รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

ลงประกาศฟรี => อื่น ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: ณเดช2499 ที่ เมษายน 11, 2018, 03:29:50 AM

หัวข้อ: โรคถุงลมโป่งพอง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร
เริ่มหัวข้อโดย: ณเดช2499 ที่ เมษายน 11, 2018, 03:29:50 AM
(https://www.img.in.th/images/ae31d190a1457540fabef6e40c992e80.jpg)
โรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema)
โรคถุงลมโป่งพอง (http://www.disthai.com/16827806/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%87-emphysema) เป็นอย่างไร โรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema) เป็นโรคที่อยู่ในกลุ่มของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease: COPD) ซึ่งโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง จะประกอบไปด้วยโรคหลอดลมอักเสบรวมทั้งถุงลมโป่งพอง โดยธรรมดาแล้วจะเจอลักษณะของ 2 โรคนี้ด้วยกัน แม้กระนั้นถ้าตรวจเจอว่าปอดมีพยาธิภาวะของถุงลมที่โป่งพองออกเป็นจุดแข็ง ก็จะเรียกว่า “โรคถุงลมโป่งพอง” ซึ่งหมายถึง ภาวการณ์พิการอย่างถาวรของถุงลมในปอด ซึ่งมีเหตุมาจากฝาผนังถุงลมเสียความยืดหยุ่นและก็เปราะง่าย ทำให้ถุงลมสูญเสียหน้าที่ในการแลกเปลี่ยนอากาศ รวมทั้งฝาผนังของถุงลมที่เปราะยังมีการแตกทะลุ ทำให้มีถุงลมขนาดเล็กๆหลายๆอันรวมตัวเป็นถุงลมที่โป่งพองและพิการ ส่งผลให้ปริมาณผิวของถุงลมที่ยังปฏิบัติหน้าที่ได้ทั้งหมดต่ำลงกว่าธรรมดา แล้วก็มีอากาศภายในปอดมากยิ่งกว่าปกติเป็นผลให้ออกสิเจนก็เลยไปสู่กระแสโลหิตไปเลี้ยงร่างกายได้ลดลง ผู้เจ็บป่วยจึงมีลักษณะอาการหายใจตื้นและก็กำเนิดอาการหอบง่ายตามมา
โรคนี้มักจะเจอในผู้สูงอายุ (ช่วงอายุ 45-65 ปี) เจอในเพศชายได้มากกว่าผู้หญิง รวมทั้งพบบ่อยร่วมกับโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังแล้วก็แยกออกมาจากกันยาก คนไข้จำนวนมากจะมีประวัติการสูบยาสูบจัด  มานานเป็น 10-20 ปีขึ้นไป หรือไม่ก็มีประวัติอยู่การได้รับมลภาวะที่เกิดขึ้นทางอากาศในปริมาณมากรวมทั้งติดต่อกันนานๆไม่ว่าจะเป็นอากาศเสีย ฝุ่นละออง ควัน หรือมีอาชีพทำงานในโรงงานหรือเหมืองแร่ที่หายใจเอาสารระคายเคืองเข้าไปเสมอๆ โรคถุงลมโป่งพอง เป็นโรคที่มักพบและเป็นต้นเหตุลำดับหนึ่งของการตายในพลเมืองทั้งโลก โดยในประเทศสหรัฐอเมริกาเจอเป็นลำดับที่ 4 ของต้นเหตุการเสียชีวิตของพลเมือง ถ้านับเฉพาะโรคถุงลมโป่งพอง (http://www.disthai.com/16827806/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%87-emphysema) อัตราการพบโรคหมายถึง18 คน ในราษฎร 1,000 คน  ส่วนสถานการณ์ปัจจุบันของถุงลมโป่งพองในประเทศไทย มีลัษณะทิศทางสูงขึ้นเป็นลำดับเช่นเดียวกันกับทั่วทั้งโลก รวมทั้งเป็นเยี่ยมในสิบ ที่มาของการเสียชีวิต ของพลเมืองไทย ก็เลยนับเป็นโรคที่คือปัญหาทางสาธารณสุขของประเทศไทยอีกโรคหนึ่ง
