รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

ลงประกาศฟรี => อื่น ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: แสงจันทร์5555 ที่ มีนาคม 19, 2018, 10:12:45 AM

หัวข้อ: โรคเอดส์ - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร
เริ่มหัวข้อโดย: แสงจันทร์5555 ที่ มีนาคม 19, 2018, 10:12:45 AM
(https://uppic.cc/d/aKg)
โรคภูมิคุมกันบกพร่อง (Acquired immunodeficiency syndrome. AIDS)



ในขณะนี้ทั่วทั้งโลกพบสายพันธุ์เชื้อเอชไอวี มากกว่า 10 สายพันธุ์ ที่มีการกลายพันธุ์มาจากสายพันธุ์เดิม กระจัดกระจายอยู่ตามประเทศต่างๆทั้งโลก โดยพบได้มากที่สุดที่ทวีปแอฟริกามีมากกว่า 10 สายพันธุ์ สายพันธุ์ที่พบได้ทั่วไปที่สุดในโลก คือสายพันธุ์ซี สูงถึง 40% พบในทวีปแอฟริกา อินเดีย จีน และเมียนมาร์ ส่วนในประเทศไทยเจอเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง 2 สายพันธุ์เป็น สายพันธุ์เอ-อี (A/E) หรืออี (E) พบได้มากกว่า 95% แพร่ระบาดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง กับสายพันธุ์บี (B) ที่แพร่ระบาดกันในกรุ๊ปรักร่วมเพศ และผ่านการใช้สารเสพติดฉีดเข้าเส้น
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวว่า ตั้งแต่เจอการระบาดของโรคเอดส์คราวแรกจนถึงปี พุทธศักราช2558 มีผู้ติดโรคไปแล้วกว่า 70 ล้านคนทั่วทั้งโลก และก็เสียชีวิตไปแล้วกว่า 35 ล้านคน
ในเวลาที่รายงานของโครงงานโรคภูมิคุมกันบกพร่องแห่งสหประชาชาติ (UNAIDS) พบว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง/เอดส์ ในปี 2559 มีผู้ติดเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องทั้งโลกสะสม 36.7 ล้านคน เป็นผู้ติดโรครายใหม่ 1.8 ล้านคน และก็มีคนเสียชีวิตจากเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง 1 ล้านคน
ในส่วนของเมืองไทยนั้น โดยจากรายงานในปีล่าสุดของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค (ปี 2557) พบว่าตั้งแต่ปี 2527-2557 ตลอด 30 ปีให้หลังมีคนไข้เอดส์เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลของภาครัฐและก็เอกชนทั้งปวง 388,621 ราย รวมทั้งมีคนป่วยเสียชีวิต 100,617 ราย โดยในปีต่อมา (ปี 2558) มีการคาดราวๆจำนวนคนป่วยเอดส์และติดเชื้อโรคเอชไอวีในประเทศไทยเป็นปริมาณทั้งหมดทั้งปวงราวๆ 1,500,000 คน



เนื่องจากผู้ติดเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องจะมีการเปลี่ยนของร่างกายนาๆประการ ก็แล้วแต่ปริมาณของเชื้อรวมทั้งระดับภูมิคุ้มกัน (ปริมาณ CD4) ของร่างกาย ด้วยเหตุดังกล่าวโรคภูมิคุมกันบกพร่อง จึงสามารถแบ่งได้ 3 ระยะร่วมกันดังนี้



เวลานี้แม้ว่าจะไม่มีอาการ แต่เชื้อเอชไอวีจะแบ่งตัวเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปเรื่อยและก็ทำลาย CD4 กระทั่งมีปริมาณน้อยลง โดยเฉลี่ยราวๆปีละ 50-75 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร จากระดับปกติ (เป็น 600-1,000 เซลล์) เมื่อลดลดลงมากมายๆก็จะเกิดอาการเจ็บเจ็บป่วย ดังนี้อัตราการลดลงของ CD4 จะเร็วช้าสังกัดความรุนแรงของเชื้อเอชไอวี รวมทั้งสภาพความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย
ระยะนี้มักเป็นอยู่นาน 5-10 ปี บางรายบางทีอาจสั้นเพียงแต่ 2-3 เดือน แม้กระนั้นบางรายบางทีอาจเป็นเวลายาวนานกว่า 10-15 ปีขึ้นไป



