รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

ลงประกาศฟรี => อื่น ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: bilbill2255 ที่ มีนาคม 28, 2018, 02:19:00 AM

หัวข้อ: โรคกล้ามเนื้ออ่อนเเรง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร
เริ่มหัวข้อโดย: bilbill2255 ที่ มีนาคม 28, 2018, 02:19:00 AM
(https://www.img.in.th/images/05efba05531fbf840d0c6aa859e6f51a.jpg)
โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง MG (Myasthenia gravis)



ส่วนสาเหตุของโรคกล้ามอ่อนกำลังนั้น มักมีต้นเหตุที่เกิดจากปัญหาที่เกิดขึ้นกับการแพ้ภูเขามิตนเอง (Autoimmune Disorder) โดยมีเนื้อหาต้นเหตุของอาการกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ดังต่อไปนี้  สารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ (Antibodies) แล้วก็การส่งสัญญาณประสาท ธรรมดาระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะผลิตแอนติบอดี้ออกมาเพื่อทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งปลอมปนที่เข้ามาภายในร่างกาย แม้กระนั้นในผู้เจ็บป่วยกล้ามอ่อนแรง แอนติบอดี้จะไปทำลายหรือกัดกันแนวทางการทำงานของสารสื่อประสาทแอสิว่ากล่าวลโคลีน (Acetylcholine) โดยถูกส่งไปที่ตัวรับ (Receptor) ซึ่งอยู่ที่ปลายระบบประสาทบนกล้ามเนื้อแต่ละผูก ทำให้กล้ามไม่อาจจะหดตัวได้  ดังนี้ อวัยวะที่แพทย์มั่นใจว่าเป็นตัวก่อเกิดการสร้างสารภูมิคุ้มกันผิดปกติตัวนี้ คือ ต่อมไทมัส (Thymus gland) ต่อมไทมัส เป็นต่อมที่มีบทบาทเกี่ยวโยงกับการผลิตภูมิต้านทานต้นทานโรคของร่างกาย (Immune system) เป็นต่อมที่อยู่ในช่องอกตอนบน ต่อมอยู่ใต้กระดูกอก (Sternum) โดยวางอยู่บนข้างหน้าของหัวใจโดยต่อมไทมัสจะผลิตสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ไปกัดกันการทำงานของสารสื่อประสาทแอสิติเตียนลโคลีน (Acetylcholine) จึงทำให้มีการเกิดอาการกล้ามอ่อนเพลียดังที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งธรรมดาแล้วเด็กจะมีต่อมไทมัสขนาดใหญ่และก็จะเบาๆเล็กลงเรื่อยๆเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ว่าผู้ป่วยกล้ามเนื้อเมื่อยล้าจะมีขนาดของต่อมไทมัสที่ใหญ่ไม่ดีเหมือนปกติ หรือผู้เจ็บป่วยบางรายมีภาวการณ์กล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรงที่มีเหตุที่เกิดจากเนื้องอกของต่อมไทมัส ซึ่งเจอประมาณร้อยละ 10 ในคนไข้เฒ่า



