รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

ลงประกาศฟรี => อื่น ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: ณเดช2499 ที่ เมษายน 28, 2018, 02:26:02 AM

หัวข้อ: โรคต่อมลูกหมากโต - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร
เริ่มหัวข้อโดย: ณเดช2499 ที่ เมษายน 28, 2018, 02:26:02 AM
(https://www.img.in.th/images/b33f047ab3f0cb6d5981b9817740dbd8.gif)
โรคต่อมลูกหมากโต (Benign prostatic hypertrophy-BPH)
โรคต่อมลูกหมากโต (http://www.disthai.com/16865130/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%95)เป็นอย่างไร ต่อมลูกหมาก (prostate gland) คือต่อมของระบบอวัยวะสืบพันธุ์ในเพศชาย อยู่ตรงด้านหลังของคอกระเพาะเยี่ยวในอุ้งเชิงกรานข้างหลังกระดูกหัวหน่าว มีรูปร่างคล้ายลูกเกาลัด ต่อมมี 5 กลีบ หนักโดยประมาณ 20 กรัม (ขนาดเท่าผลลิ้นจี่) มีหน้าที่สร้างน้ำมูก (ซึ่งเป็นส่วนใดส่วนหนึ่ง ของน้ำอสุจิ) เพื่อให้ตัวน้ำอสุจิแหวกว่ายรวมทั้งรับประทานเป็นของกิน  โดยปกติต่อมลูกหมากจะหยุดเจริญวัยหลังจากอายุ 20 ปี  จนกว่าอายุประมาณ 45 ปี จะมีการเพิ่มขนาดขึ้นอีกครั้ง และเป็นจุดเริ่มแรกของโรคต่อมลูกหมากโต โรคต่อมลูกหมากโตถือว่าเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่น่าไม่ค่อยสบายใจของคุณผู้ชายทั้งหลายแหล่ โดยทั่วไปผู้เจ็บป่วยโรคต่อมลูกหมากโตจะอยู่ในช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป เมื่อแก่ขึ้นต่อมลูกหมากจะค่อยๆโตขึ้น ว่ากันว่าชายสูงอายุ 2 ใน 5 คนจะมีลักษณะอาการฉี่เปลี่ยนไปจากปกติ อาการดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นมีสาเหตุจากการที่ต่อมลูกหมากซึ่งอยู่ล้อมรอบท่อเยี่ยวมีขนาดโตขึ้นรวมทั้งไปบีบท่อฉี่ให้แคบลง
รวมทั้งยังมีรายงานการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยหลายๆชิ้นสรุปว่า ในเพศชายที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป มักตรวจพบโรคต่อมลูกหมากโต เนื่องจากความแปลกทางด้านขนาดรวมทั้งจำนวนเซลล์ต่อมลูกหมาก เมื่อขนาดของต่อมลูกหมากโตขึ้น จะส่งผลทำให้มีการเกิดการอุดกั้นของระบบทางเดินเยี่ยว เยี่ยวบ่อย ตรากตรำ จำต้องเบ่งเป็นเวลานาน กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ท้ายที่สุดอาจเยี่ยวไม่ออก และมีปัญหาเกี่ยวกับของลับไม่แข็ง ลักษณะการทำงานของต่อมลูกหมากอาศัยการกระตุ้นจากฮอร์โมนเพศชายซึ่งส่วนใหญ่สร้างขึ้นจากอัณฑะ ซึ่งฮอร์โมนเพศชายนี้ยังเกี่ยวเนื่องกับการกระตุ้นการโตของเซลล์ของมะเร็งต่อมลูกหมากอีกด้วย โดยความไม่ดีเหมือนปกติของต่อมลูกหมากที่มักพบในชายไทย คือ โรคต่อมลูกหมากโต (Benign Prostatic Hyperplasia; BPH) โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก (Prostate