มีลักษณะอาการน้อย ตอนนี้หากตรวจ CD4 จะมีจำนวนไม่ใช่น้อยกว่า 500 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร คนไข้อาจมีอาการ ดังนี้
* ต่อมน้ำเหลืองที่คอโตนิดหน่อย
* โรคเชื้อราที่เล็บ
* แผลแอฟทัส
* ผิวหนังอักเสบประเภทเกล็ดรังแคที่ไรผม ข้างจมูก ริมฝีปาก
* ฝ้าขาวข้างลิ้น (hairy leukoplakia) ซึ่งมีต้นเหตุจากเชื้อไวรัสอีบีวี (Epstein-Barr virus/EBV) มีลักษณะเป็นฝ้าขาวที่ด้านข้างของลิ้น ซึ่งขูดไม่ออก
* โรคโซริอาสิส (สะเก็ดเงิน) ที่เคยเป็นอยู่เดิมกำเริบ
มีอาการปานกลาง ตอนนี้ถ้าตรวจ CD4 จะมีปริมาณระหว่าง 200-500 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร คนไข้อาจมีอาการทางผิวหนังแล้วก็เยื่อบุช่องปากแบบข้อ กรัม หรือไม่ก็ได้ อาการที่บางทีอาจพบได้มีดังนี้
* เริมที่ริมฝีปาก หรืออวัยวะเพศ ซึ่งกำเริบเสิบสานบ่อยมาก และเป็นแผลเรื้อรัง
* งูสวัด ที่มีลักษณะอาการกำเริบเสิบสานขั้นต่ำ 2 ครั้ง หรือขึ้นพร้อมกันมากกว่า 2 ที่
* โรคเชื้อราในโพรงปาก หรือช่องคลอด
* ท้องเดินบ่อย หรือเรื้อรังนานเกิน 1 เดือน
* ไข้เกิน 37.8 องศาเซลเซียส แบบเป็นๆหายๆหรือต่อเนื่องกันทุกวี่วันนานเกิน 1 เดือน
* ต่อมน้ำเหลืองโตมากกว่า 1 ที่ในรอบๆไม่ติดต่อกัน (ดังเช่น คอ รักแร้ ขาหนีบ) นานเกิน 3 เดือน
* น้ำหนักลดเกินจำนวนร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัวโดยไม่รู้จักมูลเหตุ
* ปวดกล้ามแล้วก็ข้อ
* ไซนัสอักเสบเรื้อรัง
* ปอดอักเสบจากแบคทีเรีย ซึ่งเป็นซ้ำบ่อยครั้ง



ตอนนี้ผู้เจ็บป่วยอาจมีอาการดังต่อไปนี้
* เหงื่อออกมากเวลากลางคืน
* ไข้ หนาวสั่น หรือไข้สูงเรื้อรังติดต่อกันยาวนานหลายสัปดาห์หรือเป็นนานแรมเดือน
* ไอเรื้อรัง หรือหายใจหอบอ่อนแรงจากวัณโรคปอด หรือปอดอักเสบ
* ท้องร่วงเรื้อรัง จากเชื้อราหรือโปรตัวซัว
* น้ำหนักลด รูปร่างผอมเกร็ง แล้วก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรง
* ปวดหัวร้ายแรง ชัก งงงวย ซึม หรือสลบจากการตำหนิดเชื้อในสมอง
* ปวดท้อง อ้วก อ้วก
* กลืนลำบาก หรือเจ็บเวลากลืน เพราะเหตุว่าหลอดอาหารอักเสบจากเชื้อรา
* สายตามัวมองดูไม่ชัดเจน หรือมองเห็นเงาใยแมงมุมลอยไปๆมาๆจากเรตินาอักเสบ
* ตกขาวหลายครั้ง
* มีผื่นคันตามผิวหนัง (papulopruritic eruption)
* ซีดเซียว
* มีจุดแดงจ้ำเขียวหรือเลือดออกมาจากสภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
* สับสน สูญเสียความจำ หลงๆลืมๆง่าย ไม่มีสมาธิ ความประพฤติผิดแปลกไปจากเดิม เหตุเพราะความผิดแปลกของสมอง
* อาการของโรคมะเร็งที่เกิดแทรก เช่น มะเร็งของฝาผนังหลอดเลือดที่เรียกว่า Kaposi's sarcoma (KS) มะเร็งต่อมน้ำเหลืองในสมอง โรคมะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก เป็นต้น
ในเด็ก ที่ติดโรคไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง ระยะแรกอาจมีอาการน้ำหนักตัวไม่ขึ้นตามเกณฑ์ เมื่อโรคแพร่กระจายเพิ่มมากขึ้นก็อาจมีอาการเดินทุกข์ยากลำบากหรือพัฒนาการทางสมองช้ากว่าปกติ รวมทั้งเมื่อเป็นโรคภูมิคุมกันบกพร่องเต็มขั้น นอกจากมีโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแบบเดียวกับผู้ใหญ่แล้ว ยังบางทีอาจพบว่าถ้าเป็นโรคที่พบทั่วไปในเด็ก (ดังเช่นว่า หูชั้นกึ่งกลางอักเสบ ปอดอักเสบ ทอนซิลอักเสบ) ก็ชอบมีอาการร้ายแรงมากกว่าปกติ

