รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

ลงประกาศฟรี => อื่น ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: billcudror1122 ที่ เมษายน 03, 2018, 02:31:02 AM

หัวข้อ: โรคโรคลมชัก (Epilepsy) - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร
เริ่มหัวข้อโดย: billcudror1122 ที่ เมษายน 03, 2018, 02:31:02 AM
(https://www.img.in.th/images/49dc43b7763a2e6ecea9c3503b80b4a9.jpg)
โรคลมชัก (Epilepsy)
โรคลมชัก (http://www.disthai.com/16865685/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%81-epilepsy)เป็นยังไง โรคลมชัก หรือ โรคลมเหียน มีรากศัพท์จากภาษากรีกโบราณ:  คือ ยึด ครอบครอง หรือ ทำให้เจ็บไข้ได้ป่วย โดยเป็นกรุ๊ปโรคทางประสาทวิทยาซึ่งถูกจำกัดความโดยอาการชักอันมีเหตุมาจากการทำงานอย่างสอดคล้องต้องกันมากเกินความจำเป็นของเซลล์ประสาท ฉะนั้นโรคลมชัก ก็คือโรคจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลางซึ่งปฏิบัติหน้าที่สำหรับในการควบคุมรูปแบบการทำงานของร่างกาย จนกระทั่งนำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการชัก
                โรคลมชักเป็นโรคระบบประสาทที่พบมาก ในรายงานการเรียนโดย World Health Organization (WHO) และ World Federal of Neurology ในปี 2547 พบว่าใน 102 ประเทศที่รายงานปัญหาสุขภาพ พบว่าร้อยละ 72.5 ของประเทศเหล่านี้ระบุว่าโรคลมชักพบได้มากเป็นชั้นสองรองจากโรคปวดศีรษะ ในระหว่างที่โรคหลอดเลือดสมองเป็นอันดับสามคือ จำนวนร้อยละ 62.7 ประมาณว่าทั้งโลกคงจะมีคนที่แก่น้อยกว่า 15 ปี เป็นโรคลมชักกว่า 10.5 ล้านคน ซึ่งน่าจะพอๆกับหนึ่งในสี่ของปริมาณผู้ที่เป็นโรคลมชักทุกอายุ รวมทั้งในทุกๆปี คงจะมีบุคคลที่ได้รับการวิเคราะห์ใหม่เป็นโรคลมชัก ราว 3.5 ล้านคน ซึ่งจำนวนร้อยละ 40 จะเป็นผู้ป่วยเด็กที่อายุน้อยกว่า 15 ปี และกว่าจำนวนร้อยละ 80 เป็นผู้ป่วยในประเทศที่กำลังปรับปรุง
                ช่วงอายุที่เกิดโรคลมชักสูงคือตอนทารกแรกเกิดรวมทั้งเด็กตัวเล็กๆ ต้นเหตุที่ส่งผลให้เกิดโรคลมชักในตอนวัยทารกชอบเป็นพยาธิภาวะที่เกิดในช่วงการคลอดตัวอย่างเช่นผลการขาดออกสิเจน การติดเชื้อที่ระบบประสาท ส่วนเฒ่าเป็นช่วงที่ได้โอกาสกำเนิดโรคลมชักสูงรองลงมา ในปัจจุบันน่าจะพบว่าอุบัติการณ์โรคลมชักในวัยชรามากขึ้นในช่วงเวลาที่ในช่วงวัยทารกลดลงเนื่องมาจากความรู้ความเข้าใจทางการแพทย์สำหรับในการดูแลผู้ป่วยดียิ่งขึ้น ปัญหาสุขภาพแตกต่างจากเดิม การติดเชื้อที่ระบบประสาทที่บางทีก็อาจจะเป็นสาเหตุของโรคลมชักในวัยเด็กเริ่มน้อยลงจากการที่มีวัคซีนคุ้มครองโรคต่างๆอายุคนยืนยาวขึ้นกว่าเดิม