รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

ลงประกาศฟรี => อื่น ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: ณเดช2499 ที่ มิถุนายน 02, 2018, 09:25:16 AM

หัวข้อ: สมุนไพรพิมเสน มีวิธีรักษาโรคพร้อมทั้งสรรพคุณ-ประโยชน์ดีๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ณเดช2499 ที่ มิถุนายน 02, 2018, 09:25:16 AM
(https://www.img.in.th/images/fed6af07ef7d9cbe2f2714de3702e2e7.jpg)
พิมเสน (Bomed Camphor)
พิมเสน (http://www.disthai.com/16895643/%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%99-bomed-camphor)เป็นอย่างไร พิมเสนมีชื่อเรียกหลายชื่อ ดังเช่นว่า ภิมเสน ภีมเสน พิมเสนเกล็ด พิมเสนจังหวัดตรังกานู ประพรมแสน มีชื่อสามัญว่า “Borneo Camphor” แขกอินเดียในบอมเบย์เรียก “Bhimseni” หรือ “Boras” แขกฮินดูเรียก “Bhimsaini-kapur” หรือ “Barus kapur”  โดยทั่วไปแล้วพิมเสนแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ พิมเสนที่ได้จากธรรมชาติหรือพิมเสนแท้ ชื่อสามัญ Borneol camphorรวมทั้งพิมเสนสังเคราะห์ หรือพิมเสนเทียม ชื่อสามัญ Borneolum Syntheticum (Borneol) ซึ่งพิมเสนจะมีลักษณะเป็นเกล็ดเล็กๆแบนๆมีสีขาวขุ่นหรือออกแดงเรื่อๆ(หากเป็นพิมเสนบริสุทธิ์จะเป็นผลึกรูปแผ่นทรงหกเหลี่ยม) มีเนื้อแน่นกว่าการบูร ระเหิดได้ช้ากว่าการบูร ติดไฟให้แสงสว่างจ้าและก็มีควันมาก ไม่มีขี้เถ้า ละลายได้ยากในน้ำ ละลายได้ดิบได้ดีในตัวทำละลายจำพวกขั้วต่ำ พิมเสนมีกลิ่นหอมหวนเย็น ฉุน รสหอม เย็นปากเย็นคอ อดีตคนประเทศไทยนิยมใช้ใส่ไว้ในหมากพลูบด
สูตรทางเคมีและสูตรองค์ประกอบ พิมเสนแท้ (Borneo Camphor) เป็นสารประกอบอินทรีย์จำพวกไบไซคิก  แล้วก็เป็นสารกรุ๊ปเทอร์พีน มีสูตรเคมีเป็น C10H18O มีชื่อทางเคมีว่า(+)-borneol หรือ endo-2-camphanol หรือ endo-2-hydroxycamphane  มีลักษณะเป็นเกล็ดสีขาว 6 เหลี่ยม มีกลิ่นหอมสดชื่นฉุนคล้ายการบูร ติดไฟให้แสงจ้าและก็มีควันมาก ไม่มีขี้เถ้า มีมวลโมเลกุล 154.25                gmd -1 รวมทั้งมีความถ่วงจำเพาะพอๆกับ 1.011 มีจุดหลอมตัว 208 องศาเซลเซียส เกือบไม่ละลายน้ำ ละลายได้ในตัวทำละลายชนิดขั้วต่ำ เป็นต้นว่า น้ำมันปิโตรเลียมอีคุณ(1:6) ในเบนซีน (1:5)
 
