รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

ลงประกาศฟรี => อื่น ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: bilbill2255 ที่ พฤษภาคม 15, 2018, 10:33:34 AM

หัวข้อ: โรตกรดไหลย้อนที่เราเจอกันบ่อยๆ มีสรรพคุณเเละประโยชน์เเละวิธีรักษาดังนี้
เริ่มหัวข้อโดย: bilbill2255 ที่ พฤษภาคม 15, 2018, 10:33:34 AM
(https://www.img.in.th/images/f6fbcc492bfc875f63dffe872b932ddf.md.jpg)
โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal reflux disease : GERD)
โรคกรดไหลย้อนคืออะไร 
โรคกรดไหลย้อน (http://www.disthai.com/16880091/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99-gastroesophageal-reflux-disease-gerd)” (Gastroesophageal reflux disease ,GERD) เป็นโรคที่เกิดจากการไหลย้อนของกรด (น้ำย่อย) ในกระเพาะกลับไปที่หลอดอาหาร ซึ่งโดยธรรมดาร่างกายของเราจะมีการไหลย้อนของกรดในกระเพาะขึ้นไปในหลอดของกินอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังรับประทานอาหารแต่ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีจำนวนกรดที่ย้อนเพิ่มมากขึ้นหรือย้อนบ่อยครั้งกว่าผู้ที่ไม่เป็นโรค หรือหลอดอาหารมีความไวต่อกรดมากขึ้นแม้ว่าจะมีปริมาณกรดที่ย้อนขึ้นไปไม่มากกว่าปกติ ส่งผลให้มีลักษณะระคายรอบๆคอ และก็แสบอกหรือจุกเสียดรอบๆใต้ลิ้นปี่ และก็มีลักษณะอาการท้องอืดท้องเฟ้อร่วมด้วย คล้ายกับอาการโรคกระเพาะ ทำให้คนส่วนใหญ่รู้ผิดว่าเป็นโรคกระเพาะอาหาร และไปซื้อยาลดกรด (antacids)  ที่มีตามตลาดมารับประทานเพื่อทุเลาอาการ ซึ่งเป็นการรักษาที่ไม่ถูกจุด ก็เลยพบว่าในขณะนี้มีผู้ป่วยมาพบหมอด้วยโรคกรดไหลย้อนเพิ่มสูงขึ้น  และก็ถ้าเกิดปล่อยให้กำเนิดอาการเรื้อรังแล้วก็รักษาด้วยวิธีที่ผิดจำต้อง บางทีอาจนำไปสู่การเกิดหลอดอาหารอักเสบ แผลที่หลอดอาหาร หรือหลอดอาหารตีบ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงสำหรับในการเกิดโรคมะเร็งหลอดอาหารได้
นอกจากนั้นยังสามารถจัดประเภทของโรคกรดไหลย้อนได้เป็น 2 ชนิด คือ



