รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

ลงประกาศฟรี => อื่น ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: tawattt005 ที่ มิถุนายน 17, 2018, 01:16:52 AM

หัวข้อ: โรคคางทูม มีวิธีรักษาด้วยสมุนไพร เเละยังมีสรรพคุณ-ประโยชน์อีกมากมาย
เริ่มหัวข้อโดย: tawattt005 ที่ มิถุนายน 17, 2018, 01:16:52 AM
(https://www.picz.in.th/images/2018/04/28/YCggve.jpg)
โรคคางทูม (Mumps)
โรคคางทูม (http://www.disthai.com/16880169/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B9%E0%B8%A1-mumps)เป็นอย่างไร  โรคคางทูม (mumps) เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการตำหนิดเชื้อไวรัสซึ่งนับได้ว่าเป็นโรคติดต่อฉับพลันทางระบบหายใจ อีกโรคหนึ่ง พบได้บ่อยในเด็กนักเรียนและก็วัยรุ่น ผู้เจ็บป่วยโดยมากมักมีลักษณะอาการบวมและกดเจ็บรอบๆต่อมน้ำลาย เหตุเพราะมีการอักเสบของต่อมน้ำลายขนาดใหญ่ซึ่งอยู่รอบๆแก้มหน้าหู เหนือขากรรไกร ที่เรียกว่า ต่อมพาโรติด (Parotid glands) ซึ่งเป็นต่อมคู่ มีทั้งข้างซ้ายแล้วก็ข้างขวา ซึ่งโรคบางทีอาจเกิดกับต่อมน้ำลายเพียงด้านเดียวหรือทั้งสองข้างได้ นอกจากนั้นอาจกำเนิดกับต่อมน้ำ ลายอื่นได้ เป็นต้นว่า ต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกร หรือต่อมน้ำลายใต้คาง ซึ่งมักจำต้องกำเนิดร่วมกับการอักเสบของต่อมพาโรติดด้วยเสมอ เป็นโรคที่มีอาการไม่ร้ายแรงรวมทั้งสามารถหายเองได้
คางทูมเป็นโรคที่พบบ่อยในเด็กอายุ 6-10 ปี พบได้ทั้งปวงศหญิงและก็ผู้ชายใกล้เคียงกัน  แม้กระนั้นในเด็กโต วัยเจริญพันธุ์และก็ผู้ใหญ่ชอบเจอความรุนแรงของโรคคางทูมมากยิ่งกว่าและก็กำเนิดอาการนอกต่อมน้ำลายมากยิ่งกว่าวัยเด็ก มักไม่ค่อยเจอในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี รวมทั้งในคนแก่ที่มีอายุมากยิ่งกว่า 40 ปี โรคนี้มีอุบัติการณ์การเกิดสูงในช่วงม.ค.ถึงเดือนเมษายน รวมทั้งในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน และก็บางทีอาจเจอการระบาดได้เป็นครั้งเป็นคราว ในอดีตจัดว่าเป็นโรคติดต่อที่พบได้มากในเด็ก แต่ว่าในตอนนี้มีลักษณะท่าทางลดน้อยลงจากการฉีดยาคุ้มครองป้องกันโรคนี้กันมากยิ่งขึ้น
เรื่องราวและภูมิหลังของโรคคางทูม ศตวรรษที่ห้าก่อนคริสต์ศักราช  Hippocrates ได้อธิบายโรคคางทูมว่าเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ ถัดมาปลายคริสต์ศักราชที่ 1700  Hamilton เน้นย้ำว่าการกำเนิดอัณฑะอักเสบเป็นอาการสำคัญของโรคคางทูม ในปี คริสต์ศักราช1934 Johnson รวมทั้ง Goodpasture สามารถทดลองเลียนแบบการเกิดโรคคางทูมในลิงได้สำเร็จ เป็นหลักฐานแสดงการเจอเชื้อไวรัสคางทูมผ่านมาสู่น้ำลายของผู้เจ็บป่วยโรคคางทูมได้ ในปี ค.ศ.1945 Habel รายงานการเพาะเลี้ยงเชื้อไวรัสคางทูมในตัวอ่อนลูกไก่ได้สำเร็จ Enders และก็แผนก ชี้แจงการทดสอบทางผิวหนังแล้วก็การวิวัฒนาการของการเสริมตรึงแอนติบอดี  (complement-fixing antibodies) ตามหลังโรคคางทูมในมนุษย์ได้สำเร็จ
