รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

ลงประกาศฟรี => อื่น ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: ณเดช2499 ที่ พฤษภาคม 28, 2018, 11:02:40 AM

หัวข้อ: โรคกระดูกพรุน มีวิธีรักษาอย่างไรเเละมีสรรพคุณ-ประโยชน์อะไรบ้าง
เริ่มหัวข้อโดย: ณเดช2499 ที่ พฤษภาคม 28, 2018, 11:02:40 AM
(https://www.picz.in.th/images/2018/04/28/YCf0dl.jpg)
โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)
โรคกระดูกรุน (http://www.disthai.com/16880128/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%99-osteoporosis) เป็นอย่างไร โรคกระดูกพรุนโดยทั่วไปแล้ว คือภาวะที่จำนวนธาตุ (ที่สำคัญคือแคลเซียม) ในกระดูกลดลง ร่วมกับความเสื่อมถอยของเนื้อเยื่อที่ประกอบเป็นส่วนประกอบด้านในกระดูก ทำให้เนื้อหรือมวลกระดูกลดความหนาแน่น ก็เลยบอบบางแตกหักง่าย รอบๆที่พบการหักของกระดูกได้หลายครั้ง เป็นต้นว่า ข้อมือ สะโพก และสันหลัง  ส่วนคำอธิบายศัพท์ของภาวะกระดูกพรุนหรือโรคกระดูกพรุน หมายถึง ภาวการณ์ที่ความหนาแน่นของมวลกระดูก (bone mineral density : BMD) ต่ำลงซึ่งมีผลให้กระดูกบอบบาง รวมทั้งมีความเสี่ยงที่จะกำเนิดกระดูกหักได้ง่าย โดยใช้ความหนาแน่นของมวลกระดูก เป็นเกณฑ์สำหรับในการวินิจฉัยภาวการณ์กระดูกพรุนที่องค์การอนามัยโลกได้ประกาศใช้ตั้งแต่ปี คริสต์ศักราช1994 โดยเปรียบเทียบเทียงค่า BMD ของคนเจ็บกับของวัยหนุ่มสาวที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงโดยใช้ค่า T-score เป็นเกณฑ์ ผู้ที่มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation : SD) ต่ำลงยิ่งกว่า -2.5 วิเคราะห์ว่ามีสภาวะกระดูกพรุน ในช่วงเวลาที่ค่า -1.0 ถึง -2.5 จัดว่ามีสภาวะกระดูกบาง (osteopenia) และ ค่ามากยิ่งกว่า -1.0 นับว่ากระดูกปกติ
โรคกระดูกพรุนเป็นโรคเรื้อรังที่พบได้ทั่วไปในคนชรา โดยเฉพาะในสตรีวัยหมดระดู (มักไม่ค่อยเจอในเด็กและก็คนวัยหนุ่มวัยสาว นอกจากในเรื่องที่มีสภาวะปัจจัยเสี่ยง) โดยเพศหญิงมีโอกาสกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนสูงถึงร้อยละ 30-40 ในเวลาที่ผู้ชายมีโอกาสร้อยละ 13 โดย สตรีช่วงอายุ 10 ปีแรกข้างหลังหมดเมนส์ กระดูกจะบางลงเร็วมาก อธิบายได้ว่ามีเหตุที่เกิดจากการที่ขาดฮอร์โมนเพศหญิงที่มีชื่อว่าเอสโตรเจน นอกเหนือจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนแล้ว ยังเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากความเสื่อมถอยตามวัยซึ่งพบได้อีกทั้งในผู้ชายและก็เพศหญิง  และเป็นโรคที่คนโดยมากมักมองข้ามเนื่องจากว่าจะไม่ออกอาการตราบจนกระทั่งจะเกิดภาวะแทรกซ้อน(การหักของกระดูกต่างๆเช่น กระดูกข้อมือ กระดูกบั้นท้าย กระดูกสันหลัง) ทำให้คนจำนวนมากไม่ได้รับการตรวจหรือรักษา อย่างทันเวลาจนถึงเป็นเหตุให้เกิดการหักของกระดูกตามอวัยวะต่างๆจากที่กล่าวมา (โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดูกสะโพก)
                จากการคาดโดยประมาณขององค์การอนามัยโลก คาดว่าใน คริสต์ศักราช2050 จะมีผู้เจ็บป่วยด้วยเหตุว่ากระดูกสะโพกหักมากถึง 6.25 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการรายงานในปี คริสต์ศักราช 1990 ที่มีปริมาณผู้เจ็บป่วยเพียงแค่ 1.33 ล้านคน เนื่องจากภาวการณ์กระดูกพรุนมีความข้องเกี่ยวกับกระดูกสันหลังสถิติดังที่กล่าวมาข้างต้นจึงสะท้อนถึงปริมาณผู้ที่มีสภาวะกระดูกพรุนที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงศตวรรษที่ 21 โดยยิ่งไปกว่านั้นประเทศในกรุ๊ปเอเชียซึ่งพบว่าในปริมาณพลเมือง
กระดูกสะโพกหักทั่วโลกในปี คริสต์ศักราช1990 ร้อยละ 30 เป็นชาวเอเชียและในปี 2050 คาดว่าชาวเอเชียจะพลเมืองคนป่วยกระดูกบั้นท้ายหักถึงปริมาณร้อยละ 50 ของพลเมืองโลกทั้งหมดทั้งปวง
สำหรับประเทศไทย (ข้อมูลเมื่อปี 2555) ยังไม่มีคุณวุฒิถึงสถิติโรคกระดูกพรุนเป็นรายปี แม้กระนั้นจากสถิติปริมาณพลเมืองคนชราของประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็เลยทำให้ความชุกของโรคกระดูกพรุนมากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่แก่ตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไปจะพบโรคกระดูกพรุนได้มากกว่า 50% โดยเจอภาวะกระดูกพรุนรอบๆสันหลังส่วนเอว 15.7-24.7% บริเวณกระดูกสะโพก 9.5-19.3% อุบัติการณ์ของกระดูกบั้นท้ายหักในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปได้ปริมาณ 289 ครั้งต่อประชากร 1 แสนรายต่อปี
สาเหตุของโรคกระดูกพรุน เหตุเพราะกระดูกมี โปรตีน คอลลาเจน และแคลเซียม โดยมีแคลเซียมฟอสเฟตเป็นตัวทำให้กระดูกแข็งแรง ทนต่อแรงดึงรั้ง กระดูกมีการสร้างและเสื่อมสภาพอยู่ตลอดเวลา กล่าวอีกนัยหนึ่ง ระหว่างที่มีการสร้างกระดูกใหม่โดยใช้แคลเซียมจากอาหารที่รับประทานเข้าไป ก็มีการสลายแคลเซียมในเนื้อกระดูกเก่าออกมาในเลือดและถูกขับออกมาทางฉี่แล้วก็อุจจาระ ธรรมดาในเด็กจะมีการสร้างกระดูกมากยิ่งกว่าการสลาย ทำให้กระดูกมีการเจริญเติบโต มวลกระดูกจะเบาๆมากขึ้นกระทั่งมีความหนาแน่นสูงสุด เมื่ออายุโดยประมาณ ๓๐-๓๕ ปี ต่อจากนั้นจะเริ่มมีการสลายกระดูกมากกว่าการผลิต ทำให้กระดูกเบาๆบางตัวลงตามอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะ ในผู้หญิงตอนหลังวัยหมดระดู ซึ่งมีการลดน้อยลงของฮอร์โมนเอสโทรเจนอย่างเร็ว ฮอร์โมนชนิดนี้ช่วยการดูดซึมแคลเซียมไปสู่ร่างกายและชะลอการสลายของแคลเซียมในเนื้อกระดูก เมื่อพร่องฮอร์โมนประเภทนี้ก็จะก่อให้กระดูกบางตัวลงอย่างเร็ว กระทั่งเกิดภาวะกระดูกพรุน
ส่วนกลไกการเกิดกระดูกพรุนที่แน่ๆยังไม่ทราบ แต่ในพื้นฐานพบว่าเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการเสียสมดุลระหว่างเซลล์สร้างกระดูก (Osteoblast) และเซลล์ซึมซับทำลายกระดูก (Osteoclast) ซึ่งการมีกระดูกที่แข็งแรงจะต้องมีสมดุลระหว่างเซลล์ทั้งสองประเภทนี้เสมอ ซึ่งการเสียสมดุลเกิดได้จากหลายกรณีคือ