นอกจาก อาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วย โดยจะสังกัดว่า โรคกำเนิดกับกล้ามส่วนไหนของร่างกาย ทั้งนี้ โดยประมาณ 85% ของผู้ป่วยจะมีลักษณะกล้ามเหน็ดเหนื่อยในทุกผูกของกล้ามเนื้อลายส่วนอาการที่พบบ่อยที่สุดของโรคกล้ามอ่อนเพลีย (MG)เป็นอาการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อที่ช่วยชูเปลือกตารวมทั้งกล้ามเนื้อตา ก่อให้เกิดหนังตาตกแล้วก็เห็นภาพซ้อน ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้างก็ได้ แล้วก็มักพบอาการผิดปกติอื่นๆของกล้ามส่วนอื่นๆได้อีกดังเช่น
บริเวณใบหน้า ถ้าหากกล้ามที่เกี่ยวโยงกับการแสดงออกบนบริเวณใบหน้าได้รับผลพวง จะมีผลให้การแสดงออกทางสีหน้าถูกจำกัด ตัวอย่างเช่น ยิ้มได้ลดลง หรือแปลงเป็นยิ้มแยกเขี้ยวเพราะว่าไม่สามารถควบคุมกล้ามบนใบหน้าได้
การหายใจ ผู้เจ็บป่วยกล้ามเนื้ออ่อนล้าจำนวนหนึ่งมีอาการหายใจติดขัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนอนราบอยู่บนเตียงหรือหลังจากการออกกำลังกาย
การพูด การบดแล้วก็การกลืน มีสาเหตุมาจากกล้ามเนื้อรอบปาก เพดานอ่อน หรือลิ้นเมื่อยล้า นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการไม่ดีเหมือนปกติ ดังเช่นว่า พูดเบาแหบ พูดเสียงขึ้นจมูก บดมิได้ กลืนลำบาก ไอ สำลักอาหาร บางครั้งบางทีอาจเป็นสาเหตุไปสู่การติดเชื้อที่ปอด
คอ แขนรวมทั้งขา บางทีอาจเกิดขึ้นร่วมกับอาการอ่อนเพลียของกล้ามส่วนอื่นๆมักเกิดขึ้นที่แขนมากกว่าที่ขา มีผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย ได้แก่ เดินเตาะแตะ เดินตัวตรงได้ยาก กล้ามเนื้อบริเวณคอเมื่อยล้า ทำให้ตั้งศีรษะหรือชูคอทุกข์ยากลำบาก เป็นสาเหตุของการเกิดอุปสรรคต่อการทำกิจกรรมต่างๆ



นอกเหนือจากนี้ มีแถลงการณ์ว่า พบโรคกล้ามเมื่อยล้า (MG) เกิดร่วมกับโรคมะเร็งปอดประเภทเซลล์ตัวเล็ก และโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์กิน อีกทั้งผู้ป่วยบางทีอาจพบความแปลกรวมทั้งโรคที่เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากภูมิคุ้มกันตัวเองจำพวกอื่นๆร่วมด้วยได้ อย่างเช่น โรคตาจากต่อมไทรอยด์ (Thyroidorbitopathy) โรคกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อย (MG)จะสามารถได้เองแล้วบางทีอาจกลับเป็นซ้ำได้อีกคล้ายกับโรคภูมิคุ้มกันตนเองประเภทอื่นๆ

(https://www.img.in.th/images/e1926023a618782c9fd29640c93d8ee2.jpg)
การวิเคราะห์ MG เป็นโรคที่มีลักษณะสำคัญคือ fatigue แล้วก็fluctuation ของกล้ามรอบๆตาแขนขาและการพูดและก็กลืนอาหาร คนเจ็บจะมีลักษณะอาการเยอะขึ้นเรื่อยๆเมื่อได้ใช้งานหน้าที่นั้นๆไประยะหนึ่ง รวมทั้งอาการรุนแรงในช่วงเวลาที่ต่างกันโดยมีลักษณะอาการมากมายตอนเวลาบ่ายๆครั้งคราวคนไข้มาเจอแพทย์ตอนที่ไม่มีอาการ แพทย์ก็ตรวจไม่พบความไม่ปกติ จึงไม่สามารถให้การวินิจฉัยโรคได้ รวมทั้งบางทีอาจวินิจฉัยผิดพลาดว่าเป็น anxiety แต่ว่าการให้การวินิจฉัยโรคMG ทำ ได้ง่ายๆในผู้เจ็บป่วยโดยมากเพราะมีลักษณะจำ เพาะทางคลินิกที่กล่าวมาแล้ว การตรวจเสริมเติมเพื่อให้ได้เรื่องวิเคราะห์ที่แน่ๆรวมทั้งในรายที่อาการไม่ชัดแจ้งยกตัวอย่างเช่น



