รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

ลงประกาศฟรี => อื่น ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: billcudror1122 ที่ มีนาคม 28, 2018, 10:06:26 AM

หัวข้อ: โรคพาร์กินสัน- อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร
เริ่มหัวข้อโดย: billcudror1122 ที่ มีนาคม 28, 2018, 10:06:26 AM
(https://www.img.in.th/images/bca58ebbfb44f748ad6f1bdd9627b6a8.jpg)
โรคพาร์กินสัน (Parkinson ‘s disease)



นอกจากนี้ยังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคอีกเช่น   คนไข้อาจมีอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย (เช่น ขา หลัง) โดยเฉพาะเวลานอน หรือช่วงกลางคืน อาจปวดจนนอนไม่หลับ บางรายอาจมีอาการซึมเศร้า ความดันตก ในท่ายืน ท้องผูก มีภาวะความจำเสื่อม หรืออาจมีปัญหากินอาหารและดื่มน้ำได้น้อย น้ำหนักลด ในรายที่เดินลำบาก อาจหกล้ม กระดูกหักหรือศีรษะแตก ในรายที่เป็นมาก อาจนอนบนเตียงมากจนเป็นแผลกดทับ อาจมีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก และมีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะได้ง่าย คนไข้ที่ปล่อยไว้ไม่รักษาจนมีอาการรุนแรง (กินเวลา ๓-๑๐ ปี) มักจะตายด้วยโรคปอดอักเสบแทรกซ้อนหรือภาวะเลือดเป็นพิษจากการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ



การวิเคราะห์โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) จึงจำต้องแยกโรคอื่นๆที่มีลักษณะอาการของพาร์กินสัน รวมทั้งแยกอาการ หรือสภาวะพาร์กินสันทุติยภูมิ (Secondary parkinsonism) ออก ไปด้วย เหตุเพราะการรักษาจะแตกต่างโดยสิ้นเชิง แม้ว่าจะมีลักษณะบางสิ่งคล้ายคลึงกันก็ตาม
การวิเคราะห์โรคพาร์กินสันจะอาศัยอาการผู้เจ็บป่วย และก็ความแตกต่างจากปกติที่หมอตรวจเจอเป็นหลัก แล้วก็ลักษณะอาการที่ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป อายุที่เริ่มเป็น และประวัติความเป็นมาในครอบครัว ไม่มีการตรวจพิเศษทางห้องทดลองใดที่ตรวจแล้วพูดได้ว่าคนไข้กำลังเป็นโรคพาร์กินสันอยู่ การตรวจทางห้องทดลองจะใช้เพื่อรับรองการวินิจฉัยโรคอื่นๆบางโรคที่มีลักษณะอาการของโรคพาร์กินสันและก็มีลักษณะเฉพาะของโรคนั้นๆร่วมด้วย เพื่อซึ่งจำต้องได้รับการรักษาที่ผิดแผกแตกต่างออกไปเพียงแค่นั้น ตัวอย่างเช่น การตรวจหาระดับพิษในกระแสโลหิต การตรวจค้นระดับสาร Ceruloplasmin ในเลือดเพื่อวินิจฉัยโรค Wilson’s disease การเอกซเรย์สมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (เอมอาร์ไอ/MRI) เพื่อวิเคราะห์ โรค Normal pressure hydrocephalus เป็นต้น
ในอดีตแพทย์รู้เรื่องว่าโรคพาร์กินสันนี้มีความผิดธรรมดาที่ไขสันหลัง แต่ว่าในขณะนี้เป็นที่รู้กันแน่ๆแล้วว่า พยาธิสภาพของโรคนี้เกิดที่บริเวณตัวสมองเองในส่วนลึกๆบริเวณก้านสมอง ซึ่งมีกรุ๊ปเซลล์ประสาทที่มีสีดำมีจำนวนเซลล์ลดลง หรือผิดพลาดในหน้าที่สำหรับเพื่อการปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า โดพามีน (dopamine) จึงทำให้มีการเกิดอาการขยับเขยื้อนช้า เกร็งแล้วก็สั่นเกิดขึ้นเป็นลำดับ ด้วยเหตุนี้ในขณะนี้การดูแลรักษาโรคนี้จึงหวังมุ่งให้สมองหรูหราสารโดพามีนกลับสู่ค่าธรรมดา ซึ่งบางทีอาจทำเป็นโดยการกินยาการทำกายภาพบำบัด หรือผ่าตัดสมอง
การดูแลและรักษาโรคพาร์กินสันมี 3 แนวทาง เป็น



ก) ฝึกฝนการเดินให้เบาๆก้าวขาแต่ว่าพอดี โดยการเอาส้นเท้าลงเต็มฝ่าตีน รวมทั้งแกว่งไกวแขนไปด้วยขณะเดินเพื่อช่วยสำหรับเพื่อการทรงตัวดี นอกเหนือจากนั้นควรจะหมั่นจัดท่าทางในท่าทางต่างๆให้ถูกสุขลักษณะ รองเท้าที่ใช้ควรจะเป็นแบบส้นเตี้ย และพื้นจะต้องไม่ทำจากยาง หรืออุปกรณ์ที่เหนียวติดพื้นง่าย
ข) เมื่อถึงเวลานอน ไม่สมควรให้นอนเตียงที่สูงเกินความจำเป็น เวลาจะขึ้นเตียงจะต้องค่อยๆเอนตัวลงนอนเอียงข้างโดยใช้ศอกจนถึงก่อนชูเท้าขึ้นเตียง
ค) ฝึกหัดการพูด โดยญาติจะต้องให้ความเข้าอกรู้เรื่องค่อยๆฝึกฝนคนป่วย แล้วก็ควรทำในสถานที่ที่สงบเงียบ



สิ่งสำคัญก็คือ คนใกล้ชิดของผู้ป่วยและก็พี่น้อง ควรศึกษารวมทั้งทำความเข้าใจคนไข้พาร์กินสัน  แม้ว่าจะมีข้อมูลว่าการดื่มกาแฟ การสูบยาสูบ การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน(ในเพศหญิงวัยหมดระดู) จะช่วยลดการเกิดโรคพาร์กินสันได้ แต่ว่าก็ไม่ชี้แนะ เนื่องจากมีโทษนำมาซึ่งโรคอื่นๆที่น่าสยองเป็นโทษต่อชีวิตได้มากกว่า

(https://www.picz.in.th/images/2018/03/16/Si5HkZ.jpg)
วิธีทดสอบดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นมี 3 ขั้นตอนง่ายๆคือ



นักวิจัยทดสอบ ด้วยการให้คนที่เคยมีอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นตัวแสดงร่วมกับคนธรรมดาคนอื่นๆรวมแล้ว ๑๐๐ คน หลังจากนั้นให้อาสาสมัครสมมติตัวเป็นคนผ่านมาเจอเรื่องที่มีคนเจ็บกำเนิดอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ให้อาสาสมัครทดลองทดสอบด้วยคำบัญชาข้างต้นกับผู้แสดงทั้ง ๓ ข้อ เวลาเดียวกันก็โทรศัพท์บอกผลของการทดสอบให้ผู้วิจัยทราบ โดยนักวิจัยอยู่ในอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งมองไม่เห็นอิริยาบถหรือการแสดงออกของคนที่สงสัยจะมีลักษณะสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ผลที่ออกมาพบว่า นักวิจัยสามารถแยกคนป่วยออกจากคนปกติได้อย่างแม่นยำถึงปริมาณร้อยละ ๙๖ ทีเดียว โดยแยกอาการกล้ามใบหน้าเมื่อยล้า (facial weakness) ได้ปริมาณร้อยละ ๗๑ แยกกล้ามเนื้อแขนอ่อนแรงได้ถึง ปริมาณร้อยละ ๙๕ และแยก  ประสาทกลางที่ทำงานไม่ดีเหมือนปกติทางคำกล่าวได้จำนวนร้อยละ ๘๘ ซึ่งถือได้ว่าแม่นยำมากภายในเหตุการณ์ที่พยาบาลไม่อยู่ในจุดเกิดเหตุ



               ผลของการรักษาด้วยบอระเพ็ดในคนป่วยพาร์กินสัน สอดคล้องกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่มีการค้นพบในงานศึกษาวิจัย โดยเห็นผลสำหรับในการรักษาแจ่มกระจ่างในด้านภาวการณ์รู้คิด     ความประพฤติโดยรวมแล้วก็ อาการทางประสาทดียิ่งขึ้นในภาวการณ์โรคสมองเสื่อมที่เจอในคนป่วยพาร์กินสัน เนื่องจากว่าโรคพาร์กินสันเมื่อมีการดำเนินของโรคมานาน 5-10 ปี จะกำเนิดความเสื่อมโทรมของสมองในส่วนอื่นๆตามมา ก่อให้เกิดความไม่ดีเหมือนปกตินอกเหนือจากการเคลื่อน อาทิเช่น การนอน ความผิดปกติทางด้านอารมณ์แล้วก็จิตใจ ภาวะย้ำคิดย้ำทำ อาการซึมเซา วิตกกังวล เป็นต้น
                แต่ยังไม่มีข้อมูลในทางสถานพยาบาล หรือการเล่าเรียนในคนเจ็บกรุ๊ปโรคดังที่กล่าวผ่านมาแล้วอย่างเป็นระบบ แนะนำแม้พึงพอใจใช้บอระเพ็ด ควรใช้ในด้านเสริมการดูแลและรักษาควบคู่กับยาแผนปัจจุบันเป็นหลัก แล้วก็ต้องมีช่วงที่หยุดยาบ้าง ดังเช่นว่า แนะนำใช้ยาเดือนเว้นเดือน หรือ 2-3 เดือน เว้น 1 เดือน
นอกเหนือจากนี้ข้อควรไตร่ตรอง คือ ห้ามใช้บอระเพ็ดในคนที่มีสภาวะโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับผิดพลาด หรือผู้เจ็บป่วยที่มีประวัติเป็นโรคตับ หรือโรคไตรุนแรง ผู้ที่มีแนวโน้มความดันโลหิตต่ำเกินไป หรือน้ำตาลในเลือดต่ำ สตรีท้อง สตรีให้นมลูก
หมามุ่ย (http://www.disthai.com/16662691/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A2)อินเดีย เป็นสมุนไพรที่ศาสตร์อายรุเวทของประเทศอินเดีย ใช้รักษาโรคพาร์กินสันมาเป็นเวลานาน ผลการค้นคว้าพบว่าเมล็ดหมามุ่ยอินเดีย เป็นแหล่งธรรมชาติของสาร แอล-โดขว้าง (L-dopa)พบ 3.1-6.1% รวมทั้งอาจเจอมากถึง 12.5% ซึ่งสารแอล-โดปานี้จะเป็นสารเริ่มของโดพามีน โดยพบว่าสารแอล-โดขว้างในหมามุ่ยอินเดียมีจุดเด่นกว่ายาสังเคราะห์ Levodapa ตรงที่มีความแรงในการออกฤทธิ์มากกว่า Levodopa 2-3 เท่า เมื่อเปรียบเทียบในขนาดเทียบเท่ากับ Levodapa ผู้เดียว
โดยมีการตั้งสมมติฐานว่าในสารสกัดเม็ดหมามุ่ยประเทศอินเดียอาจมีสารสำคัญบางตัวที่ทำหน้าเหมือน Dopamine Decarboxylase Inhibitors ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่จะต้องให้ร่วมกับ Levodopa เสมอ เพื่อยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี Dopamine Decarboxylase ที่จะทำลาย Levodopa อันจะมีผลให้การออกฤทธิ์ของ Levodopa น้อยลง นอกจากนั้นยังพบว่าเม็ดหมามุ่ยอินเดียยังออกฤทธิ์ได้เร็วกว่า แล้วก็มีระยะเวลาการออกฤทธิ์นานกว่า  Levodopa/Carbidopa
แต่ยังไม่มีข้อมูลในการศึกษาเรียนรู้ทางสถานพยาบาลแล้วก็การเล่าเรียนในผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน ฉะนั้นจึงควรรอให้มีการทำการวิจัยเสริมเติม และก็มีผลการศึกษาเรียนรู้รับรองว่าไม่มีอันตรายก่อนจะใช้
เอกสารอ้างอิง