ซึ่งโรคกรดไหลย้อนนี้ เป็นโรคที่เจอได้ราว 10-15% ของคนที่มีอาการอาหารไม่ย่อย (Syspepsia) และพบได้มากอีกทั้งในผู้หญิงแล้วก็ในผู้ชาย โดยพบได้ใกล้เคียงกัน เป็นโรคที่เจอได้ในทุกช่วงอายุ ตั้งแต่เด็กทารกไปจนถึงคนชรา แม้กระนั้นเจออัตราเกิดสูงมากขึ้นในอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป รวมทั้งเจอได้สูงสุดในช่วงอายุ 60 - 70 ปีขึ้นไป มีรายงานว่าประเทศแถมตะวันตกพบโรคนี้ได้ประมาณ 10 - 20% ของมวลชนอย่างยิ่งจริงๆ
สาเหตุของโรคกรดไหลย้อน
โรคกรดไหลย้อนมีต้นสายปลายเหตุที่เกี่ยวกับความไม่ดีเหมือนปกติ ของแนวทางการทำหน้าที่ของกล้ามเนื้อหูรูดที่อยู่ตรงข้างล่างของหลอดอาหาร (lower esophageal sphincter, LES) ในคนธรรมดาขณะกลืนของกินหูรูดนี้จะคลายตัวเพื่อเปิดทางให้อาหารไหลผ่านเข้าสู่กระเพาะอาหาร เมื่ออาหารผ่านลงกระเพาะจนกระทั่งหมดแล้วหูรูดนี้จะหดรัดเพื่อกีดกันไม่ให้น้ำย่อย (ซึ่งเป็นกรดเกลือ) ที่อยู่ในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดอาหาร
แต่คนที่เป็นโรคกรดไหลย้อน พบว่ากล้ามหูรูดตรงส่วนล่างของหลอด อาหารนี้หย่อนยานความสามารถ ทำให้มีน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดอาหารมากยิ่งกว่าธรรมดา (คนทั่วๆไปข้างหลังรับประทานข้าวอาจมีน้ำย่อยไหลย้อนได้ 1-4 ครั้ง ซึ่งไม่นำไปสู่อาการ) กระตุ้นให้เกิดอาการไม่ปกติ และก็การอักเสบของเยื่อบุหลอด ของกินได้
ส่วนสาเหตุที่ทำให้หูรูดดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นดำเนินการเปลี่ยนไปจากปกติยังไม่เคยรู้กระจ่าง แม้กระนั้นเชื่อว่าอาจเกิดขึ้นเนื่องจากความเสื่อมตามอายุ (เจอในคนแก่กว่า 40 ปี) หรือหูรูดยังรุ่งโรจน์ไม่สุดกำลัง (พบในเด็กทารก) หรือมีความผิดธรรมดาที่เป็นมาแต่กำเนิด
นอกนั้นความประพฤติในชีวิตประจำวัน หรือโรคบางชนิดมีส่วนกระตุ้นแนวทางการทำงานของหลอดของกินให้กำเนิดความเปลี่ยนไปจากปกติได้ หรือทำให้กระเพาะหลั่งกรดในปริมาณมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น นอนหลังรับประทานอาหารในทันที กินอาหารจำนวนมากภายในมื้อเดียว อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นเหตุให้เกิดภาวการณ์กรดไหลย้อนได้ง่ายขึ้นด้วยเหมือนกัน
อาการของโรคกรดไหลย้อน  อาการของคนป่วยนั้นขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ถูกเคืองโดยกรด ดังเช่น

ขั้นตอนการรักษาโรคกรดไหลย้อน
แพทย์วินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนได้จาก ประวัติความเป็นมาอาการ การตรวจลำคอ การตรวจร่างกาย การตรวจภาพปอดด้วยเอกซเรย์แยกจากโรคปอดต่างๆการส่องกล้องตรวจกล่องเสียง หลอดของกิน กระเพาะ แล้วก็ลำไส้ รวมทั้งอาจตัดชิ้นเนื้อในรอบๆที่เปลี่ยนไปจากปกติเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา เพื่อแยกจากโรคมะเร็งหลอดอาหาร แล้วก็อาจมีการตรวจวิธีเฉพาะอื่นๆเพิ่มเติม ดังเช่นว่า ตรวจวัดภาวะความเป็นกรดของหลอดอาหารในขณะส่องกล้อง ดังนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของหมอ ได้แก่ การเอกซเรย์กลืนสารทึบแสงสว่าง, การตรวจทางเวชศาสตร์ปรมาณู, การตรวจการบีบตัวของหลอดอาหาร เป็นต้น
แม้กระนั้นโดยส่วนมากแล้ว แพทย์ชอบวินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนจากอาการแสดงก็พอเพียงต่อการวินิจฉัยโรคแล้ว ซึ่งอาการแสดงที่พบได้ทั่วไป เช่น อาการแสบลิ้นปี่ จุกแน่นยอดอก และก็เรอเปรี้ยวข้างหลังรับประทานอาหารที่เป็นตัวกระตุ้น หรือมีพฤติกรรมที่เป็นเหตุกำเริบ แต่ว่าในรายที่ไม่ชัดแจ้งบางทีอาจจะต้องกระทำการตรวจพิเศษ (ซึ่งพบได้นานๆครั้ง)
กรรมวิธีรักษาโรคกรดไหลย้อน



