รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

ลงประกาศฟรี => อื่น ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: กาลครั้งหนึ่ง2560 ที่ เมษายน 05, 2018, 02:27:33 AM

หัวข้อ: โรคต้อกระจก - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร
เริ่มหัวข้อโดย: กาลครั้งหนึ่ง2560 ที่ เมษายน 05, 2018, 02:27:33 AM
(https://www.img.in.th/images/e4df9f000bd629ebcb2dd3c3dc53c960.jpg)
โรคต้อกระจก
โรคต้อกระจก (http://www.disthai.com/16865076/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%81) เป็นยังไง  ก่อนจะทราบถึงความหมายของต้อกระจกนั้น เราน่าจะทำความรู้จักกับเลนส์ตาหรือที่พวกเราเรียกกันภาษาชาวบ้านว่า แก้วตา กันก่อน แก้วตาหรือเลนส์ตา (Lens) เป็นเลนส์นูนใสอยู่ข้างหลังม่านตา (มีลักษณะเหมือนเลนส์นูนทั่วๆไปทั้งยังด้าน หน้ารวมทั้งด้านหลัง มีความครึ้มราวๆ 5 มัธยมม. เส้นผ่าศูนย์ กึ่งกลางราวๆ 9 มัธยมม. มีบทบาททำงานร่วมกับกระจกตาสำหรับการหักเหแสงสว่างจากวัตถุให้ตกจุดโฟกัสที่จอประสาทตา ที่กระตุ้นให้เกิดการมองมองเห็น
นอกนั้นแก้วตายังสามารถเปลี่ยนแปลงกำลังการหักเหได้ด้วยตัวเอง เพื่อให้สามารถจุดโฟกัสภาพในระยะต่างๆได้ชัดขึ้น นั่นก็คือ ในคนปกติจะแลเห็นชัดทั้งยังไกลและใกล้ เพราะฉะนั้นธรรมชาติจึงสร้างแก้วตาให้อยู่ในที่ปลอดภัย โดยอยู่ในใจกลางของดวงตาเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายใดๆก็ตามแต่แม้ว่าแก้วตาจะมิได้รับอันตรายใดๆจากข้างนอก แม้กระนั้นก็ไม่สามารถที่จะเลี่ยงความเสื่อมโทรมสภาพจากอายุที่เพิ่มขึ้นหรือการถูกต้นเหตุที่จะรีบส่งผลให้เกิดความเสื่อมโทรมของแก้วตาได้ ซึ่งเป็นต้นเหตุส่งผลให้เกิดโรคที่เกี่ยวกับเลนส์แก้วตาต่างๆได้ อาทิเช่น ต้อกระจก ต้อหิน หน้าจอประสาทตาเสื่อม อื่นๆอีกมากมาย สำหรับต้อกระจกนี้
ขั้นแรกต้องขอให้คำอธิบายศัพท์ หรือความหมายของคำว่า “ต้อกระจก” เสียก่อน ต้อกระจกคือภาวการณ์ที่เลนส์ข้างในดวงตาเกิดภาวะขาวขุ่นขึ้นเพราะว่าสาเหตุอะไรก็ได้ ตามปกติแล้วเลนส์ข้างในลูกตามีภาวการณ์ใสโปร่งแสงคล้ายกระจกใส มีหน้าที่ปรับแสงสว่างที่ผ่านเข้าตา ทำให้พวกเราสามารถเห็นภาพวัตถุต่างๆได้กระจ่าง รวมทั้งเมื่อกำเนิด “ต้อกระจก” ก็จะก่อให้ตัวเลนส์ตามีลักษณะขาวขุ่นขึ้น ทึบแสง ไม่ยินยอมให้แสงผ่านเข้าสู่ลูกตาไปตกกระทบที่จอประสาทรับภาพ (retina) ได้แน่ชัด ผู้นั้นจึงมองอะไรไม่ชัดเจน ตาฝ้า มัว แล้วในที่สุดถ้าเกิดขาวขุ่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะมืดและ มองอะไรมองไม่เห็นจากตาข้างนั้น ต้อกระจก เป็นโรคที่พบได้มากสำหรับคนชรา ถ้าหากปล่อยไว้ไม่ผ่าตัดก็จะก่อให้ตาบอด นับว่าเป็นมูลเหตุอันดับแรกๆของสภาวะสายตาทุพพลภาพของคนชรา