                รากศัพท์คำว่า  mumps มาจากภาษาใดไม่เคยรู้แน่ชัด อาจมาจากคำนามในภาษาอังกฤษ  mump ที่หมายความว่าก้อนเนื้อ หรือมาจากคำกิริยาในภาษาอังกฤษ  to mump ที่หมายความว่า อารมณ์เสีย ซึ่งเป็นลักษณะการแสดงออกทางสีหน้า  mumps ยังมีความหมายถึงลักษณะการพูดอู้อี้ ซึ่งเจอได้ในคนป่วยโรคคางทูม ในรายงานแต่ก่อนโรคคางทูมมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า  epidemic parotitis
ต้นเหตุของโรคคางทูม ที่มาของโรคคางทูมเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า มัมส์ (mumps Virus) เป็นเชื้อไวรัสที่อยู่ในอากาศสามารถแพร่กระจายได้โดยการไอ จาม เหมือนกันกับโรคไข้หวัด ซึ่งเชื้อไวรัสชนิดนี้เป็น
ไวรัสในกรุ๊ปพาราไม่กโซเชื้อไวรัส  (paramyxovirus) (ประกอบด้วย mumps virus, New Castle disease virus, human parainfluenza virus types 2, 4a, and 4b) เชื้อไวรัสคางทูมเป็น enveloped negative singlestranded RNA มีลักษณะรูปร่างทรงกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 90-300 นาโนเมตร ขนาดเฉลี่ยประมาณ 200 นาโนเมตร nucelocapsid ถูกหุ้มห่อด้วย envelope 3 ชั้น
ลักษณะโรคคางทูม อาการของโรคคางทูม กำเนิดข้างหลังสัมผัสโรค               
ที่มา :  WIKIPEDIA
ซึ่งระยะฟักตัวทั่วๆไปประมาณ 14 - 18 วัน แต่ว่าบางทีอาจเร็วได้ถึง 7 วันหรือนานได้ถึง 25 วัน โดยจะก่อให้มีการอักเสบของต่อมน้ำลายพาโรติด อาการ ผู้เจ็บป่วยจะเริ่มมีอาการไม่สบาย หมดแรง ปวดศีรษะ เมื่อยตามตัว เบื่อข้าว  บางคนอาจมีอาการปวดในช่องหูหรือข้างหลังหูขณะเคี้ยวหรือกลืน ๑-๓ วันต่อมา พบว่าบริเวณข้าง
                      ที่มา :  Googleหรือขากรรไกร มีลักษณะอาการบวมรวมทั้งปวด  อาการปวดจะเป็นมากขึ้นเมื่อกินของเปรี้ยว น้ำส้มคั้น น้ำมะนาว คนเจ็บชอบรู้สึกปวดร้าวไปที่หู ขณะอ้าปากบดหรือกลืนของกิน บางบุคคลอาจมีอาการบวมที่ใต้คางร่วมด้วย (ถ้าเกิดมีการอักเสบของต่อมน้ำลายใต้คาง) โดยประมาณ ๒ ใน ๓ ของผู้ที่เป็นคางทูม จะเกิดอาการคางบวมทั้ง ๒ ข้าง โดยเริ่มขึ้นข้างหนึ่งก่อนแล้วอีก ๔-๕ วัน ถัดมาค่อยขึ้นตามมาอีกข้างอาการคางบวมจะเป็นมากในช่วง ๓ วันแรกแล้วจะค่อยๆยุบหายไปใน ๔-๘ วัน ในช่วงที่บวมมากมาย ผู้เจ็บป่วยจะมีอาการบอกแล้วก็กลืนตรากตรำ บางคนอาจมีอาการคางบวม โดยไม่มีอาการอื่นๆเอามาก่อน หรือมีเพียงแต่อาการไข้ โดยไม่มีอาการคางบวมให้เห็นก็ได้ นอกจากนี้ พบว่าราวจำนวนร้อยละ ๓๐ ของคนที่ติดโรคคางทูม อาจไม่มีอาการแสดงของโรคคางทูมก็ได้
ส่วนภาวะแทรกซ้อน) ของโรคคางทูม มักจะเจอได้สูงขึ้นเมื่อกำเนิดโรคในวัยรุ่น ผู้ใหญ่ หรือในคนมีภูมิต้านทานขัดขวางโรคต่ำ อาทิเช่น



