รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

ลงประกาศฟรี => อื่น ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: แสงจันทร์5555 ที่ เมษายน 12, 2018, 02:30:57 AM

หัวข้อ: โรคโปลิโอ - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร
เริ่มหัวข้อโดย: แสงจันทร์5555 ที่ เมษายน 12, 2018, 02:30:57 AM
(https://www.img.in.th/images/18f8c710b7077d1d00ec506d1d9af604.jpg)
โรคโปลิโอ (Poliomyelitis)
โรคโปลิโอคืออะไร โรคโปลิโอศึกษาและทำการค้นพบทีแรกเมื่อ ค.ศ. 1840 โดย Jakob Heine ส่วนเชื้อไวรัสโปลิโอซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคถูกพ้นเจอเมื่อ ค.ศ. 1908 โดย Karl Landsteiner โรคโปลิโอ หรือ ไข้ไขสันหลังอักเสบ  เป็นโรคที่สร้างความเจ็บปวดรวดร้าวทุกข์ทรมานแสนสาหัสแก่เด็กทั่วทั้งโลก ซึ่งมีผู้ป่วยในอดีตกาลมากยิ่งกว่า 350,000 รายต่อปี เนื่องด้วยทำให้เกิดความพิการ ขา หรือ แขนลีบ แล้วก็เสียชีวิต ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากการตำหนิดเชื้อไวรัสโปลิโอ โดยคนป่วยจำนวนมากมักไม่มีอาการแสดงของโรค ส่วนในกรุ๊ปคนป่วยที่มีลักษณะนั้นจำนวนมากจะมีลักษณะอาการเพียงแค่เล็กๆน้อยๆอย่างไม่เฉพาะเจาะจงรวมทั้งหายได้เองภายในช่วงเวลาไม่กี่วัน แม้กระนั้นจะมีผู้ป่วยเพียงแค่ส่วนน้อยที่จะมีลักษณะของกล้ามเนื้อเมื่อยล้าและก็เมื่อผ่านไปหลายๆปีหลังการดูแลรักษา คนป่วยที่เคยมีอาการกล้ามอ่อนแรงนี้อาจจะเกิดอาการกล้ามอ่อนกำลังซ้ำขึ้นมาอีก และอาจกำเนิดกล้ามฝ่อลีบและเกิดความพิกลพิการของข้อตามมาได้ ในขณะนี้โรคนี้ยังไม่มียารักษา แต่มีวัคซีนที่ใช้คุ้มครองป้องกันโรคได้
โรคโปลิโอ นับเป็นโรคที่มีความสำคัญมากโรคหนึ่ง เนื่องจากเชื้อ เชื้อไวรัสโปลิโอ จะทำให้มีการอักเสบของไขสันหลังทำให้มีอัมพาตของกล้ามแขนขา ซึ่งในรายที่อาการร้ายแรงจะก่อให้มีความพิกลพิการตลอดชีพ รวมทั้งบางรายบางทีอาจถึงเสียชีวิตได้ ในปี พุทธศักราช 2531 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้ทุกประเทศร่วมมือกวาดล้างโรคโปลิ โอ ทำให้อัตราการป่วยทั่วโลกน้อยลงไปมากถึง 99% โดยต่ำลงจาก 350,000 ราย (จาก 125 ประเทศทั้งโลก) ในปี พุทธศักราช 2531 เหลือเพียงแค่ 820 รายใน 11 ประเทศในปี พศาสตราจารย์ 2550 ซึ่งประ เทศที่ยังเจอโรคมากอยู่เป็น อินเดีย (400 กว่าราย) ปากีสถาน ไนจีเรีย รวมทั้งอัฟกานิสถาน
ส่วนในประเทศไทยไม่พบผู้ป่วยโรคโปลิโอมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว โดยพบรายท้ายที่สุดในปี พุทธศักราช 2540 ที่ จังหวัด เลย แต่ว่าเด็กทุกคนยังคงจำต้องได้การฉีดรับวัคซีนตามมาตรการกวาดล้างโรคโปลิโอร่วมกับนานาประเทศทั่วโลก ด้วยเหตุว่าโปลิโอเป็นโรครุนแรงที่สร้างความสูญเสียทั้งยังทางด้านร่างกายรวมทั้งเศรษฐกิจ และก็ปัจจุบันนี้ถึงแม้ว่า องค์การอนามัยโลก CWHO ได้ประกาศรับสมัครรองให้เป็นประเทศที่ปราศจากโรคโปลิโอแล้วตอนวันที่ 27 เดือนมีนาคม พุทธศักราช 2557 แต่ว่าเมืองไทยยังที่มีความเสี่ยงต่อโรคโปลิโออยู่ เพราะมีอาณาเขตชิดกับประเทศที่มีการระบาดของโรคโปลิโออย่างประเทศพม่ารวมทั้งลาวที่พึ่งจะเจอเชื้อโปลิโอสายพันธุ์วัคซีนกลายพันธ์ไปเมื่อปี พุทธศักราช 2558
สาเหตุของโรคโปลิโอ โรคโปลิโอมีต้นเหตุมาจากเชื้อไวรัสโปลิโอ single-stranded RNA virus ไม่มีเปลือกหุ้มจัดอยู่ใน Family Picornaviridae, Genus Enterovirus มี 3 ทัยป์เป็นทัยป์ 1, 2 และ 3 โดยแต่ละจำพวกอาจทำให้กำเนิดอัมพาตได้ พบว่า type 1 ส่งผลให้เกิดอัมพาตและเกิดการระบาดได้บ่อยครั้งกว่าทัยป์อื่นๆและเมื่อติดเชื้อโรคชนิดหนึ่งแล้วจะมีภูมิต้านทานถาวรเกิดขึ้นเฉพาะต่อทัยป์นั้น ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อทัยป์อื่น ดังนั้น ตามแนวคิดนี้แล้ว คน 1 คน อาจติดโรคได้ถึง 3 ครั้ง และแต่ละทัยป์ของไวรัสโปลิโอ จะแบ่งย่อยได้อีก 2 สายพันธุ์ เป็น