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคต้อกระจก โดยส่วนมาก (โดยประมาณจำนวนร้อยละ 80) มีสาเหตุมาจากสภาวะเสื่อมตามวัย คนที่มีอายุมากกว่า 60 ปีจะเป็นต้อกระจกดูเหมือนจะทุกราย แต่ว่าอาจเป็นมากน้อยแตกต่างกันไป เรียกว่า ต้อกระจกในคนสูงอายุ (senile cataract)  ส่วนน้อย (โดยประมาณร้อยละ 20) อาจเป็นเพราะปัจจัยอื่นๆเช่น ต้อกระจกโดยกำเนิด (Congenital Cataract) ทารกสามารถเป็นต้อกระจกได้ตั้งแต่ต้นกำเนิด โดยบางทีอาจเกิดได้จากกรรมพันธุ์ การตำหนิดเชื้อ การเกิดอันตรายหรือมีความก้าวหน้าระหว่างอยู่ในครรภ์ไม่ดี เด็กแรกเกิดที่ค้นพบว่าเป็นต้อกระจกโดยกำเนิด อย่างเช่น สภาวะกาแล็กโทซีภรรยา โรคเหือด หรือโรคเท้าแสนปมชนิดที่ 2 ก็อาจนำไปสู่การเกิดต้อกระจกชนิดนี้ เด็กเล็กบางคนอาจออกอาการในภายหลัง โดยมักเป็นทั้งสองข้าง ครั้งคราวต้อกระจกนี้เล็กมากจนกระทั่งไม่ส่งผลต่อการมองมองเห็น แต่ว่าเมื่อพบว่ามีผลกระทบต่อการมองเห็นจึงจะผ่าออก ต้อกระจกทุติยภูมิ (Secondary Cataract) การผ่าตัดรักษาโรคตาชนิดอื่นอย่างเช่นต้อหิน การป่วยเป็นม่านตาอักเสบ หรือตาอักเสบ บางทีอาจเป็นต้นเหตุให้กำเนิดโรคต้อกระจกตามมาได้ นอกจากนี้ คนไข้เบาหวาน โรคอ้วน หรือโรคความดันโลหิตสูง การได้รับยาบางชนิด ตัวอย่างเช่น สเตียรอยด์ ยาขับฉี่บางตัว ก็นับว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงเป็นโรคต้อกระจกได้ง่ายเช่นเดียวกัน เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากสภาวะแรงชนที่ลูกตา ก็ทำให้เลนส์ตาขวาขุ่นได้ โดยเขพาเมื่อโดนสิ่งมีคมทิ่มทะลุเข้าตา เข้าไปโดนเลนส์ตา เกิดภาวะต้อกระจกได้ทันทีข้างใน 1 วัน หรือถ้าหากโดนวัตถุไม่มีคมชน ก็อาจจะมีการเกิดต้อกระจกตามมาทีหลังได้ ถ้าเกิดความแรงนั้นมากพอให้เยื่อเลนส์ตาแตกสามัคคี เกิดขึ้นจากโดนรังสีเอกซเรย์ บริเวณลูกตาอยู่เสมอๆอย่างเช่น พวกที่มีโรคมะเร็งบริเวณเบ้าตา และก็รักษาโดยใช้รังสี ซึ่งรังสีนี้บางทีอาจลึกลงไปโดนเลนส์ตาทำให้ขุ่นได้ และเกิดต้อกระจกตามมา  เว้นเสียแต่ปัจจัยต่างๆดังกล่าวข้างต้นแล้ว อาจจะมีอิทธิพลมาจากอย่างอื่นได้ ยกตัวอย่างเช่น ของกินพวกที่มีภาวะทุโภชนา หรือพวกของกินผิดสุขอนามัย ขาดโปรตีน และก็วิตามินกระตุ้นให้เกิดต้อกระจกได้เร็วกว่าปกติ
ลักษณะโรคต้อกระจก โรคต้อกระจกนั้นยากที่จะดูได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นเริ่ม เนื่องจากว่าจำต้องใช้เวลานานกว่าอาการของต้อกระจกจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนถึงกระทบต่อการมองเห็น โดยคนไข้มักมีอาการดังต่อไปนี้