ที่มา : Wikiperdia(http://www.disthai.com/images/editor/Untitled-5.jpg)
ที่มาที่ไป พิมเสนธรรมชาติ หรือ พิมเสนแท้เป็นพิมเสนที่ได้มาจากการระเหิด (การกลั่นของเนื้อไม้โดยธรรมชาติ) ของยางจากต้นไม้ชนิด (เข้าใจว่าตัวต้นไม้ที่ให้พิมเสนนี้มิได้ถูกบัญญัติชื่อไทยไว้ ซึ่งในตำรายาแผนโบราณส่วนใหญ่ก็จะเอ่ยถึงแต่ว่าสิ่งที่สกัดได้จากเจ้าพืชต้นใหญ่นี้ว่า พิมเสน เพราะว่าหากเรียกว่าต้นพิมเสนอาจกำเนิดความสับสน เนื่องจากว่าต้นพิมเสน นั้นยังหมายถึงพืชอีกประเภท เป็นไม้เนื้ออ่อน มีชื่อวิทยาศาสตร์ Pogostemon cablin (Blanco) Benth. เชื้อสาย Labiatae ซึ่งเจ้าต้นนี้ สกัดได้น้ำมันหอมระเหย ที่ฝรั่งเรียกว่า Patchouli) ซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Dryobalanops aromatica Gaertn. จัดอยู่ในตระกูลยางทุ่งนา (DIPTEROCARPACEAE) (ภาษาจีนกลางเรียกว่า “หลงเหน่าเซียงสู้”) ซึ่งพบได้ทั่วไปในเมืองตรังกานู ประเทศมาเลเซีย ซึ่งพืชประเภทนี้(Dryobalanops aromatic Gaertn.) มีชื่อเรียกหลายชื่อ ได้แก่ Borneo Camphor Tree, Pokok Kapur Barus (มลายู), Pokok Kapurum (อินโดนีเซีย-สุมาตรา), Mahoborn Teak(อินโดนีเซีย-บอร์เนียว) เป็นไม้ขนาดใหญ่ อาจสูงได้ถึง 70 เมตร มีพูพอนใหญ่มาก วัดรอบๆลำต้นได้ 2-10 เมตร เปลาตรง เรือนยอดเป็นรูปฉัตร มีแขนงใหญ่ ปลายกิ่งตก ยอดทรงแหลม ใบเป็นใบผู้เดียว ใบที่อยู่ตอนบนของต้นเรียงสลับกัน ส่วนใบที่อยู่ตอนล่างของต้นออกตรงกันข้าม รูปไข่ ค่อยๆเรียวแหลมสู่ปลายใบ ขนาดกว้าง 2.5-5 ซม. ยาว 7.5-17.8 ซม. ขอบใบเรียบ ผิวใบเรียบ ก้านใบสั้น ใบอ่อนสีแดงและก็ห้อย ดอกเป็นดอกช่อ ออกที่ปลายกิ่งหรือที่ซอกใบ ดอกย่อยมีขนาดเล็ก มีกลิ่นหอมยวนใจ กลีบชั้นนอกมี 5 กลีบ ขนาดเท่าๆกัน แข็ง กลีบชั้นในห่อตามยาว เกสรตัวผู้มีจำนวนมาก ก้านเกสรชิดกันเป็น 2 แถว รวมกันเป็นหลอดยาวกว่าเกสรตัวเมีย เกสรตัวเมียมีรังไข่อยู่เหนือกลีบ มี 3 ห้อง ผลได้ผลแห้ง ไม่แตก กลีบนอกจะแผ่ออกเป็นปีก มี 1 เม็ด
พิมเสนสังเคราะห์ หรือ พิมเสนเทียมเป็นพิมเสน (http://www.disthai.com/16895643/%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%99-bomed-camphor)ที่ได้จากสารสกัดจากต้นการบูร (ชื่อวิทยาศาสตร์ Cinnamomum camphora (L.) Presl. จัดอยู่ในจัดอยู่ในวงศ์อบเชย (LAURACEAE), แล้วก็ต้นหนาด (หนาดหลวง หนาดใหญ่ หรือพิมเสนหนาด ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Blumea balsamifera (L.) DC. จัดอยู่ในสกุลทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE) โดยผ่านวิธีทางเคมีวิทยา  ซึ่งพิมเสนที่ได้จากการกลั่นพืชชนิดนี้ จีน(แต้จิ๋ว) เรียก “ไหง่เผี่ยง” จึงเรียกกันว่า “Ngai Camphor” หรือ “Blumea Camphor” นิยมใช้กันมากในเกาะไหหลำ
ผลดี/คุณประโยชน์ แม้ว่าพิมเสนจะสกัดได้มาจากต้นไม้แม้กระนั้น ตามตำรายาแผนโบราณ จัดพิมเสน เป็นประเภทธาตุวัตถุ ไม่ใข่พืชวัตถุ หมอแผนโบราณใช้พิมเสนเป็นยาขับเหงื่อ ขับเสมหะ กระตุ้นการหายใจ กระตุ้นสมองบำรุงหัวใจ ใช้เป็นยาหยุดความกระวายกระวน ทำให้ง่วงซึมแก้เคล็ดปวดเมื่อยคลายเส้นการอบสมุนไพรมีพิมเสนเป็นองค์ประกอบในตัวยา พิมเสนซึ่งระเหิดเมื่อถูกความร้อน มีกลิ่นหอมยวนใจ ใช้แต่งกลิ่น บำรุงหัวใจ แก้โรคผิวหนัง ผสมในลูกประคบ เพื่อช่วยแต่งกลิ่น มีฤทธิ์แก้พุพอง แก้หวัดนอกเหนือจากนี้ยังผสมอยู่ในยาหม่อง น้ำอบไทย
                ในตำราเรียนพระยาพระนารายณ์: เจาะจง “ตำรับยาทรงนัตถุ์”  เข้าเครื่องยา 17 สิ่ง ใช้จำนวนเท่าๆกัน และก็ พิมเสนด้วย ผสมกัน บดเป็นผงละเอียด ใช้นัตถุ์แก้ลมทั้งหลายแหล่ ตลอดจนโรคที่เกิดในศีรษะ ตา รวมทั้งจมูก อีกขนานหนึ่งเข้าเครื่องยา 15 สิ่ง แล้วก็พิมเสนด้วย บดเป็นผงละเอียด ห่อผ้าบาง ทำเป็นยาดม แก้ปวดศรีษะ หน้ามืด แก้สลบ แก้ริดสีดวงจมูก คอ แล้วก็ตา ยิ่งกว่านั้นพิมเสนยังใช้เป็นส่วนผสมใน “ตำรับยาสีผึ้งบี้พระเส้น” ใช้เช็ดนวดเส้นที่แข็งให้หย่อนได้ แล้วก็ในตำรับ “ขี้ผึ้งขาวแก้พิษแสบร้อนให้เย็น”
การศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา ชาวไทยเราจะรู้จักพิมเสนกันมานาน แม้กระนั้นเนื้อหาสาระเกี่ยวกับพิมเสนกลับไม่มีให้ค้นคว้ามากสักเท่าไรนัก เพราะเหตุว่าต้นไม้ที่ให้พิมเสนนี้ เป็นพืชที่มีเฉพาะถิ่นที่ขึ้นกับเฉพาะในเขตป่าของ เกาะสุมาตรา บอร์เนียว และก็คาบสมุทรมลายู จึงทำให้การศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยในต้นไม้ชนิดนี้เป็นไปแบบแคบๆไม่กว้างใหญ่แต่ก็ยังมีตัวอปิ้งข้อมูลทางเภสัชวิทยาของพิมเสนบางฉบับที่มีการเผยแพร่กัน ยกตัวอย่างเช่น



