รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

ลงประกาศฟรี => อื่น ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: หนุ่มน้อยคอยรัก007 ที่ มีนาคม 31, 2018, 01:42:06 AM

หัวข้อ: โรคพาร์กินสัน- อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร
เริ่มหัวข้อโดย: หนุ่มน้อยคอยรัก007 ที่ มีนาคม 31, 2018, 01:42:06 AM
(https://www.img.in.th/images/bca58ebbfb44f748ad6f1bdd9627b6a8.jpg)
โรคพาร์กินสัน (Parkinson ‘s disease)



นอกจากนี้ยังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคอีกเช่น   คนไข้อาจมีอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย (เช่น ขา หลัง) โดยเฉพาะเวลานอน หรือช่วงกลางคืน อาจปวดจนนอนไม่หลับ บางรายอาจมีอาการซึมเศร้า ความดันตก ในท่ายืน ท้องผูก มีภาวะความจำเสื่อม หรืออาจมีปัญหากินอาหารและดื่มน้ำได้น้อย น้ำหนักลด ในรายที่เดินลำบาก อาจหกล้ม กระดูกหักหรือศีรษะแตก ในรายที่เป็นมาก อาจนอนบนเตียงมากจนเป็นแผลกดทับ อาจมีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก และมีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะได้ง่าย คนไข้ที่ปล่อยไว้ไม่รักษาจนมีอาการรุนแรง (กินเวลา ๓-๑๐ ปี) มักจะตายด้วยโรคปอดอักเสบแทรกซ้อนหรือภาวะเลือดเป็นพิษจากการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ



การวิเคราะห์โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) จึงต้องแยกโรคอื่นๆที่มีลักษณะอาการของพาร์กินสัน รวมถึงแยกอาการ หรือภาวะพาร์กินสันทุติยภูมิ (Secondary parkinsonism) ออก ไปด้วย เพราะว่าการดูแลและรักษาจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้ว่าจะมีลักษณะบางสิ่งคล้ายคลึงกันก็ตาม
การวิเคราะห์โรคพาร์กินสันจะอาศัยอาการผู้เจ็บป่วย และก็ความไม่ปกติที่หมอตรวจพบเป็นหลัก รวมทั้งลักษณะของการมีอาการที่ค่อยๆเป็นค่อยๆไป อายุที่เริ่มเป็น และก็ความเป็นมาในครอบครัว ไม่มีการตรวจพิเศษทางห้องปฏิบัติการใดที่ตรวจแล้วกล่าวได้ว่าคนป่วยกำลังเป็นโรคพาร์กินสันอยู่ การตรวจทางห้องทดลองจะใช้เพื่อรับรองการวิเคราะห์โรคอื่นๆบางโรคที่มีอาการของโรคพาร์กินสันและมีลักษณะอาการเฉพาะของโรคนั้นๆร่วมด้วย เพื่อซึ่งต้องได้รับการดูแลและรักษาที่ต่างกันออกไปเท่านั้น ดังเช่นว่า การตรวจหาระดับสารพิษในกระแสเลือด การตรวจหาระดับสาร Ceruloplasmin ในเลือดเพื่อวินิจฉัยโรค Wilson’s disease การเอกซเรย์สมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (เอมอาร์ไอ/MRI) เพื่อวิเคราะห์ โรค Normal pressure hydrocephalus เป็นต้น
ในอดีตกาลแพทย์รู้เรื่องว่าโรคพาร์กินสันนี้มีความผิดปกติที่ไขสันหลัง แต่ว่าในตอนนี้เป็นที่รู้กันแน่นอนแล้วว่า พยาธิสภาพของโรคนี้กำเนิดที่รอบๆตัวสมองเองในส่วนลึกๆบริเวณก้านสมอง ซึ่งมีกลุ่มเซลล์ประสาทที่มีสีดำมีปริมาณเซลล์ลดลง หรือขาดตกบกพร่องในหน้าที่สำหรับการปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า โดพามีน (dopamine) ก็เลยนำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการเคลื่อนไหวช้า เกร็งแล้วก็สั่นเกิดขึ้นเป็นลำดับ ด้วยเหตุนั้นในขณะนี้การดูแลและรักษาโรคนี้ก็เลยหวังมุ่งให้สมองหรูหราสารโดพามีนกลับสู่ค่าธรรมดา ซึ่งอาจทำได้โดยการกินยาการทำกายภาพบำบัด หรือผ่าตัดสมอง
การรักษาโรคพาร์กินสันมี 3 แนวทาง เป็น