ภาวะแทรกซ้อนของต้อกระจก



แนวทางการรักษาโรคต้อกระจก แพทย์จะวิเคราะห์เบื้องต้นด้วยการตรวจพบแก้วตา (เลนส์ตา) ขุ่นขาว เวลาใช้ไฟส่องตาคนไข้จะรู้สึกตาฝ้า การใช้เครื่องส่องตา (ophthalmoscope) ตรวจตาจะไม่เจอปฏิกิริยาย้อนกลับสีแดง (red reflex)
แม้ยังไม่มั่นใจ แพทย์จำเป็นต้องใช้เครื่องมือพิเศษตรวจอย่างละเอียดลออ อาจจำต้องวัดความดันดวงตา (เพื่อแยกออกมาจากโรคต้อหินที่จะพบความดันลูกตาสูงยิ่งกว่าปกติ) รวมทั้งตรวจพิเศษอื่นๆดังเช่น



เนื่องจากว่าโรคต้อกระจกไม่มียาที่ใช้รับประทาน หรือหยอดใดๆก็ตามที่ช่วยแก้อาการของต้อกระจกได้ ระยะต้นๆของโรคต้อกระจกสามารถบรรเทาได้ด้วยการตัดแว่นตาใหม่ สวมแว่นกันแดดร้องไห้สะท้อน หรือการใช้เลนส์ขยายตราบจนกระทั่งต้อกระจกจะเริ่มกระทบต่อวิธีการทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน จึงจะทำการผ่าตัด ในอดีตกาลมักคอยให้ต้อกระจกสุกจึงทำการผ่าตัดแปลงเลนส์ แต่ตอนนี้มักนิยมรักษาโดยการสลายต้อกระจกแต่เนิ่นๆเป็นเมื่อปัญหาตามัวนั้นทำให้เป็นอุปสรรคกับการดำรงชีวิตของคนไข้ก็ควรจะรับการรักษา เนื่องจากการรอคอยต้อกระจกสุก จะมีผลให้การดูแลและรักษาด้วยการสลายต้อทำเป็นยาก รวมทั้งยังอาจจะทำให้กำเนิดโรคตาอื่นสอดแทรก อาทิเช่น ต้อหิน ซึ่งอาจทำให้เป็นอันตรายมากยิ่งขึ้นได้
ในปัจจุบันการรักษาต้อกระจกมีเพียงแต่แนวทางเดียว คือ การผ่าตัดเอาเลนส์ตาที่ขุ่นออกแล้วก็ใส่เลนส์ตาเทียมเข้าไปแทนที่ในขณะนี้การผ่าตัดต้อกระจกมีความปลอดภัยสูงใช้เวลาสำหรับการผ่าตัดไม่นาน และไม่จำต้องนอนโรงพยาบาลข้างหลังผ่าตัด
กรรมวิธีผ่าตัดที่นิยมในปัจจุบันมี 3 วิธี

(https://www.img.in.th/images/e46290fb889a1c7cae0bd91326469fc2.jpg)
ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคต้อกระจก



การติดต่อของโรคต้อกระจก โรคต้อกระจกมีสาเหตุจากเลนส์ตาหรือแก้วตา ย่อยสลายจากนานัปการต้นสายปลายเหตุทำให้มีลักษณะขุ่นขาวทึบแสงได้ผลให้แสงสว่างผ่านเข้าไปสู่ลูกตาได้น้อย ก็เลยทำให้เกิดการมองเห็นภาพฝ้าฟางเยอะขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งมองไม่เห็นท้ายที่สุด ซึ่งเป็นโรคที่ขาดการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
การกระทำตนเมื่อเป็นโรคต้อกระจก

