รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

ลงประกาศฟรี => อื่น ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: Tawatchai1212 ที่ เมษายน 02, 2018, 07:57:02 AM

หัวข้อ: โรคหัด - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร
เริ่มหัวข้อโดย: Tawatchai1212 ที่ เมษายน 02, 2018, 07:57:02 AM
(https://www.img.in.th/images/ce85b9c910d9d20a1e25d3af246093dc.jpg)
โรคหัด (Measles)
โรคหัดคืออะไร|เป็นอย่างไร|เป็นยังไง} โรคหัด (Measles) จัดเป็นโรคไข้ออกผื่นประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นมาจากการตำหนิดเชื้อไวรัสที่พบมากในเด็กตัวเล็กๆ แม้กระนั้นก็สามารถพบได้ในทุกวัย ซึ่งโรคฝึกฝนนี้ยังนับเป็นโรคติดเชื้อโรคระบบทางเดินหายใจอีกด้วย สำหรับประวัติความเป็นมากของโรคฝึกนี้มีประวัติความเป็นมาดังนี้
         โรคหัด (http://www.disthai.com/16865786/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%94-measles) หรือชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่า “measles” มีรากศัพท์จากคำว่า Masel ในภาษาเนเธอแลนด์ มีความหมายว่า จุด (spots) ที่อธิบายอาการนำของโรคนี้ที่ผู้เจ็บป่วยจะมีอาการไข้แล้วก็ผื่น ยิ่งกว่านั้นอาการสำคัญอื่นๆที่เป็นคุณลักษณะเด่นของโรคฝึกฝน อย่างเช่น ไอ น้ำมูลไหล และตาแดง โรคหัดเป็นที่รู้จักมานานกว่า 2000 ปี พบหลักฐานการร่ายงานคราวแรกโดยหมอรวมทั้งนักปรัชญาชาวเปอร์เซียชื่อ Rhazed แล้วก็ใน คริสต์ศักราช1954 Panum แล้วก็ภาควิชา ได้รายงานการระบาดของโรคหัด (http://www.disthai.com/16865786/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%94-measles)ที่หมู่เกาะฟาโรห์และให้บทสรุปของโรคนี้ว่าเป็นโรติดเชื้อโรคที่มีการติดต่อสู่บุคคลอื่นได้ง่าย มีระยะฟักตัวประมาณ 2 สัปดาห์ และก็ข้างหลังติดโรคผู้เจ็บป่วยจะมีภูมิคุ้มกันตลอดชีพ
โรคหัดถือว่าเป็นโรคที่มีความสำคัญมากมายโรคหนึ่ง เพราะว่าอาจจะเป็นผลให้กำเนิดโรคแทรกซ้อนส่งผลให้เสียชีวิตได้ แล้วก็แม้กระนั้นในตอนนี้โรคนี้มีวัคซีนป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงเกือบจะ 100% แล้ว(ในประเทศไทยเริ่มใช้วัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคฝึกหัดตั้งแต่ ปี พุทธศักราช2527) โรคฝึกหัดเป็นโรคที่พบกำเนิดได้ตลอดทั้งปี แต่มีอุบัติการณ์สูงในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือน และก็โอกาสสำหรับเพื่อการกำเนิดโรคในหญิงรวมทั้งผู้ชายมีใกล้เคียงกัน