ที่มาของโรคถุงลมโป่งพอง มูลเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดถุงลมโป่งพอง เป็นการสูบยาสูบ แต่จากการศึกษาพบว่าผู้ที่สูบบุหรี่มีโอกาสเป็นถุงลมโป่งพองมากยิ่งกว่าคนที่มิได้สูบบุหรี่มากถึง 6 เท่า ซึ่งคนที่เป็นโรคนี้ มักมีประวัติสูบบุหรี่จัด (มากกว่าวันละ 20 มวน) นาน 10-20 ปีขึ้นไป พิษในบุหรี่จะเบาๆทำลายเยื่อบุหลอดลมรวมทั้ง ถุงลมในปอด ทีละน้อยๆ ใช้เวลานานนับสิบๆปี จนกระทั่งท้ายที่สุดถุงลมปอดทุพพลภาพ เป็นสูญเสียหน้าที่สำหรับเพื่อการแลกอากาศ (นำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นอากาศเสียออกจากร่างกาย รวมทั้งนำออกสิเจนซึ่งเป็นอากาศดีไปสู่ร่างกาย โดยผ่านทางระบบทางเท้าหายใจ) เกิดอาการหอบเหนื่อยง่าย และกำเนิดโรคติดเชื้อของปอดซ้ำจากจำเจ
เว้นเสียแต่ยาสูบซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของโรคนี้แล้ว คนป่วยส่วนน้อยยังอาจเกิดขึ้นจากต้นสายปลายเหตุอื่น เป็นต้นว่า มลพิษในอากาศ การหายใจเอามลพิษกลางอากาศ เช่น ควันจากการเผาไหม้ที่เกิดจากเชื้อเพลิง ไอเสียรถยนต์ จะเพิ่มความเสี่ยงให้กำเนิดถุงลมโป่งพอง เนื่องจากว่าพบว่าสามัญชนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ๆจะมีอัตราการป่วยเป็นโรคปอดอุดกันเรื้อรังซึ่งรวมถึงโรคถุงลมโป่งพองได้มากกว่าประชากรที่อาศัยอยู่ในต่างจังหวัด มลภาวะที่เกิดขึ้นทางอากาศจึงน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องไม่มากมายก็น้อย ควันพิษหรือสารเคมีจากโรงงาน ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นหรือควันพิษที่มีส่วนประกอบของสารเคมีหรือฝุ่นละอองจากไม้ ฝ้าย หรือวิธีการทำเหมืองแร่ ถ้าหายใจเข้าไปในจำนวนที่มากและก็เป็นเวลานาน ก็มีแนวโน้มเสี่ยงที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดถุงลมโป่งพองได้มากขึ้น ซึ่งจะเพิ่มโอกาสมากขึ้นไปอีกหากเป็นผู้ที่สูบบุหรี่ ภาวการณ์พร่องสารต่อต้านทริปสิน (α1-antitrypsin) ซึ่งเป็นเอนไซม์คุ้มครองป้องกันการถูกทำลายของเนื้อเยื่อเกี่ยวเนื่องจากสารต่างๆจึงช่วยป้องกันไม่ให้ถุงลมปอดถูกพิษ สภาวะนี้จัดเป็นโรคทางพันธุกรรมที่สามารถถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ ซึ่งโรคทางพันธุกรรมชนิดนี้จำนวนมากจะเจอในคนเชื้อชาติผิวขาว ชอบมีลักษณะอาการในกรุ๊ปผู้เจ็บป่วยที่มีอายุต่ำลงยิ่งกว่า 40-50 ปี และคนป่วยมักจะไม่ดูดบุหรี่ อย่างไรก็ดี ภาวการณ์นี้ก็เจอเกิดได้น้อยมากคือราวๆ 3% ของโรคปอดเรื้อรังทั้งสิ้น