(https://uppic.cc/d/aK3)
การวินิจฉัยโรคเอดส์ ลำดับแรกสุดเป็น แนวทางในการซักความเป็นมาของผู้เจ็บป่วยรวมทั้งการตรวจร่างกาย ซึ่งมัก จะมีประวัติการติดเชื้อไวรัสไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องมาก่อนแล้ว ซึ่งหมอสามารถทราบจากการพิสูจน์เลือดว่า ส่งผลบวกต่อเอชไอวีไหม ยิ่งกว่านั้นการตรวจร่างกายชอบพบอาการแสดงที่บ่งชี้ว่า ผู้ป่วยอยู่ในระยะของการเป็นโรคโรคภูมิคุมกันบกพร่องแล้ว
ตรวจค้นสารภูมิคุ้มกัน (แอนติบอดี) ต่อเชื้อเอชไอวี โดยแนวทางอีไลซ่า (ELISA) จะตรวจเจอสารภูมิคุ้มกันหลังติดโรค 3-12 อาทิตย์ (จำนวนมากโดยประมาณ 8 อาทิตย์ บางรายบางทีอาจนานถึง 6 เดือน) แนวทางลักษณะนี้เป็นการตรวจยืนยันด้วยการตรวจกรองเบื้องต้น ถ้าเกิดเจอเลือดบวก จำเป็นต้องกระทำการตรวจรับรองด้วยวิธีอีไลซ่าที่ผลิตโดยอีกบริษัทหนึ่งที่ไม่ซ้ำกับแนวทางตรวจหนแรก หรือกระทำการตรวจด้วยวิธี particle agglutination test (PA) ถ้าเกิดให้ผลบวกก็สามารถวินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง แต่หากได้ผลลบก็จำต้องตรวจรับรองโดยแนวทางเวสเทิร์นบลอต (Western blot) อีกรอบ ซึ่งให้ผลบวก 100% ข้างหลังติดเชื้อ 2 สัปดาห์
การเจาะเลือดเพื่อนับจำนวนเม็ดเลือดขาวจำพวก ครั้งลิมโฟซัยท์ที่มีซีดี 4 เป็นบวก (CD 4-positive T cell) จะพบว่าปริมาณลดลงมาก เพราะว่าเชื้อไวรัสจะเข้าไปอยู่ในเซลล์ชนิดนี้ รวมทั้งจะทำลายเซลล์ประเภทนี้ไปเรื่อยๆส่วนใหญ่ถ้าหากมีจำนวนของครั้งลิมโฟซัยท์ที่มีซีดี 4 เป็นบวกลดน้อยลงต่ำลงยิ่งกว่า 350 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตรในคนแก่ (ค่าธรรมดา 600 - 1,200 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิ เมตร) ระดับของ CD4+ T cell ที่ใช้เพื่อการวิเคราะห์ ถ้าเกิดเป็นเด็กอายุน้อยกว่า 12 เดือนจะมี CD4+น้อยกว่า 30% ของเม็ดเลือดขาวทั้งหมด เด็กอายุ12 - 35 เดือนจะมี CD4+ น้อยกว่า 25% แล้วก็เด็กอายุ 36 - 59 เดือนจะมี CD4+ น้อยกว่า 20%
โรคที่เกิดขึ้นจากติดโรคไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องและโรคภูมิคุมกันบกพร่องในปัจจุบัน ยังไม่สามารถรักษาให้หายได้ แต่ว่าสามารถควบคุมโรคและก็ทำให้มีชีวิตอยู่ได้นานอย่างคนปกติได้ โดยกระบวนการรักษาผู้ติดเชื้อโรค เอชไอวีรวมทั้งผู้ป่วยโรคภูมิคุมกันบกพร่อง เป็นต้นว่า