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่ามีผู้ตายด้วยโรคฝึกจากทั้งโลก 134,200 ราย สำหรับเหตุการณ์โรคฝึกฝนในประเทศไทย ตามรายงานของสำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุขปี 2555,2556 พบว่ามีจำนวนคนป่วยโรคฝึกรวมทั้งสิ้น 5,207 คน แล้วก็ 2,646 คน ในแต่ละปีตามลำดับ โดยเด็กอายุ 9 เดือน-7 ปี จัดเป็นตอนๆอายุที่พบคนไข้โรคนี้มากที่สุด คิดเป็นจำนวนร้อยละ 37.03 และ 25.85 ของแต่ละปี
ที่มาของโรคฝึกหัด โรคหัดเกิดจากการติดเชื้อ Measles virus (หรือ Rubeola) อยู่ในGenus Morbillivirus และก็ Paramyxovirus เป็น single-stranded RNA รูปร่างกลม (spherical) ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 100-250 นาโนเมตร หุ้มล้อมโดย envelope เป็น glycol-protien ที่มีโปรตีนสำคัญ 3 ประเภท ได้แก่ H protein ปฏิบัติภารกิจให้ฝาผนังไวรัสเกาะติดกับฝาผนังเซลล์ของผู้คน F protein มีความจำเป็นสำหรับการแพร่ไวรัสจากเซลล์หนึ่งสู่เซลล์อื่นๆM protein มีความจำเป็นเกี่ยวข้องกัน viral maturation เนื่องมาจากเป็นไวรัสที่มี envelope หุ้มห่อก็เลยถูกทำลายได้ง่ายด้วยความร้อน (>37◦ซ.) แสงสว่าง สภาพการณ์ที่เป็นกรดและสารที่ละลายไขมันดังเช่นว่าอีเทอร์ คลอโรฟอร์ม โดยเชื้อกลางอากาศแล้วก็บนผิววัตถุจะมีชีวิตเพียงแต่ช่วงเวลาสั้นๆ(ไม่เกิน 2 ชั่วโมง) รวมทั้งเชื้อนี้สามารถก่อโรคได้เฉพาะในคนเท่านั้น
อาการโรคฝึกฝน  ผู้ป่วยจะเริ่มจับไข้สูง 39◦เซลเซียส-40.5◦เซลเซียส ร่วมกับมีไอ น้ำมูก รวมทั้งตาแดง เป็นอาการสำคัญบางรายบางทีอาจเจอตาไม่สู้แสงสว่าง (photophobia) เจ็บคอ ปวดหัว ต่อมน้ำเหลืองโต เบื่ออาหารและท้องเสียร่วมด้วย อาการพวกนี้จะกำเนิด 2-4 วันก่อนจะมีผื่นขึ้นและพบ Koplik spots เป็นลักษณะเจาะจงที่สำคัญ เห็นเป็นจุดขาวผสมเทาเล็กๆบนพื้นแดงของกระพุ้งแก้ ส่วนมากพบบริเวณกระพุ้งแก้มตรงข้ามกับฟันกรามข้างล่างซี่แรก (first molar) พบมาก 1 วันก่อนมีผื่นขึ้นรวมทั้งปรากฏอยู่นาน 2-3 วัน การดำเนินโรคมีลักษณะดังนี้เป็นไข้จะค่อยๆสูงมากขึ้นจนกระทั่งสูงสุดในวันที่ 3-4 ซึ่งเป็นวันที่เริ่มมีผื่นขึ้น ลักษณะผื่นเป็น maculopapular rash เริ่มที่ไรผม หน้าผาก ข้างหลังหู บริเวณใบหน้าแล้วก็ไล่ลงมาที่คอ หน้าอก แขน ท้อง จนกระทั่งมาถึงขาในเวลา 48-72 ชั่วโมง ผื่นที่ขึ้นก่อนในวันแรกๆมักกลุ่มรวมกันลักษณะเป็น confluent maculopapular rash ทำให้มองชัดกว่าผื่นบริเวณช่วงล่างของลำตัวซึ่งมีลักษณะเป็น