ลักษณะโรคถุงลมโป่งพอง ช่วงแรกจะมีอาการของหลอดลมอักเสบเรื้อรัง พูดอีกนัยหนึ่งจะมีอาการไอมีเสลดเรื้อรังเป็นนานแรมเดือนนานเป็นปีๆ คนป่วยชอบไอหรือขากเสมหะในคอหลังจากตื่นช่วงเวลาเช้าบ่อยๆ จนกระทั่งนึกว่าเป็นเรื่องปกติและไม่ได้ใส่ใจดูแล ต่อมาจะเริ่มไอถี่ขึ้นตลอดวัน และมีเสมหะหลายชิ้น ในระยะแรกเสลดมีสีขาว ถัดมาอาจจะกลายเป็นสีเหลืองหรือเขียว มีไข้ หรือหอบอ่อนล้าเป็นบางครั้งบางคราวจากโรคติดเชื้อเข้าแทรก นอกเหนือจากอาการไอเรื้อรังดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วแล้ว คนเจ็บจะมีลักษณะอาการเมื่อยล้าง่ายเวลาออกแรงมากมาย  อาการหอบอิดโรยจะเบาๆเป็นมากขึ้น แม้แต่เวลาเดินตามธรรมดา เวลาบอกหรือทำกิจกรรมเล็กๆน้อยๆในชีวิตประจำวันก็จะรู้สึกอิดโรยง่าย
                   ถ้าผู้เจ็บป่วยยังสูบบุหรี่ต่อไป ท้ายที่สุดอาการจะรุนแรง จนถึงแม้แต่อยู่เฉยๆก็รู้สึกหอบอิดโรย ทั้งนี้ด้วยเหตุว่าถุงลมปอดพิการอย่างหนัก ไม่สามารถทำหน้าที่แลกอากาศ นำออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายให้กำเนิดพลังงาน คนเจ็บมักมีอาการกำเริบหนักเป็นครั้งเป็นคราว เหตุเพราะมีการติดโรค (หลอดลมอักเสบ ปอด) เข้าแทรก ทำให้เป็นไข้ ไอมีเสมหะเหลืองหรือเขียว หายใจหอบ หายใจมีเสียงดังวี้ดๆตัวเขียว จนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล  เมื่อเป็นถึงขั้นระยะร้ายแรง ผู้เจ็บป่วยมักมีลักษณะอาการไม่อยากอาหาร น้ำหนักลด รูปร่างผอมบาง มีลักษณะอาการหอบอ่อนล้า อยู่ตลอดเวลา มีลักษณะเจ็บปวดรวดร้าวสาหัสแล้วก็บางทีอาจเสียชีวิตได้จากโรคแทรก
                นอกจากนั้น ในบางรายอาจพบว่ามีริมฝีปากหรือเล็บเป็นสีคล้ำออกม่วงเทาหรือฟ้าเข้มเพราะขาดออกสิเจน หรือหากมีอาการหายใจตื้นเป็นเวลานานยาวนานหลายเดือนรวมทั้งมีอาการที่แย่ลงอีกด้วย
ปัจจัยเสี่ยงที่จะนำไปสู่โรคถุงลมโป่งพอง สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง แบ่งได้เป็น 2 กรุ๊ปหมายถึง



วิธีการรักษาโรคถุงลมโป่งพอง การวิเคราะห์โรคถุงลมโป่งพอง หมอจะอาศัยส่วนประกอบหลายแบบ อย่างเช่น ประวัติสัมผัสปัจจัยเสี่ยงดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ร่วมกับ อาการ ผลการตรวจร่างกาย ภาพรังสีอก รวมทั้งยืนยันการวินิจฉัยด้วย spirometry ดังอาการที่กำลังจะกล่าวต่อไปนี้