cancer) รวมทั้งต่อมลูกหมากอักเสบ (prostatis) ร้อยละ 80 18 และ 2 ตามลําดับ  โดยโรคต่อมลูกหมากโต (http://www.disthai.com/16865130/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%95)นี้ เป็นโรคพบได้มากมากมายของเพศชายวัยตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป โดยพบได้ราว 30-40% ของเพศชายวัย 50-60 ปี แล้วก็เมื่ออายุ 85 ปีจะเจอโรคนี้ได้สูงถึง 90% โรคนี้พบได้ในเพศชายทั่วโลก ทุกเชื้อชาติ
สาเหตุของโรคต่อมลูกหมากโต ในปัจจุบัน ยังไม่เคยทราบสาเหตุที่กระจ่างของการเกิดโรคต่อมลูกหมากโต แต่หมอมั่นใจว่า เมื่อชายแก่ขึ้นจะมีผลต่อการผลิตกรุ๊ปฮอร์โมนเพศชายจากอัณฑะที่ชื่อ แอนโดรเจน (Androgen) ก็เลยทำให้ร่างกายขาดสมดุลของฮอร์โมนเพศชายประเภทต่างๆโดยเฉพาะระหว่างฮอร์โมน เทสโทสสเตอโรน  (Testosterone) กับฮอร์โมน ไดไฮโดรเทสโทสสเตอโรน () (DHT) ซึ่งภาวะนี้ทำให้เซลล์ของต่อมลูกหมากมีการเติบโตผิดปกติได้ ที่เรียกว่า โรคต่อมลูกหมากโต
ฮอร์โมนที่เชื่อว่าเป็นสาเหตุของโรคต่อมลูกหมากโต
ที่มา :  Wikipedia
นอกจากนั้นยังคาดคะเนว่าอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ โดยยิ่งไปกว่านั้นคนที่มีลักษณะออกจะรุนแรงในฝูงคนที่แก่น้อยกว่า 60 ปี ซึ่งจะต้องรับการรักษาโดยผ่าตัดชอบมีประวัติว่าคนภายในครอบครัวมักมีปัญหาเกี่ยวกับต่อมลูกหมาก
นอกจากนี้ยังคาดการณ์ว่าอาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากกรรมพันธุ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีลักษณะออกจะรุนแรงในกลุ่มคนที่แก่น้อยกว่า 60 ปี ซึ่งจำต้องรับการดูแลรักษาโดยผ่าตัดมักจะมีประวัติว่าคนภายในครอบครัวมักมีปัญหาเกี่ยวกับต่อมลูกหมาก
อาการโรคต่อมลูกหมากโต อาการของโรคต่อมลูกหมากโตนั้น เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากเมื่อต่อมลูกหมากโตขึ้น จะไปนำไปสู่การระคายเคืองต่อท่อเยี่ยว รวมทั้งเมื่อต่อมฯยิ่งโตขึ้น ก็จะกดแทรกทับ หรือเบียดรัดรอบๆท่อปัสสาวะ จึงนำมาซึ่งการทำให้ท่อฉี่ตีบแคบลง จนกระทั่งบางทีอาจอุดตัน ดังนั้นลักษณะโรคต่อมลูกหมากโต ก็คือ



รวมทั้งในคนป่วยบางรายอาจมีอาการชิ้งฉ่องเป็นเลือด เนื่องจากเบ่งถ่ายนานๆอาจจะก่อให้เส้นเลือดดำที่ท่อปัสสาวะคั่ง แล้วแตกจนกระทั่งมีเลือดออกมาได้  ดังนี้โรคต่อมลูกหมากโตอาจมีภาวะแทรกซ้อนได้แก่  ฉี่ไม่ออกเลย ทางเดินฉี่อักเสบ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ไตเสื่อมหรือกระเพาะปัสสาวะเสื่อม เยี่ยวเป็นเลือด  ฯลฯ ซึ่งบางทีอาจพบได้ไม่เกินปริมาณร้อยละ 20 ของคนไข้ต่อมลูกหมากทั้งสิ้น
แนวทางการรักษาโรคต่อมลูกหมากโต การตรวจวินิจฉัยคนป่วยโรคต่อมลูกหมากโต



การดูแลรักษาโรคต่อมลูกหมากโตบางทีอาจจะต้องใช้หลายๆวิธีด้วยกัน แม้กระนั้นโดยหลักๆแล้วสามารถแบ่งออกเป็น 3 วิธีดังนี้การเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิต การใช้ยารักษา การผ่าตัด ซึ่งมีรายละเอียดเป็น

สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะนำไปสู่โรคต่อมลูกหมากโต



การติดต่อของโรคต่อมลูกหมากโต โรคต่อมลูกหมากโตเป็นโรคที่เกิดจากการขาดสมดุลของฮอร์โมนเพศชายหลายๆประเภท ซึ่งจะมีผลให้เซลล์ของต่อมลูกหมากเจริญวัยแตกต่างจากปกติ มักเกิดในเพศชายที่แก่ตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป แล้วก็โรคต่อมลูกหมากโตนี้ มิได้เป็นโรคติดต่อและไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน แล้วก็จากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
(https://www.img.in.th/images/6adce8831f429528e097b9aa2b8a221d.jpg)
การกระทำตนเมื่อป่วยด้วยโรคต่อมลูกหมากโต



การปกป้องตัวเองจากโรคต่อมลูกหมากโต ในขณะนี้ยังไม่มีแนวทางใดที่ช่วยคุ้มครองป้องกันปัญหาต่อมลูกหมากโตได้อย่างแท้จริงด้วยเหตุว่ายังไม่รู้ปัจจัยที่แจ้งชัดของโรคนี้ และความเสี่ยงต่อโรคที่สำคัญที่ไม่อาจจะปรับแต่งได้ซึ่งก็คืออายุที่มากขึ้น โดยเหตุนั้นวิธีที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือผู้ชายที่แก่ตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปควรจะได้รับการตรวจต่อมลูกหมากเสมอๆทุกปี และควรหมั่นพิจารณาความไม่ปกติของระบบทางเท้าปัสสาวะ เป็นต้นว่า ถ้ามีอาการชิ้งฉ่องตรากตรำ ต้องใช้แรงเบ่งนานๆฉี่ไม่พุ่ง ช่วงเวลากลางคืนจำต้องลุกขึ้นมาชิ้งฉ่อง บ่อยครั้ง หรือเยี่ยวเป็นเลือด ก็ควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยมูลเหตุให้แจ่มชัด  เมื่อพบว่าคือต่อมลูกหมากโตก็ควรรับประทานยารักษา หรือทำการผ่าตัดปรับแต่งตามคำแนะนำของแพทย์ 
สมุนไพรที่ช่วยปกป้อง/รักษาโรคต่อมลูกหมากโต พืชสมุนไพรที่มีรายงานการวิจัยทางคลินิกว่ามีฤทธิ์รักษาโรคต่อมลูกหมากโตยกตัวอย่างเช่น มะเขือเทศ และฟักทอง โดยให้ผู้ป่วยที่ได้รับการวิเคราะห์ว่าอยู่เป็นโรคต่อมลูกหมากโตระยะเริ่มต้นรับประทานซอสมะเขือเทศเข้มข้น (Tomato paste) วันละ 50 กรัม (มี lycopene อยู่ 13 มก.) ต่อเนื่องกัน 10 อาทิตย์พบว่า มีผลทำให้ค่า prostate-specific antigen (PSA) ในเลือดซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงสภาวะต่อมลูกหมากโตลดลง รวมทั้งการเรียนทางคลินิกโดยให้คนไข้รับประทานแคปซูลสารสกัดเม็ดฟักทองขนาด 1000 มก.ต่อวัน ส่งผลทำให้คนเจ็บโรคต่อมลูกหมากโตมีอาการดียิ่งขึ้น เมื่อกินติดต่อกันนาน 12 สัปดาห์