การคุ้มครองตัวเองจากโรคต้อกระจก



สมุนไพรที่ช่วยปกป้องการเกิดโรคต้อกระจก  จากการศึกษาเล่าเรียนค้นคว้าข้อมูลงานศึกษาเรียนรู้พบว่า สมุนไพรไทยหลายประเภทสามารถคุ้มครองโรคต้อกระจกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ อาทิเช่น ขมิ้นชัน รวมทั้งฟักข้าว โดยในขมิ้นชัน มีสารต้านอนุมูลอิสระสำคัญเป็นเคอร์คิวมินอยด์ (curcuminoid) แล้วก็อุดมไปด้วยวิตามินและธาตุหลายประเภท ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี วิตามินอี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และก็เกลือแร่ต่างๆรวมไปถึงเส้นใย คาร์โบไฮเดรตแล้วก็โปรตีน เป็นต้น ด้วยเหตุนั้น ขมิ้นชันจึงมีคุณประโยชน์สำหรับในการช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย รวมทั้งสามารถรักษาอาการแล้วก็โรคต่างๆได้หลายประเภท
ส่วนฟักข้าวนั้น มีสารต้านทานอนุมูลอิสระสำคัญหมายถึงไลวัวตะกาย (lycopene) โดยในเยื่อห่อเมล็ดของฟักข้าวมีไลโคพีนสูงกว่ามะเขือเทศ 12 เท่า ซึ่งสามารถช่วยสำหรับการบำรุงและก็รักษาสายตา คุ้มครองปกป้องโรคเกี่ยวกับดวงตา โรคต้อกระจก รวมทั้งประสาทตาเสื่อม รวมทั้งตาบอดช่วงเวลากลางคืนได้ ทั้ง ยังมีการวิจัยพบว่า ไลโคไต่แล้วก็เคอร์คิวมินอยด์ ยังช่วยป้องกันต้อกระจกที่เกิดขึ้นจากโรคเบาหวานได้อีกด้วยนอกจากนั้นยังมีสมุนไพรอีกหลายแบบซึ่งสามารถคุ้มครองป้องกันโรคต้อกระจก (http://www.disthai.com/16865076/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%81)ได้ อาทิเช่น มะขามป้อม มะขามป้อมจัดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก ซึ่งจากการศึกษาเล่าเรียนพบว่า วิตามินซีมีหน้าที่สำหรับเพื่อการปกป้องการเกิดต้อกระจก โดยทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ รวมทั้งกรองรังสียูวีให้เลนส์ตา นอกเหนือจากมะขามป้อมแล้ว ยังมีผลไม้อื่นๆที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ฝรั่ง มะปราง มะละกอ มะกอก ส้ม มะขาม ลูกหว้า เป็นต้น เว้นเสียแต่สมุนไพรพนาแล้ว สมุนไพรต่างแดนที่มีการสรรพคุณบำรุงรวมทั้งคุ้มครองปกป้องโรคเกี่ยวกับตาได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่น
Ginseng หรือโสม คือรากของ Panax ginseng มี สารสำคัญเป็น ginsennosides ซึ่งเป็น steroidal saponin มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายแบบ ยกตัวอย่างเช่น antiapoptotic, anti-inflammatory, antioxidant จากการทดลองทางคลินิกในผู้เจ็บป่วยที่เป็นต้อหิน พบว่า โสมแดงเกาหลีสามารถเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตไปยังจอตา จึงน่าจะเป็นผลดีในลักษณะการป้องกันโรคต้อหิน นอกจากนั้นสาร Rb1 แล้วก็ Rg3 ยังมีฤทธิ์ยั้ง TNF-alpha ก็เลยน่าจะเป็นผลดีสำหรับการปกป้องโรคหน้าจอประสาทตาเสื่อมด้วย เนื่องด้วยการอักเสบเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคนี้ การทดสอบในหนูแสดงว่าโสมสามารถลดการเสื่อมของเรตินาในหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นโรคเบาหวานได้ ลดผลที่เกิดจากการเหนี่ยวนำหนูให้เป็นต้อกระจกด้วย selenite ได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าวโสมก็เลยเป็นสมุนไพรที่น่าดึงดูดสำหรับในการคุ้มครองปกป้องโรคตาทั้ง 4เป็นโรคต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม และก็ภาวะเบาหวานขึ้นจอตา
Gingko Biloba Extract (GBE) เป็นสารสกัดจากใบของต้นแป๊ะก๊วย (Ginkgo biloba) ในใบมีสารสำคัญสองกรุ๊ปเป็น เฟลโม้นอยด์และก็เทอร์พีนอยด์ GBE เป็นอาหารเสริมที่นิยมสูงที่สุดในยุโรปและอเมริกามีฤทธิ์ปกป้องการทำลายจากอนุมูลอิสระ และคุ้มครองป้องกัน lipid peroxidation จากการทดลองพบว่า GBE สามารถคุ้มครองปกป้องการเสื่อมของ mitochondria คุ้มครองป้องกันการเสื่อมของ optic nerve ก็เลยสามารถป้องกันตาบอดในผู้เจ็บป่วยโรคต้อหิน แล้วก็ คนไข้จอตาเสื่อมได้ รวมทั้งสามารถลดการหลุดของจอตา (retinal detachment) ได้ GBE จึงมีประโยชน์ในกรณีปกป้องและรักษาโรคต้อหินและโรคที่เกี่ยวข้องกับเรตินา
Danshen ชื่อสามัญคือ Asian Red Sage หรือตังเซียม หรือตานเซิน (Salvia miltiorrhiza) ส่วนที่ใช้เป็นราก ในตำรายาใช้เป็นยากระตุ้นการไหลเวียนเลือด ใช้รักษาฝี สารสำคัญเป็น salvianoic acid B เป็นสารพอลีฟีนอลิกละลายน้ำและเป็น antioxidant ที่มีฤทธิ์แรงแล้วก็ยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบในเป็นโรคเบาหวานจะเกิดอาการอักเสบรวมทั้งหนาขึ้นของผนังเส้นเลือดฝอยทำให้ อนุมูลอิสระไม่อาจจะถูกกำจัดออกไปได้ก็เลยไปทำลายเซลล์ประสาทตา เมื่อทดลองฉีดตังเซียมเข้าไปที่เยื่อจอตาที่ขาดออกซิเจนในหนูที่เป็นเบาหวานพบว่าสามารถคุ้มครองป้องกันการสูญเสียการมองมองเห็นได้ การทดสอบทางคลินิกในคนป่วยโรคต้อหินพบว่า ตังเซียมสามารถคงสภาพลานสายตา (visual field) ในคนป่วยระยะกลางและระยะปลายได้ ด้วยเหตุนั้น ตังเซียมก็เลยมีคุณประโยชน์กับคนเจ็บโรคตาที่เกี่ยวโยงกับ oxidative stress อาทิเช่น จอประสาทตาเสื่อม ภาวการณ์เบาหวานขึ้นจอตา รวมทั้งต้อกระจก รวมทั้งมีรายงานการศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยของ ดร.พอล จาคส์ (Paul Jacques) กรรมการเกษตรประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า คนประเทศอเมริกาที่รับประทานผักและผลไม้เป็นประจำมีโอกาสกำเนิดต้อกระจกน้อยกว่าผู้ไม่บริโภคผักและผลไม้ถึง 4 เท่าครึ่ง รวมทั้งคนที่ไม่รับประทานผักแล้วก็ผลไม้เลยจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจกเพิ่มมากขึ้นถึง 6 เท่า นอกจากนี้ยังพบว่าคนที่หรูหราวิตามินซีในเลือดต่ำ จะเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆถึง 11 เท่า ส่วนผู้ ที่หรูหราสารแคโรทีนอยด์ในเลือดต่ำจะมีความเสี่ยงสูงมากขึ้นไปถึง 7 เท่า
เอกสารอ้างอิง




Tags : โรคต้อกระจก