ลักษณะของโรคกระดูกพรุน จำนวนมากมักจะไม่มีอาการแสดง ตราบจนกระทั่งเกิดไม่ดีเหมือนปกติของโครงสร้างกระดูก อาทิเช่น ปวดข้อมือ สะโพก หรือข้างหลัง (เนื่องด้วยกระดูกข้อมือ บั้นท้าย หรือสันหลังแตกหัก) ส่วนสูงต่ำลงจากเดิม (เหตุเพราะการหักรวมทั้งยุบตัวของกระดูกสันหลัง ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดคิด เป็นต้น) ถ้าเป็นโรคกระดูกพรุนชนิดทุติยภูมิก็อาจมีอาการแสดงของโรคที่เป็นต้นเหตุ
ทั้งยังผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนจะเสี่ยงต่อการหักของกระดูกซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยชองภาวการณ์กระดูกพรุนโดยเฉพาะกระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง และกระดูกข้อมือ ซึ่งก่อให้เกิดผลเสียต่อการ
สูญเสียเศรษฐกิจของประเทศแล้วก็คุณภาพชีวิตของผู้ป่วย และก็โดยส่วนมากจะเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรงหรือมีแรงกระแทกต่ำ อย่างเช่น กระดูกหักจากการเปลี่ยนท่ายืนหรือนั่ง, กระดูกหักขณะก้มหยิบของหรือยกของหนัก, กระดูกซี่โครงหักเพียงแค่ไอหรือจาม, กระดูกข้อมือหักจากการใช้มือจนถึงตัวเอาไว้จากการลื่นหรือหกล้ม, กระดูกบั้นท้ายหักจากก้นชนกับพื้น ฯลฯ
วิธีการรักษาของโรคกระดูกพรุน เนื่องจากว่าสภาวะกระดูกพรุนโดยมากไม่ปรากฏอาการแสดงที่ผิดปกติจวบจนกระทั่งจะเกิดการหักของกระดูก แล้วก็มีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆอย่างเช่น อาการปวดเกิดขึ้น การตรวจและก็วินิจฉัยการสูญเสียมวลกระดูกให้ได้ก่อนที่จะมีการหักของกระดูกก็เลยเป็นหัวข้อสำคัญ โดยแพทย์จะวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน (http://www.disthai.com/16880128/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%99-osteoporosis) จากความเป็นมาอาการ เรื่องราวเจ็บไข้ได้ป่วยต่างๆเรื่องราวออกกำ ลังกาย อายุ การตรวจร่างกาย รวมทั้งจะทำวิเคราะห์ด้วยการเอกซเรย์กระดูก ตรวจความหนาแน่นของกระดูก (bone mineral density)  แล้วนำค่าที่ได้ไปเปรียบเทียบกับค่าธรรมดาในเพศและก็อายุตอนเดียวกัน ถ้าหากกระดูกมีค่ามวลกระดูกน้อยกว่า 1.00 gm/cm2 จะได้โอกาสกระดูกหักได้ง่าย ซึ่งการแบ่งกระดูกตามค่ามวลกระดูกจะแบ่งได้เป็น 4 ชนิด ดังนี้