กรรมวิธีรักษาโรคคางทูม แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคคางทูมได้จากประวัติอาการแล้วก็การตรวจร่างกายของผู้ป่วยดังนี้



ส่วนการตรวจทางห้องทดลองเพื่อยืนยันการติดเชื้อไวรัสคางทูมนั้น มีความจำเป็นต่อการวิเคราะห์ในเรื่องที่ผู้เจ็บป่วยไม่มีต่อมน้ำลายพาโรติดอักเสบ ต่อมน้ำลายพาโรติดอักเสบเป็นซ้ำหลายหน หรือเพื่อรับรองการไต่สวนการระบาดของโรคคางทูม การตรวจทางห้องทดลองเพื่อรับรองการวินิจฉัยโรคคางทูม โดยการตรวจทางภูมิคุ้นกันวิทยา (serologic studies) มีหลายแนวทาง เช่น



ด้วยเหตุว่าโรคคางทูมเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส การดูแลและรักษาโรคคางทูมก็เลยยังไม่มียารักษาโดยยิ่งไปกว่านั้น แม้กระนั้นสามารถทำเป็นโดยทุเลาอาการแล้วก็ทำให้ระบบภูมิต้านทานของร่างกายแข็งแรงขึ้น โดยหมอจะรักษาตามอาการ ดังเช่นว่า เมื่อมีอาการปวดก็จะให้รับประทานพาราเซตามอลเพื่อทุเลาปวด ยิ่งกว่านั้นก็จะเสนอแนะกรรมวิธีการประพฤติตัวและให้พักฟื้นที่บ้าน
การดำเนินโรค  ดังนี้ส่วนมากโรคคางทูมจะไม่มีภาวะแทรกซ้อนและก็สามารถหายได้เองตามธรรมชาติ และก็ลักษณะของการมีไข้จะเป็นอยู่เพียงแค่ ๑-๖ วัน ส่วนอาการคางทูมจะยุบได้เองใน ๔-๘ วัน (ไม่เกิน ๑๐ วัน) รวมทั้งอาการโดยรวมจะหายสนิทด้านใน ๒ สัปดาห์
ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่ไม่รุนแรงที่เกิดกับอวัยวะต่างๆส่วนมากก็มักจะหายได้เป็นปกติส่วนน้อยมากมายที่อาจมีภาวะเป็นหมัน (จากรังไข่อักเสบแล้วก็อัณฑะอักเสบ) หูหนวก (จากประสาทหูอักเสบ)
การติดต่อของโรคคางทูม เชื้อไวรัสคางทูมสามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสโดยตรง (direct contact) กับสารคัดหลั่งของทางเดินหายใจ (droplet nuclei) หรือ fomites ผ่านทางจมูกหรือปาก เช่นการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่คนเจ็บไอหรือจามรด การสัมผัสน้ำลายของคนเจ็บ หรือโดยการสัมผัสถูกมือ สิ่งของ
เครื่องใช้ เช่น ผ้าที่เอาไว้เช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ถ้วยน้ำ จาน ชาม เป็นต้น รวมไปถึงสภาพแวดล้อมอื่นๆที่มัวหมองเชื้อ ซึ่งจะต้องใช้การสัมผัสที่สนิทสนมสำหรับในการกระจายเชื้อไวรัสคางทูมมากยิ่งกว่าเชื้อฝึกฝน หรือเชื้ออีสุกอีใส ระยะที่แพร่ระบาดได้มากที่สุดหมายถึง1-2 วันก่อนเริ่มมีลักษณะอาการต่อมน้ำลายพาโรติดบวม จนกระทั่ง 5 คราวหลังจากต่อมน้ำลายพาโรติดเริ่มบวม (แม้กระนั้นมีกล่าวว่าสามารถแยกเชื้อไวรัสคางทูมจากน้ำลายของคนป่วยตั้งแต่ 7 วันก่อนมีลักษณะจนถึง 9 วันหน้าจากเริ่มมีลักษณะอาการต่อมน้ำลายพาโรติดบวม) ส่วนระยะฟักตัวของเชื้อไวรัสคางทูมโดยมาก 16-18 วัน (วิสัย 12-25 วัน)
การแยกโรคอื่นๆที่มีลักษณะอาการคางบวมคล้ายกับโรคคางทูม การแยกโรค อาการคางบวม อาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะโรครวมทั้งต้นสายปลายเหตุอื่น ได้อีกได้แก่

การกระทำตนเมื่อป่วยเป็นโรคคางทูม เมื่อป่วยด้วยโรคคางทูมแพทย์ชอบให้คำปรึกษาสำหรับในการประพฤติตัวเพื่อบรรเทาลักษณะของโรคมากยิ่งกว่าการให้ยา ซึ่งแพทย์มักจะชี้แนะดังต่อไปนี้



o             ไข้สูง ตั้งแต่ 38 องศาเซลเซียส ขึ้นไป และก็ไข้ไม่ลงข้างใน 2-3 ครั้งหน้าดูแลตัวเองในเบื้อง ต้น
o             ปวดต่อมน้ำลายมาก รวมทั้งอาการปวดไม่ดีขึ้นหลังกินยาที่ช่วยบรรเทาอาการ
o             รับประทานอาหาร และ/หรือกินน้ำได้น้อยหรือรับประทานมิได้เลย
o             ไข้สูงร่วมกับปวดหัวมาก คอแข็ง หรือปวดท้องมาก เพราะเป็นอาการกำเนิดจาผลข้างเคียง สอดแทรกดังที่กล่าวมาแล้ว
การป้องกันตนเองจากโรคคางทูม

สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/รักษาโรคคางทูม




Tags : โรคคางทูม