โรคหลอดเลือดสมองซึ่งเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากปัญหาการกระทำสำหรับการกินอาหารไม่เหมาะสมมากขึ้น อื่นๆอีกมากมาย สำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาความชุกและก็อุบัติการณ์โรคลมชักยังคงสูงโดยเฉพาะในเด็ก เนื่องจากปัญหาสุขอนามัยโรคติดเชื้อ ความสามารถสำหรับเพื่อการดูแลผู้เจ็บป่วยยังจำกัด มีการคาดคะเนว่าคนประเทศไทยทั้งประเทศ เป็นโรคลมชักประมาณ 450,000 คน แล้วก็ประชาชนโดยธรรมดายังมีความรู้และมีความเข้าใจต่อโรคลมชักไม่มาก
                ดังนี้ คนไข้โรคลมชัก ถ้าได้รับการรักษาอย่างจริงจังตลอดมาตลอดตั้งแต่แรกเกิดอาการ คนป่วยจะสามารถดำเนินชีวิตดังเช่นคนปกติ เรียนหนังสือ ทำงาน เล่นกีฬา ออกสังคม และก็สามารถสมรสได้ แต่ถ้าหากไม่ให้ความสนใจไม่ได้รับการดูแลและรักษาอย่างเอาจริงเอาจัง ปลดปล่อยให้ชักอยู่เสมอๆก็อาจส่งผลให้สมองเสื่อม บางรายบางทีอาจทุพพลภาพหรือตายเนื่องมาจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นระหว่างชัก เช่น จมน้ำ ขับขี่รถชน ตกจากที่สูง ไฟเผา น้ำร้อนลวก ฯลฯ
ที่มาของโรคลมชัก
โรคลมชักส่วนใหญ่เกิดขึ้นโดยตรวจไม่เจอสาเหตุแจ่มชัด (Idiopathic หรือ Primary Epilepsy) มั่นใจว่ามีความ พร่องของสารเคมีอะไรบางอย่างสำหรับในการควบคุมไฟฟ้าในสมอง (โดยที่ส่วนประกอบของสมองปกติดี) ทำให้แนวทางการทำหน้าที่ของสมองเสียความสมดุล มีการปล่อยกระแสไฟฟ้าอย่างผิดปกติของเซลล์สมอง ทำให้มีการเกิดอาการชัก แล้วก็หมดสติชั่วครู่ ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะมีลักษณะทีแรกในช่วงอายุ 5-20 ปี รวมทั้งอาจมีประวัติว่ามีพ่อแม่หรือลูกพี่ลูกน้องเป็นโรคนี้ด้วย  และมีส่วนน้อยที่สามารถหามูลเหตุที่แจ่มชัดได้ (Symptomatic หรือ Secondary  Epilepsy)  อาจเป็นเพราะเนื่องจากความไม่ปกติของส่วนประกอบสมอง เช่น สมองทุพพลภาพแต่กำเนิด สมองได้รับกระทบกระเทือนระหว่างคลอด สมองพิการคราวหลังการติดเชื้อ แผลในสมองหลังผ่าตัด ฝีในสมอง เนื้องอกในสมอง โรคพยาธิในสมอง เลือดออกในสมอง (ซึ่งกลุ่มนี้พบได้ทั่วไปในเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี) ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ภาวการณ์แคลเซียมในเลือดต่ำ โรคพิษเหล้า สิ่งเสพติด (อย่างเช่น การเสพยาม้าเกินขนาด) พิษจากการใช้ยาบางชนิดที่ใช้เกินขนาด (กลุ่มนี้พบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป)