โดยเชื้อโปลิโอนี้จะอยู่ในไส้ของคนแค่นั้น ไม่มีแหล่งรังโรคอื่นๆเชื้อจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้ในลำไส้ของไม่มีภูมิคุ้มกันและอยู่ภายในไส้ 1-2 เดือน เมื่อถูกถ่ายออกมาข้างนอก จะไม่สามารถที่จะเพิ่มจำนวนได้ และเชื้อจะอยู่ข้างนอกร่างกายในสิ่งแวดล้อมมิได้นาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตร้อน อายุครึ่งชีวิตของไวรัสโปลิโอ (half life) โดยประมาณ 48 ชั่วโมง
อาการของโรคโปลิโอ  เมื่อเชื้อโปลิโอเข้าสู่ร่างกายของผู้ที่ไม่มีภูมิต้านทาน เชื้อไวรัสจะเข้าไปเพิ่มจำนวนในรอบๆ pharynx และลำไส้ สองสามวันถัดมาก็จะกระจัดกระจายไปสู่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอที่ต่อมทอนซิล แล้วก็ที่ลำไส้และเข้าสู่กระแสโลหิตทำให้มีลักษณะอาการไข้เกิดขึ้น ส่วนน้อยของไวรัสจะผ่านจากกระแสเลือดไปยังไขสันหลังแล้วก็สมองโดยตรง หรือบางส่วนบางทีอาจผ่านไปไขสันหลังโดยทางเส้นประสาท เมื่อไวรัสเข้าไปยังไขสันหลังแล้วมักจะไปที่ส่วนของไขสันหลังหรือสมองที่ควบคุมลักษณะการทำงานของกล้าม เมื่อเซลล์สมองในส่วนที่    ติดโรคมีลักษณะอาการอักเสบมากจนถูกทำลายไป กล้ามที่ควบคุมโดยเซลล์ประสาทนั้นก็จะมีอัมพาตและฝ่อไปท้ายที่สุด
         ดังนี้สามารถแบ่งผู้ป่วยโปลิโอตามกลุ่มอาการได้เป็น 4 กลุ่มเป็น