เมื่อยล้าได้เป็นต้นว่าการมองขึ้นนาน1นาทีแล้วตรวจว่าคนป่วยมีสภาวะหนังตาตก มากขึ้นไหม โดยวัดความกว้างของ palpablefissure ที่ตาทั้งยัง 2 ข้างการให้ผู้เจ็บป่วยเดินขึ้นบันไดหรือลุก-นั่ง สลับกันเป็นระยะเวลาหนึ่งคนป่วยจะมีลักษณะอ่อนแรงขึ้นอย่างชัดเจนแล้วก็อาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงดีขึ้นเมื่อพักสักครู่การให้คนไข้บอกหรืออ่านออกเสียงดังๆคนไข้จะมีลักษณะเสียงแหบหรือหายไปเมื่อพักแล้ว



การดูแลรักษา จุดหมายในการรักษาคนเจ็บ MG ของหมอเป็นการที่คนเจ็บหายจากอาการโดยไม่ต้องรับประทานยาซึ่งมีกลไกในการรักษา 2 ประการเป็น เพิ่มแนวทางการทำ งานของ neuromusculartransmissionลดผลของ autoimmunity ต่อโรค
การรักษาจะแบ่งคนไข้เป็น 2 กรุ๊ปซึ่งมีแนวทางการรักษาไม่เหมือนกัน



o  คนไข้ทุกคนจะต้องได้รับยา mestinon ขนาดเริ่ม 1 เม็ด 3 เวลาหลังอาหารแล้วให้คะแนนการตอบสนองว่าดีไหม โดยการวัดช่วงยาออกฤทธิ์สูงสุดชั่วโมงที่ 1 รวมทั้ง 2 หลังกินยาและประเมินช่วงก่อนรับประทานยาเม็ดถัดไปเพื่อที่จะได้รับรู้ว่าขนาดของยาและความถี่ของการรับประทานยาเหมาะสมหรือเปล่าเป็นลำดับสิ่งที่ประเมินคืออาการของคนไข้ เช่น อาการลืมตาตรากตรำ อาการอ่อนล้า บอกแล้วเสียงแหบควรปรับปริมาณยาแล้วก็ความถี่ทุก2-4อาทิตย์  ปริมาณยาโดยมากราว 6-8 เม็ดต่อวัน ปริมาณยาสูงสุดไม่ควรเกิน16 เม็ดต่อวัน
o  การผ่าตัด thymectomy ผู้ป่วยgeneralized MG ที่แก่น้อยกว่า 45ปีทุกรายควรแนะนำ ให้ผ่าตัด thymectomy ปริมาณร้อยละ 90 ของผู้เจ็บป่วยได้ประสิทธิภาพที่ดีประมาณจำนวนร้อยละ 40 สามารถหยุดยา mestinon ข้างหลังผ่าตัดได้ร้อยละ 50 ลดยา mestinon ลงได้เพียงแต่ปริมาณร้อยละ 10 เท่านั้นที่ไม่ได้ผล ช่วงเวลาที่ผ่าตัดควรทำ ในทีแรกๆของการดูแลและรักษา
o    การให้ยากดภูมิคุ้มกัน ที่ใช้บ่อยครั้ง ยกตัวอย่างเช่น prednisolone และ azathioprine (immuran)การให้ยาดังที่กล่าวผ่านมาแล้วมีข้อบ่งชี้ในกรณี
   การผ่าตัด thymectomyแล้วไม่ได้เรื่อง ช่วงเวลาที่ประเมินว่าการผ่าตัดไม่เป็นผลเป็นราว 1 ปี
  คนป่วยที่มิได้รับการผ่าตัดโดยใช้ร่วมกับยา mestinon
   ผู้เจ็บป่วยทีมีภาวะการหายใจล้มเหลวจากการดำเนินโรคที่ร้ายแรง




Tags : โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง