รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

ลงประกาศฟรี => อื่น ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: กาลครั้งหนึ่ง2560 ที่ มีนาคม 29, 2018, 01:17:11 AM

หัวข้อ: โรคไตเรื้อรัง - อาการ, สาเหตุ, วิธีการรักษา-เเละ สมุนไพร
เริ่มหัวข้อโดย: กาลครั้งหนึ่ง2560 ที่ มีนาคม 29, 2018, 01:17:11 AM
(https://www.img.in.th/images/59b0dc9b44054016e9c3b13842d2465d.md.jpg)
โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease)



สารที่มีพิษต่อไต จะทำลายเซลล์ของไต ทำให้ไตได้รับบาดเจ็บ เกิด  Acute Tubular Necrosis  Aminoglycosides, Tetacyclines, Amphoteracin B, Cephalosporin, Sulfonamide โลหะหนัก ตัวอย่างเช่น ตะกั่ว ปรอท สารหนู ทองแดง แคดเมียม ทองคำลิเทียม พิษต่างๆอาทิเช่น เห็ดพิษ แลงกัดต่อย สมุนไพรที่เป็นพิษ พิษจากงู ยาชา สารทึบแสง ยาพารา ตัวอย่างเช่น Salicylates, Acitaminophen, Phenacetin, NSAID เป็นต้น
โรคที่มีต้นเหตุเนื่องมาจากไตเอง นิ่ว ทำให้มีการเคลื่อนมาตันได้ในระบบฟุตบาทฉี่ แล้วก็มีการทำลายเนื้อไต การอักเสบที่กรวยไต ทำให้มีการสนองตอบต่อการอักเสบ ทำให้เม็ดเลือดขาวมากขึ้น ขั้นตอนการอักเสบกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการบวมของเนื้อเยื่อ เมื่อการอักเสบได้รับการรักษาก็จะมีผลให้เกิด fibrosis ทำให้มีการดูดกลับและก็การขับสิ่งต่างๆเปลี่ยนแปลงไป ทำให้กระบวนการทำหน้าที่ของไตต่ำลง ภาวะไตบวมน้ำ ทำให้มีการขยายของกรวยไต รวมทั้ง Calices ทำให้มีการอุดกั้นของเยี่ยว การสั่งสมของน้ำเยี่ยว ส่งผลให้เกิดแรงกดดันในกรวยไตเพิ่มขึ้น และเป็นสาเหตุให้หน่วยไตถูกทำลาย โรคมะเร็งในไต เนื้องอกที่โตขึ้นอย่างเร็วนำมาซึ่งการอุดกันของระบบฟุตบาทปัสสาวะ และก่อให้เกิดไตบวมน้ำตามมา



ซึ่งอาการของโรคไตเรื้อรัง สามารถแบ่งได้ 5 ระยะตามระดับของค่าประเมินอัตราการกรองของไต (Epidermal growth factor receptor : eGFR) ซึ่งเป็นค่าที่ทำนองว่าในแต่ละนาทีไตสามารถกรองของเสียออกจากเลือดได้เท่าไหร่ โดยในคนทั่วไปจะมีค่านี้อยู่ราวๆ 90-100 มล./นาที โดยระยะของโรคไตเรื้อรังนั้นมีดังนี้
ระยะที่ 1 เป็นระยะที่ยังไม่มีอาการบอกให้เห็นแน่ชัด แม้กระนั้นรู้ได้จากการตรวจทางพยาธิวิทยา เช่น การตรวจเลือด การตรวจค่าประเมินอัตราการกรองของไต (eGFR) ซึ่งในระยะแรกนี้ค่า eGFR จะอยู่ที่ราวๆ 90 มิลลิลิตร/นาที ขึ้นไป แม้กระนั้นบางทีอาจพบอาการไตอักเสบหรือภาวะโปรตีนรั่วออกมาปะปนในเลือดหรือในปัสสาวะ ระยะที่ 2 เป็นระยะที่อัตราการกรองของไตลดน้อยลง แต่ว่ายังไม่มีอาการอะไรก็แล้วแต่แสดงให้เห็นนอกเหนือจากการตรวจทางพยาธิวิทยาดังกล่าวข้างต้น ซึ่งค่า eGFR จะเหลือเพียง 60-89 มล./นาที ระยะที่ 3 เป็นระยะที่ยังไม่มีอาการอะไรก็แล้วแต่แสดงออกมาให้มองเห็น เว้นแต่ค่า eGFR ที่น้อยลงโดยตลอด โดยในเวลานี้จะแบ่งได้เป็น 2 ระยะย่อยเป็นระยะย่อย 3A ซึ่งจะมีค่า eGFR อยู่ที่ 45-59 มล./นาที และก็ระยะย่อย 3B ซึ่งจะมีค่า eGFR อยู่ที่ 30-44 มล./นาที ระยะที่ 4 อาการต่างๆของคนไข้จะค่อยแสดงในเวลานี้ เว้นเสียแต่ค่า eGFR จะลดลงเหลือเพียงแค่ 15-29 มิลลิลิตร/นาทีแล้ว จะสังเกตว่ามีเยี่ยวออกมากแล้วก็ปัสสาวะบ่อยมากยามค่ำคืน ผู้ป่วยจะมีอาการเมื่อยล้า อ่อนล้าง่าย เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดน้อยลง คลื่นไส้ คลื่นไส้ นอนไม่หลับ ขาดสมาธิ ความจำไม่ดี ปวดหัว ตามัว ท้องเดินหลายครั้ง ชะตามปลายมือปลายเท้า ผิวหนังแห้งและมีสีคล้ำ (จากของเสียเป็นต้นเหตุส่งผลให้เกิดสารให้สีของผิวหนังเปลี่ยนแปลง) คันตามผิวหนัง (จากของเสียที่คั่งนำมาซึ่งการระคายเคืองต่อผิวหนัง) บางรายอาจมีอาการหอบเหนื่อย สะอึก กล้ามเนื้อเป็นตะคิวบ่อยมาก ใจหวิว ใจสั่น เจ็บหน้าอก มีลักษณะอาการบวมตามตัว (โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอบดวงตา ขา และเท้า) หรือมีเลือดออกตามผิวหนังเป็นจุดแดงจ้ำเขียว หรืออ้วกเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด โลหิตจาง หรือรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวตลอดระยะเวลา ระยะที่ 5 เป็นระยะในที่สุดของสภาวะไตวาย ค่า eGFR เหลือไม่ถึง 15 มล./นาที นอกจากคนไข้จะมีลักษณะคล้ายกับระยะที่ 4 แล้ว ยังอาจมีภาวการณ์โลหิตจางที่ร้ายแรงขึ้น และก็อาจตรวจเจอการเสียสมดุลของแคลเซียม ฟอสเฟต หรือสารอื่นๆที่อยู่ในเลือด เอามาสู่ภาวการณ์กระดูกบางและเปราะหักง่าย ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันเวลาก็บางครั้งก็อาจจะเสียชีวิตได้

(https://www.img.in.th/images/b1297044556997d791da3be67a751038.jpg)
หรือใช้แถบ ตรวจวัดหาเม็ดเลือดแดง และเม็ดเลือดขาว การตรวจทางรังสี การตรวจทางรังสี การตรวจอัลตราซาวด์ เพื่อมองว่ามีการตัน มีนิ่ว แล้วก็มี Polycystic Kidney Disease แล้วก็ยังมีการวินิจฉัยแยกโรคที่ทำเป็นทางคลินิกจากอาการแล้วก็อาการแสดงของโรค และตรวจเลือดหาระดับ BUN, creatinine และก็ระดับฮอร์โมนไทรอยด์อื่นๆแนวทางการทำงานของตับ รวมถึง X-ray หัวใจ แล้วก็ตรวจคลื่นกระแสไฟฟ้าหัวใจ เป็นต้น
                การรักษาไตวายเรื้อรัง หากสงสัยว่าเป็นโรคไตเรื้อรัง ควรส่งคนไข้ไปโรงหมอเพื่อกระทำตรวจปัสสาวะ ตรวจเลือด ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรืออัลตราซาวนด์ หรือตรวจพิเศษอื่นๆรวมทั้งบางรายบางทีอาจจำต้องกระทำเจาะเก็บเยื่อจากไตเพื่อส่งตรวจด้วย โดยการรักษานั้นจะแบ่งได้ 2 ช่วงใหญ่ๆตามระยะของโรคด้วยหมายถึงโรคไตเรื้อรังระยะที่ 1-3 (เป็นระยะที่ยังไม่ต้องกระทำการรักษา แต่จำเป็นที่จะต้องมาพบแพทย์เพื่อตรวจสอบค่าประเมินอัตราการกรองของไต ซึ่งแพทย์อาจนัดมาตรวจทุก 3 เดือน หรืออาจนัดมาตรวจถี่ขึ้นเพื่อติดตามอาการอย่างใกล้ชิดถ้าหากค่าประเมินอัตราการกรองของไตต่ำลงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ) แล้วก็โรคไตเรื้อรังระยะที่ 4-5 (เป็นระยะที่ไตปฏิบัติงานลดลงอย่างยิ่ง คนเจ็บจำต้องได้รับการดูแลและรักษาหลายๆวิธีด้วยกันเพื่อจุนเจืออาการให้อยู่ในระดับคงเดิมเพื่อรอคอยการปลูกถ่ายไต แล้วก็การเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนต่างๆร่วมด้วย) สำหรับวิธีการดูแลรักษาต่างๆนั้นจะแบ่งออกเป็น
การรักษาที่ต้นสายปลายเหตุ หากคนป่วยมีปัจจัยแจ่มชัด หมอจะให้การรักษาโรคที่เป็นสาเหตุ ยกตัวอย่างเช่น ให้ยาควบคุมโรคเบาหวาน โรคความดันเลือดสูง โรคเกาต์ ผ่าตัดนิ่วในไต เป็นต้น นอกนั้นยังจำต้องรักษาสภาวะไม่ปกติต่างๆที่มีเหตุที่เกิดจากภาวการณ์ไตวายด้วย
การล้างไต (Dialysis) สำหรับผู้เจ็บป่วยไตวายเรื้อระยะด้านหลัง (มักมีระดับยูเรียไนโตรเจนแล้วก็ระดับครีอะตินีนในเลือดสูงเกิน 100 แล้วก็ 10 มก./ดล. เป็นลำดับ) การดูแลรักษาด้วยยาจะไม่ได้ผล ผู้เจ็บป่วยจำต้องได้รับการดูแลและรักษาด้วยฟอกล้างของเสียหรือล้างไต ซึ่งจะมีอยู่ด้วยกันหลายแนวทาง ซึ่งจะสามารถช่วยให้ผู้เจ็บป่วยมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ซึ่งบางรายอาจอยู่ได้นานเกิน 10 ปีขึ้นไป แต่ก็ยังมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างแพงอยู่ ดังนี้การจะเลือกล้างไตด้วยแนวทางใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์เป็นหลัก เพราะการล้างไตจะมีผลใกล้กันหลายสิ่งหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นความดันโลหิตต่ำ เวียนหัว หน้ามืด อ้วก อีกทั้งการล้างไตบางแนวทางอาจไม่เหมาะกับสภาพร่างกายของคนเจ็บอีกด้วย โดยเหตุนี้ จึงจะต้องให้หมอเป็นผู้วินิจฉัยและตัดสินใจว่าการล้างไตแบบใดจะเหมาะสมกับผู้ป่วยมากที่สุด)
การปลูกถ่ายไต (Kidney transplantation หรือ Renal transplantation) ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะด้านหลังบางราย หมอบางทีอาจพิจารณาให้การรักษาด้วยการใช้การผ่าตัดปลูกถ่ายไต ซึ่งแนวทางแบบนี้ถือได้ว่าเป็นวิธีที่ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุดในปัจจุบัน เพราะเหตุว่าหากการเปลี่ยนถ่ายไตได้ประสิทธิภาพที่ดีก็จะช่วยให้คนไข้มีคุณภาพชีวิตที่ดีเหมือนคนธรรมดาแล้วก็มีอายุได้ยืนยาวขึ้นนานเกิน 10-20 ปีขึ้นไป แต่ การปลูกถ่ายไตก็เป็นกรรมวิธีการรักษาที่มีความยุ่งยากสลับซับซ้อนหลายประการ ราคาแพงแพง และจะต้องหาไตจากญาติสายตรงหรือผู้บริจาคที่มีไตกับเยื่อของผู้ป่วยได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งปริมาณของไตที่ได้รับการบริจาคก็ยังมีน้อยกว่าคนที่คอยรับการบริจาค คนเจ็บก็เลยบางทีอาจจำต้องทำการล้างไตถัดไปเรื่อยๆจนกว่าจะหาไตที่เข้ากันได้ (แม้จะได้รับการล้างไตแล้ว แต่ว่าอาการของไตวายเรื้อรังจะยังไม่หายไป ซึ่งผู้ป่วยจะต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายไตเพียงแค่นั้น) นอกจาก ตอนหลังการเปลี่ยนถ่ายไต ผู้ป่วยจะต้องกินยากดภูมิต้านทานทุกวันไปตลอดเพื่อเป็นการป้องกันและยังเป็นการไม่ให้ร่างกายมีปฏิกิริยาต่อต้านไตใหม่



ในรายที่หรูหราความดันโลหิตสูง ควรจะลดความดันเลือดให้อยู่ในเกณฑ์น้อยกว่า 130/80 มม.ปรอท โดยการรับประทานอาหารที่ไม่เค็ม ออกกำลังกาย และก็กินยาจากที่แพทย์แนะนำอย่างสม่ำเสมอ ผู้เจ็บป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ร่วมด้วยควรจะควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงธรรมดา โดยยิ่งไปกว่านั้นในรายที่ยังเริ่มมีโรคไตเรื้อรัง (http://www.disthai.com/16816784/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%87-)ระยะต้นๆจึงจะสามารถปกป้องหรือชะลอการเสื่อมของไตได้ คนไข้ควรได้รับการรักษาโรคหรือภาวการณ์ที่เป็นสาเหตุของโรคไตเรื้อรังร่วมด้วย เป็นต้นว่า รักษาการอักเสบที่ไต กำจัดนิ่วในทางเดินฉี่ รักษาโรคเก๊าท์ หยุดยาที่ทำลายไต เป็นต้น ยิ่งกว่านั้นคนป่วยโรคไตเรื้อรังควรจะได้รับการวิเคราะห์เลือดแล้วก็เยี่ยวเป็นระยะ เพื่อประเมินหลักการทำงานของไต รวมทั้งรักษาผลแทรกฝึกที่เกิดขึ้นมาจากโรคไตเรื้อรัง

เอกสารอ้างอิง