป็นเอ็นไซม์ที่ทำให้เส้นเลือดหดตัว ยาในกลุ่มนี้อย่างเช่นอีทุ่งนาลาพริล (enalapril)
ยาขยายหลอดเลือด (vasodilators) ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์โดยตรงต่อกล้ามเรียบที่อยู่รอบๆเส้นเลือดแดงทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวแล้วก็ยาต่อต้านทางในฝาผนังเส้นโลหิตส่วนปลาย ยาในกลุ่มนี้เช่นไฮดราลาซีน (hydralazine), ไฮโดรคลอไรด์ (hydrochloride), ลาเบลทาลอล (labetalol)
การดูแลและรักษาโดยไม่ใช้ยาหรือการปรับเปลี่ยนแบบแผนการดำรงชีวิต (lifestylemodification)  เป็นความประพฤติปฏิบัติสุขภาพที่ต้องปฏิบัติเป็นประจำเป็นประจำเพื่อลดระดับความดันโลหิต รวมทั้งคุ้มครองภาวะแทรกซ้อนกับอวัยวะสำคัญผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงทุกราย ควรได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงแบบแผนการดำเนินชีวิตพร้อมกันไปกับการรักษาด้วยยา ผู้เจ็บป่วยควรมีพฤติกรรมสนับสนุนร่างกายที่แข็งแรง ดังต่อไปนี้ การควบคุมของกินและควบคุมน้ำหนักตัว  การจำกัดอาหารที่มีเกลือโซเดียม  การบริหารร่างกาย การงดดูดบุหรี่ การลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์  การจัดการกับความเคร่งเครียด

  • การติดต่อของโรคความดันโลหิตสูง โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจาก ภาวการณ์แรงดันเลือดในเส้นโลหิตสูงยิ่งกว่าค่ามาตรฐาน ฉะนั้นโรคความดันโลหิตสูงก็เลยเป็นโรคที่ไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คน
  • การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคความดันเลือดสูง เปลี่ยนพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค
  • การลดความอ้วนในคนที่มีน้ำหนักเกิน องค์การอนามัยโลกเสนอแนะว่าในขั้นต้นควรจะลดความอ้วน อย่างต่ำ 5 กิโลกรัม ในผู้เจ็บป่วยความดันโลหิตสูง ที่มีน้ำหนักเกิน
  • การลดจำนวนโซเดียม (เกลือ) ในของกิน ลดโซเดียมในของกิน เหลือวันละ 0.5 – 2.3 กรัม หรือ เกลือโซเดียมคลอไรด์ 1.2 – 5.8 กรัม
  • ลดจำนวนแอลกอฮอล์ หรือจำกัดจำนวนแอลกอฮอล์ไม่กำเนิด 20 – 30 กรัมต่อวันในเพศชาย หรือ 10 – 20 กรัม ในผู้หญิง


จากการศึกษาอาหารสำหรับผู้เป็นโรคความดันเลือดสูงพวกเรามักจะได้ยินชื่อ DASH (Dietary Approaches to stop Hypertension) เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยผัก ผลไม้ และก็สินค้านมไขมันต่ำ ร่วมกับการลดจำนวนไขมัน แล้วก็ไขมันอิ่มตัวในอาหาร
ตารางแสดงตัวอย่างของกิน DASH diet/ต่อวัน ได้พลังงาน 2100 กิโลแคลอรี่




หมวดอาหาร


ตัวอย่างอาหารในแต่ละส่วน




ผัก


ผักดิบประมาณ 1 ถ้วยตวง
ผักสุกประมาณ ½ ถ้วยตวง




ผลไม้


มะม่วง ½ ผล ส้ม 1 ลูก เงาะ 6 ผล กล้วยน้ำว้า 1 ผล แตงโม 10 ชิ้น
ฝรั่ง 1 ผลเล็ก มังคุด 1 ผลเล็ก




นม

  • นมพร่องมันเนย
  • นมครบส่วน




 
1 กล่อง (240 ซีซี)
1 กล่อง (240 ซีซี)




ไขมัน
ปลาและสัตว์ปีก


น้ำมัน 5 ซีซี เนย/มาการีน 5 กรัม
ปริมาณ 30 กรัม (ปริมาณ 2 ช้อนโต๊ะ)




แป้ง,ข้าว,ธัญพืช


ขนมปัง 1 แผ่น ข้าวสวย 1 ทัพพี




 
 