การใช้ยายับยั้งการเพิ่มปริมาณของเชื้อไวรัสหรือยาต้านเชื้อไวรัส ซึ่งจำเป็นต้องกินไปชั่วชีวิต เรียกว่า Antiretroviral therapy ซึ่งพวกเราสามารถติดตามผลของการรักษาได้จากการเจาะเลือดดูจำนวนเม็ดเลือดขาว CD 4 positive T cell ว่า อยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ รวมทั้งนับปริมาณเชื้อไวรัสในเลือดได้โดยตรง (Viral load) ตอนนี้ยาต้านทานเชื้อไวรัสไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องมีหลายประเภทดังเช่นว่า
ยาที่มีฤทธิ์ยั้งเอนไซม์รีเวิสทรานสคริปเตส (Nucleoside analogues Reverse transcriptase inhibitors) ดังเช่น ยาชื่อ Zidovudine (AZT), Didanosine (ddI), Zalcitabine (ddC), Stavudine (d4T), Lamivudine (3TC)
ยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีรีเวิสทรานสคริปเตสที่ไม่ใช่นิวคลีโอไซด์ (Non-nucleoside reverse transcriptase inhibitors) ได้แก่ ยาชื่อ Delavirdine, Loviride, Nevirapine
ยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์โปรตีเอส (Protease inhibitors) ดังเช่นว่า ยาชื่อ Nelfinavir, Indinavir, Ritonavir, Saquinavir
อนึ่ง หลักการให้ยาต้านไวรัสในขณะนี้เป็น จำต้องให้ยาอย่างน้อย 3 ประเภทโดยใช้ยาในกลุ่ม Nucleoside analogue 2 ตัว ร่วมกับยาในกลุ่ม Non-nucleoside หรือ Protease inhibitor อีก 1 ตัวรวมเป็น 3 ตัว โดยจะต้องใช้ยาทุกเมื่อเชื่อวันแล้วก็ตรงตามเวลาที่กำหนดโดยครัดเคร่ง
โดยหมอจะไตร่ตรองให้ยาต้านไวรัสในกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังนี้
เมื่อมีลักษณะแสดงของโรคอีกทั้งในระยะเริ่มต้นเริ่มและระยะหลัง การให้ยาต่อต้านไวรัสในผู้เจ็บป่วยที่เป็นระยะเดิม (primary HIV infection) สามารถชะลอการดำเนินโรคไปสู่ระยะที่รุนแรงได้
เมื่อยังไม่มีอาการแสดง แต่ตรวจเลือดพบว่ามีค่า CD4 ต่ำลงมากยิ่งกว่า 200 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร
เมื่อยังไม่มีอาการแสดง แต่ว่ามีค่า CD4 อยู่ที่ 200-350 เซลล์/ลบ.มม. บางทีอาจตรึกตรองให้ยาต้านทานเชื้อไวรัสเป็นรายๆไป ได้แก่ ในรายที่ปริมาณเชื้อไวรัสสูง มีอัตราการน้อยลงของ CD4 อย่างเร็ว ความพร้อมเพรียงของผู้ป่วย เป็นต้น ในการให้ยาควรจะติดตามดูผลข้างเคียง ซึ่งอาจมีอันตรายต่อคนป่วย หรือทำให้ผู้เจ็บป่วยไม่ยอมกินยาอย่างสม่ำเสมอ
การใช้ยารักษาโรคติดโรคที่เกิดขึ้นมาจากมีภูมิต้านทานต้านทานโรคผิดพลาดหรือเชื้อคว้าโอ กาส ขึ้นกับว่าคนป่วยติดโรคประเภทใด ยกตัวอย่างเช่น ติดเชื้อวัณโรคก็ให้ยารักษาวัณโรค ติดเชื้อราก็ให้ยารักษาเชื้อรา หรือหากเป็นโรคมะเร็งก็รักษาโรคโรคมะเร็ง เป็นต้น