มะเขือเทศ  ชื่อวิทยาศาสตร์ Solanum lycopersicum สกุล Solanaceae มีหลายการเล่าเรียนพบว่าไลวัวพีนในมะเขือ เทศสามารถลดระดับ PSA รวมทั้งคุ้มครองการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้ โดยผ่านกลไกการทำงานต่างๆอย่างเช่น การลดการ เกิด lipid oxidation ต้านอนุมูลอิสระ และ ลดการสังเคราะห์ 5- alpha dihydrotestosterone ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นการโตของต่อมลูกหมาก และยังพบว่าการบริโภคไลโคพีนจากผลิตภัณฑ์ มะเขือเทศซึ่งทำให้ผู้ใช้มีระดับไลวัวพีนในเลือดสูงมากขึ้นจะสามารถลดระดับ PSA ในผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้  Schwarz รวมทั้งแผนก (2008) ศึกษาในคนป่วยโรคต่อมลูกหมากโต (PSA > 4 mg/L) บริโภคไลวัวพีนวันละ 15 mg นาน 6 เดือน พบว่าสามารถปกป้องต่อมลูกหมากโตได้เมื่อตรวจทางทาวรหนักแล้วก็การตรวจอัลตราซาวด์และระดับ PSA ต่ำลงร้อยละ 11 เมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปควบคุมที่ได้รับยาหลอก (placebo) อย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ (P < 0.05) รวมทั้งการทำแบบสำรวจอาการของต่อมลูกหมากฉบับนานาชาติ (International Prostate Symptom Score; IPSS) พบว่ากรุ๊ปที่ได้รับไลวัวพีนมีลักษณะของต่อมลูกหมากเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนจะมีการเล่าเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ มีการศึกษาในคนไข้โรคต่อมลูกหมากโตที่มีการเสี่ยงมากถึงจำนวนร้อยละ 80 ที่จะเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในอนาคต (High Grade Prostatic Intraepithelial Neoplasia; HGPIN) โดยกลุ่มทดลองที่ได้รับไลโคพีนวันละ 8 mg สม่ำเสมอทุกๆวันนาน 1 ปี (20 คน) เปรียบเทียบกับกรุ๊ปควบคุม (20 คน) พบว่ากลุ่มที่ได้รับไลวัวพีนมีระดับ PSA ต่ำลง จาก 6.07 mg/L เป็น 3.5 mg/L คิดเป็นจำนวนร้อยละ 42 แล้วก็มีไลโคพีนในเลือดมากขึ้นจาก 360 เป็น 680 mg/L และก็เมื่อจบการเรียนพบว่ากลุ่มทดลองมีคนเจ็บจำนวน 2 ผู้ที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ในขณะคนเจ็บกลุ่มควบคุมจำนวน 6 คนที่มิได้กินอาการที่มีไลโคพีน (มะเขือเทศ แตงโม) ตลอดช่วงสำนักงานศึกษาเล่าเรียนมีระดับ PSA เพิ่มสูงมากขึ้น รวมทั้งคนที่มีระดับไลโคพีนในเลือดน้อยลงกลายเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากเพิ่มขึ้น ซึ่งแสดงว่าการบริโภคไลโคพีนนาน 1 ปีสามารถปกป้องการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้เจ็บป่วยที่มีความเสี่ยงสูงได้
ฟักข้าว มีชื่อสามัญว่า Spring bitter cucumber ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Momordica Cochinchinensis Spreng.  