             ควรจะบากบั่นลดความอ้วน
             อุตสาหะหลีกเลี่ยงความเครียด
             เลี่ยงการสวมเสื้อผ้าที่คับหรือรัดแน่นเกินไป
             หากมีลักษณะท้องผูก ควรรักษา แล้วก็หลีกเลี่ยงการเบ่ง
             ควรจะออกกำลังกายบ่อย
             ภายหลังทานอาหารทันที อุตสาหะหลบหลีกการนอนราบ
             เลี่ยงการรับประทานอาหารมื้อมืดค่ำ
             รับประทานอาหารจำนวนพอดีในแต่ละมื้อ
             หลบหลีกเครื่องดื่มบางประเภท เช่น กาแฟ น้ำอัดลม
             หากจะนอนหลังรับประทานอาหาร ควรคอยราวๆ 3 ชั่วโมง



             เดี๋ยวนี้ยาที่ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด  คือ ยาลดกรดในกลุ่มยับยั้งโปรตอนปั๊ม (Proton pump inhibitors) เป็นต้นว่า โอเมพราโซล (omeprazole)ขนาด 20 มิลลิกรัม วันละ 1-2 ครั้ง ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงมากสำหรับในการคุ้มครองป้องกันลักษณะของโรคกรดไหลย้อน โดยให้รับประทานยาติดต่อกันเป็นเวลา 6 - 8อาทิตย์ หรือบางทีอาจต้องใช้ยาเป็นระยะเวลานานหลายเดือนสังกัดผู้ป่วยแต่ละราย ตัวอย่างเช่นกรณีที่เป็นมากหรือมีอาการมานาน ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีการปรับการรับประทานยาเป็นระยะๆตามอาการที่มี  หรือกินอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
             ในบางครั้งบางคราวบางทีอาจใช้ยาเพิ่มการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหารร่วมด้วย เป็นต้นว่า เมโทโคลพราไมด์ (metoclo-pramide) ขนาด 10 มิลลิกรัม 1 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง ซึ่งยานี้ควรรับประทานก่อนรับประทานอาหารราวๆ 30 นาที



             ผู้เจ็บป่วยที่มีลักษณะอาการร้ายแรง ซึ่งให้การรักษาโดยการใช้ยาอย่างมากแล้วไม่ดีขึ้น
             ผู้เจ็บป่วยที่ไม่สามารถที่จะรับประทานยาที่ใช้ในการรักษาภาวการณ์นี้ได้
             คนไข้ที่ดียิ่งขึ้นภายหลังจากการใช้ยา แต่ไม่ต้องการที่จะอยากที่จะรับประทานยาต่อ
             คนเจ็บที่กลับกลายซ้ำบ่อยข้างหลังหยุดยา
ดังนี้คนเจ็บที่จะต้องได้รับการผ่าตัดมีเพียงแต่ร้อยละ 10 แค่นั้น การรักษาโดยการผ่าตัดมีหลายวิธี อาทิเช่น endoscopic fundoplication, radiofrequency therapy, injection / implantation therapy เป็นต้น
(https://www.img.in.th/images/93ef36996517bdac08f7cec2b0fafc41.jpg)
ปัจจัยเสี่ยงที่นำมาซึ่งโรคกรดไหลย้อน



การติดต่อของโรคกรดไหลย้อน โรคกรดไหลย้อนมีต้นเหตุจากความผิดแปลกของกล้ามหูรูดส่วนล่างของหลอดของกิน ทำให้มีกรด (น้ำย่อย) จากกระเพาะไหลย้อนกลับขึ้นไปที่หลอดอาหารแล้วก็เกิดการอักเสบรวมทั้งอาการต่างๆตามมา ซึ่งโรคกรดไหลย้อนนี้มิได้เป็นโรคติดต่อ เพราะไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนอะไร
การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคกรดไหลย้อน