การเล่าเรียนทางพิษวิทยา เหมือนกับการเรียนรู้ทางเภสัชวิทยาพิมเสนกับการเล่าเรียนทางพิษวิทยานี้ก็ไร้การศึกษากันอย่างแพร่หลาย ซึ่งบางครั้งอาจจะเนื่องจากการที่ต้นไม้ที่ให้พิมเสนนี้ฯลฯไม้เฉพาะถิ่น แต่ก็มีการกำหนดข้อกำหนดสำหรับในการใช้พิมเสนไว้ว่า แม้สูดดมต่อเนื่องกันเป็นเวลานานบางทีอาจมีอันตรายได้ เนื่องด้วยสารนี้ก่อให้เกิดอาการเคืองรอบๆทางเท้าหายใจ นอกเหนือจากนั้นสารนี้ยังมีฤทธิ์กระตุ้นและก็สงบระบบประสาทศูนย์กลาง ซึ่งรวมถึงการใช้กำเนิดขนาดด้วย
ขนาด/จำนวนที่ควรจะใช้ ในตำราเรียนยาไทยเจาะจงไว้ว่า การใช้พิมเสนสำหรับรับประทาน ให้ใช้ทีละ 0.15-0.3 กรัมเอามาบดเป็นผงกับแบบเรียนยาอื่น หรือใช้ทำเป็นยาเม็ด และไม่ควรจะปรุงยาด้วยวิธีการต้ม ถ้าใช้ข้างนอกให้นำมาบดเป็นผุยผงใช้โรยแผลตามที่ต้องการ ส่วนขนาด/ปริมาณของพิมเสนที่กระทรวงสาธารณสุขของไทยอนุญาตให้ใช้เป็นองค์ประกอบกับตัวยาอื่นๆนั้น ทางกระทรวงสาธารณสุขจะเจาะจงให้ใช้เป็นตำรับๆไป
(https://www.img.in.th/images/d8f7c37c23e20f8b0bf81d8b0f9b060b.jpg)
ข้อเสนอ/ข้อควรปฏิบัติตาม



อนึ่งในปัจจุบันพิมเสนแท้แทบไม่มีแล้ว เพราะเหตุว่ามีราคาแพง จำนวนมากก็เลยใช้พิมเสนสังเคราะห์ ซึ่งได้มาจากปฏิกิริยารีดักชันของการบูร (dl-camphor) ได้เป็น (dl-borneol) ก็คือ พิมเสนเกล็ดขาวๆที่เห็นกันโดยทั่วไป จึงเรียก พิมเสนเทียมนี้ ว่า "พิมเสนเกล็ด" Borneolum Syntheticum (Borneol) ซึ่งพิมเสนสังเคราะห์ (หรือพิมเสนเทียม)นี้ชอบมีรสเผ็ดกัดลิ้น ถ้าหากเป็นของหากแม้จากธรรมชาติจะไม่กัดลิ้นแต่ว่าจะก่อให้เย็นปากเย็นคอ จะต้องต้องระวังสำหรับการใช้พิมเสนสังเคราะห์นี้ด้วย
เอกสารอ้างอิง




Tags : พิมเสน