ฟักข้าว คือผลไม้ที่อุดมด้วยไลวัวตะกาย รวมทั้งสารพฤษเคมีอื่นๆในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ได้แก่ เบต้า-แคโรทีน สูงขึ้นมากยิ่งกว่าแครอท 10 เท่า มีวิตามินซีมากกว่าส้ม 40 เท่า มีซีแซนทีนมากกว่า ข้าวโพด 40 เท่า อุดมด้วยวิตามินอี วิตามินเอ กรดไขมันโอเมก้า-3, โอเมก้า-6 แล้วก็โอเมก้า-9 ช่วยเสริมฤทธิ์สำหรับการต้านอนุมูลอิสระสูง รวมทั้งการไหลเวียนของเลือด  รวมทั้งในฟักข้าว มีไลโคปีน ชนิดพิเศษ เรียกว่า ไลโปแคโรทีน (Lipocarotene) เป็นกรดไขมันสายยาวที่ช่วยจับแคโรทีน จึงช่วยซึมซับแคโรทีน ฟักข้าว จึงเป็นแหล่งของไลโคตะกาย ที่ยอดเยี่ยม  ไลโคปีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งได้รับการยืนยันด้านการแพทย์แล้วว่า ช่วยชะลอความชรา ต้านความเสื่อมถอยของร่างกาย ช่วยลดโรคที่มีปัญหาเกี่ยวกับต่อมลูกหมากในผู้ชาย โดยต่อมลูกหมาก คือต่อมที่สร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ ต่อมลูกหมากตั้งอยู่ระหว่างกระเพาะปัสสาวะกับท่อเยี่ยว เมื่อเพศชายอายุสูงมากขึ้นเป็น ตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเพศชาย(เทสโทสเตอโรน) ลดน้อยลง นำมาซึ่งการทำให้เซลล์ในต่อมลูกหมาก แบ่งตัวมากเพิ่มขึ้น ต่อมลูกหมากจึงโตขึ้น รวมทั้งถ้าเกิดมีการอักเสบร่วมด้วยก็จะมีโอกาสกำเนิดมะเร็ง ได้สูงมากขึ้น ไลโคไต่ จะควบคุมการโตของต่อมลูกหมาก ช่วยให้เซลล์มะเร็งฝ่อตาย และก็ลด การแบ่งเซลล์ของโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้อีกด้วย
หญ้าหนวดแมว ชื่อวิทยาศาสตร์ : Orthosiphon stamineus Benth.   ตระกูล : Labiatae หรือ Lamiaceae   คุณประโยชน์หญ้าหนวดแมว ช่วยขับฉี่ ทำให้การหลั่งเยี่ยวเพิ่มขึ้น ยิ่งไปกว่านี้ ในตำรายาหลายฉบับเอ่ยถึงสรรพคุณต่างๆเป็นต้นว่า  ตำราเรียนยาใช้ใบ รวมทั้งลำต้นการดูแลรักษา แล้วก็ปกป้องโรคทางเท้าฉี่ ลำต้น ใช้ทั้งแบบสดหรือแบบแห้ง ด้วยการต้มดื่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายสูงอายุที่ช่วยแก้โรคต่อมลูกหมากโต รวมทั้งแก้ไขปัญหาเยี่ยวติดขัด รวมถึงมีฤทธิ์สำหรับในการขับกรดยูริก
เถาวัลย์เปรียง (http://www.disthai.com/16488289/%E0%B9%80%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87) ชื่อวิทยาศาสตร์ Derris scandens (Roxb.) Benth  ชื่อวงศ์ Papilionaceae  สรรพคุณ:           แบบเรียนยาพื้นบ้าน: ใช้เถา ขับฉี่ แก้กษัยเหน็บชา ถ่ายกษัย แก้เส้นเอ็นขอด ถ่ายเสลด ไม่อึ ทำให้เอ็นอ่อนลง ขับเยี่ยว แก้เยี่ยวทุพพลภาพ
กระเจี๊ยบแดง ชื่อวิทยาศาสตร์ Hibiscus sabdariffa L. ชื่อวงศ์ Malvaceae  คุณประโยชน์:     แบบเรียนยาไทย: กลีบเลี้ยงมีรสเปรี้ยว แก้อาการขัดเบา  การเรียนรู้ทางสถานพยาบาล: ลดความดันโลหิต ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ทำให้ผู้เจ็บป่วยโรคนิ่วในท่อไต ปัสสาวะสะดวกขึ้น ผู้เจ็บป่วยกระเพาะปัสสาวะอักเสบมีลักษณะปวดแสบเวลาฉี่น้อยลง  รูปแบบและก็ขนาดวิธีใช้ยา:   ขับฉี่ ใช้สมุนไพรแห้ง บดเป็นผุยผง 3 กรัม (หรือ 1 ช้อนชา) ชงกับน้ำเดือด 1 ถ้วยแก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้ง นาน 7 วัน หรือจนกระทั่งอาการจะหาย
เอกสารอ้างอิง