การตรวจด้วย dual-energy x-ray absorptiometry (DEXA) ได้รับการยอมรับว่าเป็นแนวทางการตรวจที่เป็นมาตรฐาน (gold standard) มีความถูกต้องชัดเจนแม่นที่สุดสำหรับในการวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกแม้ว่าจะสูญเสียมวลกระดูกไปเพียงแต่ร้อยละ  1 ก็ตาม กระบวนการรักษาโรคกระดูกพรุนเป็น เพิ่มแนวทางการทำงานของเซลล์สร้างกระดูกและก็หยุดหรือลดลักษณะการทำงานของเซลล์ทำลายกระดูก
โดยแพทย์จะมีแนวทางการดูแลรักษาคนที่มีสภาวะกระดุพรุน ดังนี้

นอกเหนือจากนั้น บางทีอาจพินิจให้ยากระตุ้นการดูดซึมแคลเซียม และ/หรือยาลดการสลายกระดูกเพิ่มแก่คนเจ็บบางราย ตัวอย่างเช่น



ผู้ป่วยจำต้องใช้ยาบ่อยๆ หมอจะนัดมาตรวจเป็นระยะ อาจต้องทำการตรวจกรองโรคมะเร็งเต้านมรวมทั้งปากมดลูก (สำหรับคนที่รับประทานเอสโทรเจน) ปีละ ๑ ครั้ง ตรวจความหนาแน่นของกระดูกทุก ๒-๓ ปี เอกซเรย์ในรายที่สงสัยมีกระดูกหัก เป็นต้น
ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน ดังเช่น กระดูกหัก ก็ให้การรักษา ยกตัวอย่างเช่น การเข้าเฝือก การผ่าตัด กระบวนการทำกายภาพบำบัด ฯลฯ
ในรายที่มีโรคหรือภาวการณ์ที่เป็นสาเหตุของโรคกระดูกพรุนจำพวกทุติยภูมิ ก็ให้การรักษาไปพร้อมๆกัน
ปัจจัยเสี่ยงที่จะนำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคกระดูกพรุน ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลให้เกิดโรคกระดูกพรุนนั้น สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงอยู่ 2 ประเภทหมายถึงปัจจัยเสี่ยงที่ปรับเปลี่ยนได้ และก็ สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงมิได้ (ตารางที่ 1) ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงหลายเหตุก็จะได้โอกาสสูงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุน และจะได้โอกาสสูงที่จะเกิดกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน
(https://www.picz.in.th/images/2018/04/28/YCfNbV.jpg)
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดภาวการณ์กระดูกพรุน
ต้นสายปลายเหตุที่ปรับปรุงแก้ไขมิได้            เหตุที่ปรับปรุงได้