ทั้งนี้ อาการในผู้เจ็บป่วยโรคลมชักอาจเกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็นจะต้องมีสิ่งกระตุ้นให้กำเนิดอาการ แม้กระนั้นก็มีในบางคราว หรือการใช้สารบางสิ่งที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการชักได้ ดังเช่น ความเคร่งเครียด การพักผ่อนน้อยเกินไป การดื่มแอลกอฮอล์ การใช้ยารักษาอาการบางประเภทหรือกการใช้สิ่งเสพติด ภาวะมีประจำเดือนของเพศหญิง ยิ่งกว่านั้นยังมีคนไข้จำนวนหนึ่งแม้กระนั้นเป็นปริมาณน้อยซึ่งสามารถกำเนิดอาการชักได้ถ้าหากเห็นแสงสว่างแฟลชที่สว่างจ้า โดยอาการชักที่เกิดขึ้นมาจากต้นเหตุนี้เรียกว่า โรคลมชักที่ผู้ป่วยไวต่อแสงสว่างกระตุ้น (Photosensitive Epilepsy)
ลักษณะของคนเจ็บลมชัก โรคลมชัก แตกต่างจากการชักจากโรคอื่นๆเป็น อาการชักจากโรคลมชัก จะต้องมีอา การ ชัก เกร็ง กระตุก กัดลิ้น น้ำลายฟูมปาก ซึ่งดังนี้ จริงๆแล้ว โรคลมชักเอง มีอาการชักได้ 3 ต้นแบบ เช่น
1.อาการชักที่ส่งผลต่อทุกส่วนของสมอง (Generalized Seizures) เป็นอาการชักที่เกิดขึ้นอยู่กับสมองทั้ง 2 ด้าน แบ่งออกเป็น 2 ชนิดย่อยๆคือ
   อาการชักแบบเหม่อ (Absence Seizures) เป็นอาการชักที่มักเกิดขึ้นในเด็ก อาการที่เด่นเป็นการเหม่อ หรือมีการขยับเขยื้อนร่างกายเพียงแค่เล็กๆน้อยๆ อย่างเช่น การกระพริบตาหรือขยับริมฝีปาก อาการชักประเภทนี้อาจเป็นสาเหตุทำให้มีการเกิดการเสียการรับทราบในระยะสั้นๆได้
   อาการชักแบบชักเกร็ง (Tonic Seizures) เป็นอาการชักที่ทำให้มีการเกิดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ โดยชอบเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อรอบๆหลัง แขนแล้วก็ขา จนทำให้คนป่วยล้มลงได้
             อาการชักแบบกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย (Atonic Seizures) อาการชักที่นำมาซึ่งการทำให้กล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรงลง ผู้เจ็บป่วยที่มีลักษณะชักชนิดนี้จะไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อขณะเกิดอาการได้ จนกระทั่งทำให้ผู้เจ็บป่วยล้มพับ หรือหกล้มลงได้อย่างฉับพลัน
   อาการชักแบบชัก (Clonic Seizures) เป็นอาการชักที่ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่ไม่ดีเหมือนปกติ โดยอาจจะเป็นผลให้มีการขยับเขยื้อนในจังหวะซ้ำ มักเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อบริเวณคอ ใบหน้า และก็แขน
             อาการชักแบบชักกระตุกและก็เกร็ง (Tonic-clonic Seizures) เป็นอาการชักที่มีผลต่อกล้ามในร่างกายทุกส่วน นำมาซึ่งอาการกล้ามเนื้อเกร็งและกระตุก มีผลทำให้ผู้เจ็บป่วยล้มลง รวมทั้งสลบ บางรายบางทีอาจร้องไห้ในระหว่างที่ชักด้วย รวมทั้งภายหลังจากอาการบรรเทาลง ผู้เจ็บป่วยบางทีอาจรู้สึกอิดโรยเนื่องจากอาการชัก