การคุ้มครองป้องกันตัวเองจากโรคกรดไหลย้อน (http://www.disthai.com/16880091/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99-gastroesophageal-reflux-disease-gerd) การปกป้องคุ้มครองโรคกรดไหลย้อนนั้นตัวเราเองเป็นสาระสำคัญที่จะสามารถปกป้องการเกิดโรคได้ โดยการเปลี่ยนแปลงความประพฤติปฏิบัติการดำนงชีพของเรา ดังเช่นว่า



             ชา กาแฟ แล้วก็น้ำอัดลมทุกประเภท
             ของกินทอด อาหารไขมันสูง
             ของกินรสจัด รสเผ็ด
             ผลไม้รสเปรี้ยว ส้ม มะนาว มะเขือเทศ
             หอมหัวใหญ่ สะระแหน่ เปปเปอร์มิ้นต์
             ช็อกโกแลต

สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน / รักษาโรคกรดไหลย้อน
ยอ  ชื่อวิทยาศาสตร์ Morinda citrifolia วงศ์ Rubiaceae มีรายงานการศึกษาค้นคว้าวิจัยในหนู พบว่า “ยอ” ซึ่งมีสารสำคัญ คือ สโคโปเลติน (scopoletin) เป็นส่วนประกอบอยู่ด้วยนั้น สามารถลดการอักเสบของหลอดอาหารจากการไหลย้อนของกรดได้ผลดี เท่าๆกับยามาตรฐานที่ใช้ในการรักษากรดไหลย้อน คือ รานิติดีน (ranitidine) รวมทั้งแลนโสพราโซล (lansoprazole) เพราะว่ามีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านทานการหลั่งของกรด ต้านการเกิดแผล และก็ทำให้การบีบตัวของระบบทางเดินอาหารดีขึ้น โดยส่งผลต่อระบบประสาทที่เกี่ยวพันโดยตรง รวมทั้งยังมีแถลงการณ์ว่าสามารถเพิ่มการดูดซึมของรานิติดีน “ยอ” จึงเหมาะในการเป็นสมุนไพรสำหรับรักษาอาการกรดไหลย้อนเป็นอย่างยิ่ง ทั้งจากการศึกษาวิจัยข้างต้น และก็การที่ “ยอ” มีรสร้อน ช่วยในการย่อยอาหาร ทำให้ของกินไม่หลงเหลือ ไม่กำเนิดลมในกระเพาะอาหาร ลดการเกิดแรงกดดันที่ทำให้กรดไหลย้อน “ยอ” ยังช่วยให้กระเพาะบีบขับเคลื่อนก้าวหน้าขึ้น ทำให้ของกินเคลื่อนจากกระเพาะไปสู่ลำไส้เล็กเจริญขึ้น
ดังนี้สมุนไพรที่อาจใช้ด้วยกันหมายถึงขมิ้นชัน เนื่องจากว่าขมิ้นชันมีสรรพคุณสำหรับการรักษาอาการท้องอืด รวมทั้งช่วยขับน้ำดีเพื่อย่อยไขมัน ทำให้อาหารไม่ตกค้างในกระเพาะ รวมทั้งลำไส้เล็กนานเกินความจำเป็น ช่วยรักษาแผลในกระเพาะได้อีกด้วย มีผู้แนะนำให้รับประทานขมิ้นชันก่อนรับประทานอาหาร 1-2 ชั่วโมง ตอนเช้า ช่วงกลางวัน เย็น และก็ก่อนนอน ขนาดกินคือ ครั้งละ 1 ช้อนชาสำหรับแบบผง หรือ 3 เม็ดๆละ 500 มิลลิกรัม
ขมิ้น ชื่อวิทยาศาสตร์     Curcuma longa L. สกุล     Zingiberaceae ชื่อพ้อง  C. domestica Valeton  ชื่ออื่นๆ   ขมิ้นแกง ขมิ้นหยอกเย้า ขมิ้นหัว ขมิ้นชัน ขี้มิ้น หมิ้น ตายอ สะยอ Turmeric สารออกฤทธิ์                curcumin, ar-turmerone curcumin จากขมิ้นลดการอักเสบจากรอยแผลได้ดิบได้ดี การทดลองในหลอดทดลอง โดยใช้สารสกัดขมิ้น 160 มก./กิโลกรัม กรอกเข้าทางกระเพาะ (intragastric) ของหนูขาว ยับยั้งการอักเสบคิดเป็น 29.5% curcumin มีฤทธิ์ต้านการอักเสบที่เกิดขึ้นจากการเหนี่ยวนำด้วยคาราจีแนน