discrete maculopapular rash มีรายงานการเจอผื่นที่ฝ่ามือหรือฝ่าตีนถึงปริมาณร้อยละ 25-50 และก็บางทีอาจสมาคมกับความรุนแรงของโรค เมื่อผื่นกำเนิดไล่มาถึงเท้าไข้จะต่ำลง อาการอื่นๆจะดียิ่งขึ้น ผื่นจะอยู่นาน 3-7 วันและหลังจากนั้นก็ค่อยๆจางลงจากหน้าลงมาเท้าและก็เปลี่ยนเป็นสีคล้ำ (hyperpigmentation) ซึ่งเป็นผลจากการมีเลือดออกในเส้นเลือดฝอยแล้วต่อจากนั้นจะหลุดลอกเป็นแผ่นบางๆจำนวนมากมักสังเกตไม่เจอเนื่องจากหลุดไปพร้อมการอาบน้ำ อาจพบการดำเนินโรคที่ป่วยแบบ biphasic คือ ไข้สูงใน 24-48 ชั่วโมงแรกต่อมาอุณหภูมิกลายเป็นปกติไม่มีไข้โดยประมาณ 24 ชั่วโมงแล้วจึงเริ่มมีไข้สูงอีกรอบแล้วก็มีผื่นเกิดขึ้นในวันที่ไข้สูงสุด ไข้จะคงอยู่อีกราวๆ 2-3 คราวหลังจากผื่นขึ้นแล้วจึงหายไป ในกรณีที่ไข้ไม่ลงหรือลงแล้วกลายเป็นซ้ำใหม่ควรตรวจหาภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นเพราะเนื่องจากการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ส่วนอาการไออาจพบนานถึง 10 วัน ส่วนภาวะแทรกซ้อนของโรคฝึกหัดที่พบได้บ่อยมีดังนี้
                ภาวะแทรกซ้อนของโรคฝึกหัด เจอได้ร้อยละ 30 ของคนไข้โรคหัด พบมากในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีรวมทั้งคนแก่ที่อายุน้อยกว่า 5 ปีรวมทั้งคนแก่ที่แก่กว่า 20 ปี เกิดได้หลายระบบของร่างกาย ปัจจัยโดยมากมีสาเหตุจากเยื่อบุ (epithelial surface) ของอวัยวะต่างๆถูกทำลายและก็ผลการกดภูมิคุ้มกันจากการตำหนิดเชื้อไวรัสของร่างกาย แยกตามอวัยวะต่างๆของร่างกายได้ดังนี้

ขั้นตอนการรักษาโรคฝึก
การวินิจฉัย โรคฝึกใช้การวิเคราะห์จากการซักความเป็นมาและตรวจร่างกายเป็นหลัก โดยผู้ป่วยจะมีไข้สูง น้ำมูก ไอ  ตาแดง และพบผื่นลักษณะ maculopapular rash ในช่วงวันที่ 3-4 ของไข้ การเจอ  Koplik spots (จุดภายในปากตอนกระพุ้งแก้ม) จะเป็นสาระสำคัญที่ช่วยสำหรับเพื่อการวินิจฉัย ในเรื่องที่อาการและก็อาการแสดงไม่ชัดเจนอาจไตร่ตรองส่งตรวจทางห้องทดลองดังต่อไปนี้เพิ่มอีกเพื่อช่วยรับรองการวินิจฉัย



วิธี ELISA IgM ใช้ตัวอย่างนน้ำเหลือง (serum): เจาะเลือดเพียงครั้งเดียวตอน 4-30 วันหน้าพบผื่น โดยเจาะเลือด 3-5 มิลลิลิตรทิ้งไว้ที่อุณหภูมิปกติ รอจนเลือดแข็งตัว ดูดเฉพาะ Serum (หามีอุปกรณ์พร้อมให้ ปั่นแยก Serum) เก็บใส่หลอดไร้เชื้อ ปิดจุกให้สนิทแล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปวิเคราะห์ต่อไป



ปิดฉลาก ชื่อ-สกุล และวัน-เดือน-ปี ที่เก็บ แนวทาง PDR ใช้throat/nasal swab : เก็บช่วง 1-5 วันแรกข้างหลังพบผื่น โดยใช้ SWAB ป้ายด้านในบริเวณ posterior pharynx จุ่มปลาย swab ใน viral transport media หักด้าม swab ทิ้งเพื่อปิดหลอดให้สนิทแล้วก็ค่อยนำไปวินิจฉัยต่อไป
                การดูแลรักษา เหตุเพราะการต่อว่าดเชื้อไวรัส หัดไม่มียาใช้รักษาเฉพาะ ควรต้องให้การรักษาตามอาการ ตัวอย่างเช่น เช็ดตัวลดไข้ ให้ยาลดไข้ สารน้ำในกรณีที่มีภาวะขาดน้ำหรือกินอาหารได้น้อย ให้ความชุ่มชื้นรวมทั้งออกสิเจนในกรณีที่หอบหายใจเร็ว   ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย เป็นต้นว่า ปอดอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบใคร่ครวญรักษาด้วยการใช้ยาต้านจุลชีวินที่สมควรเป็นต้น
                นอกนั้นพบว่าการให้วิตามินเอ ยังสามารถลดอัตราการตายและก็ความพิกลพิการจากภาวะแทรกซ้อนของโรคฝึกฝนได้และยังช่วยเสริมภูมิคุ้มกันโรคฝึกฝนได้อีกด้วย ด้วยเหตุผลดังกล่าวแพทย์ก็เลยมักพิเคราะห์จะให้วิตามินเอแก่ผู้เจ็บป่วยที่มีข้อบ่งชีดังนี้

(https://www.img.in.th/images/f4d294f8b0dc610ed24ec5df50930353.jpg)
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะส่งผลให้เกิดโรคหัด



การติดต่อของโรคฝึกหัด โรคฝึกฝนเป็นโรคติดต่อที่แพร่สู่บุคคลอื่นได้ง่ายผ่านทางการหายใจ (airborne transmission) เชื้อไวรัสฝึกจะอยู่ในละอองน้ำมูก น้ำลายและก็เสมหะของผู้ป่วย ติดต่อไปยังผู้อื่นโดยการไอจามรดกัน เชื้อจะติดอยู่ในละอองฝอยๆเมื่อผู้เจ็บป่วยไอหรือจาม เชื้อจะกระจัดกระจายออกไปในระยะไกลและก็แขวนลอยอยู่ในอากาศได้นาน เมื่อคนปกติมาสูดเอาอากาศที่มีฝอยละอองนี้เข้าไป หรือละอองสัมผัสกับเยื่อตาหรือเยื่อเมือกโพรงปาก (ไม่มีความจำเป็นที่ต้องไอหรือจามรดใส่กันตรงๆ) ก็สามารถทำให้ติดโรคฝึกหัดได้ หรือสัมผัสสารคัดเลือกหลังของคนเจ็บโดยตรง ซึ่งเชื้ออาจติดอยู่กับมือของคนป่วย สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆตัวอย่างเช่น ถ้วยน้ำ จาน ชาม ผ้าที่เอาไว้สำหรับเช็ดหน้า ผ้าที่มีไว้เช็ดตัว หนังสือ ของเด็กเล่น เมื่อคนธรรมดามาสัมผัสถูกมือผู้ป่วย หรือสิ่งของเครื่องใช้ ที่ด่างพร้อยเชื้อ เชื้อก็จะติดมากับมือของคนๆนั้น เมื่อใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูกเชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายได้ ระยะการติดต่อเริ่มตั้งแต่ 4  วันโดยช่วงที่เริ่มมีลักษณะอาการไอและก็มีน้ำมูกก่อนเกิดผื่นเป็นระยะที่มีปริมาณไวรัสถูกขับออกมาสูงที่สุด ซึ่งภายในช่วงเวลา 7-14 คราวหน้าสัมผัสโรค เชื้อไวรัสฝึกหัดจะกระจัดกระจายไปทั่วร่างกายนำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการของระบบทางเท้าหายใจ ไข้และก็ผื่นในคนไข้รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิวิทยาอื่นๆตามมาอีกด้วย โดย 90 เปอร์เซ็นต์ของคนที่ไม่ได้รับวัคซีนคุ้มครองโรคฝึกมีโอกาสมีอาการป่วยเป็นโรคฝึกหัดถ้าเกิดอยู่ใกล้คนที่เป็นโรค
การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคฝึกหัด

การคุ้มครองตัวเองจากโรคหัด



แต่ดังนี้ วิธีที่ดีที่สุดที่จะคุ้มครองโรคฝึกหัดได้หมายถึงฉีดยาคุ้มครองป้องกัน ปัจจุบันนี้กระทรวงสาธารณสุขให้ฉีดวัคซีนป้อง กันโรคฝึก 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อเด็กอายุ 9-12 เดือน รวมทั้งครั้งที่ 2 เมื่อเด็กเข้าห้องเรียนชั้นประถมศึก ษาปีที่ 1 โดยทั้งคู่ครั้งให้ในรูปของวัคซีนรวม คุ้มครองป้องกันได้สามโรคเป็นโรคหัด โรคคางทูม รวมทั้งโรคหัดเยอรมัน เรียกว่า วัคซีนเอ็มเอ็มอาร์ (MMR, M= mumps/มัมส์/โรคคางทูม M= measles/มีเซิลส์/ฝึกหัด แล้วก็ R=rubella/รูเบลลา/ โรคเหือด)
ประวัติความเป็นมาของการพัฒนะวัคซีน วัคซีนคุ้มครองโรคฝึกหัดเริ่มมีการพัฒนาตั้งแต่ปี คริสต์ศักราช1960 จนตราบเท่ามีการจดทะเบียนการใช้วัคซีนเป็นครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริการเมื่อปี ค.ศ.1963 อีกทั้งวัคซีนชนิดเชื้อตาย (killed vaccine) และวัคซีนชนิดเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์ (live attenuated vaccine) ภายหลังจากเริ่มใช้วัคซีนทั้งยัง 2 ประเภทได้เพียงแค่ 4 ปี วัคซีนคุ้มครองโรคฝึกหัดประเภทเชื้อตามก็ถูกถอนทะเบียนจากตลาดเนื่องจากพบว่ากระตุ้นให้เกิด  atypical measles ด้วยเหตุนั้นในตอนต้นวัคซีนที่ใช้ก็เลยเป็น  monovalent live attenuated measles vaccine ที่ผลิตขึ้นจากเชื้อสายประเภท Edmonston จำพวก B โดยนำเชื้อเพาะในไข่ไก่ฟักรวมทั้ง chick embryo cell แต่เจอปัญหาข้างเคียงที่ร้ายแรงเรื่องไข้ ผื่น ก็เลยมีการปรับปรุงวัคซีนจำพวกเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์จากสายพันธุ์  Edmonston จำพวกอื่นๆด้วยกระบวนการผลิตประเภทเดียวกันแต่ว่าทำให้เชื้ออ่อนฤทธิ์ลงอีก ผลข้างเคียงจึงน้อยลง ถัดมาในปี ค.ศ.1971 มีการขึ้นบัญชีวัคซีนรวมจำพวก trivalent live attenuated measles-mumps-rubella  vaccine (MMR) และก็ใช้อย่างแพร่หลายจนถึงตอนนี้สำหรับเมืองไทยเริ่มมีการบรรจุวัคซีนคุ้มครองโรคฝึกยามเช้าไปกลยุทธ์สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแห่งชาติครั้งแรกในปี พุทธศักราช2527 โดยเริ่มให้ 1 ครั้งในเด็กอายุ 9-12 เดือนรวมทั้งในปี พ.ศ. 2539 ก็เลยเพิ่มการให้เข็มที่ 2 แก่เด็กชั้นประถมศึกษาเล่าเรียนปีที่ 1 จนกว่าปี พ.ศ.2540 ได้กำหนดให้ใช้วัคซีนคุ้มครองโรคฝึกหรือวัคซีนรวมคุ้มครองป้องกันโรคฝึกฝน-คางทูม-หัดเยอรมัน  (MMR) ในเด็กอายุ 9-12 เดือนรวมทั้งเปลี่ยนวัคซีนคุ้มครองโรคหัดสำหรับเด็กอายุ 4-6 ปีหรือชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เป็นวัคซีนรวมปกป้องโรคหัด – คางทูม – โรคเหือด (MMR) ด้วยเหมือนกัน
สมุนไพรที่ใช้คุ้มครองป้องกัน/รักษา/บรรเทาลักษณะโรคฝึก ตามตำรายาไทยนั้นระบุว่าสมุนไพรที่ใช้รักษาลักษณะของโรคฝึกหัดมีดังนี้



 ยิ่งไปกว่านี้ในบัญชีสามัญประจำบ้านแผนโบราญ พุทธศักราช2556 ดังระบุไว้ว่ายาเขียวสามารถใช้รักษาแล้วก็บาเทาอาการของโรคฝึกได้ โดยในสมัยก่อน ที่แท้การใช้ยาเขียวในโรคไข้เป็นผื่นในแผนไทย ไม่ได้มีเป้าประสงค์ในการยั้งเชื้อไวรัส แม้กระนั้นอยากกระแทกพิษที่เกิดขึ้นให้ออกมาเยอะที่สุด คนเจ็บจะหายได้เร็วขึ้น ผื่นไม่หลบใน หมายถึงไม่เกิดผื่นด้านใน เพราะฉะนั้นก็เลยมีหลายท่านที่รับประทานยาเขียวแล้วจะมีความรู้สึกว่ามีผื่นมากยิ่งกว่าเดิมขึ้นจากเดิม แพทย์แผนไทยจึงแนะนำให้ใช้ทั้งยังวิธีกินแล้วก็ทา โดยการกินจะช่วยกระทุ้งพิษภายในให้ออกมาที่ผิวหนัง และก็การทาจะช่วยลดความร้อนที่ผิวหนัง ถ้าจะเปรียบเทียบกับวิธีการแพทย์แผนปัจจุบัน น่าจะเป็นไปพอดียาเขียวบางทีอาจออกฤทธิ์โดยลดการอักเสบ หรือ เพิ่มภูมิต้านทาน หรือต้านออกซิเดชัน มักใช้รักษาในเด็กที่ป่วยเกิดผื่น ตัวอย่างเช่น หัด อีสุกอีใส เพื่อกระทุ้งให้พิษไข้ออกมา เป็นผื่นเพิ่มขึ้น และก็หายได้เร็ว
ตำรับยาเขียว มีส่วนประกอบของพืชที่ใช้ส่วนของใบเป็นองค์ประกอบหลัก การที่ใช้ส่วนของใบทำให้ยามีสีค่อนข้างจะไปทางสีเขียว ก็เลยทำให้เรียกกันว่า ยาเขียว รวมทั้งใบไม้ที่ใช้นี้จำนวนมาก มีคุณประโยชน์ เป็นยาเย็น หอมเย็น หรือ บางจำพวกมีรสขม เมื่อประกอบเป็นตำรับแล้ว จัดเป็นยาเย็น ทำให้ตำรับยาเขียวจำนวนมากมีสรรพคุณ ดับความร้อนของเลือดที่เป็นพิษ ซึ่งตามความหมายของการแพทย์แผนไทยนั้น หมายถึงการที่เลือดเป็นพิษและความร้อนสูงมากจนถึงจำต้องระบายทางผิวหนัง สำเร็จให้ผิวหนังเป็นผื่น หรือ ตุ่ม อาทิเช่นที่เจอในไข้ออกผื่น ฝึกหัด อีสุกอีใส เป็นต้น
เอกสารอ้างอิง