   อาการชักแบบชักตกใจ (Myoclonic Seizures) อาการชักประเภทนี้มักเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน โดยจะกำเนิดอาการชักกระตุกของแขนแล้วก็ขาคล้ายกับการโดนกระแสไฟฟ้าช็อต ส่วนมากมักจะเกิดหลังจากตื่น บ้างก็เกิดขึ้นร่วมกับอาการชักแบบอื่นๆในกรุ๊ปเดียวกัน
2.อาการชักเฉพาะส่วน (Partial หรือ Focal Seizures) อาการชักชนิดนี้จะเกิดขึ้นกับสมองเพียงแค่นิดหน่อย ก่อให้เกิดอาการชักที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเท่านั้น แบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ
    อาการชักแบบรู้ตัว (Simple Focal Seizures) สำหรับอาการชักประเภทนี้ ในช่วงเวลาที่เกิดอาการ ผู้เจ็บป่วยจะยังคงมีสติครบบริบรูณ์ โดยคนไข้อาจมีความรู้สึกแปลกๆหรือมีความรู้สึกวูบๆข้างในท้อง บ้างก็อาจรู้สึกราวกับมีลักษณะเดจาวู ซึ่งเป็นความรู้สึกเหมือนว่าเคยพบเห็นหรือเกิดเหตุการณ์ที่ประสบอยู่มาก่อน ทั้งที่ไม่เคย บางทีอาจเกิดความรู้สึกร่าเริงหรือกลัวทันทีทันใด และก็ได้กลิ่นหรือรับรู้รสชาติแปลกไป รู้สึกชาที่แขนและขา หรือมีลักษณะอาการชักที่แขนแล้วก็มือ เป็นต้น ดังนี้ อาการชักดังที่กล่าวมาแล้วอาจเป็นสัญญาณเตือนของอาการชักประเภทอื่นๆที่กำลังตามมา อาการเหล่านี้สามารถที่จะช่วยให้คนป่วยแล้วก็คนที่อยู่รอบข้างเตรียมรับมือได้ทัน
    อาการชักโดยไม่รู้ตัว (Complex Partial Seizures) สามารถเกิดขึ้นโดยที่คนเจ็บอาจจะไม่ทราบตัวและไม่สามารถจำได้ว่าเกิดอาการขึ้นเมื่อใด ไม่ว่าจะในขณะที่กำเนิดอาการหรืออาการสงบแล้ว อาการชักจำพวกนี้ไม่สามารถที่จะคาดคะเนได้โดยอาจมีอาการเป็นต้นว่า ขยับริมฝีปาก ถูมือ ทำเสียงแปลกๆหมุนแขนไปบริเวณจับเสื้อผ้า เล่นกับสิ่งของในมือ อยู่ในลีลาแปลกๆเคี้ยวหรือกลืนบางสิ่งบางอย่าง นอกเหนือจากนี้ ในเวลาที่เกิดอาการ คนป่วยจะไม่สามารถรับทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบกายได้เลย
3.อาการชักต่อเนื่อง (Status Epilepticus) อาการชักชนิดนี้เป็นอาการที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันมากยิ่งกว่า 30 นาทีขึ้นไป หรือเป็นอาการชักตลอดที่คนไข้ไม่สามารถที่จะคืนสติในระหว่างที่ชัก ซึ่งเป็นคราวฉุกเฉินที่จำต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
ดังนี้ลักษณะสำคัญของการชักในโรคลมชักทุกชนิดเป็น การที่ผู้ป่วยมีลักษณะแตกต่างจากปกติทางระบบประสาทดังที่พูดมาแล้วข้างต้นอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นระยะเวลาสั้นๆตั้งแต่ 30 วินาที ถึง 3 นาที อา การนั้นหายได้เอง แต่อาการพวกนั้นจะกำเนิดซ้ำๆและอาการไม่ปกติที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งจะมีลักษณะคล้ายๆกัน