การทดลองเปรียบระหว่าง phenylbutazone กับ sodium curcuminate 30 มิลลิกรัม/กก. พบว่าได้ผลดี แต่ถ้าเกิดสูงขึ้นเป็น 60 มก./กิโลกรัม ฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบจะต่ำลง รวมทั้ง sodium curcuminate ยังสามารถยับยั้งการบีบตัวของลำไส้หนูในหลอดทดลองที่รั้งนำจากนิโคติน อะซีติเตียนลโคลีน 5-hydroxy-tryptamine ฮีสตามีนและแบเรียมคลอไรด์ ยิ่งไปกว่านี้ sodium curcuminate ยังลดจังหวะการบีบรัดตัวของลำไส้เล็กของกระต่าย โดยไปลดระยะห่างของจังหวะการบีบรัดตัวของลำไส้
ขมิ้น (http://www.disthai.com/16488284/%E0%B8%82%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%99)สามารถต่อต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร โดยกระตุ้นการหลั่งไม่วสินมาเคลือบแล้วก็ยับยั้งการหลั่งน้ำย่อยต่างๆสารสำคัญในการออกฤทธิ์เป็น curcumin ในขนาด 50 มก./กิโลกรัม สามารถกระตุ้นการหลั่งมิวซินออกมาฉาบกระเพาะอาหาร แต่หากใช้ในขนาดสูงอาจส่งผลให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้
มีการทดสอบในกระต่ายเปรียบเทียบกับกรุ๊ปที่มีการหลั่งกรดมาก พบว่าผงขมิ้นไม่เปลี่ยนแปลงปริมาณน้ำย่อยและก็กรดในกระเพาะ แต่เพิ่มองค์ประกอบของไม่วซิน
ย่านาง หรือใบย่านาง มีชื่อทางด้านวิทยาศาสตร์ว่า Tiliacora triandra (Colebr.) Diels มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Bamboo grass อยู่ในตระกูล Menispermaceae ใบของย่านาง เป็นเป็นส่วนที่มีคุณประโยชน์แล้วก็ถูกประยุกต์ใช้สำหรับการรักษาโรคสูงที่สุด เพราะว่าเป็นพืชที่มีฤทธิ์เย็น แล้วก็มีสารต้านอนุมูลอิสระในจำนวนสูง นอกเหนือจากนี้ถูกจัดไว้ในแบบเรียนสมุนไพรว่าเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย ซึ่งประโยชน์ของใบย่านางสำหรับในการรักษาโรคมีดังนี้
ระบบทางเดินอาหาร -ช่วยรักษาโรคกระเพาะ ลำไส้อักเสบ   -ช่วยลดอาการหดเกร็งตามไส้          -ช่วยรักษาอาการกรดไหลย้อน
รักษาและป้องกันโรคภัยต่างๆ-ช่วยรักษาโรคความดันเลือดสูง  -ช่วยป้องกันและก็บรรเทาการเกิดโรคหัวใจ  -ช่วยคุ้มครองป้องกันและลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งได้  -ช่วยรักษาลักษณะโรคเบาหวาน โดยไปลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ลดน้อยลง
ระบบผิวหนัง  -ช่วยสำหรับการรักษาโรคเริม งูสวัด   -ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย
ระบบขยายพันธุ์รวมทั้งฟุตบาทเยี่ยว  -ช่วยรักษาโรคนิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในถุงน้ำดี   -ช่วยรักษาอาการฉี่แสบขัด ออกร้อนในทางเดินเยี่ยว
ขึ้นฉ่าย (Apium graveolens L.) ช่วยทำนุบำรุงระบบการทำงานเกี่ยวกับการย่อยอาหารในร่างกายและช่วยลดอาการของโรคที่เกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ซึ่งรวมทั้งโรคกรดไหลย้อน
เอกสารอ้างอิง