การติดต่อของโรคกระดูกพรุน โรคกระดูกพรุนเป็นโรคที่ร่างกายมีภาวะที่ความหนาแน่นของมวลกระดูกลดต่ำยิ่งกว่าค่ามาตรฐาน ซึ่งมีต้นเหตุจากกลไกการเสื่อมสภาพของเซลล์สร้างกระดูก นำมาซึ่งการทำให้ความสมดุลของเซลล์สร้างกระดูกและก็เซลล์ซึมซับทำลายกระดูกสูญเสียไป ซึ่งมีมากมายหลายกรณี แม้กระนั้นโรคกระดูกพรุนนี้ไม่ใช่โรคติดต่อเพราะไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
การกระทำตนเมื่อป่วยด้วยโรคกระดูกพรุน

การคุ้มครองป้องกันตัวเองจากโรคกระดูกพรุน



อายุปริมาณแคลเซียมที่อยากได้ (mg/day)
แรกเกิด – 6 เดือน
6 เดือน – 1 ปี
1 ปี – 5 ปี
6 ปี – 10 ปี
11 ปี – 24 ปี
เพศชาย
25 ปี – 65 ปี
มากยิ่งกว่า 65 ปี
เพศหญิง
25 ปี – 50 ปี
มากยิ่งกว่า 50 ปี (ข้างหลังวัยหมดประจำเดือน)
 
อายุ        400
600
800
800-1200
1200-1500
1000
1500 
1000
 
 
จำนวนแคลเซียมที่อยาก (mg/day)
  -ได้รับการดูแลและรักษาด้วย estrogen
  - มิได้รับการดูแลรักษาด้วย estrogen
แก่กว่า 65 ปี
ระหว่ามีครรภ์ หรือให้นมลูก            1000
1500
1500
1200-1500
โดยของกินที่มีแคลเซียมสูง ยกตัวอย่างเช่น นม เนยแข็ง ปลาที่กินได้อีกทั้งกระดูก (ดังเช่น ปลาไส้ตัน) กุ้งแห้ง เต้าหู้แข็ง ถั่วแดง ผักสีเขียวเข้ม (ดังเช่น คะน้า ใบชะพู) งาดำคั่ว
แนวทางปฏิบัติ สำหรับเด็กรวมทั้งวัยรุ่นควรจะดื่มนมวันละ 2-3 แก้ว ผู้ใหญ่แล้วก็ผู้สูงอายุดื่มนมวันละ 1-2 แก้วเสมอๆ จะก่อให้ได้รับแคลเซียมจำนวนร้อยละ 50 ของจำนวนที่อยาก ส่วนแคลเซียมที่ยังขาดให้รับประทานจากอาหารแหล่งอื่นๆประกอบ
ผู้ใหญ่บางบุคคลที่มีข้อจำกัดสำหรับเพื่อการดื่มนม (ตัวอย่างเช่น มีภาวะไขมันในเลือดสูง อ้วน เป็นเบาหวาน ความดันเลือดสูง โรคหัวใจขาดเลือด) ให้เลือกรับประทานเนยแข็ง นมเปรี้ยว นมพร่องมันเนย แทน หรือบริโภคของกินที่มีแคลเซียมสูงในแต่ละมื้อให้มากขึ้น

สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองป้องกัน / รักษาโรคกระดูกพรุน
เพชรสังฆาต ชื่อวิทยาศาสตร์ Cissus guadrangu laris L. ตระกูล Vitaceae "เพชรสังฆาต" เป็นสมุนไพรที่ใช้บำรุงกระดูกมาตั้งแต่สมัยก่อน ในพระตำราสรรพลักษณะ เอ่ยถึงคุณประโยชน์ของ "เพชรสังฆาต" ไว้ว่า "เพชรสังฆาต แก้จุกเสียด แก้บิด แก้ปวดในข้อในกระดูก ถูกใจแก้ลมทั้งปวงแล" ในตำราหมอแผนโบราณทั่วๆไป สาขาการปรุงยา ของกองประกอบโรคศิลปะ กระทรวงสาธารณสุข บอกว่า "เพชรสังฆาต" มีคุณประโยชน์ แก้กระดูกแตก หัก ซ้น ขับลมในลำไส้ แก้ริดสีดวงทวารหนัก ส่วนหมอพื้นบ้านนั้นใช้เถาตำละเอียดเป็นยาพอกบริเวณกระดูกหักช่วยลดอาการบวม อักเสบได้
ตอนนี้ได้มีงานศึกษาวิจัยพบว่า "เพชรสังฆาต" มีวิตามินซีสูงมากซึ่งยืนยันสรรพคุณรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน อุดมด้วยแคโรทีนซึ่งเป็นสารเริ่มต้นของวิตามินเอ มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ ที่สำคัญมีองค์ประกอบของแคลเซียมสูงมากมาย รวมทั้งสารอท้องนาโบลิก สเตียรอยด์ (Anabolic  Steroids) มีฤทธิ์เร่งปฏิกิริยาการสมานกระดูกที่แตกหักโดยกระตุ้นการผลิตเซลล์ออสเตโอบลาสต์ (Osteoblast) ซึ่งปฏิบัติภารกิจสร้างกระดูกแล้วก็ยังช่วยทำให้มีการสร้างสารมิวโคโพลีแซกคาไรด์ (Mucopolysaccharides) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในกรรมวิธีสมานกระดูก นอกจากนั้นสารคอลลาเจน (Collagen) ในเพชรสังฆาตยังเป็นสารอินทรีย์โปรตีนที่มาจับกับผลึกแคลเซียมฟอสเฟตจนถึงกลายเป็นกระดูกแข็งซึ่งสามารถรับน้ำหนักแล้วก็มีความยืดหยุ่นในตนเอง
ผลการทดลองใช้เถาเพชรสังฆาตในสตรีวัยทองซึ่งเป็นกรุ๊ปเสี่ยงที่จะเกิดภาวะกระดูกพรุน พบว่าช่วยเพิ่มมวลกระดูกและรักษากระดูกแตก กระดูกหักได้
ฝอยทองคำ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cuscuta chinensis Lam. วงศ์ Convlvulaceae ในประเทศจีนรวมทั้งบางประเทศในแถบทวีปเอเชีย ได้มีการใช้เม็ดฝอยทองคำสำหรับในการรักษาโรคกระดูกพรุน จากการวิเคราะห์ทางเคมีพบว่า สารประกอบที่แยกได้จากสารสกัดเอทานอลเป็นสารในกรุ๊ป astragalin, flavonoids, quercetin, hyperoside isorhamnetin แล้วก็ kaempferol เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์พบว่าสาร kaempferol และก็ hyperoside สามารถเพิ่มฤทธิ์ของ alkaline phosphatase (ALP) ในเซลล์ osteoblast-like UMR-106 โดยที่ ALP เป็นตัวระบุในการเพิ่มการผลิตเซลล์กระดูกของเซลล์ตั้งต้น และสาร astragalin ยังกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ UMR-106
ด้วย ส่วนสารอื่นๆไม่พบว่ามีฤทธิ์ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น นอกจากนั้นยังพบว่าสารที่แยกได้มีฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจน ขึ้นรถ quercetin, kaempferol รวมทั้ง isorhamnetin ออกฤทธิ์กระตุ้น ERβ (estrogen receptor agonist) แม้กระนั้นเมื่อเปรียบเทียบกันในแง่ของการกระตุ้น ER จะมีเพียงแต่สาร quercetin แล้วก็ kaempferol ที่ออกฤทธิ์แรงสำหรับเพื่อการยับยั้งตัวรับ estrogen ชนิด ERα/β โดยที่กลไกดังที่ได้กล่าวมาแล้วคาดว่าจะเทียบเคียงกับยา raloxifene ที่ออกฤทธิ์กระตุ้น ER ที่บริเวณกระดูก ไขมัน หัวใจและก็เส้นโลหิต แต่ออกฤทธิ์ยั้ง ER ที่รอบๆเต้านมและมดลูก
นอกเหนือจากนั้นสาร quercetin และก็ kaempferol ยังกระตุ้นการแสดงออกของ ERα/β-mediated AP-1 reporter (activator protein) ซึ่งเป็นโปรตีนที่เกี่ยวพันกับการสร้างกระดูก เหมือนกันกับยา raloxifene จากการทดลองทั้งหมดทั้งปวงทำให้สรุปได้ว่าเม็ดฝอยทองคำมีประสิทธิภาพสำหรับเพื่อการรักษาโรคกระดูกพรุน แล้วก็สารสำคัญที่มีฤทธิ์สำหรับในการสร้างเซลล์กระดูกเป็น kaempferol และ hyperoside
เอกสารอ้างอิง