ออกกำลังกาย การออกกำลังกายสำหรับคนที่มีความดันเลือดสูง ควรจะออกกำลังกายแบบแอโรบิค (แบบใช้ออกซิเจน) คือ การออกกำลังกายที่มีการเคลื่อนอย่างต่อเนื่องในตอนระยะเวลาหนึ่งของกล้ามผูกใหญ่ๆซึ่งคือการใช้ออกซิเจนสำหรับการให้พลังงาน จะได้ประโยชน์ต่อระบบหัวใจแบะเส้นเลือด อย่างเช่น เดิน วิ่ง ว่าย ปั่นรถจักรยาน เป็นต้น ซึ่งการออกกกำลังกายควรปฏิบัติทุกๆวัน อย่างน้อยวันละ 30 นาที ถ้าเกิดว่าไม่มีสิ่งที่ไม่อนุญาต
                บริหารคลายความเครียด การจัดการความเครียดน้อยลงในชีวิตประจำวัน ตามหลักเหตุผลและหลักจิตวิทยามีอยู่ 2 วิธี
-              พยายามเลี่ยงเรื่องราวหรือภาวะที่จะส่งผลให้เกิดความเคร่งเครียดมากมาย
-              ควบคุมปฏิกิริยาของตนเอง ต่อสิ่งที่รู้สึกทำให้พวกเราเครียด
รับประทานยาแล้วก็รับการรักษาสม่ำเสมอ รับประทานยาตามแพทย์สั่งสม่ำเสมอไม่ขาดยา รวมทั้งเจอหมอตามนัดหมายทุกครั้ง ไม่สมควรหยุดยาหรือปรับเปลี่ยนยาด้วยตัวเอง สำหรับผู้เจ็บป่วยที่ทานยาขับปัสสาวะ ควรจะกินส้มหรือกล้วยบ่อยๆ เพื่อทดแทนโปตัสเซียมที่สูญเสียไปในฉี่รีบเจอแพทย์ภายใน 24 ชั่วโมง หรือ เร่งด่วน มีลักษณะอาการดังต่อไปนี้  ปวดศีรษะมาก อ่อนเพลียเป็นอย่างมากกว่าปกติมากมาย เท้าบวม (อาการโรคหัวใจล้มเหลว) เจ็บแน่นหน้าอก ใจสั่น เหงื่อออกมาก จะเป็นลมเป็นแล้ง (อาการจากโรคเส้นโลหิตหัวใจ ซึ่งจะต้องพบหมอรีบด่วน) แขน โคนขาแรง กล่าวไม่ชัด ปากเบี้ยว อ้วก อ้วก (อาการจากโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งจะต้องเจอแพทย์เร่งด่วน)

  • การปกป้องคุ้มครองตัวเองจากโรคความดันเลือดสูง สิ่งสำคัญที่สุดที่จะป้องกันการเกิดโรคความดันโลหิตสูง คือการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตเรื่องการรับประทาน การออกกำลังกายโดย


-              ควรจะควบคุมน้ำหนัก
-              กินอาหารที่มีสาระ ครบอีกทั้ง 5 หมู่ ในจำนวนที่เหมาะสม เพิ่มผักผลไม้ในมื้อของกินจำพวกไม่หวานมากให้มากๆ
-              บริหารร่างกาย โดยออกยาวนานกว่า 30 นาที และออกแทบทุกวัน
-              ลดปริมาณเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมที่เป็นแอลกอฮอล์
-              พักให้พอเพียง
-              รักษาสุขภาพจิต รวมทั้งอารมณ์
-              ตรวจสุขภาพรายปี ซึ่งรวมทั้งวัดความดันโลหิต เริ่มได้ตั้งแต่อายุ 18-20 ปี ต่อจากนั้นตรวจสุขภาพบ่อยมากตามหมอ และก็พยาบาลชี้แนะ
-              ลดอาหารเค็ม หรือเกลือแกง น้อยกว่า 6 กรัม ต่อวัน) รับประทานอาหารจำพวกผัก รวมทั้งผลไม้มากขึ้นเรื่อยๆ
ข้อเสนอแนะในการลดการบริโภคเกลือและโซเดียม :-
เลือกซื้อผัก ผลไม้แล้วก็เนื้อสัตว์ที่สดใหม่แทนแนวทางในการเลือกซื้ออาหารกระป๋อง ผักดองและอาหารสำเร็จรูป
แม้จำต้องเลือกซื้ออาหารบรรจุกระป๋องหรืออาหารสำเร็จรูปควรจะอ่านฉลากอาหารทุกครั้ง แล้วก็เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีจำนวนโซเดียมต่ำหรือน้อย (สำหรับพสกนิกรทั่วไปควรบริโภคเกลือไม่เกินวันละ 1 ช้อนชา หรือน้อยกว่า 6 กรัมต่อวัน) ล้างผักแล้วก็เนื้อสัตว์ที่ใช้ประกอบอาหารให้สะอาด เพื่อล้างเกลือออก ลดการใช้เกลือและเครื่องปรุงรส หันมาใช้เครื่องเทศแล้วก็สมุนไพรที่มีปริมาณโซเดียมต่ำ ตัวอย่างเช่น หัวหอม กระเทียม ขิง พริกไทย มะนาว ผงกระหรี่ แทนไม่วางภาชนะหรือขวดใส่เกลือและเครื่องปรุงรสต่างๆดังเช่น ซอส  ซีอิ๊วขาวและก็น้ำปลาไว้บนโต๊ะอาหารทุกมื้อชิมของกินก่อนรับประทาน ฝึกหัดการทานอาหารที่มีรสชาติเหมาะเจาะ ไม่เค็มจัดหรือหวานจัด ปรุงอาหารรับประทานอาหารเองแทนการกินอาหารนอกบ้าน    หรือการซื้ออาหารสำเร็จรูป
ของกินที่มีเกลือโซเดียมสูง ดังเช่นว่า อาหารที่ใช้เกลือแต่งรส เช่น  ซอสรสเค็ม (เช่น น้ำปลา ซี้อิ๊ว ซอสหอยนางรม เต้าเจี้ยว), ซอสหลายรส  (อาทิเช่น ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก ซี้อิ๊ว

หน้า: 1 [2] 3 4 ... 6