อาการ ส่วนมากคนไข้ที่มาพบแพทย์จะมีลักษณะเมื่อพยาธิภาวะลุกลามไปมากแล้ว อาการที่ตรวจเจอ ดังเช่นว่า หอบ เมื่อยล้าซึ่งจะเป็นมากขึ้นเรื่อยไอเรื้อรังหรือมีเสมหะโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนเวลาเช้า อาการอื่นที่พบได้หมายถึงแน่น อก หรือหายใจมีเสียงหวีด
การตรวจทางรังสีวิทยา ภาพรังสีหน้าอกมีความไวน้อยสำหรับในการวินิจฉัยโรคถุงลมโป่งพอง แต่ว่ามี ความสำคัญสำหรับการแยกโรคอื่น ในผู้เจ็บป่วย emphysema บางทีอาจพบลักษณะ hyperinflation คือ กะบังลมแบน ราบรวมทั้งหัวใจมีขนาดเล็กมีอากาศในปอดมากกว่าปกติ ในผู้เจ็บป่วยที่มี corpulmonale จะพบว่าหัวใจห้องขวา แล้วก็ pulmonary trunk มี ขนาดโตขึ้น แล้วก็ peripheral vascular marking ต่ำลง
การตรวจสมรรถนะปอด Spirometry มีความจำเป็นสำหรับในการวินิจฉัยโรคนี้มากมาย และก็สามารถจัดระดับความรุนแรงของโรคได้ด้วย โดยการตรวจ spirometry นี้ต้องตรวจเมื่อคนป่วยมีลักษณะคงที่ (stable) และไม่มีอาการกำเริบเสิบสานของโรคขั้นต่ำ 1 เดือน การตรวจนี้สามารถวินิจฉัยโรคได้ตั้งแต่ระยะที่คนป่วยยังไม่มีอาการ  โดยหมอจะให้คนป่วยหายใจเข้าให้สุดกำลัง แล้วเป่าลมหายใจออกอย่างรวดเร็วผ่านเครื่องสไปโรมิเตอร์ (Spirometry) แล้ววัดมองค่า FEV1 (Forced expiratory volume in 1 second) ซึ่งก็คือ ความจุอากาศที่หายใจออกใน 1 วินาที แล้วก็ค่า FVC (Forced vital capacity) ซึ่งหมายถึง ปริมาตรอากาศที่หายใจออกทั้งหมดทั้งปวงจนสุดอย่างเต็ม 1 ครั้ง จะเจอลักษณะของ airflow limitation โดยค่า FEV1 / FVC หลังให้ยาขยายหลอดลมน้อยกว่าร้อยละ 70 แล้วก็แบ่งความร้ายแรงเป็น 4 ระดับ โดยใช้ค่า FEV1 ข้างหลังให้ยาขยายหลอดลม
(https://www.img.in.th/images/e711eea7d3de61c4a94cb6d3ac3d2b70.gif)
การตรวจด้วยเครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว (Pulse oximetry) เป็นการตรวจเพื่อวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด ซึ่งในคนป่วยโรคถุงลมโป่งพองชอบมีออกซิเจนในเลือดต่ำหมายถึงวัดค่าความอิ่มตัวของออกสิเจนในเลือดได้น้อยกว่าธรรมดา เนื่องด้วยร่างกายไม่ได้รับออกสิเจนอย่างเพียงพอ (โดยค่าปกติจะอยู่ที่ 96-99% แม้ต่ำกว่านี้ผู้เจ็บป่วยจะรู้สึกเหนื่อยมากขึ้นเรื่อย)
การตรวจค้นระดับสารทริปสินในเลือด ถ้าเกิดผู้เจ็บป่วยที่เป็นโรคถุงลมโป่งพองมีอายุน้อยกว่า 40-50 ปี ต้นเหตุอาจมาจากภาวะพร่องสารต่อต้านทริปซินซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมได้ ผู้เจ็บป่วยก็เลยจะต้องตรวจหาจำนวน α1-antitrypsin ในเลือด