          ลักษณะของอัมพาตในโรคโปลิโอมักจะเจอที่ขามากยิ่งกว่าแขนและจะเป็นฝ่ายเดียวมากกว่า 2 ข้าง (asymmetry) มักจะเป็นกล้ามต้นขา หรือต้นแขนมากยิ่งกว่าส่วนปลาย เป็นแบบอ่อนเปียก (flaccid) โดยไม่มีความเคลื่อนไหวในระบบความรู้สึก (sensory) ที่พบได้ทั่วไปคือเป็นแบบ spinal form ที่มีอัมพาตของแขน ขา หรือกล้ามเนื้อลำตัว ในรายที่เป็นมากอาจมีอัมพาตของกล้ามส่วนลำตัวที่หน้าอกแล้วก็หน้าท้อง ซึ่งมีความหมายสำหรับการหายใจ ทำให้หายใจเองมิได้ อาจจนตายได้ถ้าเกิดช่วยไม่ทัน
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะนำมาซึ่งโรคโปลิโอ โรคโปลิโอพบได้ทั่วไปได้ในเด็กมากกว่าคนแก่ โดยอีกทั้งเพศชายและเพศหญิงได้โอกาสติดโรคนี้ได้เสมอกัน และก็มีโอกาสติดเชื้อโปลิโอได้ง่าย แต่ว่ามีผู้เจ็บป่วยน้อยมากที่จะมีอาการกล้ามเมื่อยล้า เชื้อไวรัสจำพวกนี้จะเจริญวัยอยู่ในไส้ เชื้อจึงถูกขับออกมาจากร่างกายมากับอุจจาระแล้วก็แพร่ไปสู่ผู้อื่นผ่านการกินของกินหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อจากอุจจาระของคนเจ็บ ซึ่งเกิดจากการขับถ่ายที่ไม่ถูกสุขลักษณะและไม่ล้างมือก่อนอาหาร โรคนี้จึงพบมากมากในประเทศที่ด้อยพัฒนาแล้วก็กำลังพัฒนาที่ขาดการดูแลเรื่องสุขอนามัยที่ดี
ทั้งคนที่มิได้รับการฉีดยาโปลิโอนั้น จะยิ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มขึ้นหากอยู่ในภายในกลุ่มเสี่ยงดังต่อไปนี้
           หญิงท้องและก็คนที่มีภูมิต้านทานอ่อนแอ เช่น ผู้ติดเชื้อโรคไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง รวมทั้งเด็กตัวเล็กๆซึ่งจะมีความไวต่อการได้รับเชื้อโปลิโอ
           เดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโปลิโอหรือพึ่งจะมีการระบาดของโรคเมื่อไม่นานมานี้
           เป็นผู้ดูแลหรืออาศัยอยู่กับผู้ติดเชื้อโรคโปลิโอ
           ปฏิบัติงานในห้องทดลองที่สัมผัสใกล้ชิดกับเชื้อไวรัส
           ผู้ที่ผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลออกไป
กรรมวิธีการรักษาโรคโปลิโอ หมอจะวินิจฉัยโรคโปลิโอด้วยการไต่ถามอาการจากผู้เจ็บป่วยว่ารู้สึกเจ็บปวดบริเวณข้างหลังและคอ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการกลืนหรือหายใจหรือเปล่า ตรวจทานปฏิกิริยาย้อนกลับกลับของร่างกาย รวมทั้งการตรวจทางเรือเหลือง โดยเก็บตัวอย่างในช่วงระยะรุนแรงแล้วก็ระยะแอบแฝงของโรค ตรวจสารภูมิต้านทาน IgM หรือ IgG ยิ่งไปกว่านี้เพื่อยืนยันให้แน่ใจอาจมีการตรวจหาเชื้อไวรัสโปลิโอด้วยการเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งจากคอ อุจจาระ หรือน้ำหล่อเลี้ยงสมองรวมทั้งไขสันหลังส่งตรวจทางห้องทดลอง ในกรณีผู้เจ็บป่วยที่มีอาการกล้ามเนื้ออัมพาตแบบอ่อนเปียก (acute flaccid paralysis : AFP) หมอจะดำเนินการสืบสวนโรค พร้อมกับเก็บอุจจาระส่งไปทำการตรวจเพื่อ    แยกเชื้อโปลิโอ การวินิจฉัยที่แน่ๆเป็น แยกเชื้อโปลิโอได้จากอุจจาระ และทำการตรวจว่าเป็นทัยป์ใดเป็นสายพันธุ์ wild strain หรือ vaccine strain (Sabin strain)
          การเก็บอุจจาระส่งไปทำการตรวจจะเก็บ 2 ครั้ง ห่างกันอย่างน้อย 24 ชั่วโมง จำต้องเก็บให้เร็วด้านใน 1-2 สัปดาห์ภายหลังที่เจอมีลักษณะ AFP ซึ่งเป็นตอนที่มีปริมาณไวรัสในอุจจาระมากกว่าระยะอื่นๆการจัดส่งอุจจาระเพื่อส่งไปเพื่อทำการตรวจต้องให้อยู่ในอุณหภูมิ 4-8๐ ซ ตลอดเวลา มิฉะนั้นเชื้อโปลิโอบางทีอาจตายได้ ปัจจุบันนี้โรคโปลิโอยังไม่มีวิธีรักษาให้หายสนิท หมอสามารถให้การรักษาผู้ป่วยตามอาการ  รวมทั้งเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่มียารักษาโรคโปลิโอโดยเฉพาะ การดูแลและรักษาจะเป็นแบบจุนเจือ อย่างเช่น ให้ยาลดไข้ รวมทั้งลดลักษณะของการปวดของกล้าม ในรายที่มีลักษณะอัมพาตของกล้ามเนื้อแขน ขา กระบวนการทำกายภาพ บรรเทาจะช่วยฟื้นฟูความสามารถของกล้ามเนื้อให้ดียิ่งขึ้น
สำหรับการรักษาคนไข้กรุ๊ปอาการหลังกำเนิดโรคโปลิโอ (Post-polio syndrome – PPS) การดูแลและรักษาหลักจะเน้นไปที่วิธีการทำกายภาพบำบัดมากกว่า เป็นต้นว่า การใส่เครื่องใช้ไม้สอยช่วยยึดลำตัว วัสดุอุปกรณ์ช่วยสำหรับในการเดิน วัสดุอุปกรณ์ที่ช่วยคุ้มครองป้องกันข้อบิดผิดแบบหรืออาจใช้การผ่าตัดช่วย การฝึกหัดกล่าวและฝึกหัดกลืนในคนเจ็บที่มีปัญหา การบริหารร่างกายที่ย้ำการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามภายใต้ข้อแนะนำที่ถูกต้องจากแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด การใช้งานเครื่องช่วยหายใจในขณะหลับถ้าเกิดคนป่วยมีปัญหาเรื่องการหยุดหายใจในขณะหลับ รวมทั้งการดูแลทางด้านอารมณ์และก็จิตใจของผู้เจ็บป่วยร่วมด้วย
(https://www.img.in.th/images/ecb52da55bc6ce9453747ea3c308ae99.jpg)
การกระทำตนเมื่อป่วยด้วยโรคโปลิโอ

การปกป้องคุ้มครองโรคโปลิโอ



ในขณะนี้เมืองไทยมีการใช้วัคซีนโปลิโอในแผนงานเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค โดยให้วัคซีน OPV 5 ครั้ง เมื่ออายุ 2, 4, 6 เดือน 1 ปีครึ่ง และ 4 ปี และก็ให้วัคซีน IPV 1 ครั้ง เมื่ออายุ 4 เดือน



สมุนไพรที่ใช้รักษา/ทุเลาโรคโปลิโอ เนื่องด้วยโรคโปลิโอเป็นโรคที่ติดต่อจากเชื้อไวรัสที่มีการติดต่อได้ง่าย และในคนเจ็บที่มีความร้ายแรงของโรคนั้นอาจทำให้เสียชีวิตหรือพิการได้ ซึ่งในปัจจุบันนั้นยังไม่มียาที่ใช้รักษาโรคโปลิโอให้หายได้ รวมถึงยังไม่มีข้อมูลว่ามีสมุนไพรประเภทไหนที่ใช้รักษาหรือบรรเทาอาการโรคโปลิโอได้ด้วยเหมือนกัน
เอกสารอ้างอิง