จากการเรียนในประเทศต่างๆเท่าที่ผ่านมาไม่พบว่ามีการติดต่อโดยวิธีตั้งแต่นี้ต่อไป
* การหายใจ ไอ จามรดกัน
* การกินอาหาร และก็กินน้ำร่วมกัน
* การว่ายน้ำในสระ หรือเล่นกีฬาร่วมกัน
* การใช้ห้องสุขาด้วยกัน
* การอยู่ภายในห้องเรียน ห้องทำงาน ยานพาหนะ หรือการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ
* การสัมผัส สวมกอด
* การใช้ครัว ภาชนะเครื่องครัว จาน แก้ว หรือผ้าที่เอาไว้สำหรับเช็ดตัวร่วมกัน
* การใช้โทรศัพท์ร่วมกัน
* การเช็ดกยุงหรือแมลงกัด



                - ไปพบแพทย์แล้วก็ตรวจเลือดเป็นช่วงๆตามที่แพทย์ชี้แนะ และก็กินยาต่อต้านเชื้อไวรัสเมื่อมีค่า CD4 น้อยกว่า 200 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร การกินยาต่อต้านเชื้อไวรัสอย่างสม่ำเสมอมักจะช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและก็ยาวนาน ส่วนมากมักจะเป็นเวลายาวนานกว่า 10 ปีขึ้นไป
- ดำเนินงาน เรียนหนังสือ คบหากับผู้อื่นและก็ปฏิบัติกิจวัตรที่ทำเป็นประจำได้ตามธรรมดา ไม่ต้องกังวลว่าจะกระจายเชื้อให้ผู้อื่นโดยการสัมผัสหรืออยู่สนิทสนมกันหรือหายใจรดคนอื่น
- แม้มีความรู้สึกไม่สบายใจกลุ้มใจดวงใจ ควรจะเล่าความรู้สึกในใจให้ญาติสนิทมิตรฟัง หรือขอคำปรึกษาเสนอแนะจากแพทย์ พยาบาล นักจิตวิทยา หรืออาสาสมัครในองค์กรพัฒนาเอกชน
- ทำความเข้าใจธรรมชาติของโรค การดูแลและรักษา การดูแลตนเอง จนกระทั่งมีความรู้และมีความเข้าใจโรคนี้เป็นอย่างดี ก็จะไม่มีความรู้สึกห่อเหี่ยวท้อแท้ และก็มีกำลังใจแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นอาวุธอันทรงพลังสำหรับเพื่อการบำรุงรักษาสุขภาพให้แข็งแรงต่อไป
- ช่วยเหลือสุขภาพตนเองด้วยการบริหารร่างกายเสมอๆ กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อสภาพทางด้านร่างกาย (ไม่มีความจำเป็นที่ต้องรับประทานอาหารเสริมราคาสูง) งดเว้นแอลกอฮอล์ ยาสูบ สิ่งเสพติด นอนหลับพักให้เพียงพอ
- สร้างเสริมสุขภาพที่เกี่ยวข้องทางจิตด้วยการฟังเพลง ร้องเพลง เล่นกีฬา อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ ฝึกให้มีสมาธี รุ่งโรจน์สติ สวดมนต์ไหว้พระหรือภาวนาตามลัทธิศาสนาที่นับถือ
- เลี่ยงความประพฤติที่บางครั้งก็อาจจะแพร่เชื้อให้คนอื่นโดย



- เลี่ยงการมีท้อง โดยการคุมกำเนิด เพราะว่าเด็กอาจมีโอกาสรับเชื้อจากมารดาได้
- มารดาที่มีการติดเชื้อ ไม่สมควรเลี้ยงลูกด้วยนมตัวเอง
- เมื่อมีโรคติดเชื้อชุบมือเปิบเข้าแทรก ควรจะคุ้มครองไม่ให้เชื้อโรคต่างๆแพร่ให้คนอื่นๆ เป็นต้นว่า