ก่อนที่จะชัก บางบุคคลอาจมีอาการบอกเหตุล่วงหน้ามาก่อนหลายชั่วโมง หรือ 2-3 วัน เช่น หงุดหงิด เครียด หม่นหมอง เวียนหัว กล้ามกระตุก เป็นต้น และก่อนที่จะสลบเพียงแค่ไม่กี่วินาที คนป่วยอาจมีอาการเตือน ได้แก่ ได้กลิ่นหรือรสแปลกๆหูแว่วว่ามีเสียงคนพูด ตาเห็นภาพหลอน มีลักษณะอาการชะตามตัว จุกแน่นยอดอก ตากระตุๆก ฯลฯ ถ้ามิได้รับประทานยารักษา อาจมีอาการชักกำเริบเสิบสานซ้ำได้ปีละหลายครั้ง โดยเฉพาะเมื่อมีสิ่งเร้า (มองหัวข้อ “การดูแลและรักษาตนเอง”) ผู้ป่วยจะไม่มีอาการไข้ (ตัวร้อน) ร่วมด้วย ลักษณะอาการดังที่กล่าวถึงมาแล้วค่อนข้างจะเป็นลักษณะเฉพาะของโรคลมชัก ถ้าเคยได้เห็นเพียงแต่ครั้งเดียวก็จะนึกออกตลอดกาล
ส่วนอาการชักซึ่งเกิดจากโรคลมชัก มีต้นสายปลายเหตุมีเหตุมาจากการที่กรุ๊ปของเซลล์ประสาทเริ่มศักยะงานในปริมาณสูงอย่างแตกต่างจากปกติ รวมทั้งสอดคล้องต้องกัน ผลทำให้เกิดคลื่นของการลดความต่างศักย์ เรียกว่า ดีโพลาไรซิ่ง ชิฟท์ ปกติภายหลังจากเซลล์ประสาทที่ได้รับการเร่งเร้า ดำเนินงานหรือสร้างศักยะงาน ตัวของมันจะทนทานต่อการสร้างศักยะงานซ้ำในช่วงเวลาหนึ่ง สาเหตุส่วนหนึ่งบางทีอาจสำเร็จของรูปแบบการทำงานของเซลล์ประสาทที่ถูกยั้ง การเปลี่ยนแปลงไฟฟ้าข้างในเซลล์ประสาทที่ได้รับการกระตุ้น และก็ผลพวงของอะดีโนซีน
การกระทำตนเมื่อป่วยด้วยโรคลมชัก

(https://www.img.in.th/images/9b8e52d8864ef3178326057d31f11f3c.md.jpg)
การคุ้มครองป้องกันตัวเองจากโรคลมชัก ถึงแม้การเกิดโรคลมชักในหลายกรณีนั้นเกิดขึ้นโดยไม่ทรายสาเหตุและจะไม่สามารถที่จะป้องกันได้ แม้กระนั้นความพยายามที่จะลดการบาดเจ็บบริเวณหัว การดูแลเด็กแบเบาะที่ดีในขณะหลังคลอด บางทีอาจช่วยลดอัตราการเกิดโรคลมชัก(ที่มีสาเหตุ)ได้ และเมื่อมีลักษณะชักเกิดขึ้นแล้ว ควรจะหาทางปกป้องไม่ให้อาการกำเริบขึ้น ด้วยการกินยากันชักตามขนาดที่หมอชี้แนะ และก็คนเจ็บต้องหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้อาการกำเริบ
ทั้งนี้ตอนนี้ยังไม่มียาที่ใช้คุ้มครองป้องกันการเกิดโรคลมชักได้ผลลัพธ์ที่ดี 100% และก็หมอไม่นิยมที่จะให้ยาคุ้มครองป้องกันการชัก หมอจะเริ่มให้ยารักษาอาการชักในโรคลมชักต่อเมื่อมีลักษณะอาการชักกำเนิด ขึ้นแล้ว เพื่อคุ้มครองปกป้อง/ลดโอกาสมีการชักซ้ำ
สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครอง/รักษาโรคลมชัก (http://www.disthai.com/16865685/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%81-epilepsy) ในช่วงเวลานี้ยังไม่ได้รับรายงานว่าสมุนไพรจำพวกไหนที่สามารถป้องกัน/รักษาโรคลมชักได้แต่ว่ามีการนำสมุนไพรของไทยไปวิจัยและก็ทดสอบในสัตว์ทดสอบและก็ได้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจแต่ยังมิได้มีการนำไปทดสอบในมนุษย์ซึ่งสมุนไพรเหล่านี้ อย่างเช่น

เอกสารอ้างอิง