การรักษา เพื่อทรงสภาพร่างกายเดี๋ยวนี้ให้ดีเยี่ยมที่สุด แล้วก็เพื่อ ลดการเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ประกอบด้วย หลัก 4 ประการหมายถึง การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง  การรักษา stable COPD  การประเมินแล้วก็ติดตามโรค  การดูแลและรักษาสภาวะกําเริบเฉียบพลันของโรค (acute exacerbation)



การให้ข้อมูลที่เหมาะสมเกี่ยวกับโรค แล้วก็แผนการรักษาแก่ผู้เจ็บป่วยและเครือญาติ จะช่วยทำให้การดูแลและรักษามีคุณภาพ คนเจ็บมีความถนัดในการเรียนรู้การใช้ชีวิตกับโรคนี้ดีขึ้น และก็สามารถวางแผนชีวิตในกรณีที่โรคดำเนินเข้าสู่ระยะท้ายที่สุด  (end of life plan)
การรักษาด้วยยา การใช้ยามีจุดประสงค์เพื่อทุเลาอาการ ลดการกำเริบ และเพิ่มคุณภาพชีวิต ตอนนี้ยังไม่มียาประเภทใดที่มีหลักฐานแจ่มกระจ่างว่าสามารถลดอัตราการตาย และก็ชะลออัตราการต่ำลงของสมรรถภาพปอดได้ ซึ่งการดูแลรักษาดัวยยา จะมียาต่างๆเป็นต้นว่า
ยาขยายหลอดลม ยากลุ่มนี้ทำให้อาการแล้วก็สมรรถภาพหลักการทำงานของผู้เจ็บป่วยดียิ่งขึ้น ลดความถี่แล้วก็ความร้ายแรงของการกำเริบ เริ่มคุณภาพชีวิตทำให้สถานะสุขภาพโดยรวมของคนเจ็บ หากว่าคนเจ็บบางรายอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีการโต้ตอบต่อยาขยายหลอดลมตามเกณฑ์การตรวจ spirometry ก็ตาม
ยาขยายหลอดลมที่ใช้ แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหมายถึงβ2-agonist, anticholinergic แĈะ xanthine derivative
การจัดการขยายหลอดลม แนะนำให้ใช้วิธีสูดพ่น  (metered-dose หรือ dry-powder inhaler) เป็นขั้นแรกเหตุเพราะมีประสิทธิภาพสูงแล้วก็ผลกระทบน้อย
ICS แม้การให้ยา ICS อย่างสม่ำเสมอจะไม่สามารถที่จะชะลอการลดลงของค่า FEV แต่ว่าสามารถทำให้สถานะร่างกายแข็งแรงขึ้น แล้วก็ลดการกำเริบของโรคในผู้ป่วยกรุ๊ปที่มีลักษณะอาการรุนแรงและที่มีอาการกำเริบเสิบสานบ่อยมาก
ยาผสม ICS รวมทั้ง LABA ชนิดสูด มีหลักฐานว่ายาผสมกลุ่มนี้มีคุณภาพเหนือกว่ายา LABA หรือยา ICS ประเภทสูดลำพังๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนป่วยขั้นรุนแรงและก็มีอาการกำเริบบ่อยๆแต่ก็ยังมีความเอนเอียงที่จะกำเนิดปอดอักเสบสูงมากขึ้นด้วยเหมือนกัน
Xanthine derivatives มีคุณประโยชน์แต่ว่าเป็นผลใกล้กันได้ง่าย จึงควรพินิจพิเคราะห์เลือกยาขยายหลอดลมกลุ่มอื่นก่อน ดังนี้ คุณภาพของยากลุ่มนี้ได้จากการศึกษาเล่าเรียนยาชนิดที่เป็น sustained-release เท่านั้น