ก) ฝึกฝนการเดินให้เบาๆก้าวขาแม้กระนั้นพอดี โดยการเอาส้นตีนลงเต็มฝ่าเท้า และแกว่งแขนไปด้วยขณะเดินเพื่อช่วยในการทรงตัวดี นอกเหนือจากนี้ควรหมั่นจัดท่าทางในอิริยาบถต่างๆให้ถูกสุขลักษณะ รองเท้าที่ใช้ควรเป็นแบบส้นเตี้ย และพื้นต้องไม่ทำมาจากยาง หรืออุปกรณ์ที่เหนียวติดพื้นง่าย
ข) เมื่อถึงเวลานอน ไม่สมควรให้นอนเตียงที่สูงเกินไป เวลาจะขึ้นเตียงต้องค่อยๆเอนตัวลงนอนตะแคงข้างโดยใช้ศอกยันก่อนชูเท้าขึ้นเตียง
ค) ฝึกการพูด โดยเครือญาติต้องให้ความเข้าอกเข้าใจเบาๆฝึกหัดคนไข้ และควรจะทำในสถานที่ที่เงียบสงบ



สิ่งจำเป็นก็คือ คนสนิทของผู้ป่วยรวมทั้งญาติ ควรจะทำความเข้าใจและก็ทำความเข้าใจคนป่วยพาร์กินสัน  แม้จะมีข้อมูลว่าการดื่มกาแฟ การสูบยาสูบ การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน(ในสตรีวัยหมดประจำเดือน) จะช่วยลดการเกิดโรคพาร์กินสันได้ แต่ว่าก็ไม่เสนอแนะ เพราะมีโทษส่งผลให้เกิดโรคอื่นๆที่น่ากลัวมีอันตรายต่อชีวิตได้มากกว่า

(https://www.picz.in.th/images/2018/03/16/Si5HkZ.jpg)
แนวทางทดสอบดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นมี 3 ขั้นตอนกล้วยๆคือ



นักค้นคว้าทดสอบ ด้วยการให้คนที่เคยมีอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นตัวแสดงร่วมกับคนธรรมดาคนอื่นรวมแล้ว ๑๐๐ คน ต่อจากนั้นให้อาสาสมัครสมมติตัวเป็นคนผ่านมาพบเรื่องราวที่มีผู้เจ็บป่วยกำเนิดอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ให้อาสาสมัครทดลองทดลองด้วยคำบัญชาข้างต้นกับตัวละคร ๓ ข้อ ขณะเดียวกันก็โทรศัพท์บอกผลการทดสอบให้นักวิจัยทราบ โดยผู้ทำการวิจัยอยู่ในอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งไม่เห็นอิริยาบถหรือการแสดงออกของคนที่สงสัยจะมีลักษณะสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ผลที่ออกมาพบว่า นักวิจัยสามารถแยกคนป่วยออกจากคนปกติได้อย่างแม่นยำถึงจำนวนร้อยละ ๙๖ ทีเดียว โดยแยกอาการกล้ามเนื้อใบหน้าเมื่อยล้า (facial weakness) ได้ปริมาณร้อยละ ๗๑ แยกกล้ามเนื้อแขนอ่อนล้าได้ถึง ปริมาณร้อยละ ๙๕ รวมทั้งแยก  ประสาทกึ่งกลางสถานที่สำหรับทำงานเปลี่ยนไปจากปกติทางคำพูดได้ร้อยละ ๘๘ ซึ่งถือว่าเป็นถูกต้องมากด้านในเหตุการณ์ที่แพทย์ไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ



               ผลของการรักษาด้วยบอระเพ็ดในคนเจ็บพาร์กินสัน สอดคล้องกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่มีการค้นพบในงานค้นคว้า โดยเห็นผลในการรักษากระจ่างแจ้งในด้านภาวการณ์รู้คิด     การกระทำโดยรวมรวมทั้ง อาการทางประสาทดีขึ้นในสภาวะโรคสมองเสื่อมที่เจอในผู้ป่วยพาร์กินสัน เพราะเหตุว่าโรคพาร์กินสันเมื่อมีการดำเนินของโรคมานาน 5-10 ปี จะกำเนิดความเสื่อมของสมองในส่วนอื่นๆตามมา นำมาซึ่งความไม่ดีเหมือนปกตินอกเหนือจากการเคลื่อน อย่างเช่น การนอน ความไม่ปกติทางด้านอารมณ์และก็จิตใจ สภาวะย้ำคิดย้ำทำ อาการเศร้าใจ ไม่สบายใจ เป็นต้น
                แม้กระนั้นยังไม่มีข้อมูลในทางคลินิก หรือการเรียนรู้ในผู้เจ็บป่วยกรุ๊ปโรคดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นอย่างเป็นระบบ เสนอแนะหากพึงพอใจใช้บอระเพ็ด ควรจะใช้ในแง่เสริมการดูแลและรักษาควบคู่กับยาแผนปัจจุบันเป็นหลัก และควรมีตอนที่หยุดยาม้าง อย่างเช่น เสนอแนะใช้ยาเดือนเว้นเดือน หรือ 2-3 เดือน เว้น 1 เดือน
นอกเหนือจากนั้นข้อควรปฏิบัติตามเป็นห้ามใช้บอระเพ็ดในคนที่มีภาวการณ์เอนไซม์ตับผิดพลาด หรือคนเจ็บที่มีประวัติเป็นโรคตับ หรือโรคไตรุนแรง คนที่มีแนวโน้มความดันโลหิตต่ำเกินไป หรือน้ำตาลในเลือดต่ำ สตรีท้อง สตรีให้นมลูก
หมามุ่ย (http://www.disthai.com/16662691/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A2)อินเดีย เป็นสมุนไพรที่ศาสตร์อายรุเวทของประเทศอินเดีย ใช้รักษาโรคพาร์กินสันมาเป็นระยะเวลานาน ผลการศึกษาวิจัยพบว่าเมล็ดหมามุ่ยประเทศอินเดีย เป็นแหล่งธรรมชาติของสาร แอล-โดปา (L-dopa)เจอ 3.1-6.1% แล้วก็บางทีอาจพบมากถึง 12.5% ซึ่งสารแอล-โดปานี้จะเป็นสารเริ่มต้นของโดพามีน โดยพบว่าสารแอล-โดขว้างในหมามุ่ยอินเดียมีข้อดีกว่ายาสังเคราะห์ Levodapa ตรงที่มีความแรงสำหรับเพื่อการออกฤทธิ์มากกว่า Levodopa 2-3 เท่า เมื่อเปรียบในขนาดเทียบเท่ากับ Levodapa คนเดียว
โดยมีการตั้งสมมติฐานว่าในสารสกัดเม็ดหมามุ่ยอินเดียอาจมีสารสำคัญบางตัวที่ทำหน้าราวกับ Dopamine Decarboxylase Inhibitors ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่ต้องให้ร่วมกับ Levodopa เสมอ เพื่อยั้งเอนไซม์ Dopamine Decarboxylase ที่จะทำลาย Levodopa อันจะก่อให้การออกฤทธิ์ของ Levodopa ลดน้อยลง นอกจากนี้ยังพบว่าเม็ดหมามุ่ยอินเดียยังออกฤทธิ์ได้เร็วกว่า และก็มีระยะเวลาการออกฤทธิ์นานกว่า  Levodopa/Carbidopa
แม้กระนั้นยังไม่มีข้อมูลในการศึกษาวิจัยทางสถานพยาบาลแล้วก็การเรียนรู้ในผู้เจ็บป่วยโรคพาร์กินสัน ด้วยเหตุผลดังกล่าวควรต้องรอคอยให้มีการทำการค้นคว้าเพิ่ม รวมทั้งมีผลการศึกษาค้นคว้าวิจัยรับรองว่าไม่มีอันตรายก่อนจะใช้
เอกสารอ้างอิง