การรักษาอื่นๆวัคซีน เสนอแนะให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ปีละ 1 ครั้ง ระยะเวลาที่สมควรเป็น เดือนมีนาคม – เมษายน แต่ว่าอาจให้ได้ตลอดทั้งปี การฟื้นฟูสมรรถภาพปอด  (pulmonary rehabilitation) มีวัตถุประสงค์เพื่อลดลักษณะโรค เพิ่มคุณภาพชีวิต และก็เพิ่มความรู้ความเข้าใจสำหรับการทำงานกิจวัตร ซึ่งการฟื้นฟูสมรรถภาพปอดนี้ ต้องครอบคลุมทุกปัญหาที่เกี่ยวพันด้วย เป็นต้นว่า ภาวะของกล้ามเนื้อ ภาวะอารมณ์และจิตใจ สภาวะโภชนาการเป็นต้น ให้การบรรเทาด้วยออกซิเจนระยะยาว  การรักษาโรคการผ่าตัด แล้วก็/หรือ หัตถการพิเศษ คนไข้ที่ได้รับการดูแลและรักษาด้วยยา แล้วก็การฟื้นฟูสมรรถภาพปอดอย่างเต็มที่แล้ว ยังควบคุมอาการไม่ได้ ควรส่งต่ออายุรเวชผู้เชี่ยวชาญโรคระบบการหายใจ เพื่อประเมินการรักษาโดยการผ่าตัด อาทิเช่น
           Bullectomy
           การผ่าตัดเพื่อลดความจุปอด  (lung volume reduction surgery)
           การใส่เครื่องมือในหลอดลม (endobronchial valve)
           การผ่าตัดเปลี่ยนแปลงปอด
การคาดคะเนรวมทั้งติดตามโรค สำหรับในการประมวลผลการรักษาควรจะมีการคาดคะเนทั้งยัง อาการคนไข้  (subjective) รวมทั้งผลของการตรวจ (objective) บางทีอาจประเมินทุก 1-3 เดือนตามความเหมาะสม ทั้งนี้ขึ้นกับระดับความรุนแรงของโรคและต้นสายปลายเหตุทางเศรษฐสังคม
เมื่อใดก็ตามพบหมอ ควรติดตามอาการ อาการหอบ ออกกำลังกาย ความถี่ของกการกำเริบของโรค อาการแสดงของการหายใจไม่สะดวก แล้วก็การคาดคะเนวิธีการใช้ยาสูด
ทุก 1 ปี ควรจะวัด  spirometry ในคนป่วยที่มีลักษณะอาการอ่อนแรงรุกรามกิจวัตรประจําวัน ควรจะวัด BODE Index, 6 minute walk distance, ระดับ oxygen saturation หรือ arterial blood gases
การดูแลรักษาสภาวะกำเริบเสิบสานกระทันหันของโรค  (acute exacerbation) การกำเริบทันควันของโรค หมายถึง ภาวะที่มีลักษณะอาการอ่อนแรงเพิ่มขึ้นกว่าเดิมในช่วงเวลาอันสั้น (เป็นวันถึงสัปดาห์) และ/หรือ มีปริมาณเสมหะมากขึ้น หรือมีเสลดเปลี่ยนสี (purulent sputum) โดยจำเป็นต้องแยกจากโรคหรือภาวะอื่นๆดังเช่นว่า หัวใจล้มเหลว pulmonary embolism, pneumonia, pneumothorax
การติดต่อของโรคถุงลมโป่งพอง โรคถุงลมโป่งพองเกิดจาก เยื่อบุหลอดลมรวมทั้งถุงลมในปอดถูกทำลายขึ้นรถพิษต่างๆดังเช่นว่า พิษในควันจากบุหรี่ , มลพิษทางอาการและสารเคมี ที่พวกเราสูดเข้าไป เป็นเวลานานแล้วก็ในปริมาณที่มาก ซึ่งโรคถุงลมโป่งพองขาดการติดต่อ จากคนสู่คน หรือ จากสัตว์สู่คนอะไร แต่ว่าบางทีอาจเจอได้ว่ามีเหตุที่เกิดจากพันธุกรรม (สภาวะขาดตกบกพร่องสารต้านทริปซีน (a1-antitrypsin)) แต่พบได้น้อยมาก โดยประมาณ 3% ของโรคปอดเรื้อรังทั้งปวง
การกระทำตนเมื่อป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพอง

การปกป้องคุ้มครองตัวเองจากโรคถุงลมโป่งพอง

สมุนไพรที่ใช้รักษา/ทุเลาอาการของโรคถุงลมโป่งพอง

เอกสารอ้างอิง